หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

บ้านป่า นาดอย
โดย... จำลอง

หลังสงกรานต์มีฝนหลงฤดูหลงมาเป็นระยะๆ พืชพันธุ์ไม้ทั้งข้างล่างและที่อยู่บนภูเขาโดยรอบเขียวชอุ่มเหมือนหน้าฝน คนมือบอนจุดไฟเผาป่าจุดเท่าไรก็ไม่ติด เพราะใบแห้งที่ร่วงหล่นอุ้มความชุ่มชื้นสะสมเอาไว้ นก กระรอก ไก่ป่า ส่ง เสียงร้องกันเซ็งแซ่ ดีใจที่ได้ฝน

คนกรุงที่มีความจำเป็นต้องกระจุกตัวเองอยู่ในเมือง น่าจะหาโอกาสกระจายไปสัมผัสบ้านป่านาดอยเสียบ้าง จะหาย คลายเครียดลงได้มาก

การรักษาตัวให้มีสุขภาพดีตลอดนั้นอากาศเป็นเรื่องสำคัญมาก อาหารก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ผมและนัก ปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกตัวเองว่า "ชาวอโศก" เผยแพร่อาหารมังสวิรัติมากว่า ๒๐ ปีแล้ว เปิดร้านอาหาร มังสวิรัติเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ขายบนศูนย์การค้า และตามย่านชุมชนทั่วไป

เมื่อกลางเดือนเมษายน ร้านมังสวิรัติที่อยู่ใน "บ้านสวนไผ่สุขภาพ" (ริมถนนพหลโยธิน ติดธนาคารทหารไทย สาขา สนามเป้า) มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอย่างผิดหูผิดตา เพราะหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ลงทั้งรูปและบทความเผยแพร่ให้ผู้อ่าน ทราบว่า อาหารจานเด็ดมีอะไรบ้าง อร่อยๆ ทั้งนั้น ขายในห้องปรับอากาศ ราคาไม่แพง ที่จอดรถเหลือเฟือ ใครต่อใคร จึงพากันไปอุดหนุนอย่างคับคั่ง แม้จะขยายร้านออกไปแล้วก็ยังไม่พอต้อนรับลูกค้าอยู่ดี

พลเอกโอภาส โพธิแพทย์ ท่านเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นก่อนผม ๕ ปี เขียนเกี่ยวกับอาหารการกินลงในหนังสือพิมพ์ มานานแล้ว ผู้ที่ติดตามข้อเขียนของท่านมีจำนวนมากมายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

วันนั้นท่านเกริ่นกล่าวเรื่องในอดีต สมัยเป็นผู้บังคับกองทัพทหารปืนใหญ่ที่เชียงใหม่ นายทหารในกองพันของท่าน คนหนึ่ง เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกับผม สนิทกันมาก ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ผมกับคุณศิริลักษณ์ไปเที่ยว เชียงใหม่ เลยแวะไปเยี่ยม พลเอกโอภาสท่านกำลังเตรียมขบวนออกท่องป่าภาคเหนือ เราเลยขอติดไปด้วย

เวลาผ่านมาห้าสิบกว่าปีผมยังไม่ลืมการท่องป่าคราวนั้น ถนนไม่มี มีแต่ทางเกวียนที่เต็มไปด้วยหลุมใหญ่ๆ ลึกๆ เคล็ดขัดยอกไปทั้งตัวตลอดเวลาของการท่องเที่ยว

ถัดจากเล่าเรื่องความหลัง พลเอกโอภาส ก็เล่าให้ผู้ฟังทราบว่าท่านได้ไปพบร้านอาหารบ้านสวนไผ่สุขภาพโดย บังเอิญ เข้าไปในร้านได้ลองลิ้มชิมรสอาหารมังสวิรัติแล้วก็ติดใจ ต้องไปใหม่พร้อมกับกล้องถ่ายภาพ เมื่อมาทราบ ภายหลังว่าผมกับคุณศิริลักษณ์เป็นตัวตั้งตัวตีอยู่ด้วยท่านยิ่งดีใจ

ตอนที่ผมเป็นนักเรียนนายร้อยปีหนึ่ง ท่านอยู่ปีห้า ท่านและเพื่อนร่วมรุ่นปกครองผมมา ผมต้องไปทำเวรปัดกวาด เช็ดถูใต้เตียงนอนท่านทุกเช้า ท่านเรียกชื่อเล่นๆของผมว่า "ตาจ๋ำ" ตามเพื่อนๆ ผม

เวลาผ่านไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว ผู้ที่ติดตามอ่านเรื่องของท่านยังไปร้านมังสวิรัติคับคั่งมิได้ขาด ผมเองไม่ได้พบท่าน หลายสิบปีแล้วนับตั้งแต่รายการ "ท่องเที่ยวทรมาน" คราวนั้นแล้วยังไม่เคยพบท่านอีกเลย พอทราบเรื่องผมรีบ โทรศัพท์ไปขอบคุณท่าน

แม่ครัวทั้งหลายที่ร้านอาหารมังสวิรัติ บ้านสวนไผ่สุขภาพ ตัดพ้อต่อว่า ว่าก่อนเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์น่าจะ กระซิบให้ทราบก่อน เพื่อเตรียมทำอาหารเป็นพิเศษให้มากกว่าปรกติ

ปลายเดือนเมษายน หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นก็ลงข่าวเกี่ยวกับอาหารมังสวิรัติอีก มีผมร่วมเป็นข่าวอยู่ด้วย ใครอ่านก็อด ห่วงใย ส.ส.ศันสนีย์นาคพงษ์ ไม่ได้ ส.ส.ที่ประชาชนหลายคนนิยมชมชอบ กำลังจะแย่ เพราะไปกินอาหารตามอย่าง อดีตหัวหน้าพรรค คือตามอย่างผม ขาดอาหารผิวเหลืองไปทั้งตัว

ผมรีบโทรศัพท์ไต่ถามทันที คุณศันสนีย์ยืนยันว่าร่างกายยังแข็งแรงอยู่ มือไม้เหลืองจริง เหลืองมานานแล้วเพราะรับ ประทานมะละกอมาก ระยะหลังๆ เกลียดเนื้อสัตว์ หันมากินอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์บ้าง กินแบบเจเขี่ยบ้าง

เมื่อไปตรวจโรค หมอพบว่าร่างกายขาดธาตุเหล็ก และหมอก็ยืนยันว่ากินมังสวิรัติต่อไปได้โดยไปเพิ่มผักสีเขียวให้ มากขึ้น คุณศันสนีย์เล่าว่าเมื่อผู้สื่อข่าวที่สนิทกันทราบ ก็เอาไปเขียนโยงกับผมให้สนุกๆ เท่านั้นเอง

ผมรีบให้คนนามสกุลเดียวกับผมที่ร่ำเรียนเรื่องอาหารและยามาช่วยโทรศัพท์ให้คำแนะนำคุณศันสนีย์ เพื่อจะได้ยืน หยัดกินมังสวิรัติต่อไป คุณศิริลักษณ์เคยทดลองให้ผมดู เอามะเขือพวงสดๆ มาทอดในกระทะ ประเดี๋ยวเดียวก็มี สีดำออกมา พิสูจน์ให้เห็นว่าเต็มไปด้วยธาตุเหล็กมากมาย

เมื่อต้นเดือนเมษายน คุณหมอกระแส ชนะวงศ์ไปสอนที่ โรงเรียนผู้นำ ท่านเอ่ยกับผมว่า สงครามอิรักเกิดขึ้นมาเกือบ เดือนแล้ว ชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องรับกรรมไปด้วย บาดเจ็บ ล้มตาย ขาดแคลนอาหาร เราน่าจะหารือกันว่าช่วย ชาวอิรักได้อย่างไรบ้าง

ครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ รีบติดต่อประสานงาน ประชุมกันวันที่ ๙ เมษา บ้านสวนไผ่สุขภาพ แล้ววันที่ ๑๑ เมษา ก็ชวนกันแถลงข่าวที่ตึกรัฐสภา ลงมือทำงานกันทันที

ชาวซิกข์นามธารีรีบโทรศัพท์ถึงท่านสิริสัตย์ คุรุยักยิกซิงยีมหาราช พระศาสดาองค์ที่ ๑๒ ที่เมืองปันจาบประเทศ อินเดีย ท่านให้ลูกศิษย์นำเงินมาบริจาคเป็นก้อนแรก ๑๐๐,๐๐๐ บาท ก่อนเวลาที่แถลงข่าวไม่นาน

ก่อนหน้านั้น ๑ วัน ชาวอโศกกำลังจัดงาน "ปลุกเสกพระแท้ๆ" ที่ศีรษะอโศก จังหวัดศรีสะเกษ ได้ประชุมกันเรื่องนี้ ตัดสินใจบริจาคข้าว ๑๐๐ กระสอบทันที

ชาวอโศกถือหลักว่า "ใครทำสงครามช่างเขา เราทำสันติภาพอย่างเดียว"อย่าว่าแต่สงครามกับเพื่อนมนุษย์ ด้วยกันเลย กับสัตว์เล็กสัตว์น้อยเราก็ไม่ทำลายล้างอยู่แล้ว

ปรึกษาหารือจัดตั้งเป็น "คณะกรรมการรวมน้ำใจชาวไทยสู่ชาวอิรัก" เห็นว่าผมเคยทำเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้ว สมัยเป็นผู้ว่าฯกทม. ชวนชาวกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงขนของกินของใช้ไปช่วยชาวใต้สมัยที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ ภาคใต้เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา ยกขบวนไปช่วยกันถึง ๓ ครั้ง

ครั้งแรกมีรถบรรทุก ๖ ล้อและ ๑๐ ล้อจำนวน ๘๕ คัน วิ่งต่อๆ กันยาวเป็นกิโลเมตร เมื่อช่วยกัน ๓ ครั้งแล้ว เงินก็ยัง เหลือ จึงตั้งมูลนิธิเมืองหลวงห่วงเมืองใต้นครศรีธรรมราช ๓ ล้านบาท และเมืองหลวงห่วงเมืองใต้
สุราษฎร์ธานี ๒ ล้านบาท เอาดอกผลมาช่วยยามเมืองใต้เกิดเภทภัยติดต่อกันมาถึงปัจจุบัน

อีกครั้งหนึ่งตอนผมเป็นรองนายกฯ ตอนนั้นดร. ทักษิณ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เกิดแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ ประเทศ ญี่ปุ่น ตึกรามบ้านช่องพังทลาย ชาวโกเบไร้ที่อยู่นับแสนๆ คน ขาดผ้าห่มกันหนาว รัฐมนตรีหลายคนเห็นว่าญี่ปุ่นเป็น ประเทศร่ำรวย และไม่ได้ขอร้อง เราจึงไม่จำเป็นต้องไปช่วย

ส่วนผมคิดอีกอย่างหนึ่ง คนที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา จะจนหรือจะรวย เมื่อเรารู้ว่าเขาตกทุกข์ได้ยาก แม้ไม่ขอร้อง เราก็ต้องช่วย ผมบอกกับรัฐมนตรีร่วมคณะว่าอย่างไรเสียผมก็ต้องไปช่วย เพราะชาวญี่ปุ่นหลายคน เคยช่วยผมมา ผมจะไปเป็นการส่วนตัว หรือไปเป็นทางการเท่านั้น

ในที่สุดผมในฐานะรองนายกฯ ดูแลเรื่องการต่างประเทศก็เป็นหัวหน้าคณะ ตัดสินใจเช้าวันศุกร์ สายๆ ของวันเสาร์ รุ่งขึ้นก็ออกเดินทาง ตอนเย็นวันศุกร์ผมโทรศัพท์ให้ ดร.วิชิต สุระพงษ์ชัย รัฐมนตรีคมนาคม ซึ่งเคยเป็นกรรมการผู้จัด การใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ มาก่อน ให้ช่วยหายืมเงินจำนวนหนึ่ง แล้วผมจะใช้หนี้ภายหลัง

ติดต่ออยู่นานก็ยังไม่ได้เงิน โชคดี ดร.ทักษิณ เอาเงินดอลลาร์ส่วนตัวให้ผมปึกหนึ่ง คิดเป็นเงินไทยกว่า ๑ ล้านบาท ผมค่อยอุ่นใจ เป็นหัวหน้าคณะเดินทางไปต่างประเทศทั้งที ไม่มีเงินติดตัวเลยเป็นไปไม่ได้

เรานำผ้านวมอย่างดีไปบริจาค ๔๐๐ ผืน ไปกว้านซื้อข้าวหลามรอบองค์พระปฐมเจดีย์ได้ ๗๐๐ กว่ากิโลกรัม เอา บรรทุกขึ้นเครื่องบินหมด เป็นรัฐบาลต่างชาติรัฐบาลแรกที่เขาไปถึงโกเบ

ผมโชคดี ไม่ต้องเบิกเงินหลวง และไม่ได้ใช้เงินที่ ดร.ทักษิณให้ติดตัวไป ผมนำกลับไปคืนเป็นปึกเรียงหมายเลขเหมือน เดิม ค่ากินอยู่ ค่าเดินทาง มีเศรษฐีชาวญี่ปุ่นที่มั่งคั่งของเมืองโอซากาออกให้หมด ค่าขนของขึ้นเครื่องบินก็ไม่ต้องจ่าย เลย สายการบินญี่ปุ่นช่วยหมด

คณะกรรมการรวมน้ำใจชาวไทยสู่ชาวอิรักจึงขอให้ผมรับหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะ การรวบรวมข้าวสารและเงินเพื่อ ไปซื้อข้าวสาร ไม่ใคร่มีปัญหาเท่าใดนัก ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรข้าวสารจึงจะไปถึงชาวอิรัก

ประเทศอิรักถูกคว่ำบาตรจากประเทศต่างๆ มานาน ๑๒ ปี สายการบินที่มีเครื่องบินไปอิรักมีจำนวนน้อยมากยิ่งตอนที่ ยังมีการรบพุ่งกันอยู่ ถ้าขนของไปทางเครื่องบินต้องไปลงที่ประเทศตุรกีหรือจอร์แดน และค่าบรรทุกก็แพงมากมาย

ผมนึกถึงเครื่องบินบรรทุกของทหารที่ผมเคยใช้สมัยไปรบเวียดนาม แบบซี ๑๒๓ เป็นเครื่องบิน ๒ เครื่องยนต์ ใหญ่กว่า นั้นคือ ซี ๑๓๐ เครื่องบินใบพัดเช่นกันแต่ ๔ เครื่องยนต์ ผมรีบติดต่อผู้บังคับกองบินที่ ๖ ของทหารอากาศทันที นาวา อากาศเอก นิรันดร์ ยิ้มสรวล อัธยาศัยดีมาก ให้รายละเอียดทุกอย่าง และพร้อมจะจัดเครื่องบินไปอิรักในช่วง สงกรานต์ คณะกรรมการเรายังไม่พร้อมผมจึงบอกผู้บังคับกองบินว่าไปเที่ยวสงกรานต์ก่อนเถิดไม่ต้องเตรียมพร้อม หลังสงกรานต์แล้วค่อยว่ากันใหม่

เครื่องบินซี ๑๓๐ บรรทุกได้อย่างมาก ๑๐ ตัน ใช้เวลาบินจากกรุงเทพฯ ไปอิรัก ๑๕ ชั่วโมง ต้องแวะเติมน้ำมันกลาง ทางอีก ๒ ชั่วโมงก่อนออกเดินทางกระทรวงการต่างประเทศจะต้องช่วยติดต่อขออนุญาตผ่านน่านฟ้าประเทศต่างๆ ตามเส้นทางบิน

ผมคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศ ทราบว่ากระทรวงการต่างประเทศกำลังจะขนของไปช่วยอิรักด้วยเครื่องบินซี ๑๓๐ จำนวน ๑ ลำ ผมจึงขอร้องท่านให้ขนโปรตีนเกษตรของคณะกรรมการรวมน้ำใจชาวไทยสู่ชาวอิรักอีก ๑ ลำ ท่านก็ ตกลง กำหนดจะไปต้นเดือนพฤษภาคม

เราจะส่งทั้งทางเครื่องบินและทางเรือ ขณะนี้ข้าวสารและอาหารแห้ง (โปรตีนเกษตร) เรามีพร้อมแล้ว เรือออกจาก ท่าเรือกรุงเทพฯ วันที่ ๓ พฤษภา เดินทางใช้เวลา ๗ วัน การขนส่งด้วยทางเรือดังกล่าว โครงการอาหารโลก ช่วยเรา ขนส่งข้าว ๓๐ ตัน ไปจนถึงมือชาวอิรักที่ขาดแคลน ซึ่งจะมีผู้แทนของคณะกรรมการเราเดินทางไปมอบให้ชาวอิรักด้วย

รัฐมนตรีมหาดไทยโทรศัพท์ขอบคุณคณะกรรมการรวมน้ำใจชาวไทยสู่ชาวอิรัก ที่รับภาระจัดการเรื่องนี้ ตัวท่านเอง ก็จะเดินทางไปอิรักบ้างเช่นกัน

ท่านสมาชิก"เราคิดอะไร"หากจะร่วมทำบุญติดต่อโทรศัพท์ ๐-๒๒๔๑-๓๘๐๕-๖, ๐๑- ๘๓๑๔๘๙๖ และ ๐๙-๙๒๕๘๓๗๐ โทรสารหมายเลขเหมือนกับโทรศัพท์เลขแรก โอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางจาก ประเภทออมทรัพย์ เลขที่ ๐๓๕-๒-๘๒๐๑๗-๒ ชื่อบัญชี "นายวฤทธิ์ ชินสาย และนางจุฬา สุดบรรทัด เพื่อโครงการ รวมน้ำใจชาวไทยสู่ชาวอิรัก"

คณะกรรมการได้เขาเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช และกราบคารวะท่านจุฬาราชมนตรี ซึ่งท่านจุฬาราชมนตรีได้ร่วม บริจาคเงินด้วย ท่านมุขนายก มีชัย กิจบุญชู ได้บริจาคเงินในนามองค์กรศาสนาคริสต์โรมันคาธอลิคแห่งประเทศไทย เป็นเงินก้อนแรก ๕๐๐,๐๐๐ บาท

คณะกรรมการรวมน้ำใจชาวไทยสู่ชาวอิรัก ได้รับความร่วมมือจากสถานีวิทยุต่างๆ ให้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ฟังเกี่ยวกับ เรื่องนี้ ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุน ที่คัดค้านมีน้อยมาก เช่น รายหนึ่งร่วมให้ความคิดเห็นว่า เราน่าจะช่วยให้คนยาก จนในบ้านเมืองเราหมดไปเสียก่อนจึงจะออกไปช่วยประเทศอื่น ก็เป็นเรื่องที่น่าจะคิดเช่นนั้นเหมือนกัน

ทางเราก็ตอบไปตามความจริงว่า ประเทศที่ร่ำรวยมากในโลกทุกประเทศยังมีคนยากคนจนอยู่ตลอด ถ้าจะรอให้ไม่มีคนยากจนคงจะไม่ได้ช่วยประเทศอื่นกันพอดี

ในการประชุมครั้งแรกที่บ้านสวนไผ่ คุณณรงค์ โชควัฒนา ผู้บริจาคโปรตีนเกษตร ๓๐ ตัน ให้ความเห็นว่า ทุกข์ยาก ของชาวอิรัก เป็นเรื่องที่คนไทยทุกศาสนาต้องช่วยกัน ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาสนิกชนศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ผู้ฟังหลายคนที่พูดเข้าวิทยุก็พูดทำนองเดียวกันนี้

สงครามที่เกิดขึ้นในอิรัก คนไทยไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วย เราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เราก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเป็นประเทศเล็ก เสียงไม่ดังในเวทีโลก แต่การช่วยเหลือด้วยมนุษยธรรม ประเทศเล็กแค่ไหน ก็มีส่วนช่วยได้ทั้งนั้น ังที่พวกเรากำลังทำกันอยู่เวลานี้

อยากจะให้คนไทยหลายๆ คน โดยเฉพาะสมาชิกเราคิดอะไรยืนหยัดว่า

"ใครทำสงครามช่างเขา เราทำสันติภาพอย่างเดียว"