บันทึก น้ำค้างหยดเดียว
เพื่อนร่วมเดินทาง

กลับบ้านเพียงสัปดาห์ละหนึ่งวัน เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการงานในองค์กรธุรกิจบุญนิยมที่เป้าหมายมิใช่เพื่อ ทำกำไรสูงสุด แต่คือการลดละกิเลส ลดอัตตาตัวตน และปฏิบัติธรรม ควบคู่ไปกับการทำงาน โดยมีผัสสะเป็นปัจจัย โบนัสคืองาน และความรับผิดชอบ ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นั่งรถเล็กเข้าซอยพร้อมกลุ่มหนุ่มสาวอีก ๔-๕ คน กดกริ่งเมื่อถึงซอยแยกเข้าบ้าน แต่กริ่งไม่ดัง คนขับจึงขับไปเรื่อย หนุ่มหนึ่ง แก้สถานการณ์ขึ้นว่า ช่วยเคาะกระจกหน่อยครับ อีกสองคน ที่นั่งหันหลังให้คนขับ ก็ช่วยกันเคาะเสียงดังสนั่น จนรถหยุด ลงจากรถ จ่ายค่าโดยสาร และบอกคนขับว่า กริ่งคุณเสียนะ แต่ไม่ทันได้ขอบคุณ หนุ่มสาวเพื่อนร่วมทาง ในน้ำใจเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้รู้สึกว่า โลกยังน่าอยู่ ผู้คนยังน่ารัก

วันก่อน เพื่อนเก่ามาหาด้วยใบหน้าหม่นหมอง หลังจากทักทายกันแล้ว เขาก็ตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เราจริงใจด้วย เขาจึงไม่มีความจริงใจให้เราเลย โอ้...ท่าจะต้องคุยกันยาว

ถามเขาว่า ความจริงใจของเธอคืออะไร เขาว่า ก็ช่วยเหลือทุกอย่าง สนับสนุนทุกอย่าง ไม่ให้เดือดร้อน อาทร ห่วงใย อยากให้เขาได้ดี

แล้วเขาชอบไหม

ก็นี่แหละที่รู้สึกว่าเขาไม่จริงใจ เวลาเขาอยู่กับเพื่อน เขาจะ สุดๆ เลยนะ แต่เวลาอยู่กับเรา เหมือนเขาไม่มีความสุข แสดงว่า เขาคบเรา เพื่อผลประโยชน์ อย่างเดียวใช่ไหม เขาจึงเห็นคนอื่นดีกว่า

เอา-ตกลง ! เรามาคุยกันแค่สองประเด็นนี้ก่อน แต่อย่าเสียใจนะ ถ้าจะบอกว่า ฉันรู้สึกกลับกันกับเธอ เพราะฉันรู้สึกว่า ความจริงใจ ที่เธอคิดยังไม่ใช่ แต่ของเขาจริงใจ-ใช่เลย !

พระท่านว่า ถ้าถวายของพระ แล้วคอยตามดูว่า ท่านฉันของเราหรือเปล่า ท่านใช้ของเราหรือเปล่า นั่นก็ยังถวายไม่จริง หนำซ้ำ ถ้าท่านเอาไปให้ใคร (ที่ขาดแคลนกว่า) ยังไม่ชอบใจอีก ยิ่งไม่ใช่ บุญ เลย

ทำนองเดียวกัน การช่วยเหลือ ทุ่มเทแรงกายแรงใจแรงทรัพย์ แล้วคาดหวังว่า อีกฝ่ายจะประทับใจ จะยกไว้-ให้ค่า ห็นความดี ของเรา เห็นเราเป็น คนพิเศษ แม้จะบอกว่า ต้องการแค่อยากให้เขาได้ดี ก็ยังไม่ใช่การช่วย อย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เป็นการช่วย อย่างมีกิเลส เพื่อเสริมอัตตาตัวเอง ในเมื่อยังมีคนน่าสงสาร น่าช่วยตั้งมากมาย ทำไมจึงทุ่มเท ให้แต่คนนี้เล่า

ก็มันผูกพัน เพื่อนว่า

แล้วความผูกพันทำให้เป็นทุกข์ไหม ทำให้เจริญขึ้นหรือเปล่า นอกจากจะช่วย ให้เขาดีขึ้นไม่ได้แล้ว เราเองก็ตกต่ำ ไปด้วยใช่ไหม และที่ว่าเขาไม่จริงใจน่ะ ฉันกลับรู้สึกว่า เขาจริงใจที่จะเปิดเผย ตัวตนที่แท้จริง ของเขาว่า เขาเป็นอย่างนี้ หลงแสงสี คลุกคลีอบายมุข ชอบคบเพื่อน ที่มีรสนิยมเดียวกัน ทั้งที่ถ้าเขาเสแสร้ง ให้เธอตายใจ เขาก็จะได้ ผลประโยชน์ ไปเรื่อยๆ จริงไหม

ปล่อยเขาไปเถอะ ให้เขาไปตามทางของเขา พ่อแม่เขายังไม่เดือดร้อน เราเป็นใคร จึงต้องรับผิดชอบ ชีวิตของเขาว่า จะดีจะเลว บางทีเราก็อาจ เจ้ากี้เจ้าการ มากไปด้วยซ้ำ เก็บความปรารถนาดี ไว้ใช้กับตัวเองดีกว่า ทำจิตใจให้สงบ รู้ความจริงตามที่มันเป็น เมื่อต่างจริตนิสัย ฝ่ายหนึ่ง รักสงบ อีกฝ่าย รักสนุก มันจะไปกันราบรื่นได้อย่างไร แค่ได้ร่วมทาง มาช่วงเวลาหนึ่ง ก็เก่งแล้ว แต่ถ้าเธอยังไม่เหนื่อย ก็แล้วแต่นะ

จบการสนทนา เพื่อนจากไปด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น และบอกว่า จะเอาสิ่งที่คุยกันวันนี้ ไปทบทวน ที่จริง พูดกับเพื่อน ก็เตือนตัวเองไปด้วย เพราะถ้าเพียงแต่ เห็นทุกชีวิต เป็นเพื่อนร่วมเดินทาง จะช่วงสั้นหรือยาว สิบนาที หรือสิบปี ก็ล้วน มีความหมายเดียวกัน

เจอกันก็ดี จากกันก็ได้ เหมือนคำขวัญบนรถเมล์ที่ว่า น้องขึ้นรถพี่ดีใจ น้องจากไป พี่คิดถึง ก็เท่านั้น ไม่เห็นจะต้องเป็นทุกข์ ห่วงหาอาลัยอาวรณ์

เวลาชีวิตเหลือน้อย หมดเวลาเอาเรื่องกับสิ่งเล็กน้อย อย่าเปลืองเปล่า กับสิ่งที่ไม่มีความหมาย เมื่อถึงทางแยก ทางตัน ทางที่ไม่เป็นไป เพื่อความพ้นทุกข์ ก็อาจต้องแยกทางกัน ไม่ใช่ผูกพัน กับเพื่อนร่วมเดินทาง จนหลงประเด็น ลืมเป้าหมาย ไม่ยอมลงจากรถ

(หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๔ หน้า ๕๖-๕๗)