บ้านป่านาดอย
- โดย ... จำลอง
วันก่อนมีการแถลงข่าวที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ โรงเรียนผู้นำจะฝึกอบรมเชิงคุณธรรมผู้ใหญ่
ในวงการ อุตสาหกรรม ซึ่งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้จองผู้ใหญ่ในบ้านเมือง
ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นครูโรงเรียน ผู้นำอยู่แล้ว ให้ไปสอนหลักสูตรพิเศษนี้ วันที่
๑-๓ พฤศจิกายน เช่น นายกฯ ทักษิณ รัฐมนตรีปุระชัย รัฐมนตรีสิริกร คุณหมอเฉก
คุณหมอประเวศ และ อาจารย์ไพบูลย์ เป็นต้น ก่อนการ แถลงข่าว นักอุตสาหกรรมคนหนึ่ง
บ่นให้ผมฟังว่า เป็นเรื่องน่าเบื่อ และทำให้ เศรษฐกิจโลก เสียหาย ที่อเมริกาเงื้อง่า
จะบุกอิรัก ที่จริงถ้าจะบุก ก็รีบบุกให้หมดเรื่อง หมดราวโดยเร็ว จะได้เริ่มต้น
เศรษฐกิจกันใหม่
การก่อการร้ายและการต่อต้าน
การก่อการร้าย เอาแต่จะใช้กำลังเข้าพิฆาตกัน ไม่ให้มุ่งแก้ ต้นตอของปัญหา
อาหรับมีวิธีอื่น ที่จะแก้เผ็ดอเมริกา แทนการถล่ม ตึกเวิลด์เทรด อเมริกาเองก็รู้
น่าจะพิจารณาว่า ที่มีการก่อการร้ายนั้น เพราะอเมริกาไปก่อกรรมทำเข็ญ รีดนาทาเร้น
รังแกประเทศอื่น ก่อนใช่ไหม น่าจะหยุด แล้วหันมาช่วย ประเทศต่างๆ อย่างพี่อย่างน้อง
โลกก็จะสงบสุข
อเมริกาเป็นผู้นำการต่อต้านการก่อการร้าย
ดูๆ ไปก็เหมือนกับก่อการร้ายเสียเอง ไม่มีอะไรผิดแผก ต่างกันเลย เตรียมทำลายชีวิต
และทรัพย์สินให้มากที่สุด
ทั้งการก่อการร้าย และการต่อต้านนับวันจะหนักยิ่งขึ้น ล่าสุดมีการวางระเบิด
ถล่มที่เกาะบาหลี ของอินโดนีเซีย ๓ ครั้งซ้อน ตายประมาณ ๒๐๐ บาดเจ็บอีกไม่รู้เท่าไหร่
ระเบิดสถานกงสุลสหรัฐ และแหล่งบันเทิงเริงรมย์ ที่มีนักเที่ยวฝรั่ง จำนวนมาก
ไปออกันอยู่หนาแน่น
เมื่อตึกเวิลด์เทรดถูกถล่ม
คาดกันว่าตึกสูงๆ อีกหลายแห่ง จะเป็นเป้าหมายต่อไป ใครต่อใคร ชักหวั่น ไม่อยากจะทำอะไรๆ
ในตึกสูงๆ สมัยหนุ่มๆ ผมดีใจ ผมตื่นเต้น เมื่อขึ้นไปบนตึกระฟ้า ตึกที่สูง
ที่สุดของโลก ซึ่งอยู่ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พอตึกสูงที่ชิคาโก ทำลายสถิติ
เรื่องความสูง ผมก็หาโอกาส ไปขึ้นอีกจนได้
เมื่อต้นเดือนตุลาคม
โดยไม่ได้คาดหวังมาก่อนผมได้ไปขึ้นตึกสูงที่สุดในโลก ขณะนี้ที่ประเทศ มาเลเซีย
เมื่อแก่ตัวลงแล้ว เรื่องอยากจะทำอะไรแปลกๆ ก็ลดลง แต่เป็นเพราะมีการประชุม
สภาเศรษฐกิจ เอเชีย เครือข่ายของสภาเศรษฐกิจโลก ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ผมได้รับเชิญให้ไปพูดด้วย
เจ้าภาพ ให้พักโรงแรม ที่ติดกับตึก เปโตรนาส ตึกสูงที่สุดในโลก ผมจึงมีโอกาส
ทำตัวเหมือนหนุ่มๆ อีกครั้งหนึ่ง เดินจากห้องพัก ไปขึ้นที่ตึกสูงที่สุด ใกล้นิดเดียว
ที่นั่นเหตุการณ์สงบ
ไม่มีการระวังป้องกันการก่อวินาศกรรมอย่างโจ๋งครึ่มออกหน้าออกตา ทุกอย่าง
เป็นปรกติ ถ้าตึกนั้นอยู่ในอเมริกา คงไม่มีใครอยากไปแน่
กลับจากมาเลเซียมาได้ไม่กี่วัน ผมก็มีชื่อในข่าวใหญ่สุดของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์
ซึ่งผมเคยเล่า ให้ท่านสมาชิก "เราคิดอะไร" ทราบบ้างแล้วในฉบับก่อน
นายกฯ ทักษิณ ให้ผมเป็นผู้แทนพิเศษ เตรียมตัวเดินทางไปเจรจา ที่ประเทศจีน
เหตุการณ์ผ่านมาเดือนครึ่ง เพิ่งจะมาเป็นข่าว หนังสือพิมพ์ ภาษาไทยหลายฉบับ
ลงข่าวตาม สถานีวิทยุสัมภาษณ์ และมีการบันทึกเทป ไปออกโทรทัศน์ รายการ ที่เกี่ยวกับการลงทุนด้วย
คำถามมุ่งมาที่ผม ทำไมผมต้องไปเกี่ยวข้องด้วย
ผมไม่ได้รู้จักกับนักลงทุนไทยผู้เสียหาย เรื่องนี้ค้างมา ประมาณ ๑๐ ปี ได้มีการร้องเรียนหลายแห่ง
จนเป็นที่รับรู้กันทั่วไป เขาเพิ่งมาขอร้องผม ไม่กี่เดือนมานี้ ผมอาจจะมีส่วนช่วยได้บ้าง
ผมปรึกษากับรัฐมนตรีพงษ์เทพ
เทพกาญจนา ซึ่งติดตามเรื่องนี้ มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลก่อน ได้ดูหลักฐาน ต่างๆ
ปรากฏแน่ชัดว่า คนไทยทำถูกต้อง ถูกรังแก ถ้าคนของเราผิด ผมคงหลีก ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยแน่
จะต้องสูญเงิน ประมาณ ๔,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินไม่ใช่น้อย แม้จะเป็น เงินส่วนตัว
หากได้กลับคืนมา เป็นของส่วนรวม อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เรื่องนี้เกิดขึ้น ก่อนที่ผม
เป็นรองนายกฯ ดูแลการต่างประเทศ และ นายกฯทักษิณ เป็นรัฐมนตรี ต่างประเทศ
แต่คดียังไม่เสร็จ ยังทำอะไรไม่ได้ ศาลสูงสุดของจีน พิพากษา เมื่อปี ๒๕๔๐
ให้ฝ่ายไทยชนะ แต่ทางการของจีน ที่นครเซินเจิ้น ก็ไม่ได้บังคับ ให้เป็นไปตามคำพิพากษา
ปล่อยให้ คนผิดลอยนวล และทรัพย์สิน ของคนไทย ทำท่าจะหลุดลอยไปเร็วๆ นี้
ผมประชุมร่วมกับรัฐมนตรีพงษ์เทพ
อาจารย์อนุชา จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และ รองอธิบดี ของกระทรวงการต่างประเทศอีก
๓ ท่าน ประชุมกันหลายครั้ง เพื่อเตรียมการเจรจา แม้เรื่องนี้ จะยากมาก เห็นความสำเร็จริบหรี่ๆ
แต่ถ้าเราทำอย่างเต็มที่ ก็อาจสำเร็จได้ ผมยกตัวอย่าง พระมหาชนก ว่ายน้ำทั้งๆ
ที่มองไม่เห็นฝั่ง นี่มีคำพิพากษา ของศาลฎีกาแล้ว ยังไม่พยายามทำต่อ เป็นเรื่องน่าเสียดาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้จะทำให้เกิดความขัดแย้ง
ระหว่างไทยกับจีนไหม ผมว่าเราได้พิจารณา เรื่องนี้ อย่างรอบคอบเช่นกัน กลับเป็นผลดีแก่
๒ ฝ่าย นายกรัฐมนตรีไทย ให้กำลังใจ แก่นักลงทุนไทย ในต่างแดน เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น
ก็ไม่ทอดทิ้ง พยายามตามช่วย แม้เรื่องจะเกิดขึ้น นานมากแล้วก็ตาม นายกรัฐมนตรีจีน
จะให้ความเชื่อมั่น อย่างเป็นรูปธรรม แก่นักลงทุนต่างชาติ ว่าได้ปกป้อง คุ้มครอง
การลงทุนให้จีน อย่างเต็มที่
สำหรับผม ไม่ว่าจะออกมาอย่างไร
ก็ไม่มีเสียหาย ผมได้พยายามแล้ว ที่จะมีส่วนช่วย ในฐานะ คนไทยด้วยกัน
ในตอนท้ายของการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ผมวิจารณ์ว่ากรณีนี้ เป็นเรื่องประจักษ์พยานว่า
คนไทย ไม่นิยมไทยจริง สื่อมวลชนไทย ปากเสียงของคนไทย อีกหลายฉบับ หลายช่อง
หลายความถี่ เมินเฉย ไม่เข้ามาเปิดโปง ให้ชาวโลกรู้ว่า นักลงทุนไทย กำลังถูกรังแกอย่างหนัก
อยู่กันในลักษณะ ตัวใคร ตัวมัน สังคมไทย กำลังแล้งน้ำใจ ยิ่งขึ้นทุกที
เมื่อสิบปีก่อน พอมีเรื่องการชุมนุมและสลายการชุมนุม
ที่จตุรัสเทียนอันเหมิน นักลงทุนต่างชาติ เริ่มไม่มั่นใจ กำลังจะถอนทุน นครเซินเจิ้น
นครชั้นนำทางเศรษฐกิจ ขอร้องให้นักลงทุนไทยคนหนึ่ง ชื่อนายเจริญ ช่วยลงทุนสร้างตึกสูงใหญ่
กลางนคร เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า เมืองจีนน่าลงทุน คนไทย ยังลงทุนมหาศาล
สร้างตึกให้ดู
มีชาวจีนฮ่องกงคนหนึ่งชื่อ
นายวอง ร่วมตั้งบริษัทก่อสร้างตึก ๖๗ ชั้น ใช้เงินมากมาย ตอกเข็ม และ เมื่อตอกเสร็จ
ก็สร้างชั้นใต้ดิน ๔ ชั้น และบนดินอีก ๖ ชั้น เกือบเต็มเนื้อที่ ๘ ไร่ รวมลงทุน
ประมาณ ครึ่งหนึ่ง ของการสร้างตึก ครบ ๖๗ ชั้น ตอนนั้นกรมที่ดิน ของนครเซินเจิ้น
ประเมินว่า ถ้าจะขายแล้ว ให้คนอื่นสร้างต่อ จะมีราคากว่า ๔,๐๐๐ ล้านบาท
นครเซินเจิ้นเริ่มเล่นแง่
กล่าวหาว่าคุณเจริญ กู้เงินมาลงทุนผิดประเภท ซึ่งคุณเจริญ ก็ยืนยันว่า ไม่ได้ผิด
กฎหมาย แต่อย่างใด ต่อจากนั้น สำนักทะเบียนการค้า และอุตสาหกรรม ของนครเซินเจิ้น
ก็ประกาศยุบ บริษัทของนายเจริญ กับนายวอง และให้นายวอง ตั้งบริษัทใหม่ ยึดครองตึก
โดยไม่ให้ คุณเจริญ มีสิทธิ์อะไรเลย
คุณเจริญฟ้อง ศาลสูงสุดของปักกิ่งตัดสินว่า คำสั่งของนครเซินเจิ้นขัดต่อกฎหมาย
จึงเป็นโมฆะ ให้คืนสิทธิ์ ทั้งปวง แก่คุณเจริญ นครเซินเจิ้นก็ทำเฉยเรื่อยมา
จวนจะครบ ๕ ปีแล้ว หลังจาก มีคำพิพากษา ทรัพย์สิน ของนายเจริญ จะถูกยึดหมด
ในเร็ววันนี้ แล้วยังต้องถูกปรับ ใช้หนี้อีกมากมาย
สาเหตุที่เรื่องนี้กลับมาเป็นข่าว
ก็เนื่องจากมีข่าวว่า ทางการจีนปฏิเสธ ไทยไม่ต้องส่ง คณะผู้แทนพิเศษ ของนายกฯ
ไปเจรจา ให้ใช้การติดต่อ ทางการทูตตามปรกติ ซึ่งทางฝ่ายเรารู้แล้วว่า หากเป็นเช่นนี้
ตึกถูกยึดแน่ เพราะหลายปีผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่า การติดต่อทางการทูตตามปรกตินั้น
ไม่ได้ผล
กระทรวงการต่างประเทศกำลังตรวจสอบหนังสือของทางการจีนว่า
ส่งมาจากท่าน นายกจูหรงจี หรือ จากทำเนียบ รัฐบาลจีนหรือเปล่า และจะเรียนเสนอแนะให้นายกฯ
ทักษิณ ดำเนินการอย่างไรต่อไป
หนังสือพิมพ์บางฉบับลงข่าวว่า นายกฯ ทักษิณตั้งผมเป็นผู้แทนพิเศษ ราวกับว่า
จะยกผมขึ้นไปเทียบ อดีตประธานาธิบดี จิมมี่ คาร์เตอร์ของสหรัฐ ผมยืนยันว่าไม่ใช่
เรื่องนี้มีความคืบหน้าอย่างไร ผมจะมา เล่าให้ฟัง ในฉบับต่อไป
วันที่มีการแถลงข่าวร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ขณะแถลงข่าว เจ้าของโรงงาน
อุตสาหกรรม แห่งหนึ่ง ก็ถามว่า ไปรับการฝึกอบรมที่โรงเรียนผู้นำ จะต้องอาบน้ำ
๕ ขัน หรือเปล่า ผมชี้แจงว่า ข่าวอาบน้ำ ๕ ขัน กินมื้อเดียว ทำให้หลายคนกลัวมาแล้ว
ไม่กล้าไป ผมเคร่งครัดที่ตน ผ่อนปรนคนอื่น ไม่เป็นไป อย่างที่เล่าลือ
หลายคนสงสัยว่าผู้ใหญ่ของวงการอุตสาหกรรม
คุ้นเคยต่อไปการพัก ตามโรงแรมห้าดาว และสถานที่ พักผ่อนสวยหรู ไปอยู่ลำบากๆ
จะทนได้หรือ ผมอธิบายว่า เรื่องนี้ผมไม่กังวลเท่าไร เพราะเจ้าของบริษัท เจ้าของโรงงาน
คนรุ่นนี้ เคยเป็นลูกอาแป๊ะมาก่อน ในอดีตต้องทำงานหนัก ต้องต่อสู้มา อย่างสาหัส
สากรรจ์ กว่าจะมีฐานะดีอย่างนี้
ลูกอาแป๊ะจำนวนมาก เมื่อกลายมาเป็นอาเสี่ยในวันนี้
ก็เลี้ยงดูลูก อย่างลูกอาเสี่ย ประคบประหงม ไม่ให้เจอกับความลำบากเลย ถ้าโรงเรียนผู้นำ
จะต้องฝึกอบรม ลูกอาเสี่ยนั่นต่างหาก ที่ต้องกังวล
หลังการแถลงข่าว เจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง
มากระซิบว่า เมื่อไปโรงเรียนผู้นำกลับมาแล้ว จะส่งลูก ไปบ้าง อยากให้ไปลำบากเสียบ้าง
อายุสามสิบกว่า สบายมาตลอด
ผมอยู่กับป่ามานาน เพิ่งได้รับจดหมายฝรั่ง
คนอเมริกันเขียนจากเชียงใหม่ เขียนจ่าหน้าซอง ที่อยู่โรงเรียน ผู้นำ ผิดๆ
ถูกๆ บุรุษไปรษณีย์เก่ง เอาไปส่งให้ผมจนได้
ฝรั่งคนนั้นเล่าถึงความหลังว่า ได้รับจดหมายตอบจากผม เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว
เดี๋ยวนี้ยังเก็บ จดหมาย นั้นไว้ ส่วนผมลืม ไปเรียบร้อยแล้ว
ตอนนั้นเขามีปัญหา ต้องกลับไปเมืองนอกชั่วคราว ขอเอาหมาที่แสนรัก ฝากให้สถานสงเคราะห์สัตว์
ช่วยเลี้ยง จนกว่าจะกลับเมืองไทย ผมจึงขอตอบจดหมายไปว่า ให้ขอร้องเพื่อนบ้านช่วยเลี้ยง
คนไทย ที่มีใจเมตตา มีเยอะแยะ ถ้าส่งไปสถานสงเคราะห์สัตว์ หมาของเขา จะซึมเศร้า
กลายเป็นประเภท หมาจรจัด ไม่มีเจ้าของ แกเชื่อผม
คราวนี้แกเขียนจดหมายถึงผม
แนบรูปถ่ายหมาอัลเซเซียนน่ารักตัวหนึ่ง ไปให้ผมดู แกขอให้ผมเขียน ให้กำลังใจแก
เพราะหมาตัวนั้นตายแล้ว แกเสียใจมาก ผมเลยต้องเขียนจดหมาย สอนธรรมะฝรั่ง
ว่าความพลัดพราก เป็นเรื่องธรรมดาและขอส่งรูปหมาของแกคืน ให้แกเก็บเอาไว้
เรื่องหมา กำลังเป็นเรื่องใหญ่
ชาวกรุงที่เลี้ยงหมา ต้องไปแจ้งเวลาหมาเกิดหมาตาย เพราะกฎหมาย กทม. ออกมาแล้ว
ไม่ปฏิบัติจะต้องถูกลงโทษ โชคดีที่เราย้ายสถานสงเคราะห์สัตว์ ไปอยู่กาญจนบุรี
นอกกรุง มิฉะนั้น เพียงแค่การแจ้งเกิดแจ้งตาย เราก็แย่แล้ว และยังมีข้อต้องปฏิบัติ
อีกมากมาย หลายข้อ
มีเรื่องแถมท้ายอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อมีการแย่งชิงอำนาจ ในการบริหารสนามม้า (แหล่งอบายมุขใหญ่โต) สื่อมวลชนถามผมว่า
เคยคิดจะเช่าสนามม้า ทำเป็นสวนสาธารณะ ช่วงผมเป็นผู้ว่า กทม. ใช่หรือไม่
ผมตอบว่าใช่ เหมาะจะเป็นสวนสาธารณะ หรือที่แสดงสินค้า ตรงนั้นไม่เหมาะ ที่เป็นสนามม้า
ถึงวัน แข่งม้า ถ้าใครเผอิญเข้าไปในวังสวนจิตร ซึ่งอยู่ทางด้านสนามม้า จะหนวกหู
เสียงอื้ออึง ตะโกนหนุนม้า ที่ตัวเองแทงไว้ สนามม้าไม่ควรอยู่ใกล้สวนจิตร
แต่ช่วงที่ผมติดต่อขอให้ กทม. เช่านั้นยังไม่หมดสัญญา ที่สนามม้าเช่าไว้เดิม
มาถึงเวลานี้ หมดสัญญาเช่า ไปนานแล้ว และคงให้สนามม้า ต่อสัญญาไปเรื่อยๆ
เพื่ออนุรักษ์ไว้ คู่กรุงตลอดไป
ไปๆ มาๆ ผมก็เขียนหนีไม่พ้นเรื่องการต่อต้าน อบายมุขจนได้
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๔๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๕)
|