ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน
เขียนโดย ลูเซีย บาเกดาโน่ แปลจากภาษาสเปน โดยรัศมี กฤษณมิษ พิมพ์ครั้งที่ ๒ : ๒๕๔๒ (ต่อจากฉบับที่แล้ว)


เมื่อทาสีโรงเรียนเสร็จ ฉันพอใจและอิ่มเอมใจยิ่งนัก อยากให้วันเปิดเทอมมาถึงเร็วๆ เพื่อจะได้ดูว่าเด็กๆ มีปฏิกิริยาเช่นไร

พวกเขาจะตอบสนองอย่างไรในภาคเรียนนี้ เตเรซ่า มาติลเด้ และ อับเบร๎โต้ซึ่งอายุใกล้ ๑๔ ปีกันแล้ว จะกลับมาเรียนอีก ไหมนะ หรือพ่อแม่เขาจะตัดสินใจให้ทำงานแทน

ฉันตรวจดูบัตรรายการของห้องสมุด ที่เด็กผู้หญิงรุ่นโตสองคนทำหน้าที่ดูแลอยู่ตลอดฤดูร้อนแล้วก็เกิดกำลังใจ แม้ว่าจะไม่มี ความสม่ำเสมอในการอ่านมากนัก แต่เกือบทุกคนก็ได้อ่านอะไรกันบ้าง เป็นไปได้หรือว่า กระทั่งโฆเซ่ผู้อยู่ไม่สุข จอมซนที่ ไม่ค่อย ชอบเรียนยังอุตส่าห์ยืมเรื่อง จากโลกสู่ดวงจันทร์ ของจูลส์ เวิร์น พระเจ้าช่วย ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ในสมุดชื่อให้ยืมนั้น จะเห็นชื่อแกซ้ำหลายหน แกยืมเรื่อง โคจรรอบดวงจันทร์ ห้าสัปดาห์บนลูกบอลลูน แปดสิบวันรอบโลก ใต้ทะเลสองหมื่น โยชน์ แกคงชื่นชอบผลงานของจูลส์ เวิร์น เป็นอย่างยิ่ง และฉันก็ดีใจแทบคลั่ง

แกไม่ได้เขียนอะไรลงในบัตรรายการเลยแม้แต่ใบเดียว และนั่นก็คือลักษณะของโฆเซ่ อาราน่า ไม่ค่อยมีระเบียบ ไม่แน่ไม่นอน สิ่งที่ สำคัญที่สุดคือ ขอให้แกอ่าน แล้วอย่างอื่นจะตามมาภายหลัง

ฉันอยู่กับโฆเซ่ขณะเลิกมิสซา และบอกแกว่าฉันดีใจที่แกใช้เวลาว่างในช่วงฤดูร้อนให้เป็นประโยชน์ แกเป็น 'เด็กของโรงเรียน' ที่อ่าน หนังสือมากที่สุด

ฉันรู้สึกว่าแกดูสับสนอย่างไรพิกล ท่าทางแกไม่อยากให้ฉันอยู่ใกล้ แต่ฉันไม่ยอมปล่อยแกไป

"ครูว่าดีออกที่เธอชอบจูลส์ เวิร์น เธอหัวเราะกลิ้งหรือเปล่าตอนที่พอไปถึงดวงจันทร์แล้ว มีแม่ไก่ซึ่งนักหนังสือพิมพ์ แอบใส่ เข้าไปในยานอวกาศน่ะ"

"แน่ล่ะ ครู" เขาตอบเบาๆ
"แล้วเธอก็รู้สึกหิวและเย็นยะเยือกในขณะอ่านผจญภัยของกัปตันฮัททารัสใช่ไหม"
"ใช่ครับ ครู" เขาตอบ
"พอโรงเรียนเปิดแล้ว เรามาเขียนบัตรรายการซึ่งแนบอยู่กับหนังสือทุกเล่มที่ให้ยืมด้วยกันดีไหม โฆเซ่"
"ผมรู้สึกว่าแม่กำลังเรียกผมอยู่ครับ" แกพูดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ว่าแล้วก็หมุนตัววิ่งจากไปทางบ้านของแก

ฉันขำที่แกรู้สึกเขินต่อคำชมของฉัน เด็กน้อยที่น่าสงสาร แกเกเรและไม่เคยชินกันคำชม ในชั่วโมงเรียน แม้ตัวแกจะอยู่ แต่ก็เหมือน ไม่อยู่ บางครั้งแกถึงขนาดนอนหลับเลยทีเดียว

"เธอคิดอะไรนะ โฆเซ่" จำได้ว่าฉันถามแกวันหนึ่งที่แกไม่ยอมตอบคำถาม
"คิดถึงแม่วัวครับ มันคงจะออกลูกแล้วล่ะครับ"

โฆเซ่เป็นคนที่กระโดดโลดเต้นดีใจมากกว่าใครเพื่อน ในวันที่แกเห็นห้องเรียนใหม่ในวันเปิดเทอม เสียงกรีดร้องของแกดังลั่น กลบของเพื่อนๆ ซึ่งทุกคนก็ต่างตะเบ็งเสียงแข่งกันทั้งนั้น แกขออนุญาตนั่งข้างๆ รูปกระต่ายกับต้นไม้ แต่วันถัดมา ฉันต้อง ย้ายแกไปที่อื่นเพราะแกทำให้ห้องเรียนวุ่นวายโดยการยิงถั่วไปที่รูปกระต่าย ราวกับว่าแกกำลังล่าสัตว์และเพื่อนๆ ก็หัวเราะ ครื้นเครง กับการกระทำของแก

ฉันแปลกใจมากที่แกรักการอ่าน ในวันเปิดเรียนแกยืมหนังสือไปเล่มหนึ่งแล้วมาคืนในวันจันทร์ จากนั้นก็เล่มอื่นอีก แต่แก แอบๆ ยืม พยายามไม่ให้ฉันเห็น

ตอนแรกฉันคิดว่าแกแอบเล่นอะไรอยู่ ฉันรู้จักเด็กของฉันดี บางทีก็แอบเล่นนักสืบหรือผู้ร้าย แอบเอากบเหลาดินสอของฉัน ไปเหลาดินสอ แล้วเอามาคืน อย่างระมัดระวัง

"ไม่ใช่กบเหลาดินสอหรอกครับครู" เฟร๎นันโดชี้แจง เมื่อฉันถามว่า ทำไมชอบแอบครูอยู่ใต้โต๊ะแล้วเอื้อมมือมาหยิบ กบเหลาดินสอ

แผนที่เหมืองแร่ทองคำต่างหาก ที่แกแอบหยิบ มาลอกเป็นความลับ โดยไม่อยากให้ไอ้บอดเดี่ยวรู้ !

บางทีโฆเซ่อาจกำลังเล่นขโมยสมบัติอยู่เช่นกันก็ได้ ฉันไม่ว่า อะไรหรอก เด็กๆ ก็ต้องมีจินตนาการบ้าง

มีอยู่วันหนึ่งที่เราเหลือกันอยู่สองคนสุดท้ายในห้อง ฉันประกบตัวแล้วถามโฆเซ่ว่า
"เป็นไงเรื่องที่ยืมไปอ่านน่ะ"
"ไม่อยากเติมบัตรรายการเหรอ โฆเซ่"
"ไม่ครับ ผมไม่รู้ว่าจะเติมยังไง"

"ครูจะสอนเธอเอง เรามานั่งทำด้วยกัน ตรงนี้ใส่ชื่อหนังสือ นี่ก็ชื่อผู้แต่ง เห็นไหม แล้วตอนนี้เราก็จะบอกว่า มันเป็นเรื่อง เกี่ยวกับ อะไร บอกครูหน่อยซิว่า มิแชล สโตรกอฟ เป็นใครกัน แล้วเขาทำอะไรบ้าง"

"ผมรู้สึกว่า เขาจะเป็นชาวไร่ชาวสวนอะไรทำนองนี้ ผมจำไม่ค่อยได้แล้วครับ"
"จำได้สิ เธอต้องจำได้ที่เขาเป็นบุรุษไปรษณีย์แห่งซาร์ เขาต้องเดินทางข้ามประเทศเพื่อจะเอาสาส์นไปบอก"
"อ๋อ ใช่ครับ"
"แล้วพวกตาร์ตาโรสทำอะไรเขาล่ะ"
"ขโมยสาส์น แล้วเอาม้าของเขาไปด้วย"
"นี่โฆเซ่ ครูถามจริงๆ เถอะ เธอได้อ่านหนังสือพวกนั้นหรือเปล่า"

เด็กน้อยตื่นเต้นกระวนกระวาย แกก้มหัวลง และท่าทางยอมรับผิด ฉันจึงใจอ่อน เป็นไปได้ที่แกจะยืมหนังสือ ทุกอาทิตย์ เพียงเพื่อ จะอวดนักเรียนคนอื่นๆ ว่าแกอ่านหนังสือมากที่สุด บางทีแกอาจจะอยากเป็นบรรณารักษ์กระมัง จึงพยายาม ขนาด ถึงขั้น โกหกก็ยอม ฉันไม่ตีแกหรอกเพราะแกเป็นเด็กร่าเริง เปิดเผย ไม่มีปมด้อยใดๆ ว่าแต่ว่าแกทำไปทำไมนะ

"ผมอ่านอยู่หรอกครับ แต่ผมก็ลืมไปแล้ว ผมจำอะไรไม่ได้เลยครับ"
"เธอยากจะเป็นบรรณารักษ์ไหม" ฉันลองถามดูเผื่อจะเป็นด้วยเหตุนี้

"เอ่อ...ไม่หรอกครับ ผมคงทำมันไม่ได้หรอกครับครู เวลาก็ไม่มี ตอนนี้มีลูกไก่อยู่ที่บ้านหลายตัว และมีเครื่องทำความร้อน ให้มันด้วย ผมต้องดูแลลูกไก่ พวกมันรู้จักผม มีตัวหนึ่งสีดำนิสัยแย่ยิ่งกว่ายูดาส (ยูดาส อิสคาริโอท คือหนึ่งใน ๑๒ สาวก ของ พระเยซูผู้ทรยศต่อพระองค์) เสียอีก มันจิกทุกตัวเพราะหวงอาหาร พอผมไปแล้วก็....

แกหยุดกระตือรือร้นที่จะเล่า แล้วมองฉันอย่างตกอกตกใจ
"มันเป็นความจริงครับครู ผมไม่ได้อ่านหนังสือที่ยืมไปแม้แต่เล่มเดียวครับ"

ฉันรู้สึกสงสารเมื่อเห็นดวงตาสีฟ้าที่งดงามของแกเอ่อไปด้วยน้ำตา อีกทั้งใบหน้าของเด็กสุขภาพดีอย่างแกก็มีสีแดงระเรื่อด้วยความอาย

"มันไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกโฆเซ่ ถ้าเธอไม่ได้อ่านก็ไม่เป็นไร แต่บอกครูหน่อยซิว่าเอาหนังสือไปทำไมในเมื่อไม่ชอบอ่าน"

"นี่ละครับที่บอกไม่ได้ เดี๋ยวพ่อผมจะโกรธเอา"
ฉันงงไปหมด มันเกี่ยวอะไรกับพ่อเขาด้วยนะ
ฉันอนุญาตให้แกไปได้ แล้วเตรียมเก็บกวาดห้องเรียนโดย ไม่วายคิดถึงโฆเซ่ เมื่อออกจากห้องก็พบแกรออยู่ที่ประตูแล้ว
"ครูไม่โกรธผมใช่ไหมครับ"
"ไม่โกรธหรอก"
"งั้นผมขอยืมอีกเล่มได้ไหมครับ"

เด็กคนนี้ท่าทางจะสติไม่ดี ฉันไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แล้วความคิดหนึ่งก็แว่บขึ้นมาทันที ทำไมฉันถึงคิดไม่ออก ก่อนหน้า นี้นะ

"พ่อของเธอเป็นคนอ่านหนังสือพวกนี้ใช่ไหม"
แกมองฉันอย่างอกสั่นขวัญแขวน นัยน์ตาเบิกโพลง
"ใครบอกครูครับ"

"เปล่า อ้อ ! มีสิ ครูจะบอกความจริงให้ก็ได้ ก็ลูกไก่สีดำของเธอไงล่ะ วันนี้มันมาหาครูที่บ้าน แล้วบอกว่าพ่อของเธอ ชอบอ่าน หนังสือ โดยเฉพาะของจูลส์ เวิร์น แต่เรื่องนี้ต้องเป็นความลับระหว่างเรานะเพราะเขาไม่อยากให้ใครรู้ เอาเถอะพ่อหนู เธอน่า จะบอกครูเสียแต่แรก เอ้า...เข้าไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง แล้วไม่ต้องกังวลใจไปหรอก ครูไม่บอกใครทั้งนั้น"

ฉันกลับบ้าน มีก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่ลำคอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเศร้าใจที่ 'เด็กของโรงเรียน' ไม่อ่านหนังสือ หรือดีใจที่ได้รู้ว่าผู้ใหญ่... พ่อของเด็กคนหนึ่ง ได้ใช้ห้องสมุดของเราให้เป็นประโยชน์ ฉันสะเทือนใจเมื่อรู้ว่า ผู้ใหญ่ตัวโตๆ คนหนึ่งอย่างโฆเซโช่ อาราน่า ต้องแอบ อ่านหนังสือของจูลส์ เวิร์น ทุกวันอาทิตย์ โดยไม่อยากให้ใครรู้

ช่างเป็นลักษณะของชาวเบอิเรเชอาอย่างแท้จริง ที่คิดว่าการอ่านหนังสือเป็นการสูญเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ผู้คน จะคิด อย่างไรกัน ถ้าทราบว่าโฆเซโช่ใช้เวลาช่วงบ่ายวันหยุด อ่านหนังสือ แทนที่จะไปทำความสะอาดคอกม้า รดน้ำผัก หรือ เล่นไพ่ ในร้านเหล้า ดังที่บรรดาชายอกสามศอกเขาทำกัน

หากหนังสือของนักเขียนชาวฝรั่งเศส ในห้องสมุดสำหรับเด็กของเราหมดล่ะ เขามิต้องอ่านเทพนิยายกริมม์ หนังสือของ เอนิด ไบลตัน หรือของ คาร์ล เมย์ หรอกหรือ

ฉันคิดถึงเรื่องนี้ตลอดวัน หนังสือมีอยู่หลายเล่ม แต่จะทำอย่างไรที่จะให้เขายืมโดยไม่รู้สึกอาย ฉันไม่เคยคุยกับเขาเรื่องนี้เลย จึงไม่มี โอกาสที่จะให้เขาอ่านหนังสือที่น่าจะอ่านได้ ฉันจะทำอย่างไรดีนะ

ในที่สุดก็คิดออก ฉันขอให้บาทหลวงโฆเซ่ มาริ เอาเครื่องพิมพ์ดีดมาให้ในวันถัดมา และพิมพ์จดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง เพื่อส่ง ไปให้พ่อแม่ของเด็กๆ ทุกคน พร้อมกับบัญชีรายชื่อหนังสือ ที่มีในห้องสมุด และพร้อมจะให้ยืม

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ห้องสมุดของเราก็เปิดบริการแก่ผู้ใหญ่ด้วย เด็กๆ จะเป็นผู้นำกลับมาคืน เมื่อพ่อแม่อ่านจบ ฉันลงท้าย จดหมาย พร้อมกับเชิญชวนให้พวกเขา มายืมหนังสือไปอ่าน

ฉันถ่ายเอกสารเท่าจำนวน 'เด็กของโรงเรียน' และแจกจ่ายให้เด็กๆ ทุกคนในวันรุ่งขึ้น

ฉันไม่อาจพูดว่ามันเป็นความสำเร็จ สองสัปดาห์แรกไม่มีหนังสือเล่มไหนออกจากหิ้งเลย ฉันคิดว่าความคิดของฉัน ล้มเหลว เสียแล้ว ทว่า วันหนึ่งโฆเซโช่ได้มาที่โรงเรียน เขาเริ่มบทสนทนาโดยถามไถ่ถึงการเรียนของลูกชาย พลางปรารภว่า ไม่รู้จะ จัดการอย่างไรดี เพราะโฆเซ่เป็นเจ้าปีศาจน้อยจริงๆ ไม่มีทางที่จะให้เขานั่งดูหนังสือ ตรงหน้าได้ ถ้าแม่เผลอ แกก็จะไปอยู่ ในคอกม้า หรือแถวเล้าไก่

โฆเซโช่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่เขาจ้องไปที่หนังสือพลางพูดว่า เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยที่ให้พ่อแม่เด็กยืมหนังสือ ไปอ่าน เพราะมี อะไรดีๆ มากมายในหนังสือ

ถ้าเพียงแต่เขาจะมีเวลามากกว่านี้... อีกอย่างเขาก็ไม่ค่อย เข้าใจบางตอน เพราะไม่ใช่คนมีความรู้

"คุณหาเวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ ได้เสมอนี่คะ และมันจะช่วยโฆเซ่ได้มากด้วย แกจะกระตือรือร้นขึ้น หากเห็นคุณ อ่านหนังสือ และรู้ว่า มันเป็นเรื่องจริงจังของผู้ใหญ่ คุณไม่คิดอย่างนี้หรือคะ"

ฉันเห็นเขามีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น แต่รีๆ รอๆ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
"เอ่อ...ถ้าคุณครูจะกรุณา..."
"คุณชอบเรื่องเกี่ยวกับอะไรคะ"
"เอ่อ...เรื่องอะไรดีล่ะ ผมชอบประวัติศาสตร์ครับ"
"เยี่ยมเลยค่ะ เอาหนังสือไปสักเล่ม แล้วพยายามถ่ายทอดนิสัยรักการอ่านของคุณ ให้ลูกชายด้วยนะคะ"

เขาหนีบหนังสือเรื่องเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ของชาติ ของเปเรซกัลโดส ไปอย่างเปรมปรีดิ์ ยิ่งกว่านั้น ฉันปลื้มใจมาก ที่เขา ไม่สนใจ ว่าใครจะเห็นเขาถือหนังสือเดินอยู่ในหมู่บ้าน ไม่มีผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในหมู่บ้านมาใช้บริการห้องสมุดเลย ถ้าไม่นับมิเกล และ บาทหลวงโฆเซ่ มาริ ตั้งแต่แรกพวกเราก็แลกเปลี่ยนหนังสือกันอ่านอยู่แล้ว จึงไม่นับว่าได้มาจาก การเสนอความคิด ของฉัน แต่โฆเซโช่ อาราน่า มายืมหนังสือที่โรงเรียนไม่เว้นแม้แต่เสาร์เดียว ถึงห้องสมุดของฉัน จะมีผู้อ่านแต่เพียงผู้เดียว ก็ยังคุ้มอยู่ดี

แล้วดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อเจ้าประคุณโฆเซ่ ซึ่งไม่เคยอ่านหนังสือเลย สามารถขอสารานุกรมเกี่ยวกับโลกของสัตว์ ได้ด้วย วิธีการที่น่าทึ่ง

ฉันได้รับพัสดุห่อใหญ่จ่าหน้าถึงคุณครูของโรงเรียน เบอิเรเชอา (นาบาร๎รา) หลังจากคุยกับแกได้ไม่กี่วัน

หนังสือ ๑๒ เล่มห่อรวมกันมา พร้อมจดหมายที่สุภาพอ่อนหวานว่า ขอให้รับหนังสือเหล่านี้ไว้เพื่อเป็นของขวัญ ให้แก่นักเรียน ของฉัน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ

รู้สึกว่าทางสำนักพิมพ์จะได้รับจดหมายอันน่าประทับใจยิ่งจาก ด.ช.โฆเซ่ ซึ่งไม่ได้บอกนามสกุลและที่อยู่ไว้ จดหมายฉบับนี้ ได้เล่าเรื่อง ห้องสมุดของเราทุกอย่าง พลางบ่นว่าไม่มีหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ที่แกอยากจะอ่านเลย แกทราบดีว่า ครูได้สั่งซื้อ เอกสาร และหนังสือด้วยเงินที่ได้จากการขายเห็ด ผักและชา แต่ไม่เคยมีหนังสือเกี่ยวกับสัตว์เลย มันแพงมากหรือครับ พอจะบอก ได้ไหมว่ามันราคาเท่าไหร่กัน

ในชั้นเรียนของฉันมีโฆเซ่อยู่โฆเซ่เดียว การที่แกลุกขึ้นเขียนจดหมายแล้วส่งไปรษณีย์ไปนั้น ฉันว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งนัก โดยเฉพาะ เป็นจดหมายที่ซื่อบริสุทธิ์จนกระทั่ง บรรณาธิการยังประทับใจ จึงได้ส่งของขวัญมีค่ายิ่ง ชิ้นนี้มาให้เรา

ฉันเกิดความอยากรู้อยากเห็น และเป็นห่วงในฐานะครู จดหมายแกจะสะกดคำผิด สักกี่ตัวกันนะนี่

ในระหว่างที่ 'เด็กของโรงเรียน' ยังไม่มา ฉันก็เปิดโต๊ะเรียนของโฆเซ่ มั่นใจว่าแกคงไม่เขียนจดหมายโดยไม่ร่างก่อน แน่ๆ ฉันก็หาพบ ฉบับร่างมีไม่น้อยกว่า ๑๙ แผ่น มีการขูดขีด บางแผ่นก็ลบแล้วลบอีก จนสกปรก บ้างก็ลายมือไม่สวย หรือเขียน ไม่ตรงบรรทัด ไม่ต้องสงสัยว่า นี้แหละคือจดหมาย

แกเขียนได้ดีทีเดียว เป็นธรรมชาติและลงท้ายจดหมายว่า "โดยความเคารพ จากโฆเซ่"

สิ่งที่เกิดขึ้น (และแน่ใจได้ว่านี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชนะใจผู้จัดการ) ก็คือแกขึ้นต้นจดหมายอย่างง่ายๆ ว่า 'สำนักพิมพ์ ที่รัก'

- ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๒๒ พ.ย. - ธ.ค. ๒๕๔๘ -