บันทึกน้ำค้างหยดเดียว

สลับปรับเปลี่ยน


* ดอกไม้ ประตู แจกัน ดินทราย ต้นไม้ใหญ่ แก้วน้ำ บันใด โคมไฟที่สวยงาม
ขอบรั้วและริมทางเดิน ต้นหญ้าที่ในสนาม บ้านนี้จะงามอย่างไรถ้าไม่มีเธอ

(เพลง 'บ้าน' ของ บอย โกสิยพงศ์)

ได้ดูเกมของอเมริกันชื่อเกม WIFE SWAP ที่หากแปลเป็นไทยว่า 'สลับคู่' อย่างที่เขาแปลไว้ก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจ ไปในแง่ อกุศล จริงๆ แล้วเป็นการสลับ 'แม่บ้าน' (ผู้ทำให้กฎกติกาของบ้านเปลี่ยนไป) ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศ แต่เป็นเกม ที่สร้างสรรค์มาก สำหรับครอบครัวที่เกี่ยวข้อง เพราะแค่ดูยังได้ข้อคิดดีๆ มากมายเกินคุ้มกับเวลาที่เสียไป

ฝรั่งช่างคิด คิดได้ไงไม่รู้ ทีมงานก็เก่งมากที่สามารถสรรหาแม่บ้านที่แตกต่างกันสุดขั้ว มาสลับหน้าที่กันในบ้าน ของแต่ละ ฝ่าย ที่อยู่ห่างกันคนละเมือง

# # คู่ที่หนึ่ง
แม่บ้านสมบูรณ์แบบผู้แบกรับงานบ้านทั้งหมด ดูแลลูกและสามีอย่างไม่มีที่ติด้วยทัศนะที่ถ่ายทอดต่อลูกสาวว่า ผู้หญิง มีหน้าที่ทำให้ครอบครัวมีความสุข สลับกับภรรยาที่เป็นผู้หญิงทำงาน (working woman) ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่ชอบเด็ก ทั้งลูกชายวัยรุ่นสองคนและสามีต้องปรนนิบัติรับใช้เธอ ขนาดนำอาหาร-เครื่องดื่มมาให้ถึงเตียงนอน เมื่อเธออยู่บ้าน และ เพราะไม่ชอบ ให้ใครมาวุ่นวาย สมาชิกในครอบครัวจึงมีทีวี คอมพิวเตอร์ และเครื่องเล่นต่างๆ เป็นส่วนตัว โดยต่างก็หา ความบันเทิงเริงรมย์ตามอัธยาศัย ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน พ่อลูกก็ไม่สนิทกัน

เมื่อสลับบ้าน ผู้หญิงสองคนจะรับทราบกฎกติกาของครอบครัวและทัศนคติของอีกฝ่ายจากคู่มือที่แต่ละคนเขียนไว้ โดย สัปดาห์แรก ทุกอย่างจะเป็นไปตามเดิม ผู้มาใหม่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ไม่ว่าจะอึดอัด ไม่ชอบใจขนาดไหน จนสัปดาห์ที่สอง แม่บ้านคนใหม่จึงสามารถสร้างกฎกติกาขึ้นใหม่ได้ ไม่ว่าสมาชิกของครอบครัวจะเห็นด้วยหรือไม่ ก็ต้อง ทำตาม เกมนี้ใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์ หลังจากนั้นสามีภรรยาทั้งสองคู่จะได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ก่อนกลับ ไปอยู่กับครอบครัวของตนตามเดิม

ในสัปดาห์ที่สอง แม่บ้านสมบูรณ์แบบให้นำเครื่องบันเทิงทั้งหลายออกจากห้องส่วนตัวของทุกคน ให้พ่อลูกมีเวลา ทำกิจกรรม ร่วมกัน เล่นกีฬาด้วยกัน เธอบอกสามีของผู้หญิงเก่ง ให้เป็นผู้นำให้มากขึ้น เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกชาย แม่บ้านไม่ควร ใช้ลูก และสามีเหมือนทาส แม้ฝ่ายชายจะรู้สึกไม่พอใจเพราะเสียหน้าและประท้วงจนเธอต้องร้องไห้ แต่สุดท้าย ก็ยอมรับ ในขณะที่ working woman ทำให้พ่อบ้านของอีกฝ่ายรู้จักทำงานบ้านและช่วยเลี้ยงลูกอย่างเต็มใจ รวมทั้งยอมรับ ว่าที่แล้วมา ไม่เคยรู้สึกเลยว่า งานบ้านมากมาย และหนักหนาอย่างนี้

# # คู่ที่สอง
แม่บ้านครอบครัวนักมังสวิรัติผู้เคร่งครัด ขนาดรับพลังจากดวงอาทิตย์แทนอาหาร หรือแม้กินอาหารก็เป็นผักผลไม้ไม่ปรุงแต่ง ไม่ใช้เตา และเครื่องอำนวยความสะดวก โดยสามีและลูกสาววัยรุ่นต้องยอมทั้งที่รู้สึกว่ามากไป และทั้งที่บางครั้ง สามี ก็ยัง อยากกินเนื้อสัตว์บ้าง สลับกับ แม่บ้านที่มาจากครอบครัว ที่เป็นนักล่าสัตว์ มีหัวกวางมากมายเป็นเครื่องประดับบ้าน และ มีทัศนะว่าอยากกินอะไรก็ไปล่ามาเพราะสัตว์เป็นอาหารของมนุษย์ ทั้งนี้ คงขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตและถิ่นที่อยู่ ที่ยังเป็นป่าด้วย

แน่นอน...แม่บ้านนักมังสวิรัติเจ็บปวดร้องไห้กับการต้องทำอาหารเนื้อสัตว์ในสัปดาห์แรก และออกกฎ ให้พ่อบ้าน และ ลูกชาย แสนซนทั้งสองของเขา ไปช่วยเธอรณรงค์เรื่องการช่วยเหลือ สัตว์ในสัปดาห์ต่อมา ออกกฎไม่ให้ มีการทำโทษลูก ที่เล่นกัน รุนแรง และไม่เชื่อฟัง ไม่ให้เด็กกินน้ำตาลซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมของพวกเขา ทุกคนต้องกินผักผลไม้ ธัญพืช ช่วยทำงานบ้าน ซึ่งพวกเขาไม่เคยทำ และฝึกไทเก็ก ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถทำให้คนในบ้านมีพัฒนาการที่ดีขึ้นจริง ในขณะที่แม่บ้าน จากครอบครัว นักล่าสัตว์ จัดบ้านของอีกฝ่ายให้เป็นบ้านมากขึ้น นำเตาและเครื่องใช้ที่ควรมีเข้าบ้าน จัดปาร์ตี้กินเนื้อย่าง (แต่พ่อบ้าน และลูกสาวของเขายังคงกินมังสวิรัติ) เธอขอให้สามีของนักมังสวิรัติเป็นผู้นำให้มากขึ้น กล้าบอกความต้องการ ของตัวเอง และลดเวลาทำงานลงจากวันละ ๑๕ ชั่วโมง มาให้ความอบอุ่นแก่ลูกสาวเพิ่มขึ้น

# # คู่ที่สาม
แม่บ้านที่ต้องทำงานช่วงกลางคืน เลิกงานตอนเช้ามืดแล้วชอบไปบ่อนต่อ ไม่มีกฎเกณท์ใดๆ ในบ้าน สามีและลูกอยู่กัน ตาม ประสา จะกินอะไร นอนตรงไหน ดูทีวีหรือเล่นเกมดึกแค่ไหน ก็ได้ทั้งที่ยังเป็นเด็กเล็ก สลับกับแม่บ้านที่เข้มงวด กับลูกชาย วัยรุ่น สองคนเป็นอย่างมาก โทร.ถามทุกชั่วโมงว่าอยู่ไหน ทำอะไรอยู่ ถ้าลูกปิดมือถือจะถูกทำโทษ พ่อเอง ก็ปกครองลูก แบบทหาร ขนาดสวมถุงมือขาวเพื่อตรวจสอบว่าลูกทำความสะอาดห้องเรียบร้อยไหม ยังมีฝุ่นตรงไหนบ้าง (แต่พ่อไม่ต้อง ทำอะไรเลย) บ้านนี้ดูเหมือนจะเป็นครอบครัวในอุดมคติ ลูกก็ดีจริงแต่น่าจะเก็บกด จึงหันไปเอาดีทางกีฬา จนได้รางวัล มากมาย

สัปดาห์แรกผ่านไปไม่ยากนักในบ้านที่ฝึกมาดีแล้ว แต่ก็เหน็ดเหนื่อยไม่น้อยสำหรับคนไม่เคย ในสัปดาห์ที่สอง ผู้หญิง ที่โดยจริง แทบจะไม่เคยเป็นแม่บ้านก็ออกกฎให้พ่อบ้านช่วยทำงานบ้าน ห้ามโทร.ตามลูก ยกเลิกกฎเหล็กเดิมๆ ทั้งยังเอา สล็อตแมชชีน กับโต๊ะเล่นไพ่เข้ามาในบ้าน เด็กๆ รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นแต่ก็ยังแอบไปซ้อมกีฬาแม้จะถูกห้าม ในขณะเดียวกัน แม่บ้าน ผู้เข้มงวด ก็ฝึกเด็กเล็กและพ่อของอีกบ้านให้มีระเบียบวินัย เข้านอนเป็นเวลาในที่ทางอันควร โดยที่พวกเขาก็รู้สึกดี กับชีวิต ประจำวัน ที่เปลี่ยนไป

แต่ช่วงที่สองครอบครัวมาพบกันก่อนจาก แม่บ้านผู้เข้มงวดถึงกับลงมือเอากับอีกฝ่าย เนื่องจากทนไม่ได้ ที่ถูกวิจารณ์ ว่าเข้มงวด เกินไป เพราะเธอนึกหยามฝ่ายโน้นอยู่แล้วว่าเป็น 'คนผิวขาวชั้นต่ำ' และก่อนหน้านี้เธอก็รู้สึกว่าถูกเหยียดผิว เนื่องจาก เธอและครอบครัวเป็นคนดำ แต่เป็นคนดำที่มีระดับ อย่างไรก็ตาม หลังจากแยกย้ายกันไปสงบสติอารมณ์แล้ว ทั้งสองฝ่าย ก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้

# # # สรุป
จากการสลับสับเปลี่ยนหน้าที่กัน ทุกครอบครัวที่กล่าวมาล้วนมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น บ้านที่ไม่มีระเบียบวินัย ก็มีระบบ ระเบียบขึ้น บ้านที่ตึงเครียดจากความกดดันต่างๆ ก็ลดความกดดันลง สามีที่ค่อนข้างเกรงใจภรรยา เป็นตัวของ ตัวเอง มากขึ้น สามีของภรรยาที่แสนดีรู้จักช่วยแบ่งเบาภาระ นักมังสวิรัติผู้เคร่งครัดเครียดน้อยลง ยอมกินอาหาร ปรุงแต่ง และ ยอมให้มีเครื่องใช้ที่จำเป็นในบ้าน พ่อแม่ที่เข้มงวดผ่อนปรนให้ลูกมากขึ้น ทุกครอบครัวมีเวลาให้กัน มากขึ้น ทำกิจกรรม ร่วมกันมากขึ้น และมีความสุขมากขึ้น

สิ่งที่สวยงามที่สุดคือ จากการเล่มเกมสองสัปดาห์นี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงคุณค่าของคนในครอบครัวของตน และพร้อม จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อรักษาครอบครัวไว้ พวกเขาล้วนตื่นเต้นดีใจที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง ในบรรยากาศใหม่

สิ่งที่น่าทึ่งคือฝรั่งช่างใจกว้าง หลายคนพูดตรงกันว่า เขาหวังที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พวกเขากล้าที่จะเปลี่ยนแปลง แม้จะ ถกเถียง กันรุนแรงก็ยอมรับได้ถ้าตนเป็นฝ่ายผิด ให้น้ำหนักที่เหตุผลมากกว่าตัวบุคคล และให้อภัยได้ง่าย ที่สำคัญ คือ เมื่อรู้ว่า อะไรดี ก็พร้อมที่จะทำ และทำจริงๆ ไม่เสแสร้งแกล้งทำหรือทำอย่างเสียไม่ได้ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ เราไม่แน่ใจ ในคนไทย ที่ดูเหมือนจะประนีประนอมมากกว่า ว่าจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างเขาไหม ยอมไหมที่จะให้คนอื่นมาจัดบ้าน และ จัดการ กับคนของตัว

ทุกคนมีความคิด ความชอบ และความเชื่อเป็นของตัวเอง แต่ก็ต้องรับฟังคนอื่นบ้างแม้เด็กน้อยก็รู้จักทุกข์-สุข และถ้าได้รับ การอบรมที่ดี ที่เหมาะสม เขาก็จะรู้ควร-ไม่ควรได้ สำคัญคือต้องใส่ใจกัน ดูแลกัน ให้เกียรติกัน การอยู่ร่วมกันจึงจะผาสุก เมื่อสถาบัน ครอบครัวเป็นไปด้วยดี อบอุ่น สังคมก็น่าอยู่ ผู้คนก็จะไม่บกพร่องมากมายอย่างที่เป็น

ไม่ว่าในบ้าน ในที่ทำงาน หรือสังคมไหนๆ ก็ต้องการความพอดีพอเหมาะ กร้าวนักก็ลดลงบ้าง อ่อนมาก ไม่มีปากเสียง ก็ต้อง กล้าหาญขึ้น ชี้นำมากก็ลดบทบาทสักหน่อย เก่งเกินก็แบกรับภาระไปทั้งชีวิต (ไม่เหนื่อยบ้างก็แล้วไป) ต้องการ ความช่วยเหลือ ก็บอก ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม

และสำหรับเรา หัวใจสำคัญที่ได้จากเกมนี้คือ ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพียงประเด็นเดียวก็สามารถ 'พลิกฝ่ามือ' ให้เป็น อะไรก็ได้ อย่างที่อยากเป็น โดยไม่มีคำว่า 'เป็นไปไม่ได้' ในพจนานุกรมชีวิต

- ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๒๒ พ.ย. - ธ.ค. ๒๕๔๘ -