บีบพุง
วันวาร เด็กชายตุ้ม
ชั้น ป.๑ ในโรงเรียนของผมมีทั้งหมด ๕ ห้อง คือห้อง ก ถึงห้อง จ และเนื่องจากโรงเรียนของผมเป็นโรงเรียนชาย
ครูส่วนใหญ่ที่สอนก็เป็นผู้ชาย ยกเว้นห้อง ป. ๑ ก ที่มีครูประจำชั้นเป็นผู้หญิงชื่อคุณครูอมร
ซึ่งตัวโตมาก และหน้าตา ดูออกจะดุหน่อย กับห้อง ค ของผมที่มีคุณครูสุดาอร
เป็นครูประจำชั้น เพื่อนๆ ทุกคนในห้อง รวมทั้งผมด้วย ดีใจมาก ที่โชคดีได้มาอยู่ห้องนี้
เพราะครูสุดาอรดูน่ารัก แต่งตัวดี และก็สวยกว่าครูผู้หญิงทุกคน ในโรงเรียน
แต่คุณครูจะดูเฉยๆ เงียบๆ ไม่ค่อยสนใจนักเรียนคนไหนเป็นพิเศษ และไม่ค่อยดุพวกเรามากนัก
แถมยังตัวเล็กด้วย ดูเหมือนครู จะสูงกว่า มีชัย เพื่อนที่สูงที่สุดในห้องของเรา
แค่นิดเดียว เพื่อนบางคนบอกว่าที่ ครูดูสูงกว่ามีชัยนิดหนึ่งนั้น เพราะครูใส่
รองเท้าส้นสูง ถ้าลองให้ครูถอดรองเท้าออก แล้วมาเทียบกัน บางทีครูอาจจะเตี้ยกว่ามีชัยก็ได้
ส่วนบางคนก็บอกว่า คุณครูเหมือน พี่สาวคนโตที่บ้าน แต่พี่สาวที่บ้านดุกว่า
เผอิญผมไม่มีพี่สาว จึงคิดว่า การที่มีคุณครูประจำชั้น เหมือนเป็นพี่สาวนี่
ก็คงดีไม่น้อย
เพราะครูสุดาอรดูเฉยๆ เงียบๆ ไม่ค่อยพูดเสียงดัง
หรือดุพวกเรามากนัก ทำให้เวลาเข้าแถวที่ใต้ถุนตึก ก่อนขึ้นห้องเรียน
เพื่อนๆ บางคนมาเข้าแถวช้า บางที จนเสียงกระดิ่งเงียบไปแล้ว ถึงวิ่งกรูกันเข้ามา
แถมพวกที่เข้าแถวอยู่ก่อน ก็คุยกันเอะอะ เสียงดังจนครูใหญ่ทนไม่ไหว
ต้องออกมาประกาศ ผ่านเครื่องขยายเสียง เตือนพวกเราให้รักษาระเบียบ
รู้จักเตรียมตัว เมื่อจะถึงเวลาเข้าแถวควรจะเลิกเล่นเลิกคุย และมารวมกันใกล้ๆ
บริเวณที่จะเข้าแถว เพื่อว่า เมื่อเสียงกระดิ่งดัง จะได้เข้าแถวได้ทันที
ครูใหญ่ยังบอกอีกว่านักเรียนชั้น ป.๑ นอกจากจะเข้าแถวช้าแล้ว ยังชอบ
ส่งเสียง คุยกันในแถว ต่อไปนี้ จะให้ครูประจำชั้น คอยดูแลเวลาเข้าแถว
เป็นพิเศษอีกด้วย
หลังจากที่ครูใหญ่ประกาศแล้ว ครูประจำชั้นทุกห้อง
ต้องมาคอยยืนคุมแถวห้องของตนอย่างใกล้ชิด ทุกครั้งที่เข้าแถว ก่อนขึ้นห้องเรียน
โดยเฉพาะ ชั้น ป.๑
เนื่องจากพวกเรากลัวครูใหญ่กันมาก
ทำให้ในช่วง ๒-๓ วันแรก ดูนักเรียนจะเชื่อฟัง และทำตามโดยพร้อมเพรียงกัน
แต่พอย่างเข้าวันที่ ๔ นักเรียนบางคน ก็ทนไม่ไหว เริ่มกลับเป็นแบบเดิมอีก
โดยเฉพาะพวกเพื่อนตัวโตๆ ที่อยู่หางแถว ก็จะเริ่มมาเข้าแถวช้า และขณะ
อยู่ในแถวก็ชอบคุยกัน โดยอาศัย หัวของเพื่อน ที่อยู่ข้างหน้าบังไว้
ไม่ให้ครูเห็นว่า กำลังแอบคุยกันอยู่ แต่ครูสุดาอรรู้แกว จึงเดินตรวจแถวตลอด
พอครูเดินจากหัวแถวมาหางแถว พวกเพื่อนตัวเล็กๆ
ที่อยู่หัวแถวก็โล่งอกที่ครูเดินจากไป และรีบคุยกัน ครั้นครูเดิน กลับไปหัวแถว
พวกตัวโตๆ ท้ายแถว ก็คุยกันต่อ แต่ถ้าครูอยู่ข้างหลังแล้วมองพวกเรา
ก็จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งเสียงคุย เพราะมองไม่เห็นว่าปากใครเป็นคนพูด
จึงทำให้ครูรู้สึก ไม่พอใจมากขึ้น พอพวกเราเดินแถวเข้าห้องเรียนเรียบร้อย
ครูสุดาอรก็เข้ามา แล้วบอกว่า ต่อไปนี้จะไม่มีการเตือนนักเรียน ที่คุยกันในแถวอีกแล้ว
ถ้าใครคุยกันให้ครูเห็น จะถูกทำโทษทันที
พวกเรากลัวครูสุดาอรน้อยกว่าครูใหญ่
เลยเชื่อฟังแค่ ๒ วัน พอวันที่ ๓ ก็เริ่มคุยกันในแถวอีก คราวนี้ ครูจะคอยเดิน
ตรวจตลอดแถว ถ้าพวกเรา ไม่หันไปมอง ก็จะไม่มีทางรู้ได้เลย ว่าตอนนี้ครูอยู่ตรงไหน
และในที่สุดครูก็จับได้ว่า สมชาติและปรีดา ซึ่งอยู่ทางหัวแถว แอบคุยกัน
ครูจะไม่เรียก คนที่คุยกัน ออกไปจากแถวทันที แต่จะรอ จนถึงเวลา ที่แถวของเรา
ต้องเดินขึ้นห้อง พอนักเรียนคนที่คุยกันเดินมาถึง ครูก็จะเรียก ให้ออกจากแถว
มาทำโทษ พวกเรา ไม่รู้ว่าครูทำโทษอย่างไร เลยเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นกันมาก
รวมทั้งผมด้วย พอถึงช่วง พัก ๑๐ นาที ก็เลยถามเพื่อนว่า คุณครูทำโทษยังไง
สมชาติตอบว่า ก็เอาหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบตรงท้อง เหนือสะดือขึ้นมาหน่อย
ผมถามต่อว่า แล้วเจ็บมากไหม สมชาติว่า ก็เจ็บ แต่ไม่มาก แล้วผมก็ไม่ได้
สังเกตอีกว่า สมชาติแอบคุยในแถว กับปรีดาอีกหรือเปล่า
ต่อมาเมื่อปรีชา เพื่อนสนิทซึ่งอยู่ด้านหลังผมเวลาเข้าแถว
ถูกครูจับได้ ผมก็ถามเขาเหมือนเดิมว่า คุณครูทำโทษยังไง ปรีชาว่า ครูเอานิ้วมาบีบพุง,
บีบเฉยๆ ไม่ได้หยิกเหรอ ผมถาม บีบเฉยๆ ปรีชาตอบ ผมยังไม่หายสงสัย จึงถามต่อว่า
ก็ถ้าบีบเฉยๆ แล้วมันจะเจ็บได้ไง ปรีชาจึงอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า เจ็บเหมือนกัน
แต่ไม่มากเท่าไหร่ เพราะคุณครูตัวเล็ก นิ้วมือก็เล็ก แรงครูเลยน้อย
เวลาบีบจะเจ็บมากได้ไง ผมเลยถามย้ำให้มั่นใจว่า ไม่เจ็บจริงๆนะ ปรีชายืนยันว่า
เจ็บนิดเดียว เหมือนมดกัดแหละ แล้วผมก็สงสัยต่ออีกว่า แล้วครูจะรู้ไหมว่า
ที่คุณครูทำโทษน่ะ เราไม่เจ็บหรอก แล้วเจ้าความ สงสัยก็ค้างคาไปจนวันรุ่งขึ้น
ในตอนเช้าเวลาเข้าแถว ผมเลยคิดจะทดลองให้รู้ความจริง ด้วยตัวเอง ผมจึงชวนปริญญาเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ
คุย แต่เขาไม่ยอมคุยด้วย ผมเลยไปสะกิดอนุชิต ที่อยู่ข้างหน้า แต่เขาก็สะบัดหัว
ทำเหมือนอย่ามายุ่งกับเขา ผมไม่รู้จะคุยกับใคร เลยหันไปจะคุยกับ ปรีชาซึ่งอยู่ด้านหลัง
ก็พอดีเจอเข้ากับครูสุดาอร ผมรีบหันหลังกลับ พอได้เวลาเดินแถวเข้าห้อง
ครูก็เรียกผม ให้ออกมายืนข้างๆ ครู จนนักเรียน เข้าห้องไปหมดแล้ว ครูก็ถามผมว่า
คุยในแถวใช่มั้ย ผมพยักหน้าพร้อมตอบว่า ครับ ครูจึงเอานิ้วหัวแม่มือ
กับนิ้วชี้จับพุงผม และขยับ หาที่เหมาะๆ จะบีบ ในตอนนั้นผมไม่นึกกลัวเลย
จนครูเจอที่เหมาะ ก็เริ่มค่อยๆ บีบพุงผม โดยจับเนื้อเพียงนิดเดียว
และบีบแรงขึ้นๆ จากแต่แรกที่ไม่ค่อยเจ็บ ก็จะเจ็บมากขึ้นๆ จนผมทนแทบไม่ไหว
และไม่อาจยืนตัวตรงได้ดังเดิม ผมพยายามจะ แขม่วท้อง เผื่อจะช่วยบรรเทา
อาการเจ็บได้บ้าง แต่ครูก็พูดขึ้นว่า ยืนให้ตัวตรงๆ นะ ผมจึงต้องยืดตัว
แล้วก็รู้สึกเจ็บอีกครั้ง ถึงตอนนี้ครูไม่บีบค้างอยู่เฉยๆ แต่จะบิดนิ้วไปซ้ายทีขวาที
ทำให้ยิ่งเจ็บขึ้นไปอีก ตัวผมร้อนไปหมด เหงื่อเริ่มผุด เป็นเม็ดๆ แต่ครูก็ไม่มีทีท่าจะเลิกบีบพุงผม
ผมเจ็บจนบิดตัวไปมา ครูก็สั่งว่า ยืนดีๆ นะ ถ้านิ้วมือครู หลุดออกมาจากพุง
เธอจะต้องเริ่มใหม่ ผมจำใจ ต้องยืดตัวอีกครั้ง เหงื่อที่แต่แรกผุดเป็นเม็ด
ตอนนี้เริ่มไหลเป็นทาง ลงมาที่ขอบกางเกง ผมเจ็บจนแทบจะร้องไห้ น้ำตาเริ่มคลอเบ้า
แต่ครูก็ยัง ไม่ยอมปล่อย ผมนึกละอายแก่ใจ และโกรธตัวเองที่อยากลองดี
สักพักครูก็ปล่อยและพูดว่า ทีหลังอย่าคุยในแถวอีกนะ ผมรับปาก รู้สึกตัวเบาขึ้น
ความร้อนลดลง เหงื่อก็ไหลน้อยลง แต่ความเจ็บยังคงอยู่อย่างเดิม กลับไปที่ห้องได้แล้ว
ครูบอก ผมรีบวิ่งขึ้นไปบนห้อง ทั้งอาย ทั้งเจ็บ ไม่อยากให้ใครรู้ว่า
ผมถูกทำโทษ เดินก้มหน้ารีบไปนั่งที่โต๊ะ
ตอนพักเที่ยงผมตามหาปรีชา
ยังไงเขาก็หนีไปไหนไม่ได้ เพราะต้องกินข้าวของโรงเรียนเหมือนผม ไม่ได้ซื้อกินเอง
อย่างเด็กบางคน ผมกินข้าวจนเสร็จ ก็ไม่เห็นปรีชา จนลุกไปเข้าห้องน้ำ
ออกมาเห็นปรีชานั่งกินข้าวอยู่ ผมรี่เข้าไปหา แล้วถามว่า ทำไมต้องโกหกว่าไม่เจ็บ
ปรีชาก็ตอบว่า บอกว่าเจ็บก็อายสิ ! อยากให้คนอื่นโดนด้วยจะได้รู้รส
อยากมา หลงเชื่อเอง ช่วยไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะไปโทษเขายังไง ต้องโทษตัวเองที่อยากโง่ไปเชื่อเขา
และ เพราะความอยากรู้ อยากเห็น อยากลองดี อยากรู้ความจริง จึงโดนครูสุดาอรทำโทษ
พอกันทีเจ้าความอยาก
(จากหนังสือ
ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๔ หน้า ๖๓-๖๗)
|