หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

บ้านป่า นาดอย โดย... จำลอง

เพราะไปมีหน้าที่ "พัฒนาทรัพยากรมนุษย์" ผมจึงต้องเดินทาง จากบ้านป่า เข้ากรุงบ่อยขึ้น อยู่ป่า อยู่ดอย มาหลายปี ชักจะติด ทั้งๆ ที่เกิดในกรุง โตในกรุง และเป็นผู้ว่าฯ นครแสงสีมา ๖ ปีเต็ม

แต่ก่อน ค่อนข้างเงียบเหงา เหลียวไปทางไหน เห็นแต่ไม้ เห็นแต่ภูเขา ระยะนี้คึกคักขึ้น ผู้คน มากหน้า หลายตา ฐานะอาชีพต่างๆ กัน พากันไปรับการฝึกอบรม เป็นประจำ ชาวธนาคาร พนักงาน รัฐวิสาหกิจ ข้าราชการ สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ผู้นำสตรี และ ผู้นำเกษตรกร

ผมสอบถาม ผู้ร่วมงาน เพราะทำๆ ไปก็สงสัย เราคิดตรงกัน เห็นตรงกันหรือเปล่า ทำไม ทำติดต่อกันมา ได้ตั้ง ๑๕ ปี "เราทำไปทำไมกัน" คำตอบตรงกัน "ทำไปเหอะ ฝึกอบรมบ่อย หนักหน่อยก็ไม่เป็นไร เราอายุ มากขึ้นทุกวัน วันสุดท้าย วันที่จะร่ำลาจากกัน ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว"

คนทั่วๆ ไป ยิ่งแก่ยิ่งสบาย แต่พวกเราตรงกันข้าม

บ้านป่ายามนี้ น้ำแห้งที่สุด ในรอบ ๙ ปี ฝนตกบ้างเหมือนกัน พอทำให้ใบไม้เขียว แต่ไม่พอ ที่จะไหลลงบ่อ แห่กันไปท่วม ภาคเหนือ ภาคอีสานเสียหมด ผมมั่นใจ และพูดเสมอๆ ว่าอีกหน่อยตรงนั้น จะกลับมา เป็นต้นน้ำ ธรรมชาติที่สมบูรณ์ จะกลับคืนมา อย่างแน่นอน

ฉบับก่อนๆ ผมเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ผมไปที่วัดสวนโมกข์ กราบรูปปั้น ท่านอาจารย์ พุทธทาส เสร็จแล้ว ก็ไปกราบนมัสการ อาจารย์โพธิ์ ท่านเจ้าอาวาส องค์ปัจจุบัน ท่านยืนยันว่า เดี๋ยวนี้ วัดสวนโมกข์ มีน้ำไหลแล้ว สมชื่อ "วัดธารน้ำไหล" ในอดีต

เมื่อกลางเดือนกันยายน นายกฯ ทักษิณไปรับประทานอาหาร อย่างเงียบๆ ที่บ้านสวนไผ่สุขภาพ ท่านเล่าให้ฟัง ด้วยความดีใจ "เดี๋ยวนี้ห้วยแก้ว มีน้ำตกแล้วครับ ผมเพิ่งไปมา สวยมาก ลูกผมคนรุ่นใหม่ บ่นเสียดาย ไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปไปด้วย" ผมไม่ได้ถามสาเหตุ กลับไปชวนคุย เรื่องอื่นเสีย ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ เป็นข่าวสำคัญ ควรแก่ความสนใจ อย่างยิ่ง ใครๆ ก็รู้ว่า ที่น้ำตกห้วยแก้วนั้น น้ำเลิกตก มานานแล้ว

สองวันต่อมา ผมและคณะ "พัฒนาทรัพยากรมนุษย์" เดินทางไปโรงเรียนนายร้อยเดิม ถนนราชดำเนิน ซึ่งตอนนี้ เป็นกองบัญชาการ กองทัพบก กรมกิจการพลเรือน กรมที่มีหน้าที่พัฒนาคน บรรยายสรุป เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับโครงการ วิวัฒน์พลเมือง ให้เราฟัง

เสร็จการบรรยายและซักถาม ท่านเจ้ากรมก็คุยเรื่องสนุกๆ ตามประสาน้องๆ พี่ๆ "วันก่อน ผมไปเชียงใหม่ กับคณะของ ท่านนายกฯ ทักษิณ ไปน้ำตกห้วยแก้ว กลับมาท่านดีใจใหญ่ เจอใครก็เล่าให้ฟัง"

"พอไปถึงที่นั่น ข้าราชการไปต้อนรับกันพร้อมพรั่ง ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแล น้ำตกห้วยแก้ว ก็ชี้แจง ถึงสาเหตุ ที่ทำให้ ห้วยแก้วน้ำแห้ง ซึ่งมีหลายประการ เช่น มีการตัดไม้ ทำลายป่า มีการเผาป่า สภาพ ลมฟ้า อากาศ เปลี่ยนแปลงไป... ท่านนายกฯได้ฟัง ก็พยักหน้า เพราะเป็นเรื่องจริง ที่ทราบๆ กันอยู่แล้ว"

"ฟังคำชี้แจงเสร็จนายกฯ ก็พาคณะปีน ขึ้นไปข้างบน พบท่อน้ำขนาดใหญ่ หลายท่อ ดักน้ำ ต่อลงไป ใช้ข้างล่าง สั่งให้รื้อออก ใครอยากจะได้น้ำ ก็ให้ไปต่อดักเอา ข้างล่างน้ำตก เท่านั้นเอง น้ำก็ไหลซู่ซ่า กลับไปเป็น น้ำตกห้วยแก้ว เหมือนเดิม"

นายกฯ น่าจะไปแก้ปัญหาน้ำตกไทรโยคน้อย กาญจนบุรีด้วย คงมีลักษณะ เหมือนกัน เมืองไทยเรานี้ แสนดีหนักหนา ปัญหาอะไรๆ ใครที่มีหน้าที่ ไม่ต้องทำ เก็บไว้ให้นายกฯ ก็อยากอาสา เข้ามาเป็นนายกฯ ดีนัก ใช้เสียให้คุ้ม

บางครั้งผมมักมีเรื่องแปลกๆ ที่จะต้องมีส่วนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาด้วย บริษัทไทย บริษัทหนึ่ง ถูกโกง ที่ประเทศจีนมา ๙ ปีแล้ว ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ขอให้ผม ออกแรงนิดๆ อาจช่วยได้บ้าง

หลังเหตุการณ์เทียนอันเหมิน นักลงทุนต่างชาติ ไม่ไว้ใจสถานการณ์ในจีน เริ่มถอนตัว ไปลงทุน ที่ประเทศอื่น นครเซินเจิ้นของจีน ได้ขอร้องให้บริษัทเจริญกิจ สร้างตึกใหญ่โต มโหฬารตึกหนึ่ง ใจกลางกรุง เพื่อยืนยันว่า นักลงทุนไทย ยังไว้วางใจ สถานการณ์ ไม่ได้เลวร้าย อย่างที่คิด

บริษัทเจริญกิจ ซึ่งตอนนั้นฐานะการเงินดีมาก ได้ตกลงใจสร้างตึก ๖๕ ชั้นโดยมีชาวฮ่องกง ร่วมลงทุน สร้างเสร็จไปแล้ว หลายชั้น บริษัทเจริญกิจ ถูกชาวฮ่องกงยึดตึก นครเซินเจิ้นลำเอียง เข้าข้าง ชาวฮ่องกง อนุญาต ให้ชาวฮ่องกง จัดตั้งบริษัทใหม่ ครอบครองทรัพย์สินทั้งหมด เขี่ยบริษัทเจริญกิจออกไป ทำให ้บริษัทคนไทย เสียหายประมาณ ๔,๐๐๐ ล้านบาท

มีการฟ้องร้องอยู่หลายปี ศาลสูงสุดที่กรุงปักกิ่ง ตัดสินให้ฝ่ายไทยชนะ แต่นครเซินเจิ้นเฉย ไม่จัดการ บังคับคดี ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาล ซึ่งชาวฮ่องกง จะต้องคืนทรัพย์สินให้ บริษัทเจริญกิจ

ได้มีความพยายาม ที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ มาตั้งแต่รัฐบาลก่อนแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงไหน คณะเล็กๆ คณะหนึ่ง ซึ่งติดตามเรื่องราวมาตลอด ได้มีการประชุมกัน ขอให้ผมเรียนท่านนายกฯ คณะประกอบด้วย รองอธิบดี กระทรวงต่างประเทศ ท่านหนึ่ง อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ การต่างประเทศ จากมหาวิทยาลัย ท่านหนึ่ง และคุณพงษ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรม ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกฯ

ที่ประชุมมีมติว่า จะแก้ด้วยวิธีการทูตปรกติไม่ได้แล้ว เสียเวลามาตั้งแต่ ๙ ปีแล้ว ยิ่งนานไป ฝ่ายไทย ก็ยิ่งเสียเปรียบ ขอให้ผมเสนอท่านนายกฯ ตั้งผมเป็นทูตพิเศษ ของนายกฯ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "SPECIAL ENVOY" ไปเจรจากับ ท่านนายกฯ จูหรงจีของจีน หรือผู้แทน

เท่าที่ผมติดตามสอบถามผู้รู้ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยมีรัฐบาลไหนของไทย ใช้วิธีนี้เลย

ผมไม่สบายใจ ที่ต้องเสนอตัวเอง คณะทำงานชุดดังกล่าว ยืนยันว่า ได้พิจารณา อย่างรอบคอบแล้ว ผมเหมาะที่สุด ที่จะเป็น ทูตพิเศษ เพราะคดีนี้ เกิดขึ้นก่อนเล็กน้อย ก่อนที่ ดร.ทักษิณ จะเป็นรัฐมนตรี ต่างประเทศ และ ผมเป็นรองนายกฯ ที่ดูแลการต่างประเทศ ประกอบกับ ตำแหน่งปัจจุบัน ผมเป็น ที่ปรึกษานายกฯ

นายกฯทักษิณ มีหนังสือถึงนายกฯ จูหรงจีเป็นทางการ แต่งตั้งทูตพิเศษไปเจรจา ขอความเป็นธรรม จากนายกฯ จีนซึ่งนอกจากผม, รัฐมนตรีพงษ์เทพ, อาจารย์สถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ๑ ท่าน แล้วก็มี ข้าราชการระดับสูง ของกระทรวง การต่างประเทศอีก ๕ ท่าน

ก่อนหน้านี้ ผมบอกกับคณะทำงานว่า จะช่วยได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับผู้นำ ของทั้งสองประเทศว่า ท่านมีความเห็นอก เห็นใจ นักลงทุนไทยหรือไม่ นี่ผ่านมาไปขั้นหนึ่งแล้ว ท่านนายกฯ ทักษิณเอาด้วย เหลือแต่ ท่านนายกฯ จูหรงจี ซึ่งเราทายใจไม่ออก

นอกจากมีหนังสือเป็นทางการแล้ว ในการประชุม ที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ปลายเดือน กันยายน นายกฯ ทักษิณ ยังได้พูดเรื่องนี้กับ นายกจูหรงจี เป็นการส่วนตัวอีกด้วย

ในการประชุมที่บ้านพิษณุโลก ผมพูดกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ของกระทรวง การต่างประเทศว่า เราต้องทำ เต็มที่ แม้คดีนี้ จะเรื้อรังมานานก็ตาม เพราะการช่วยเหลือคนไทย เป็นหน้าที่ของเรา เราให้กำลังใจ แก่นักลงทุนไทยในจีน ซึ่งรวมๆ กันแล้ว มีหลายรายขณะนี้ว่า ไทยไม่ต้องทิ้งไทย เพื่อจะได้ มีกำลังใจ ดำเนินธุรกิจต่อไป ให้คนไทยส่วนหนึ่ง ได้มีงานทำ และให้เรา ได้เงินตราต่างประเทศ กลับเข้ามา

ไปเจรจาได้ความอย่างไร ผมจะมาเรียนท่านผู้อ่าน ในเราคิดอะไร ฉบับต่อๆ ไป เท่าที่เล่ามา ก็เพื่อให้ทราบว่า "ผมคิดอะไร" (และทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้)

เมื่อต้นเดือนกันยายน ผมและคณะครูโรงเรียนผู้นำกลุ่มหนึ่ง เดินทางไปดูงาน โรงเรียนผู้นำ ที่กรุงโซล และ เมืองวอนจู เกาหลีใต้ ท่านที่ยังไม่เคยไป เมื่อได้ไปเห็น ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า โรงเรียนผู้นำของเขา กับของเราเหมือนกัน เขาตั้งมาก่อน และฝึกอบรมไ ด้มากกว่าเรา หลายสิบเท่า

ผมได้ไปวิ่งแข่งที่สนามกีฬาโอลิมปิค (วิ่งแข่งกับตัวเอง) เกาหลีใต้ เป็นเจ้าภาพ จัดแข่งขัน กีฬาโอลิมปิค เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วมา สร้างโรงแรมไว้ ในสนามกีฬาโอลิมปิค แขกที่ไปพัก สามารถวิ่ง ออกกำลังกาย ในสนาม ได้สะดวกมาก

วันสุดท้าย ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย ผมนึกขึ้นมาได้ว่า คราวนี้ผมไปนอกกับ คุณหมอ เฉก ธนะสิริ ครูคนหนึ่ง ของโรงเรียนผู้นำ ซึ่งเป็นตัวอย่างได้อย่างดี ของผู้มีสุขภาพ ร่างกายแข็งแกร่ง แม้อายุ จะมากก็ตาม คุณหมอเฉก เคยแข่งขันกับหมอ ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ว่ายน้ำ ๑๐๐ เมตร ได้เหรียญทอง และวิ่ง ๑๐๐ เมตรได้เหรียญเงิน

ผมนึกขึ้นมาได้ว่า การออกกำลังกายบางอย่าง ที่ผมเคยทำแล้วหยุดไปนั้น ผมน่าจะแก้ตัวใหม่ ทำให้ต่อเนื่อง ผมจึงไปฝึกโยคะ และชี่กง ข้างไฟเพลิงโอลิมปิค (ที่ลุกโพลง อยู่ตลอดเวลา ติดต่อกันมา ตั้งแต่จัดกีฬาโอลิมปิค ที่กรุงโซลเมื่อ ๑๒ ปีก่อน) เพื่อเตือนตัวเองว่า กลับจากเกาหลีใต้ ผมจะฝึกโยคะ และ ฝึกชี่กงทุกวัน

พวกเราชื่นชมชาวเกาหลีที่เป็นนักชาตินิยมเข้มข้น รถทุกชนิดที่วิ่งในเกาหลีใต้ มีแต่รถเกาหลี ยี่ห้อ ฮุนได เกีย แดวู และ แซมซุงเท่านั้น ถามเขาว่า ทำไมมีรถต่างชาติน้อยมาก เขาตอบว่า หากมีชาวเกาหลีคนไหน ใช้รถต่างชาติ จะต้องถูกดูหมิ่น จากเพื่อนร่วมชาติ ได้รับความอับอายว่า เป็นคนไม่รักชาติ

เหตุที่หาดูห้างใหญ่ๆ ต่างชาติได้ยากก็เพราะ เมื่อมีข่าวจะก่อสร้างห้างต่างชาติ ชาวเกาหลี จะรวมตัวกัน คัดค้าน หากไม่ฟัง เมื่อสร้างเสร็จ เขาจะรณรงค์ ไม่เข้าไปซื้อของ ห้างต่างชาติก็ต้องถอย ผิดกับที่เมืองไทย

ประเทศเราทำได้ไหม คำตอบอยู่ที่ "คน" คนของเรา มีชาตินิยมแค่ไหน

ผู้อำนวยการโรงเรียน "คานาอาน" ยืนยันซ้ำว่า นอกจากจะฝึกอบรมมา ๔๕ ปี ๖ แสนกว่าคนแล้ว ตอนนี้ เขาไปเปิด โรงเรียนผู้นำ ตามแบบของ คานาอานอีก ๑๐ ประเทศ เป็นโครงการ พัฒนาผู้นำสู่ชาวโลก

ดร.สมศักดิ์ ดำริชอบ ครูโรงเรียนผู้นำจากสถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หลังจากได้ไปดูงาน ที่เกาหลีแล้ว ออกความเห็นว่า ถ้าเกาหลีอยู่เฉยๆ ไม่ต้องพัฒนาประเทศเพิ่มเติม อะไรอีกเลย แล้วเมืองไทย ระดมพัฒนา ให้เต็มที่ อีก ๒๐ ปี เราก็ตามเขาไม่ทัน

ที่แล้วมา เกาหลีใต้พัฒนาเศรษฐกิจ พร้อมๆ กับพัฒนาคน

การไปดูงานคราวนี้มีประธานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ รองประธานไปด้วย ได้เห็นกับตาว่า พัฒนาอุตสาหกรรม พัฒนาเศรษฐกิจ ลืมเรื่องจิต เรื่องคุณธรรม ชาติเราไปไม่รอดแน

คณะครูโรงเรียนผู้นำเราได้ไปร่วมพิธีแจกรางวัล "อิลกา" รางวัลบุคคลแห่งเอเชีย ที่กรุงโซล พิธีเรียบง่าย จริงๆ เลี้ยงฉลองผู้ได้รับรางวัล ด้วยมันเทศนึ่ง ขนมปัง กิมจิ งานมีสาระ ควบคู่ไปกับ การประหยัด จัดงานระดับชาติ ในห้องประชุมของ สหกรณ์แห่งหนึ่ง ห้องกว้างๆ ธรรมดาๆ

"ท่านผู้ทรงเกียรติ" ของเราทั้งระดับชาติ และ ระดับท้องถิ่น คือ สส. สว. สก. สข. ไม่ใคร่ไปดูงาน ที่เกาหลีใต้ เพราะไม่ใช่ สถานที่ น่าท่องเที่ยว คราวที่แล้ว มีอยู่คณะหนึ่ง ไปดูงานเกาหลีใต้ ก็เพราะมีการแข่งขัน ฟุตบอลโลก

น่าจะพากันไปที่นั่น เหมือนไปดูหนังดูละครแล้วย้อนกลับมาดูตัว

หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๗ ตุลาคม ๒๕๔๕