เล่าสู่ฟังในวันเด็ก


ทราบข่าวว่าคุณพ่อของคุณฮกเม้ง ผู้ถวายที่ทักษิณอโศก ชื่อเอี๊ยะฮุย แซ่อึ้ง อายุ ๙๔ ปี เสียชีวิต จึงรู้สึกว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องไปแสดงน้ำใจเสียหน่อย

ช่วงจังหวะนั้น สม.ทองพราย สม.จินดา ลงมาสันติอโศกพอดี ก็เลย โอ้ เราไปล่องใต้จาริกย่อยกัน ไปให้ทันงานเลย ๒ วันน่าจะถึงทักษิณอโศกนะ กะโบกรถ วันเดียวด้วยซ้ำ จึงไม่เอาช้อน ผ้าอะไรไปเลย ปรากฏว่า ไม่ได้ค่ะวันเดียว ตั้ง ๒ วัน ไปตกดึกอยู่ที่ประจวบฯ ตอนทุ่มหนึ่งแล้ว เอ! โบกรถกลางคืน ไม่เหมาะมั้ง เพราะส่วนใหญ่ ก็รถกระบะด้วย และบรรยากาศ ก็พลุกพล่าน สภาพของสังคม เท่าที่เรา
ผ่านไป ช่วงจากกรุงเทพฯ ไปตอนเช้ามืด ทางไป ปากท่อ ราชบุรี โดยไม่ต้องผ่านนครปฐม แม้คนที่ รับเรา ทั้งๆ ที่เราเป็นผู้หญิง เขาก็บอกว่า เขาไม่แน่ใจ จะแน่ใจต่อเมื่อ ได้พูดได้สัมผัส เพราะคนที่รับเราขึ้นรถ เป็นคนแขกบอกเลยว่า เขาโดนผู้หญิงหักหลัง เขาช่วยเหลือไว้ แล้วขนเงินขนทอง หนีเขาไปหมดเลย เขาตามตัวไม่เจอ เอารูปมาให้ดูด้วย ผู้หญิงคนนี้ก็หน้าตาดี แจ้งความเอาไว้

ถึงบอกว่า โลกทุกวันนี้ มันแย่มากเลย ยิ่งสภาพในยามค่ำคืน เลยตัดสินใจว่า ไม่เหมาะสม ก็เลยเข้าไปพัก ที่โรงเรียนคริสต์ ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์อย่างดี เพราะโรงเรียนคริสต์ เขาก็สัมพันธ์กับเราได้ดียิ่ง
ปฐมอโศก จะเห็นได้ชัดเลย ซิสเตอร์มาบ่อยมาก แล้วอากาศที่ประจวบฯ หนาวกว่าที่อื่นมาก พอๆ กับที่ไพศาลี เราขอพักที่ศาลา ทานอาหารของเด็ก แต่ผู้จัดการ ซึ่งมีบ้านพักอยู่ในนั้น เขาบอก นิมนต์ ในห้องเรียนดีกว่า เพราะมิดชิด ปิดประตูหน้าต่างหมด ก็ได้รับความอบอุ่น โชคดีไป

ไปถึงตรัง ตั้ง ๓ ทุ่มของวันรุ่งขึ้น ก็สองวันเต็ม ไม่สามารถเข้าไป ที่ทักษิณอโศกได้ เพราะทักษิณอโศก อยู่ห่างไกล จากตัวเมือง พอดีรถเขาไปจอด ที่ธรรมรินทร์ บ้านพี่สาว ลูกของคุณน้า อยู่ที่นั่น ๓ ทุ่มแล้ว ดีว่าเขายังไม่ปิดบ้าน ก็เลยแวะที่นี่ ก็แล้วกัน แล้วก็ไม่รู้หรอกว่า หลานเขย ของเราเป็นเพื่อนสนิทของ
โกย้ง น้องชายคุณฮกเม้ง และโกย้งก็เคยไปอยู่ใน ทักษิณอโศกเหมือนกัน ตกลงคุณฮกเม้งกับโกย้งก็เป็น สองคนพี่น้อง ที่เป็นญาติธรรม แล้วก็อยู่ในทักษิณ เป็นเพื่อนร่วมเรียนกันมา กับหลานเขย

ตกลงงั้น ไม่เข้าทักษิณ ก็แล้วกัน พักอยู่ที่บ้านหลานเขย รีบฉันอาหารตอนเช้า หลังบิณฑบาตเสร็จแล้ว เข้าไปในมูลนิธิ ที่เขาไว้ศพ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้าน ที่พักมากนัก เรารู้จังหวะด้วยว่า ที่นั่นเขาใช้ ธรรมเนียม ยืดยาด แล้วก็ทำเต็มรูปแบบเลย เหมือนเมืองจีน เหมือนคนจีน คือมีพิธีกรรมแบบจีน มีการไหว้หมูย่าง มีการคำนับศพ ตามลำดับญาติ แล้วก็ตั้งโต๊ะจีน กงเต็กทางปักษ์ใต้ไม่มี ที่บ้านไม่ใช้ กงเต็กค่ะ ใช้สมาคม แต่พิธีเดียวกัน แต่ญาติต้องแต่งตัวตามลำดับฐานะ อย่างใช้ผ้ากระสอบ ผ้าดิบ ลูกเขาเยอะนะ ผู้ตาย อายุ ๙๔ เป็นคนเก่าแก่พอสมควร ของเมืองตรัง ลูกเขาตั้ง ๑๐ กว่าคน เพราะฉะนั้น งานใหญ่มากเลย

เรารีบฉันแล้วไป กะแล้วว่าสมณะยังไม่มาหรอก เมื่อไปถึง ๓ ทุ่ม รีบโทรศัพท์เข้าไปทักษิณฯ แต่ไม่บอก ว่าเป็นใคร ถามว่าสมณะจะมาไหม ทราบว่าท่านจะมาส่งศพ ตอนศพจะออก คือเที่ยง เราก็คิดว่า ควรไปก่อน ไปเป็นตัวแทน ก่อนศพจะออก พอดีหลานเขามีรถเก๋ง บริการตรงกับวันอาทิตย์ บริษัทเขาหยุด ไม่งั้นก็คงขลุกขลัก

๔ โมงเขาทำพิธีไหว้ศพ เข้าไปนั่งดู ดิฉันไม่รู้จักโกย้งหรอก รู้จักแต่คุณฮกเม้ง โกย้งมาเข้ากลุ่ม ทีหลัง แล้วเขาก็มากราบ แนะนำตัว ก็รีบออกตัว ทั้งที่เรายังไม่ทัน จะทักทายอะไร ว่าเขาคนเดียว สองคน
ไม่สามารถ คอนประเพณีได้ ไม่อาจคอนพี่น้องที่มี น้ำหนักเสียงข้างมากกว่า ให้ลดพิธีกรรม ฟุ่มเฟือย
ฟุ้งเฟ้อ วุ่นวายพวกนี้ แม้จะให้เลี้ยงมังสวิรัติสักมื้อ ก็ยังไม่ได้เลย เขารู้สึกอาย เราก็พูดให้สบายใจว่า ไม่ต้องกังวลหรอก พวกเราเข้าใจกันอยู่แล้ว

สักประเดี๋ยวหนึ่ง คุณสมหมายกับคุณอำนวย ก็มาจากพัทลุง จนกระทั่ง เกือบจะออกศพสัก ๒๐ นาที คณะของเราก็มา ตกลงได้สมณะ ๕ รูป สิกขมาตุ ๓ รูป ญาติโยมอีกเกือบ ๓๐ คน รถมา ๔-๕ คัน บวกกับรถ หลานเขยเราด้วย รวม ๕-๖ คัน ก็เข้าร่วม ขบวนได้เลย ไปส่งที่ป่าช้าแต้จิ๋ว ซึ่งอยู่ไม่ห่างจาก ตัวเมือง มากนัก

พอไปส่งศพ ที่ป่าช้าเสร็จ เราก็ถามหลานเขยว่า วันนี้ว่างใช่ไหม? พา สม.ทองพราย ไปดูทักษิณอโศก หน่อย เพราะไม่เคยเข้าไป แม้เราเคยเข้าไป ก็ยังมองเห็นความเปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งแต่ ทิศทางถนนสายนั้น ใหญ่โต กว้างขวาง สะอาดสะอ้าน สวย เพราะดอกเฟื่องฟ้า ตรงเกาะกลางถนน กำลังออกดอก ถนนสี่เลน มีไฟฟ้า เรียบร้อย ปั๊มน้ำมัน อยู่ตรงช่วงนั้น แต่ตอนช่วงเข้าไป ในทักษิณนี่สิ เหมือนเดิม ทางลูกรังยังขรุขระ

เข้าไปถึง สมณะกับญาติโยมยังไม่กลับหรอก รอส่งศพ ไปเจอสมณะรับแขก อยู่ที่ศาลาอยู่รูปเดียว แล้วมีชาวบ้าน มาคุยด้วย ๓ คน ท่านก็บอกรถเต็ม ไปไม่ได้ เราคิดว่า เราตัดสินใจถูกแล้ว ไม่งั้น จะมาเป็นภาระ ทางทักษิณอีก กำลังสร้างอะไร ติดกับศาลา ก็ไม่รู้ ดูในภาพ ตอนที่จัดงานภราดร ทักษิณสวยมากเลย แล้วก็สะอาดเรียบร้อย ช่วงนี้เละเลย เพราะอยู่ระหว่าง ก่อสร้าง ไปเขตสมณะ ที่แบ่งเขตไว้ ก็มีอิฐหิน ดินปูนเต็ม

พอออกจากที่นั่น ขณะจะพ้นแนวรั้วทักษิณ รถตู้ที่คณะสมณะนั่งไป กลับมาถึงพอดี ท่านบอกว่า เดี๋ยวเขา จะประชุมกลุ่มด้วย ที่มากันพร้อม ก็มาจากกลุ่ม พิงกันอโศกที่พังงา กลุ่มสงขลา พัทลุง มารวมกัน ไปงานศพ เป็นทีมใหญ่ พอสมควร

เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้ ทางใต้ทุกแห่ง ไม่ใช่เฉพาะที่ตรัง ที่ตรังก็มีนิสัยอย่างนั้นอยู่แล้ว คือชอบความร่ำรวย
ฟุ้งเฟ้อ เพราะฉะนั้น งานศพที่เขาแจกซอง ขอบคุณคนที่เอารถมาช่วย เขาไม่แจกเป็นเงินแล้ว เขาแจกเป็น ล็อตเตอรี่ โอย! เพลียหัวใจ เพราะล็อตเตอรี่นี่ หนึ่งราคาไม่แพง ถ้าแจกเป็นเงินสดนะคะ ถ้าไม่ใช่ ธนบัตร สีแดง มันก็คงจะน้อยหน้าเจ้าภาพใช่ไหมล่ะ คนรับเขาก็พอใจนะ ก็เพิ่งรู้นี่แหละ


พอไปถึงที่นั่น เขาประกอบพิธีแบบเดิมๆ ซึ่งก็ใช้จ่ายเงินเยอะ เท่าที่ไปนั่งดู เขาต้องให้เงิน การกุศล มูลนิธิต่างๆ โรงเรียนต่างๆ ไม่ต่ำกว่าสิบยี่สิบซอง งานนี้นี่ดิฉันว่า ไม่ใช่แสนเดียวนะ อาจจะเข้าหลักล้านก็ได้ จึงเห็นใจ ความรู้สึกของโกย้ง กับคุณฮกเม้ง ที่มาปฏิบัติสายเรา


เพราะฉะนั้น เมื่อกลุ่มของเราเข้าไปนี่ สองคนนั่น ปลีกตัวออกมา จากกลุ่มญาติ มากราบอย่างดีเลย ดูสีหน้าออกเลยว่า มีความอบอุ่นใจขึ้น เรารู้สึกว่า ตัดสินใจถูกแล้ว ที่เดินทาง แม้ลำบากมาร่วมงานนี้

พอรุ่งเช้า แม้สายบิณฑบาต เราก็พยายาม ไม่ให้เป็นสายเดียวกับสมณะ เพราะเมืองตรังกว้างมาก เรารู้สาย บิณฑบาต ว่ามีกี่สาย ให้เราเดินทุกสาย ก็คงไม่ได้ทุกวัน นอกจากจะจัดวัน เดินสายนอก คนไม่รู้จักชาวอโศก ไม่รู้จักทักษิณอโศก สายถนนสังขวิท เพลินพิทักษ์ ถ้าสายใน ก็สายตัวเมือง สายทางด้านอนุสาวรีย์ กับหมู่บ้านใกล้ๆ เขาไม่รู้จักหรอก แต่รูปธรรม ที่เราออกไป เดินบิณฑบาต ซึ่งดิฉันจะรักษา ให้มั่นคง จะไม่ข้ามถนน จะเดินเส้นเดียว แล้วจะหยุด ให้เขามาใส่เอง คนฮือฮามากเลย แล้วทึ่งมาก แต่เราเห็นว่า มีเวลาน้อย บอกเขาว่า ถ้าสนใจ ให้ไปทักษิณ อโศก มีสมณะ มีหมู่กลุ่มอยู่ที่นั่น ที่นี่เป็นสังฆสถาน เราไม่อยากรับแขก เล็กๆ น้อยๆ ให้เขาไปที่นั่นเลย เพราะที่นั่น ปักหลักไว้แล้ว เป็นการบิณฑบาตที่ดีมาก

ดิฉันไม่พยายามใช้ภาษาท้องถิ่น เพราะต้องการพิสูจน์ธรรมะว่า เราไม่ได้มีส่วนโยงใยอะไร ทั้งนั้น ดูสิว่า ธรรมะ ในตัวเราจริงๆ เขาจะเห็นได้ ซึ่งก็พิสูจน์ได้ผลดี

พอดีกลุ่มทักษิณฯ มีพวกพิงกันอโศก คุณใบแพร ไปร่วมด้วย บอกว่าสิกขมาตุนิมนต์ไปพังงาด้วย ดิฉันคิดว่า ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ แต่คุณใบแพร เขาก็เป็นคนเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยแดนอโศกโน่น แล้วเขาก็ค่อนข้าง มีจิตใจอ่อนโยน ไม่อยากให้ผิดหวัง รับปากว่าจะไป แต่เขากลัวเราแฉลบ บอกว่าสิกขมาตุไปไหน จะขอไปด้วย แล้วกลับพังงาพร้อมกัน เราบอกไม่ได้หรอก เพราะไม่ไว้ใจ ในสถานภาพของตัวเอง ว่าจะมี อะไรเกิดขึ้น เพราะเราเดินทาง แบบพึ่งตัวเอง ให้เขาไปคอยที่พังงา ก่อนก็แล้วกัน

เพราะคิดว่าจะลงภูเก็ตก่อน จะไปเยี่ยมคุณป้า แม่ชีประกอบ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส วัดอภิธรรมคุณชี ซึ่งเป็นวัดเดียว ในประเทศไทย ที่มีสภาพเป็นวัดที่สมบูรณ์ คือมีเจดีย์บรรจุพระธาตุ มีทั้งโบสถ์ ศาลา และโรงเรียนอภิธรรม แต่ไม่มีนักบวชชายเลย เป็นวัดชีล้วนๆ ตั้งมา ๔๐-๕๐ ปีแล้ว สมภารเป็นผู้หญิง และรับเฉพาะผู้หญิง อยู่ประจำประมาณ ๓๐ รูป ถ้าเป็นเทศกาล เข้าพรรษา ก็จะมี ๕๐-๖๐ รูป ทำกิจ เหมือนวัดทั่วไป ที่ภูเก็ต จะมีการรับกิจนิมนต์ ไปสวดงานศพ ส่งสอบพระอภิธรรม และฉันสองมื้อ มีแม่ชี ประกอบรูปเดียว ที่ฉันมังสวิรัติ แต่ไม่บังคับให้คนอื่นฉัน เคยพบกันเมื่อ ๒๐ กว่าปี ที่แล้ว ก็จะไปเยี่ยม ไม่ได้เจอ มาหลายปีแล้ว อายุ ๗๐ กว่า

ตกลงหลังจากบิณฑบาต เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจาก สม.จินดาไปเยี่ยมเยียนเพื่อน ที่เรียน มช.มาด้วยกัน สองสามคน เลยลงภูเก็ต ไปถึงสภาพวัดคุณชี พัฒนามาก ได้รับความนิยมมากขึ้น ตระกูลใหญ่ของพังงา คือตระกูลวานิช และตระกูลใหญ่ของภูเก็ต คือตระกูลบุญสูง เป็นอุปัฏฐากที่ดีอยู่ที่นี่ สถานที่ก่อนนี้ เงียบมาก เป็นที่วิเวก อยู่เชิงเขารัง แต่ตอนนี้ โรงแรมขึ้นเต็ม แต่ที่หน้าวัดเป็นที่ของวัดแท้ๆ คนก็พยายาม ขอซื้อ นายทุนพยายาม จะสร้างโรงแรม แต่มีอาถรรพ์อย่างไรไม่รู้ สร้างไม่ได้ ต้องมีเหตุเป็นไป ทำเลเหลือ อยู่ตรงนั้น เขาก็เปลี่ยนแปลง ขอเปลี่ยนเป็นโรงพระ แบบทางใต้ ลงศิลาฤกษ์สำเร็จ วัดยังขยายอาณาเขต ไปบนเขารัง เป็นที่วิเวก สำหรับเดินจงกรม เป็นกุฏิเล็กๆ เคลื่อนที่ได้ และเป็นป่าช้าด้วย อีกเกือบ ๒ ไร่ คือส่วน ที่เห็นขยาย แล้วมีวิหารหุ่นขี้ผึ้ง เจ้าอาวาสชีรูปก่อนๆ

เราค้างคืนเดียว ไม่ได้บิณฑบาต ตี ๔ แม่ชีประกอบให้คนมาส่งที่ บขส. เดินจากวัดคุณชีเขารัง มา บขส. แม่ชีที่ไปส่งบอกว่า นี่ถ้าแม่ชีประกอบรู้ว่า พาพวกเราเดินจากวัดมาถึง บขส. คงจะตำหนิแย่เลย เพราะอยาก ช่วยเหลือ ให้เราสะดวก

มาถึงพังงาตอน ๘ โมงเช้า ใบแพรเขาบอก มาคอยตั้งแต่ ๖ โมง ไม่เจอ เห็นป้ายบอกว่า พิงกันอโศก จึงเข้าไปถูก สภาพของพังงา ดิฉันอดชื่นชม ไม่ได้ว่า ภาคใต้ที่เห็นมา พังงาเป็นเมืองที่สงบ เป็นเมืองที่ เรียบร้อยมาก เราเคยเห็น แม้แต่ตรังเอง เป็นเมืองที่เคยเรียบร้อย เคยสงบ พลุกพล่านไปหมดแล้ว
แต่พังงา ยิ่งได้รับคำอธิบาย บอกเล่าจากคุณสาโรจน์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัด ซึ่งเป็นญาติธรรมกลุ่ม พิงกันอโศก พาเราไปชมสถานที่ ในเวลาอันจำกัด บอกว่าที่พังงานี่ แหล่งอบายมุข ยาบ้ามีน้อย แค่เราไป สัมผัสบรรยากาศ ก็รู้สึกแล้วว่า ที่นี่ไม่เหมือนที่อยู่ ถนนเมนยังเงียบเลย ร้านค้าก็ปิดเงียบ คนไม่มาก
รถก็ไม่ขวักไขว่ ส่วนใหญ่นิยมใช้มอเตอร์ไซค์

เหมาะสมกับภูมิประเทศที่เป็นถนนแคบ วกวน วกเขา การใช้มอเตอร์ไซค์ ทำให้เขารู้จักคน แค่รถจอด ไว้ตรงไหน ก็รู้เลยว่านี่รถของใคร หน้าตาแปลกๆ มา รู้เลยว่านี่คนต่างถิ่น แล้วที่อื่นที่เราไป แม้แต่ที่ตรัง ตลาดกลางคืน เยอะแยะ แต่ที่พังงาไม่มี ประชาชนเขาไม่ จุ้นจ้าน บ้านที่อยู่ กว่าจะเข้าไป พิงกันอโศกนี่ ผ่านทาวนŒเฮ้าส์ ทุกคนอยู่ในบ้านเงียบ ทั้งกลางวันกลางคืน แสงสีไม่มาก

คุณสาโรจน์พาไปดูสถานที่สำคัญ เช่น ถ้ำสุวรรณคูหา ซึ่งเป็นที่เก็บกระดูกของต้นตระกูล ณ ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง สมัยสงครามถลาง ที่เกิด ท้าวเทพกษัตรี -ท้าวศรีสุนทร บรรยากาศเงียบสงบ เขาบอกว่า เป็นที่ ที่นักท่องเที่ยวมา แต่ก็เงียบ พาไปสวนศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นสวนใหญ่ กลางเมืองแท้ๆ มีสภาพของถ้ำ น้ำ สวน ทุกอย่างพร้อม มีอนุสาวรีย์ สมเด็จย่าด้วย แต่ก็เงียบ คนก็ไม่ไปพลุกพล่าน ไม่ไปนั่งทำอะไรเละเทะ เห็นแต่เอาอาหาร ไปกินเป็นครอบครัว จอดรถไป นั่งกินแบบธรรมชาติ ไม่ต้องเสียเงินใดๆ

ไปดูอ่าวพังงา ซึ่งเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวจะต่อไปเกาะปันหยี ข้ามฝั่งทะเลไป ก็เงียบ ถามโรงแรม ที่ทันสมัย ที่สุดที่นั่น ราคาไม่แพง เพียงคืนละ ๖๐๐ บาท บรรยากาศที่นั่นสงบ คนก็เรียบร้อย พูดจาเรื่อยๆ เข้าไปอยู่ สองวันหนึ่งคืน มีคนมาอบรม ทำจุลินทรีย์ ทำแชมพู ฮั้วเขาก็ออกไป เป็นวิทยากร ธ.ก.ส.ด้วย ของพวก อบต. เห็นเขาเขียน ที่กระดาน ไม่น่าเชื่อว่า เขามีกิจกรรมตลอด ทั้งที่มีคนเป็นหลัก อยู่แค่สองคน

ช่วงที่เราไป พวกการศึกษานอกโรงเรียน ซึ่งเป็นอิสลามก็มาฝึกงาน พวกนี้คุณฮั้วบอกว่า สอนง่ายกว่า คนไทยอีก คนไทยที่เข้าไปอบรม ไม่ค่อยสนใจ เท่าที่ควร ไม่ค่อยเตรียมพร้อม อย่างที่พระคุณท่านพูด อิสลามเขาดีมาก วันนั้นเขามาสิบกว่าคน เขาเตรียมมาพร้อมเลย วัสดุมี พวกมะเฟือง มะนาว พวกพืชป่า กระเจี๊ยบ จันทน์เทศน์ เป็นของที่ใช้หมักได้ แล้วก็บอกให้เขาเอาวัตถุดิบ ในท้องถิ่นของเขา ที่เขามี ให้เขาต้มมาให้เสร็จ ก็สำเร็จรูป มาส่วนหนึ่งแล้ว บอกไม่ต้องซื้อ หาในท้องถิ่นของตัวเอง ในหมู่บ้าน ของตัวเองแหละ เขาก็หามา ใส่ถุงมา เราก็เพียงบอก ส่วนผสมให้เขา เอาส่วนนี้ใส่เท่านี้ ผสมอย่างนี้ๆ เท่านั้นแหละ ภายในสองชั่วโมง เขาก็ได้น้ำยา ได้แชมพูกลับไปเลย เขาไม่รังเกียจ ที่จะฟังธรรมจากเรา เพราะคุณฮั้ว แนะนำว่านี่นะ เราจะมาฝึก ก็ต้องไหว้ครู เขามาฝึก ๑๐ วัน วันละ ๑ อย่าง เพื่อจะนำไปใช้ ในครอบครัว บางคนก็เอา ไปขายได้ด้วย ฮั้วบอกว่า เคยออกงาน หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เคยไปจ๊ะเอ๋กัน บอกเรียนมาจากพิงกันอโศก

ปรากฏว่าเขาก็ทำได้ดีด้วย ได้ประโยชน์มาก ที่เขาจะไปมาหาสู่เรา เขามีวัตถุดิบของเขา เช่น ผักบางชนิด ผลไม้ประจำท้องถิ่น เขาจะเอามาให้เรา และซื้อวัตถุดิบ จากเราบางส่วน เช่น วัตถุดิบที่ใช้ ผสม พวกเกลือ และ หัวเชื้ออะไรบ้าง ส่วนนี้เราก็ได้ เชื่อมโยง

ดิฉันทึ่งตรงที่ว่า ระยะทางจากปากซอย จะเข้าไปในพิงกันอโศก โอ้โฮ ! ลี้ลับติดกับเขาลูกช้าง มีลูกค้า เข้าไปติดๆ กันเลย ไปซื้อของน่ะ เรามีอาหารเสริม วัตถุดิบ แล้วเขายังทำอาหารมังสวิรัติ ไว้เผื่อให้คน
มาทาน ทั้งวันด้วย เลี้ยงพวกที่เป็นลูกค้า และพวกเรา ที่ฝากปาก ฝากท้องไว้ด้วย

ฉะนั้นขณะอยู่ที่นั่น ทั้งได้คุยธรรมะ และได้ช่วยงานเขาด้วย สองวันเต็ม รู้สึกว่า ถ้าอย่างนี้ ก็มีประโยชน์ ญาติโยมที่มา ก็ตั้งใจมาคุยด้วย ก็น่าชื่นชม ได้ข่าวว่า วันหนึ่งไม่ต่ำกว่า ๓-๔ พัน แล้วก็ส่งเงิน เข้ากองกลาง ทักษิณอโศก เนื้อที่เขาไม่เยอะ เป็นที่เล็กๆ เป็นสมบัติเก่า ของโยมลัดดา แม่คุณฮั้ว แล้วพี่น้องเขา
ก็อยู่ใน นั้นแหละ เป็นทาวนŒเฮ้าส์ด้านนอก แต่ที่พิงกันอโศก เป็นที่สุดด้านใน

ไปเจอวัสดุอย่างหนึ่ง เราคนใต้ก็ยังไม่รู้จัก เขาทำเพิงออกมา จากอาคารเดิม เพิงทำด้วยใบสาคู
ใบสาคูนี่ คล้ายจากมาก เรานึกว่าเป็นจาก แต่ใบหนากว่า สีสดกว่า ออกน้ำตาลไหม้เลย ตับใหญ่กว่า
แข็งแรง เขาก็เอาใบสาคู มาทำเพิงต่อออกมา ทำให้ อากาศเย็นดี ข่าวว่า ที่ใต้มีสองฤดู คือฤดูฝน กับฤดูร้อน ไม่หนาวเลย

ยิ่งเห็นชัดเมื่อเราออกบิณฑบาต ตอนแรกโยมบอกว่า จะให้โยมผู้ชาย มารับไปส่งในตลาด ซึ่งสมณะ ท่านไป จะใช้วิธีนี้ แต่เราบอกว่า ไม่ต้องหรอก เราขอเดินจงกรมเช้าๆ ดีกว่า ใครจะใส่ไม่ใส่ก็แล้วแต่ เดินไปเรื่อยๆ มีถนนเส้นหนึ่ง แยกเล็กแยกน้อย ทางใต้เขาเรียกควน ซอยตรงบ้านพักผู้ว่าฯ เข้าไป โอ ! โยมดีใจกันใหญ่เลย เขาไม่รู้จัก กลุ่มพิงกันอโศก ไม่รู้จักทักษิณอโศกหรอก เขาศรัทธามากเลย เขาบอกว่า วันนี้เป็นบุญ เป็นปีใหม่ ที่ดีมากเลย ที่ได้ใส่บาตรพิเศษ กับพวกเรา เขาถามว่า ลูกจันทน์เทศฉันเป็นไหม เป็นผลไม้ มีกลิ่นเครื่องเทศ รสซ่าๆ คนต่างถิ่น จะทานไม่เป็น พอบอกทานเป็น ก็ใส่บาตรมา และแนะนำเขาว่า ให้ไปกลุ่มพิงกันอโศก หรือไม่ก็ ทักษิณอโศกโน่น ใส่บาตรจนล้นบาตร

เห็นที่นี่ ที่สุภาพบุรุษใส่บาตรเรา ซึ่งเป็นผู้หญิง หาไม่ได้ง่ายๆ เลย ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตั้งใจว่า จะใส่บาตร เขาขี่จักรยานยนต์ ผ่านเราไปดักข้างหน้า

ที่เห็นคนพังงาอีกแบบหนึ่ง เป็นสุภาพบุรุษ ผู้ชายอายุ ๗๐ กว่าแล้ว เดินเล่นอยู่กลางถนน สายที่เราไป เป็นสายเปลี่ยว เราต้องการเดินจงกรม ต้องหาที่ที่เงียบ พร้อมกับบิณฑบาตไปด้วย เขาก็เข้ามา ยกมือไหว้ อย่างสุภาพ ถามว่า มาจากไหนครับ ที่นี่ ไม่มีบ้าน บอกไม่เป็นไรหรอกโยม ก็เดินไปเรื่อยๆ เขาก็บอกว่า ไปทางนี้สิครับ แล้วเลี้ยวไป ทางโน้นทางนี้ ซึ่งปกติคนใต้ จะไม่ค่อยมีนิสัยอย่างนี้ โดยเฉพาะ สุภาพบุรุษ เลยเชื่อว่า พังงานี่เป็นเมืองพระ


แต่กระนั้นก็ยังทราบจากคุณสาโรจน์ เล่าให้ฟังว่า ผมนี่เป็นคนบาปเหมือนกันนะ ผมจับชีจับพระไปสึก คือไปเจอกระบวน การบิณฑบาต ชี-พระ จนเขาสะดุดว่า จริงหรือเปล่า เข้าไปบีบคั้น จนสารภาพว่าปลอม
มีการแย่งชิง ตำแหน่งเจ้าคณะฯ แต่คนพังงา ก็มีสติปัญญา ในการกลั่นกรอง โดยเฉพาะ คุณสาโรจน์นี่ เป็นญาติธรรมใหม่ แต่เฉลียวฉลาด มีประสบการณ์ชีวิตมาก มีความรู้เกี่ยวกับ ท้องถิ่นตัวเองทุกอย่าง ทั้งในแง่ตำนาน ประวัติศาสตร์ สังคม เป็นแพทย์หน่วยเคลื่อนที่ ของสมเด็จย่า เป็นคนเอาภาระสังคม พยายามจัดสรร ให้เกิดความถูกต้องในสังคม ฉะนั้น เวลาพวกเรา จากหน่วยกลางชาวอโศก สมณะลงไป คุณใบแพรบอกว่า คุณสาโรจน์ชอบรับหน้าที่ พาไปดูสถานที่ต่างๆ และอธิบายให้ฟัง ถ้าไม่อยากไปดู ไม่สนใจเท่าไหร่ ก็จะเปลี่ยนใจทีเดียว ถ้าเจอคุณสาโรจน์ คุณใบแพรโฆษณาไว้อย่างนั้น เพราะเขามี ความสามารถจริงๆ แล้วก็ได้รู้อุปนิสัย ใจคอที่แท้จริง ของคนที่นี่

ความจริงเขาไม่ได้เป็นคนพังงา เป็นคนภูเก็ต แต่เขาบอกว่า ที่พังงานี่ดีกว่า เพราะเป็นเมืองพระ ดิฉัน ก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆ เพราะไปที่นั่นสองวัน ไม่เห็น ความเกกมะเหรกอะไร แล้วก็ไม่เห็นผู้หญิง แต่งสายเดี่ยว ไม่เห็นสถานที่เริงรมย์ ที่เอะอะโวยวาย หรือ พลุกพล่าน เงียบสงบไม่ว่า กลางคืน กลางวัน หรือ ตอนเช้า ยิ่งไปเจอบรรยากาศ ของญาติโยม ที่เขาไม่รู้จัก หัวนอนปลายเท้า เราเลย ยิ่งเชื่ออย่างนั้นจริงๆ รู้สึก ดีจังเลย

มาดูสังคมทุกวันนี้ ที่นายกทักษิณ แจกวันเด็ก เขาเอามาให้ รูปทักษิณ เหยียบลูกฟุตบอลนะ รูปฟุตบอล "เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคต ที่สดใส"

ชีวิตคนนี่เหมือน ลูกฟุตบอล ไม่ว่าฐานะไหน ดิฉันว่าไม่ว่าเด็กหรือ ผู้ใหญ่ เหมือนลูกฟุตบอลจริงๆ ถูกโลกียะ เตะไปเตะมา ล้มลุกคลุกคลาน เหมือนลูกฟุตบอลจริงๆ ยากเหลือเกิน ที่จะพ้นจากการโดนเตะ

พ่อท่านเคยพูด ให้ฟังนานแล้วว่า คนนี่เหมือนพยาธิในโลก เออ ! เดี๋ยวนี้ซาบซึ้งขึ้น จริงๆ เลย คนนี่คือ พยาธิในโลก พยาธิไม่ใช่ของดีนะ เจาะไชโลกอยู่ตลอดเวลา เพราะเห็นพฤติกรรม เห็นความประพฤติ เห็นบรรยากาศ อ่อนใจจริงๆ อ่อนใจมากๆ เยาวชนทุกวันนี้ อ่อนแอ ผู้ใหญ่ก็อ่อนข้อ อ่อนใจ คือระบบ ที่จะให้เด็กเคร่งครัด หรือยืนหยัดยืนยัน ให้เด็กรักในสิ่งที่ดี กติกามันรู้สึกว่า เปิดโล่งมากเลย ต่างจากสมัย ที่เราเป็นเด็ก ดิฉันอยากให้รัฐมนตรีมหาดไทย จัดระเบียบสังคม ในโรงเรียนจังเลย ทุกโรงเรียนน่ะ ซึ่งไม่ใช่ของใหม่เลย

สมัยก่อนโรงเรียนที่เราเรียนมา การนุ่งกระโปรง ยาวกี่นิ้ว คลุมหัวเข่าเท่าไหร่ แขนเสื้อยาวเท่าไหร่ ผมยาว เท่าไหร่ เครื่องประดับห้ามใช้ เสื้อผ้าราคาแพงห้ามใช้ สถานที่ตรงไหนห้ามไป การติดต่อ ทางจดหมาย จากคนภายนอก จากต่างเพศ ต้องผ่านเซ็นเซอร์ อย่างเคร่งครัด การคบหาไปมาหาสู่ หรือการไปเรียนรู้ สถานที่ต่างๆ ล้วนแต่มีเงื่อนไขทั้งนั้นเลยว่า สิ่งไม่ดี อย่าไปรู้ไปเห็น อะไรที่ไม่เหมาะ สมกับวัย อย่าไปยุ่ง อย่าไปรับ โอ้ ! แม้แต่สื่อสารต่างๆ ก็มีกติกาว่า นี่เป็นรายการของเด็ก นี่เป็นรายการ ผู้ใหญ่ แม้แต่ผู้ใหญ่ ในบ้านเองก็ปฏิบัติ ในแนวเดียวกัน เรื่องใดที่เด็กไม่ควรรู้ ผู้ใหญ่จะไม่พูด อย่างโป้งโล้ง อะไรที่ทำแล้วไม่งาม อะไรที่พูดแล้วลามก จะไม่พูดให้เด็กในบ้านได้ยิน ไม่พูดให้ลูกหลานได้ยิน ไม่ทำให้ลูกหลานเห็น

แต่เดี๋ยวนี้ผู้ใหญ่ก็ละเลยส่วนนี้ ไม่ได้วางกติกา ควบคุมอารมณ์ ควบคุมพฤติกรรมตนเองว่า สิ่งใด ที่ล่อแหลมต่อการฟูเฟื่องของกิเลส แม้พ่อแม่มีเรื่องไม่ถูกใจกัน ขัดคอกันบ้าง มีเรื่องเดือดร้อน เป็นปัญหา พ่อแม่ก็สงบเสงี่ยม ลูกยังไม่รู้เลยนะพ่อแม่เขา ผิดใจกัน เขากำลังมีเรื่องกัน เพราะเขาไม่ทำ ให้ลูกเห็น พ่อแม่ในสายตาของลูก ยังคือผู้มีคุณสมบัติที่ดี มีบุคลิกภาพ ที่น่ากราบไหว้บูชา น่าเลื่อมใส กิจการงาน อะไร พ่อแม่จะประกอบอาชีพอะไร ต้องคิด กระเทือนถึงลูกเต้าไหม ปิดบังไม่ให้ลูกเต้ารู้หรอก ถ้าไม่ชอบมา พากล ที่สอนมากที่สุด "รักอะไรก็รักได้ แต่ต้องคำนึง ถึงชื่อเสียง ของวงศ์ตระกูล" ทำอะไร ต้องคำนึงถึง ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล แม้กิเลสของเราจะมี อยากแหวกเหล่า ผ่ากอ อยากจะทำอะไรเปิ๊ดสะก๊าด ก็ต้องนึกถึง ชื่อเสียง ของวงศ์ตระกูล โรงเรียนครู ก็สอนถึง ชื่อเสียงของสถาบัน

แต่เดี๋ยวนี้แม้แต่ชื่อเสียง ชื่อเสีย... ของตัวเอง ก็ยังไม่คิด ไม่เลย ผู้ใหญ่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่า ตัวเอง กำลังทำชื่อเสีย... ประทับลงไป ในความทรงจำ ในความรู้สึกของผู้เยาว์ หรือผู้น้อย เด็กไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่คิดอะไรทั้งนั้นแหละ ขอให้ได้กิน ได้เล่น ได้เที่ยว อาจจะมีบ้าง ที่ตั้งใจเรียน หรือตั้งใจ ทำสิ่งที่ดี ในระดับ โลกียธรรม แต่ก็ยังมีสภาพ ที่ดีกว่าทุกวันนี้ อาชีพต่างๆ ในสมัยก่อน เป็นอาชีพ ที่ตั้งอยู่บนศีลธรรม ขอโทษ เถอะ ! บริหารธุรกิจโรงแรม ประชาสัมพันธ์ ทำทัวร์ หรือเป็นนักร้อง นักเต้น นักรำ จะสมัครเล่น หรือ กิตติมศักดิ์ ก็แล้วแต่ รับรองโดนตำหนิ ยิ่งเป็นผู้หญิง สิ่งเหล่านี้จะไม่มีโอกาสเลย

สมัยก่อนอาชีพของผู้หญิง ถูกสงวนไว้ ทำให้รู้สึกว่า เป็นอาชีพที่ดี มีเกียรติ มีแค่อาชีพครู เสริมสวย ตัดเย็บเสื้อผ้า การเรือน พยาบาล ค้าขายตามอาชีพเดิม ของบรรพบุรุษ เกษตรกรรม แม้ตามโรงงาน ยังมีน้อยเลย ผู้หญิงทำงานโรงงาน ในความรู้สึกของคน สมัยก่อนแย่มาก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องพูดเลยว่า
เด็กซึ่งกฎหมายควบคุมแรงงาน เดี๋ยวนี้ก็เละเทะ

เพราะฉะนั้น มองดูโลกทุกวันนี้ จริงๆ เลยที่พ่อท่านบอกว่า "คนคือพยาธิของโลก" ถ้าจำไม่ผิด หลวงปู่ พุทธทาสมั้ง บอกว่าชีวิตคน เหมือนลูกฟุตบอล โดนเตะไปเตะมา เพราะฉะนั้น เราเข้ามาเจอ ธรรมะอโศก อย่าให้เหมือนลูกฟุตบอลที่โดนเตะ โดยเฉพาะกิเลสของเราเอง ไม่ใช่เราโดนเตะหรอก กิเลสเรานั่นแหละ เตะเราซะ สะบักสะบอม เราได้ชื่อว่า "ญาติธรรม" ระวัง! จะกลายเป็น "พยาธิของโลก"

เด็กของเรา เราพยายามที่จะช่วยเหลือ แนะนำ หรือนำทางให้เขา ก็รู้สึกว่ามีเงื่อนไข อนุโลมเยอะมาก ว่าจะต้องให้สอดคล้อง กับคนยุคนี้ แล้วอนาคตต่อไปอีกล่ะคะ มันจะสักแค่ไหน

เพราะฉะนั้น นอกจากจะเป็นงานเพิกถอนอวิชชาแล้ว เดินทางสัมมาอาริยมรรค ไปสู่จุดหมายปลายทาง ไปสู่ชีวิตที่ประเสริฐแล้ว ยังต้องรับภาระเหล่านี้ด้วย ดิฉันคิดว่า ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย แต่ถ้าหากเรา ยังเข้าไม่ถึง จุดหมายปลายทางนั้น และไม่มีอินทรีย์พละ แก่กล้าพอ มันเป็นงานที่แทบจะบอกว่า อย่างที่ตำนานเขียนไว้นั่นแหละ พระโพธิสัตว์ต้องถอนคำปฏิญาณ ต้องถอนอธิษฐานที่ตั้งใจ

ดังนั้นปีใหม่นี้ คิดว่าพวกเราชาวอโศกจะเคี่ยวเรา เพื่อสร้างมิตร พยายามขยันขันแข็ง ในการทำงาน เพื่อเพิ่มผลผลิต ให้กับคนอื่นๆ มากมาย ขณะเดียวกัน เราก็จะมีความเป็นวิญญาณ ดวงเดียวกัน คือวิญญาณ แห่งสันติสุข และเป็นประโยชน์แก่มวล มนุษยชาติ และมีมรรค-ผล-นิพพานด้วย

(ดอกหญ้า อันดับ ๙๙ มกราคม -กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕)