จากภาพงานเลี้ยงแต่งงานของลูกสาวคนโตกับชายหนุ่มจากตระกูล
"พรประภา" เมื่อกลางปี ที่ผ่านมา
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอไม่ใช่คนในสังคมไฮโซ เรามาฟังทัศนะของเธอ
เป็นสังคมที่คนมีเงินร่ำรวยนับสิบล้านร้อยล้าน นับถือเรื่องเงินเป็นใหญ่
เข้ากับสุภาษิต ที่ว่า "มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่"
แต่บางคนก็ไม่ได้นำเงิน ไปใช้ประโยชน์เท่าที่ควร นึกถึงแต่ ความสุขส่วนตัว
และการบำรุงบำเรอ ความสะดวกสบายให้ตัวเอง ไม่ค่อยได้ดูหรือพูดกัน ในเรื่องคุณงาม
ความดีเท่าไหร่ พี่คิดว่า พี่ไม่กลมกลืน กับวิถีชีวิต แบบนั้น พี่รู้สึกตลอดเวลาว่า
เราเข้ากับเขาไม่ได้ มันไม่กลมกลืน เพราะเวลาพบกัน พูดคุยกันก็ ไม่ค่อยจริงใจ
ต่างฝ่าย ต่างยกย่องชมเชยกันตามมารยาท
ไม่ว่าใครจะมองเธออย่างไร เธอสรุปตัวเองชัดเจน
"พี่ไม่ใช่คนไฮโซ แต่เดิมฐานะทางบ้านยากจนมาก
ที่บ้านเป็นร้านขายยาเล็กๆ ผลิตยาขายเอง พอขายดีหน่อย ก็โดนโกง ครอบครัวเป็นหนี้เป็นสิน
วิ่งยืมเงินคุณนายข้างบ้านตลอดเวลา แม่เสียด้วยโรคมะเร็ง ตั้งแต่พี่อายุ
๑๒ มีพี่น้อง ๕ คน พี่เป็นลูกคนที่ ๒ พ่อแต่งงานใหม่ และมีน้องอีกคน พ่อมาจากเมืองจีน
ทำอาชีพ ที่ไม่ถูกกฎหมาย เป็นเจ้ามือหวยใต้ดิน และ ที่บ้านเป็นบ่อน พี่รู้สึกอาย
กลัวคนจะรู้ว่าที่บ้านเป็นอย่างนี้ เวลาเข้าสังคม มันไม่ยืดเท่าไร พี่น้องทุกคนรู้สึกเหมือนกันหมด
แต่ไม่กล้าคุยกับพ่อเพราะรู้คำตอบ นี่คืออาชีพของพ่อ ที่เลี้ยงดู พวกเราทุกคน
และส่งเสียให้การศึกษาจนเรียนจบทุกคน คนโตเป็น แพทย์อยู่ ร.พ.ภูมิพล น้องชายจบ
นิติศาสต์ จุฬาฯ น้องสาวจบอักษรศาสตร์ จุฬาฯ คนเล็กจบรามคำแหง
เคยมีคนถามว่าทำไมครอบครัวเรา พี่ๆน้องๆ จึงประสบความสำเร็จกันทุกคน จนพี่ต้องย้อน
หาคำตอบ ให้ตัวเอง พบว่าวัยเด็ก อยู่ในท่ามกลางแหล่งอบายมุข นอกจากที่บ้านแล้ว
พี่เกิดแถวนางเลิ้ง เลี้ยวซ้าย เจอสนามม้า เลี้ยวขวา เจอสนามมวย หลังบ้านคือวัดโสมนัสฯ
อยู่ในสถานที่ล้อมรอบ ด้วยอบายมุข การได้พบเห็น สภาพชีวิตรอบๆ ตัวที่เลวร้าย
อาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เราอยากถีบตัวเองออกมา และอีกข้ออาจเป็นเพราะ
พ่อเป็นคนดุ อารมณ์ ร้าย พี่คิดว่าตรงนี้เป็นจุดสำคัญ ทำให้พวกเราพี่น้องรวมตัวกันได้ดี
มีความรักใคร่ เอาใจใส่ ต่อกัน ช่วยเหลือกัน มีอะไรก็คุยกัน พวกเรารับผิดชอบทั้งเรื่องตัวเองและการเรียน
ทุกคน ตั้งใจเรียน พ่อแต่งงานใหม่ ไปอยู่กับแม่เลี้ยง กลางวันก็มาบ้าน กลางคืนก็ไป
พวกเราต้องดูแลกันเอง
อีกข้อคิดว่าอาจมาจากยีน เพราะพ่อเป็นคนฉลาด ไม่ว่าพ่อจะเป็นอย่างไร แต่
สิ่งที่พ่อสอนลูก เสมอ คือเรื่อง ความซื่อสัตย์สุจริต
ไม่ให้คดโกงใคร ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร และเน้นเรื่อง ความกตัญญู ส่วนแม่เป็นคนจีน
ที่เกิดในเมืองไทย แม่ขยันมาก ไม่ปล่อยให้ลูก อยู่เฉยๆ ว่างปุ๊บก็ใช้ให้ทำโน่นทำนี่
เช็ดกรอบรูป เช็ดขอบประตู หน้าต่าง จัดของให้เป็นระเบียบ รื้อเสื้อผ้ามาจัด
หัดเย็บจักร ตัดเสื้อผ้า เรายังเด็กก็อยากเล่น ถีบจักรไป ร้องไห้ไป โดยหารู้ไม่ว่า
สิ่งที่ติดตัวเรามาคือความขยันที่แม่ปลูกฝังไว้
การศึกษาที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
เรียนชั้นประถมที่ ร.ร.อนุสิทธิ์พิทยา มัธยมที่ ร.ร.เบญจมราชาลัย มัธยมปลาย
ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา จบคณะ วิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯเกียรตินิยมปี ๒๕๑๓ พี่ชายเรียนแพทย์
เพราะพ่อบอกว่า เธอต้องเรียนหมอ พ่อใฝ่ฝัน อยากให้ลูกเรียนหมอ แต่สำหรับพี่
จะเรียนอะไร ก็ได้ เคยคิดจะเป็นหมออีกคน แต่ก็คงอีกนาน กว่าจะจบออกมา ทำงานหาเงิน
จุนเจือครอบครัว เลือกวิศวะจะได้จบเร็วหน่อย และก็เป็นค่านิยมว่าเด็กเรียนเก่ง
ถ้าไม่เรียนแพทย์ ก็วิศวะ รุ่นที่พี่เรียนมีผู้หญิงเพียง ๗ คน จบมาทำงานบริษัทอยู่
๒ ปี ก็ได้ทุนจากรัฐบาลแคนาดา ไปเรียนต่อ ปริญญาโท ที่ AIT
คู่ครองพลิกผันชีวิต
ขณะเรียนปริญญาโทที่ AIT พบกับสามีซึ่งกำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ที่เดียวกัน
จริงๆ แล้วเคยพบกัน มาก่อน เขาเป็นรุ่นพี่ ที่คณะวิศวะ เราแต่งงานมีลูก ๒
คน ตอนนั้นต่างคน ต่างทำงาน สามีเป็นอาจารย์ ที่จุฬาฯ ทำหน้าที่ รับส่งลูกไปโรงเรียน
ต่อมาเขาหันมา ทำธุรกิจ ส่วนตัว ไม่มีเวลาดูแลลูก จึงให้พี่ออกจากงาน มารับส่งลูกแทน
ดูแลลูก ติวเรื่องเรียนตั้งแต่อยู่ ป.๑ ป.๒ เพื่อนๆ ยังสงสัยว่าทำไมพี่ยอม
ยอมเลย เพราะลูก ๒ คน คิดว่าคุ้ม ได้อยู่ใกล้ชิด ติดตามลูกทุกขั้นตอน
พูดกันว่า เลี้ยงลูกสมัยนี้ลำบากเลี้ยงยาก
พี่ถ่ายทอดสิ่งที่ได้รับการอบรม มาจากพ่อแม่ให้ลูกหมดเลย ในเรื่องความกตัญญู
ความซื่อสัตย์ ความขยันขันแข็ง และลูกเรายังได้เปรียบกว่าเด็กอื่น ตรงที่พี่พาลูกทั้งสองคน
มาเรียนพุทธธรรม วันอาทิตย์ ที่พุทธสถานสันติอโศกตั้งแต่ลูกคนโตอายุ ๙ ขวบ
คนเล็กอายุ ๗ ขวบ จนถึง ม.๓ ซึ่งเป็นการ ปูพื้นฐานทางธรรมะให้เขาตั้งแต่ยังเล็กๆ
พอโตขึ้นมาเป็นเด็กดี และน่ารัก ทั้งสองคน ไม่เคยทำให้พ่อแม่ต้องปากเปียกปากแฉะในเรื่องเรียน
หรือเรื่องอื่นๆ พวกเขาจะมี ความรับผิดชอบดี ลูกทั้งสอง จบปริญญาตรี อายุ
๑๙ ปี ลูกสาว คนโตชื่อปรารถนา อายุ ๒๘ ปี จบคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เกียรตินิยม
อันดับหนึ่ง เหรียญทอง เพราะคะแนนสูงสุด ในภาควิชา และได้รางวัลภูมิพล ด้วยคะแนนสูงสุด
ของคณะ ชื่อขึ้นบอร์ดทอง ของคณะ ต่อมาจบ ปริญญาเอก คนน้องชื่อพรพรหม อายุ
๒๖ ปีเป็นผู้ชาย ก็จบได้เกียรตินิยม อันดับหนึ่ง คณะบัญชี จุฬาฯ จบปริญญาโทจาก
MIT ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย ๑ ใน ๕ ของอเมริกา สิ่งที่พี่ลงทุน ด้วยความรัก
และความเอาใจใส่ ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้ลูก ส่งผลให้ในวันนี้ ลูกคือความสุขความภาคภูมิใจ
ของพ่อและแม่
ปัญหาวัยรุ่น เรื่องอบายมุข สิ่งเสพติด
และเพื่อนต่างเพศ
ไม่มีเลย เขาเรียนรู้ว่าบุหรี่ไม่ดี เหล้าทำลายเซลล์สมอง เด็กเรียนเก่งจะไม่ค่อยมีปัญหาพวกนี้
เพราะเขาจะอยู่ ในกลุ่มเด็ก เรียนเก่งด้วยกัน แต่ถ้าเขาเป็นเด็กเรียนไม่ดีจะน่าเป็นห่วง
เพราะเขา จะถูกชักชวนไปเที่ยว และมั่วสุม กับกลุ่มเพื่อน ที่เกเรได้ง่าย
ส่วนค่านิยม ตามสิ่งแวดล้อม สมัยใหม่ ลูกสาวมีบ้าง เพราะอยู่คณะรัฐศาสตร์
ขึ้นชื่อว่า เป็นคณะไฮโซ พ่อซื้อรถเบนซ์ ป้ายแดงให้ขับด้วยความที่รักลูก
ใช้กระเป๋าก็ต้องหลุยส์ วิตตองส์ แต่ยังไม่หนัก ลูกชาย ไม่ติดมาเลย แม้คณะบัญชีก็ไฮโซแต่เขาไม่เป็น
ขนาดว่าเป็น ๑ ใน ๕ ของสุดหล่อในคณะ ลงหนังสือ ของคณะ เขาก็ไม่ได้เหลิงอะไร
ลูกสาวแต่งงานไปแล้ว ลูกชายเป็นอาจารย์ ที่คณะบัญชี เวลาเขามีปัญหา จะเข้ามากอดแม่
"เซ็งมากเลย ช่วยลูบหัวหน่อย" มาขอกำลังใจ
จากแม่ มันเป็นความผูกพัน ระหว่างเรา แม่ลูก
ก้าวสู่สังคมไฮโซ
พอสามีหันมาทำธุรกิจส่วนตัว ประสบความสำเร็จ ฐานะครอบครัวดีขึ้น แต่เดิมเขาก็ยากจน
แต่งงาน ปี '๑๖ สิบปีให้หลัง ประมาณ ปี '๒๖
ก็ร่ำรวย มีเงินเยอะ แต่ก็ไม่ได้ ไปเข้าสังคมอะไร มีแต่เข้าไปเป็นสมาชิก
สปอร์ตคลับ ที่พวกไฮโซ เขาชอบไปกัน ลูกๆ กับสามีพี่ก็ไป รู้สึกที่นั่น แต่ละคนเต๊ะกันมาก
เพราะต่างคน ต่างมีฐานะ ร่ำรวย พอเดินเข้าไป เรารู้สึกว่า ที่นี่ไม่ใช่ ที่ของเรา
แต่สามีกับลูกไม่รู้สึก เขามีกลุ่มของเขา ลูกๆ ก็สนุก มีสระว่ายน้ำ และอะไรต่างๆ
เป็นสังคมของพวกเขา แต่ไม่ใช่ของเรา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกแยกนะ จะดูเฉยๆ
ว่าเขาทำอะไรกัน แม้ใจไม่ชอบ แต่ก็คุยกับเขาได้ ไปกับเขาได้ ไม่รู้สึกอะไร
พบธรรมะ ทางเดินชีวิตสู่สามัญชนธรรมดาๆ
ช่วงปี '๒๗ มีญาตินำหนังสือ แสงสูญ มาให้อ่าน รู้สึกไม่ชอบ
หนังสือเล่มนั้นตำหนิคนอื่น และบอกตัวเอง เป็นธรรมะแท้ๆ อ่านพบหนังสืออีกเล่ม
เรื่อง "พระพุทธองค์ทรงสอน"
เล่มนี้ ดีกว่า บอกวิธีปฏิบัติแบบ เป็นขั้นเป็นตอน ว่าให้ละลดอย่างไร แต่เดิมพี่ชอบ
อ่านหนังสือ โลกทิพย์ นั่งสมาธิแบบอยากมี หูทิพย์ ตาทิพย์ อ่านใจคนได้ อยากมีฤทธิ์มีเดช
ส่วนใหญ่ จะสอนว่า นั่งหลับตาไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง บารมีถึงก็จะบรรลุอรหันต์
เรานั่งยังไง ก็ไม่ถึงสักที ไปศึกษาหลายที่ ธรรมกายก็ไป ตอนนั้นอยู่ที่ ธรรมสถานจุฬาฯ
เขานั่งสมาธิหลับตา และมีการ สอบญาณกันว่า เห็นน้ำเลี้ยงหัวใจไหม มีคนตอบกันว่าเห็น
มีกี่วง สีอะไร เขาก็ตอบกันได้ เราก็เอ๊ะ ! ทำไม เราไม่เห็นล่ะ
ไปที่ท่านฤาษีลิงดำก็เหมือนกัน เห็นสระอโนดาตเป็นยังไง เขาก็เห็นกัน แต่เอ๊ะทำไมเราไม่เห็น
แย่ละซี สงสัยไม่มีบารมี แต่พออ่าน หนังสือ พระพุทธองค์ทรงสอน ให้เลิกโลกอบาย
โลกกาม โลกธรรม และ โลกอัตตา เป็นลำดับ เราคิดว่า มันถูกต้องนะ ก็เลยลองมาศึกษาดู
มาฟังเทศน์จาก ท่านโพธิรักษ์ หลังจากนั้น ก็มาฟังธรรม
ทุกวันอาทิตย์ ประทับใจที่ท่านสอนตรง เข้าใจว่านี่คือพุทธแท้ สิ่งแรกที่เลิก
คืออบายมุข ที่ได้เล่า แต่ต้นว่า บ้านเป็นบ่อน พ่อสอนลูกทุกคนให้เล่นไพ่
ที่บ้านมีเด็กแยะ มีหลานพ่อ จากต่างจังหวัด มาอยู่ รุ่นราว คราวเดียวกัน
ตั้งวงกัน สนุกมาก จนมันซึมเข้าไปในสายเลือดเลย เลิกยากมาก แต่ไม่ใช่ติดแบบ
ไปเข้าบ่อน เล่นทุกวัน เพียงแต่นานๆ เจอกัน เช่น ตรุษจีน พี่ๆน้องๆ มากันครบ
เฮฮาสนุกมาก มันเหมือนเป็น การสังสรรค์
สุดท้ายเลิกเพราะมาปฏิบัติธรรม ซึ่งก็เจ็บปวดอยู่เหมือนกัน จากนั้นก็เริ่มถือศีล
กินอาหาร มังสวิรัติ เนื่องจาก ติดเรื่องกินมาก จะกินแต่อาหารอร่อยๆ การฝึกกินมังสวิรัติจึงทำไม่ได้ง่ายๆ
ลดเนื้อสัตว์ ๔ ขา ๒ ขาก่อน เมื่อเลิกสัตว์บก ก็เหลืออาหารทะเล เช่น ปลา
กุ้ง ปู เพื่อนๆ ล้อว่า ปูมีขามากกว่าหมูไก่เสียอีก น่าจะบาปกว่านะ เพราะบอกเพื่อนว่า
ไม่กินสัตว์ ๔ ขา ๒ ขา ใช้เวลา ประมาณ ๑ ปี จึงกินมังสวิรัติ บริสุทธิ์ได้
เรื่องการแต่งตัวจะง่ายมาก เพราะไม่ติดสวย ได้ชื่อว่าแต่งตัวเชย ทุกวันนี้
มีชุดใส่มาทำงานที่วัด ๓ ชุด เป็นผ้าถุง และ เสื้อผ้าฝ้าย สบายๆ รวดเร็ว
ไม่ต้องยืนหน้าตู้เสื้อผ้า เสียเวลาเลือกชุด ซักรีดสบาย
คิดว่าการปฏิบัติธรรมสำคัญต่อชีวิต ทำให้ทุกข์น้อยลง
ถ้าเรารู้ความจริงของชีวิต ว่าทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่เที่ยงแท้ ทำให้เรา ไม่ไปหลงใหล
กับสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นความร่ำรวย หรูหรา หรือ ความสุขสบาย เราจะมีสติกับ
สิ่งเหล่านี้ อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด เราต้องยอมรับ อาจเป็นวิบากกรรมเก่าๆ
หรือที่เราทำใหม่
จุดมุ่งหมายในชีวิต
ไม่อยากคิดถึงอรหันต์แต่อยากได้ถ้าได้อรหันตชีวิตก็จบคงต้องบวช เพียงแต่อยากไปให้ถึงที่สุด
ของการปฏิบัติธรรม จุดนี้รู้ว่า จะทำให้พบกับความสุขที่แท้จริง เพราะเราเชื่อพระพุทธเจ้า
นิพพานัง ปรมัง สุขัง ขณะนี้กำลังเดิน อยู่บนเส้นทางที่ถูกตรงแล้ว
แม้อาจใช้เวลานับล้านๆ ปีก็ไม่ท้อ เพราะมั่นใจว่า ทางสายนี้แหละ ที่นี่แหละ
อาจารย์องค์นี้แหละ ที่เราจะขอเป็นศิษย์ คอยรับใช้ท่าน และรับใช้พระศาสนาไป
จนกว่าชีวิตจะหาไม่
วันนี้บทบาทของเธอ นอกจากเป็นนักปฏิบัติธรรมเพื่อขัดเกลากิเลสตัวเองให้ลดลงๆ
ตามฐานแล้ว เธอยังเป็น กรรมการ อาสาสมัครดูแลกองบุญสวัสดิการ เป็นเหรัญญิก
มูลนิธิธรรมสันติ เหรัญญิก พรรคเพื่อฟ้าดิน และ ช่วยขายของ ที่ร้านอาหารของ
ชมรม มังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาจตุจักร ในวันเสาร์ - อาทิตย์ .