- อุบาสก ชอบทำทาน -
กตัญญู เกณฑ์ชี้วัดคนดีจริง

ในโลกนี้คงไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายไปกว่า ๒ พฤติกรรมนี้
พฤติกรรมแรก การฉวยโอกาสซ้ำเติมคนที่เดือดร้อน
เช่น กรณีแย่งทรัพย์สินจากผู้ประสบอุบัติเหตุ
กรณีแอบจดเบอร์รถที่ประสบอุบัติเหตุเอาไปแทงหวย
หรือเร็วๆ นี้ กลุ่ม ๓ หนุ่มนำผู้หญิงที่สลบอยู่ริมถนนไปรุมข่มขืน
หรือเขามีความจำเป็นของชีวิต มีชีวิตที่เดือดร้อน เราก็เสนอให้เขาขายตัวเพื่อแลกกับเงิน

พฤติกรรมโฉดชั่วช้าเหล่านี้ ตายไปแล้วนอกจากจะตกนรกหมกไหม้ แม้นกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะต้องถูกผู้คนข่มเหง เหยียดหยาม เอารัดเอาเปรียบชาติแล้วชาติเล่า!

พฤติกรรมที่ ๒ การไม่รู้คุณคน การทำร้ายผู้ที่เคยช่วยเหลือเรา การทำร้ายผู้ที่เขาดีกับเรา
แปลไทยเป็นไทยก็คือ "คนอกตัญญู" นั่นเอง
พุทธภาษิตบทหนึ่งตราไว้ "โลกรอดได้ด้วยกตัญญู"
คนไม่รู้คุณผู้อื่น ถือว่าชั่ว!
ยิ่งทำร้ายกลับ ก็นับว่า "ชั่วช้า" ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ความกตัญญูนั้นมีถึง ๖ มิติ หรือ ๖ ระดับ ตั้งแต่แคบที่สุดขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ

มิติที่ ๑ "กตัญญูต่อตัวเอง" คนที่รักตัวเอง ใช่ว่าจะดีกับตัวเองเป็น ร่างกาย เราเปรียบเสมือนคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ เราจึงต้องดูแลให้สวัสดิการเขาบ้าง
การไม่นำสิ่งมีพิษเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการกิน การดื่ม การเสพย์ การสูบ ทั้งหลาย
แม้แต่ความคิดที่จะมามัวคิดทำร้ายทำลายตัวเองให้ท้อแท้ หมดกำลังใจ
เห็นหรือยังครับว่า แค่มิติที่ ๑ ก็สอบตกกันเยอะแยะ

มิติที่ ๒ "กตัญญูต่อคู่ชีวิต" เมื่อแต่งงานกันไปนานๆ ความเอื้ออาทรก็จะค่อยๆ หายไป เคยดูแลซึ่งกันและกันก็จะหายไป กลายเป็นเฉื่อยชา ทนอยู่กันไป
คุยกันเริ่มน้อยคำ
คุยแต่ละครั้งเหมือนตะคอก เหมือน เห่าใส่กัน !
การระลึกถึงความดีในอดีตของเขา ก็จะทำให้จิตใจอ่อนโยน เกิดความปรารถนาดีต่อคู่ของเรา
หากคนใกล้ชิดนอนเตียงเดียวกัน เป็นพ่อแม่ของลูกเรา ยังไม่เห็นความดี กลับเห็นคนอื่นดีกว่า นับเป็นเรื่องที่น่าตกใจ
ทำไมคิดชั่วขนาดนี้ได้?

มิติที่ ๓ "กตัญญูต่อบุพการี" ทุกศาสนาบัญญัติเหมือนกันทั้งสิ้น การร้ายกับพ่อแม่เป็นบาปกรรมที่เลวหนัก ชั่วช้า- เลวทราม
เกิดผลวิบากรุนแรงเหลือเกิน ขนาด จะบรรลุมรรคผลก็ยังถูกปิดกั้น !
ผู้ละเมิดมิติที่ ๓ ชีวิตแม้จะร่ำรวย แต่ท่านจะไม่มีความสุขตลอดกาลนาน
พ่อแม่ก็คือต้นกำเนิดชีวิตของเรา การร้ายกับท่าน จึงเปรียบประดุจร้ายกับตัวเอง
เมื่อเรายังร้ายกับตัวเอง จะไปให้ใครมาดีกับเรา?

มิติที่ ๔ "กตัญญูต่อเพื่อนร่วมงาน" ระลึกเสมอ เห็นบุญคุณของเพื่อนร่วมงานทุกคน
แม้จะระดับต่ำกว่าเรา

ทุกคน ทุกระดับ มีบุญคุณต่อเราทั้งสิ้น งานของเราจะลุล่วงได้อย่างไรถ้าขาดคนเหล่านี้

บริษัทนี้ ออฟฟิศนี้ ต้องมีการแบ่งหน้าที่การงานเพื่อประสิทธิภาพ ขาดใครจึงไม่ได้ แม้จะเป็นนักการภารโรงก็ตามเถอะ

มิติที่ ๕ "กตัญญูต่อคนในสังคม" อ้อมแขนของเราแผ่กว้างออกไป กว่าจะเติบโตถึงทุกวันนี้ ล้วนต้องพึ่งพาทุกฐานะ ทุกอาชีพในสังคม

ข้าวของเครื่องใช้ อาหารการกิน แม้มีเงิน ใช่ว่าจะได้เลย กระบวนการสาย-พานการผลิตของกินของใช้มีมากมายมหาศาล มีบุคคลรับหน้าที่แบ่งงานกันเป็นทอดๆ

แค่ข้าวสุกจานเดียว ลองหลับตานึกดูว่า ผ่านคนผลิตมากี่มากน้อย?

คิดให้ได้ คิดให้ไกล ความเย่อหยิ่งถือตัวจะได้ลดราวาศอก!

ขอบคุณผู้มีพระคุณทั่วแผ่นดิน... ทั่วโลกนี้!

มิติที่ ๖ "กตัญญูต่อโลก" บ้านหลังเล็กต่างช่วยกันปัดกวาดเช็ดถู แล้วบ้านหลังใหญ่ เราได้ช่วยอย่างไร?

ปรากฏการณ์เรือนกระจก คือภัยที่ประกาศ ท้าชนเผ่าพันธุ์มนุษย์ ความร้อนที่เพิ่มทวีก่อเกิด ภัยธรรมชาติมากมาย มหาศาล

การบริโภคของเราต้องทำลายทรัพยากรมากมาย

ยิ่งบริโภคก็ยิ่งเผาผลาญ

หากจะช่วยโลกแบบคนตัวเล็ก คงไม่ต้องประชุม แต่ลงมือทันที นั่นก็คือ "ประหยัด" ทุกเรื่อง

ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การใช้น้ำใช้ไฟ ฯลฯ

ใช้ให้น้อยลง

หากทุกคนช่วยกัน โลกใบนี้ก็จะแตกตายช้าลง

กตัญญู ๖ ระดับ จึงสามารถเป็นเกณฑ์วินิจฉัยว่าคนคนนี้สมควรที่จะอยู่ในโลกนี้ต่อไปหรือไม่

คนดีของครอบครัวจึงไม่พอ ต้องขยายความดีให้แผ่กว้าง

วงแห่งน้ำใจ แคบๆ ไม่พอเสียแล้ว สำหรับการ เกิดเป็นมนุษย์

เพราะเหตุนี้ที่กล่าวว่า ศาสนาเป็นทั้งประโยชน์ตน - ประโยชน์ท่าน ครบพร้อม จึงมิใช่อุดมคติลอยๆ

ปฏิบัติธรรม ไม่มีการขยายความหวังดีให้กว้างไกลออกไป จึงเป็นเรื่องศีลพตปรามาสจริงๆ

สักแต่ว่าปฏิบัติธรรมส่งเดช

- ดอกหญ้าอันดับที่ ๑๒๑ กันยา-ตุลา ๒๕๔๘ -