คิดตามหนัง
- ตระกูลหยาง - [email protected]
ขงจื๊อ ในที่สุดขงจื๊อก็เข้ารับราชการ เนื่องจากเกิดกบฏบ่อยครั้ง สามตระกูลคือ จี้ ม่ง ซู ซึ่งกุมอำนาจการปกครองแคว้นหลู่ เหนือเจ้าแคว้น จึงเชิญขงจื๊อมาเป็นเสนาบดีช่วยดูแลบ้านเมือง วันหนึ่งมีพ่อค้าจากแคว้นวุ่ยชื่อ ต้วนมู่ซื่อ
มาขอพบขงจื๊อ เขาตั้งคำถาม ๔ ข้อ คือ ต้วนมู่ซื่อพอใจคำตอบของขงจื๊ออย่างมาก และขอเป็นลูกศิษย์ เขาบอกว่า เคยถามผู้อื่นแล้ว แต่ไม่พอใจคำตอบ จ้งโหยว จึงคิดว่าต้วนมู่ซื่อมาลองดีกับอาจารย์ ต้วนมู่ซื่อบอกจ้งโหยวว่า "คนมีความรู้ ไม่กลัวผู้อื่นซักถามหรอก ถ้าถามแล้วตอบไม่ได้ จะเป็นอาจารย์ได้อย่างไร" ขงจื๊อสนับสนุนต้วนมู่ซื่อว่า "คนมีความรู้แท้จริงจะไม่กลัวคำถาม นอกจากผู้นั้นรู้ไม่จริง" และ ยังเอ่ยถึงอดีตที่จ้งโหยวมาขอประลองธนูกับขงจื๊อ จ้งโหยวอ้างว่าคนละเวลากัน ตอนนี้ขงจื๊อมีชื่อเสียงแล้ว ขงจื๊อ จึงเตือนสติว่า "ถึงมีชื่อเสียง ถ้าไม่ใฝ่รู้ ก็เป็นได้แต่ชื่อเท่านั้นเอง" ต้วนมู่ซื่อเอาของกำนัลราคาแพงมามอบให้ขงจื๊อเพื่อช่วยในการดูแลศิษย์ซึ่งส่วนใหญ่ยากจน ขงจื๊อจึงถามว่า "เจ้าเป็น คนมั่งมี แล้วทำไมต้องเรียนรู้อีกล่ะ" เขาตอบว่า "คนมั่งมีใช่ว่าจะมีคนยกย่อง บางครั้งยังต้องหลอกลวงผู้อื่น เพื่อความมั่งมีของตนเอง" สิ่งของที่ต้วนมู่ซื่อมอบให้ มีชิ้นหนึ่งที่ขงจื๊อชอบมากคือป้านบอกเวลา โดยน้ำจะไหลออกมาจากพวยกาทีละหยด ของกำนัล ชิ้นนี้เตือนให้ขงจื๊อตระหนักว่า "เวลาไม่รอใคร ถ้าไม่ทำเพื่อบ้านเมือง สิ่งที่เรียนรู้ก็เหมือนสายน้ำที่ไหลไป ไม่หวนคืน" ขงจื๊อปกครองเมืองจงตูไม่ถึงปี เมืองนี้ก็เปลี่ยนไปมาก ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ยึดมั่นกฎโจวกุง แคว้นต่างๆ ส่งราชทูตไปศึกษา ที่จงตู ด้วยเหตุนี้ขงจื๊อจึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดียุติธรรม โดยศิษย์ของขงจื๊อรับช่วงปกครองจงตูต่อ วันหนึ่งขงจื๊อได้พบชายคนหนึ่ง ยืนกล่าวบทกวีอยู่ระหว่างทางที่ขงจื๊อ นั่งรถม้าผ่านไป ชายคนนั้นกล่าวว่า "น้ำใสล้างศีรษะ น้ำขุ่นล้างฝ่าเท้า" ขงจื๊ออธิบายว่า น้ำใสเปรียบเหมือนแผ่นดินที่มีธรรม น้ำขุ่นเปรียบเหมือนแผ่นดินไร้ธรรม ชายคนนั้นชื่อ เกาไฉ เขาเดินทางมาหาขงจื๊อ ระหว่างเดินทางได้พบผู้อาวุโสท่านหนึ่งสอนบทกวีให้ และบอกว่าเมื่อเห็นผู้เดินทางมา ก็ให้ร้องเพลงบทนี้ ผู้ที่ตีความเพลงนี้ได้ก็คือขงจื๊อ ขงจื๊อถามถึงจุดประสงค์ที่เกาไฉต้องการเรียนรู้ เกาไฉบอกว่า "หน้าตา อย่างข้า ถ้าขาดความรู้ มันจะลำบากนะท่าน" ขงจื๊อซึ่งมีปณิธานว่าจะไม่เลือกศิษย์ จึงรับเกาไฉเป็นศิษย์ ในปีก่อนคริสต์ศักราช ๕๐๐ ปี เจ้าแคว้นฉีประชุม เสนาบดี มีผู้เสนอให้ทำสัญญาพันธมิตรกับแคว้นหลู่ เพราะ "แคว้นหลู่ มีความสามัคคี สงบร่มเย็น แผนการบั่นทอนและการโจมตีก็ไม่สมควรใช้ สำหรับแคว้นหลู่ควรผูกมิตรไว้ แคว้นที่ไม่สามัคคี เราจึงใช้แผนบั่นทอน แคว้นที่ไร้ธรรมเราจึงยกทัพโจมตีได้" แต่ภายหลังการประชุม เสนาบดีคนหนึ่งเสนอแผนลับ ต่อเจ้าแคว้นฉี โดยจะจับเจ้าแคว้นหลู่เป็นตัวประกันเพื่อให้แคว้นหลู่ยอมจำนน ถ้าแคว้นหลู่ไม่รับเงื่อนไขก็ใช้แผนการซุ่มโจมตี ในวันทำสัญญาพันธมิตร แคว้นฉีเพิ่มข้อความในสัญญานอกเหนือจากที่ตกลงกันไว้ โดยประกาศว่าแคว้นฉี เป็นแคว้นใหญ่ ตะวันออก แคว้นหลู่ต้องปฏิบัติตาม ถ้าฉีมีศึกสงคราม หลู่ต้องส่งรถศึก ๓๐๐ คันช่วยรบ ถ้าไม่ทำตามถือว่าผิดสัญญา แคว้นหลู่ไม่ยอมรับข้อตกลง ขงจื๊อประกาศว่า จะอยู่ร่วมกันด้วยสันติ รู้แยกแยะดีชั่วได้อย่างไรถ้าขาดความซื่อสัตย์ จะปกป้อง บ้านเมืองได้อย่างไร เมื่อแคว้นฉีเป็นแคว้นใหญ่ก็ควรปฏิบัติตามสัจจะ คืนดินแดนแก่แคว้นหลู่ จะบังคับแคว้นหลู่ ให้ยอมรับ ข้อเสนออย่างเดียว ถือว่าผิดสัญญาเช่นกัน เมื่อตกลงกันไม่ได้ จึงพักชมการแสดง ชุดแรกเป็นการแสดงของนักโทษจากแคว้นฉี ขงจื๊อเห็นว่าเป็นการแสดงที่ป่าเถื่อน และใช้กำลัง ข่มขวัญ จึงประกาศให้ยุติการแสดง และให้ทหารคุ้มกันเจ้าแคว้นหลู่ แคว้นฉีได้โอกาสส่งสัญญาณ ให้กองทัพ ออกมาโอบล้อม แคว้นหลู่ก็ตีกลองเป็นสัญญาณให้กองทหารเข้ามาประชิด ขงจื๊อกล่าวว่า "ที่เราทำเช่นนี้เป็นเพราะว่ามีเหตุจำเป็น เพื่อเป็นการป้องกัน เราไม่คิดใช้กำลัง แต่อยากให้พวกท่านรู้ว่า ถึงเรา จะเป็นแคว้นเล็ก แต่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงรังแก แคว้นเล็กนั้นใช่จะเป็นแคว้นที่อ่อนแอเสมอไป เมื่อถูกรังแก ก็จะต้องโต้ตอบ ในวันที่เราสองแคว้นตกลงเป็นพันธมิตร ก็ควรยึดมั่นในสัจจะที่ให้ไว้ต่อกัน" เจ้าแคว้นฉีเสียพระทัยและอับอายมาก เกาต้าฝูเสนอให้คืนแคว้นวิ่น กุยอิน และฮวน แก่แคว้นหลู่ เพื่อเป็นการชดเชย และไม่เป็นที่ครหา ทั้งสองแคว้น จึงทำสัญญาพันธมิตรกันในวันรุ่งขึ้น ในปี ๔๙๗ ก่อนคริสต์ศักราช แคว้นฉีส่งสาวงามมากำนัลแคว้นหลู่ ขงจื๊อเสนอไม่ให้รับ แต่ทัดทานเสียงเสนาบดีคนอื่นไม่ได้ เจ้าแคว้นหลู่และเหล่าขุนนางหมกมุ่นลุ่มหลงอยู่กับนางกำนัลเหล่านั้นจนละเลยราชกิจ ขงจื๊อสอนลูกศิษย์ว่า "ชีวิตคนเราสามารถพบเจอสิ่งรอบข้างได้มากมาย จนเกิดความหลงใหล แต่ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะฉะนั้น ควรมีการแยกแยะและปล่อยวาง จะช่วยเสริมสร้างสิ่งดีงามให้แก่บ้านเมือง" - ดอกหญ้าอันดับที่ ๑๒๑
กันยา-ตุลา ๒๕๔๘ - |