ความเป็นกลางที่น่ารังเกียจ และที่พึงประสงค

 

ในการชุมนุม ๑๙๓ วัน ของประชาชนหลายแสนคน ที่หมุนเวียนกนออกมาปกป้องรัฐธรรมนูญ และ สถาบันสูงสุด จนได้รับ การขนานนามว่า เป็นกลุ่มคนเสื้อเหลือง โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดง ประกาศชัดเจน เป็นฝ่ายตรงข้าม คอยรังควาน ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันได้ ในจุดยืน ของกลุ่มเสื้อแดง แต่เมื่อต้องมาเจอกับ กลุ่มสีขาว ซึ่งประกาศตัวเป็นกลาง ทำให้เกิด มีคำถาม ตามมาว่า เป็นกลางที่น่ารังเกียจ หรือเป็นกลาง ที่พึงประสงค์ ? จากบทความ ‘เสพสมบ่มิสม’ ของพวก 2 ไม่เอา โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ เมื่อ 15 มกราคม 2552 ในผู้จัดการออนไลน์ น่าจะให้คำตอบได้ในเรื่องนี้ และ พ่อท่าน สมฌะ โพธิรักษ์ ได้เจาะลึก ให้เห็นถึง สังคมล้มเหลว เพราะคนฉลาด ที่จะเป็น “กลาง” อย่างล้มเหลวนั่นเอง

 

 

‘เสพสมบ่มิสม’ ของพวก ๒ ไม่เอา

สุรวิชช์ วีรวรรณ

“ติดตามข่าวสารบนหน้าหนังสือพิมพ์ยามนี้ ได้ยินคำถาม ที่บรรดาสื่อมวลชนผู้ทรงเกียรติ ไล่ถามรัฐมนตรี และคณะรัฐบาลว่า จะดำเนินคดีอย่างไร กับพันธมิตรฯ หรือรัฐบาลแทนคุณ ตบโบนัสพันธมิตรฯ ตั้งเป็นที่ปรึกษา รัฐมนตรี แล้วเศร้าใจ คำถามเหล่านั้น ทำให้ดูเหมือนว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลัง ปล่อยปละละเลย คดีพันธมิตรฯ ทั้งที่จริงแล้ว คดีต่างๆ ของพันธมิตรฯ ตำรวจกำลัง ดำเนินการ อย่างเร่งรีบ ไม่ว่าคดีบุกรุก ทำเนียบรัฐบาล หรือสนามบิน ทั้งสองแห่ง คดีต่างๆ ของพันธมิตรฯ เดินไปเร็วมาก ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะไปกล่าวหาว่า คดีล่าช้าได้เลย แต่คดีที่พันธมิตรฯ เป็นฝ่ายถูกกระทำกลับไม่มีคำถามจากสื่อผู้ทรงเกียรติเลย คดีที่เอเอสทีวี และเครือผู้จัดการ ถูกกระทำต่างหาก ที่ไม่มีคำถาม จากองค์กรสื่อเลย ซึ่งถ้าจะว่ากันจริงๆ องค์กรสื่อที่ตั้งขึ้นส่วนใหญ่ก็เป็นองค์กรสื่อกำมะลอทั้งนั้น ไม่มีอำนาจอะไร มีไว้กินเลี้ยง วันนักข่าว รับเชิญ ไปต่างประเทศ ในหมู่คนที่เป็นกรรมการ ประเด็นนี้ รอให้มีคนเถียงมาก่อนว่าไม่จริง แล้วจะจำแนกให้ฟัง

ซ้ำร้ายกว่านั้น หากย้อนไปในยุคที่พรรคพลังประชาชนมีอำนาจ ก็ไม่เคยเห็นสื่อไปเร่งจี้ไล่ถาม รัฐบาลพรรค พลังประชาชนเลยว่า ทำไมไม่เร่ง ดำเนินคดีกับแกนนำ นปช.ที่พาพวกไปล้อมทำลายบ้านพักของประธานองคมนตรี และมีการทำลายข้าวของ ของทางราชการ จำนวนมาก สังเกตดูนะครับว่า บรรดานักวิชาการและสื่อมวลชนที่มักออกตัวว่า เป็นพวก 2 ไม่เอา ซึ่งพวกเขาอธิบายว่า ไม่เอาทั้ง ทักษิณ และ พันธมิตรฯ นั้น เกือบร้อยทั้งร้อย ด่าพันธมิตรฯ ให้ท้ายระบอบทักษิณ แทบทั้งสิ้น พวกเขา จึงไม่รู้สึก เดือดเนื้อร้อนใจ ที่พันธมิตรฯ ถูกใช้ความรุนแรง แต่มักจะพูด วิจารณ์พันธมิตรฯ ที่ลุกขึ้นมา ป้องกันตัวเอง เพราะไม่อาจ พึ่งพิงอำนาจรัฐ ซึ่งขาดหลักนิติธรรมได้

ชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน อ้างว่า หากเรายังแก้ปัญหาความเชื่อมั่น ที่สูญเสียไป จากการยึด สนามบินนี้ไม่ได้ ย่อมไม่มีทาง ที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่หนักหนาสาหัสนี้ได้ อย่างแน่นอน แต่เขากลับไม่ตั้งคำถามว่า ถ้าเราไม่สามารถหาคนผิดมาลงโทษให้ได้ ทั้งๆ ที่เกิดเหตุการณ์ยิงถล่ม ด้วยอาวุธสงคราม ใส่คนที่ชุมนุม ทางการเมือง จนมีคนตาย และเจ็บจำนวนมาก แต่กลับไม่เห็น คุณค่า ความเป็นคน เพราะไม่เคย ถูกตั้งคำถาม จากนักวิชาการ และสื่อสายพันธุ์ “2 ไม่เอา” เหล่านี้เลย พวกเขาได้แต่พูดถึง คุณค่าของเงิน ว่า การยึดสนามบิน ทำให้ประเทศชาติ สูญเสียทางเศรษฐกิจ พวกเขาบางคนให้ท้ายกระทั่งเอ่ยวจีว่า การยึดสนามบินเลวร้ายกว่าระบอบทักษิณ คนตายนับสิบคนและคนเจ็บหลายร้อยคน ถูกกระทำเพียงเพราะความกระตือรือร้นทางการเมือง และเชื่อว่า การขับไล่ นักการเมือง ที่ชั่วช้า ให้ออกไปได้นั้น พวกเขาต้องออกมาปักหลักชุมนุม แม้จะยืดเยื้อ หรือยาวนาน เพียงใดก็ตาม นักวิชาการเหล่านั้น ไม่พูดถึงชีวิตคนเจ็บและคนตายเหล่านี้เลย เพียงเพราะพวกเขา มีจุดยืนทางการเมือง ที่แตกต่างกับตัวเอง ผมจึงขำแทบตาย ที่มีการอ้างหลักนิติรัฐ นิติธรรมมาเป็นตัวกระตุ้น เพื่อเอาผิดที่พันธมิตรฯ ยึดสนามบิน (ทั้งๆ ที่คดีเดินไป อย่างเร่งด่วน อยู่แล้ว) แต่กลับไม่ตั้งคำถาม ที่พวกเสื้อแดง ไปปิดล้อมศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการทำลาย เครื่องมือของ นิติรัฐ และกระบวนการ นิติธรรมทางตรง และไม่เคยเกิดขึ้น มาก่อนในโลก (การประท้วง ปิดสนามบิน ในประเทศ ประชาธิปไตย ทั่วโลก เคยเกิดขึ้นมาแล้ว หลายครั้ง) ส่วนข้อกล่าวหาที่บอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งตำแหน่งทางการเมือง เพื่อแทนคุณพันธมิตรฯ หรือให้โบนัสพันธมิตรฯ ก็เป็นเรื่องตลก สิ้นดี เพราะข้อเท็จจริง ก็คือ ทั้งพันธมิตร ประชาชน เพื่อประชาธิปไตย และปชป.ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกัน อย่างสิ้นเชิง ต่างก็มีท่าที ที่จะพยายามรักษา ระยะห่างแก่กันและกัน อย่างชัดเจน ต่างกับ นปก. และพรรค พลังประชาชน (เพื่อไทย) อดีตสมาชิก พรรคพลังประชาชน ซึ่งก่อนหน้านี้ พยายามอ้างว่า ไม่เกี่ยวข้องกับ นปช.เลย แต่พอเป็นรัฐบาลแล้ว ได้ตั้งสมาชิก ที่เป็นแกนนำของ นปช. เกือบทุกคน มารับตำแหน่งทางการเมือง อย่าว่า แต่ไอ้ตู่ จตุพร ไอ้ณัฐวุฒิ หรือเจ๊เพ็ญเลย กระทั่ง ขวัญชัย ไพรพนา ยังได้เป็นข้าราชการการเมือง มีตำแหน่งเงินเดือน โก้หรู ทำเนียบรัฐบาล ตอนนั้น ทำไม ถึงไม่ได้ยินคำถาม แบบเดียวกับ ที่ตั้งคำถามต่อ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เลย ความเห็นที่บรรดาสื่อและนักวิชาการที่อ้างว่า 2 ไม่เอา แต่ให้ท้ายระบอบทักษิณและเกลียดชังพันธมิตรฯ นำมาใช้เป็นกรอบ แนวคิด ในการอธิบายความ เพื่อทิ่มแทงพันธมิตรฯ นั้นจึงเป็นการสร้างตรรกะ อันอลเวงขึ้น เพราะรับไม่ได้กับ บทสรุป ของการชุมนุม 193 วันของพันธมิตรฯ เหมือนพวกอารมณ์ค้าง เสพสมบ่มิสม

และเป็นอีกตัวอย่างที่สะท้อนของปลอมในบ้านเรา ซึ่งเป็นเพียงอาจมของสังคม ออกมาเรื่อยๆ

 


 

สังคมล้มเหลว เพราะคนฉลาดล้มเหลว

สมฌะโพธิรักษ์

อาตมาได้วิจารณ์ไปแล้วว่านักวิชาการหรือนักรู้ คือ พวกที่มีแต่ความคิดนึก ที่วนอยู่ในจินตภาพ เป็นคนที่ ไม่รู้จัก ของจริง ไม่รู้จักความเป็นจริง ในความเป็นจริง โลกของความจริงแห่งความจริง คนพวกนี้ไม่ได้แตะ ไม่ได้รู้หนาว รู้ร้อน อะไรกับเขาหรอก จิตวิญญาณ ของพวกเขา อยู่ในภพของการคิดวน เท่านั้นเอง และคนเหล่านี้ จะไม่มีการตัดสินใด ๆ จะวนไปวนมา ความจริง พวกเขาก็มีในส่วนที่ดี เพระมีข้อมูล มีน้ำหนัก ทั้งคุณภาพและปริมาณ มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ที่ไม่ดี ซื่งก็ตัดสินได้ว่า อันนี้ดี อันนี้ถูก และควรจะส่งเสริมอันนี้ อันนี้ควรจะเลิกไป ยิ่งไม่ดี หรือผิด หรือเสียหาย จะต้องเลิก อันนี้ดีต้องส่งเสริม แล้วก็ตัดสินให้ได้ เพราะในโลกนี้ แยกยากความดีความไม่ดี มันจะมีปนกัน อยู่ตลอด จะให้มีแต่ดี ไม่มีชั่วเลย นี่หายาก จะมีแต่ชั่วเลย ไม่มีดีก็หายาก เพราะฉะนั้น จะตัดสินกันอย่างไร? ก็ต้องตัดสิน เอาเปอร์เซ็นต์ ของดีมากกว่าชั่ว มากกว่าได้มากเท่าไหร่ ก็นั่นแหละ เป็นคะแนน ที่เราจะตัดสินให้ชนะ จึงจะยุติ แต่ผู้รู้เหล่านี้ จะยุติไม่ลง จะถือหลัก ประนีประนอม ครึ่งๆ กลางๆ หารครึ่งหารสอง อะไรอยู่นั่นแหละ อยู่อย่างนี้ ตลอดกาลนาน และเขาก็จะลงเอยไม่เป็น ยุติไม่ได้ ยุติไม่จบ แล้วปล่อยให้ คาราคาซังเอาไว้ โดยไม่ชัดเจนว่า อะไร ดีที่สุด อะไรถูกที่สุด มีแต่จะมั่ว ๆ กลาง ๆ แบบเอาสองหารแบ่งกัน ความจริงแล้ว สัจจะในโลกนี้ มันมีดีกว่ากับไม่ดีเท่า สองสิ่งนี้จะต้องไม่เท่ากัน ในอะไรทุกอย่าง ปรมาณูสองตัวก็ไม่เท่ากัน ไม่มีอะไร เท่ากันเลยในโลก ในมหาจักรวาลนี้ จะต้องไม่เท่ากัน จะต้องแตกต่างกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดีกว่า ต้องให้ชนะ ต้องมีปัญญาตัดสิน และต้องช่วยฝ่ายถูก แต่ผู้รู้เหล่านี้ ใช้ความคิดที่จะรู้อะไรดี อะไรไม่ดี แล้วก็จับจด แล้วก็ตัดสินไม่ได้ เพราะตัวเอง ไม่จริงไม่ชัด ในความดีที่จริง เพราะไม่เข้าใจ ถึงสภาพ จิตวิญญาณ แม้จิตวิญญาณตัวเอง ก็ยังไม่ได้ลงไปลุย ไปสัมผัส ไปอยู่ร่วม หรือไปรับรู้สึกรู้สา รู้เจ็บรู้ปวด รู้หนักรู้เบากับเขา คนเหล่านี้ มีแต่จะอยู่บนหอคอยงาช้าง มีแต่วนอยู่ในความคิดเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปลุยจริง ไม่ได้เข้าไปสัมผัสจริง

ทุกวันนี้สังคมหลงคนเหล่านี้ หลงคนที่มีความคิดฉลาด หลงคนที่ศึกษารอบด้าน แต่ก็ได้แต่พูด ๆ ๆ ๆ อยู่อย่างนี้ ดีดตัวเอง ออกมาลอยตัว เป็นคนลอยตัว อยู่พ้นปัญหา และสังคมยอมรับด้วยนะ เพราะฉะนั้น สังคมก็เลยแย่.... แย่เพราะไปยอมรับ สิ่งที่มันไม่จริง ไม่สำเร็จ ส่วนความสำเร็จ ของสิ่งที่ถูกต้อง ที่จริง ที่ดีจริง ตัดสินไม่ได้ ทำไม่ได้ ไม่ได้การยอมรับเพราะงั้น สังคมมันล้มเหลว เพราะคนฉลาด ล้มเหลว เพราะคนที่มีแต่ตรรกะ ล้มเหลวเพราะไม่รู้จักสัจจะ โดยเฉพาะ จิตวิญญาณ จิตวิญญาณ เป็นธาตุที่รับรู้ หรือแม้จะเป็น สมมุติสัจจะก็ตาม ซึ่งแต่ละฝ่าย แต่ละสี เขาเจ็บจริง เขาปวดจริง เขาหนักจริง เขาโกรธจริง เขารักจริง มีทั้งยึดมาก มีทั้งไม่ยึด มีทุกอย่าง แต่คน พวกนี้ไม่ได้ยึดอะไร ร่องแร่งๆๆ เพราะยึดอะไรไม่ลง เพราะมันตัดสินไม่ได้ เพราะคนพวกนี้ วิจิกิจฉาเยอะ เรียกว่า พวก “วิตรรกะ” ได้แต่คิดหาเหตุผล อันร่องแร่งไปเรื่อยๆ โดยสัจจะ ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี คนที่จะเป็นกลางนี่ จะต้องมีคุณสมบัติที่สมบูรณ์ ๒ ประการ คือ๑.ความรู้ มีปัญญา รู้ว่าส่วนไหนถูกส่วนไหนผิด ไม่เช่นนั้นคนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาบอกว่า ตนเองเป็นกลาง ก็ในเมื่อไม่รู้ว่า อะไรดำ อะไรขาว อะไรถูก อะไรผิด แล้วจะมาบอกเป็นกลางได้อย่างไร คนนี้คือ คนไม่รู้เรื่อง ไม่มีปัญญา คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ๒.ต้องไม่มีอคติ (ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ) ไม่มีความลำเอียง ในจิตใจ ทีนี้ความเป็นกลางไม่ใช่มีแต่ความรู้ ต้องทำงาน ต้องปฏิบัติ ต้องพูด ต้องลงมือเป็นตัวตน ให้ครบทั้ง มโนกรรม – วจีกรรม – และกายกรรม เลย จึงจะเรียกว่า เป็นกลาง ๑.มีมโนกรรม คือ ปัญญา เรียกว่า “ปัญญาปาสาทะ” คือเหมือนอยู่ปราสาท มองจากที่สูงดูเห็นหมดรอบถ้วนเลย จนสามารถ แยกแยะออกได้๒.กล้าตำหนิคนผิด ข่มคนผิด กล้ากำราบคนผิด ว่ากล่าวคนผิด ชมคนถูก ยกคนถูก เชิดชูความถูกต้อง ตามพุทธพจน์ ที่ระบุว่า “นิคคันเห นิคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง” ให้ตำหนิคนผิด แล้วก็ชมเชย ยกย่องคนถูก เป็นวาจากรรม๓. ปฏิบัติเต็มรูปเลย อเสวนา จ พาลานัง บัณฑิตานัญจะ เสวนา ต้องมาอยู่กับบัณฑิต อย่าไปคบกับคนพาล ต้องเลิกยุ่งกับพาล นี่คือภาคปฏิบัติ เป็นกายกรรม พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า ไม่ให้ว่าใคร ไม่ให้บอกใคร มิฉะนั้นจะไม่เป็นกลาง นั่นไม่ใช่ลูกพระพุทธเจ้า อาตมา ก็พยายาม ที่จะอธิบาย ยืนยันว่า พระพุทธเจ้าท่านพาทำเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น “คนที่มีศีล ยังไม่มา ก็จงมา” นั่นก็คือ คนที่ดี มาเข้ากับหมู่ ก็ต้องมาอยู่ร่วมกัน รวมกัน เป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี คนไม่ดี เราก็อย่าไปคลุกคลี เกี่ยวข้องนัก แต่สอนเขา ตำหนิเขา ช่วยเหลือเขา ด้วยเมตตา เกื้อกูล เท่าไหร่ ก็เท่านั้น ถ้าช่วยไม่ได้ ไปว่าเขา ๆ เกิดโกรธ แตะไม่ได้ เราก็ละเว้น คนนิสัยเลวๆ อย่างนั้นก็มีเหมือนกัน

เพราะงั้นในประเด็น การเป็นกลาง ก็ขออธิบายยาวหน่อย เพราะทุกวันนี้นักคิด นักรู้ นักวิชาการ พวกริบบิ้น สีขาว โธ่เอ๋ย... ก็ชอบที่จะแสดง ภูมิอยู่อย่างนั้น บนหอคอยงาช้าง แต่แล้วจริงๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรนักหนาเลย คอยเป็นตาอยู่ กินกลาง โดยไม่ได้ลงทุนอะไร ได้แต่อาศัย วิธีการอย่างนี้ อาตมาเห็นแล้ว ใครจะเชื่อถือ และ ปฏิบัติอย่างนั้น ก็ว่าไป แต่อาตมาไม่เชื่อถือ อาตมาไม่ปฏิบัติอย่างนั้น.

 

คิดคนละขั้ว เราคิดอะไร ฉบับ กพ. ๒๕๕๒