จากเมืองกรุงไปอยู่เมืองกาญจน์ บ้านป้านาดอย
ที่ล้อมรอบด้วยขุนเขา ผมมักได้รับคำถามเสมอๆ ว่า ไม่ห่วงบ้านเมือง แล้วหรือไร
ตัดช่องน้อย หนีไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยหรือนี่ ที่จริงผมก็เหมือนกับ หลายๆ
คนทั้งคนกรุงและคนบ้านนอก บ้านเมืองใคร ใครบ้างจะไม่ห่วง
ถึงจะมีภูเขามากั้น ป่าไม้มาบัง ก็ไม่ได้ทำให้ผมถูกตัดขาด
ได้ฟังวิทยุบ้างอ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ที่บ้านป่ารับวิทยุคลื่นเอฟ เอ็มไม่ชัด
แต่คลื่นเอเอ็มก็มีให้ฟังอย่างเหลือเฟือ ผมอ่านหนังสือพิมพ์วันละ ๔ ฉบับ
ฉบับละ ๘ บาทและ ๑๐ บาท ถ้าซื้อหมดก็ตก เดือนละเป็นพัน เอาไปทำประโยชน์อย่างอื่น
ได้อีกเยอะ ผมจึงซื้อฉบับเดียว ส่วนอีก ๓ ฉบับ คนอื่นเขารับหนังสือพิมพ์เป็นประจำ
อยู่แล้ว อ่านเสร็จ ผมก็อ่านต่อ ถ้าเฉลี่ยกันให้ดีฉบับหนึ่งๆ อ่านได้หลายคน
การเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างเมืองกรุงกับเมืองกาญจน์
โดยนั่งรถประจำทาง ต่อรถแท็กซี่ ผมมีโอกาสพูดคุยกับใครต่อใคร ทำให้ทราบว่าผู้คนในสังคม
กำลังสนใจเรื่องอะไร เดือดร้อนกับปัญหาอะไรบ้าง
ที่แล้วๆ มาผมเล่าให้ผู้รู้จักมักคุ้นฟังบ่อยๆ
"เงินหลวง ๑๐๐ บาท เป็นถนน สะพาน สิ่งก่อสร้างต่างๆ
เพียง ๒๘ บาท หาย หกตกหล่นเข้ากระเป๋าคนนั้นคนนี้ไปตั้ง ๗๒ บาท แล้วบ้านเมือง
จะไม่เจ๊งได้อย่างไร" ขบวนการโกงกินเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการประมูล
มีการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างผู้รับเหมาด้วยกันซึ่งเรียกว่า การฮั้ว โก่งราคาลิบลิ่ว
กีดกันบริษัทอื่นไม่ให้มีโอกาสเข้าประมูล ด้วยการ ใช้นักเลงข่มขู่หรือทำร้ายเอาดื้อๆ
บางครั้งก็ อุ้ม ไปกักขังไว้จนกว่าพวกของตัวจะประมูลได้งานไปเรียบร้อยแล้ว
ผมได้รับการยืน ยันจากบริษัทรับเหมาที่เมืองกาญจน์ ซึ่งเรื่องอย่างนี้
เกิดขึ้นทุกจังหวัดทั่วประเทศ
เสมือนจะเป็นการยืนยันคำพูดของผมเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม
เมืองกาญจน์ มีข่าวใหญ่เป็นครั้งแรกของประเทศ ซึ่งไม่เคยมีข่าวเช่นนี้มาก่อน
ตำรวจกองปราบ ปลอมตัวเป็นผู้รับเหมา เข้าร่วมประมูลงาน ๕๖ ล้านบาท ถูกกลุ่มอันธพาลข่มขู่
ทำร้ายร่างกาย ขัดขวางไม่ให้เข้าประมูล เลยถูกจับหมด ในจำนวนนั้นคนหนึ่ง
เป็นเลขาของ ส.ส.เมืองกาญจน์ ซึ่งทำอย่างนั้นมาหลายครั้งแล้ว
"เงิน อำนาจ ความลำเอียง
ทำเลว ทำลายได้ร้ายที่สุด"
|