บ้านป่า
นาดอย
โดย...จำลอง
ขณะที่กรุงเทพฯ
และบางจังหวัดอากาศ ร้อน เมืองกาญจน์อากาศเย็นๆ เริ่มตั้งแต่ ต้นเดือน
มกราคม โดยเฉพาะ ที่โรงเรียน ผู้นำซึ่งอยู่กลางดงกลางป่า ล้อมรอบด้วยขุนเขา
อากาศ เย็นสบาย ตอนเช้ามืด ต้องห่มผ้านวม ทุกคืน คงเป็นเพราะอยู่บนที่สูง
ใกล้ป่าทึบ และ จังหวัดกาญจน์ได ้รับลมทะเล ทั้งจากด้าน อ่าวไทย และทะเลอันดามัน
ต้นไม้ที่เบียดเสียดเต็มภูเขาเริ่มเปลี่ยนสี
สวยไปอีกฤดูกาลหนึ่ง ประเทศต่างๆ ที่อยู่ใน เขตหนาว พอถึงฤดู ใบไม้ร่วง
ใบไม้เปลี่ยนสี มีสีสันต่างๆ กัน ค่อยๆ ร่วงจนใบโกร๋น หมดทั้งต้น แล้วความหนาวเหน็บ
ก็เข้ามาแทน
ผมไปเมืองนอกเมื่อ
๔๒ ปีที่แล้ว ไปเดือนแรกๆ ก็พบอากาศหนาวที่รัฐนิวเจอร์ซี ขณะอยู่ นอกอาคาร
บางวัน มีความรู้สึกว่า หูทั้งสองข้าง เย็นจัด จนแทบจะหลุดออกไปเลย
ก่อนไปนอก ก็เตรียมเครื่องกันหนาว เสียดิบดี เสื้อกางเกงหนาเตอะ เสื้อคลุม
หมวก ถุงมือ ไม่รู้ว่า การป้องกัน อากาศหนาว จะให้ดี ต้องมีอะไร ปิดหูด้วย
เป็นที่ทราบกันดีว่า
ผู้คนในเมืองหนาว แข็งแกร่ง ทนทาน ขยัน เอางานเอาการ เพราะต้องต่อสู้
กับภัยธรรมชาติ ทุกปี ประเทศไทย อากาศสบายๆ มีแค่เพิงหมาแหงนเล็กๆ
ไว้คุ้มแดดคุ้มฝน ก็อยู่ได้ตลอด จึงเฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น
เมื่อเดือนมกราคมปีก่อน
ผมเล่าให้สมาชิกเราคิดอะไรทราบแล้วว่า ผมไปตกลงกับ โรงเรียนผู้นำ ของเกาหลีใต้
จะส่งคนไทยไปรับการฝึกอบรม ในช่วงอากาศหนาวสุด เพื่อให้ซึมซับว่า ชาวเกาหลี
ต้องอดทน เพียงไร ในการกอบบ้าน กู้เมือง สู้กับญี่ปุ่นมา ๓๖ ปี หลังสงคราม
เกาหลี ต้องสู้กับ ความยากจน ข้นแค้น และ ต้องทนทรมาน กับอากาศหนาวจัด
ทุกปี
แต่เดิมมาเราเคยส่งไปตอนอากาศสบายๆ
ในฤดูใบไม้ผลิ กลางเดือนตุลาคม ปีนี้ เพิ่งเป็น ปีแรก ที่ลองส่งไป
สู้หิมะ เคยส่งไปรุ่นละ๔๐ ถึง ๕๐ คน พอมีประกาศว่ารุ่นนี้ อาจต้องเจอ
อากาศหนาวถึง -๒๓ องศา เซลเซียส เหมือนปีที่แล้ว ที่ผมไป หนุ่มสาวชาวไทย
ก็ถอยกัน เป็นแถว เหลือ ๑๘ คน ซึ่งน้อยที่สุด ในจำนวน ๑๑ ปี ที่เราเคยส่งไป
เพื่อให้ทราบว่าเปลี่ยนอย่างนี้ดีหรือเปล่า
ผมต้องรับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้น จึงต้องเสีย ค่าเครื่องบิน ไปลองเผชิญด้วยตัวเอง
เช้ามืดออกไปวิ่งย่ำ บนลานน้ำแข็ง กับคนเกาหลี และคนไทย ที่เข้ารับ
การฝึกอบรม ซึ่งส่วนใหญ่ อยู่ในวัยหนุ่มสาว มีผมเป็นคนแก่ที่สุด อากาศหนาวมาก
-๑๓ องศาเซลเซียส วิ่งครบ ตามที่โรงเรียน เขากำหนดไม่เห็นเป็นไร
บริเวณที่ตั้งโรงเรียนผู้นำเกาหลี
มองไปทางไหนเห็นแต่น้ำแข็งคลุมเต็มไปหมด ทั้งบนเขา และพื้นราบ บางวัน
หิมะตกหนัก ติดต่อกันหลายชั่วโมง วันแรกที่เจอหิมะ คนไทย ถ่ายรูป กันใหญ่
วันต่อๆ มา ตื่นเต้นน้อยลง สำหรับชาวเกาหลี หิมะไปเพิ่มงานให้เขาอีก
ต้องออกมา โกยหิมะ ที่กีดขวางทางเดิน ต้องส่งรถ ไปกวาดหิมะ ในถนน ยางรถยนต์
ต้องใช้ ชนิดพิเศษ สำหรับแล่นบนหิมะ หรือ ใช้โซ่เหล็ก พันรอบ
ตอนบ่ายครูฝึกพาปีนเขาขณะที่หิมะกำลังตกพรำๆ
เขาสูงชันกว่าโรงเรียนผู้นำเรา ผมร่วม ไปกับ ผู้เข้ารับ การอบรม และเป็นคนอายุมากที่สุด
อีกเช่นเคย พิสูจน์ให้เห็นชัดว่า ถ้าร่างกายแข็งแรง
และใจสู้ อากาศ จะหนาวแค่ไหน หิมะจะตกหนักอย่างไร ก็สามารถ
สอบผ่านได้
ที่ต้องหาเรื่องไปผจญด้วยตัวเองอีกเหตุผล
หนึ่งก็คือ โรงเรียนผู้นำต้องฝึกอบรมข้าราชการ ระดับสูงถึง ๓ รุ่น
ในปีนี้ และเกือบทั้งหมดต้องการไปเกาหลี จึงต้องเตรียมการให้พร้อม
เพื่อไม่ให้ เกิดข้อบกพร่อง
แต่ก่อนคนไทยถือตัวถือตนกันมาก
โดยเฉพาะผู้ที่มียศตำแหน่ง มีการแบ่งชั้นวรรณะ เป็นธรรมดา ต่อมา ก็ค่อยๆ
ลดน้อยลง บริษัทใหญ่ๆ บางครั้ง ส่งผู้บริหาร กับพนักงาน ไปฝึกอบรม
ที่โรงเรียนผู้นำ อยู่รุ่นเดียวกัน กินนอน ด้วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน
ผู้ว่ารุ่งฤทธิ์
มกรพงศ์ ผู้ว่าฯ กาญจนบุรี คนใหม่ปรารภกับผมว่า เมืองกาญจน์
มีของดี แล้วไม่ใช้ ขอให้โรงเรียน ผู้นำ ฝึกอบรมท่าน และผู้ใหญ่ของจังหวัด
เมื่อกลางเดือน มกราคม ผู้ว่าฯ รุ่งฤทธิ์ พารองผู้ว่าฯ ปลัดจังหวัด
หัวหน้า ส่วนราชการ และนายอำเภอ เข้ารับ การฝึกอบรม ร่วมกับผู้บริหาร
จากส่วน ราชการอื่นๆ และ บริษัทเอกชน
ผมคาดว่าผู้ว่าฯรุ่งฤทธิ์
และคณะผู้บริหารของจังหวัดกาญจนบุรี ระหว่าง การฝึกอบรม คงต้องไปๆ
มาๆ ระหว่าง ศาลากลางจังหวัด กับโรงเรียนผู้นำ ปรากฏว่า ท่านเตรียมจัดเวลา
ไว้อย่างดี ทุกคนอยู่เต็ม ทุกชั่วโมง ตลอดหลักสูตร
ครูปุระชัย อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย
ไปร่วมสอนด้วย ท่านดีใจ ที่คนใหญ่คนโต ของจังหวัด ริเริ่มเรื่องนี้
และผู้ว่าฯ ลดตัวตน ไปร่วมรับการอบรม พร้อมกับผู้ใหญ่ ที่มีตำแหน่งรองๆ
เป็นที่น่าสังเกตว่า
ครูโรงเรียนผู้นำ จะไม่ออกคำสั่ง ให้ลูกน้องเข้าโรงเรียนผู้นำ ถ้าจะเข้า
ก็ไปกันเอง ด้วยความสมัครใจ ทั้งครูโสภณ สุภาพงษ์ ขณะเป็นผู้จัดการ
บริษัทบางจาก ครูไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ขณะเป็นผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน
และ ครูปุระชัย ขณะเป็น รัฐมนตรีมหาดไทย และ รัฐมนตรียุติธรรม
ระยะนี้หน่วยราชการและบริษัทใหญ่ๆ
จองการฝึกอบรม ให้บุคลากรของตน ไว้ล่วงหน้า นานๆ มหาวิทยาลัย หลายแห่ง
พานักศึกษาปริญญาโท คณะต่างๆ ไปศึกษานอกสถานที่ ณ โรงเรียนผู้นำ บางครั้ง
ก็ถามด้วย ความห่วงใยว่า โรงเรียนผู้นำอยู่ได้อย่างไร ไม่ใช่หน่วยราชการ
และ ไม่ใช่วัด
๑๖ มกราคม วันครูที่ผ่านมามีการอภิปรายที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเรื่อง
"รับฟังเสียงสะท้อน จากครู เพื่อการปฏิรูป การเรียนรู้"
ครูที่ขึ้นไปพูด ส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกันว่า จะปฏิรูป
การเรียนรู้ได้สำเร็จ ต้องปฏิรูปครู ให้ครูเป็นบุคคลตัวอย่าง ที่ดีที่สุด
ของศิษย์ เสียก่อน ซึ่งตรงกับหลักสูตรโรงเรียนผู้นำ
ตอนที่จังหวัดยโสธร
แยกเป็นจังหวัดออกจากอุบลฯใหม่ๆ ผมได้ไปร่วมกับขบวน
กองทัพธรรม ตระเวน โน้มน้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มครูให้พัฒนาตนเอง
เป็นคนดียิ่งๆ ขึ้น เรามีโอกาส ไปพูดในที่ประชุมครู ทุกอำเภอ ของจังหวัดยโสธร
แต่ก่อน
กองทัพธรรมรอนแรมไปทุกภาคของประเทศ เป็นคณะวิทยากร
และ กลุ่มปฏิบัติกร ที่เจ้าภาพ ไม่ต้องจัดหา
ที่หลับนอน และอาหารการกินให้ ต่อมาทำไม่ไหว ต้องปักหลัก อยู่กับที่
ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นที่มา ของการแนะนำ ให้เปิดหลักสูตร ฝึกอบรม จนกลายมาเป็น
โรงเรียนผู้นำ
ทุกวันนี้คนทั้งโลก
กำลังติดตามข่าวคราวเรื่อง สงครามอเมริกา-อิรัก
ว่าจะเกิดหรือไม่ เมื่อไร ร้ายแรง แค่ไหน อเมริกานักเลงโลก
เงื้อง่าแล้วเงื้อง่าอีก นับวัน มีคนต่อต้านมากขึ้น ทั้งในประเทศอื่นๆ
และ ในอเมริกาเอง เมื่อกลางเดือน มกราคมที่ กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา
มีการชุมนุมคน กว่าครึ่งล้าน เพื่อต่อต้านสงคราม ผู้มีอำนาจ ในการตัดสินใจ
จะให้เกิดสงคราม ครั้งนี้หรือไม่ หากตัดสินใจแล้ว ตัวจะต้อง ออกรบเอง
ไม่สามารถ นั่งสั่งการ ในกองบัญชาการได้ สงครามคงไม่เกิดแน่
ทหารผ่านศึกหลายๆ
คน รวมทั้งตัวผมด้วย ได้เผชิญกับความจริง ในสนามรบ สงคราม น่าสยดสยอง
ไม่ใช่เรื่อง น่าสนุกเลย ผมอาจเหมือนกับชาวพุทธบางคน เวลาแผ่เมตตา
ก่อนนอน ไม่ใช่แผ่ไป เฉพาะสัตว์ เท่านั้น แต่แผ่เมตตา ไปยังตัวการ
ที่จะก่อสงคราม ครั้งนี้ด้วย ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรา ออกมาพูด ถ้าเกิดสงคราม
อเมริกา-อิรัก จะไม่มีผลกระทบ กับเมืองไทยเท่าไร ผมคิดว่า คงเป็นเพียง
การปลอบใจ เท่านั้น
ตรุษจีนปีนี้แปลก
แม่ไก่ถูกเชือดกว่าล้านตัว ในฐานะเป็นตัวการ ทำให้ไข่ไก่ล้นตลาด เขาไม่ใช้คำว่า
"เชือด" เพราะดูออกจะทารุณ
โหดร้ายเกินไป อธิบดีกรมการค้าภายใน ให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม
ว่าจะมีการ ปลด แม่ไก่ก่อนกำหนด เพื่อแก้ปัญหา
ที่ไข่ไก่ ขายไม่ออก จำนวนมากมาย จะปลดภายในเวลา
๑ เดือน ให้ได้กว่า ๑ ล้านตัว ชาวพุทธ เย้ยพระพุทธองค์
ด้วยการฉลาดพูด "ฆ่า"ไก่ ก็พูดว่า "ปลด"ไก่ "ขาย"
พระก็พูดว่า "ให้เช่าพระ"
ที่ผมว่าแปลกก็คือ
มีผู้ติดต่อบริจาคไข่ไก่ไม่มีเชื้อ เพื่อนำไปเลี้ยงสุนัขจรจัด ที่กาญจนบุรี
ในเวลาเดียวกับที่ เกิดข่าวปลดแม่ไก่
คนใจบาปทำบาปไป คนใจบุญก็ทำบุญไป บาปบุญของใคร
ก็ของใคร โลกแบ่งให้ด้วย ความยุติธรรมเสมอ
ผู้ที่ผมรู้จักมักคุ้นหลายคน
ยังถามเรื่องตำแหน่งของผม จนถึงวันนี้ ที่จริงเวลาผ่านมาเกือบ ๗ เดือนแล้ว
(นายกฯ ตั้งผมเป็นที่ปรึกษาฯ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๔๕) เห็นสมควร
ชี้แจง ให้ทราบใน "เราคิดอะไร"
นี้เสียเลย จะได้หมดเรื่อง หมดราวไป
เมื่อประมาณสามเดือนเศษๆ
นายกฯ ทักษิณ ได้พูดกับบรรดาที่ปรึกษานายกฯ พร้อมด้วย ข้าราชการผู้ใหญ่
ทั้งฝ่ายข้าราชการประจำ และ ข้าราชการการเมือง ทีตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
ท่านเป็นห่วง เรื่องที่ปรึกษาฯ มีเงินเดือนก็มี ไม่มีเงินเดือนก็มี
กลัวประเภทหลัง จะน้อยใจ
นายกฯทักษิณกล่าวในที่ประชุมว่า
"...คุณชายเป็นที่ปรึกษาฯ ไม่มีเงินเดือนไม่เป็นไร เพราะคุณชายมีเงิน
ส่วนท่านพลตรีจำลอง ไม่มีเงิน แล้วเป็นที่ปรึกษาฯ
แบบไม่มีเงินเดือน ก็ไม่เป็นไรอีก เพราะท่าน กินน้อย ใช้น้อย..."
คำว่า
"คุณชาย" ท่านนายกฯทักษิณหมายถึง ม.ร.ว. ดิศนัดดา
ดิศกุล เมื่อท่านพูดจบ ผมในฐานะ ที่ปรึกษาฯ ที่แก่กว่าเพื่อน และเป็นที่ปรึกษาฯ
ประเภทไม่มีเงินเดือน ได้กล่าวว่า ท่านนายกฯ อย่าห่วงเรื่อง การไม่มีเงินเดือน
ไม่มีเงินเดือนนี่แหละ ดีทำงานได้เต็มที่
ผมเกือบจะพูดไปแล้ว
ดีว่ายั้งปากได้ พูดไปคนไม่เข้าใจ จะหาว่า ผมข่มขู่นายกฯ
"ถ้าเปลี่ยนผมเป็นที่ปรึกษาฯ
มีเงินเดือนเมื่อไร ผมจะลาออกทันที"
หลังจากนั้น ๓ เดือน
สำนักนายกรัฐมนตรีก็ทาบทามผมว่า นายกฯ จะขอตั้งให้มีเงินเดือน ผมพูดสั้นๆว่า
"ขอบคุณ ท่านนายกฯ แต่อย่าเชียวนะ"
ที่ปรึกษาฯ ที่มีเงินเดือน
คือ คุณสุธรรม แสงประทุม พล.ต.อ.ประสาน วงศ์ใหญ่ คุณจำลอง ครุฑขุนทด
คุณชูชีพ หาญสวัสดิ์ และ คุณลดาวัลย์ วงศ์ศรีวงศ์ (สองคนท้าย ลาออก
ไปทำหน้าที่อื่น)
ที่ปรึกษาฯ ไม่มีเงินเดือน
มี ๑๐ คน ผมเป็น ๑ ใน ๑๐
"เราคิดอะไร"
ฉบับก่อน ผมได้นำจดหมาย "เราคนไทยใช้บางจาก"
ลงพิมพ์ไว้เพื่อ ให้ท่าน สมาชิก ได้ทราบ โดยทั่วกัน ขอบคุณ
ที่บางท่านห่วงใย โทรศัพท์ไปซักถาม บ้างก็พร้อม ที่จะทำ มากกว่า ที่ผมขอร้อง
คือ จะซื้อหุ้น ถ้ารัฐบาล เอาหุ้นบางจาก ออกมาขาย
จนถึงปลายเดือนมกราคม
จดหมายของผมได้แพร่สะพัดไปกว่า ๑,๗๐๐,๐๐๐ ฉบับแล้ว ในจดหมาย ฉบับนั้น
ผมท้าอย่างนิ่มนุ่ม ในฐานะคนมีอายุว่า ถ้าใครสงสัย หรือไม่เห็นด้วย
จะให้ผม และคณะ ไปพูด เวทีไหนก็ได้ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์
ปรากฏว่าจดหมายออกไปแล้ว
๒ เดือนแล้ว ไม่เห็นมีใครโต้ และ ไม่มีใครจัดเวที ให้โต้กัน ในเรื่องนี้
จนถึงวันนี้หลายท่าน
คงสนใจว่า หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ผมขอนำข่าว ในหนังสือพิมพ์
ฉบับหนึ่ง เมื่อ ๑๗ ม.ค. มาแจ้งต่อให้ทราบดังนี้
"นพ.พรหมินทร์
เลิศสุริย์เดช รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการ
กำกับ นโยบาย ด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ว่าที่ประชุมมีมติ
เลือกการช่วยเหลือ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ
โดยมอบหมาย ให้คณะ อนุกรรมการ ที่มีนายชัยอนันต์ สมุทวณิช เป็นประธาน
เข้าไปดำเนินการ ปรับโครงสร้าง ทางธุรกิจ และทางการเงิน และตรวจสอบสถานะ
กิจการทั้งหมด ภายใน ๙๐ วัน และ รายงานให้ กนร. ทราบทุกเดือน เพื่อช่วยลด
ความสูญเสีย ของภาครัฐ
ขณะเดียวกัน
ที่ประชุมไม่เห็นด้วย กับทางเลือกอื่นๆ ที่ทางคณะอนุกรรมการฯ เสนอ
มา โดยเฉพาะ การปิดโรงกลั่น บางจาก เพราะจะทำให้รัฐเสียหายถึง ๒๐,๐๐๐
ล้านบาท
ทั้งนี้คณะอนุกรรมการ
ฯ ได้เสนอทางเลือกในการแก้ปัญหาบางจาก ทั้งหมด ๔ แนวทางคือ ๑. การปิด
โรงกลั่นบางจาก ซึ่งจะทำให้รัฐฯ เสียหายทันที ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. การขาย
โรงกลั่น ให้นักลงทุน ๓. การขายหุ้นบางส่วน ให้นักลงทุน
๔. การเข้าไปจัดการ ช่วยเหลือ บางจาก
โดยที่ประชุมได้ตัดสินใจเลือกแนวทางที่
๔ เนื่องจากเป็นแนวทางที่เหมาะสม"
"บางจาก"
ที่ผมจงใจเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นหนังยาว หลายตอนจบ หนังเรื่องนี้ อาจอธิบาย
คำกล่าวที่ว่า "จงสู้ให้รู้สิ้น"
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๕๑ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖)
|