ปัจฉิมลิขิต - กอง บก. - ท่านผู้อ่านหลายท่านเสนอความเห็นเกี่ยวกับการตอบปัญหาในปัจฉิมลิขิต ซึ่งมีคำถามค้างอยู่อีกมาก
คำแนะนำที่ได้ มีดังนี้ค่ะ ตกลงเป็นอันว่าขอเพิ่มหน้าก็แล้วกัน จะลดขนาดตัวอักษรก็เกรงว่าผู้สูงวัยจะอ่านลำบาก จะตอบสั้นๆ ก็เกรงจะเข้าใจไม่ชัดเจน ส่วนที่ว่าจะพิมพ์เป็นเล่มต่างหาก คงต้องรอโอกาสอีกนานทีเดียว และที่ไม่ต้อง รอเลย คือตอบส่วนตัวค่ะ บ่มีเวลาพอเจ้าค่ะ สำหรับเรื่องการสัมมนาสมาชิก ดอกหญ้านั้น คาดว่าครั้งแรกจะจัดที่จังหวัด กาญจนบุรี ในเดือนธันวาคม ๒๕๔๘ รับสมัครผู้เข้าร่วมสัมมนาจากจังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดใกล้เคียงจำนวน ๕๐ คนเท่านั้นนะคะ เพื่อจะได้มีโอกาสพบปะพูดคุยคุ้นเคยกันอย่างทั่วถึง ใช้เวลา ๓ วัน ๒ คืน อาศัยช่วงที่มีวันหยุดติดกัน ๓ วัน ท่านที่จะเข้า ร่วมสัมมนารับผิดชอบค่าใช้จ่าย ในการเดินทางเอง ส่วนอาหารและที่พัก กำลังดำเนินการ หาทุนสนับสนุนอยู่ค่ะ ท่านที่สนใจเข้าร่วมสัมมนา แจ้งความจำนงไปที่ตู้ ปณ.๑๒ ปณ.คลองกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๔ หลังจากนั้น จะเวียนไปจัดสัมมนาในจังหวัดอื่นๆ ซึ่งจะแจ้งให้ทราบต่อไป ชาว กทม. ถ้าไม่รีบร้อนเกินไป ไว้รอสมัคร รุ่นที่จะจัดที่ กทม. ได้นะคะ ๑. หลักธรรมที่ว่าใครทำดีได้ดีเสมอ แต่ทำไมดิฉันโดนเพื่อน พี่ น้อง โกงประจำ ที่ว่า "ได้ดี" คุณหมายความว่าอย่าง-ไรคะ ไม่ได้หมายความว่าได้ตามที่อยากจะได้ หรือได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขใดๆ หรือทำให้คุณรอดพ้นจากผลกรรมเก่าที่คุณเคยทำไว้นะคะ คุณทำดีเมื่อไร คุณก็ ได้ดีเมื่อนั้น ความดีก็เป็นของคุณทันที จิต วิญญาณของคุณก็ได้ซับซาบความดีนั้นๆ เป็นพลวปัจจัยให้คุณทำดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก ข้อสำคัญคุณต้องมั่นใจในความดีนั้น ความดีทำให้คุณกล้าสู้หน้ากับใครทุกคนได้ ไม่อายใคร แม้จะยากจน แม้จะถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม เราก็ไม่จนใจ ไม่จนน้ำใจ ใครจะทำอะไรไม่ดีกับเรา นอกจากจะเป็นอกุศลกรรมของเขาแล้ว ก็อาจเป็นการชดใช้หนี้กรรมที่เราเคยทำไว้ ถ้ายกตัวอย่าง คนร่วมยุคที่เราเห็นอยู่ ก็อาจมีข้อโต้แย้งว่าเขายังมีความไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ขอยก ตัวอย่าง พระอรหันต์ สมัยพระพุทธเจ้าก็แล้วกันนะคะ พระโมคคัล-ลานะเป็นถึงอัครสาวกของพระพุทธเจ้า ท่านบำเพ็ญ บุญกุศลมาขนาดไหน ยังถูกชาวบ้านรุมทำร้ายเอาจนถึงตาย พระพุทธเจ้า ก็ยังถูกพระเทวทัต ลูกพี่ลูกน้อง แถมเป็นลูกศิษย์ด้วย สร้างปัญหาให้พระองค์นานัปการ ส่วนคนประจบสอพลอที่ว่า "ได้ดี" นั้น ถ้าชาตินี้นอกจากประจบเจ้านายแล้วไม่ได้ทำดีอะไรเลย ก็อาจ เป็นได้ว่า เขาเคยทำบุญกุศลมามากในชาติก่อน เมื่อเขากินบุญเก่าหมด ไม่สร้างบุญใหม่เลย สักวันหนึ่ง ทุกคนก็จะเห็นความจริงค่ะ
เคยฟังซีดีธรรมะท่านจันทร์ ท่านว่าชีวิตหลังความตายช่างเป็นช่วงที่น่ากลัว
อยากทราบว่า ถ้าเรามีกรรม บางอย่าง และถ้าเราตายไป กรรมดีที่เราเคยทำไว้
จะช่วยสลายกรรมให้เราบ้างได้หรือไม่ ชีวิตหลังความตายจะน่ากลัวก็สำหรับคนที่ทำความชั่วเท่านั้น ยิ่งทำไว้มากก็ยิ่งน่ากลัวมาก สำหรับ ศาสนาพุทธ กรรมดีกรรมชั่วลบล้างกันไม่ได้ แต่ถ้าเราทำกรรมดีมากๆ มากจริงๆ กรรมชั่วก็อาจตามไม่ทัน หรือไม่ทันให้ผล เพราะเรายังเสวยผลของกรรมดีอยู่ นี่พูดเฉพาะผลกรรมที่ปรากฏ ในขณะที่เรา มีชีวิตอยู่ นะคะ ดิฉันไม่เคยคิดถึงชีวิตหลังความตาย เพราะคิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ได้แต่จินตนาการไปต่างๆ นานา จะเป็นจริงอย่างที่เราคิดไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ขนาดอนาคตของเราในชาตินี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่แน่นอนเลย แล้วอนาคตหลังตายแล้ว จะแน่นอนได้อย่างไร ที่แน่ๆ สร้างกุศลกรรมให้มากไว้ก่อนตายดีกว่าค่ะ ผมเมื่อเป็นหนุ่มประพฤติผิดศีล ๕ ทุกข้อ เดี๋ยวนี้หยุดแล้ว เป็นเวลา ๑๕
ปี ทานอาหารมังสวิรัติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่พยาบาทปองร้าย ปฏิบัติศีล ๕ ข้อได้ถูกต้อง
จะพ้นจากบาปหรือไม่ ความผิดบาปที่ทำไปแล้ว ถ้าจะจำ ก็จำเพียงเพื่อเป็นบทเรียนที่จะไม่ทำอีก แล้วก็เอาไว้บอกเล่าให้คนรุ่นหลัง ได้เรียนรู้ตัวอย่างที่ไม่ควรทำตาม แล้วเวลาประสบผลจากบาปกรรมที่ทำแล้ว จะได้ไม่ทุกข์มากเกินไป ถึงจะทำดีมากมายเพียงใด ก็ลบล้างบาปไม่ได้ ทำนองเดียวกัน คนที่ทำกรรมดีไว้ แล้วมาทำกรรมชั่ว ภายหลัง กรรมชั่วนั้นก็ไม่ลบล้างกรรมดีเหมือนกัน เพียงแต่ว่ากรรมใด ทำไว้มากกว่า ก็จะมีฤทธิ์แรง มากกว่าที่จะแสดงผลแก่ผู้กระทำ กำลังสับสนชีวิตว่าจะเดินทางไหนดีระหว่างอยู่แบบธรรมชาติสันโดษ ลดละเลิก
เหมือนชาวสันติอโศก หรือแบบวัดธรรมกาย (น้องชายเป็นผู้นำบุญ) หรือแบบคิวเซเคียวของมูลนิธิบำเพ็ญกิจกรรม
สาธารณประโยน์ ด้วยกิจกรรมทางศาสนา (โยเร เกษตรธรรมชาติ ศิลปะความงาม) หรือมาบวชปฏิบัติธรรม
แบบกรรมฐานไปเลย ตอนนี้นับถือหมด แต่ปฏิบัติไม่ได้ดีสักทางเลย อาจเป็นเพราะใช้พลังไปหลายทาง เลยปฏิบัติไม่เป็นโล้เป็นพาย ลองชั่งน้ำหนักดูว่า แนวปฏิบัติแบบไหน เหมาะกับจริตของเรามากที่สุด และจะนำพาเราไปสู่ดี แล้วตัดสินใจปฏิบัติตามแนวทางนั้นให้จริงจัง ดิฉัน เคยได้ยินพระท่านสอนว่า ถ้าเรากำใบหญ้าคาไม่แน่น ใบหญ้าคาจะบาดมือ การปฏิบัติธรรมที่ไม่จริงจัง ก็เหมือนกัน แทนที่จะให้คุณ อาจจะให้โทษก็ได้ เพราะเราจะไม่เข้าถึงธรรมะจนเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกับ ธรรมะ แล้วเราก็จะทำตามกิเลสของเราบ้าง นำไปสู่การเลี่ยง หรือการอธิบายที่ไม่ตรงกับหลักการ ที่แท้จริง ของธรรมะ เพราะถ้าพูดธรรมะที่แท้จริงก็จะขัดแย้งกับการกระทำของเรา ธรรมวินัยจึงผิดเพี้ยนไปในที่สุด เพราะฉะนั้นคุณต้องลงมือปฏิบัติให้ได้ดีสักทางหนึ่ง ถ้าเกิดเลือกทางผิด ก็จะได้เห็นผลเร็ว จะได้รีบกลับลำ ไปปฏิบัติทางอื่น มัวแต่ลังเลอยู่ ระวังหญ้าคาจะบาดมือ
๑. วิธีการสร้างกำลังใจในการต่อสู้เพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งปวง ๑-๒ มองดูคนที่ทุกข์ยากกว่าเรา คนที่เสียสละกว่าเรา แล้วก็ฝึกหัดขัดใจตนเองทีละเล็กทีละน้อย ตามที่ เคยแนะนำแล้วหลายครั้งในดอกหญ้าฉบับก่อนๆ เราหมั่นออกกำลังกาย ร่างกายก็แข็งแรง ถ้าหมั่นออก กำลังจิต ด้วยการฝืนทำสิ่งที่เหมาะควรแม้จะไม่ถูกใจเรา ละเว้นสิ่งที่ไม่ควร แม้จะถูกใจเรา จิตใจก็จะ แข็งแรงขึ้น มีกำลังที่ต่อสู้กับอุปสรรค และทำความดียิ่งๆ ขึ้น สั่งสมบารมีให้ตนเอง
สามีติดเหล้า เบียร์ บุหรี่ รู้สึกเสียดายเงินทองเพราะรายจ่ายมีมากอยู่แล้ว
สามีไม่ได้ดั่งใจ ทุกข์ใจต้องพูด ว่าเขามาก พอพูดแล้วไม่พอใจ ทะเลาะกัน แล้วก็ต้องตีกันบ่อยมาก
ตั้งแต่ลูกยังเล็ก จนโตเป็นหนุ่ม บอกให้ลูก พูดกับพ่อให้ที เกลียดบุคลิกเวลาเมาชอบพูดหยาบคายด้วย
ฟังแล้วระคายหู แล้วโมโหเคยนึก อยากให้เขาตาย นึกบ่อยๆ แช่งด้วยใจเป็นทุกข์ตลอดเวลา
เพราะชีวิตเราเกี่ยวข้องอยู่กับเขา อยากจะเลิก แต่ยังมีลูกคนเล็ก ที่ต้องรับผิดชอบอยู่
กลัวว่าถ้าเลิกแล้ว เขาจะไม่เลี้ยงลูก เพราะไม่ได้อยู่ขอเงินจากเขา เดี๋ยวเอาเงิน
ไปกินเหล้าหมด จะทำอย่างไร อยากปรึกษาใครสักคน ที่ช่วยคลี่คลาย ใครทำให้สามี
เลิกเหล้าได้ จะถวายชีวิตเราให้จริงๆ อดทนอยู่ด้วยกันมาได้จนลูกโต ก็น่าจะทนต่อไปได้ แต่ต่อไปนี้เราจะทนได้ง่ายขึ้น เพราะว่าเราจะยอมรับ ความจริงว่า เขาเป็นคนอย่างนี้ แล้วก็ไม่ต้องไปคิดเปลี่ยนแปลงเขา เลิกหวังให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หันมาเปลี่ยนตัวเองดีกว่า เลิกคิดไม่ดีต่อเขา มองสิ่งดีที่เขามีอยู่ เช่นว่า ถึงยังไงเขาก็ยังรับผิดชอบครอบครัว ไม่มีเมียน้อย ไม่เล่นการพนัน เป็นต้น แล้วก็ทำตัวเป็นศรีภรรยา เลิกบ่นเลิกว่าเขาเด็ด-ขาด พูดจาสุภาพ ใจเย็น ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ทำอาหารที่เขาชอบ ดูแลลูกให้ได้รับความอบอุ่น เป็นตัวอย่างที่ดีของลูก ถ้าเลิกกินอาหารเนื้อสัตว์ได้ก็เลิกเสีย จิตใจอาจจะเย็นขึ้น มีเมตตามากขึ้น ถ้าคุณเปลี่ยนได้ ดังนี้ สามีคุณก็อาจจะเปลี่ยนได้เหมือนกัน โดยไม่ต้อง ขอร้องเลย
ดิฉันอ่านปัจฉิมลิขิต กอง บ.ก.ตอบคุณสุดา อุเทน/ลำปาง (ฉบับอย่าสิ้นหวัง
อันดับที่ ๑๑๗) ที่ถามว่า ทำอย่างไร ถึงจะทำเกษตรโดยไม่ฆ่าหอย ไส้เดือน ทาก
มด เวลาถากหญ้า ขุดดิน โดยตอบว่าให้ทำ กสิกรรมธรรมชาติ ซึ่งไม่ขุด ไม่ไถ
ไม่พรวนดิน ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ดิฉันสงสัยมาก แล้วจะทำอย่างไร จึงจะปลูกพืชบนดินได้คะ
เพราะบางอย่างก็หว่านแล้วไม่งอกค่ะ ดิฉันถามเพื่อนที่ทำกสิกรรมแล้ว เขาบอกว่า ต้องบำรุงดินก่อน ทำให้ดินร่วนซุย โดยปลูกพืชตระกูลถั่ว และใช้ฟางคลุมดิน รดน้ำหมักจุลินทรีย์เจือจาง การบำรุงดินนี้จะใช้เวลานานเป็นปี โดยเฉพาะ ถ้าดิน ถูกทำร้ายมามาก ด้วยปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง จนไม่มีสิ่งมีชีวิตในดิน กลายเป็นดินตาย ก็ยิ่งต้องใช้ เวลานาน เมื่อดินกลับมีชีวิตแล้ว (อันนี้ดิฉันเองเคยมีประสบการณ์ เอาเศษกากพืชผลไม้ที่เหลือจากการหมัก จุลินทรีย์ คลุกกับดินแข็งๆ ทิ้งไว้จนลืม นานเป็นเดือนถึงได้มาเปิดดู กลายเป็นดินร่วนซุย มีสิ่งมีชีวิตช่วยพรวนดิน ให้อย่างดี) เวลาปลูกพืช มี ๒ วิธี วิธีแรกคือ ใช้นิ้วกดเมล็ดพืชลงไปในดิน หรือเอาดินมาปั้นห่อเมล็ดพืช ไว้ข้างใน เรียกว่า กระสุนดิน แล้วก็หว่าน ลงไปบนดิน ดิฉันได้ยินมาว่า การจะทำกสิกรรม ธรรมชาติได้ ต้องเป็นการทำเพื่อเลี้ยงชีพแบบเศรษฐกิจพอเพียง ทำโดย เป็นมิตรกับธรรมชาติ ไม่ได้มุ่งเพื่อการค้า มิเช่นนั้นกสิกรมักจะใจร้อน รอคอยการฟื้นตัวของดินไม่ไหว
ขณะนี้คุณแม่ซึ่งอยู่ต่างจังหวัดป่วย เป็นอัมพฤกษ์ ขาซ้ายไม่มีแรง เดินไม่ได้
เราก็ต้องลงไปดูแล ทำงาน กทม.ครึ่งเดือน กลับบ้านต่างจังหวัดครึ่งเดือน เราจะเอาธรรมะข้อใดมาใคร่ครวญ
จึงจะละลาย ความทุกข์ได้ จะคิดว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ก็มีปัญหาแม่เราทำกรรมอะไรไว้
จึงเป็นเช่นนี้ สุดวิสัย จะรู้ได้ (ตอบตัวเองว่า "ช่างมันเถอะ") ปกติดิฉันจะไม่ค่อยคิดถึงกรรมเก่า นะคะ ไม่ค่อยสงสัยว่าเราหรือใครทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องประสบเหตุ ทุกข์เดือดร้อนต่างๆ นานา แต่เวลาทุกข์มากๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่าเราไปทำกรรมอะไรไว้ บางที ก็ไม่ได้ทุกข์หรอก เวลาทบทวนชีวิตตนเอง บางครั้งก็จินตนาการไปเองเหมือนกันว่าชาติก่อนเราคงทำอย่างนั้น อย่างนี้มา ชาตินี้ ถึงได้มาเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าคิดไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร สิ่งที่ผ่านไปแล้ว กรรมที่กระทำแล้ว แก้ไข ไม่ได้ เอาเวลามาสั่งสม กรรมดี ให้มากดีกว่า
๑. เบื่อคนที่ไม่รู้จักทำหน้าที่ของตน แล้วยังชอบด่าคนอื่น ดิฉันรู้สึกอย่างนี้เหมือนกันเลย รู้สึกมากๆ ด้วย ต่างกันก็แต่ว่าไม่เคยเป็นผู้บริหาร ตอนที่เป็นผู้ใต้บังคับ บัญชานั้น เหนื่อยใจมากกับผู้บังคับบัญชา เพื่อนที่เป็นลูกน้องก็มักจะบ่นเจ้านาย ให้ฟัง ส่วนเพื่อนที่เป็นเจ้านายก็จะหนักใจกับลูกน้อง นี่ก็เป็นอีกหนึ่งงานสัมมนาที่ดิฉันอยากจะทำ คือ เชิญเจ้านายกับลูกน้องมาพูดคุยกันสักที แต่ยังไม่เห็น หนทาง ว่าจะทำได้เลย
ครูที่ไม่แท้จริงจะเป็นอย่างไร ประการแรกสุดคือไม่รักความเป็นครู ประการต่อมาคือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับฐานะครู
๑. ครูชอบซื้อหวยจะแก้อย่างไร ถ้าถามใจดิฉันจริงๆ นะคะ ดิฉันจะคัดเลือกครูใหม่ทั้งหมด ใครที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมและไม่พร้อม จะปรับปรุงตน ก็ขอร้องให้เปลี่ยนอาชีพ รู้นะคะว่าได้แต่คิด คงไม่มีใครทำหรอก ถ้าใครเกิดจะลุกขึ้นมา ทำจริงๆ ก็คงต้องเผชิญปัญหาไม่น้อย คงจะถูกครูและญาติของครูต่อต้านอย่างรุนแรง สิ่งที่ทำได้ มากที่สุดตอนนี้ก็คงไม่เข้าไปเรียน หรือส่งลูกหลานเข้าไปเรียนในโรงเรียนที่มีครูติดอบายมุข และไม่คบค้า สมาคมกับครูเหล่านี้ ไม่ต้องทำจนน่าเกลียด จนเขาโกรธแล้วกลับแกล้งเราเสียอีก เอาแค่พยายามปลีก ห่างไว้ ก็แล้วกัน
๑. การปฏิรูปการศึกษาที่รัฐบาลลากครูประถมไปกรมนั้น กระทรวงนี้ ทำตามใจนายกรัฐมนตรีนั้น ถูกต้องหรือไม่ ๒. เด็กสมัยนี้พูดยากสอนยากเพราะอะไร ถ้าใครรู้ตะโกนให้โลกรู้ด้วย บางทีชาวโลกได้ยิน เขาอาจจะตื่น ขึ้นมาบ้าง ๓. การอบรมสั่งสอนคน ใครๆ ก็รู้ว่าทำ ๕ ขั้นตอนคือ ๑.เล่าให้ฟัง ๒.ทำให้ดู
๓.ให้ผู้เรียนทำเอง ๔.เอาของมาให้ดู ๕.พาไปดูสิ่งของ แต่ครูทุกวันนี้นิยมทำแต่ข้อ
๕ มาก ผู้ปกครองจะว่าขูดเลือดอยู่แล้ว เพราะว่า มีเงินให้ลูกหลานไม่พอ ใครช่วยแก้ไขได้หรือไม่ คนที่จะตอบคำถามข้อ ๑ ได้คือท่านนายกฯ และครูที่ถูกลากไปค่ะ สำหรับคนที่ไม่มีภาระครอบครัว ย้ายให้ ไปทำงานที่ไหน ภายใต้สังกัดของใคร ก็ต้องทำงานเต็มกำลังความสามารถอยู่แล้ว ปัญหาในวงการศึกษา บ้านเรา (บ้านเมืองอื่นก็คงมีเหมือนกัน แต่เราไม่รู้) จะแก้ไขได้ ถ้าเราทุกคนหันมามองตน ปรับปรุงตน ถ้าดี อยู่แล้ว ก็ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้น ถ้าเป็นผู้บริหาร ก็พัฒนาวิธีการบริหารงาน ถ้าเป็นครู ก็เพิ่มพูนคุณธรรม ความรู้ และพัฒนาการสอน ถ้าเป็นพ่อแม่ ก็เอาใจใส่อบรมดูแลบุตรหลาน ส่งเสริมให้ปฏิบัติดี และรัก การเรียนรู้ เด็กนักเรียนเองก็ตั้งใจทำหน้าที่ลูกและลูกศิษย์ให้ดีที่สุด ข้อสำคัญ ทุกคนทุกฐานะ ต้องปฏิบัติตน ตามทำนองคลองธรรม
ดิฉันเป็นครู มีความตั้งใจสอน แต่ดิฉันไม่ชอบทำผลงาน ดิฉันไม่ชอบเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ มือถือ อยากสอนความรู้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตได้จริง ปัญหาก็คือดิฉัน ไม่อยากจะทำ สิ่งที่ไม่มีสาระ ส่งให้เขาตรวจประเมิน มันเสียเวลาคิดมาก จะทำใจอย่างไรดี (ออกยังไม่ได้) - ตั้งใจจะสอนทำสบู่ แชมพู ฯลฯ กับนักเรียน อยากไปฝึกทำและหาซื้ออุปกรณ์ วัสดุได้ครบได้ที่ใด เคยให้หลาน ไปถามที่สันติ (เขาบอกต้องซื้อปริมาณมาก) ซึ่งเรายังไม่เป็น ดูจาก CD บ้าง จึงไม่มั่นใจ โทรศัพท์ไปถาม ก็ไม่มีคนรับสาย ไม่อยู่บ้าง - ถ้าจะพานักเรียนไปอบรมกิจกรรมงานต่างๆ ที่ใดจะเปิดรับบ้างคะ และช่วงเวลาใด
อยากทราบ จะได้วางแผน ขออนุญาตที่อาจจะบอกสิ่งที่ขัดใจบ้าง ดิฉันไม่ทราบว่าอาจารย์โกสุมภ์อายุมากน้อยแค่ไหน ถ้าอายุมาก ใกล้เกษียณแล้ว จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงก็คงจะไม่เป็นไร แต่ถ้ายังต้องรับราชการอีกกว่า ๑๐ ปีขึ้นไป ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองค่ะ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ ดิฉันเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่สำหรับคนที่เป็นครู คอมพิวเตอร์ จะช่วยงานได้มากนะคะ ลองฝืนใจไปอบรมคอมพิวเตอร์เบื้องต้นดูสักคอร์ส ค่อยๆ เรียน ทีละเล็กละน้อย ต้องใช้เวลาหน่อย เพราะเราไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีพวกนี้ แถมต่อต้านด้วย ก็เลย จะเรียนรู้ได้ช้าหน่อย แต่พอใช้งานเป็น จะนึกออกเองว่า จะใช้คอมพิวเตอร์ช่วยงานอะไรได้บ้าง ตอนที่ทำงาน กินเงินเดือนอยู่เมื่อราว ๒๐ ปี ก่อน ดิฉันก็ต่อต้านคอมพิวเตอร์ คิดว่ามันทำให้คนว่างงาน เพิ่มขึ้น หน่วยงานจะส่งไปอบรมคอมพิวเตอร์ ดิฉันไม่ยอมไป แต่เดี๋ยวนี้ ดิฉันนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ ทุกวัน มันช่วยงานเราได้มากจริงๆ ค่ะ งานวิชาการที่เขาต้องการให้เราเขียนก็ไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะคะ เวลาเราประเมินเด็ก เรายังต้องให้เด็กเขียน ใช่ไหมคะ อาจารย์ลองคิดถึงใจคนที่ประเมินเราสิคะว่า เขาต้องประเมินคนจำนวนมาก จะต้องใช้คน และ งบประมาณสักเท่าไร ถ้าจะต้องให้มีคนมาดูผลงานของอาจารย์ด้วยตัวเอง เขาถึงต้องขอให้เราเขียน สิ่งที่เราทำ ให้เขาได้รู้ มีรูปให้เขาได้เห็น การเขียนนอกจากจะช่วยให้ผู้ประเมินเข้าใจเราแล้ว ถ้ามีโอกาส เผยแพร่ให้คนอื่นอีกด้วย ก็จะเป็นประโยชน์กว้างขวางขึ้น ใครอื่นจะยกเมฆอย่างไรก็อย่าถือเอามาเป็นอารมณ์เลยค่ะ เราเองเขียนแต่เรื่องจริงก็แล้วกัน ถ้าเขียนไม่เก่ง ก็ต้องหัดค่ะ เวลาที่เด็กอ้างว่า ทำอะไรไม่เป็น เรายังบอกเด็กให้พยายามเลยนี่คะ อีก ๒ ข้อนั้นอาจจะคลี่คลาย โดยไม่ต้องส่งเด็กไปอบรมที่อื่นก็ได้ ทำโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนวิถีพุทธ เสียเลย อาจารย์อาจจะคิดวิธีการได้ และมีกำลังใจ ถ้ามาเข้าร่วมสัมมนาสมาชิกดอกหญ้าค่ะ รีบส่งใบสมัคร ไปนะคะ
ทำไมการทำความดีหรือความชั่วจึงไม่เห็นผลในชาตินี้ หรือเห็นผลทันตา ต้องรอไปชาติหน้า
เพราะถ้า เห็นผลเร็ว ผู้คนคงทำความดีมากกว่านี้และไม่กล้าทำความชั่ว พระพุทธองค์ท่านน่าจะลงโทษโดยวิธี
"ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" ข้าพเจ้าเห็นคนทำความดีมากมายที่ถือว่าเป็นคนดีในขั้นหนึ่ง
แต่ทำไม ไม่มีความสุข ในชีวิตเท่าที่ควร หรือไม่ประสบผลสำเร็จในการทำงาน
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ผลดีชั่วที่แต่ละคนได้รับเป็นไปตามกฎแห่งกรรมค่ะ ไม่ใช่พระพุทธองค์ทรงลงโทษ ศาสนาพุทธเป็นศาสนา อเทวนิยม นะคะ ไม่มีใครมามีอำนาจบงการชีวิตของเรา ชะตาชีวิตขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง ส่วนที่ว่าจะได้รับผลกรรมเร็วช้าหนักเบาเพียงใด มีปัจจัยประกอบหลายอย่าง การที่แต่ละคนจะทำกรรม อะไร สักอย่าง ก็มีแรงผลักดันหลายด้านเหมือนกัน ถ้าทำผิดปุ๊บ โดนลงโทษปั๊บ ทำดีเมื่อใด ก็ต้องได้รับผล เมื่อนั้น อาจจะมีผลเสียตามมาก็ได้ เช่น คนที่ทำผิดยิ่งทำผิดหนักขึ้น เพราะรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว เลยคิด ประชดชีวิต คนที่ทำดีเลิกทำดี เพราะหลง ลาภยศสรรเสริญที่ได้รับ คนเราจะมีความสุขหรือความทุกข์ขึ้นอยู่กับใจของเรา ถ้าเราทำดีจริง ก็น่าจะยินดีในสิ่งที่ตนได้กระทำ ส่วนผลสำเร็จ ในการทำงาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความดีอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำงานด้วย เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา แล้วก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของหัวหน้าด้วย ถ้าหัวหน้าตาไม่ดี มองไม่เห็น ความดี และความสามารถของเรา เขาก็ไม่ส่งเสริมสนับสนุนเรา ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ "ดี" อย่างที่บอกแล้วว่า ทำดีเมื่อไร เราก็ได้เป็นคนดีทันที ไม่ต้องรอให้คนอื่นยอมรับ
ทำอย่างไรจึงจะบังคับตนเองได้ โดยตนเองไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ ก็ต้องหัดบังคับตัวเองทุกวัน จนทำได้เคยชิน ก็จะไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ เหมือนเราใส่ชุดนักเรียนไปโรงเรียน เราก็ไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าการใส่ชุดนักเรียนไปโรงเรียนเป็นการถูกบังคับ ดิฉันก็ว่า คุณรักเสรีมากเกินไป กฎเกณฑ์หลายอย่างช่วยให้สังคมเป็นระเบียบเรียบร้อย เราก็น่าจะให้ ความร่วมมือ การหัดบังคับตนเองก็ทำเหมือนกับการฝึกจิตใจให้เข้มแข็งตามที่เคยแนะนำหลายครั้งแล้วในคอลัมน์นี้ หรือ คุณจะคิดเองก็ได้ หัดบังคับตัวเองให้ทำสิ่งดีๆ นะคะ เช่น ถ้าเป็นข้าราชการ ก็แต่งเครื่องแบบข้าราชการ ไปทำงานทุกวัน งดใช้เครื่องสำอาง งดอาหารเนื้อสัตว์ อาทิตย์ละวัน-สองวัน เป็นต้น พยายามที่จะปล่อยวางเรื่องบางเรื่องที่ทำให้ตัวเองเคยเจ็บปวด แต่เมื่อมีใครบางคนมาพูดหรือมาสะกิดใจ
สวนคำพูด หรือกิริยาท่าทางทำให้รู้สึกแค้น ต้องพูดและมีอารมณ์ร่วมด้วยโดยอธิบายถึงใจเขาใจเรา
ทำอย่างไร ถึงจะควบคุมอารมณ์และสีหน้าของตัวเองได้ เมื่อรู้สึกไม่พอใจ ทันทีที่รู้ตัวว่าไม่พอใจ ให้เปลี่ยนอารมณ์ไปในทางตรงกันข้าม หาวิธีคิดดีๆ ไว้ อย่างน้อยเงียบไว้ก่อน แล้วค่อยๆ สอนตัวเองให้อภัยเขา คิดถึงความดีของเขา คิดถึงโทษของความโกรธ ถามตัวเองว่า โกรธเขาแล้วได้อะไร หรือคิดถึงคำพูดของนักปราชญ์ต่างๆ ฯลฯ
๑. มีคนมาโกรธโดยไม่มีสาเหตุ ดิฉันควรทำตัวอย่างไร ๒. มีคนมาหาว่าบ้านของดิฉันปลูกผักกินเนื้อที่เขา โดยที่เวลาจะล้อมรั้วนั้น ก็เรียกเขามาดู แต่พอมา ตอนหลัง กลับหาว่า บ้านดิฉันโกง ดิฉันควรทำตัวและทำใจอย่างไร กับบุคคลคนนี้ดีคะ ๓. บุคคลที่ชอบดูถูกเหยียดหยาม เห็นคนอื่นได้ดีแล้วทนไม่ได้ บุคคลผู้นั้นจะได้รับผลกรรมเป็นเช่นไรคะ ๑. สาเหตุน่ะคงจะมี แต่เราไม่ทราบ ถ้าพอจะถามได้ ก็ลองเลียบเคียงถามดู รู้แล้วจะได้แก้ไข แต่ถ้าสถานการณ์ไม่เหมาะจะถาม ก็ทำเฉยๆ อย่าไปโกรธตอบ ทักทายปราศรัยด้วยอัธยาศัยไมตรี มีอะไรพอช่วยเหลือเขาได้ก็ช่วย เสียสละได้ก็เสียสละ สักพักหนึ่งเขาอาจจะหายโกรธ ๒. ให้อภัย เสียสละ ๓. เขาเป็นอย่างนั้นเขาก็ทุกข์อยู่แล้ว เราอย่าไปร่วมทุกข์กับเขาเลย แล้วก็ไม่น่าจะเสียเวลา ไปรอดูผลกรรม ของเขานะคะ แล้วถ้าเขาเกิดเดือดร้อนขึ้นมา ตามประสาคนรู้จักกัน ก็ต้องช่วยเขาค่ะ
ข้าพเจ้าอยากเป็นสมาชิกหนังสือ ดอกหญ้า ข้าพเจ้าจะได้อ่านในช่วงหลังเลิกงาน คำถามนี้ดิฉันอายใจที่จะตอบเหมือนกันนะคะ เพราะตัวเองก็มักจะแสดงอารมณ์บ่อยๆ เวลาแม่ทำอะไร ไม่ได้อย่างใจ พอได้สติถึงค่อยมาคิดว่า แม่อายุมากแล้ว อวัยวะเจ้าการ รวมทั้งสมอง ก็ย่อมเสื่อมไป เป็นธรรมดา อย่าว่าแต่จะลืมสิ่งที่เราบอกเลย สิ่งที่แม่ทำเอง แม่ยังลืมเลย แล้วแม่ก็ สั่งสมอะไรใส่ไว้ ในจิตบ้าง ก็ไม่รู้ ขนาด พวกเราสั่งสมมาน้อยกว่า ยังขัดใจตัวเองยากเลย คนแก่ อำนาจจิตเสื่อมถอย จะบังคับตัวเอง ได้แค่ไหนกันเชียว เวลาดีๆ ก็คิดได้ค่ะ ประเดี๋ยวก็โกรธแม่อีกแล้ว อยากจะแก้ไขแม่อีกแล้ว ที่จริงต้องแก้ไขตัวเองค่ะ ยอมรับ ความจริงตามความเป็นจริง แม่ปลงไม่ได้ เราก็ต้องปลงเสียเองล่ะค่ะ
เคยเลี้ยงลูกมาแล้วประสบความสำเร็จเกือบทุกคน ก็มีแต่ ๒ คนที่ยังห่วงอยู่
ควรจะทำอย่างไรดี ในเมื่อ ปัจจุบัน ผมก็อายุ ๗๔ ปีเข้าไปแล้ว ควรจะสร้างไว้ให้หรือฝากไว้กับพี่ๆ
ของพวกเขาดี (ลูกๆ ที่บ้านรักใคร่กัน ทุกคนดี) อายุปูนนี้แล้ว จะสร้างอะไรให้เขาได้อีกหรือคะ ดิฉันเชื่อใจพ่อแม่จริงๆ ห่วง ลูกไม่มีวันสิ้นสุด ปล่อยให้พี่ๆ เขาดูแลน้องเถอะค่ะ สมณะท่านสอนว่า "เลี้ยงลูก ให้รู้จักโต" หมายความว่า ให้เขารู้จักรับผิดชอบชีวิต ตัวเองบ้าง
ในใจส่วนตน ยังไม่อโหสิกรรมให้เพื่อนร่วมงานในอดีตได้ (ทั้งที่เพื่อนคนนั้นถูกไล่ออกจากราชการแล้ว)
ใจนั้น ยังอยากกระทำให้เพื่อนคนนี้รับรู้บ้างว่า การคิดในสิ่งที่ร้ายต่อเพื่อนร่วมงานนั้น
มันเป็น ยังไง เป็นเพราะว่า คุณใส่ร้ายเขา อคติต่อเพื่อนร่วมงาน สุดท้ายคุณก็รับวิบากกรรมของคุณเอง
ถูกไล่ออก จะทำยังไง ให้ใจมีเมตตาต่อเขา (ปัจจุบันใจของผมยังไม่ได้ลงมือกระทำนะครับ)
เพียงแต่คิดจะทำ ให้เขารู้สึกบ้างว่า ผลแห่งกรรมที่คุณทำไว้นั้น ตอบสนองแล้ว
ถ้าคุณทำหรือพูดอะไรไป เขาเรียกว่า "ซ้ำเติม" ค่ะ ปล่อยให้เขาสำนึกเองดีกว่านะคะ ทุกวันนี้บางทีดิฉันก็คิด อยากจะบอกบางคนเหมือนกันว่า ผลของการกระทำอย่างนั้นๆ มันให้ผลอย่างนั้น เห็นหรือเปล่า อยากให้ เขารู้ตัว แล้วเปลี่ยนแปลงตนเองใหม่ แต่ยังไม่กล้าบอกเลย แต่ก็มีบางคนที่สนิทสนมจริงๆ แล้วก็สถานการณ์ อำนวยให้บอกได้ ไม่น่าเกลียด บอกเขาแล้ว เขาก็ยังเชื่อมั่นว่า ที่ผ่านมา เขาทำถูกต้อง วิธีที่จะทำให้เกิดเมตตาก็คือพูดดี-ปฏิบัติดีต่อเขา ถึงแม้ใจจะยังไม่ได้เมตตาจริงๆ ก็ค่อยๆ กล่อมเกลาจิตใจ ไปเรื่อยๆ ค่ะ ขอแถมอีกนิดตามจริตของตัวเอง คือ ถ้าเห็นว่าเพื่อนทำผิดพลาด ดิฉันจะรีบบอก เผื่อว่าเขาจะ เปลี่ยนแปลงได้ ก่อนจะเกิดความเสียหาย หรือเดือดร้อนแก่คนอื่น
อยากได้คำตอบของที่มาของความตาย ศพ จิตวิญญาณของสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก
ว่าเป็นไปตาม วัฏสงสาร ของกรรมของแต่ละคนหรือไม่ ที่มาของกรรมเก่า กรรมใหม่
อดีตชาติ ความรักที่เกิดขึ้นกับ คนสองคน ที่มีเหตุให้ต้องมาพบกัน รักกัน
ถูกตาต้องใจกัน เกิดขึ้นได้เพราะเหตุใด ฝึกจิตมาพอสมควร แต่พอเอาเข้าจริงๆ
บังคับเขาไม่ได้ ศาสนาพุทธแม้จะเชื่อกฎแห่งกรรม แต่ก็ไม่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเวรตามกรรมนะคะ เพราะเราสร้าง กรรม ขึ้นได้ด้วยตัวของเราเอง ดิฉันจำได้คร่าวๆ ว่าเคยอ่านพบในพระไตรปิฎกว่า มีพราหมณ์ ที่มี ความสามารถ ในการพยากรณ์โดยเคาะกะโหลกศีรษะ แต่เมื่อเคาะกะโหลกศีรษะพระอรหันต์ กลับทำนาย ไม่ได้ แล้วก็เคยมีพระบอกดิฉันว่า หมอดูดูดวงชะตาของผู้ปฏิบัติธรรมไม่ถูก เพราะเราไม่ได้ ปล่อยชีวิต ไปตามแรงของวัฏสงสาร เคยได้ยินคำว่า "ทวนกระแส" ไหมคะ พุทธศาสนิกชนที่แท้ จะต้องทวนกระแส โลกียะค่ะ เริ่มต้นด้วยการถือศีล ๕ ให้เคร่งครัด แล้วคุณจะหายสงสัยทุกอย่างที่คุณถามมา
สงสัยเหลือเกินว่า ทางอีสานเขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่พ่อแม่ ญาติพี่น้อง
ปู่ย่าตายาย ผู้ล่วงลับไปแล้ว เมื่อญาติทำบุญอุทิศให้ ผู้ล่วงลับไปก็จะได้ส่วนบุญส่วนกุศล
เมื่อทุกข์ก็จะหายจากทุกข์ เมื่อมีความสุข ก็จะมีความสุขยิ่งๆ ขึ้น หนังสือดอกหญ้าอับดับที่
๑๑๗ ตอบนายทวี อุดรธานี ว่าญาติจะไม่ได้รับ สงสัย เหลือเกิน โปรดชี้แจงอีกครั้งด้วย
พระท่านมักเทศน์ว่า "ทำบุญให้ ทำบุญหา หมายความว่า ทำบุญให้ทำบุญ หาผู้ตาย"
"ทำบุญเอา หมายความว่า ทำเอาแก่ตัวเอง" เรื่องนี้มีผู้อ่านดอกหญ้าเขียนไปเตือนดิฉันว่าไม่รู้จริง อย่าตอบ ทำให้คนเข้าใจไขว้เขว ดิฉันเข้าใจดีว่า เรื่องนี้ เป็นความเชื่อ ที่ฝังรากลึกมาก แม้แต่ในพระไตรปิฎก ยังมีเรื่องที่พระพุทธเจ้า ทรงยินยอมให้การทำบุญ อุทิศส่วนกุศลเลย ดิฉันจึงขอตัดบทสั้นๆ ว่า ถ้าทำแล้วสบายใจ ก็ทำเถอะค่ะ ทำแล้วไม่มีใครเดือดร้อน ขอสะกิดใจเพียงนิดเดียวว่า ถ้าทำบุญ อุทิศส่วนกุศลได้ กฎแห่งกรรมจะเป็นผลหรือไม่อย่างไร สมมติว่า โจรทมิฬ ก่อกรรม ทำเข็ญไว้มากมาย พอตายไป มีเพื่อนโจรด้วยกัน ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ โจรนั้น จะรับผลกรรมของตนเอง อย่างไรล่ะคะ แล้วความเชื่อเรื่องนี้ขัดแย้งกันหรือไม่กับคำสอนที่ว่า "กรรมเป็นของของตน ตนเป็นทายาทของกรรม กรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย" และ "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ถ้าเราจะต้องคอยพึ่งคนอุทิศส่วนกุศลไปให้ คนที่ญาติน้อยหรือไม่มีญาติหรือญาติยากจน ก็เสียเปรียบ คนที่รวยญาติ และมีญาติร่ำรวยน่ะสิคะ
ดิฉันจะรับประทานอาหารมังสวิรัติอย่างไร เพื่อให้ร่างกายไม่ผอม คือดิฉันผอมมาก
ตั้งแต่ทานอาหาร มังสวิรัติมา ดิฉันอยากอ้วนกว่านี้ ทางบ้านจะได้ไม่ขัดขวาง
และอาการที่ผิวมันซีดๆ เหลืองๆ เป็นเพราะ ขาดอาหารประเภทไหนคะ อย่าลืมข้าวกล้อง ถั่ว งา ผักสด ผลไม้ อาการที่ผิวซีดและความดันโลหิตต่ำ พวกเราส่วนใหญ่ก็เป็นกัน เพราะเรา กินอาหารแค่เพียงพอดำรงชีวิต เราไม่ได้กินอาหารส่วนเกินที่ทำให้ความดันโลหิตสูง และไขมัน อุดตันในเส้นเลือด เลือดฝาดก็เลยไม่เปล่งปลั่งเกินธรรมชาติ แต่ที่จริงก็เห็นคนในโลกนี้ใช้ผักผลไม้ บำรุง ผิวพรรณกันทั้งนั้นนะคะ ไม่ว่าจะเป็นมะเขือเทศ แตงกวา หรือนมถั่วเหลือง ฝรั่งที่กินเนื้อสัตว์เยอะๆ ไม่ได้ผิวผ่อง เป็นยองใยที่ไหนนี่คะ ถ้าจำเป็นต้องอ้วนจริงๆ ก็คงต้องกินขนมหวานมากหน่อยล่ะค่ะ แต่ก็ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพนะคะ
๑. ทำไมคนเราต้องคบกันที่หน้าตาและรูปร่างด้วย ไม่เข้าใจ รวมทั้งตัวผมเองด้วย ที่ชอบคนหน้าตาดี และ การแต่งตัวของเขา ๒. ทำไมเขาคบกับผมแบบไม่จริงใจหรือว่าผมจริงจังกับชีวิตมากไป ที่ต้องการให้เพื่อนเป็นไปตามที่เรา
ต้องการ พอเขาไม่เป็นดังหวัง ก็โกรธเขาเสียนี่ ๑. เรายังติดกามอยู่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ใครๆ ก็ปรารถนา ไม่อย่างนั้น ธุรกิจที่ขายสินค้า และบริการ เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ คงไม่ร่ำรวยอย่างที่เป็นอยู่ ๒. ดิฉันว่าไม่เกี่ยวกับความจริงจังในชีวิตนะคะ มันเกี่ยวกับความคิดที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง (self-centered) ตัวอย่าง ก็มีเยอะแยะในสังคม ขนาดคน ที่ยอมรับกันว่าเป็นคนดีมากๆ ถ้าไม่ค่อยฟังคนอื่น คนก็ไม่ค่อย จะชอบนักหรอก ถ้ามีอำนาจ เขาก็จำใจต้องเชื่อฟัง แม้ไม่เห็นด้วยก็ไม่กล้าค้าน แต่ไม่ได้จริงใจด้วยหรอก ลองคิดกลับกันว่า ถ้ามีคนมาคาดหวังให้เราเป็นอย่างที่เขาต้องการ เราจะทำตามที่เขาหวังได้หรือเปล่า
ดลบันดาลจากอำนาจเทพหรือเทวดาหรือภูตผี ให้เชื่อหลักของปัญญา หลักศีล หลักสมาธิ
คือ ดำรงตน ตามมรรค ๘ เพื่อพ้นจากความทุกข์ แต่ทำไมชาวพุทธส่วนใหญ่จึงเชื่ออำนาจดลบันดาล
แบบพราหมณ์ - ฮินดู กันอย่างมากมาย สมณะท่านอธิบายว่า ความเชื่อแบบเทวนิยมนั้นเป็นรากเหง้าของมนุษยชาติ คุณก็รู้ว่าตั้งแต่คนเรายังโง่อยู่ เราก็เชื่อ เรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว จะให้เลิกเชื่อ มันแสนยาก คนที่จะเลิกเชื่ออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ จะต้องมี ความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์อย่างสูงยิ่ง ขนาดพวกเราปฏิบัติธรรมตามหลักมรรคองค์แปดแท้ๆ ในชีวิต ประจำวัน บางคนยังติดความเชื่อแบบนี้อยู่เลยค่ะ
ชอบท้อใจทำอย่างไร ข้อนี้ตอบง่าย เลิกชอบสิคะ พอรู้ตัวว่าเริ่มท้อใจ อย่าคิดต่อในเรื่องที่ทำให้ท้อใจ เปลี่ยนความคิด เปลี่ยน อิริยาบถ ลงมือทำงาน ช่วยเหลือคนอื่น นี่ถ้าแม่เราเกิดท้อใจที่จะเลี้ยงเรา เรามิตายไปแล้วหรือคะ
การทำงานย่อมมีปัญหา แต่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่ามีปัญหา ไม่เปิดใจกว้างในการแก้ปัญหา
ไม่ยอมรับ ความจริง ไม่กล้าพูดความจริง แล้วปัญหาจะแก้ได้อย่างไร นั่นน่ะซิคะ ดิฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ได้แต่ทำตัวเองอย่าให้มีปัญหาก็แล้วกัน แล้วก็ทำงาน เต็มกำลัง ความสามารถ เวลาเกิดปัญหาขึ้นมา เราก็เสนอแนวทางแก้ปัญหาตามสติปัญญาของเรา เท่าที่ มีโอกาส ถ้าสังคมส่วนใหญ่ยังไม่เห็นปัญหา หรือไม่เห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของเรา ก็ไม่เป็นไร ตัวเราเอง พยายามให้เต็มที่แล้วกัน
๑. อยากรู้ว่าจัดกลุ่มสัมมนาดอกหญ้า อย่างไร? จุดประสงค์? ๒. ต้องการเป็นสมาชิกห้องหนังสือของพุทธศาสนา ต้องมีคุณสมบัติอะไรคะ ติดต่อที่ไหนได้ ๓. ต้องการวิธีทำเกษตร เช่น ทำสวนบัว-ปลูกไมยราบ ผักกระเฉด ปลูกผักสวนครัวทำเอง ทางพุทธสถาน สันติอโศกมีคำแนะนำไหมคะ ๔. สนใจบ้านดิน แต่สงสัยว่าเวลาน้ำท่วม ฝนตก บ้านไม่ละลายหรือคะ อยากทราบค่าใช้จ่าย หากมีโอกาส ไปอยู่ต่างจังหวัดบ้างคงดี ๕. สนใจแนวทางสันติอโศก ชนิดพึ่งพาตนเองได้ ต้องการเข้าร่วมกิจกรรม แต่มีปัญหาเรื่องอดมื้อเย็น
เกรงว่า สังขารจะไม่อำนวยให้ทำ ควรเริ่มต้นอย่างไรดี ๑. เพื่อพบปะเรียนรู้ร่วมกันระหว่างสมาชิกดอกหญ้า จะได้พัฒนาตนเอง คาดว่าจะจัดสัมมนาได้ สองเดือน ครั้ง แต่ละครั้งรับได้ประมาณ ๕๐ คน จะหมุนเวียนไปจัดตามจังหวัดต่างๆ เพื่อให้สมาชิก ในจังหวัดนั้น เข้าร่วมได้สะดวก และมีโอกาสพบปะกันต่อไป ภายหลังจากที่รู้จักกัน ในระหว่างการสัมมนา ๒. ขออภัยด้วยค่ะ ดิฉันไม่รู้จัก ๓.-๔. รอสักนิด เดี๋ยวจะสัมภาษณ์คนที่ทำจริงให้สมาชิกดอกหญ้าได้อ่านและนำไปปฏิบัติได้ รับรองว่า บ้านดิน ไม่ละลายค่ะ เพราะไม่ใช่ไอติม (พี่น้อมคำบอกมา) ๕. หัดทำอยู่ที่บ้านก่อน แล้วก็สมัครเข้าร่วมสัมมนาสมาชิกรุ่นแรกนี้เลยค่ะ
อยากให้มีกิจกรรมชาวดอกหญ้า ให้เข้าไปศึกษาที่ปฐมอโศกว่าเป็นอย่างไรบ้างครับ ตอนสัมมนาอาจจะได้ไปดู แต่ถ้ารุ่นที่จัดสัมมนาทางอีสาน คงจะได้ไปดูที่ราชธานีอโศก จังหวัดอุบลฯ หรือ ศีรษะอโศก จังหวัดศรีสะเกษ หรือไม่ก็หินผาฟ้าน้ำ จังหวัดชัยภูมิ สวนส่างฝัน จังหวัดอำนาจเจริญ
การจัดกลุ่มสัมมนาสมาชิกดอกหญ้า ทำไมต้องซักประวัติชีวิต การศึกษา การทำงาน
ละเอียดขนาดนั้นคะ เหมือนกรอกใบสมัครเข้าทำงานเลย หลังจากเข้าร่วมสัมมนาแล้ว ถ้าท่านใดมีความก้าวหน้า พัฒนาจิตวิญญาณ อย่างไรบ้าง เราจะได้ศึกษาว่า พื้นฐานชีวิต มีความสัมพันธ์ต่อการพัฒนาจิตใจหรือไม่
ช่วง ๒-๓ ปี มานี้ไม่ได้รับหนังสือดอกหญ้าเลย หรือว่าหยุดส่งชั่วคราว เพิ่งมาได้รับฉบับที่
๑๑๗ อยากฟัง ธรรม ขอยืมแผ่นซีดีมาดูได้บ้างไหม ดูสักระยะหนึ่งแล้วจะส่งคืนมาให้ ต้องสมัครเป็นสมาชิกแผนกธรรมโสต เสียค่าสมาชิกเพื่อจะได้มีสิทธิ์ยืมวิดีโอ เท็ปคาสเซ็ท และซีดี ส่งระเบียบการ ไปให้แล้วค่ะ
เมื่อไหร่จะมีศูนย์ปฏิบัติธรรมอยู่ใกล้ๆ สุโขทัยคะ เคยไปอยู่ไพศาลีสามวัน
เดินทางไกลมาก จนกว่าจะมีคนสุโขทัยปฏิบัติธรรม มากๆ แล้วรวมกลุ่มกันจัดตั้งสถานที่ปฏิบัติธรรมขึ้น
อยากมาอยู่แถวๆ สันติอโศก จะทำโดยวิธีใดบ้าง หากต้องการจองคอนโดฯ จะติดต่อกับใครดี
โทรศัพท์ เบอร์อะไร เพราะมีผู้ที่มีเงินจะจองไว้ให้ปฏิบัติธรรม ที่จริงน่าจะเข้าไปอยู่ในพุทธสถานเลยนะคะ จะได้มีกฎระเบียบช่วยควบคุมการปฏิบัติ ถ้าคิดว่าปฏิบัติ เคร่งครัดไม่ได้ ก็ต้องเช่าห้องอยู่ ต้องลองไปดูด้วยตนเองก่อน มีคนสร้างที่พักอาศัยหลายอาคาร จะได้ เลือกเองค่ะ แต่ที่จังหวัดตรังและ พังงาก็มีกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมนะคะ ลองโทรศัพท์ไปดูก่อนก็ได้ค่ะ ที่หมายเลข ๐๗๕-๒๒๖๑๙๖
๑. อยากจะปลีกตัวเองออกจากสังคมและการงานที่รัดตัว ไปปฏิบัติธรรมที่สันติอโศกบ้าง ที่ภูผาฟ้าน้ำ เชียงใหม่บ้าง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ทุกอย่างดูมีปัญหารัดกุมตัวเองไปหมด ทั้งหน้าที่ เวลาและงาน จะทำอย่างไรดีคะ ๒. การไปปฏิบัติธรรมช่วงสั้นๆ ๕-๗ วันจะทำได้โดยติดต่อผ่านทางไหนบ้าง อยากจะพามารดา
ไปพักผ่อน จิตใจและพบปะกับผู้ปฏิบัติธรรมด้วย จะได้หายเครียด และจิตใจเย็นเปิดอ้าออกไปบ้าง ชาวอโศกปฏิบัติธรรมตามมรรค ๘ นะคะ มีการคิด การพูด การทำงาน ทำให้มีการกระทบผัสสะ ให้ได้เรียนรู้ กิเลส และฝึกหัดลดละกิเลสในขณะมีอิริยาบถต่างๆ ตามปกติของชีวิต ถ้าคิดจะหาที่สงบเงียบ เกรงว่า จะผิดหวังนะคะ แต่ที่ ภูผาฟ้าน้ำอาจจะพอได้บ้าง เพราะมีนโยบายจะให้เป็นแบบวัดป่า โทรศัพท์ไปถามไถ่ ได้ที่หมายเลข ๐๕๓-๒๒๘๕๕๘
บางครั้งอดโกรธไม่ได้ แต่เดี๋ยวก็หาย บางครั้งก็น้อยใจนะ ใครเดือดร้อน พอช่วยได้ก็ช่วย
แต่บางครั้ง เราเดือดร้อน ไม่มีใครช่วย ไม่ได้หวังให้มาช่วยนะ แค่ช่วยพูดให้กำลังใจเราก็พอใจแล้ว
ถ้าจะไปอยู่ช่วย ที่สมาคม ต้องทำอย่างไรบ้างคะ คืออยากไปอยู่ที่ที่ไม่ค่อยมีเรื่องวุ่นวาย
ตอนนี้เบื่อการงานทางโลกมากเลย รู้สึกวุ่นวายไปหมด พุทธศาสนิกชนต้องปฏิบัติธรรมได้ในทุกสถานการณ์ อย่างที่หลวงปู่พุทธทาส บอกว่า เป็นน้ำแข็ง กลางเตา หลอมเหล็ก อยู่ในที่สงบเงียบ ไม่มีใครกวนประสาทเลย มันง่ายเกินไป ศาสนาพุทธเหนือชั้นกว่านั้นค่ะ ต้องหัดขัดใจตัวเองบ้างนะคะ เวลาคนอื่นขัดใจจะได้ไม่โกรธ ไม่น้อยใจ
|