เวทีความคิด - เสฏฐชน -
สิ่งที่ได้เห็นมา


เมื่อวันพุธที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๔๖ รับนิมนต์จากโรงเรียนผู้นำ ให้ไปพบปะ บรรยาย ให้นักศึกษาราชภัฏ รำไพพรรณี จังหวัดกาญจนบุรีฟัง ขณะเดินทาง เข้าสู่จังหวัด กาญจนบุรี เห็นธงสีเหลืองและป้ายผ้า ชวนเชิญให้ประชาชนหันมาสนใจเรื่องการกินเจ เพราะเป็นเทศกาลเจ ที่ยึดถือสืบทอดมานมนาน ตามความเชื่อถือ ของคนรุ่นก่อนๆ สัมผัสแล้วทำให้เกิด ความชื่นชม อดปีติแทนชาวบ้าน เมืองกาญจนบุรี ไม่ได้ที่ร่วมแรง ร่วมใจกันสร้างรูปธรรมชัดเจน ตามถนนสายต่างๆ นับเป็นความก้าวหน้าทางจิตใจ เป็นความดีงาม ความเจริญรุ่งเรือง ด้านศีลธรรม ที่มีอัตราการก้าวหน้าดีมากๆ แม้เพียง ๙-�๑๐ วันใน ๓๖๕ วันก็ตาม ก็ยังเป็นการสั่งสมกุศลกรรม แม้เล็กน้อย ดังที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า "อย่าประมาทในความดีแม้เล็กน้อย อย่าปล่อยให้โอกาสแห่งการทำบุญเลยไป เพราะถ้ามัวชักช้าอยู่บาปจะมาแทรกแซงทันที"

ฉะนั้นในเมืองไทยที่มีคนจีนคนไทยผสมผสานกันอยู่ไม่น้อย ก็น่าจะร่วมกันทำบุญ ทำความดีในเทศกาลนี้ได้เต็มที่ เพราะเป็นเวลาที่ จะอ้างไม่ได้ว่า ไม่สะดวก ที่จะหา ร้านอาหารประเภทนี้ ทำอาหารเจ -มังสวิรัติไม่เป็น หรือทานคนเดียวลำบาก ฯลฯ เนื่องจากเวลานี้ อาหารมีทั่วไป ตั้งแต่ระดับหาบเร่ แผงลอยรถเข็น ร้านตึกแถว ภัตตาคาร โรงแรม ฯลฯไม่จำเพาะแต่ วัด สถานธรรม สมาคมโรงเจ เท่านั้น แม้คนที่ทำอาหารขาย เป็นอาชีพ ก็ยังเพิ่มอาหารเจ อาหารมังสวิรัติขึ้นอีกรายการหนึ่ง

แม้แต่แม่บ้านที่ไม่ได้ทำอาชีพขายข้าวแกง ก็ยังปลีกเวลาทำอาหารเจ มังสวิรัติ ขายเป็นพิเศษ ในช่วงนี้ คนที่ประสบ ปัญหาเศรษฐกิจ ในช่วงฟองสบู่แตก ก็มาทำ อาหารขายก็มีไม่น้อย ถ้าเรามองสถานการณ์ชัดเจน ก็คงเข้าใจว่าเป็นเรื่องดี ที่ใครจะทำ อย่างนี้ ผู้ทำ ผู้ขาย ยิ่งได้ทำใจให้ดีๆ ถือศีลพิเศษยิ่งดียิ่งขึ้น เคยดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยว เล่นการพนัน ในรูปแบบใดๆ ก็ตาม จะตั้งใจเลิก ละ หยุด ในช่วงนี้ด้วย จะเป็นผลานิสงส์ เกิดอำนาจรัศมีธรรม ผลักดันให้การประกอบสัมมาชีพนี้ เป็นไปได้คล่องตัว หากขาย แถมแจก ผสมไปด้วย ก็จะเป็นบุญยิ่งขึ้น แม้เพียงวันละหม้อ อาทิตย์ละหม้อก็ย่อมได้ ไม่จำเป็นต้องทำใหญ่ แต่หากมีเงินมาก มีแรงงานมาก มีสถานที่ กว้างขวาง มีชื่อเสียง โด่งดัง ก็ยิ่งจะทำได้มากขึ้น เป็นเงาตามตัว

การมุ่งมั่นทำดีที่ไม่เคยทำ หรือทำมาน้อย เป็นความเฉลียวฉลาดของคน ประเภทรู้จัก ฉวยโอกาส ที่เข้าสัมมาทิฐิ ไม่มัวผัดวัน ประกันพรุ่ง ผ่านวันเข้าพรรษามา จนจะ ออกพรรษาอยู่แล้ว ผ่านวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ มาหลายสิบปีแล้ว จนแก่เฒ่า เกือบเข้าโลงแล้ว ก็ยังไม่เคย คิดทำอย่างนี้เลย มัวเกี่ยงอยู่ว่า เราไม่ใช่คนจีน จะมาถือเจอะไรกัน เราไม่ใช่นักบวช จะมาเคร่งครัดอะไรกัน เราไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม จะมาถือสาอะไรกัน เราไม่ใช่สายมหายาน จะมาถืออย่างนี้ทำไมกัน ฯลฯ สารพัด ที่จะเกี่ยงงอน ที่จะปฏิเสธ ไม่ยอมทำความดี ในส่วนนี้ รอไปรอมา จนกระทั่ง แม้อยากจะกิน อยากจะทำความดีแก้ตัว เมื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อยามเกิดเคราะห์ร้าย เมื่อยามประสบภัยพิบัติ เมื่อยาม กำลังจะตาย ใครเล่าจะต่ออายุความดีให้แก่เราได้ ก็คงจะได้แต่ไปหาหมอดู คนทรง ผู้ทำยันต์มนต์คาถา เดรัจฉานวิชา เท่านั้นหรือ? เคราะห์กรรม อันเกิดมาแต่การทำอกุศลของตนจะสลายหายไปอย่างไร? ในเมื่อเรา ก็พบเห็นอยู่ เนืองๆ ตามสถานที่ บูชาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นต้นไม้ สัตว์ประหลาด เสาปูน จอมปลวก ฯลฯ ว่ามีธูปเทียนบูชา มีคนมากราบไหว้ วิงวอนขอพร ตามความคิด ความเชื่อ การเอาอย่างตามๆ กันจะแก้กรรมได้อย่างไร หากเขายังไม่แก้ไขตัวเอง ไม่แก้พฤติกรรม ที่ไม่ดีของตัวเอง ยังหลงระเริง สนุกสนานเพลิดเพลิน กับสิ่งที่ทำ ให้เสียสุขภาพ เสียเงินเสียนิสัย อาจบานปลายไป จนกระทั่งเสียชีวิต ก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งเราก็คงเคยได้ยิน คำบอกเล่า จากผู้ประสบเคราะห์ร้าย เช่น ถูกไล่ออกจากงาน ถูกศัตรูทำร้าย ทำมาหากินไม่ราบรื่น ล้มละลาย เรื่องทรัพย์สิน ฯลฯ ก็ได้รับคำแนะนำ ให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ด้วยการใส่บาตร ทำสังฆทาน ปล่อยนกกา ปล่อยปลา ปล่อยวัวควาย ฯลฯ สุดแล้วแต่คำแนะนำเหล่านั้น และเมื่อผู้รับเคราะห์ เหล่านั้น ทำตามคำบอกกล่าวแล้ว ก็สบายใจ ทำให้รู้สึกว่า ได้สะเดาะเคราะห์กรรมแล้ว

เมื่อยังมีความเชื่อในทำนองนี้ได้ไฉนคนเราจะแก้กรรมด้วยการทำความดีในช่วง เทศกาล กินเจ ในระหว่างวันที่ ๒๕ กันยายน ถึง ๔-๕ ตุลาคมไม่ได้ เพราะเป็นวันที่เรา จะได้ถือศีล กินเจให้บริสุทธิ์ได้อย่างต่อเนื่องกัน โดยสะดวก ผู้ชายบางคน คู่สมรสบางคู่ อาจสมาทาน ถือศีลพรหมจรรย์ข้อ ๓ หยุดเสพเพศรสด้วยก็มี หยุดเที่ยวแหล่งโสเภณีก็มี โดยไม่จำเป็น ต้องคำนึง ตัวเงิน ที่แหล่งอาชีพเหล่านั้น ขาดหายไป เพราะคุณภาพทางจิตวิญญาณ ของคนจะดีขึ้น ค่าของคนจะสูงขึ้น ตามความต่ำลง ของค่าเงิน โดยเฉพาะเงินที่ได้มา จากการค้าประเวณี จากการค้าของมึนเมาให้โทษ จากการทำผิดศีล ผิดกฎหมาย เงินที่มาจากแหล่งเหล่านี้แหละ คืออสรพิษ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในมิจฉาวณิชชา ย่อมกินความหมายรวมถึงมิจฉาชนด้วย ผู้ซื้อบริการจากสิ่งทุจริตเช่นนี้หรือจะพ้น ข้อหา ความเป็นมิจฉาไปด้วย โดยไม่ต้องรอให้เขาจับเข้าคุก เข้าตะราง เพราะที่ก่อกรรม ทำเวรด้วยการมีนิสัย มีพฤติกรรม ไปเกี่ยวข้อง กับเรื่องเหล่านี้ อยู่ในวงการ วงโคจรอาชีพ เหล่านี้ ก็คือผู้ปนเปื้อนอยู่กับวัฏสงสาร อันมืดมนอยู่แล้ว เพราะมอบตนในทางผิด อาจเป็นผู้ผลิต ผู้ส่ง ผู้ขายต่อ ผู้บริโภค ผู้ส่งเสริม ฯลฯ ก็คือผู้ร่วมกรรม ที่เป็นอกุศลกรรม ร่วมวิบากที่เป็นอกุศลวิบากไปด้วย แน่นอน แต่ก็ไม่เคย ฉงนใจ ไม่เคยนำมาคิด เมื่อยามที่ตน ต้องประสบกับเคราะห์กรรมใดๆ ว่าตนไปก่อกรรมไว้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงต้องพบ กับเวรกรรมอย่างนี้ ดุจดังคำเตือนที่ปรากฏ อยู่ในพุทธพจน์ว่า "ยามใด ที่กรรมเลว ยังไม่ให้ผล คนเราย่อมประมาทอยู่ ปล่อยวันคืน ให้ล่วงไปๆ โดยเปล่าประโยชน์ หรือกลับทำให้วันคืนนั้นๆ ทำร้ายตัวเอง ไม่คิดหาแสงสว่าง"

หายธรรมการกินของคนไทยทุกวันนี้ลุกลามแพร่ขยายไปในทางอกุศลมากขึ้น ตามอำนาจ ของกิเลส ที่หนาขึ้นๆ ทั้งๆ ที่สัตว์บางชนิด เคยเป็นที่รังเกียจ หากใครไปแตะต้อง นำมาเป็นอาหาร ก็จะถูกดูหมิ่น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์บกสัตว์น้ำ สัตว์มีปีก ไม่มีปีก หรือ คลานยั้วเยี้ย ตามใต้ดินต่างๆ เพราะรู้สึกว่า เป็นสัตว์ไม่น่าดูไม่น่ากิน ใครเอามากิน ก็กลายเป็นคนวิปริตผิดคนไป แต่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น ไส้เดือนทอด กิ้งกือต้ม หมาย่าง จระเข้ตุ๋น ตุ๊กแกผัดเผ็ด แมลงทอดกรอบ ตัวทองหมก จิ้งจกทอด ฯลฯ สารพัดสัตว์ ที่คนไปหามากิน หรือส่งไปขาย ต่างประเทศ ขายข้ามจังหวัด ซึ่งในอดีตสัตว์แปลกๆ เหล่านี้ก็มีแต่พวกขี้เหล้าเท่านั้น ที่นำมาแกล้ม ด้วยความเมา ด้วยความขาดสติ คนดีๆ ธรรมดาเขาไม่กินกัน ก็แสดงว่าทุกวันนี้ คนเมาบาป เมาอารมณ์เขลามากขึ้น โดยไม่ต้อง อาศัยฤทธิ์เหล้า จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมคนจึงเป็นโรคแปลกๆ มากขึ้น รักษายากขึ้น ก็เพราะคนไปสร้างวิบาก ที่ร้ายแรงขึ้นนั่นเอง

สัตว์บางชนิดมีคุณต่อคน อาศัยอยู่ตามที่ ของมัน คนต้องลำบากยากเย็นที่จะมุด บุกเข้าไป ล่ามันมาบริโภค แต่คนก็ยอม ฝ่าอันตราย เข้าไปจนได้ สัตว์บางชนิด มีพิษร้ายแรง มีต่อมพิเศษไว้ป้องกันตัวมัน แต่คนก็ยังเสี่ยง คิดหาวิธี เอาต่อมนั้นออก บางชนิด ก็มีอวัยวะ บางส่วนหนา ทำยาก แต่คนก็พยายามคิดค้นเครื่องมือ เพื่อฝ่า ธรรมชาติสัตว์นั้นๆ จนนำมาเป็นอาหารได้ ซึ่งล้วนต้องใช้เวลา ใช้วิธีการ มากมาย มิหนำซ้ำ สัตว์บางชนิดเป็นพาหะนำเชื้อโรคร้าย แพร่ระบาดมาให้คนด้วย ต้องบิน ข้ามเมือง ลัดฟ้าไปกิน ถึงต่างประเทศ ราคาแพงมากกว่า เงินเดือนข้าราชการชั้นตรี แต่คนก็ไม่เคยท้อ ที่จะไปเสาะหามากิน หารู้ไม่ว่านั่นแหละ คือตัวการร้าย ที่เป็นเหตุให้ ผู้บริโภค ผู้ฆ่า ผู้นำมาขาย ผู้ไปล่ามาส่ง ล้วนถูกร้อยไว้ด้วยบาปกรรม ติดกันทั้งสิ้น แต่มาโวยวายทุกข์ร้อนสงสัย เมื่อเกิดได้ข่าว อุบัติเหตุ รถตกเหว ผู้โดยสารตายหมดทั้งคัน ไฟไหม้บ้านทั้งครอบตรัว อาจกล่าวว่า ตายทั้งทีม ตายเป็นหมู่ได้อย่างไร?

ยามจัดงานวันเกิดซึ่งเป็นวันที่แม่เจ็บปวดที่สุด เสี่ยงอันตรายที่สุด คนก็ยังไม่เกิดอนุสติ ระลึกถึงความทุกข์ ของการเกิด ยินดี สรวลเสเฮฮา ด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทั้งๆ ที่เป็น วันเสี่ยงตายของแม่ เป็นวันเกิดของตัวเอง แต่กลับจัดงานวันเกิด ด้วยการฆ่า ชีวิตอื่น ทำลายสัตว์อื่น แต่ตัวเองก็อยากให้เขาอวยพรนั้น จะได้มาจากไหน ในเมื่อกรรมที่ก่อ ล้วนตรงกันข้าม วันเกิดที่เลี้ยงเหล้า เมายา หลงเสียงเพลง ใช้ดนตรี แสงสีที่ล้วนเป็น ข้าศึกต่อกุศล บางรายแถมปูเสื่อ เที่ยวกลางคืน เคล้านารีเพิ่มขึ้นไปอีก

ที่จริงควรใช้วันเกิดเริ่มทำความดีใดๆ ที่ยังไม่เคยทำเลย เช่น สมาทานอุโบสถศีล จะสวมใส่ เสื้อผ้า สีขาวด้วยก็ได้ เพื่อลบล้าง ความฉูดฉาดจัดจ้าน ที่เคยแต่งมาในวันอื่นๆ เคยเที่ยวเตร่ไม่ค่อยอยู่กับเหย้า นอนกับเรือน ก็หยุดให้ได้สักหนึ่งวัน ไม่เคยกราบพ่อ กราบแม่ ถามไถ่สารทุกข์บุพการี ก็ใช้เวลาช่วงนี้ เริ่มต้นทำก็เหมาะ ไม่คยใส่บาตรเลย ในชีวิต ไม่เคยตื่นแต่เช้า ไม่เคยให้ทานใครเปล่าๆ ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ ไม่เคย คลายโกรธใครง่ายๆ ไม่เคยยอมเสียเปรียบใครก่อน ไม่เคยทำอะไรฟรีๆ ไม่เคยพูดดีๆ กับใครให้ไพเราะ ฯลฯ

วันเกิดน่าจะเป็นวันเกิดใหม่ของคนทุกคน เพราะก่อนเกิด เราระลึกไม่ได้ว่า เราเป็น ผู้เลือกหรือเปล่า แต่ขณะนี้ ที่เรามีลมหายใจอยู่ เราเลือกทำอะไรๆ ก็ได้ที่ดีๆ ที่เราน่าจะทำ หรือที่คนดีๆ แนะนำให้ทำ

เพราะถ้ารอเวลาแก่เฒ่า รอให้ป่วย หรือรอใกล้จะตาย คงจะสายเกินไป

แม้จะนำพระอรหันต์มาโปรด ผู้ไม่ได้ฝึกหัดไม่เคยสั่งสอนตัวเอง ไม่เคยอดทนทำ ในสิ่งที่ยากๆ สิ่งที่ฝืนทวน กระแสโลกเลย ก็คงจะยาก เพียงเหตุผล ประโยคเดียว "กลัวคนเขาว่า" ก็ทำให้อะไรดีๆ ที่คนอยากจะทำก็ชะงักเสียแล้ว เพราะแม้เพียงเทศกาล กินเจแท้ๆ เมื่อเพื่อน คนผู้หวังดี พระผู้ปฏิบัติดีแนะนำ ให้สมาทานศีลมังสวิรัติ ก็ยังมี ผู้ปฏิเสธอ้างว่า แถวที่ทำงาน แถบบ้าน ไม่มีร้านอาหารเจ หรือในวันเกิด วันพระ แต่ละครั้ง ตามปฏิทิน ก็ยังมีเหตุผลไม่กิน เพราะจำวันไม่ได้ แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลา วันคืนล่วงไปๆ พวกเธอกำลังทำอะไรอยู่ ดีหรือชั่ว โลกกำลังลุกเป็นไฟตลอดเวลา ไฉนไม่แสวงหา แสงสว่าง

เกิดมาผจญกับความทุกข์ ความลำบากในการเลี้ยงขันธ์ ๕ ในการผจญกับภัยธรรมชาติ ในการพบปะ กับผู้คนที่โหดร้าย ทารุณหลายประเภท ในการเสี่ยงกับโรคทุกชนิด ในการมีชีวิตอยู่ ท่ามกลางความผันผวน แปรปรวน ไม่แน่นอน ของสรรพชีวิต ทำไม ไม่เลือกทำสิ่งดีๆ ให้แก่ตนเสียเดี๋ยวนี้ มัวแต่ไปคิดเพ้อฝันถึงอนาคตข้ามวันข้ามชาติ ที่ยังมาไม่ถึงแท้ๆ จริงๆ ก็คือ วันคืนที่ล่วงไป นั่นแหละ ฉะนั้น หากทำวันนี้ให้ดี วันพรุ่งนี้ ก็จะดี ทำวันต่อวัน ให้ดีวันต่อๆ ไปก็จะดี อนาคตก็คือวันที่เคลื่อนไป จากวันนี้ นั่นแหละ ไม่ต้องห่วงอะไรอีก หากทำวันนี้ให้ดีที่สุดได้แล้ว อย่ามองสิ่งไกลตัว จนลืมมองสิ่งในตัว สิ่งใกล้ตัวก่อน เพราะอะไรๆ จะดีหรือเลว ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เป็นเบื้องแรกทั้งสิ้นว่า ผู้นั้นจะมี "สัมมาทิฐิ" เป็นตัวนำร่อง หรือไม่ชีวิตรุ่งอรุณ ความเบิกบาน หรือเศร้าหมอง ของชีวิตคนเรา ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ .