เราคิดอะไร.

บ้านป่า นาดอย โดย...จำลอง

ตอนที่รัฐบาลมีเรื่องระหองระแหงกับองค์กรเอกชนที่เรียกตัวย่อภาษาอังกฤษว่า เอ็นจีโอ ซึ่งอาสาเป็นตัว แทนประชาชนเรียกร้องรัฐบาลเรื่องนั้นเรื่องนี้ รัฐบาลเปิดโปงว่า องค์กร เอกชน หาผลงานอยู่เรื่อย เพื่อให้ได้ เงินสนับสนุน จากต่างชาติ อย่างต่อเนื่อง พวกเรา ชาวคณะ โรงเรียนผู้นำ เป็นองค์กรเอกชนเหมือนกัน แต่รอดตัวไป เพราะไม่ได้ เกี่ยวข้อง รับอะไร จากประเทศไหน เราเป็นอาสาสมัคร ไปทำงานให้สังคม องค์กรเอกชนอื่นๆ เดินทางเข้ากรุง แต่เราสวนทาง เดินทางไปทำงาน ในป่าในดง แม้อยู่ไกล ก็ไม่เหงา มีผู้คน เดินทางไปเสวนา กินนอนด้วยกัน กับเราคณะแล้วคณะเล่า เราจึงมีแต่งานไม่มีเหงา

อาจารย์สองท่านจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พานักศึกษาปริญญาโท ไปฝึกอบรม อาจารย์ไม่ยอม เป็นผู้สังเกตการณ์ ขอเป็นนักเรียน เรียนร่วมกับลูกศิษย์ ซึ่งเป็นข้าราชการ มาจาก หลายกระทรวง ทบวงกรม มีคำถาม และข้อเสนอแนะดีๆ จากการมอง หลายแง่ หลายมุม เช่น อยากจะให้โรงเรียนผู้นำ อยู่ไปได้ นานๆ ไม่เหมือนวัด ที่มีชื่อหลายวัด พอหมดยุค หมดสมัย ก็กลายเป็นวัดร้าง

จากหลักสูตรสำหรับผู้ใหญ่ ในวงการอุตสาหกรรม คราวที่แล้ว หลายท่านกลับไปพา ผู้บริหาร ในบริษัท ไปรับการอบรม เพราะเห็นว่า จะเป็นประโยชน์ ทั้งคนที่เข้ารับการอบรม และ บริษัทเอง อย่างเช่น กลุ่มบริษัท สายไฟฟ้า บางกอกเคเบิ้ล ซึ่งมี ๓ บริษัท ประกอบด้วย โรงงานต่างๆ ๔ โรงงาน มีกิจการ ใหญ่โต ผลิตสายไฟ ชนิดต่างๆ ประธานบริษัท คุมไปเอง และ ร่วมเป็น วิทยากรด้วย

สมัยนี้อยู่ที่ไหนก็ใช้โทรศัพท์ได้ อยู่ไกลก็เหมือนใกล้ ใกล้ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ ใกล้ผู้สื่อข่าว วิทยุ และ โทรทัศน์ ผมอยู่กลางดง กลางป่า ล้อมรอบไปด้วยป่าเขา ก็ต้องเป็นข่าวด้วย ในบางครั้ง ช่วงที่มีข่าวว่า รัฐมนตรีปุระชัย กำลัง จะถูกย้ายออกจาก กระทรวงยุติธรรม เพราะมี ข้อขัดแย้งกับปลัด ซึ่งเป็นน้องเขย นายกรัฐมนตรี ตอนเช้าคุณ อัญชลีย์ ไพรีรัก ขอสัมภาษณ์ผมออกอากาศ สถานีวิทยุ FM ๙๖.๕ เมกะเฮิรตซ์ คุณอัญชลีย์ นี่ก็แปลก ไพรียังรักเลย แต่คนของรัฐบาลไม่รัก เพราะวิพากษ์ วิจารณ์แรง ไม่เกรงใจ รัฐบาล เอาเสียเลย

คุณอัญชลีย์เห็นว่า ผมเป็นคนหนึ่ง ที่รู้จักดร.ปุระชัยดี เพราะ "อาจารย์ปุ" เป็นครูสอน ที่โรงเรียนผู้นำ มานาน เคยพาครอบครัว ไปพักค้างที่นั่น ทั้งรัฐมนตรีปุระชัย และ อาจารย์ สมศรี ภริยา เคยเดินทาง ไปดูงาน โรงเรียนผู้นำ เกาหลีใต้กับผม ผมน่าจะออกความเห็นได้

ตกกลางคืน ไอเอ็นเอ็น โทรศัพท์ไปขอสัมภาษณ์อีก การพูดคุยทางวิทยุ ทั้งสองรายการ ผมพูดถึง ดร.ปุระชัย คนเดียว ไม่เอ่ยถึง ปลัดกระทรวงยุติธรรม เพราะผมไม่รู้จัก เพิ่งจะมา ได้ยินชื่อ ตอนเป็นข่าวนี้ เท่านั้น

ผมให้ความ เห็นในฐานะที่หลายช่วงในชีวิตการทำงาน ผมเคยทำหน้าที่บริหาร และตอนนี้ ก็ตั้งตัวเอง เป็นครูใหญ่ ในโรงเรียนผู้นำด้วย คำว่า "ทำงานร่วมกับใครไม่ได้" นั้นดูเผินๆ ก็เห็นเป็นคำธรรมดา ถ้าฟังแล้วคิด จะไม่ใช่ธรรมดา แต่เป็น การกล่าวหา อย่างรุนแรง ไม่น่าจะใช้กับคนอย่าง รัฐมนตรีปุระชัย

ผู้บริหารหรือผู้นำ ต้องบริหารคน นำคน ทำงานร่วมกับคน ถ้าบอกว่า "ทำงานร่วมกับใครไม่ได้" หมายถึง ทำงานไม่ได้ เอาเลย แย่มากๆ เป็นคำกล่าวหา ที่ผู้พูดไม่รับผิดชอบ

ผมเท้าความให้ผู้ฟัง วิทยุรายการของคุณอัญชลีย์และไอเอ็นเอ็นฟังว่า ย้อนไปสมัยที่ รัฐมนตรี ปุระชัย เป็นนักเรียน นายร้อยตำรวจ (ก่อนนายกฯทักษิณ ๑ รุ่น) ได้รับการคัดเลือก ให้เป็น หัวหน้านักเรียน ซึ่งสมัยนั้น มีบทบาทมาก ปกครองนักเรียน นายร้อยตำรวจ ด้วยกันเอง ทั้งโรงเรียน ลดหลั่นกัน ตามลำดับชั้น ถ้า"ทำงาน ร่วมกับคนอื่นไม่ได้" แล้วเป็นหัวหน้านักเรียน ได้อย่างไร

แต่ก่อน คนในแวดวงทหารตำรวจ มักจะได้รับการดูหมิ่นถิ่นแคลนว่า "อยู่ในกะลาครอบ" รู้แค่เรื่อง จับๆ ฆ่าๆ เท่านั้น เมื่อร้อยตำรวจเอกปุระชัย ผันตัวเองออกไป เป็นนักวิชาการ ได้รับ การยอมรับ นับถือ ได้เป็น ศาสตราจารย์ และได้เป็น อธิการบดี ผู้บริหารสูงสุด ของสถาบัน บัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ ที่มีชื่อเสียง ถึง ๒ สมัย

การได้รับแต่งตั้งเป็น ศาสตราจารย์และเป็นอธิการบดีถึง ๒ สมัย นับเป็นความสำเร็จ ที่ยิ่งใหญ่ ตำแหน่ง ศาสตราจารย์ อาจเกี่ยวข้องกับ เรื่องวิชาการ เป็นส่วนมาก แต่ตำแหน่ง อธิการบดีนั้น ต้องเกี่ยวข้อง กับอาจารย์ นักศึกษา ทบวงมหาวิทยาลัย และผู้บริหาร บางมหาวิทยาลัย ซึ่งจะต้องมีการประสานงานกัน คำที่ว่า "ทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้" นั้นจะจริง ได้อย่างไร

ดร.ปุระชัย เป็นคนดีที่ดีมานานแล้ว ไม่ใช่ เพิ่งจะมาดีเอาตอนเป็นรัฐมนตรี เมื่อ ดร.ปุระชัย เป็นคนดี "คนอื่น" ที่ดร.ปุระชัย ทำงานร่วมไม่ได้ จะเป็นคนประเภทไหน โบราณบอกไว้ว่า "น้ำย่อมไหลไปสู่น้ำ" (คนประเภทไหน ก็ต้องไหลไปรวมอยู่กับ คนประเภทเดียวกัน)

พอถึงชั่วโมงสอนของดร.ปุระชัย ผมมักจะพูดกับนักเรียน (อายุ ๒๕-๕๕ ปี) เสมอๆ ว่า ครูปุระชัย เป็นคน คงเส้น คงวา สมัยเป็นหัวหน้านักเรียนนายร้อยตำรวจ เดินตัวตรงเป๊ะ อย่างไร เดี๋ยวนี้ก็อย่างนั้น ท่านผู้อ่าน "เราคิดอะไร" เคยสังเกตภาพ ในโทรทัศน์ไหม

แม้จะมีฐานะดีมาแต่ไหนแต่ไร ก็มีชีวิตเรียบง่ายมาตลอด ขับรถเอง เป็นส่วนใหญ่ ขณะอยู่ ในตำแหน่ง ใหญ่โต ไปไหนมาไหน ก็ไม่พะรุงพะรัง ด้วยบริวาร ล้อมหน้าล้อมหลัง

ดร.ปุระชัยขอให้โรงเรียนผู้นำรักษาเอกลักษณ์อย่างหนึ่งไว้ คือการใช้มุ้ง แม้ผู้คน จะวิวัฒนาการนอน ไปถึงไหนก็ตาม ขอให้ใช้มุ้งไปตลอด ไม่ว่าผู้เข้ารับ การฝึกอบรม จะไปจากไหน ใหญ่โตเพียงใด ก็ต้องนอน กางมุ้ง โรงเรียนผู้นำ เลยถือโอกาส เอาคำของ ครูปุระชัย มาอ้าง เพราะไม่มีปัญญา ทำห้อง มุ้งลวด หรือ ห้องกระจก ติดเครื่องปรับอากาศ

บางคน ตั้งแง่ว่า ดร.ปุระชัยแข็งทื่อไม่ยืดหยุ่น ที่จริงท่านเป็นคนยืดหยุ่น แต่ไม่ถึงกับ ขนาดหย่อนยาน จนเป็นที่พอใจ ขณะเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ใกล้ช่วงปีใหม่ ท่านออกคำสั่ง ห้าม ไม่ให้ข้าราชการ เอาของ อะไร ไปให้ท่าน อย่างดีก็แค่บัตร ส.ค.ส.เท่านั้น

การเอาของกำนัลไปให้เจ้านายเป็นการประจบ ที่กำลังจะกลายเป็นประเพณี ในระบบ ข้าราชการไทย ไปแล้ว ข้าราชการตงฉิน ก็เดือดร้อน ส่วนพวกกังฉินนั้นสบาย ใช้เป็นข้ออ้าง ได้อย่างดี ว่าต้องหาเงิน หาของ ให้เจ้านาย ดังนั้น การประมูล จัดซื้อจัดจ้าง ที่เคยโกงไว้ ร้อยละ ๑๐ ก็ต้องขอขึ้นราคา

กับผู้ใต้บังคับบัญชา ท่านประกาศและทำอย่างนั้น แต่กับคนอื่น ท่านก็ยืดหยุ่น วันขึ้นปีใหม่ ปีนั้น ท่านและ อาจารย์ สมศรี ภริยา เอาส้มเขียวหวาน ลูกเล็กๆ ใส่ในกระเช้าเล็กๆ ไปให้ผม และ คุณศิริลักษณ์ โดยไม่ได้ บอกล่วงหน้า เผอิญเราสองคนอยู่บ้าน เลยได้นั่งคุยกัน

ดร.ปุระชัยอาจจะมีวิธีทำงานที่คนอื่นไม่ใคร่ชอบบ้าง เช่น พบยาก หรือ เวลาคุยกัน ต้องเอา คนอื่น มานั่ง ฟังด้วย ตลอดระยะเวลา ของการเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ผมและ ชาวคณะ โรงเรียนผู้นำ เคยไปพบ กับท่าน ครั้งหนึ่ง ในห้องรับรอง รัฐมนตรีมหาดไทย มีข้าราชการ ที่เราไม่รู้จัก นั่งฟังอยู่ด้วย ก็ไม่เห็น จะเป็นปัญหาอะไร

พระบางวัด ก็ทำอย่างนั้น อย่างเช่นสมณะสันติอโศก ญาติโยมไม่ว่าหญิงหรือชาย จะไปพบ กี่คนก็ตาม สมณะที่เราต้องการพบ จะมีสมณะรูปอื่น นั่งประกบด้วยทุกครั้ง มีประจักษ์ พยานรู้เห็น ไม่เปิดโอกาส ให้ผู้พบ และผู้ถูกพบ ทำอะไรเสียหาย อย่างนี้ไม่ดีหรือ

ที่ผมอ้าง สมณะสันติอโศก ถ้าไม่เล่าอะไรเพิ่มเติม ท่านสมาชิก "เราคิดอะไร" อาจเข้าใจผิด เพราะ หนังสือพิมพ์ หลายฉบับ ได้ผูกโยงกันไว้เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากผู้ที่จับกลุ่ม ไปให้ กำลังใจ ดร.ปุระชัยนั้น เป็นญาติธรรม ชาวอโศก เสียมากมาย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คนใฝ่ดี ก็ต้องสนับสนุนคนดี เป็นเรื่อง ธรรมดา อยู่แล้ว

ดร.ปุระชัยเคยไปพบ สมณะและฆราวาสชาวอโศกอยู่ครั้งเดียว เมื่อมีการเปิดการฝึกอบรม เกษตรกร พักชำระหนี้ ที่ราชธานีอโศก เมื่อ ปีกว่าๆ มาแล้ว ซึ่งวันนั้น นอกจาก รัฐมนตรี ปุระชัย แล้วก็มี รัฐมนตรี ท่านอื่นๆ อีก ที่ตามนายกฯ ทักษิณไป

น้องชายของท่านต่างหาก ที่ไปวัดสันติอโศกเป็นประจำ เป็นทันตแพทย์ ทิ้งเครื่องมือทำฟัน ไปเปิดร้าน อาหารมังสวิรัติ อยู่แถวปราจีนบุรี เรื่องนี้ดร.ปุระชัย คุยให้ผมฟังเอง

ทันตแพทย์ทศพลเป็นห่วงพี่ชายมาก ใจจริงคงไม่อยากให้พี่ หลงเข้าไปในดงการเมือง อยากให้ทิ้งทางโลก ไปสู่ทางธรรม มากกว่า เจอกันครั้งใด ผมมักจะคุยเรื่องพี่ชายให้ฟัง เพื่อให้หมอทศพล คลายความกังวล

วันเดียวกับที่ให้สัมภาษณ์คุณอัญชลีย์ ผมให้สัมภาษณ์ไอเอ็นเอ็น ทางวิทยุ เสร็จตอน สามทุ่มกว่า ก็ได้ทราบจาก ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ ที่รู้จักมักคุ้นกันมานานว่า กลางดึก คืนวันนั้น มีข่าวแพร่สะพัดไปว่า ดร.ปุระชัย บึ่งไปหารือ กับผม ถึงโรงเรียนผู้นำ กาญจนบุรี ทางสำนักนายกฯ ตรวจสอบข่าว เป็นการใหญ่ ว่าจริงหรือเปล่า หารือกันว่าอย่างไร

รัฐมนตรีบางท่าน รู้จักกับผมดี แต่ไม่ถามผม กลับไปแอบถามผู้สื่อข่าว ผมยืนยันทันทีว่า เป็นข่าวลือ ท่านไม่ต้องไป หารือผมหรอก ท่านเป็นผู้ใหญ่ ผ่านงานการมามาก ท่านตัดสินใจ ได้เอง โดยไม่ต้องถามใคร

ท่านจะตัดสินใจว่าอยู่ หรือไม่อยู่ ออกหรือไม่ออก การตัดสินใจ จะออกมาอย่างไร ก็ดีทั้งนั้น เพราะท่าน เอาประโยชน์ ของคนส่วนรวม เป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เพื่อความพึงพอใจ ของตัวเอง อย่างแน่นอน

หลังจากวันที่ผมให้สัมภาษณ์ ๒ รายการนั้น ก็มีผู้สื่อข่าวทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ติดต่อ ไปบ่อยๆ จะขอสัมภาษณ์ โทรทัศน์ ถึงขนาดจะแบกกล้อง ไปสัมภาษณ์ผม ที่โรงเรียนผู้นำ ก็เอา ผมปฏิเสธ อย่างนุ่มนวล ว่าอายุเยอะแล้ว พูดไปแค่นั้น ก็พอแล้ว

ถ้าจะให้พูดถึงรัฐบาลยิ่งไม่เหมาะ เพราะ "หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ"

นี่ถ้าใครไม่เข้าใจคงก็หาว่าผมอยากเด่นอยากดัง ชอบเป็นข่าวอยู่เรื่อย ผมยังถือคำพูด ของฝรั่ง ที่แปล เป็นไทยว่า "ไม่มีข่าวนั่นแหละคือข่าวที่ดี"

และแล้วผมก็ตกเป็นข่าวเรื่องยาบ้ากับเขาอีกจนได้

๒๐ กุมภาพันธ์ ขณะขับรถไปกับคุณศิริลักษณ์ มุ่งสู่พุทธสถานศาลีอโศก ซึ่งมีการจัดงาน พุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ เป็น การอบรมธรรมะ อย่างเข้มข้น ประจำปีที่นั่น อยู่กลางทาง ก็มีผู้สื่อข่าว โทรศัพท์ จะสัมภาษณ์เรื่อง ดร.ปุระชัยอีก หลังจาก ไปดำรง ตำแหน่ง รองนายกฯ แล้ว ผมก็ปฏิเสธไป พร้อมกับ ต่อว่าผู้สื่อข่าว "คุณสนใจแต่เรื่อง ความขัดแย้ง ลงข่าว ดร.ปุระชัย เป็นอาทิตย์ๆ แล้วไม่จบเสียที ผมเคยเชิญ พวกคุณ ไปคุยที่ บ้านสวนไผ่สุขภาพ รณรงค์เรื่องบริษัทบางจาก พร้อมกับส่งจดหมาย ถึงประชาชนเกือบ ๒ ล้านฉบับ คุณไม่เห็น เอาไปเป็นข่าว"

"ครับ ครับ คราวหน้าครับ" ผู้สื่อข่าวหนุ่มตอบกระอ้อมกระแอ้ม

รุ่งขึ้น ผมพบพระหนุ่มที่เอาการเอางานมากรูปหนึ่ง คือ "ท่านวิน" ท่านเล่าให้ผมฟัง พร้อมกับ เชิญญาติ ของผู้เสียหาย เกี่ยวกับยาบ้า ไปคุยรายละเอียด ให้ผมฟัง ฟังเสร็จ ผมก็เห็นว่า แม้จะไม่ใช่ หน้าที่ของผม แต่ผมเป็น ประชาชนคนหนึ่ง น่าจะมีส่วนช่วย ทางราชการด้วย

กลับไปอยู่ที่เมืองกาญจน์ คืนวันที่ ๒๔ ผมเตรียมจะนอนแล้ว เพื่อพร้อมที่จะพา นักเรียน ปีนเขา เช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะขึ้นพร้อมๆ กัน ทั้งผู้บริหาร จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และบริษัท สายไฟฟ้า บางกอกเคเบิ้ล ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ ในเครือ "เดอะเนชั่น" โทรศัพท์ ไปสัมภาษณ์ ตามด้วย หนังสือพิมพ์มติชน และ บางกอกโพสต์ พอจบรายการ ท้ายผมปิด เครื่องโทรศัพท์ทันที ประเดี๋ยวนอนไม่พอ ไม่มีแรง ปีนเขากัน พอดี

ผู้สื่อข่าวดังกล่าวพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ได้ทราบจากคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนว่า ผมรู้เรื่อง การฆ่า กันตาย เกี่ยวกับการค้ายาบ้า ที่บุรีรัมย์ อยากทราบรายละเอียดว่า ผมไปรู้เรื่องนี้ ได้อย่างไร

ผมเล่าให้ฟังว่า ผู้ตายชื่อนาย นิวัติ ศีรษะมุข เป็นลูกของญาติธรรมชาวอโศก คุณพ่อ ปฏิบัติธรรม อยู่วัด มานาน ลูกชายเคยติดอบายมุข เช่น เหล้า บุหรี่ แต่ไม่ใช่ยาบ้า ต่อมา เลิกอบายมุข ญาติๆดีใจ ออกทุน ให้ขายเครื่องพลาสติก ไปขายที่ตลาดนัด อำเภอบ้านกรวด บุรีรัมย์ ถูกยิงตายที่นั่น กลางวันแสกๆ วันต่อมา สถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง รายงาน ข่าวด่วนว่า นายนิวัติถูกยิงตาย เพราะมีชื่ออยู่ในบัญชีดำ ของตำรวจ เป็นผู้ค้ายาบ้า ที่ถูกตามล่า

ผมโทรศัพท์ถึง รองผู้ว่าฯ และผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ จากพุทธสถานศาลีอโศก ในวันที่รู้ข่าว เรียนให้ ทราบว่า ญาติของนาย นิวัติยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวกับยาบ้า ขอให้ท่านผู้ว่าฯ ช่วยตรวจสอบ อีกชั้นหนึ่ง หากเป็นเรื่อง เกี่ยวกับยาบ้าจริง ทางราชการ จะต้องปฏิบัติ อย่างรอบคอบ อย่าให้ ผู้บริสุทธิ์ ต้องรับเคราะห์กรรม ซึ่งญาติ พี่น้อง ต้องพลอยได้รับทุกข์ ไปด้วย

วันรุ่งขึ้น ท่านผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ก็พูดทางโทรศัพท์กับผมว่า ได้ไปสอบสวนดูแล้ว ผู้ตาย ไม่ได้เกี่ยวข้อง กับยาบ้า เป็นการฆ่ากันตาย เพราะขัดแย้งเรื่องอื่น

พูดกับผู้ว่าฯ เสร็จ ผมถึงเวลาออกอากาศ ทางสถานีวิทยุรัฐสภาทันที ซึ่งคณะผู้จัด ให้ผมพูดช่วง แปดโมงครึ่ง ถึงเก้าโมง ทุกเช้าวันเสาร์สุดท้าย ของเดือน ผมใช้ห้องส่ง "วิทยุชุมชนสัมพันธ์ ไพศาลี" ซึ่งตั้งอยู่ ในพุทธสถาน ศาลีอโศกนั่นเอง เป็นการออกวิทยุ ทั้งวิทยุรัฐสภา ที่รับฟังได้ทั่วไทย และ วิทยุท้องถิ่น คลุม ๓ อำเภอ ของนครสวรรค์

ผมชี้แจงให้ประชาชนทราบเพิ่มเติม จากกรณีฆ่ากันตาย ที่บุรีรัมย์ว่า ยาบ้า อาละวาด ทุกหนทุกแห่ง แม้กระทั่ง สถานศึกษา โรงเรียนทั้งหลาย ไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหน ชื่อเสียง โด่งดังอย่างไร ก็ไม่กล้า รับประกันว่า ลูกศิษย์ทุกคน ปลอดยาบ้า ยกเว้น โรงเรียนกินนอน บางแห่ง ของศาสนาบางศาสนา เช่น โรงเรียนสัมมาสิกขาของชาวอโศก ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด ขณะนี้ ๘ แห่งด้วยกัน สอนทั้งประถม และมัธยม

โรงเรียนดังกล่าว ตั้งอยู่ในจังหวัดต่างๆ มักจะเอาชื่ออำเภอ หรือชื่อจังหวัดไว้ข้างท้าย แล้วเติมด้วย คำว่าอโศก อยู่ในพุทธสถาน ของชาวอโศก ที่ท่านสมณะโพธิรักษ์ อดีตผู้จัด รายการ โทรทัศน์ช่อง ๔ บางขุนพรหม เป็นผู้ตั้งขึ้น คือ
๑.โรงเรียนสัมมาสิกขาศาลีอโศก
๒. โรงเรียนสัมมาสิกขาสีมาอโศก
๓. โรงเรียนสัมมาสิกขาหินผาฟ้าน้ำ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ
๔. โรงเรียนสัมมาสิกขาราชธานีอโศก
๕. โรงเรียนสัมมาสิกขาศีรษะอโศก
๖. โรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก
๗.โรงเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศก และ
๘. โรงเรียนสัมมาสิกขาภูผาฟ้าน้ำ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม

่เป็นโรงเรียนสัมมาสิกขา ศึกษาถูกต้องจริงๆ มีคำขวัญว่า "ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา" "ศีลเด่น" นี่แหละเป็น เกราะกำบังอันดีเลิศ ซึ่งไม่มีทางที่ยาบ้า จะเข้าถึงตัวได้ เป็นโรงเรียน กินฟรี อยู่ฟรี เครื่องแต่งกายฟรี หนังสือฟรี ฟรีหมดทุกอย่าง นักเรียนหญิงนุ่งผ้าถุง ชายนุ่ง กางเกงไทยใหญ่ ส่วนเสื้อ เหมือนกัน คือเสื้อชุดไทย (ชายใช้แขนสั้นได้ด้วย) แขนยาว

ผมเรียนให้ผู้ฟังทราบว่า ไม่ได้ถือโอกาสโฆษณาโรงเรียนของชาวอโศก เพราะเขารับสมัคร ไม่หวาด ไม่ไหวอยู่แล้ว ส่งลูกหลานเข้าเรียน ยากยิ่งกว่า เข้ามหาวิทยาลัย บางแห่งเสียด้วยซ้ำ ก่อนได้รับ การคัดเลือก ต้องเข้าค่าย ให้ครูดู ความประพฤติ อยู่หลายวัน เข้ายาก อยู่ยาก จบยาก เป็นโรงเรียนที่แปลก ที่ครู และ บุคลากรทางการศึกษา ของโรงเรียน ทุกคน ไม่มีเงินเดือน ถือว่าเป็นการทำงาน เพื่อแผ่นดิน เหมือนกับจะมีคำพูด กรอกหูว่า

"จงตายให้ เแผ่นดิน"

(เราคิดอะไร ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๕๒ มีนาคม ๒๕๔๖)