ดิฉันมีโอกาสเรียนภาษาจีนภาคค่ำกับครูมู่อี้
ตอนอายุ ๒๕ ปี มีน้องสาวเรียนเป็นเพื่อนกันหนึ่งคน ค่าเรียนเดือนละ
๕๐ บาทเท่านั้น ถ้าเป็นที่กรุงเทพฯ ทราบว่าเดือนละพันบาทขึ้นไป
ครูเป็นคนเงียบๆ แต่ไม่ถึงกับ เรียบร้อยโรงเรียนจีน
อย่างเขาว่ากัน ความเป็นอยู่เราเป็นอย่างไร พ่อแม่ทำอาชีพอะไร ครูก็สนใจไถ่ถามพอควร
เสื้อผ้าที่ดิฉันสวมใส่ไปเรียน ส่วนใหญ่เรียบง่าย ไม่แพง ไม่มีเครื่องประดับกาย
ไม่มีมอเตอร์ไซด์ ไปเรียน เช่นเพื่อนๆ (เดินไปได้ไม่ไกลมาก) ยิ่งครูทราบว่า
ถือศีลกินมังสวิรัติกันด้วย ครูก็ยิ้มรับรู้อย่างสงบ พร้อมชื่นชมว่า
"ดีนะ"
สิ้นเดือนแรก ดิฉันนำเงิน ๑๐๐ บาทไปมอบให้ครู
เป็นค่าเรียน คิดไม่ถึงว่า ครูจะยืนยันกับดิฉัน และน้องว่า
"เซินไม่เอาเงินพวกหนี่หรอก
อยากให้หนี่เอาเงินนี้ ไปซื้อของกินบำรุงร่างกาย เซินว่าพวกหนี่
หน้าซีดไปหน่อยนะ" ก็เป็นความจริงดังครูว่า
ดิฉันเป็นคนหน้าซีดมาตั้งแต่เด็กๆอยู่แล้ว มิใช่มาซีดเมื่อมาทานมังสวิรัติ
เมื่อมาเปลี่ยนแปลง การกิน กลับดีกว่าเดิม แต่เซินไม่เคยเห็น เท่านั้นเอง
และสุดท้าย เราสองคน ก็ใช้ความพยายาม มอบเงินเล็กน้อย ตามธรรมเนียม
ให้ครูจนได้ ครูรับไปอย่างไม่เต็มใจเลย นี่คือความประทับใจครั้งแรก
ครั้งต่อมา ครูขี่มอเตอร์ไซด์ถึงบ้านดิฉัน
เมื่อทราบว่าแม่ดิฉันเจ็บออดๆแอดๆ เพื่อจะบอกว่า "คนในตลาด เชิญหมอแมะเก่งคนหนึ่ง
มาจากไต้หวัน อยากให้พวกหนี่ พาแม่ไปให้หมอตรวจ ไม่ต้องห่วงค่าตรวจนะ
เซินคุยกับหมอแล้ว เดี๋ยวเซินจัดการเอง" ดิฉันพาแม่ไปตรวจกับหมอเป็นครั้งที่สอง
ก็ได้เตรียมงานฝีมือประดิษฐ์ จากผ้าอย่างตั้งใจยิ่ง เพื่ออภินันทนาการ
เล็กๆน้อยๆแด่หมอ ยังไม่ทันมอบของให้ คุณหมอก็บอกกับแม่ว่า
"หมอมาไกลนะ ต้องเสียค่าโรงแรม
ต้องซื้อข้าวกิน..." ภาษาและเสียงเรียบๆของหมอ ทำให้แม่หน้าตื่น
ล้วงกระเป๋า หยิบเงิน ที่มีไม่มาก ส่งให้หมอ อย่างหวั่นเกรง และเขินอาย
ดิฉันพูดถึงคุณครูให้หมอฟัง หมอก็เหมือนไม่เข้าใจ พอครูทราบเรื่องราว
ก็พูดอย่างผิดหวังว่า "เอ๊ะ!!ทำไมไม่เชื่อใจกัน... เสียแรงเซินอุตส่าห์ช่วยเหลือ..."
อย่างไรก็ตาม แม้แม่จะยังไม่หายป่วย แต่เราก็ไม่กล้า กลับไปหาหมออีกเลย
และเราก็จำน้ำใจครูไว้ได้ ไม่ลืมเลือน
ดิฉันเป็นลูกศิษย์ครูอยู่ไม่กี่ปี
ก็ต้องย้ายบ้านเข้ากรุงเทพฯ แต่ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมญาติ ที่สุไหงโก-ลก
ดิฉันแวะ ไปหาครูทุกครั้ง มียามีหนังสือเล็กๆน้อยๆ ไปฝากครู พร้อมถามไถ่
สารทุกข์สุกดิบ ของกันและกัน ครูอายุมากขึ้น พูดน้อยเหมือนเดิม แต่น้ำใจไม่เปลี่ยนแปลง
กลับมีเปี่ยมล้นยิ่งขึ้น
ดิฉันเข้าใจว่า ครูเห็นดิฉันสวมใส่เสื้อผ้ามอซอ
ยิ่งกว่าตอนเป็นนักเรียนกระมัง ครูบอกว่า "เซินอยากทำบุญกับหนี่
เอาไว้ใช้นะ..." พร้อมซองเงิน ๕๐๐ บาท คราวนี้ครูไม่ยอมแพ้ แม้ดิฉันจะบอกครูอย่างแช่มชื่นว่า
"ไม่ได้ขาดแคลนอะไร ที่วัดมีสวัสดิการ ครบพร้อม" ครูก็ยืนยันว่า
"เซินอยากทำบุญ"
อีกครั้งหนึ่งเป็นช่วงตรุษจีน
ดิฉันทำอาหารแจก ก็อดคิดถึงครูไม่ได้ ไม่คิดว่าครูจะให้อั่งเปา ราคาตั้ง
๑,๐๐๐ บาทให้อีก เพราะเป็นสิบๆปีแล้ว ดิฉันไม่ได้รับ เงินตรุษจีนจากผู้ใหญ่
เขาถือว่าโตแล้ว มีหน้าที่การงานแล้ว มีแต่ต้องให้คนอื่น เช่น เด็กๆและผู้สูงอายุ
และดิฉันก็พยายามใช้เงิน ทุกบาทของครูให้เป็นบุญ อย่างที่ครูคาดหวัง
ให้ได้มากที่สุด
ด้วยความระลึกถึง
"ครูตัวอย่าง" แห่งยุคสมัยที่หาครูดีๆ ได้ยากขึ้นทุกวัน ด้วยความซาบซึ้งยิ่ง
จางเหม่ยเจียว
*เซียนเซิน
หรือ เซิน=ผู้เกิดก่อนหรือครู, หนี่=เธอ *อั่งเปา=ซองแดงใส่เงินให้เป็นของขวัญวันปีใหม่ของจีน
|