อ่านฉบับ 128   อ่านฉบับ 130

บ้านป่านาดอย โดยจำลอง

หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร ฉบับที่ 129 เดือน เมษายน 2544

อยู่บ้านป่าในช่วงเวลานี้สบายไปอย่าง ไม่ต้องคอยระวังว่าไฟจะไหม้ป่าตรงไหน เมื่อไร เพราะฝนโปรยมาเป็นระยะๆ คนมือบอนหมดปัญญา จุดเท่าไรไฟก็ไม่ติด

สมาชิก เราคิดอะไร คนหนึ่งพบผมที่นั่นบอกว่าผมกลับมาเขียนอย่างนี้ดีแล้ว แต่อยาก ขอร้องให้ช่วยโฆษณาว่าจะช่วยหมาน้อยด้อยโอกาสได้อย่างไร บริจาคที่ไหน เพราะตั้งมา ย่างเข้าปีที่ ๑๔ แล้ว ใช้จ่ายปีละกว่า ๔ ล้านบาท โดยไม่ได้เงินจากหลวง ไม่มีองค์กรต่างประเทศ หรือเศรษฐีใหญ่รายไหนช่วยเลย กลัวจะไปไม่รอด

หมู่บ้านหมาน้อยด้อยโอกาสอยู่ห่างจากที่ผมอยู่กิโลเมตรกว่าๆ เท่านั้นเอง เป็น ที่สุดของโลก อย่างหนึ่ง เลี้ยงหมามากที่สุดในโลก ผมจึงขออนุญาตลงโฆษณาในฉบับนี้

ก่อนที่อาจารย์ปุระชัยจะเป็นรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย วันหนึ่งเราคุย แลกเปลี่ยน ประสบการณ์กัน อาจารย์ไปเจอข้าราชการกระทรวงที่ท่านเป็นรัฐมนตรีอยู่ในขณะนี้ ทำตัวเป็น เจ้าขุนมูลนาย ทำให้ประชาชน เดือดร้อน ผมก็คุยเสริม

มีการประโคมข่าวเป็นระยะๆ ว่า ควายไทย กำลังจะสูญพันธุ์ แต่แปลกที่บ้านป่านาดอย เลี้ยงควายเดนตายไม่กี่ตัวออกลูกอยู่เรื่อย หน้าแล้งไม่รู้จะหาหญ้าที่ไหนให้กิน ชาวไร่ชาวนา อำเภอไทรโยคกลุ่มหนึ่งอยากมีควายแต่ไม่มีเงิน ตัวละหมื่นกว่าจะไปเอาเงินที่ไหน น้ำท่าอุดมสมบูรณ์หญ้ารกตลอดปี เลยเกิดความคิดว่า ต้องหาควายไปเป็นรถตัดหญ้า ตัดไป ก็ให้ปุ๋ยกองโตๆ ไปเรื่อยๆ

เมื่อได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะทำตามกฎ ๓ ไม่ คือ ไม่เอาไปฆ่า ไม่เอาไปขาย ไม่เอาไปแลกเปลี่ยน กับใคร จะเลี้ยงจนเขาตายไปตาม อายุขัย ผมกับผู้จัดการสวนสัตว์เลี้ยงก็ตกลงให้ ๕ ตัว อยู่ในวัย หนุ่มสาวสามารถกำจัดหญ้าได้ดีเยี่ยม

ผมมีประสบการณ์ในการขับรถขนย้ายวัวควายมาก่อน เตรียมหาทางไม่ให้เกิดการรีดไถรายทาง ซึ่งคนขับรถบรรทุกพบอยู่เสมอๆ จนพูดกันติดปากว่า "รถหมูชิดซ้ายรถไม้ชิดขวา" ผมติดต่อปศุสัตว์ จังหวัด ปศุสัตว์อำเภอ ทำตามระเบียบทุกประการ แล้วหารือกับคุณศิริลักษณ์ว่า ขนควายเที่ยวนี้ ผมจะต้องไปด้วยไหม ได้ความว่าคงไม่ต้อง เพราะอำเภอไทรโยคอยู่ไม่ไกล จึงทำหนังสือ อีกฉบับหนึ่งว่า มูลนิธิที่ชื่อผมขนควายไปให้ชาวบ้าน ขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ช่วยอำนวย ความสะดวกให้ด้วย เราให้เขาเปล่าๆ ไม่ได้ขาย เราไม่มีเงินเสียเบี้ยบ้ายรายทาง

ใกล้ค่ำของวันที่ขนควาย วัฒน์คนขับรถหน้าม่อยกลับมา บอกว่าถูกยึดใบขับขี่ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งอีกสองวัน วัฒน์จะต้องขับรถรับคุณหมอเฉก ธนะสิริ ไปสอนที่บ้านป่าฯ ถึงกลางทาง เขาสั่งให้รถจอด บอกให้ผมพาควายไปอำเภอ ไปคุยกับเขาที่นั่น ผมไม่ยอมเพราะควายมันตากแดด ร้อนเลยถูกยึดใบขับขี่ เอาหนังสือมูลนิธิให้ดูและชี้ไปที่ชื่อมูลนิธิข้างรถเขาก็ไม่ฟัง ยึดใบขับขี่ท่าเดียว วัฒน์เล่า พร้อมกับรับสารภาพว่า ถูกยึดใบขับขี่โดยไม่รู้ว่าคนยึดเป็นใคร

ผมต้องกระโดดขึ้นรถ ไปตระเวนหาคนยึดใบขับขี่ให้ได้ ตรงบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่ถูกจับ ถามตำรวจ ตำรวจบอกว่าเปล่า ถามเจ้าหน้าที่ด่านปศุสัตว์ ก็บอกว่าไม่ทราบ ไม่มีใครไปจับรถควาย ผมถามไปเรื่อยๆ จนมืดถึงได้รู้

วันรุ่งขึ้นผมรีบโทรศัพท์ถึงผู้ว่าฯ แต่เช้า ผู้ว่าฯครับ ภายในเย็นวันนี้ถ้าไม่มีใครเอาใบขับขี่ไปคืน พร้อมกับน้ำมัน ๒๐ ลิตรที่มูลนิธิต้องใช้ไปในการตามหา ผมจะเอาเรื่องจนถึงที่สุด ลูกน้องผู้ว่าฯ ทำอย่างนี้ ประชาชนเดือดร้อน "อย่าเพิ่งทำอะไรครับ ผมจัดการเอง ปลัดอำเภอไม่มีสิทธิ์ยึดใบขับขี่" ผู้ว่าฯรีบบอกให้ผมสบายใจ

ใกล้ค่ำอีกแล้วยังไม่ได้ทั้งใบขับขี่และน้ำมัน ผมชวนวัฒน์ไปอีกครั้ง กำลังจะเข้าแจ้งความ กับนายร้อยเวร สถานีตำรวจไทรโยค ให้จับปลัดอำเภอ ฐานลักทรัพย์ ขโมยใบขับขี่ไป นายตำรวจคนหนึ่งออกเวร เดินไปคุยกับผม ผมก็เลียบๆ เคียงๆ ถามเรื่องทั่วๆ ไปเกี่ยวกับอำเภอ จึงได้ทราบว่า นายอำเภอกำลังยืนดูฟุตบอลอยู่ไม่ไกลนัก

จะไปแจ้งจับลูกน้อง โดยไม่บอกให้เจ้านาย เขาทราบดูจะโหดเกินไป ผมจึงวานนายตำรวจ คนนั้นไปเชิญนายอำเภอ มาคุย นายอำเภอขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ พร้อมกับยืนยันว่า ปลัดอำเภอได้ส่งเจ้าหน้าที่ เอาใบขับขี่ไปคืน พร้อมน้ำมันที่ปรับ คงสวนทางกับผมแน่ๆ เมื่อผมกลับไปถึงบ้านป่า ก็พบว่าเป็นจริงตามนั้น วัฒน์ถามผมว่าถ้าปลัดอำเภอแกล้งเอาอะไร ใส่ไปในน้ำมันรถเราไม่พังหรือ ผมบอกว่า คิดป้องกันไว้แล้ว ผมกะจะเอาน้ำมันไปจุดตะเกียง ไม่ใช่ไปเติมรถ

เรื่องนี้เมื่อ อ.ปุระชัย มาเป็นรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย คงพยายามเปลี่ยนความคิด ให้ข้าราชการ คิดใหม่ ทำใหม่ ข้าราชการไม่ใช่เจ้านาย แต่เป็นผู้ให้บริการ เป็นผู้รับใช้ประชาชน

ที่โรงเรียนบ้านป่า (รับนักเรียนอายุ ๒๕-๕๐ ขวบ) วันก่อนผมนึกอะไรขึ้นมาไม่รู้ บรรยายแถม ให้นักเรียนฟังเพิ่มเติม ว่านายทหารยศพลเอก ท่านหนึ่งเกษียณแล้ว เคยเป็นเจ้านายสมัยที่ ผมเป็นนายทหารหนุ่มๆ ปรารภกับผมว่า น่าเป็นห่วงประเทศไทย คนไทยไม่รู้เอานิสัยแย่ๆ มาจากไหน ที่ชอบทำลายล้างกันเอง และเริ่มตั้งแต่สมัยใดก็ไม่รู้ พยายามค้นประวัติศาสตร์ ก็ไม่พบ

บ้านเมืองเราไม่พัฒนา เพราะเอาแต่อิจฉาตาร้อน ไม่สนับสนุนคนดีที่มีความรู้ ความสามารถ ต่างกับประเทศเพื่อนบ้าน มหาเธร์เป็นนายกรัฐมนตรีเสียงข้างน้อย ของมาเลเซียมา ๑๗ ปีแล้ว มาเลเซียเคยตามหลังเรา ขณะนี้นำหน้าไปไกล

คนไทยพอเห็นใครที่ไม่ใช่พวกเดียวกันทำท่าจะได้เป็นใหญ่ ต้องรีบขวางรีบกำจัด ขืนปล่อยไปจะใหญ่จนโค่นไม่ลง เริ่มต้นด้วยการใส่ร้ายป้ายสีจนถึงขั้นการประหัตประหาร

หลังการพูดของผมเพียง ๒ ชั่วโมง ก็ได้ข่าวเครื่องบินที่ท่านนายกฯ จะเดินทางไปเชียงใหม่ ระเบิดพังพินาศ บางคนตั้งข้อสังเกต ว่าผมไม่เคยพูดถึงเรื่อง คนไทยทำลายล้างเผ่าพันธุ์กันเอง มาก่อนเลย เหมือนกับจะหยั่งรู้ ผมไม่มีความสามารถไปหยั่งอะไรทั้งสิ้น เป็นไปโดยบังเอิญแท้ๆ

เรื่องการเมืองเป็นประเด็นสำคัญประการหนึ่งของการสอบสวน ประชาชนอยากรู้ให้แน่ว่า เป็นเพราะอะไรจึงพยายามฆ่านายกฯ ทั้งพลเอกชวลิต ประธานการสอบสวนและนายกฯ บอกว่าจะรู้ผลวันนั้นวันนี้ก็เลื่อนมาเรื่อย

การบินไทยเช่าหน้าหนังสือพิมพ์ประกาศเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันประณามผู้ก่อเหตุ ซึ่งทำให้เสียเงินเปล่าๆ เพราะพอได้ข่าวระเบิดทุกคนก็ประณามอยู่ในใจแล้วว่าคนที่วางระเบิด ไม่น่าทำชั่วถึงขนาดนั้น ถ้าทำสำเร็จไม่ได้ฆ่านายกฯคนเดียว แต่ฆ่าผู้โดยสารทั้งลำ การบินไทย ยังประกาศให้รางวัลห้าแสนบาทอีก ด้วย แก่ผู้ที่ชี้เบาะแสเรื่องการระเบิด ซึ่งก็ดีเหมือนกัน อาจช่วยให้หาคนร้ายได้เร็วขึ้น แต่ก็เป็นการประจานว่า การบินไทยเองซึ่งรับผิดชอบโดยตรง ทำงานแย่ พร้อมๆ กับการย่อหย่อนของการท่าอากาศยาน รวมทั้งหน่วย ข่าวกรองทั้งหมด ของทหารและพลเรือน ปล่อยให้มีการลอบวางระเบิดฆ่านายกฯ โดยไม่มีใครรู้

เกิดเรื่องขึ้นทีหนึ่ง ก็สงสัยกันไปต่างๆ นานา เดิมมีการสงสัยเหมือนกันว่าอาจเกิดจากอุบัติเหตุ แต่เหตุผลไม่พอ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เครื่องบิน นับพันๆ ลำที่จอดในสนามบินต่างๆ ทั่วโลก ก็ต้องเกิดมีระเบิดกันไปแล้วบ้าง เครื่องบิน อยู่เฉยๆ ยังไม่ออกบินจะระเบิดได้อย่างไร

พบสารอาร์ดีเอ๊กซ์ ซึ่งเป็นสาร ประกอบหลัก ของดินระเบิดซีโฟร์โดยทั่วๆ ไป ดินระเบิดที่นิยมใช้ ได้แก่ ทีเอ็นที ไดนาไมท์ แอมโมเนียมไนเตรท โปแตสเซียมคลอเรต และซีโฟร์ ตัวอักษรย่อ "ซี" ใช้มากในทางทหาร เช่น เครื่องบิน ซี ๔๗, ซี ๑๒๓, และซี ๑๓๐ ส่วนที่เกี่ยวกับดินระเบิด ตัวซีย่อมาจากคำว่า คอมโปซิชัน เริ่มตั้งแต่ซีวันถึงซีโฟร์ (ซี๑ถึงซี๔) พัฒนาอำนาจการระเบิด ขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนนี้ซีวันถึงซีทรีเลิกใช้แล้ว เหลือแต่ซีโฟร์ ซึ่งรุนแรง กว่าดินระเบิดทีเอ็นที

การวางระเบิดต้องใช้มืออาชีพเพราะอันตราย พลาดพลั้งได้ง่าย ตอนเป็นนักเรียนนายร้อย ขณะกำลังฝึกการใช้ดินระเบิด นักเรียนนายร้อยรุ่นพี่ผมคนหนึ่งตายคาที่ ส่วนกองกำลังทหารไทย ในลาว อยู่ว่างๆ ก็ประดิษฐ์ที่เขี่ยบุหรี่เก๋ๆ โดยเอาดินระเบิดออกจากกระสุนปืนใหญ่บ้าง จากลูกระเบิดขว้างบ้าง ขาขาดแขนขาดกันอยู่เสมอๆ

ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญเรื่องดินระเบิดไม่ได้ มีอยู่ในแวดวงทหารตำรวจเท่านั้น พนักงานบริษัท ที่ระเบิดหินบ่อยๆ ชำนาญกว่า ดังนั้นคนลงมือทำ จึงไม่จำเป็นต้องเป็นคนมีสี

เรื่องที่ผู้คนสนใจน้องๆ เรื่องการระเบิด เครื่องบินก็คือ การฟ้องร้อง เป็นผู้จัดการมรดก พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ อดีตประธาน รสช. (ประธานคณะปฏิวัติ) ซึ่งมีมรดกถึง หนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบแปดล้าน บาท กับอีกหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นสี่พันเจ็ดร้อยยี่สิบแปดบาท ทำไมนายทหารรุ่นพี่ผมคนนี้ ถึงได้รวย นักหนา เพราะตลอดชีวิตที่รับราชการ ก็เป็นทหารอย่างเดียว

พลเอกสุนทรพูดย้ำเสมอๆ ว่า "ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน" หลายคนเกิดความสงสัยว่า แล้วขายอะไรล่ะถึงได้มีมรดกขนาดนั้น

ในคำบรรยายฟ้อง ภรรยาหลวง ได้อธิบาย ป้องกันคนสงสัยไว้เรียบร้อยแล้วว่า ขณะที่สามี มีชีวิตอยู่นั้น มีทั้งยศ ตำแหน่ง อำนาจบารมีในหน้าที่การงาน ทางราชการทหาร การเมือง และในการบริหารปกครองประเทศในระดับสูง เคยเป็นถึงหัวหน้าคณะปฏิวัติ มีอำนาจสูงสุด ในการบริหารปกครองประเทศ เคยเป็นพลโทมีตำแหน่งเป็น ผู้บัญชาการหน่วยสงครามพิเศษ เป็นพลเอกในตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เสนาธิการ ทหาร และผู้บัญชาการทหารสูงสุด

เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ(หัวหน้า รสช.) เป็นประธาน รสช. มีอำนาจสูงสุดเบ็ดเสร็จในการบริหาร และปกครอง ประเทศไทยในขณะนั้น มีอำนาจออกประกาศ ข้อบังคับกฎหมายต่างๆ ได้โดยตนเอง เป็นที่รู้จักกันของผู้คน ทั้งหลายโดยทั่วไปทั้งประเทศ มีบารมีเป็นที่เคารพนับถือ ยำเกรงอย่างสูง แก่ข้าราชการและประชาชนทั่วไป

ทรัพย์สินมีมากมายหลายรายการ ถ้าพลเอกสุนทรยังมีชีวิตอยู่ก็คงจำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง เช่น ที่ดินในเขตพระโขนง คอนโดมีเนียมที่พัทยา เงินสดในธนาคารหลายธนาคาร ธนาคารละนับร้อยๆ ล้านจนถึงพันกว่าล้าน เงินสดจากการขายบ้านในกรุงลอนดอน เงินลงทุนสถานีบริการน้ำมัน รถบรรทุก....

ใครที่สนับสนุนให้ทหารปฏิวัติก็ต้องคิดให้หนักถึงความสูญเสียที่จะตามมา เป็นหนังเก่าที่เอามา ฉายซ้ำ ครั้งแล้วครั้งเล่า นักปฏิวัติและพวกพ้อง ที่ตัดความโลภได้โดยสิ้นเชิงนั้น หายาก

สมัยที่ผมไปเรียนเมืองนอกใหม่ๆ ครูที่สอน เรื่องการเมืองการปกครอง เป็นคนอเมริกัน รู้ๆ กันอยู่ว่า อเมริกันนั้นประชาธิปไตยจ๋า แม้กระนั้นยังยอมรับว่า ระบบการปกครองที่ดีที่สุด ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นเผด็จการที่มีนักเผด็จการ ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยคุณงามความดี ทำเพื่อบ้านเมือง ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า จะไปหานักเผด็จการ คุณภาพ เยี่ยมอย่างนั้นได้ที่ไหน นอกจากนั้นบริวารก็ต้องเป็นคนดีด้วย มิฉะนั้นก็พังอีกเหมือนกัน

โรงเรียนผู้นำที่บ้านป่า ซึ่งผมเป็นครูอยู่ด้วย นั้น มีชื่อเสียงเรื่องการโน้มน้าวให้ละลดเลิกอบายมุข ตลอดเวลา ๑๓ ปีที่ผ่านมา เราช่วยให้ นักบริหารจำนวนไม่น้อยเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ได้ จนต้องกำชับกันว่า อย่าหลงประเด็น การช่วยให้ เลิกสิ่งเสพย์ติดเป็นผลพลอยได้ เป็นประโยชน์ เสริม ประเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าโรงเรียนเราเป็น โรงเรียนปราบยาเสพย์ติด มีแต่คนขี้เหล้าเมายา เท่านั้น ที่สมัครเป็นนักเรียน เสียหายหมด

ชาวโรงเรียนผู้นำดีใจเมื่อทราบว่า จะมี การเพิ่มภาษีเหล้าและบุหรี่ แม้เกรงกันว่าภาษีที่ได้ จะไม่พอเพียงกับการเอาไปโปะโครงการ รักษาทุกโรค ๓๐ บาทก็ตาม แต่หลวงต้อง เสียค่ารักษา พยาบาลผู้ป่วยเพราะเหล้าและบุหรี่ เป็นเงินปีละมากมายมหาศาล เป็นเรื่องที่ต้อง รีบแก้ไขอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังทำความเสียหาย ที่คิดเป็นตัวเลขไม่ได้อีกมากมาย เช่น ความเจ็บปวดทนทุกข์ ทรมานเพราะดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ความทุกข์นั้นเกิดขึ้นทั้งคนเสพและญาติพี่น้อง เหมาะแล้ว ที่จะขึ้นภาษีแพงๆ

คุณหมอวีรพงศ์ ผู้ช่วยครูที่มีหน้าที่บรรยายความโหดร้าย ของเพชฌฆาตทั้งสอง เวลาบรรยาย จะมีตับ ไต ไส้ พุงของคนขี้เหล้าเมายา ที่ตายไปแล้วมาให้ดู พร้อมกับฉายวิดีโอ คำสารภาพ ของเหยื่อ เดี๋ยวนี้เหยื่อทั้งหมดทิ้งไว้แต่ภาพกับเสียงเท่านั้น เจ้าตัวชวนกันไปที่ชอบที่ชอบหมดแล้ว

คุณหมอวีรพงศ์ หมอชนบทดีเด่นจากหาดใหญ่ เสนอไว้น่าคิดว่า กิจการโรงเหล้าและโรงบุหรี่ ต้องย้ายไปขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุขจึงจะได้ผล ถ้าอยู่ที่เก่า อยู่กับกระทรวงการคลัง ก็คงต้องคิดแบบเก่าๆ ทำอย่างเก่าๆ คือ หาทางขายให้ได้มากๆ กำไรเยอะๆ เพราะการหาเงิน เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง

ถ้าขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุขจะช่วยให้โครงการรักษาทุกโรค ๓๐ บาท เป็นจริง เป็นจังยิ่งขึ้น รัฐบาลน่าจะลอง

ที่จริงเรามีอะไรหลายอย่างที่ช่วยเสริมการละลดเลิกเหล้าและบุหรี่ ศาสนาพุทธ ห้ามดื่มเหล้า ห้ามสูบบุหรี่และห้ามขายด้วย พระทั้งหมดจำนวนนับแสนรูปไม่ดื่มเหล้า และขณะนี้พระส่วนใหญ่ ก็ไม่สูบบุหรี่แล้ว ศาสนาและผู้คนในวงการเป็นพลังแผ่นดินที่สำคัญซึ่งจะช่วยได้มากในเรื่องนี้

ระยะที่เริ่มรัฐบาลใหม่ๆ นี้มีความคิดดีๆ เกิดขึ้นมาก การเมืองเป็นกลไกสำคัญที่สุด ถ้ามุ่งไปสู่การเมืองอาริยะ การเมืองบุญนิยม จะแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ แต่ถ้ายังเป็นการเมือง แบบเก่าๆ ที่แก้ปัญหาโดยไม่มีศาสนาเป็นหลักยึด แก้อย่างไรๆ ก็ไม่สำเร็จ ถึงวันนี้ รัฐบาลและ ประชาชนพร้อมจะปฏิรูปการเมือง ครั้งสำคัญแล้วหรือยัง

อ่านฉบับ 128   อ่านฉบับ 130

(เราคิดอะไร ฉบับ ๑๒๙ เม.ย. ๔๔ หน้า ๗)