>ดอกหญ้า

 

รอบบ้านรอบตัว อุบาสก ชอบทำทาน
หลากหลายอัตตา

ใครสักคน จะถือไม้ยาวเดิน แกว่งไปมา เขาย่อมมีสิทธิทำได้ แต่เมื่อใดก็ตาม ที่มีคนเข้ามาอยู่กันหลายคน เขาจะมีพฤติกรรมเดิมๆ อยากจะเดินแกว่งไม้ ตามใจฉัน ก็ไม่ได้อีกต่อไป ครับ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดำรงชีวิตอยู่กันเป็นกลุ่ม จะทำตามอำเภอใจ ต้องตระหนักมากขึ้น

ความคิด-ความอ่านต้องกว้างไกลกว่าเดิม ศัพท์ทางวิชาการ หมายถึงต้องมี "วิสัยทัศน์" ครับ ยิ่งสังคมสลับซับซ้อน วิสัยทัศน์วันนี้ กับเมื่อวาน ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น อีกมากมาย ไม่มีวิสัยทัศน์ก็ระวัง ตกรุ่น หรือ ตกขอบ อาจจะโดนเรียก ไดโนเสาร์เต่าล้านปีก็ยังได้

ยกตัวอย่างครับ ผู้ชายที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้นำครอบครัว เป็นช้างเท้าหน้าแต่เพียงผู้เดียวนั้น วันนี้ก็ไม่ใช่เสียแล้ว หรือพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบ ใช้อำนาจ บาตรใหญ่ ต้องเชื่อฟัง ๑๐๐% เมื่อก่อนอาจได้นะครับ แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว การเลี้ยงลูก แบบเจ้าข้าว เจ้าของ ถือสิทธิ ถืออำนาจ ห้ามเถียง เริ่มหมดยุค

เรื่องการเมืองบ้าง นักการเมือง ที่เป็นนักเลงโต ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ตามกระแสประชาชน ต้องมีความรู้ มีปริญญา เป็นคนดี มาทางการศึกษา แต่ก่อน จบแค่ปริญญาตรี ก็ฉลองดีใจกันยกใหญ่ ชีวิตรอดแล้ว แต่ถ้าเป็นวันนี้ จะต้องเรียนจบปริญญาโทเป็นอย่างต่ำ ดอกเตอร์ ต้องพยายาม

เรื่องของค่านิยม เรื่องวิธีคิด เพียง ๔๐-๕๐ ปี ก็เปลี่ยนไปนะครับ คนที่รู้สึกชัด ก็คือคนที่ผ่านโลก มาแล้วประมาณนั้น แต่ใครที่ปรับตัวเร็วกว่า เข้าใจ กลไกสังคม เร็วกว่าคนอื่น คนคนนี้ก็มีโอกาส จะเป็นผู้นำมาพัฒนาประเทศ เป็นผู้นำ จึงต้องมีวิสัยทัศน์ ยาวไกลครับ ไม่อย่างนั้นไม่ทันโลก

นายกมาเลเซีย มหาเธร์ หรือ ของสิงคโปร์ นายลีกวนยู เป็นตัวอย่างครับ ที่พาประเทศชาติไปโลด ส่วนของไทยเราที่ผ่านมา อยู่ในยุคของใคร ก็คิดเอาเอง นะครับ แต่จำเลยของคนไทยไม่ใช่นายกฯ คนเดียว อดีตอีกหลายคนก็ควรมีส่วนรับบาปกรรมเรื่องนี้ครับ

วันนี้มีการตอบปัญหา แสดงวิสัยทัศน์พรรคการเมือง มีหัวหน้าพรรคท่านหนึ่ง พูดถึงการแก้ปัญหาชนบท ท่านพูดแต่ว่าจะพัฒนาๆ แต่ไม่มีออกมา สักข้อ ที่เป็นรูปธรรม วันนั้น ผมตกใจพอสมควร เพราะผู้ใหญ่ขนาดนี้ก็ยังขาด วิสัยทัศน์

วันนี้พรรคไทยรักไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล สัมภาษณ์วันแรก ท่านนายกฯ ทักษิณบอกนักข่าว กำลังเอานโยบาย มาตีเป็นรูปธรรม โดยแบ่งออกเป็น ๒ คณะ ผมฟังแค่นี้ ก็ชื่นใจแล้วครับ เพราะที่ผ่านมา ผมยังไม่เคยได้ยินรัฐบาลชุดไหนพูดทำนองนี้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่จะต้องทำ ส่วนทำสำเร็จหรือไม่ เราก็คงต้องรอดู ต่อไปนะครับ

แม้แต่เรื่องค้าขาย ณ วันนี้ ไม่ใช่ใครใคร่ซื้อก็ซื้อ แต่จะต้องหันมาในเรื่องของ "ชาตินิยม " เมื่อก่อน เรารณรงค์ให้ใช้ของไทย แต่ยุค IMF นอกจากใช้ ของไทย ยังจะต้องหันมานิยมซื้อข้าว ซื้อของจากชุมชนเกษตรที่เขาร่วมกันผลิตขึ้น ทั้งนี้เพื่อทำให้ สังคมชนบท ที่เป็นฐานล่างของสังคมไทย เป็นส่วนใหญ่ ของประเทศ ได้ "อยู่รอด" และ"แข็งแรง"

ความรู้ต่างๆ ไม่ว่า เศรษฐกิจ สังคม การเมือง จึงต้องลุ่มลึก กว่าเดิมครับ เพื่อตัวเราจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ เป็น เม็ดเลือดแดง เป็นเม็ดเลือดขาว มิใช่ เม็ดมะเร็ง !

เกริ่นมายาวครับ เพื่อจะบอก อย่าติดยึดกรอบความรู้เดิมๆ การแสวงหาความรู้ ต้องไม่อยู่นิ่ง คิดถึงเรื่องนี้ก็ใจหายครับ เราเน้นสร้างห้องสมุดในโรงเรียน มีจัดประกวดแข่งขันทุกปี ทุ่มกันเป็นแสนเป็นล้าน แต่เรากลับไม่ได้คิดค้น ทำอย่างไรให้เด็กได้เข้า ห้องสมุด ค้นคว้า

วกมาเรื่องสังคมต่อนะครับ ในความหลากหลายอัตตา ความจริง ก็คือ ความหลากหลายทางชีวภาพนั่นเอง จุดนี้เขาถือเป็นความสมดุล ของธรรมชาติ นะครับ และอย่าเบื่อเลยครับ แม้สังคมจะดูวุ่นวาย แต่เราจะไปรังเกียจ เบื่อหน่ายไม่ได้ ตราบใดที่เรายังต้องอยู่ในสังคม มีข้อตกลงเบื้องต้น ที่จะต้อง ทำความเข้าใจ ผมคิดเล่นๆ นะครับ ถ้าใครจะเกิดมาในโลกนี้สักคน ผมจะเรียกมาคุยกันก่อน

หนูเอ๊ย ! เธอต้องยอมรับก่อน ถ้ารับไม่ได้ก็อย่าเกิดนะ !

ข้อ ๑ เราไม่ได้อยู่คนเดียว โดดเดี่ยว ตามลำพัง เรามีครอบครัว มีญาติพี่น้อง มีมิตรมีเพื่อน ต่อให้เป็นเด็กกำพร้า เป็นคนไร้ญาติ แต่เราก็ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว ยังมีคนที่อยู่รอบตัวเรา อีกมากมาย ที่ต้องสัมผัสสัมพันธ์

ข้อ ๒ เราทั้งผองเป็นพี่น้องกัน ท่านมหาตมะคานธีกล่าวประกาศไว้ หากโยงวงศาคณาญาติ ก็คงไม่เกินจริง ที่บรรพบุรุษของเรา ก็คงเป็นพี่น้องกันแน่นอน เธอและฉันเป็นญาติกันเพราะปู่ของปู่ของปู่ ยกกำลัง ๑๐ เป็นพี่น้องกัน !

ในพระสูตร ลังกาวตารสูตร ของมหายาน ซึ่งท่านหลวงปู่พุทธทาส ได้แปลออกมาเป็นภาษาไทย พระสูตรบทนี้ เป็นคำพรรณนา ของพระพุทธองค์ พูดถึงโทษภัย ของการกินเนื้อสัตว์ และโยงไปถึงเรื่องภพชาติอีกว่า เราทุกคนต่างวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ เคยผ่านการเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติ เป็นครอบครัว นับครั้งไม่ถ้วน การกินเนื้อสัตว์ จึงเท่ากับเรากินเนื้อญาติของเรา !

ข้อ ๓ ที่นี่คือป่าคน หมายถึง หลากหลายนานาพันธุ์ ต่างคนต่างก็มีคุณสมบัติของตัวเอง มาจากร้อยพ่อพันแม่ แต่ละชีวิต กว่าจะวิวัฒนาการ กว่าจะต่อสู้มา จนถึงวันนี้ได้ มิใช่ ใช้เวลาสั้นๆ แต่มีการเรียนรู้ มีการพัฒนานานแสนนานครับ

ประสบการณ์ของแต่ละคน ทำให้มุมมองปัญหา มุมการตัดสินใจ หรือวิธีคิดแตกต่างกันไป ภูมิหลังในชาตินี้ มีส่วนกำหนดความคิด ตลอดจน การกระทำ ในการแก้ปัญหา ในการเดินไปข้างหน้า ที่แตกต่างกัน แล้วภูมิหลัง ในชาติก่อนอีกต่างหาก ก็มีส่วนกำหนดมากมาย ทีเดียวนะครับ

ใครเป็นเสือ เป็นช้าง เป็นกวาง เป็นปลาหมึก เป็นเม่น เป็นลิง ฯลฯ เขาก็จะมีลีลาของตัวเอง อย่าว่าแต่วิธีแก้ปัญหาเลยนะครับ บุคลิกภาพ ก็ยังออกไป เป็นอย่างนั้น

ข้อ ๔ เราต่างเป็นหนี้บุญคุณ กันและกัน เพราะเรามีกิจกรรม เพื่อความอยู่รอด จำเป็นต้องพึ่งพาบุคคลในวงการอื่นๆ กว่าจะโตถึงวันนี้ บุคคลในวงการต่างๆ ในสารพัดอาชีพ ต้องมารับใช้ช่วยเหลือ เสริมหนุนมากมายมหาศาล หนี้บุณคุณพื้นฐานก็คือ สมาชิกในครอบครัว ยิ่งเติบโต ก็ยิ่งเป็นหนี้สังคม หนี้ประชาชน

ทุกย่างก้าวของเรา ไม่ว่าจะเป็นคนงาน คนกวาดถนน คนเก็บขยะ คนค้าขาย คนขายบริการ คนก่อสร้าง คนรักษาไข้ ฯลฯ เราล้วนเคยใช้บริการของเขาทั้งสิ้น คนที่ หยาบ ในชีวิต จึงมักหยิ่งยโส อวดดี ไม่เห็นใคร อยู่ในสายตา รวมไปถึงขี้รำคาญ คน ! เป็นสัตวโลกที่น่าสงสาร น่า สมเพชเวทนา เพราะมีมุมมองชีวิต ที่ทุเรศมาก !

ข้อ ๕ เราต้องเพิ่มคุณธรรมให้มากขึ้น คุณธรรมแต่ละชุดมี ขอบเขตของตัวเอง แต่ก็มิได้อยู่กันกระจัดกระจายแบบวุ่นวาย คุณธรรมหลัก จะเป็นยาดำ ของทุกคุณธรรม ใครมีครอบครัว ก็ต้องหันไปเน้นคุณธรรม ประจำครอบครัวว่ามีอะไร

ใครทำงาน ก็ไปดูซิว่า คุณธรรม ในการทำงานมีอะไร ใครเป็นผู้บริหาร ผู้จัดการ ใครมีบทบาทสมมติ หรือหัวโขน เรื่องไหน ก็ต้องนำคุณธรรมเรื่องนั้น มาน้อมใส่ตน ยิ่งมีหัวโขน มีบทบาทในสังคม มากเท่าใด ก็ยิ่งจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ และพัฒนาคุณธรรมมากขึ้นเท่านั้น เปรียบเทียบเหมือนการสร้างบ้าน ยิ่งมากชั้น เสาเข็มที่เป็นฐาน ก็ยิ่งต้องลึกและแข็งแรง เสาเข็มเล็กไป บ้านก็พังครืน ปัญหาจึงมีอยู่ทุกวันนี้ครับ ในทุกวงการ

ข้อ ๖ ระวังผีเงินเข้าสิง สังคมแห่งความมัวเมา สืบทอดมรดกกันชั่วลูกชั่วหลาน ว่าชีวิตเกิดมา ต้องรวยให้ได้ ! ใครรวยถือว่าประสบความสำเร็จ ความจริง คนจะรวยนั้น ขึ้นอยู่กับ ๒ ปัจจัย คือความสามารถและ ความเฮง ! ความสามารถก็รู้กันอยู่ แต่ความเฮง เราไม่รู้กรรมเก่า ทำอะไรไว้ การมีปรัชญาชีวิต พออยู่พอกิน ไม่รวย ไม่มีเงิน แต่ไม่อดไม่หิว เหมือนสังคมโบราณ ซึ่งฝากความร่ำรวยไว้บนผืนแผ่นดิน น่าจะเป็นความสบายใจที่สุด ใน ๑,๐๐๐ คน ๑๐,๐๐๐ คน จะรวยได้ก็แค่คนสองคน เหมือนยอดเจดีย์แหลมเปี๊ยบ เล็กนิดเดียว แต่คนไต่เต้า ท่านเปรียบเสมือนฐานเจดีย์ กว้างใหญ่เหลือเกินมีสัมมาทิฏฐิ ไม่หลงตามกระแส ชีวิตก็ยิ่งกว่าติดแอร์ เสียอีกนะครับ

ครับ "บทเรียนก่อนวิวาห์" เขามีมานานแล้ว วันนี้มา "บทเรียน ก่อนเกิด" ก็เป็นรสชาติที่แปลก ไปอีกแบบนะครับ ถือเป็นข้อตกลง เป็นกติกา ที่ต้องยอมรับความจริงเป็นเบื้องต้น

เมื่ออุแว้ออกมาจะได้ไม่โวยวาย ไม่ทุกข์มาก ผ่านข้อตกลง หรือพันธสัญญา ๖ ข้อแล้วก็ขอต่ออีกนิดให้ความหลากหลายแห่งอัตตาหรือของ ชีวภาพเกิดมรรคเกิดผล

อานิสงส์แห่งการอยู่กับ หมู่กลุ่มนั้น ถ้าเข้าใจศึกษาเรียนรู้ กลับจะเป็น ทางรอด ที่จะทำให้เรา ประสบความสำเร็จและเป็นสุข!

ข้อแรก เกิดปัญญา เพราะต้องเรียนรู้ และช่วยปรับเปลี่ยน ตัวเองตลอดเวลา ท่านผู้อ่านสังเกตมั้ยครับ คนที่อยู่คนเดียว ไม่สุงสิงกับใคร หรือ มีอาชีพ ที่ไม่ค่อยจะได้ยุ่งเกี่ยวกับใคร ก็มักจะมีบุคลิก มีวิธีคิดแปลก ออกไป เข้าใกล้ก็หนาวๆ ชืดๆ ไม่มีเสน่ห์

การอยู่ด้วยกันเป็นสังคม ย่อมมีการขัดแย้ง ย่อมมีความไม่ลงตัว ไม่ถูกใจ จุดต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เราได้มีโอกาสพัฒนาตัวเองในทุกด้าน ความคิด อารมณ์ จิตใจ รวมไปถึงบุคลิก ลีลามารยาท ครับ ปัญหาทำให้เกิดปัญญา

อยู่คนเดียว โดดเดี่ยว สบาย ในช่วงต้น แต่จะอึดอัดขัดข้องหมองใจในช่วงปลาย ยิ่งแก่ก็ยิ่งโง่ขึ้นนะครับ กลายเป็นคน ยิ่งขี้โมโห ขี้หงุดหงิด น่ารำคาญ !

ข้อ ๒ เกิดภูมิต้านทาน เพราะชีวิตไม่เป็นไปดังที่เราคาดคิด ยังมีตัวแปรอีกมากมาย ก่อเกิดความสันสน ความคับข้องใจ ในความทุกข์เหล่านี้ จะค่อยๆ หล่อเลี้ยง ให้ภูมิต้านทานของชีวิต เติบโตแข็งแกร่งขึ้น เราจะอดทนได้เก่งขึ้น เราจะสงบได้มากขึ้น เราจะหนักแน่น ได้มากกว่าเดิม คนที่อยากจะพ้นทุกข์ ถ้าไม่มี เรื่องมาให้ทุกข์ เขาจะก้าวพ้น ห้วงแห่งความทุกข์ ได้อย่างไร จริงมั้ยครับ ?

ข้อ ๓ เกิดความสุข ปัญหานั้นทำให้เกิดความฉลาด เหตุการณ์ก็จะคลี่คลาย ลุล่วง เป็นความสามารถเฉพาะตัว และแม้จะแก้ไม่ได้ แต่ความอดทน ถึงระดับหนึ่ง ก็ถือเป็น "การพ้นทุกข์" ได้เช่นเดียวกัน

นักปฏิบัติท่านเรียกว่า "ปัญญาวิมุติ" ไม่พอ ต้องมี "เจโตวิมุติ" ด้วย ชีวิตของคนเหล่านี้ ไม่มีฤทธิ์ก็เหมือนมีฤทธิ์ เบาว่างสบายเหมือน เหาะ มองปัญหา ทะลุปรุโปร่ง เหมือนตาทิพย์ ฟังความอะไรก็มีสติ มีหลักเกณฑ์ เข้าใจอารมณ์ ของคนพูด เหมือนมีหูทิพย์ เป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่ต้องเข้าป่าครับผม !

ข้อ ๔ มีปรโตโฆสะ (EQ) เป็นคนมีวิสัยทัศน์ เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต เข้าใจสังคม เข้าใจ ตัวตน เข้าใจตัวกู-ของกู เข้าใจ อัตตาตัวตน จะทำงานกับผู้อื่นได้เก่ง-คล่อง คนทำงานด้วย ใช่แต่จะมีประสิทธิภาพ แต่ยังได้ความสุข จากการทำงาน กับบุคคลประเภทนี้

ปรโตโฆสะ เป็นจิตที่ฝึกฝน ให้มีใจกว้าง ใจอ่อนโยนที่ฟังความคิดเห็นของผู้อื่นได้ เคารพความคิดของผู้อื่น พยายามหัดเข้าใจผู้อื่นอยู่เสมอ ฟังสิ่งขัดแย้ง หรือที่เขาไม่เห็นด้วยกับเรา ได้อย่างเบิกบาน

ฟังคำตำหนิ ด่าติเตียนด้วยใจที่เต็มและกระตือรือร้น ฟังคำสั่งสอนจากคนอื่นได้ โดยไม่ถือตัว EQ หรือปรโตโฆสะนี้ เป็นเรื่องที่เราจะทำงานได้ ้อย่างสนุกสนาน มีขวัญและกำลังใจ เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ครับ ๔ ข้อ ที่พอมีหน้ากระดาษเล่าสู่กันฟัง เป็นอานิสงส์หรือประโยชน์ที่เราจะได้ เมื่อไหนๆ ก็เกิดมาแล้ว และไหนๆ ก็อยู่สังคมโลกมนุษย์ ถอยกลับไม่ได้ ก็น่าจะปฏิรูปให้เกิดคุณประโยชน์

คติก่อนจาก
"อยู่อย่างถือสา ยิ่งนานยิ่งเห็นข้อบกพร่องของคนอื่น ยิ่งเบื่อหน่าย ยิ่งเอา แต่ใจ ยิ่งคับแค้น!
อยู่อย่างศึกษา ยิ่งนาน ยิ่งเห็นข้อบกพร่องของคนรอบข้าง ยิ่งเห็นใจ ยิ่งเมตตา"

(หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๔ หน้า ๔ – ๑๒)