หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

บ้านป่านาดอย พลตรีจำลอง ศรีเมือง

อยู่บ้านป่า เวลาสื่อมวลชนติดต่อสัมภาษณ์ ผมพยายามเลี่ยง เพราะพูดไปก็เท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าไปลง
ข่าวผิดพลาด ผมต้องตามแก้เสียเวลาอีก

ที่ไต้หวัน นักข่าว หนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ กลุ่มหนึ่งขอสัมภาษณ์ผม เกี่ยวกับเรื่องที่ กำลังฮือฮาที่นั่น

"ในฐานะ ที่เคยมีตำแหน่งในเมืองไทย คิดอย่างไร เมื่อทราบว่า คนงานไทย ถูกสลากกินแบ่ง รางวัลที่ ๑ ของไต้หวัน ได้เงินหลายสิบล้านบาท"

"พวกคุณไม่น่าช่วยกันประโคมข่าวเลย ประเดี๋ยวคนงานไทยแห่ซื้อ สลากกินแบ่ง เป็นการใหญ่ หวังร่ำรวย ตามอย่างบ้าง ไม่เป็นอันต้องทำงาน ทำการกันละ คุณน่าจะลงข่าว ความจริงว่า คนไทยมาทำงาน ที่ไต้หวัน หลายสิบปี นับจำนวนเป็นล้านๆ คน เพิ่งถูกรางวัลที่ ๑ คราวนี้เอง"

ผมได้รับเชิญให้ไปพูดกับคนงานไทย ซึ่งรวมตัวกัน ที่เมืองไทเป ๒ แห่ง ให้กำลังใจ แก่นักรบแรงงาน ที่จากบ้านช่อง ไปขุดเงินขุดทอง ส่งกลับเมืองไทย พร้อมกับพูดให้นายจ้างไต้หวัน เห็นความสำคัญ ของคนงานไทยว่า สิ่งก่อสร้าง ใหญ่ๆ โตๆ หลายแห่ง สร้างสำเร็จด้วยฝีมือคนไทย หลายต่อหลายชีวิต ต้องตายไป ในขณะทำงาน เพราะอุบัติเหตุ

ผมให้คนงานไทยเตือนตัวเองทุกวันว่า เขาคือคนไทยที่ช่วยหาเงินตราเข้าประเทศ หาเงินส่งให้ญาติ เขาเป็นนักรบ แรงงาน ไม่ใช่นักการพนัน ไม่ใช่คนขี้เหล้าเมายา คนเล่นการพนัน คนติดอบายมุขหาความเจริญไม่ได้ นานๆ อาจมีคนโชคดี ถูกหวย ขอให้เล่นมากๆ ต่อไปเถิด เจ๊งแน่

เมืองไทยขณะนี้ก็ลงข่าวครึกโครมเหมือนกับจะช่วยโฆษณาให้โรงหวย รายหนึ่งเป็นหนุ่มขับรถตู้รับจ้าง ซื้อหวย ธ.ก.ส. ๔,๐๐๐ บาท ถูกรางวัลได้ ๑๐ ล้านบาท อีกรายหนึ่งถูกรางวัลที่ ๑ หวยรัฐบาลได้ ๖ ล้านบาท รายนี้เจ้าตัวยอมรับ ว่าสัปดน ฝันเห็นอวัยวะเพศหญิง มาลอยอยู่ตรงหน้า แล้วเอาไปตีความหมาย เป็นตัวเลขแทงหวย สื่อมวลชน ไม่ป่าวประกาศ ให้ทราบโดยทั่วกันว่า คนจำนวนมากมายหมดเนื้อหมดตัวเพราะหวย ฆ่าตัวตายก็มีไม่น้อย จะได้เลิก มัวเมากันบ้าง

หลายปีมาแล้วมีข้าราชการในหน่วยงาน หนึ่งของ กทม. เข้ารับการฝึกอบรมที่โรงเรียน ผู้นำ ไม่เห็นด้วย กับการเคร่งครัด เร่งรัดให้เลิกสิ่งเสพติด เมื่อจบการฝึกอบรม ก็เย้ยหยันว่า "เรามีเงิน จะสูบบุหรี่ ใครจะทำไม" ไม่มีใครทำไม แต่ปรากฏว่าข้าราชการ ผู้ชายของหน่วยงานนั้น ซึ่งมีอยู่ประมาณ ๑๐ คน ตายก่อนเกษียณหมด ส่วนใหญ่ตาย เพราะสูบบุหรี่จัด

หนึ่งคนในจำนวนนั้นฐานะดีมาก สารภาพก่อนตายว่า "รู้อย่างนี้ เชื่อเสียก็จะดี จะได้มีเวลาอยู่กับลูกเมียได้นาน"

ผู้เข้ารับการอบรมหลายคนกินเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน เมื่อกลับไปก็เลิก ได้ผลมากจนพวกครูต้องเตือนกันเองว่า
โรงเรียนผู้นำไม่ใช่โรงเรียนปราบยาเสพติด เป็นโรงเรียนที่มุ่งลดความเห็นแก่ตัวเป็นหลัก การเลิกอบายมุข และ ยาเสพติด เป็นเพียง ส่วนประกอบเท่านั้น

ขณะที่หลายคนหลายองค์กรในจังหวัด ต่างๆ ช่วยกันรณรงค์ต่อต้านสิ่งเสพติด รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง กับการแก้ ปัญหาเศรษฐกิจ ออกมาประกาศความตั้งใจจะหาเงินเข้ารัฐ เป็นกอบเป็นกำ จากบุหรี่ โดยแปรรูปโรงงานยาสูบ ขายหุ้นให้บริษัทบุหรี่ต่างชาติ และนำไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ระดมทุน ขยายกิจการ ให้ผลิต และขายบุหรี่ ได้มากมายมหาศาล โดยไม่คำนึงถึงผลร้ายที่จะตามมา

การทำอย่างนั้น บริษัทบุหรี่ต่างชาติที่ชำนาญการตลาด สามารถทำให้ราคาถูกกว่า ในปัจจุบัน คนจะซื้อบุหรี่สูบ เพิ่มขึ้นมากมาย หลวงจะเสียเงิน รักษาคนขี้ยา ซึ่งมากมายกว่าเงิน ที่จะได้จากบุหรี่ คนไทยแปรรูปโรงทำบุหรี่ คนไทย ฆ่าคนไทย ด้วยกันเอง ให้ตายไปด้วยความหวังดี

ผู้ที่เห็นด้วยกับการแปรรูป อ้างว่าปีหน้า คือปี ๒๕๔๖ เราจำเป็นต้องแปรรูปอยู่ดี เพราะจะต้องทำ ตามกฎเกณฑ์ ของการค้าเสรี เก็บภาษีนำเข้าบุหรี่ต่อไปอีกไม่ได้ บุหรี่นอกจะถูกกว่าบุหรี่ไทยมาก คนไทยจะเฮโล สูบบุหรี่นอก จึงจำเป็นต้องคิดแปรรูป ขยายการผลิตให้ราคาลดลง จะได้สู้กับบุหรี่ต่างประเทศได้

เอะอะอะไรก็จะต้องยอมเพราะเป็น กฎเกณฑ์การค้าเสรี การค้าที่คนไทยต้องตาย อย่างเสรี

นายกฯ ทักษิณกล่าวสุนทรพจน์ที่ประเทศเม็กซิโก ชักชวนให้ประเทศ ที่กำลังพัฒนา คิดถึงเรื่องการค้าเสรี ให้จงหนัก ว่าจะเป็นคุณ หรือเป็นโทษกันแน่ คนไทยที่ติดตามเรื่องนี้ เดาไม่ออกว่า รัฐบาลจะแก้ไขอย่างไร เพราะได้ถลำไป เต็มตัวแล้ว

ผมไปญี่ปุ่นคราวนี้มีผู้ออกค่าใช้จ่ายให้หมด คือ คุณนิพนธ์ สุรพงษ์รักเจริญ รองเลขาธิการ สภาอุตสาหกรรม คนคนนี้ อ่านชีวประวัติ หมอโทกุดะ แล้วเลื่อมใสมาก ขอให้ผมพาไปพบให้ได้ แม้จะต้องเสียค่าใช้จ่าย ในการเดินทาง มากก็ตาม

ผมเคยเล่าใน "เราคิดอะไร" ฉบับก่อนๆ แล้วว่า หมอโทกุดะตั้งตัวได้ด้วยการเริ่มหาทุน สร้างโรงพยาบาล จากการกู้เงิน ธนาคาร เอาชีวิตตนเองเป็นเดิมพัน ทำประกันชีวิต และทำพินัยกรรมให้ธนาคารไว้ หากกิจการทำท่าจะเจ๊ง ก็จะฆ่าตัวตาย ไม่ให้ธนาคาร ต้องมีหนี้สูญ ทำวิธีนี้ไม่กี่ครั้ง ก็มีโรงพยาบาล เป็นทรัพย์สินในการลงทุนต่อๆ ไป จนมีโรงพยาบาล และคลินิกถึง ๑๒๘ แห่ง จะขยายสาขาไปเปิดโรงพยาบาล ในประเทศต่างๆ อีก ๖ ปี จะรักษาคนไข้ ให้ได้ถึง ๑๐ ล้านคน

ปีที่แล้ว หมอโทกุดะ สร้างโรงพยาบาลที่ประเทศบุลกาเรียด้วยปณิธานอันแน่วแน่ ว่าให้แล้วให้เลย จะไม่เอาเงิน กลับประเทศญี่ปุ่น เป็นอันขาด ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศทุนนิยม แต่หมอโทกุดะ ทำกิจการแบบ บุญนิยม

หมอโทกุดะ ดีใจมากที่พวกเราชื่นชม ผลงานของแก ถึงขนาดข้ามน้ำข้ามทะเลไปพบ สละเวลา ประกบอยู่กับพวกเรา หลายต่อ หลายชั่วโมง พาคณะไปร่วมงานเลี้ยงจับไม้ จับมือกับอดีตนายกรัฐมนตรี ญี่ปุ่น ๒ คน พานำเที่ยวชม ทุกซอกทุกมุม ของอาคารรัฐสภา และคาดคั้นเอาพวกเรา ไปตรวจโรค ที่โรงพยาบาล ทันสมัยของแก ริมทะเลนอกกรุง
โตเกียวออกไป ด้วยเหตุผลที่ว่า "ไม่อยากสนทนา กับคนที่คิดเหมือนๆ กัน แต่ไม่ยอม ตรวจโรค เพราะประเดี๋ยว ตายหมด จะทำให้แกเหงา" โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับผม โรงพยาบาล หมอโทกุดะ ตรวจโรคให้ผม ครั้งสุดท้าย เวลาผ่านมากว่า ๓ ปีแล้วผม ยังไม่ไปตรวจโรคที่โรงพยาบาลไหนอีกเลย ผมเลยจนใจต้องให้ตรวจโรคอีกครั้ง คุณประพัฒน์ ซึ่งถูกตรวจโรคด้วยคนหนึ่งยืนยันว่า ถ้ามาตรวจโรค อย่างละเอียด แบบนั้นในเมืองไทย เราแต่ละคน จะต้องเสียเงิน คนละเป็นหมื่นๆ บาท

ห้องประชุมรัฐสภาของญี่ปุ่นทั้งแก่ทั้งเก่า เขาไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยน จะสร้างใหม่ให้สวยหรู ทั้งๆ ที่ร่ำรวยเงินทอง ไม่เหมือนประเทศ ยาจกอย่างเรา มีหนี้สินล้นพ‰นตัว แค่ดอกเบี้ย ก็แทบไม่มีปัญญาจ่าย แต่คิดอยู่เสมอ พยายามจะสร้าง อาคารรัฐสภา ให้ใหญ่กว่าเก่า เก๋กว่าเก่า ทั้งๆ ที่ปรับปรุงไปแล้วหลายครั้ง เสียเงินไปเยอะแยะ

อยากอยู่อย่างรวยๆ จึงต้องจนตลอดไปอย่างนี้

นอกจากจะเป็นเจ้าของกิจการรักษาพยาบาลใหญ่เป็นที่ ๓ ของโลกและใหญ่ที่สุด ในญี่ปุ่นแล้ว หมอโทกุดะ ยังเป็นหัวหน้า พรรคการเมือง และเป็นส.ส.ด้วย เข้าไปในสภาใหม่ๆ ฝ่ายรัฐบาลนึกว่า เป็นพวกเดียวกัน จับไปนั่งใกล้ๆ ไม่นานเท่าไร ก็ย้ายแกไปนั่งที่อื่น

หมอโทกุดะเป็นหัวหน้าพรรค ที่มีความสุขที่สุด หัวหน้าพรรคอย่าง ดร.ทักษิณ ไม่มีทางเทียบแกได้ แกอยากจะพูด อยากทำอะไร ทำได้ทั้งนั้น ไม่ต้องเกรงใจ คนไหนในพรรค เพราะทั้งพรรค แกได้รับเลือกเป็น ส.ส. คนเดียว

คนที่เดินทางไปญี่ปุ่นนอกจาก คุณนิพนธ์ คุณประพัฒน์ โพธิวรคุณ นักธุรกิจชื่อดัง ซึ่งคาดกันว่า จะเป็นประธาน หอการค้าไทย คนต่อไปแล้ว ที่ขาดไม่ได้ สำหรับการไปญี่ปุ่นทุกครั้งคือ คุณปัทมาวดี วงศ์สายัณห์ ผู้ที่ช่วยให้คนญี่ปุ่น รู้จักผม

คุณปัทมาวดี และคุณนิพนธ์ พาพวกเรา ไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัย ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุด ของญี่ปุ่น ได้สนทนากับศาสตราจารย์ ดร.ซูฮิโร และคณะอาจารย์ ญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่ง อาจารย์ซูฮิโร เป็นศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยโตเกียว รุ่นน้องคุณปัทมาวดี สอนคณะเศรษฐศาสตร์ คณะที่คุณปัทมาวดี เคยเรียน เมื่อหลายปีมาแล้ว

ดร.ซูฮิโรหยิบหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่ง ยื่นให้ผม เป็นหนังสือที่แกเขียนเอง เขียนเรื่องผมทั้งเล่ม เราคุยกันหลายเรื่อง มีอยู่ตอนหนึ่ง แกบอกตัวเลขที่น่าสนใจ "ปีที่แล้วประเทศญี่ปุ่น ตายเพราะอุบัติเหตุ ๘ หมื่นคน ฆ่าตัวตาย หนึ่งแสน สามหมื่นคน"

คนไทยพัฒนาประเทศมานาน เลียนแบบ อยากจะเจริญเหมือนฝรั่งเหมือนญี่ปุ่น ประชาชนมั่งคั่งร่ำรวย ทั่วหน้ากัน แล้วมีความสุข จริงหรือเปล่า ทำไมจึงต้องฆ่าตัวตาย ถึงปีละ หนึ่งแสนสามหมื่นคน

เมืองไทยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปัญหาไม่เว้นแม้กระทั่ง ในแวดวงศาสนา เรากำลังมีความคิด ขัดแย้งกันอย่างหนัก เรื่องพระราชบัญญัติสงฆ์ คนกลุ่มหนึ่งเห็นว่าศาสนา (พุทธ) เสื่อมเพราะกฎหมายล้าสมัย จึงคิดปรับปรุง แก้ไขเสียใหม่ ร่างเสร็จแล้ว คนอีกกลุ่มหนึ่ง คัดค้านหัวชนฝา ใครผิดใครถูก ชาวพุทธทั้งประเทศมึน ต่างก็ว่า ความคิด ของพวกตนถูกต้อง

ที่ไต้หวัน ไม่เห็นเขาพูดกันถึงเรื่องกฎหมายสงฆ์ ตั้งหน้าตั้งตาเผยแพร่ ศาสนาพุทธ ทำประโยชน์ให้แก่ตนเอง
และผู้อื่น ไม่น่าเชื่อ ไต้หวันโตเท่าจังหวัด เชียงใหม่ เท่านั้นเอง แต่กิจกรรมทางศาสนาพุทธของเรา ทั้งประเทศ เทียบเท่าเขา ไม่ได้เลย ยกตัวอย่าง แค่เผยแพร่ศาสนาพุทธ ทางโทรทัศน์ ก็สู้เขาไม่ได้แล้ว เขามีโทรทัศน์ ช่องพุทธศาสนา ล้วนๆ ถึง ๔ ช่อง

วัดใหญ่ๆ ของเขาใหญ่ทั้งอาคารสถานที่ และกิจกรรม บางวัดมีสาขาในต่างประเทศมากมาย มีมหาวิทยาลัยสงฆ์ ใหญ่ๆ ของวัดเอง ทำทั้งสังคมสงเคราะห์และสร้างคน ตอนที่น้ำท่วมใหญ่ จังหวัดแพร่ หน่วยสังคมสงเคราะห์ ของวัดในไต้หวัน ส่งเงินส่งอุปกรณ์ ข้าวของไปช่วย ช่วยทั้งของกินของใช้และสร้างที่พักอาศัยให้ ยิ่งทราบยิ่งเห็น ก็ยิ่งอายเขา ชาวพุทธไทยทำอะไรอยู่

วัดภิกษุณีของไต้หวันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวัดพระสงฆ์ เผยแพร่ศาสนา ช่วยเรื่องสังคมสงเคราะห์ ควบคู่กันไป กับการสอน การสร้างคน อย่างวัดของภิกษุณีเจิ้งเหยียน ที่ดำเนินงานโดย มูลนิธิฉือจี้ มีมหาวิทยาลัย ภิกษุณีใหญ่ๆ ถึง ๒ แห่ง มีสาขาของวัดในประเทศต่างๆ มากมาย เศรษฐีไต้หวัน ศรัทธามาก

นอกจากไปดูเรื่องพุทธศาสนาแล้ว คณะของเราสนใจ การแปรรูปอาหาร- เจนานาชนิด ไต้หวัน มีโรงงาน อุตสาหกรรม ครอบครัว กระจายอยู่ทั่วเกาะไต้หวัน ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คนไต้หวัน โดยเฉลี่ย เงินเดือน มากกว่าเรา แต่เต้าหู้และอาหารเจ หลายชนิด ราคาถูกกว่า คนจนของเขา อยู่ได้อย่างสบาย คณะ ที่ไปไต้หวัน ตั้งใจว่า จะต้องมากระตุ้นให้พวกเรา ตั้งโรงเต้าหู้ ที่ทันสมัยให้ได้

กลับมาจากเมืองนอกมาถึงเมืองไทยไม่นานเท่าไร เกิดเหตุเภทภัย คนไทยทะเลาะกันใหญ่ สื่อมวลชนออกมาบอก
ประชาชนว่า รัฐบาลกำลังคุกคาม ขู่เข็ญ รังแก ด้วยวิธีการต่างๆ นานา โดยเฉพาะ ที่สั่งการให้คณะกรรมการ ปปง. (คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน) ตรวจสอบทรัพย์สิน ของสื่อมวลชน ในธนาคาร และ สถาบัน การเงิน รัฐบาลออกมาชี้แจงว่าเปล่า ไม่ได้สั่ง บอกเท่าไหร่ ก็ไม่ใคร่มีใครเชื่อเลย ตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาสอบสวน มีคุณวิษณุ เครืองาม เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นประธาน

คณะกรรมการแจ้งผลการสอบสวนเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคมว่า ที่ ปปง. ตรวจสอบทรัพย์สินสื่อมวลชนนั้น ไม่มีนักการเมือง คนไหนสั่ง ปปง. ทำไปตามหน้าที่ และไม่ได้ ตรวจสอบเฉพาะ สื่อมวลชน ตรวจสอบผู้คน มากมาย หลายกลุ่มอาชีพ เมื่อตรวจไม่พบอะไรผิดก็ยุติเรื่อง คณะกรรมการเสนอให้ สอบสวนลงโทษ ทางวินัยข้าราชการ ๒ คน
ที่ทำเกินเหตุคือ เลขาธิการ ปปง.และผู้อำนวยการ สารสนเทศ ปปง.

ขณะที่กำลังมีเรื่องมีราวได้ไม่นาน ฝุ่นกำลังตลบอยู่ไม่รู้อะไรเป็นอะไร ผมตั้งวงคุยกันสมาชิกท่านหนึ่งเป็นคนดีมาก เป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชนทั่วไป ท่านพูดว่า "เรื่องนี้ผมรู้ดี เขาไม่ได้ตรวจสอบเฉพาะสื่อมวลชน ปปง. ตรวจสอบ คนหลายอาชีพ มีทั้งนักธุรกิจ ข้าราชการ ทหาร นักการเมือง และสื่อมวลชน เขาทำกันมานานแล้ว ทำตั้งแต่สมัย รัฐบาลชุดก่อน ปปง. เกิดขึ้นมา สมัยรัฐบาล ชุดที่แล้ว ไม่ใช่ชุดนี้"

พวกเราคนหนึ่งถามทันที "ทำไมไม่ออกมาบอกให้ประชาชนทราบล่ะครับ เพราะท่านไม่ได้เป็นพวกใคร ประชาชนเชื่อแน่ จะได้ไม่โกลาหลวุ่นวาย มาตั้งหลายวัน"

"ผมไม่พูด เพราะผมไม่ชอบ ปรับคณะรัฐมนตรีคราวที่แล้ว เอาคนยังงั้นๆ มาเป็นรัฐมนตรีได้ยังไง"

เรื่องจริงเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ศรัทธาของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าทำให้เขาเสื่อมศรัทธา เมื่อเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่ช่วย ปล่อยให้รัฐบาล ถูกสับเละ เกือบครึ่งเดือน เสียหายมาก

รัฐบาลเก่งเรื่องแปรรูป

แปรมิตรให้เป็นศัตรู

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๑ เมษายน ๒๕๔๕)