รับเชิญ ไม้ขีดไฟ


ระยะหลังมานี้จะพบข่าวฆ่าตัวตายตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ แม้แต่ผู้มีการศึกษาในระดับสูง โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่แตกใหม่ๆ นายทุน นักธุรกิจ ที่เคยร่ำรวย เป็นร้อยล้าน พันล้าน เพียงช่วงไม่กี่วัน ตัวเลขเงินในบัญชีเหล่านั้น พลันหายไปสิ้น เดือดร้อนกันทั้งครอบครัว ลูกๆที่เคยเรียน ในโรงเรียนดังๆ จำต้องลาออก มาเรียนโรงเรียนเทศบาล เหมือนเพื่อนบ้านใกล้เคียง รถยนต์คันหรู ต้องขายเพื่อใช้หนี้ บางรายบ้านยังต้องถูกยึด

มีข่าวที่น่าสนใจ คือนักธุรกิจผู้หนึ่ง เจอพิษภัยเศรษฐกิจฟองสบู่ เหลือเงินอยู่ ๕ ล้าน ทำใจไม่ได้ ฆ่าตัวตาย ได้ฟังข่าวนี้แล้ว เกิดข้อคิด เหลือเงินอยู่ตั้ง ๕ ล้าน ไม่ใช่แค่ ๕ ล้านบาท ทำไมจึงต้องฆ่าตัวตาย หลายร้อยหลายพันชีวิต เกิดมาชาตินี้ อาจรวมชาติหน้าด้วยก็ได้ ยังไม่ สามารถหาเงินได้ ๕ ล้านเลย หรือแม้แต่สัก ๑ ล้านจะมีปัญญาหรือเปล่าก็ไม่รู้ เช่น ชาวนาชาวไร่ ปลูกพืชผล แต่ละปี แทบจะไม่พอใช้ ภายในครอบครัว รวมถึงใช้หนี้ ธ.ก.ส.ด้วย บางปีน้ำท่วม บางปีฝนแล้ง ราคาข้าวราคาผลผลิต แต่ละปี ก็ต่ำจนเกิดการประท้วง ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ใช้เวลาข้ามปี ก็มีให้เห็นกันอยู่ เขาเหล่านั้น ก็ยังอยู่เป็นผู้เป็นคนกันได้

อีกข่าวหนึ่ง แฟนบอลไม่สามารถซื้อตั๋วเข้าไปชมทีมแมนยูฯได้ทันคนอื่นๆ ตัดสินใจ โดดตึกตาย คนที่กำลังทุกข์มากๆ มักจะมองความทุกข์ ของตนนั้น ยิ่งใหญ่ไม่มีใครเสมอเหมือน จนมองข้าม คนในสังคม ที่มีอยู่มากมาย ที่เขาแย่กว่า บางคนข้าวแต่ละมื้อ จะหาประทังชีวิต ก็ใช่จะหาง่าย เด็กๆหลายคน ต้องขายพวงมาลัย หนังสือพิมพ์ ตามสี่แยกไฟแดง ต้องเจอกับมลพิษ แดดร้อน และสภาพจิตใจ คนเมืองกรุง ฯลฯ เขาเหล่านั้นทุกข์ไหม? มีตัวอย่างมากมาย ของคนในสังคม ที่มีคุณภาพชีวิตย่ำแย่ หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ คิดถึงผู้คนเหล่านั้น กันบ้างเถิด

ชีวิตใครๆ ก็ทุกข์กันทั้งนั้น จะมากจะน้อย ก็แล้วแต่ ของใครของมัน สำคัญอยู่ว่า ผู้ใดที่สามารถ ย่อยความทุกข์ได้ ย่อมจะเพิ่มความสุข ให้กับชีวิตได้ ความทุกข์ทักทายมนุษย์ ทุกผู้ทุกนาม ตั้งแต่ เปิดเปลือกตา หลังไก่โห่ เพียงอึดใจเดียวเอง บางคนเมื่อยล้า อยากจะนอนต่อ แต่ก็ต้องฝืน ตื่นขึ้นมา เพื่อทำภาระ หน้าที่การงาน หรือ ศึกษาเล่าเรียน มิฉะนั้น จะเอาเงินมาจากไหน หรือ เอาใบปริญญาที่ไหน มาประกอบวิชาชีพ ในอนาคต

ความทุกข์จะอยู่กับเรา ตั้งแต่ตื่น จนเข้านอน การที่จะคลี่คลายความทุกข์ เพื่อจะเพิ่มความสุข ให้แก่ตนเองนั้น สำคัญคือการวางใจ หรือทำใจให้เป็น หลวงปู่พุทธทาสสอนว่า ตถตา แปลว่าเป็น เราเอง ถูกใจคนอื่นทั้งหมดหรือไม่ จะมีแต่ผู้ที่คอยชื่นชม เท่านั้นหรือ ความทุกข์ทั้งปวง ที่มีเข้ามา ฝึกฝนทำใจ และวางใจ ความขัดแย้ง ความรุนแรงหลายกรณี คงลดลงไปได้เยอะ

ถ้าวิเคราะห์เจาะลึก ไปถึงสาเหตุ ของความทุกข์กันแล้ว น่าจะเกิดจากใจที่ยึด หรือเห็นว่า ต้องอย่างนี้เท่านั้น ถึงจะถูก ใจในที่นี้หมาย ถึงใจในลักษณะ นามธรรม ไม่ใช่หัวใจ ที่มีสี่ห้อง เต้นตุ๋มๆต่อมๆ เพราะเวลาเราเจ็บ เราเจ็บที่ความรู้สึก เป็นลักษณะนามธรรม แต่เรารู้สึก ได้เลยว่า แค้นใจ โกรธ อยากจะโต้ตอบ เช่น ด่า ชก ต่อย ฯลฯ ความรู้สึกว่าเจ็บใจ อยู่ตรงไหนของร่างกาย ก็ไม่รู้ แต่ขอให้เข้าใจว่า มันเป็นความรู้สึก และ ความรู้สึกเหล่านี้ ไม่แน่นอน ทางพระว่ามันไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง สิ่งทั้งหลายทั้งปวง เกิดขึ้นและเสื่อมไป เป็นธรรมดา โดยเฉพาะ อารมณ์มนุษย์ เราอาจจะเคยชอบพอ กับใครบางคน แต่กาลเวลาผ่านไป ใจคนก็ผันตามกาลเวลา กับกลายเป็นรู้สึกเกลียดชัง ไม่ชอบกันเสียแล้ว หรือบางคน เคยเถียง เคยทะเลาะ เรียกว่าไม่เผาผี กันเลยทีเดียว วันดีคืนดี ก็สามารถพูดคุยกันได้ เป็นปกติ แม่ ลูก หรือ เพื่อนสนิทบางคู่ ทะเลาะกันแล้ว ไม่พูดกันเป็นเดือนๆ ลองคิดดูเถิดว่า เวลาเป็นเดือนที่ผ่านไปแล้ว กับความรู้สึกที่แย่ๆนั้น น่าเสียดายหรือไม่ เพราะหลังจาก บรรยากาศคลี่คลายแล้ว ก็พูดกันดี เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเวลาเป็นเดือนๆ ที่เสียไป จะให้เสียไปทำไม ฉะนั้น เวลาโกรธ หรือ ทะเลาะกับใคร ก็ให้รู้เถิดว่า มันไม่เที่ยงหรอก อารมณ์มนุษย์นั้น จะให้ความรู้สึกที่ไม่ดี ครอบงำอยู่ทำไม ในระยะกระชั้น หลังทะเลาะกันใหม่ๆ อย่างน้อยก็พยายาม ทำใจกลางๆไว้ก่อน แล้วค่อยๆ สร้างความรู้สึกที่ดี กลับคืนมา ความสุขของเรา ก็จะเพิ่มขึ้น เพราะความทุกข์ ได้จางคลายลงไปบ้าง

ทางที่จะดับความทุกข์ได้คือ ต้องหันหน้า เผชิญกับความทุกข์นั้นๆ แล้วศึกษา เรียนรู้ปัญหาใน กรณีที่เกิดขึ้น การหนีความทุกข์ ไม่สามารถจะล่วงพ้น ความทุกข์ไปได้เลย แท้จริงแล้ว น่าจะขอบคุณความทุกข์ และเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา เพื่อเราจะได้ฝึกหัดทำใจ วางใจ ผู้ที่ฝึกจิตวิญญาณ ให้แข็งแกร่ง ได้เท่านั้น จึงจะอยู่ในสังคมได้ อย่างมีความสุขมาก มีทุกข์น้อย

จริงทีเดียวว่า การทำใจนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะความทุกข์ของแต่ละคน ก็แตกต่างกันไป แต่ถ้าจะพ้น ความทุกข์ไปได้ ไม่มีทางใด นอกจากรู้เท่าทัน ความจริงตามความเป็นจริง มีภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า "โคลนเกิดจากน้ำ น้ำนั่นแหละล้างโคลน ทุกข์เกิดจากใจ ใจนั่นแหละล้างทุกข์" จงฝึกฝน และเรียนรู้การทำใจ จนเป็นความชำนาญ

ความทุกข์เป็นเพื่อนแท้ ของมนุษย์ ทุกโมงยาม เปิดใจกว้าง ยอมรับความจริง แล้วพยายามทำใจ ต่อสิ่งที่ได้กระทบ สัมผัสทุกกรณี ที่หล่อหลอม และสังเคราะห์ให้เกิดความทุกข์ ทั้งเล็ก ปานกลาง จนถึงขนาดใหญ่ ให้ลดละ เบาบาง จางคลาย และวางเฉยในที่สุด ทางพระท่านว่า อุเบกขา ให้ได้ ชีวิตก็จะพบความสุข บนกองความทุกข์ ไม่ใช่จมอยู่กับความทุกข์ ตลอดตาย เกิดมาชาติหน้า ก็ทุกข์อีกไม่จบสิ้นกันเสียที