หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

บ้านป่านาดอย โดยจำลอง


ผมจำได้ว่าเป็นเวลายี่สิบกว่าปีมาแล้ว สมัยที่ผมยังเดินสายพูดธรรมะ พระหนุ่มองค์หนึ่ง ที่เชียงใหม่ ให้ผมไปพูดอบรมสามเณร บวชภาคฤดูร้อน ที่วัดอุโมงค์ เณรใหม่ที่นั่งฟังผมพูด ฟังไป ก็เขกหัวกันไป หยอกล้อกันไป ตามภาษาเด็กๆ ผมเตือนแกก็เชื่อ พอผมเผลอ ก็ซนอย่างเก่าอีก เป็นรายการพูด ที่ผมจำได้ไม่ลืม ไม่มีผู้ฟังคณะไหน ที่คึกคักเคลื่อนไหว อยู่ตลอดเวลา เหมือนคณะนั้น

แล้วจู่ๆ ผมก็พบพระองค์นั้น ที่โรงเรียนผู้นำ พระชัยยศ ได้รับเชิญ จากญาติธรรม ชาวอโศก ให้ไปเปิด "ค่าย ๗ อ" (อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย อารมณ์....ไปจนถึง อ ที่ ๗ คือ อนามัย หรือ การขับถ่าย อุจจาระ)

พระชัยยศ ท่านเป็นพระที่เอาจริงเอาจัง สมัยก่อน ท่านคร่ำเครียด อยู่กับการอบรมธรรมะ ในระยะ ๖ ปีที่ผ่านมานี้ ท่านสนใจเรื่องสุขภาพ เรื่องการป้องกัน รักษาโรคภัยไข้เจ็บ เปิดค่าย ๗ อ ตระเวนไปตามประเทศต่างๆ เช่น อเมริกา สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน เป็นต้น คนไข้บางคน เป็นมะเร็งชนิดหนึ่ง เหม็นไปทั้งตัว กำลังเตรียมตัวตาย เมื่อเข้าค่ายแล้ว ปฏิบัติต่อเรื่อยมา หายเป็นปลิดทิ้ง

ทุกคนเอ่ยปาก เป็นเสียงเดียวกันว่า ได้ผลดีมาก ดีเกินคาด เลยประชุมหารือกัน ปีหน้า จะเปิดอีกครั้ง สำหรับญาติธรรมชาวอโศก เช่นเคย วันที่ ๙ พฤศจิกายนปีหน้า เป็นวันสุดท้าย ของงานมหาปวารณาที่ปฐมอโศก เสร็จงาน เดินทางไปต่อที่โรงเรียนผู้นำ กาญจนบุรี เข้าค่าย ชื่อใหม่ว่า "ค่ายเสริมสุขภาพ จิต กาย หายทุกโรค" ใช้เวลา ๑๐ วัน ตั้งแต่วันที่ ๑๐ ถึง ๑๙ พฤศจิกายน ๔๖ พร้อมใจกันต่อต้านโครงการ "๓๐ บาท รักษาทุกโรค" ของรัฐบาล ไม่เป็นสักโรค ดีที่สุด

"ทำไมถึงรับสมัคร เฉพาะชาวอโศก" คงเป็นคำถามของสมาชิก "เราคิดอะไร" อีกหลายคน ที่ต้องเอาใจใส่ญาติธรรมชาวอโศกก่อน เพราะเสียสละ ทำงานให้สังคม เมื่อป่วย ก็ต้อง ช่วยกันดูแล ปล่อยให้ป่วยกันมากๆ เสียชื่อนักมังสวิรัติหมด "มังสวิรัติ อาหาร เพื่อสุขภาพ" เราโฆษณามานาน วันเวลาผ่านไป ชักจะพูดได้ไม่เต็มปาก นักมังสวิรัติ ป่วยกันเป็นแถว

สมาชิก "เราคิดอะไร" ที่เป็นชาวอโศกถ้าสนใจ รีบสมัครเสียแต่เนิ่นๆ ไม่เสียเงิน แต่
ต้องนำกลด หรือเต็นท์ติดตัวไป พระชัยยศ ท่านรับนิมนต์ไว้ล่วงหน้า ๑ ปี เรียบร้อยแล้ว

ศิษย์โรงเรียนผู้นำคนหนึ่ง เสนอให้เปลี่ยนโรงเรียนผู้นำ เป็นค่ายเสริมสุขภาพ จะดีกว่า ได้บุญดี เสียค่าใช้จ่ายน้อยด้วย

โรงเรียนผู้นำตั้งมา ๑๕ ปีแล้ว ดร.ทักษิณ และดร.ปุระชัย ก็เคยสอนมาก่อนแล้ว แต่ตอนนั้น ยังไม่ได้เป็นนายกฯ ยังไม่เป็นรัฐมนตรี จึงไม่ฮือฮากัน

หนังสือพิมพ์มติชน หาข่าวไว้พร้อมแล้ว จึงลงพิมพ์เต็มหน้าได้ทัน ในวันที่นายกฯ ทักษิณสอน คือวันที่ ๑ พฤศจิกายน :-

‘พลังสร้างสรรสู่ผู้นำยุคใหม่ ‘
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดโครงการเพื่อให้ผู้นำยุคใหม่ ของสภาอุตสาหกรรม มีความเป็นผู้นำ อย่างสมบูรณ์ ด้วยการอบรม ที่โรงเรียนผู้นำ ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง การอบรม เริ่มตั้งแต่ เวลา ๐๗.๐๐ น. วันที่ ๑ พฤศจิกายน มีตั้งแต่ร่วมออกกำลังกาย สวดมนต์ นั่งสมาธิ จากนั้น รับฟังการบรรยาย จากวิทยากรระดับประเทศ อาทิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ น.พ.ประเวศ วะสี รวมทั้ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จบการบรรยายแล้ว คณะทั้งหลาย ได้สัมผัสบรรยากาศติดดิน ปลูกผัก ทำนา พาเดินป่า-เข้าถ้ำ ก่อนกลับสู่ กรุงเทพมหานคร ในวันอาทิตย์ที่ ๓ พฤศจิกายน


การตั้ง กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มีอนุรักษ์ จุรีมาศ เป็นรัฐมนตรี ว่าการ เกิดขึ้นในรัฐบาล "ทักษิณ ๔"

กระทรวงดังกล่าวจะมีแนวความคิดมาจากบุคคลที่ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีอย่างไร หรือไม่ ไม่มีใครทราบ แต่ที่แน่ๆ คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม ที่เคยยกพรรค ให้นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ได้รับมอบหมายให้เป็นที่ปรึกษา กระทรวงพัฒนาสังคมฯ แห่งนี้ด้วย นอกเหนือจาก เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

สำหรับ พล.ต.จำลอง ก่อนหน้าจะกลับเข้ามีบทบาท ในแวดวงการเมืองอีกหน ได้ใช้ชีวิตใน "โรงเรียนผู้นำ" ของตนเอง อยู่ที่บ้านพุประดู่ ต.หนองบัว อ.เมืองจ.กาญจนบุรี

โรงเรียนแห่งนี้ มหาจำลอง ต้องการให้เป็นสถาบัน สำหรับพัฒนาและสร้างคน ให้เป็นผู้นำ ซึ่งช่วงที่ตั้งโรงเรียนนั้น ประเทศไทยประสบปัญหา "วิกฤตผู้นำ" ขาดแคลนผู้นำ มืออาชีพ ที่จะเข้ามา บริหารประเทศ ให้เจริญก้าวหน้า

มาวันนี้ พล.ต.จำลอง มีโอกาสกลับเข้ามาทำงานอีกครั้ง หลังสั่งสมประสบการณ์ เพิ่มเติม มากขึ้นกว่าแต่ก่อน อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรมบอกว่า ก่อนจะมีการจัดตั้ง กระทรวง พัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ๓ เดือน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ติดต่อให้ไป เป็นที่ปรึกษา นายกรัฐมนตรี ด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

นายกรัฐมนตรีบอกเลยว่า การทำงานเป็น ที่ปรึกษาด้านนี้ ให้สิทธิท่านมหาเต็มที่ โดยสามารถ บอกผ่านคำแนะนำ หรือแผนงานต่างๆ ไปยังกระทรวง ได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านนายกฯ

"คุณจำลอง รู้จักรัฐมนตรีหลายกระทรวงอยู่แล้วนี่" เป็นคำบอกกล่าว ของนายกรัฐมนตรี
ต่อมหาจำลอง และที่นายกฯทักษิณออกปากเช่นนั้น เพราะรู้ดีว่า งานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
เกี่ยวพัน กับหลายกระทรวง

"ช่วงระยะ ๓ เดือนที่ผ่านมา ผมได้ร่างแผนทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว กำลังรอ ขออนุมัติ จากนายกรัฐมนตรี แผนดังกล่าวครอบคลุมการพัฒนาสังคมทั้งหมด เรียกว่า "การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ เชิงคุณธรรม" มหาจำลองบอกกล่าว

เหตุที่ต้องเป็น "การพัฒนาเชิงคุณธรรม" มีคำอธิบายว่า เพื่อให้แตกต่างจากที่ผ่านมา ที่
เน้นการพัฒนา ให้คนเป็นคนเก่ง เชี่ยวชาญและเรื่องความเก่งนั้น สังคมไทยปลูกฝังกันมา ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถม กระทั่งจบปริญญาเอก สร้างกันมาตลอด แต่ในเรื่องสร้างคน ให้มีคุณธรรม หรือให้เป็น "คนดี" ของสังคมมีน้อยมาก และไม่เคยมีแผนงาน อย่างต่อเนื่อง

"กว่าจะได้แผนนี้ออกมา ต้องพาคณะเล็กๆ เดินทางไปพบปะกับผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา ข้าราชการ ทั้งทหาร และพลเรือน เพื่อฟังความคิดเห็น ซึ่งล้วนมีความห่วงใยบ้านเมือง จากข้อคิดเห็น ดังกล่าว เกิดการสังเคราะห์ออกมาเป็นแผน โดยสิ่งที่เน้นในแผน คือ การพัฒนา บุคคล ระดับบริหาร ให้เป็นนักปกครองที่มีคุณธรรมในจิตใจ"

พล.ต.จำลองบอกว่า รัฐบาลเองเห็น ปัญหาสังคม จึงหันมาจับที่ "คน" มากขึ้นกว่าเดิม เพราะ ถ้าพัฒนาคน ให้เป็นคนดีมีคุณธรรม เท่ากับว่า สังคมได้รับการพัฒนาไปด้วย ปัญหาของสังคม จะลดน้อยลงหรือหมดไป

"ตอนนี้กำลังหาลู่ทางว่า ทำอย่างไรจะให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ ที่เกิดขึ้นใหม่ ดำเนินงานได้ ตามวัตถุประสงค์ ของรัฐบาล" มหาจำลองกล่าว

มหาจำลองให้ความเห็นต่อไปว่า สำหรับตนแล้วการพัฒนาคนมี ๒ ทางกว้างๆ คือ พัฒนา ให้เป็นคนเก่ง และ พัฒนาให้เป็นคนดี การเป็นคนเก่ง มีการทำกันมามากแล้ว อย่างที่กล่าวมา
แต่ต้น แต่การทำให้คนเป็นคนดี ยังไม่มีมากนัก ที่สำคัญ สังคมทุกวันนี้ขาดแคลน "คนดี"

"คนดีในความเห็นผม และที่จะเสนอไปให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯพิจารณา คือ แผนที่จะทำ ให้เกิดคนดี ในสังคมมากๆ โดยคนดีที่ว่านี้มีลักษณะ คือ ๑. เป็นคนที่รู้จักเสียสละ เพื่อส่วนรวม ๒. มีความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง ๓. มีความเอาจริงเอาจังต่อหน้าที่การงานและขาดไม่ได้ คือ ข้อ ๔. ต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คดโกง ที่ผ่านมาเรามองข้ามเรื่องเหล่านี้ มาถึงวันนี้ บ้านเมือง จึงล้าหลัง"

เรื่องเหล่านี้มหาจำลองบอกว่า ถึงแม้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เป็นเรื่องหญ้าปากคอก แต่เป็น สิ่งที่ต้องทำ ต้องชี้ออกมาว่าคนดีมีลักษณะเช่นนี้ๆ และเมื่อกำหนดอย่างนี้ แล้วกระทรวงใหม่ ที่ตั้งขึ้นต้องไปติดตามว่า ในบ้านเมืองนี้มีใครบ้าง ที่จะหยิบยกขึ้นมา ให้เป็นตัวอย่างได้ จะได้เกิดกำลังใจ

"ทุกวันนี้เราไม่มีกำลังใจ เพราะได้ยินแต่เรื่องของคนที่แย่ๆ ออกมาเป็นข่าว แต่คนดีๆ ไม่เคย ได้ฟัง เรื่องของเขา แท้จริงมีคนดีเยอะแยะ และ กระทรวงพัฒนาสังคม และ ความมั่นคง ของมนุษย์ จะต้องเป็นหน่วยงานหลัก เป็นเจ้าภาพในการทำหน้าที่ เปลี่ยนค่านิยม
ของคนไทย ให้มาสนับสนุนคนดี ไม่ใช่หันมาสนับสนุน แต่คนมีเงิน มีอำนาจ ต้องเอา พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ตรัสไว้ เราจะไม่สามารถทำให้คนทุกคน เป็นคนดีได้ แต่เราจะต้องส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ"

"ดังนั้นการเป็นคนดีเป็นไม่ยาก ขอให้มีความตั้งใจ และถ้าเป็นคนดีไม่ได้ ก็ลาออก จากการเป็น คนไทยไปเสีย" เป็นคำบอกกล่าวของมหาจำลอง


ผู้สื่อข่าวมติชนยังตามสัมภาษณ์ผู้เข้ารับการอบรมบางท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดร. ชุมพล พรประภา ท่านเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย หลายมหาวิทยาลัย ยอมลดตัว ลงไปนั่ง เป็นนักเรียน อย่างสบาย พอถึงชั่วโมง "สัมผัสไร่นาป่าเขา" ท่านนั่งรถกระบะ ที่ผมขับ ผมนึกขึ้นมาได้ เลยประกาศทางเครื่องขยายเสียง ให้นักเรียน (อายุ ๕๐ กว่าถึง ๗๐ กว่า) ทราบ

"เป็นเรื่องแปลกที่มาประจวบเหมาะกันโดยบังเอิญ ที่คนให้ คนรับ และรถของกลาง ได้มาร่วม อยู่พร้อมกัน ในวันนี้

เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว อาจารย์ชุมพล ซื้อรถกระบะคันนี้ ใหม่เอี่ยมออกจากอู่ ให้ผม เอามาใช้ เพื่อสังคม

วันนี้ผมดีใจที่ได้มาเป็นคนขับรถให้ท่านนั่งพร้อมๆ กับนักเรียนอีกหลายคน"

มติชนสัมภาษณ์มาลงดังนี้

นายชุมพล พรประภา
รองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

"สิ่งที่ได้เรียนรู้คือการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสมถะ ให้มีความเมตตาคน ให้มากขึ้น กิจกรรม ทั้งหมดดีมาก ทั้งการตื่นตีห้า มาออกกำลังกาย สวดมนต์ การทานอาหาร ต้องล้างจานเอง ถึงแม้ว่า ไม่ได้เป็นของใหม่ แต่อาจจะไม่ได้ทำมานาน การกินอาหารมังสวิรัติ ก็เป็นของดี การได้มาสูดอากาศ ที่เป็นธรรมชาติก็เป็นการกระตุ้น ให้สิ่งที่กำลังทำอยู่ดียิ่งขึ้น"

นายสุรชัย ชัยตระกูล
ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.ชลบุรี
"มาอบรมทำให้ได้รู้ถึงสภาพชีวิตความเป็นจริงที่เราจะต้องดำรงชีวิต อยู่ได้ อย่างถูกต้อง ในการสร้างครอบครัว และสร้างสังคม สร้างประเทศชาติ ให้มีความเจริญ การสอดแทรก ในด้านคุณธรรม ของพระพุทธองค์ ก็เป็นเรื่องดี เพราะถ้าเรา จะเติบโตไปในด้าน เทคโนโลยี อย่างเดียว แต่ขาดการพัฒนาทางด้านจิตใจ การเติบโต จะไม่มั่นคง อาจล่มสลายได้"

นายอภิชิต ประสพรัตน์
ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.สมุทรสาคร
"ผมไม่เคยขุดดินมาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่ดี และได้เห็นว่า ความลำบากที่แท้จริง มันเริ่ม จากตรงไหน จะนำไปประยุกต์กับการทำงานของตัวเอง อีกอย่าง ได้หันกลับมามองชีวิต ความเป็นอยู่ ของคนงาน ซึ่งเป็นระดับรากหญ้าของสังคม ผมจะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ จากตรงนี้ ไปพัฒนาองค์กรของผม ที่มีคนงานอยู่ พันกว่าคน"


เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรมแล้ว ห้องเผยแพร่เทปสันติอโศก ได้นำเทป คำบรรยาย ของนายกฯ ทักษิณ และรัฐมนตรีปุระชัย แจกจ่ายกันฟัง ท่านที่สนใจ ไม่ได้ฟังเทป ก็หาอ่านได้ จากมติชน ฉบับวันที่ ๒ พฤศจิกายน ซึ่งรวมข้อความสำคัญๆ ของนายกฯทักษิณมาลงไว้ดังนี้

"แม้ว" เติมไฟนักธุรกิจ
คิดแผลงอย่างสร้างสรร
ในอาเซียนผมไม่กลัวใคร

ที่มา - เป็นการบรรยายพิเศษของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในระหว่างการฝึกอบรม ผู้บริหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หลักสูตร "พลังสร้างสรรสู่ผู้นำยุคใหม่ ส.อ.ท." ที่จัดขึ้น เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ณ สถาบันฝึกอบรมผู้นำ มูลนิธิ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จ.กาญจนบุรี

ชีวิตของคนเราไม่มีอะไรมาก การที่มาอบรมที่นี่ก็เหมือนกลับสู่พื้นฐาน เพราะชีวิตเรา มาจากอะไร ก็ไม่รู้ เหมือนที่ท่านพุทธทาสพูดไว้ว่าธรรมะคือ ธรรมชาติ หากเข้าใจ คำว่า ธรรมชาติ จะเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้ดีที่สุด เพราะธรรมชาติมีหลักอยู่ว่า สิ่งที่มีชีวิตด้วยกัน เกื้อกูลกัน และเราก็เป็นสิ่งมีชีวิต แล้วเราจะทำอย่างไร ให้เราอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างลงตัว หากจิตวุ่น ปัญญา ก็หายไป หากจิตสงบก็มีปัญญา หากเราอยู่ในที่นี้ คือกำลังกลับมา อยู่ในภาวะ ธรรมชาติ ชีวิตของคนเราไม่มีอะไรเลย แต่เราไปหลงใหลเป็นสมมุติ

จริงๆ แล้วนอนกระต๊อบก็หลับ นอนเตียงก็หลับ ท่านไม่รู้หรอกว่าหลับตรงไหน ตื่นมาจึงจะรู้ ตื่นมาแล้วต้องทำใจ ถือว่าเป็นหน้าที่ทำให้ดีที่สุด แต่อย่าไปยึดติด เกิดกิเลส โลภ โมหะ ก็จะทำงานได้ด้วยสติ ตลอดเวลา ยังไงก็ไม่ผิดพลาด มีพระท่านหนึ่งบอกว่า เห็นก้อนหินใหญ่ ถามว่าหินหนักไหม ผมก็บอกว่าหนัก พระท่านก็บอกว่า ก็หนักสิ เอาขึ้นมาแบกก็หนักสิ นั่นก็คือว่า การรู้จักปล่อยวาง อย่างปัญหาทั้งหลาย มีไว้ให้แก้ แต่ไม่ได้ให้แบก แก้ไปก็สนุกไป เป็นการฝึกสมอง ลับสมอง พอแก้ได้ก็โล่ง อย่างนักธุรกิจบางคน เอามาแบกไว้เครียด กลุ้ม ถึงขั้นฆ่าตัวตาย เพราะเป็นหนี้ เป็นนักธุรกิจเป็นหนี้ เป็นเรื่องธรรมดา

วันนี้ประเทศไทย ต้องการมาก คือพลังและความคิดเห็นที่สร้างสรร แต่สังคมเรา มีจุดอ่อน มีขี้เยอะ ทั้งขี้บ่น ขี้รำคาญ ขี้ลืม ทุกขี้ เลยทำให้บางครั้ง คนทำงาน มักจะถูกตำหนิ เพราะหนักมาก เรื่องความคิดในเชิงลบ มีมากกว่าความคิดในเชิงบวก เพราะอย่างนั้น บางครั้ง สังคมไทย ทำให้เสียกำลังใจ ความคิดใช้ผิดข้าง แทนที่จะคิดว่า ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้สิ แต่กลับบอกว่าแย่ ผมตัดไม่ดี เดินไม่เท่ หวีไม่เนี้ยบ มีหนังสืออยู่เล่ม ชื่ออินโนเวชั่น บาย ดีไซน์ (Innovation by Design) บอกว่า นวัตกรรมแห่งความคิดที่สร้างสรร เป็นพลังงานที่เติมให้ องค์กรขับเคลื่อนได้ดี เป็นพลังที่สำคัญ แต่ต้องหันกลับมามองดูว่า ทำอย่างไร ให้มีพลัง เขาบอกว่า ต้องสร้างบรรยากาศขององค์กร ให้เกิดความคิดที่สร้างสรร

ผู้นำที่ดีต้องปลดปล่อยพลังของคนในองค์กรได้ เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรร หากปลดปล่อย ไม่ได้ ความคิดสร้างสรรก็ไม่เกิด หากตามอยู่กับ ความคิดเดิมก็จบ ต้องหาความคิดใหม่ อย่าคิดว่า เราคิดได้อยู่คนเดียว ปัญหาต่างๆ ต้องใช้สมอง ของคน ทั้งองค์กร โดยเฉพาะ ระบบราชการที่มุ่งระเบียบวินัย ทำให้ขาดความสร้างสรร เพราะทุกคน จะทำตามคำสั่ง จึงสร้างวัฒนธรรม องค์กรที่ไม่มีความคิดริเริ่ม สร้างสรร นานเข้า ก็แกะยาก นี่คือจุดอ่อน ของระบบราชการ และองค์กรใหญ่ๆ ดังนั้น จะทำอย่างไร จึงจะให้ผู้นำ ทุกระดับชั้นของคน ในองค์กร ช่วงนี้วิธีคิดเปลี่ยนแปลงไป การมีส่วนร่วม มีมากขึ้น มีประชาธิปไตย

การทำธุรกิจก็เหมือนกัน พอเปลี่ยนแล้ว จะเกิดความคิดสร้างสรรมากขึ้น วันนี้โลกเกิดอะไร มากขึ้น ของไทยก็เริ่มมีใหม่ๆ เพราะว่าเราปลดปล่อย อย่างนโยบาย หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่แต่เดิมไม่กล้าคิด หรือคิดแล้วไม่มีทุน วันนี้ปลดปล่อยความคิด ของชาวบ้าน ได้คิด ได้ขายได้ทำ ทุกสมองมีค่า แต่จะทำอย่างไร ที่จะกระตุ้นให้สมองมีพลัง เชื่อผมเหอะ ถ้าเราขยันฟัง เราจะได้ประโยชน์ ต้องอดทน คนเราอาจจะพูดอะไรโง่ๆ ล้านครั้ง แต่ใน ล้านครั้งนั้น จะมีสักครั้ง ที่เป็นความคิดฉลาด

เมื่อก่อนมีลูกน้องผมที่บริษัท ทำงานแล้วล้มเหลว โดนเจ้านายด่า วิ่งมาหาผม ผมก็บอกว่า หากผิดพลาด เพราะความตั้งใจทำงาน กล้าทำ ก็เป็นธรรมดา ตอนนั้นขาดทุน ๕๐-๖๐ ล้านบาท มาตอนหลัง เด็กคนนี้ไปทำอีกเรื่องหนึ่ง ทำกำไร ๗-๘ ร้อยล้านบาท วันนั้น ถ้าด่าซ้ำ คงฝ่อ มีเลขาฯ ผมอยู่คนหนึ่ง กล้าที่จะห้ามผม เตือนผม เวลาเราไม่รู้ แต่บางครั้ง มีนักวิชาการ พูดผิด ผมแย้ง ไม่ใช่ไม่รับฟัง แต่เพราะชาวบ้านฟังด้วย นักวิชาการบางคน ไม่ใช่นักวิชาการจริง ไม่รู้จริง ไม่อ่านหนังสือ ไม่พัฒนาความรู้ ไม่ทำวิจัย ใช้ความรู้สึกพูด ตำราที่ใช้ ก็ล้าสมัยไปแล้ว

อย่างนี้ ต้องเตือน เพราะสังคมจะเข้าใจผิด แต่หากมาเตือนผม ตัวต่อตัว ผมก็จะไม่ว่า อะไรเลย ผมจะขอบคุณ นอกจากนี้ คนที่คิดแผลง แบบสร้างสรร ผมชอบ ต้องเลี้ยงไว้ อย่างคุณ ปลอดประสพ (สุรัสวดี ปลัดกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อม) คนอื่นไม่เอา แต่ผมเลี้ยงได้ เขาเป็น constructive marverick มีความคิดดี พูดตรง แต่พูดไม่เข้าหูคน โผงผางไป แต่ผมไม่ชอบแบบว่า ตามนายทุกอย่าง ชนิด ดีครับท่าน ดีครับนาย ประเภท เอาลูกชิ้นเข้าปาก ถ่ายออกมาก็เป็นลูกชิ้น พวกนี้ไม่ย่อย

สังคมไทยเป็นสังคมชอบก๊อบปี้ อย่างก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิต เป็ดพะโล้นครชัยศรี มีตั้งเรียงกัน เป็นแถว เลียนแบบกันหมด ซึ่งองค์กร ที่จะสร้างวัฒนธรรมองค์กร ให้เกิดความคิดสร้างสรร ต้องนิยม ความคิดริเริ่ม ซึ่งต้องเริ่มกัน ตั้งแต่ที่โรงเรียน ครูอย่าคิดว่า ฉลาดกว่าเด็ก หากครูคิด อย่างนั้น พรุ่งนี้ครูตื่นขึ้นมา ก็โง่กว่าเด็กแล้ว เพราะเด็กทุกวันนี้ รับข้อมูลข่าวสารมาก โดยเฉพาะ จากอินเทอร์เน็ต โลกวันนี้หมุนเร็ว จะรับเรื่องใหม่ สมองต้องเปิดกว้าง ใจกว้าง รับฟังทั้งหมด

เรื่องวัฒนธรรมองค์กรนี้ ตอนตั้งพรรคไทยรักไทยใหม่ๆ นักการเมืองแต่ละคนใหญ่ๆ ทั้งนั้น บางคน เป็นรองนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรี เป็น ส.จ.มาก่อน ไม่ฟังกัน ผมต้องสร้าง วัฒนธรรมองค์กร ใช้คอนเซ็ปต์ขนมชั้น คือ ทำกระทะให้ร้อน แล้วค่อยๆ เททีละชั้น หลอมให้แน่นก่อน แล้วค่อยเทชั้นต่อไป คนไหนใหญ่ แล้วเอาวัฒนธรรมของคุณมาไม่ได้ ผมวางไว้ว่า ไม่มีคนใหญ่ อย่างนาย ก. เป็นหัวหน้างานนี้ มีนาย ข. และ ค. เป็นลูกน้อง อีกงานให้นาย ข. เป็นหัวหน้า แล้วให้นาย ก. และ ค. เป็นลูกน้อง และให้นาย ค. เป็นหัวหน้า แล้วให้นาย ก. และ ข. เป็นลูกน้อง ใครถูกเหยียบหัวแม่เท้า ก็ไม่ต้องเอาคืน ให้ไปล้างเท้าซะ

โลกข้างหน้า องค์กรจะร้ายก็ด้วยพลังสมอง วันนี้เมื่อหันมามองประเทศไทย ถามจริงๆ อย่า
พูดอย่างหลงตัวเอง มีอะไรที่หนึ่งบ้าง ด้านเกษตร ธรรมชาติของเรา ก็ล่มสลายไปหมดแล้ว น้ำท่วมทุกปี เสียหายหลายพันล้านบาท ด้านวัฒนธรรมก็หายไป ไม่มีเหลือ ชาตินิยมของไทย จึงเสื่อม ซึ่งชาตินิยม เป็นหัวใจสำคัญ ของเศรษฐกิจทุนนิยม แต่ทุกวันนี้ ระบบการศึกษา ของไทย ละทิ้งวัฒนธรรมหมด ส่วนด้านเทคโนโลยีก็ก๊อบปี้ทุกอย่าง พื้นฐานต่างๆ ไม่มีการพัฒนา แล้วจะทำอย่างไร ที่จะยกระดับ ธุรกิจของคุณ ซึ่งการจะมี ความคิดสร้างสรร จึงต้องคิด นอกกรอบ หากคิดในกรอบ ก็จะอยู่แต่เรื่องเดิมๆ เพราะจิตที่ว้าวุ่น จะคิดไม่ออก ต้องใช้คน ที่มีความรู้หลายๆ คนมาช่วยกันคิด ใช้ความคิด ที่หลากหลายแล้วผู้นำ ต้องนำมา ตกผลึก ต้องร้ายด้วยสมองเท่านั้น

ผมได้เชิญเด็กอัจฉริยะ มาทานข้าวด้วย มีเด็กอยู่คนบอกผมว่า ทำไมให้เขาเรียนวิชา สุขศึกษา ทุกวัน ทั้งที่อ่าน ๒ วัน ก็สอบได้แล้ว เรื่องที่รู้อยู่แล้ว ทำไมต้องเรียนด้วย เหมือนเด็กพวกนี้ อยู่คนละโลก กับเด็กอีกกลุ่ม ดังนั้น ผมจะตั้งแคมป์ขึ้นมาให้นำคนเก่งมาอยู่สัก ๔-๕ วัน มาช่วยกันคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เวลาเต็มที่ จัดอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้ เพราะวันนี้มี
อีบุ๊กมากมาย ต้องสร้างองค์กรเรียนรู้ ธุรกิจเหมือนสิ่งมีชีวิต ที่อยู่ร่วมกัน พร้อมจะกัดกินกันเอง มีทั้งการแข่งขัน และร่วมมือกัน เรื่องธุรกิจหากไม่อยู่รอดก็ทิ้งกันดื้อๆ ดังนั้น เมื่อไหร่หยุดเรียนรู้ จะเป็นองค์กรที่ตายทันที

ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมสบายมาก ในอาเซียนไม่กลัวใคร แต่เราต้องสร้างคนรุ่นใหม่
ที่มีพรสวรรค์ จะที่วิ่งออกไปนอกเส้นทาง และแซงคนอื่นได้ เพราะความกล้า ที่จะเป็นหน่วยนำ
ให้แก่ประเทศได้ แม้เราจะแซงประเทศใหญ่ไม่ได้ แต่เราก็จะมีหน่วยวิ่งเร็ว จะนำเราได้ และ ส่งสัญญาณ ให้เราทราบทุกระยะ เพื่อมิให้ผิดพลาด รายงานให้เรารู้ว่า ข้างหน้า มีเหว หรือไม่ ปี ๒๕๔๖ นี้ถ้าข้าราชการ หรือแม้แต่รัฐมนตรี ถ้ายังไม่ปรับตัว และยังทำงานแบบ ไม่มี ยุทธศาสตร์ ทำงานช้าๆ ชุ่ยๆ ผมไม่เอาไว้ จะไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว แม้แต่ผมให้มานั่ง เสวยสุข โดยไม่ได้ทำให้ประเทศชาติดีขึ้น ก็ไม่รู้ว่า จะเป็นนายกฯ ทำไม ไปเสวยสุข ที่บ้านดีกว่า เพราะตำแหน่งที่มีอยู่ ก็สมมุติทั้งนั้น


ผมมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว หากทำให้ประเทศดีไม่ได้ ก็ไม่รู้จะเป็นนายกรัฐมนตรีทำไม อีกทั้งต้องไม่หลง เพราะทุกสิ่งสมมุติทั้งนั้น ใครมาเรียกผมนายกฯ ผมยังไม่แน่ใจว่า เรียกผมรึเปล่า แต่หากเรียกทักษิณ ผมหันขวับเลย ชินกับความเป็นทักษิณมากกว่า ดังนั้น ต้องทำให้ดีที่สุด ในสิ่งที่รับมอบหมาย อย่าหลงในสิ่งที่เป็น และต้องสนุกกับงาน นอกจากนี้ ข้าราชการ ที่จะไปต่างประเทศ ต้องเอาปาก เอาสมองไปด้วย เพราะทุกวันนี้ ผู้ชนะคือ ผู้คิดเกมใหม่ หากเป็นเพียงผู้เล่นเกม ก็คือผู้แพ้ ไม่ใช่ไปรับฟังอย่างเดียว อย่างนี้เสร็จหมด และ ผมจะเช็กย้อนหลังว่า ข้าราชการ และรัฐมนตรี ที่เดินทางไปต่างประเทศ คนไหนที่ไปเที่ยว โดยไม่เข้าประชุมบ้าง

รวมทั้งจะเล่นงาน คนที่ไปประชุม โดยไม่ได้เอาปากกับสมองไปด้วย ทำให้ประเทศชาติ เสียงบประมาณเปล่าๆ ผมก็จะไม่เอาไว้ เช่นกัน ใครไม่แน่จริง ไม่พร้อมอย่าไป ภาษาอังกฤษ ไม่ดี ไม่เป็นไร เอาล่ามไป เหมือนผม ที่ภาษาอังกฤษ ก็สเน็กๆ ฟิชๆ เหมือนกัน

ผมจะเล่าให้ฟัง ถึงกระแสของโลกตอนนี้ว่า ตอนนี้โลกจะเกิดการค้าเสรีแน่นอน ดังนั้น ต้องรีบ โดยสาร ไปในรถไฟขบวนนี้ โดยต้องนั่งแถวหน้า แล้วร่วมคิดแนวทาง ไม่อย่างนั้น อันตราย หากคิดช้าเจ๊ง ดีลกับประเทศเล็กๆ ไม่ดีลประเทศใหญ่ก็เจ๊ง ผมในฐานะนายกฯ ต้องมอง ภาพรวม จะห่วงบางเซ็กเตอร์ไม่ได้ แต่ก็ต้องปรับปรุง เซ็กเตอร์ที่อ่อนแอ เรื่องที่สองคือ ตอนนี้ทุกประเทศ เน้นเรื่องการท่องเที่ยว เราจึงต้องเน้น เรื่องท่องเที่ยว วันนี้เป็นครั้งแรก ที่ทำเรื่องท่องเที่ยว มากกว่า การตลาด อีกเรื่องคือคำว่า global deflation ที่แปลว่าเงินฝืด แต่ deflation กว้างกว่านั้น อย่างที่ญี่ปุ่นมี deflation คือมีเงินแต่ไม่ใช้เพราะความกลัวมีมากกว่า
ความต้องการซื้อสินค้า deflation เกิดจากจีนที่ส่งสินค้าออกไปทั่วโลก เพราะจีน ทั้งกำลัง ผลิตสูง และแรงงานถูก ทำให้ราคาสินค้าต่ำได้ ซึ่งเป็นวิธีการลดค่า เงินหยวนของจีน ทางอ้อม ขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ที่ทำเรื่องการบริการ ก็ลดต้นทุนลง ด้วยการใช้ เทคโนโลยี เช่น เรื่องการสื่อสาร ที่ใช้ประเทศอินเดีย และ ฟิลิปปินส์เป็น service center ทำให้ ต้นทุนลดลง ซึ่ง deflation ทำให้ราคาสินค้าไม่ขึ้น จึงทำให้ดูเหมือนเกิดปัญหา inflation ซึ่งประเทศไทย ขณะนี้ ขายของราคาถูก วัตถุดิบ ก็ราคาถูก ราคาจึงไม่ขึ้น

สิ่งที่ประเทศไทย จะต้องทำนั้น คือนักอุตสาหกรรม จะต้องคิดว่า จะทำอย่างไร ที่จะเพิ่ม
ผลผลิต ให้ได้คุณภาพ โดยต้องมี innovation ใหม่ ดังนั้น ถ้าไม่ระวัง ภายใต้การกดดัน ทั่วโลก จะตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ ไปอีก ๓-๔ ปี จึงต้องเตรียมตัวให้ทัน ซึ่งปัญหาจะอยู่ที่ ผู้ใช้แรงงาน ที่ไม่ได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น แต่ในแง่ค่าครองชีพไม่ขึ้น นับว่าเป็นผลดี

ผมจะถือโอกาสนี้ช่วยเกษตรกรซึ่งมีปัญหามานาน จะปรับราคาสินค้าเกษตรขึ้น ซึ่งผมได้
เริ่มแก้ปัญหานี้ที่ราคายาง โดยมั่นใจว่าการกำหนดราคายางหนึ่งเหรียญต่อกิโลฯ เป็นราคา
ที่เกษตรกรก็ได้ และผู้ผลิตก็ได้ โดยจีนเอง ได้มาติดต่อขอซื้อยาง ในสต๊อกทั้งหมด ในราคาเดิม ทั้งหมด และไม่ต้องห่วงว่า จะไม่มียาง เพราะเดือน ธันวาคม ยางงวดใหม่ ก็จะออกมาอีก เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมมั่นใจว่า รับซื้อยางได้หมด หากราคา ต่ำกว่า ๓๐ บาท เพราะรู้ว่า จะขายหมดได้ ในราคาที่ดีกว่านี้ ที่ผ่านมา มีระบบนายหน้า และการคอร์รัปชั่น เหมามาให้หมด ไม่เห็นมีอะไรเลย เหมามาก็ขายต่อ ๑ เหรียญ รวยตายเลย อย่ามองเงิน เป็นเงิน ต้องหมุนเงินเป็น คนที่ขายขาดทุนทั้งชีวิต มานั่งด่าคนขายกำไรทำไม เป็นผมไม่กล้า เป็นผม ผมอายแย่ ผมเป็นนักธุรกิจ กล้าเล่น หมื่น สองหมื่นล้าน เรื่องเล็ก ไม่ได้ใช้เงิน ใช้กระดาษ มีตั้งเยอะแยะ พิมพ์เมื่อไหร่ก็ได้ พิมพ์มาปั๊มมือก็จบ

ประเทศไทยต้องมีสมดุลกันระหว่าง มูลค่าของการส่งออก และมูลค่าของผลผลิต ภายใน ประเทศ ต้องเท่ากัน ที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออก มากไปแล้ว เราจึงต้องหันมาเน้น ทำระดับ รากหญ้า ให้เข้มแข็ง แก้ปัญหาความยากจน ซึ่งจะเป็นกุญแจ ให้ประเทศไทย มีภูมิคุ้มกัน ต่อกระแส โลกาภิวัตน์ เมื่อเทียบกับ ออสเตรเลีย ซึ่งมีการส่งออก เท่ากับไทย แต่มีจีดีพี สูงกว่าไทย ๓ เท่าตัวกว่า เพราะมีโดเมสติกสูงมาก ดังนั้น ถ้าเราบาลานซ์ ตรงนี้ได้ ๕๐-๕๐ ก็จะดี หรือมากกว่า ๕๐ ก็ยิ่งดี เป็น ๖๐ ต่อ ๔๐ ผมจะทำ โดยเฉพาะ เมื่อรัฐบาลออกกฎหมาย ให้เอาหลักทรัพย์ ของคนจน มาค้ำประกันกู้เงิน ธนาคารได้ จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจ ฐานราก โตขึ้นอีก และจะมีผลพลอยได้ ทำให้เศรษฐกิจข้างบน โตขึ้นเอง โดยอัตโนมัติ

มีคนบอกว่า ผมใช้เงินกับโครงการ ระดับรากหญ้ามาก ข้างล่างนิดเดียว เมื่อคิดต่อหัว ของคนไทย ที่รัฐบาลลงทุนช่วยระดับรากหญ้า แค่ ๑-๒ แสนล้าน กับคน ๔๐ ล้านคน เมื่อเทียบกับ เงินที่เสียไปกับ กองทุนฟื้นฟูฯ ถึง ๑.๔ ล้านล้านบาท มีคนเกี่ยวข้อง เพียง ๓ แสนคน หากเยอะเอาเป็นว่า เลือกตั้งทุกคนเสียงเท่ากันหมดหรือไม่

นักเศรษฐศาสตร์ ที่ขยันทำนายทั้งหลาย มักจะผิด หมอดูยังแม่นกว่าอีก เพราะทำนาย โดยเอาอดีต เป็นตัวตั้ง ซึ่งใช้ไม่ได้แล้ว ข้อมูล ล้าสมัยหมดแล้ว ยุคนี้ต้องใช้ stimulation model คือ ต้อง predict ไปข้างหน้า จึงจะใกล้ ความเป็นจริงมากที่สุด ต่อไปนี้ เศรษฐกิจเรา จะต้องขับเคลื่อน โดยมีสมอง ต้องมี drive

ผมมั่นใจว่า เศรษฐกิจเราไปได้ แต่ห่วงเศรษฐกิจ ๑๐ ปี ข้างหน้า ซึ่งจะต้องเร่งเติมทุน ทางปัญญา ให้กับสังคมไทยให้เร็วที่สุด นักอุตสาหกรรม จะต้องเตรียมตัว ปรับองค์กร ของตัวเอง ในเรื่องนี้ด้วย เพื่อพัฒนาให้มีการเรียนรู้ ตลอดเวลา เราจะต้องรู้ว่า อะไรเกิดขึ้น ในปี "๔๗


วันที่ ๔ พฤศจิกายน หนังสือพิมพ์มติชนไปเอาข่าวลึกๆ มาบอกเล่า ถ้ารู้ว่า จะเอามาลง หนังสือพิมพ์ เจ้าตัวคงไม่อยากเล่าความจริงให้ฟังแน่
”
เปิดบัญชี "ศิษย์" โรงเรียนผู้นำ
ระดับ "เจ้าสัว" -ใช้จ่ายเดือนเป็นแสน
อาจเป็นครั้งแรกของผู้บริหารธุรกิจหลายคน สำหรับการทำกิจวัตรประจำวันที่แตกต่างจาก
ที่เคยเป็น เพราะต้องตื่นแต่เช้าก่อนไก่ขัน เพื่อมานั่งสวดมนต์ หลับตาทำสมาธิ แล้ววิ่ง ออกกำลังกาย เหยียดแข้ง เหยียดขา แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน บางคนดูเหนื่อยหอบบ้าง แต่บางคน รู้สึกสดชื่นสบาย

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในโรงเรียนฝึกอบรมผู้นำ ที่ ต.พุประดู่ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษากระทรวง พัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงน้องใหม่ ที่เพิ่งตั้งขึ้น ซึ่งการอบรมครั้งนี้ สมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จำนวน ๑๒๐ คน ถูกนำไปอบรม "พลังสร้างสรร สู่ผู้นำยุคใหม่ ส.อ.ท." เริ่มตั้งแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคมถึง ๓ พฤศจิกายน

การฝึกอบรมดังกล่าว วันแรกผู้บริหารที่เข้ารับการอบรมทั้งหมด ต้องบอกเล่า โดยการเขียน ประวัติส่วนตัว ลงในแบบฟอร์ม รวมไปถึง รายรับ-รายจ่าย ทั้งที่เป็นเงินเดือน, รายได้พิเศษ

ในการแจ้งรายรับ-รายจ่าย ทุกคนมีรายรับแต่ละเดือนตั้งแต่ ๕๐,๐๐๐ บาท ขึ้นไป มีผู้ที่มี รายรับ ตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๐-๕๐๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๓๓ คน รายรับ ๕๐๐,๐๐๐-๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท จำนวน ๓ คน และมีรายรับมากกว่า ๑ ล้านบาท ๒ คน แต่มีเพียง ๓ ราย เท่านั้น ที่กล้า แจกแจง รายจ่ายของตัวเอง ทั้งที่จำเป็น และไม่จำเป็น บางคนแจงละเอียดยิบ แม้กระทั่ง รายการเล่นหวยใต้ดิน

ยกตัวอย่าง ระดับผู้บริหารคนหนึ่งกรอกว่า มีเงินเดือน ๒ แสนบาท มีรายจ่ายที่จำเป็น คือ ค่าน้ำมัน ๒,๕๐๐ บาท ค่าไฟฟ้า-น้ำประปา ๒,๐๐๐ บาท ค่าโทรศัพท์ ๓,๐๐๐ บาท ค่าอาหาร เช้า กลางวัน เย็น วันละ ๒,๕๐๐ จ่ายลูก ๔,๕๐๐ บาท เลี้ยงดูพ่อแม่ ๖,๐๐๐ บาท เบ็ดเตล็ด อีก ๑๕,๐๐๐ บาท ส่วนรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ผู้บริหารได้เขียนว่า หมดไปกับเสี่ยงโชค โดยซื้อ ทั้งล็อตเตอรี่และหวยใต้ดิน ๔,๐๐๐ บาท ดูหนัง-ช็อปปิ้ง ๕,๐๐๐ บาท เที่ยวกลางคืน
๑,๐๐๐ บาท จัดเลี้ยงและซื้อของฝาก ๓,๐๐๐ บาท ค่าน้ำอัดลมอีก ๑๐๐ บาท

ด้านเจ้าของบริษัทอีกคนกรอกลงไปว่ามีรายได้ ๓๐๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน แต่รายจ่าย
ก็ไม่น้อยหน้า กับรายรับ เพราะเขากรอกลงไปว่า รายจ่ายที่จำเป็น ได้แก่ ค่าน้ำมัน ๓๐,๐๐๐ บาท ค่าไฟฟ้า-น้ำประปา ๑๙,๐๐๐ บาท อาหารเช้ามื้อละ ๕๐๐ บาท จ่ายเบี้ยเลี้ยงลูก ๓๙,๐๐๐ บาท เบ็ดเตล็ด ๕๙,๐๐๐ บาท ส่วนรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ได้แก่ ค่าเที่ยวต่างประเทศ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ค่าอาหาร และคาราโอเกะ ๑๙,๐๐๐ บาท อาบอบนวดแผนโบราณ ครั้งละ ๑,๐๐๐ บาท จัดเลี้ยง-ของฝาก ๑๐,๐๐๐ บาท เสื้อผ้ารองเท้า ๑๐,๐๐๐ บาท

รายสุดท้าย มีรายได้ต่อเดือน ๓๐๐,๐๐๐ บาท เช่นกัน มีรายจ่ายที่จำเป็น ประกอบดัวย ค่าน้ำมัน ๑๐,๐๐๐ บาท ค่าโทรศัพท์มือถือ ๘,๐๐๐ บาท ค่าไฟฟ้า - น้ำประปา ๙,๐๐๐ บาท ผ่อนรถ ๑๓๐,๐๐๐ บาท อาหารเช้า-กลางวัน-เย็น เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ให้พ่อ-แม่ ๕,๐๐๐ บาท เบ็ดเตล็ด ๑๕,๐๐๐ บาท ตีกอล์ฟ ๓,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น มีไม่มากนัก เช่น จัดเลี้ยง -ซื้อของฝาก ๒,๐๐๐ บาท ของเล่นอีก ๑,๐๐๐ บาท

จากกิจวัตร ประจำข้างต้น หลายคนคงนึกภาพนักธุรกิจเหล่านี้ เมื่อเข้ารับการอบรมผู้นำ
ไม่ค่อยออก เพราะกิจวัตรที่ต้องทำ ระหว่างอบรม แตกต่างจากกิจวัตรปกติ อย่างสิ้นเชิง ไม่ได้กิน ไม่ได้ใช้ และไม่ได้เที่ยวอย่างที่เคย เพราะการเข้าอบรมครั้งนี้ ทุกคน ต้องทำงาน ทุกอย่างเอง ทั้งหมด บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าการล้างจาน หรือ การแบกจอบ แบกเสียม ขุดดินปลูกพืช ปลูกผัก หากเมื่อย ก็ไม่มีหมอนวด คอยนวดให้เหมือนเดิม

ทุกคนต้องตื่นเช้า เวลา ๐๕.๓๐ น. ทุกวัน เพื่อมาบริหารร่างกาย จนกระทั่งเวลา ๐๘.๐๐ น. จึงเริ่มเข้ากิจกรรมประจำวัน ซึ่งวันเช้าวันแรกนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้บรรยาย พิเศษเรื่อง "การสร้างองค์กรใช้พลังความคิดในเชิงสร้างสรร" หลังจากนั้น พล.ต.จำลอง ได้นำ รถบรรทุก ๖ ล้อ พาคนทั้งหมด ไปชมป่าเขาลำเนาไพร ในบริเวณโรงเรียนผู้นำ ซึ่งมีเนื้อที่ ๒๐๐ กว่าไร่ ส่วนมากเป็นไร่ ที่ปลูกผัก ข้าวโพด มีบ้านที่อยู่แบบเรียบง่าย

วันถัดมามีกิจกรรมที่น่าสนใจ คือ พล.ต.จำลองพาผู้อบรมไปเดินชมป่าเขา และปีนขึ้น ภูผาชี งานนี้เป็นกิจกรรม ที่หนักเอาการ เพราะผู้ที่เข้าอบรมทั้งหมด มีอายุรวมกัน ก็หลายพันอยู่ งานนี้ จึงมีผู้สูงอายุ และไม่ค่อยแข็งแรง จึงได้แต่เต้นแอโรบิก ที่ห้องประชุมไปพลางๆ

ระยะการเดินป่า ประมาณ ๑ กิโลเมตร มีฝนตกพรำ อยู่ตลอดเวลา จึงมีการแจกหมวกสาน เพื่อกันฝน ถึงอย่างนั้น ก็เปียกแฉะกันทุกคน แต่ก็ไม่มีใครแสดงอาการย่อท้อ แม้ถนน หนทางที่เดิน จะไม่สะดวกสบายนัก เพราะฝนตกทำให้ดินเฉอะแฉะ มีน้ำขัง ทำให้ลื่นล้มกัน ไปหลายหน ต้องช่วยกันพยุงกัน ทุลักทุเล พอสมควร กว่าจะถึงยอดเขา ก็ทำเอาเหนื่อยหอบ ไปตามๆ กัน

เมื่อถึงยอดเขา ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหนื่อยมาก แต่ก็คุ้มค่ามาก เพราะ
ได้ประสบการณ์ มากมาย จากกิจกรรม โดยเฉพาะความสามัคคี การช่วยเหลือ เกื้อกูล ซึ่งกันและกัน

การฝึกฝนในครั้งนี้ยังมีกิจกรรมอีกมาก ทั้งการบรรยาย จากอาจารย์ผู้คุณวุฒิ และการชีวิต ในแบบที่ ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน หรืออาจจะเคย แต่ไม่ได้ทำมานานแล้ว จะต้องประหยัด มัธยัสถ์กว่าที่เคยเป็น เรียนรู้จาก ความลำบาก เพื่อจะได้ออกมาเป็นผู้นำ อย่างสมบูรณ์แบบ

แต่การฝึกฝน การเป็นผู้นำ ในระยะเวลาอันสั้นเพียง ๔ วัน ๔ คืนนี้ ไม่รู้ว่า จะได้ประโยชน์
มากแค่ไหน แต่อย่างน้อย การที่บางคน กล้าที่จะสารภาพว่า ชอบซื้อหวยใต้ดิน น่าจะเป็น
จุดเริ่มต้นที่ดี

เพราะการยอมรับความจริง ก็เป็นคุณสมบัติหนึ่ง ของการเป็นผู้นำ



พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
ประธานโครงการ

"การจัดงานครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ถือว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นประวัติศาสตร์ เพราะไม่เคย
มีการอบรมผู้บริหาร แบบนี้มาก่อน รุ่นก่อนๆ ก็เป็นเด็กนักเรียน และข้าราชการปกติ ทั้งนี้ผู้ใหญ่ ของสภาอุตสาหกรรม เห็นคุณค่าว่า มีประโยชน์ ตนจะนำข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ไปแก้ไขต่อไป ส่วนครั้งหน้า จะจัดรุ่นละ ๑๕๐ คน ใช้เวลาอบรม ๔ วัน ๔ คืน เหมือนเดิม ไม่น่าเชื่อว่า คนที่เขาเรียกกันว่าอาเสี่ย จะสามารถปีนเขาไต่เชือก และร่วมกิจกรรมต่างๆ ได้ โดยไม่ย่อท้อ ไม่ปฏิเสธสักคนหนึ่ง"


ในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันเดียวกันนั้น นำคำให้สัมภาษณ์ของผม ไปลงพิมพ์ ทำนอง ผมเถียง ผมไม่เห็นด้วย กับคุณหมอประเวศ วะสี คุณครูของโรงเรียนผู้นำ อีกท่านหนึ่ง

สายตา "มหาจำลอง"
มอง "ทักษิณ" ในเก้าอี้นายกฯ
"ถ้าไม่มีอำนาจแก้ปัญหาวิกฤตไม่ได้"

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หรือ "มหาจำลอง" อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรม ที่วันนี้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษา ด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของนายกรัฐมนตรี เอ่ยถึงความหลัง ครั้งเมื่อ
เข้าไปชักชวน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่ถนนการเมือง จากตำแหน่งหัวหน้าพรรค พลังธรรม ในวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๓๘ กระทั่งได้เป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ ๒๓ ในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔

ถึงวันนี้ พล.ต.จำลองบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ แม้จะได้เป็น นายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ยังไม่เปลี่ยน แปลงไป จากวันที่ได้พบกันครั้งแรก

"ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แม้กระทั่งเมื่อมามีอำนาจแล้ว มามีตำแหน่ง มีคนไปรับเยอะๆ ท่านก็ยังเหมือนเดิม เมื่อวันที่มาบรรยายที่นี่ (สถาบันฝึกอบรมผู้นำ จ.กาญจนบุรี) ที่เก้าอี้ ตรงกลาง จับผมมานั่งตรงกลางอยู่ได้ จนเราเห็นว่า ชักจะน่าเกลียด ต่างคนต่างยื้อยุด ฉุดมือกัน เหมือนเดิมทุกอย่าง จะเข้าไปในครัว ไปขอบคุณแม่ครัว ก็เหมือนที่ท่านพูดว่า ยังไม่เคยชิน กับคำว่า "นายกฯ" ยังเคยชินกับคำว่า "ทักษิณ" มากกว่า ผมบอกใครต่อใคร ไม่มีใครเชื่อ ใครก็เหมือนกัน ที่ผ่านโรงเรียนทหารตำรวจมาแล้ว ได้รับการฝึกอบรมมาแล้ว อกตีดินมาแล้ว เขามักจะนึกถึงเรื่องเก่าๆ"

"นายกฯเป็นคนที่มีน้ำอดน้ำทนเกินคาด แต่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหยาะแหยะ เป็นคนไม่สู้ เป็นคนไม่เอาจริงเอาจัง แต่ผมก็บอกว่าคนที่รู้จักนายกฯไม่ใช่นะ คุณรู้จักนายกฯผิดไป เพราะคุณไม่รู้ข้อมูลละเอียด ที่ท่านตัดสินใจ ในครั้งกระนั้นว่า จะทำอะไร จะไม่ทำอะไร มันตามข้อมูลอะไร คุณไม่ทราบ เมื่อคุณไม่ทราบ คุณก็คิดว่า นายกฯ เหยาะแหยะ ไม่เอา เป็นคนฉาบฉวย แต่ที่แล้วมา จนถึงวันนี้ ต้องยืนยันว่า ท่านเป็นนักสู้นะ แม้กระทั่ง เรื่องหนักๆ เรื่องร้ายๆ ท่านก็ยิ้มสู้เสมอ คุณเคยได้ยินท่านบ่นไหม ไม่ไหวแล้ว บ้านเมืองเรา ไปไม่ได้ ผมเห็นท่าจะแย่แล้ว ผมจะวางมือแล้ว คำๆ นี้ไม่มี เรื่องนี้ผมว่า เป็นเรื่องสำคัญของผู้นำ ในยามวิกฤตจะต้องสู้"

ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ ถึงการทำงาน และการใช้อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะ จาก หมอประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ที่ระบุว่า สภาพรัฐบาลปัจจุบัน อยู่ในจุดอันตราย เพราะมีอำนาจ มากเกินไป อยากปรับเปลี่ยนใครออก ตั้งใครเป็นรัฐมนตรี ก็ทำได้ ผมถือว่า เป็นจุดที่ อันตรายที่สุด เพราะความสำเร็จ นำมาซึ่งความอหังการ และความประมาทนั้น พล.ต.จำลองมองว่า "คนอื่น อาจจะพูดกันเอง หมอประเวศ อาจจะไม่ได้พูดถึงขั้นนั้นหรอก แต่ใครวิจารณ์ก็ตาม นายกฯต้องฟัง นายกฯพูดที่นี่ว่า ถ้าไม่ฟังก็โง่ ในคำพูดคนโง่ๆ ก็มีอะไรที่ดี ที่เป็นประโยชน์ แต่ทีนี้ เมื่อฟังแล้ว บางอย่างทำได้ บางอย่างทำไม่ได้ ก็เหมือนเราไปดูมวย เราอยู่ข้างล่าง เราก็เชียร์ว่าชกเข้าไป ชกเข้าไป เราไม่รู้ว่า ไอ้คนชกนิ้วมันซ้น มันชกไม่ได้ หนักหน่วง เท่าที่ควร แล้วเขาก็บอกเราไม่ได้ เขาตะโกน ลงมาไม่ได้ว่า เฮ้ยนิ้วกูซ้น ใช่รึเปล่า นี่แบบเดียวกัน นี่เหมือนกัน ฉะนั้น ท่านก็เป็นคนฟัง แล้วผมยืนยันนะว่า ที่ประสาน ติดต่อ กับท่านมาเนี่ย ถ้าข้อมูลของเราชัดกว่า ท่านเถียงไม่ได้ ท่านต้องทำ แล้วท่านทำจริงๆ"

"ในยามวิกฤต นายกฯต้องมีอำนาจ ในยามวิกฤต ไม่เคยมีบ้านไหนเมืองไหน ที่เขาเอาแต่
เถียงกัน ไม่รู้จบ ไม่ลงมือทำ เพราะไม่มีอำนาจ จะทำอะไรก็ไม่มีอำนาจ อย่างนั้นแก้ไขปัญหา
บ้านเมืองไม่ได้ แค่ประคองสถานภาพไปวันๆ เท่านั้นเอง อยู่เพื่อแก้ปัญหา ต้องรุกตลอด จะรุกต้องมีอำนาจ ไม่มีอำนาจรุกไม่ได้ แต่ต้องมาดูว่าใช้อำนาจเพื่ออะไร ใช้อำนาจ เพื่อความถูกต้อง ชอบธรรมหรือเปล่า ใช้อำนาจเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤต ให้บ้านเมือง ดีขึ้น หรือเปล่า เพื่อบ้านเมืองหรือไม่ หรือเพื่อตัวเอง หรือ ใช้อำนาจในทางทุจริต ทุจริตมี ๒ อย่าง เพื่อเงิน หรือ เพื่อบารมี ความยิ่งใหญ่ หรือ ทุจริตในการสร้างเสริมอำนาจ และใช้ในทางที่ผิดๆ คือมีอำนาจแค่นี้ ก็ไม่พอ วางแผนที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น หรือสองก็คือ ใช้อำนาจ ในการทุจริต ผมถึออย่างนี้นะครับ เป็นผู้นำน่ะต้อง "ไม่ในสามอย่าง" เป็นผู้นำที่ดี หนึ่ง ไม่โกง สอง ไม่โง่ สาม ไม่ขี้เกียจ เอาไปเทียบดู หากจะวิจารณ์นายกฯ จับตาดูว่า โกงหรือเปล่า โง่หรือเปล่า ขี้เกียจ หรือเปล่า"

"เอาง่ายๆ แค่นี้ เป็นผู้นำประเทศ ไม่โกง ไม่โง่ ไม่ขี้เกียจ ผมพอใจแล้ว"


๒๗ พฤศจิกายน รุ่งขึ้นจากวันที่คณะรัฐมนตรี ประชุมวันหยุดยาว ผมนัดผู้สื่อข่าวบางคน พูดเรื่อง ต่างชาติ ขู่รัฐบาลไทยไม่ให้ช่วย บริษัทบางจาก ผู้สื่อข่าวสนใจเรื่อง วันหยุดยาว มากกว่า ไทยโพสต์ เลยเอาไปพิมพ์ในหน้าหนึ่ง ของฉบับวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน

"มหา" ผิดหวังหยุดยาว ๕ วัน
"มหาจำลอง" มาแล้ว จวกรัฐบาลคิดผิดทำผิด "โกงประชาชน" เพิ่มวันหยุด ๓๐ ธ.ค. เป็นวันหยุด มาราธอน ๕ วัน ทำงานไม่เต็มที่ แต่รับเงินเดือนเต็มขั้น ต้นเหตุ เพราะหัวส่าย หางเลยกระดิก

พลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม ออกมาแสดง ความไม่เห็นด้วย ต่อมติ ครม. ที่ประกาศ ให้วันที่ ๓๐ ธันวาคม เป็นวันหยุดอีก ๑ วัน ซึ่งจะทำให้ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ วันหยุดยาวถึง ๕ วันว่า เป็นการไม่เหมาะสม เพราะ ข้าราชการ และพนักงาน รัฐวิสาหกิจ มีวันหยุดราชการ ในปีหนึ่ง มากเกินพออยู่แล้ว ถึง ๑๑๘ วัน ซึ่งถือว่า มากที่สุดในโลก และเชื่อว่า ไม่มีประเทศไหน มีวันหยุด มากเท่ากับ ประเทศไทย จากปีหนึ่ง ๓๖๕ วัน ดังนั้น ๑ ใน ๓ ของ ของ ๓๖๕ วัน คือ ๑๒๑ วัน วันหยุด ของข้าราชการ ในขณะนี้ ตกอยู่ใน ๑ ใน ๓ แล้ว และ อาจเป็น ประเทศเดียวในโลก ที่ข้าราชการ และ พนักงาน รัฐวิสาหกิจ ทำงาน ๒ วัน หยุด ๑ วัน ทำสองส่วน หยุดหนึ่งส่วน เป็นเช่นนี้ บ้านเมือง จะไปแข่งกับใครได้ พล ต.จำลองกล่าวว่า สมัยที่ต่างชาติ มาล่าอาณานิคม แถบอินโดจีน เขาไม่ต้องการให้ประเทศ ที่เป็นเมืองขึ้น โงหัวขึ้นกู้เอกราชได้ จึงสนับสนุน ให้ขี้เกียจเข้าไว้ ให้ติดอบายมุขเข้าไว้ ให้นอนกลางวัน แล้วจะมีแรง แต่ขณะนี้ ไม่ใช่ยุค ที่ต่างชาติ จะมาล่า อาณานิคม ขณะที่คนไทยด้วยกันเอง กลับสนับสนุน ให้คนไทยขี้เกียจ ให้คนไทย เอาแต่ สรวลเส เฮฮา ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ต้องหน้าดำคร่ำเครียด กับการงาน ตลอด แต่การหยุด ดังกล่าว ถือว่ามากเกินไป ไม่เหมาะสม ที่จะกอบกู้บ้านเมือง

"เมื่อ ครม. มีมติให้หยุดวันที่ ๓๐ ธันวาคมไปแล้ว ปีหน้าผมขอว่า อย่าทำอีก คิดใหม่ทำใหม่ คิดผิด ทำผิดไปแล้ว แก้ตัวใหม่ได้ ถ้าคุณทำอย่างนี้ กอบกู้บ้านเมืองไม่ได้หรอก เดี๋ยวคุณอยาก จะหาเสียง กับประชาชน คุณเพิ่มวันหยุดมาอีก จะทำอย่างไร ข้าราชการขั้นผู้น้อย พนักงาน รัฐวิสาหกิจ ชั้นผู้น้อย เขาจะไปทำงานได้อย่างไร ในเมื่อคุณกำหนด วันหยุดไปแล้ว ต่อให้เขา รักชาติบ้านเมือง ก็ตาม แต่เมื่อเราเป็นผู้กำหนดนโยบาย เราเป็นผู้ใหญ่ จะเป็น ข้าราชการ ประจำ หรือเป็นข้าราชการ การเมืองก็ตาม เราต้องกำหนดไป ในทิศทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไป เอาอกเอาใจ ให้รางวัลอะไร กันนักหนา ถึงต้องเพิ่มวันหยุดอีก ทำงานสองวัน หยุดวัน วันที่หยุด คุณกินเงินเดือนหรือเปล่า อย่างนี้เรียกว่า ทำงานไม่เต็มที่ แล้วรับเงินเดือนเต็มที่ เป็นการโกง ประชาชน เอาเปรียบประชาชน วันหยุด ไม่เคยคืนเงินเดือน ให้ประชาชนเลย เรื่องนี้โทษ ข้าราชการ ชั้นผู้น้อยไม่ได้ ต้องโทษผู้ที่กำหนด นโยบายออกมา" พล.ต จำลอง ระบุ

ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีผู้นี้ ยังกล่าวถึงกรณีที่กล่าวอ้างว่า บริษัทห้างร้าน ต่างหยุดกันหมด ในวันดังกล่าวด้วยว่า ไม่ควรอ้างบริษัทห้างร้าน เพราะบริษัทห้างร้าน ไม่ได้กินเงินเดือน ภาษี ของประชาชน ส่วนราชการ ทำไม่ได้ จะไปทำตามได้อย่างไร ถ้าเขาหยุดแล้ว เราไม่หยุด ถามว่า มันผิดตรงไหน อย่างไรก็ตาม ที่ออกมาพูดเช่นนี้ คงทำให้หลายคนไม่ชอบ เพราะ มีแต่พวก ชอบสะดวกสบาย แต่บ้านเมืองเจริญขึ้น กับบ้านเมืองล้าหลัง จะเอาอย่างไหน

ผมอยากจะเขียน เรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่อง แต่ไม่มีที่จะลง จึงขอยกไปฉบับหน้าครับ

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๙ ธันวาคม ๒๕๔๕)