บ้านป่านาดอย
โดย...จำลอง
เป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกันมาคำถามแพร่ไปไกลถึงกลางดงกลางป่า
ผู้เข้ารับการฝึกอบรม ที่โรงเรียนผู้นำ ถามเสมอๆ ทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
แต่ถามเพื่อความแน่ใจ "สงครามอีรัก จะเกิดไหม" ผมก็ตอบไป
ตามภาษาของผม
"ถ้าอีรัก
สงครามไม่เกิด แต่ดูๆ ไปแล้ว อีไม่รัก
สงครามต้องเกิดแน่"
สงครามเกิด เพราะมนุษย์ไม่รักกัน
ถ้ารักกัน นึกถึงอกเขาอกเรา จะฆ่ากันได้อย่างไร ทุกศาสนาในโลก ต่างเน้นเรื่องความรักความเมตตาทั้งนั้น
"โลกทั้งผองพี่น้องกัน "เป็นวาทะของท่านมหาตมะ
คานธี ซึ่งคนทั่วโลกทราบดี แต่หลายครั้งปฏิบัติไม่ได้ จึงเกิดสงคราม
ในประวัติศาสตร์ ไม่มีสงครามครั้งไหนที่ก่อนจะเกิดสงครามมีการต่อต้านกันทั่วโลกเท่าครั้งนี้
คนนับจำนวนล้านๆ ออกมาชุมนุมต่อต้าน แม้คนในประเทศ ที่เป็นหัวหอกเอง
อย่างอเมริกา และอังกฤษ ก็มีการต่อต้านกันมากมาย ทั้งก่อนและขณะที่สงคราม
กำลัง ดำเนินอยู่
องค์การสหประชาชาติมีการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงหลายครั้ง
ประเทศสมาชิกคณะมนตรีคัดค้าน องค์การ สหประชาชาติตั้งมาได้ ๕๘ ปีแล้ว
เพื่อป้องกันสงคราม มีสัญญามีกฎหมาย ที่จะยับยั้ง ไม่ให้เกิดสงคราม
แล้วก็เกิดขึ้นจนได้
เมื่ออเมริกาและพันธมิตรบุกอิรัก
ผมคิดอะไร นึกอะไร นึกถึงคำกลอน
ที่ผมท่อง ได้สมัยเป็น นักเรียนนายร้อย เมื่อสี่สิบกว่า ปีก่อนโน้น
กลัวจะจำผิด จึงถามท่านผู้รู้คือ อาจารย์ขวัญดี อัตวาวุฒิชัย ผู้เชี่ยวชาญ
ภาษาไทย (เขียน "แว้งที่รัก" ใน "เราคิดอะไร")
อาจารย์ยืนยันว่าถูกต้อง แถมชมว่าความจำผมยังดีอยู่
ที่จริงผมลืมบ่อยๆ บอกกับใครๆ ว่าอยากให้ของ สิ่งใดหาย ให้เอาไปฝากผม
ผมเป็นนักเล่นกลชั้นยอด ชั่วพริบตาเดียว หายวับไปกับตา ลืมวางไว้ที่ไหน
นึกเท่าไหร่ ก็นึกไม่ออก
สมัยก่อนนักเรียนนายร้อยเรียนทุกศาสตร์
สำหรับอักษรศาสตร์ต้องเรียนวรรณคดีทุกเล่ม เหมือนนิสิต อักษรศาสตร์
จุฬาฯ ในหนังสือ "ธรรมาธรรมะสงคราม"ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ทรงนิพนธ์ไว้
ตอนหนึ่ง เกี่ยวกับบ่อเกิดสงครามโลก ครั้งที่ ๑ ว่า
"สัญญามีตรามั่น
ก็จะพลันกระดาษชิ้น ละทิ้งธรรมะสิ้น เพราะอ้างคำว่าจำเป็น"
ถือสัญญาว่า เป็นเศษกระดาษ ฉีกทิ้งเมื่อไรก็ได้
ทิ้งสัญญา ทิ้งธรรมะ กระโจนเข้าสู่สงคราม โดยอ้างว่า จำเป็น
สงครามอิรักครั้งนี้ ก็เช่นกัน
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า หลายๆ คนจะสนใจข่าวคราวสงครามมาถึงขนาดนี้
ติดตามอย่างกระชั้นชิด ว่าอเมริกา และพันธมิตร รุกไปถึงไหนแล้ว จวนจะยึดกรุงแบกแดด
ได้หรือยัง ซัดดัมยังปลอดภัยหรือ ดีอยู่หรือ เปิดวิทยุ อ่านหนังสือพิมพ์
ดูโทรทัศน์ มีแต่ข่าวสงครามทั้งนั้น สื่อมวลชนทุกแขนง แข่งกัน เสนอข่าว
เคยฮือฮา เคยบ้าตามข่าว ฟุตบอลยูโรฟุตบอลโลก
อดตาหลับขับตานอน มาแล้วคลั่งไคล้ข่าวสงครามอิรัก ยิ่งกว่าหลายเท่า
นอกจากสื่อมวลชน จะเสนอข่าวสดๆ แล้วยังวิพากษ์วิจารณ์ เบื้องหน้าเบื้องหลัง
อีกมากมาย
เห็นได้ชัดว่า คนกลุ่มหนึ่งที่ได้ประโยชน์จากสงครามคือสื่อมวลชน
รัฐบาลพลอยได้รับ อานิสงส์ไปด้วย เรื่องตำหนิ ติติงรัฐบาล ซึ่งเคยเป็นข่าวครึกโครม
ถูกข่าวสงครามกลบหมด รัฐบาลมีเวลา ทำงานมากขึ้น สบายเพราะ สงครามแท้ๆ
ใครจะสนใจเรื่องสงครามมากหรือน้อยก็ว่ากันไป
หมอออกมาบอกว่า สนใจมากเกินไป จะเกิดปัญหา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขเตือน
คนที่ตามข่าวสงครามมากๆ จะเครียด กังวล สับสน แนะให้ สังเกตตัวเอง
ดูให้ดีว่า เกิดอะไรขึ้น เครียดไปกับข่าวยิงกันฆ่ากัน ทำลายล้างกันหรือเปล่า
วิธีแก้ คือต้องรีบ ผ่อนคลาย ลดการฟังข่าวให้น้อยลง พักผ่อนให้มาก
และออกกำลังควบคู่กันไป
วิธีสังเกตไม่ยาก ถ้ารู้สึกว่าตึงๆ
ที่บริเวณศีรษะ ใจสั่นไหวไปตามสถานการณ์สู้รบ นั้นละเครียดแล้ว หากทำตามที่หมอ
กรมสุขภาพจิตแนะนำแล้ว ยังไม่หายให้โทรศัพท์ไปที่หมายเลข ๐๒ ๕๙๐๑๖๒๙
ถึง ๓๐ ที่ต่างประเทศ มีคนตาย เพราะเรื่องนี้กันแล้ว
เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม หญิงชาวบังคลาเทศอายุ
๕๕ ปีนั่งชมการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ขณะที่อเมริกา ทิ้งระเบิด กรุงแบกแดด
ได้ตะโกนร้องเสียงดัง ล้มลงเสียชีวิตทันที
กรมสุขภาพจิต ห่วงเด็กมากกว่าผู้ใหญ่
เตือนพ่อแม่ผู้ปกครองระวังให้ดี ถ้าปล่อยเด็กดูข่าวสงครามมากๆ เด็กจะซึมซับภาพโหดร้ายทารุณ
ในอนาคต อาจกลายเป็นคนคุกคามก้าวร้าวได้ ให้หมายเลยโทรศัพท์ไว้ เพื่อไต่ถามเรื่องนี้ได
๒๔ ชั่วโมงที่หมายเลข ๑๖๖๗
คนที่ชอบข่าวสงครามหลายคนสนุกเหมือนดูเขาชกกัน
เตะฟุตบอลแข่งกัน ถ้าตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ ถูกสะเก็ดระเบิด ถูกยิง
ไม่สนุกแน่
ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ บุช แบลร์
ซัดดัมหากมีกฎว่า เมื่อตัดสินใจให้เกิดสงครามแล้ว ตัวเอง ต้องออกรบ
เคียงบ่าเคียงไหล่ กับไพร่พลด้วย สงครามคงไม่เกิดแน่
บนภูผาที
เขาลูกหนึ่งในซำเหนือของลาว เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนผมเกือบเอาซากไปทิ้งไว้ที่นั่น
ผมจำความโหดเหี้ยม ของสงคราม ติดตาจนถึงวันนี้
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ตั้งองค์การสันนิบาตชาติขึ้นมา
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เกิดองค์การ สหประชาติ องค์การทั้งสอง ให้ความหวังแก่ชาวโลก
แล้วจบลงด้วยความผิดหวัง เหมือนๆ กัน
สงครามมีแต่เสีย ไม่มีใครได้ ถึงได้ก็ไม่คุ้ม
ถึงแม้ว่าอเมริกันและพันธมิตร จะมีอานุภาพเหนือกว่า
ฝ่ายอิรักมาก ชาวอเมริกา และพันธมิตร ก็ต้องตาย ไปพร้อมๆ กับชาวอิรัก
ไม่มีสงครามใด ที่ไม่มีใครตาย
รัฐบาลอเมริกันคาดว่า จะต้องใช้เงินทำสงคราม
และซ่อมแซมอิรัก หลังสงคราม เป็นเงินถึง ๓ ล้านล้าน บาท (เอาเงินมากองให้ได้
กองละล้าน นับให้ได้ ๓ ล้านกอง) เงินจำนวนมหาศาล ดังกล่าว แทนที่จะใช้
ทำสงคราม เอาไปใช้อย่างอื่น ช่วยชาวโลกให้หายโง่ หายจน
หายเจ็บ ได้จำนวน เหลือคณานับ
ไทยเป็นชาติเล็กในเวทีโลก เราช่วยหยุดยั้งสงครามไม่ได้
แต่เราช่วยผู้เดือดร้อนจากสงครามได้ ตามที่รัฐบาลประกาศจะส่งสิ่งของไปช่วย
และเราต้องช่วยตัวเอง ตั้งแต่บัดนี้ ด้วยการประหยัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เรื่องน้ำมัน และไฟฟ้า
น้ำมันขึ้นราคา ขึ้นเอาๆ ก่อนเกิดสงครามไม่กี่วัน
รัฐบาลเกรงว่า สินค้าอื่นๆ จะขึ้นตามจนยั้งไม่อยู่ จึงนำเงิน มาช่วยพยุงไว้
วันละประมาณ ๑๗๐ ล้านบาท ถึงปลายเดือนมีนาคม ก็เสียเงิน เกือบสี่พันล้านบาทแล้ว
ผลเสียจากการพยุงราคาน้ำมันคือ ประชาชนใช้น้ำมันใช้ไฟฟ้าฟุ่มเฟือยเหมือนเดิม
ทุกคนน่าจะช่วยกัน ประหยัด จะได้เสียเงิน พยุงราคาน้อยลง
แม้รัฐบาลจะออกมาชักชวนบ้าง ก็ยังไม่มีการประหยัด
โดยเฉพาะในหน่วยราชการ ซึ่งน่าจะเป็นตัวอย่าง วันก่อน อาจารย์สถาบันราชภัฏ
กาญจนบุรี กลุ่มหนึ่งไปหาผมที่โรงเรียนผู้นำ บังเอิญผมไม่อยู่ จึงไม่ได้พบกัน
อธิการสถาบันฯ บอกว่าระยะหลังๆ ไม่กล้าไปพบผม เพราะผมต่อว่า เรื่องรั้วด้านหน้า
สถาบันฯ อยู่เรื่อย
ผมเคยถามว่าทำไมต้องสร้างรั้วเหล็กสวยๆ
ยาวเป็นกิโลเมตร (ผมวัดได้ ๑,๔๐๐ เมตร) อาจารย์บอกว่า เงินงบประมาณ
ปลายปีเหลือ ต้องรีบใช้ให้หมด ถ้าไม่หมด จะถูกหาว่า ใช้เงินไม่เป็น
และถูกตัด งบประมาณ ในปีต่อไป ซึ่งคิดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ทุกหน่วยราชการ
รั้วด้านหน้าสถาบันฯติดหลอดไฟทุกๆช่วง
๓ เมตร ใช้ไฟกว่า ๔๐๐ ดวง บางคืน นึกจะเปิดไฟ ก็เปิดหมด ทุกดวง เงินจากภาษีอากรทั้งนั้น
ยังมีเรื่องน่าบ่น เพิ่มเติมอีก ในฐานะเป็นคนเสียภาษี เหมือนกัน สะพานลอย
หน้าสถาบันฯ ผมผ่านไปผ่านมาบ่อยๆ ยังไม่เคยเห็นนักศึกษา หรือชาวบ้านสักคน
ที่ใช้ สร้างมา หลายปีแล้ว
เมื่อ ๒๓ ปีก่อน ช่วงที่เราขาดแคลนน้ำมันนั้น
รัฐบาลเชิญชวนให้ประชาชน ช่วยกันประหยัดเต็มที่ ตัดเวลา ออกอากาศ ของโทรทัศน์ทุกสถานี
เปิดได้ถึงตอนเย็นๆ ค่ำๆ เท่านั้น ลดการใช้ไฟฟ้า ตามห้างต่างๆ และ
ในถนนทุกสาย ตอนนั้น ผมเป็นเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ต้องนั่งรถ ตระเวนดูว่า
ทำตามนโยบาย ท่านนายกฯ เปรมหรือเปล่า ไฟถนนให้เปิด ๓ ดวง เว้น ๑ ดวงนั้น
มีที่ไหนบกพร่องบ้าง
ถ้ารัฐบาล หน่วยราชการและประชาชน
ฉวยโอกาสที่เกิดสงครามอิรัก ในครั้งนี้ ประหยัดอย่างจริงจัง ทุกเรื่อง
อย่างเนื่องตลอดไป เราจะได้เงินกลับคืนมา อีกปีละมากมาย
ขณะนี้สงคราม เกิดขึ้นแล้ว ก็เกิดไป
คนสุรุ่ยสุร่าย ก็ยังใช้เงินเพลิน เหมือนเดิม มีการโฆษณา เปิดให้จอง
รถยุโรป ๒ ยี่ห้อ ยี่ห้อหนึ่ง คันละ ๖ ถึง ๙ ล้านบาท คนจองกันเรียบ
อีกยี่ห้อหนึ่ง แพงถึงคันละ ๑๑ ล้าน ๖ แสนบาท ก็จองกันเรียบ อีกเช่นกัน
อีกบริษัทหนึ่งขายรถสำหรับเศรษฐีที่มีคนนิยมมากที่สุดมีหลายรุ่น
คันละหลายๆ ล้านบาท ปีที่แล้ว ขายได้กว่า ๔,๐๐๐ คัน ปีนี้มั่นใจจะขายได้
๑๐,๐๐๐ คัน ไม่นับรถ อีกสารพัดยี่ห้อ ซึ่งต่างก็จะขายดี เป็นเทน้ำเทท่าทั้งนั้น
รัฐสภาไทยก้าวหน้าในการใช้เงินภาษีอากร
ปีนี้ใช้จ่ายเกือบ ๔,๔๐๐ ล้านบาท ปีหน้าขอเพิ่มเป็น ๖,๗๘๑ ล้านบาท
แจกรถประจำตำแหน่ง ราคาคันละเป็นล้าน แก่ประธานคณะกรรมาธิการ ๑๓ คณะ
คณะละ ๑ คัน ทั้งๆ ที่คนระดับนั้น ต่างก็มีรถส่วนตัวใช้ อย่างเหลือเฟือ
ทุกคนอยู่แล้ว
นักการเมืองของเราขยันดูงานมาก ทั้ง
ส.ส. และ ส.ว ปีหนึ่งๆ ใช้เงินมากมาย หลายคนไปนอก ปีละ หลายรอบ ต่อ
๑ คน ไปซ้ำที่ก็ไป กลับมาแล้ว ไม่เห็นผลอะไร เป็นชิ้นเป็นอัน สูญเงินเปล่าๆ
อย่างน่า เสียดาย แทนที่จะเอามาใช้ ในเรื่องที่จำเป็น ในสถานการณ์สงครามอย่างนี้
เรามักจะทำตามฝรั่งทั้งๆ ที่เราไม่รวยอย่างเขา
คุณหมอประเวศพูดไว้น่าฟังว่า พระพุทธเจ้าแก้ทุกข์ แต่ฝรั่ง
ใช้วิธีเพิ่มสุข การเพิ่มสุข คือการเพิ่มกิเลส
เพิ่มเท่าไหร่ ก็ไม่พอ แก้ทุกข์ไม่ได้
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๕๓ เมษายน ๒๕๔๖)
|