ฉบับที่ 175 ปักษ์หลัง 16-31 มกราคม 2545
ข่าวหน้า1 | ธรรมะพ่อท่าน | กสิกรรมธรรมชาติ | จับกระแส ต.อ. | สกูป | ศูนย์สุขภาพ | ข่าวหน้าใน | ข่าวสั้น

[1] สัมภาษณ์ รศ.ดร.สมศักดิ์ ศรีสันติสุข

[2] นางงามรายปักษ์ : สิกขมาตุอ่านตน อโศกตระกูล

[3] เปิดสำนักงานใหญ่ บจ.ฟ้าอภัย พิสูจน์ระบบบุญนิยมยืนหยัดสวยงาม พนักงานพร้อมใจลดเงินเดือนเพื่อบริษัท

[4] ชีวิตที่ประเสริฐ

[5] จับกระแส ต.อ.

[6] สกู๊ปพิเศษ สัมภาษณ์ท่านเดินดิน ติกขวีโร


[1] สัมภาษณ์ รศ.ดร.สมศักดิ์ ศรีสันติสุข

นักศึกษาปริญญาโท ม.ขอนแก่น
ศึกษาดูงานที่ชุมชนราชธานีอโศก

เมื่อวันที่ ๑๑-๑๓ ม.ค.๔๕ ที่ผ่านมา รศ.ดร.สมศักดิ์ ศรีสันติสุข จากภาควิชาสังคมวิทยา  และ มานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์  มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้นำนศ.หลักสูตรนานาชาติ   สาขาวิชาการจัดการพัฒนาชนบท   ระดับปริญญาโท สังกัดบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน ๗ คน มี เนปาล, ญี่ปุ่น, กัมพูชา, เวียดนาม  และลาว มาศึกษาดูงาน ที่ชุมชนราชธานีอโศก เป็นครั้งที่๒  หลังจากที่เคย พานศ.ไปดูงานที่ปฐมอโศก และศีรษะอโศกมาแล้ว

โอกาสนี้ ผู้สื่อข่าวได้ขอสัมภาษณ์ รศ.ดร.สมศักดิ์ ศรีสันติสุข ถึงการมาครั้งนี้ และข้อบกพร่อง ที่ทางเรา ควรแก้ไขปรับปรุง ให้ดียิ่งขึ้น

"...ที่เลือกมาที่นี่เพราะเห็นว่าเป็นชุมชนที่มีต้นแบบที่น่าสนใจ สามารถรวมตัวกันต่อ สู้เพื่อที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างพอเพียงได้  และสามารถพึ่งตนเองได้เกือบครบวงจร ทุกอย่าง คือไม่ต้องพึ่งข้างนอกก็อยู่ได้อย่างสบาย

แต่ละแห่งการปฏิบัติเหมือนกันหมด เพียงแต่คนต่างกันเท่านั้น แต่จิตใจเหมือนกัน คือ ๑.แน่วแน่ในการทำงาน คือขณะที่ทำงาน ก็พัฒนาตนเองไปด้วย ๒.ทำงานร่วมกันเป็นทีม ซึ่งไม่เกี่ยงงาน ไม่ได้อยู่เฉย และ ๓.มีความเสียสละ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่ต้องขอร้องก็มา

สำหรับคุณภาพของคนก็ใช้ได้  ไม่ว่าในด้านจิตใจ ความสะอาด ความสัมพันธ์กับผู้อื่น นี่เป็นลักษณะเฉพาะ ของชุมชนอโศก คล้ายๆกับชุมชน ในอุดมคติ แต่ก็เป็นความจริงในปัจจุบัน ซึ่งถ้าไม่มาสัมผัส ก็อาจจะไม่เชื่อ อันนี้เป็นข้อสังเกต

สมาชิกต่างศรัทธาในตัวผู้นำ มีปรัชญาชีวิต และมีวิถีชีวิตที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน

ส่วนข้อบกพร่องมีนิดเดียว คือผมมาที่นี่เป็นครั้งที่ ๒ ครั้งแรก มีโอกาสเป็นคุรุสอนนิสิต มวช. และต้องไปทำงานลงลุยกับเด็กหนุ่มๆ  รู้สึกว่าเหนื่อย เพราะผมอายุ ๕๔ และไม่ได้ทำงานหนักมานานแล้ว ร่างกายผมรับไม่ไหว จะพักก็เกรงใจ อายเด็กๆ แล้วทุกคน ก็ตั้งหน้าตั้งตา เรียกกันให้ทำจนเสร็จ ทีนี้ถ้าเขาบอกว่า อาจารย์ลองดูนะว่าเป็นยังไง  ไม่ต้องลุยตลอด เหนื่อยก็พักได้ ถ้าพูดอย่างนี้ผมก็ดีใจ  ผมจะพักบ้าง ก็สบายใจ อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ คืออยากให้ คิดถึงคนอื่นบ้างก็จะดี

มาครั้งนี้  นศ.ที่มาก็เดินทางกันมาไกล และเหนื่อย กว่าจะนอนก็ดึก แล้วต้องตื่นมา ทำวัตรเช้าตี  ๓ ครึ่ง พวกเขาก็กังวล บางคนไม่ได้นอนเลย บางคนก็ตื่นตั้งแต่ตี ๒ ทำวัตรเสร็จ ก็ไปโฮมแฮงปลูกต้นไม้ที่ริมมูล กลับมาบางคนก็ขอนอนพัก เพราะปวดหัวมาก

ผมอยากเสนอแนะว่า  ควรเผื่อเวลาให้ปรับตัวก่อน  คือมาวันแรก ให้เขาพักผ่อนให้เพียงพอ  วันรุ่งขึ้น ตื่นเช้าตี  ๓ ครึ่งไม่เป็นไร อันนี้ถ้ายืดหยุ่นบ้างก็จะดี  ก็มีเท่านี้ แหละครับ..."

เป็นขุมทรัพย์ที่มีค่ายิ่งต่อพวกเราชาวอโศก    ที่นับวันแต่ละแห่ง ต่างก็มีญาติพี่น้อง มาเยี่ยมเยียน ดูงานมิได้ขาด อย่าลืม เอาใจเขามาใส่ใจเรา โศลกธรรมที่ว่า เคร่งครัดที่ตน ผ่อนปรนผู้อื่น อย่าลืมเอามาใช้นะ

นักข่าวใจดี รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

[2] นางงามรายปักษ์ : สิกขมาตุอ่านตน อโศกตระกูล

ฐานะเดิม น.ส.ลออ ศรีเรือง
ฐานะปัจจุปัน สิกขมาตุอ่านตน อโศกตระกูล
พุทธสถาน ปฐมอโศก
เกิด พฤษภาคม ๒๔๗๓
อายุ ๗๒ปี
ภูมิลำเนา อ.โกรกพระ จ.นครสวรรค์
การศึกษา ป.๔
สถานภาพ โสด

สิกขมาตุอ่านตน อโศกตระกูล เป็นสิกขมาตุลำดับที่ ๖ ของนักบวชหญิงชาวอโศก เป็นคนแรก ที่เข้ามาทำงาน แผนกธรรมโสต ให้บริการ ยืมเทปธรรมะ แก่ผู้ที่สนใจ จนหลายคน ปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้าน ได้เข้ามาปฏิบัติธรรมอยู่ในวัด เพราะอาศัยฟังเทป จากแผนกธรรมโสต นั่นเอง

พื้นเพ
พ่อแม่มีอาชีพทำนาทำไร่ มีพี่น้อง ๗ คน ดิฉันเป็นคนที่ ๒ จบป.๔ แล้วไม่ได้เรียนต่อ เพราะอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ แม่บอก ให้มาช่วยทำงาน เพราะน้องยังเล็กๆ อยู่ เลยมาค้าขายช่วยทางบ้าน ซึ่งตอนเรียนหนังสืออยู่ เมื่อกลับจากร.ร.ก็เก็บผักไป ขายตลาดแล้ว

มังสวิรัติ
อายุ๑๐ขวบ ต้องทุบหัวปลาช่อนทำอาหารเลี้ยงคนที่มาช่วยลงแขกที่บ้าน สลดใจพูดกับ ปลาช่อนว่า ยกโทษให้ด้วยนะ ที่ทำเพราะ กลัวแม่จะตี แม่ได้ยินจึงบอกว่าถ้าไม่ฆ่าก็จะ ไม่ใช้ แต่อย่ากินก็แล้วกัน เวลาเห็นน้องๆกินแกงปลาก็อยากจะกินเหมือนกัน แต่คิดว่า ถ้าเรากิน แม่ก็จะใช้เราฆ่าปลาอีก ก็เก็บผักกระถิน และผักต่างๆข้างบ้าน มาจิ้มน้ำปลา จนเป็นของที่กินง่าย ก็สบายใจ เรื่องฆ่าสัตว์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

บวชชี
เห็นความพลัดพรากสมัยสงคราม ก็เริ่มรักษาศีล วันพระก็ไปรักษาอุโบสถที่วัด อายุ ๑๘ ก็เริ่มทานอาหารมื้อเดียว อายุ ๒๐ ปี ก็บวชเป็นชีขาว ถึงอายุ ๒๕ อาจารย์ที่สอน มรณภาพลง จึงสึกออกมาค้าขาย ด้วยคิดว่า อยากจะหาเงินสักก้อน ตอบแทนบุญคุณ พ่อแม่ และเก็บไว้ ให้ตัวเองไว้ใช้ เมื่อกลับไปบวช

ความรัก
พอเป็นสาวก็เห็นคนอื่นเขามีแฟนกันก็อยากมีความรัก อยากมีคนรักบ้าง อยากรักกัน เฉยๆเท่านั้น แต่ไม่อยากแต่งงาน เพราะคิดว่า หากแต่งงานแล้ว เราจะหันมาปฏิบัติธรรม ไม่ได้เต็มที่ เพราะต้องเลี้ยงดูลูก ปรนนิบัติสามี จึงตอบปฏิเสธไปเมื่อคนรักมา ขอแต่งงานถึง ๒ คน

ค้าขาย
ค้าขายไปด้วยปฏิบัติธรรมไปด้วย อาศัยขายมากแต่เอากำไรน้อย ใช้หลักซื่อสัตย์-ซื่อ ตรง ทำให้ลูกค้าเชื่อใจ-ไว้ใจ กิจการขยายใหญ่โตขึ้น เพลิดเพลินในลาภที่หาได้ จนเลิกค้าขายหันมาเป็นเศรษฐีเงินกู้ แต่ก็ต้องเลิกในที่สุดเมื่อเพื่อนหนีหนี้ไปแสนกว่า บาท ตอนนั้นเสียใจมาก หันมาค้าล็อตเตอรี่ ซึ่งก็ขายดีจนร่ำรวย แต่ก็ทุกข์เพราะกลั วคนจะรู้ว่าเราร่ำรวย จะนับเงินแต่ละครั้งก็ต้องรอให้เขานอนหลับเสียก่อน เวลา เอาเงินไปฝากธนาคารก็ใช้ใบบัวห่อไป เสื้อผ้าก็ใส่แบบมอซอ จนอายุ ๔๖ ปี จึง กลับมาปฏิบัติธรรมอีกครั้ง เมื่อเพื่อนรัก ที่อยู่ด้วยกัน ทำการค้าขายร่วมกัน ต้องมาตายลงต่อหน้า ทั้งๆที่ยังคล้องแขนกันอยู่ ทุกข์จากความพลัดพราก สุดจะบรรยาย เหมือนในโลกนี้ ไม่มีอะไรอีกแล้ว ที่เป็นความหมายในชีวิต จนตัวเองล้มป่วยลง รักษาตัวอยู่ ๒ ปี จนมาพบอโศก

พบอโศก-บวช
ปี ๒๕๑๖ เจอสายบิณฑบาตเป็นแถวยาว น่าเลื่อมใส ช่วงนั้นพระท่านเพิ่งกลับจาก งานบวชของท่านติกขวีโรที่ไพศาลี ได้ถวายอาหารและสนทนากับญาติธรรม และทาง อโศกส่งหนังสือ คนคืออะไรฯไปให้ อ่านแล้วศรัทธามาก ตอนนั้นยังไม่รู้จักพ่อท่าน อ่านหนังสือแล้วเดินทางมาแดนอโศก(ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว) ตอนนั้นอายุ ๔๔ ปี ปฏิบัติตามขั้นตอนอยู่ที่นี่ ๒ ปี ก็เข้าโหวตบวชเป็นสิกขมาตุ

จาริกธุดงค์
บวชเสร็จรุ่งเช้าก็ออกจาริกธุดงค์ไปกัน ๓ องค์ ตั้งสัจจะไว้กับพ่อท่านว่าจะจาริก ๓ ปี และจะไม่ขึ้นรถเลย ไม่ได้หวังไปโปรดใครโดยตรง แต่ไปเพื่อหาประสบการณ์ เวลาปักกลดก็ปักแบบหน้าจั่ว เวลาทานข้าวก็นั่งหันหน้าเข้าหากัน ซึ่งเราจะได้เห็นรอบตัว

เดินจนหน้าตาลอกด้วยแดดเผา หน้าเท้าก็ลอก เดินตั้งแต่เท้าหนาจนบาง จนเท้าŠพองเท้าแตกบอกตรงๆเลยว่า การจาริกธุดงค์ เกินวิสัยของสตรีเพศจริงๆ แต่รู้ว่า ไปพิสูจน์ศาสนา ฝึกหัดความยากลำบาก เท่าที่เรามีได้เป็นได้ กลับมาพ่อท่านก็ถามว่า ได้ประโยชน์อะไร จากการจาริก ก็ตอบว่าได้ความอดทน และรู้จักชีวิตที่แท้จริง ว่าคืออะไร กลับมาแล้ว ก็เข้าสันติอโศก รับผิดชอบแผนกธรรมโสต

กิเลสที่ตัดยาก
ตัวอิตถีภาวะยังไม่หมดเลย แล้วก็ยากลำบากด้วยกับการที่จะละจะทิ้งมัน แต่ก็ไม่นึก ท้อกลับมากำลังใจอยู่ข้างใน ถ้าทำไม่ได้ภพชาติเราก็ยังมีอยู่

ฝาก
ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อการศึกษาและเรียนรู้ แล้วทำความเข้าใจให้ได้แล้วก็จบแต่ละ อย่างๆ ๒๘ ปีแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกระทำให้ถึงที่สุด แห่งการพ้นทุกข์ แม้จะยาก ลำบากสักปานใด แต่ท่านกลับมีกำลังใจ ที่จะฝ่าฟันเอาชนะกิเลส นับเป็นแบบอย่าง ของผู้ไม่ยอมก้มหัวให้กับกิเลส แล้วสักวันหนึ่งคงถึงเป้าหมาย ...แล้วท่านล่ะ จะก้มหัวให้กิเลสอีกนานแค่ไหน.?

(เรียบเรียงจากหนังสือประวัติสิกขมาตุชาวอโศกในรอบ ๑๐ พรรษาของ พระโพธิรักษ์)

บุญนำพา เรียบเรียง

[3] เปิดสำนักงานใหญ่ บจ.ฟ้าอภัย พิสูจน์ระบบบุญนิยมยืนหยัดสวยงาม พนักงานพร้อมใจลดเงินเดือนเพื่อบริษัท

เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๙ ม.ค.๒๕๔๕ คณะกรรมการ พนักงานบริษัท ฟ้าอภัย จำกัด และ คณะกรรมการ บริหารพรรคเพื่อฟ้าดิน ร่วมกันทำบุญ เปิดอาคารใหม่ บริษัท ฟ้าอภัย จำกัด และสำนักงานใหญ่พรรคเพื่อฟ้าดิน ณ บริเวณชั้นล่าง ของอาคารฟ้าอภัยที่สวยงาม ในซอยเทียมพร ข้างพุทธสถานสันติอโศก

งานเริ่มเวลา ๐๙.๐๐ น. โดยมีสมณะ ๑๐ รูป นำโดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ และสิกขมาตุ ๖ รูป พร้อมทั้งคณะกรรมการ อาสาสมัคร พนักงาน บจ. ฟ้าอภัย คณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อฟ้าดิน และญาติธรรมประมาณ ๑๕๐ คน

เรือตรี แซมดิน เลิศบุศย์ กรรมการผู้จัดการ บจ.ฟ้าอภัย กล่าวรายงานการ ดำเนินงานของบริษัท ฟ้าอภัย จำกัด ว่า เมื่อปี ๒๕๓๒ ได้เกิดคดีสันติอโศก ญาติธรรมมารวมตัวกัน ช่วยกันพิมพ์หนังสือ และเกิดความคิดว่า ทำอย่างไร จะช่วยสมณะ และสิกขมาตุ ซึ่งทำงานด้านการพิมพ์อย่างหนัก จึงรวมตัวกันจัดตั้ง บริษัท ฟ้าอภัย จำกัด ขึ้นเพื่อช่วยพิมพ์หนังสือ โดยได้ไปจดทะเบียนตั้งบริษัท เมื่อวันที่ ๑๕ ก.ย. ๒๕๓๒ ด้วยทุน ๑ ล้าน มีผู้มาซื้อหุ้น ๗๗๐ คน

บริษัท ฟ้าอภัย จำกัด ทำงานในระบบบุญนิยม พนักงานถือศีล ๕ ละอบายมุข เงิน เดือนขั้นต้น ๑,๕๐๐ บาท สูงสุดไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท (ผู้ทำงานพรรคเพื่อฟ้าดิน ไม่มีเงินเดือน) ส่วนงานพิมพ์ของ บจ.ฟ้าอภัยนั้น ไม่รับงานที่เป็นอบายมุข งานเรี่ยไร งานธุรกิจไดเร็กเซลล์ การโฆษณาไม่มีเลย แต่ก็มีลูกค้าเยอะมาก โดยบอกกันปากต่อปาก

อาคารฟ้าอภัยใหม่นี้ เริ่มสร้าง ตั้งแต่วันที่ ๗ พ.ย.๔๓ ค่าก่อสร้าง ๑๔.๕ ล้านบาท ใช้ระยะเวลาในการสร้างสร้าง ๑ ปี ๒ เดือน ๑๒ วัน ชั้น ๕ เป็นที่พักฝ่ายชาย ชั้น ๔ เป็นที่พักฝ่ายหญิง ชั้น ๓ เป็นห้องประชุมพรรค และฝ่ายศิลป์ของบริษัท ชั้น ๒ เป็นสำนักงานใหญ่พรรคเพื่อฟ้าดิน และสำนักงานใหญ่ บริษัท ฟ้าอภัย จำกัด เราทำงานในระบบบุญนิยม ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น และสังคมสิ่งแวดล้อม ก็ดีขึ้นด้วย อยากให้สื่อมวลชน มาวิเคราะห์ระบบบุญนิยมว่า ระบบบุญนิยมดีกว่า ระบบทุนนิยมอย่างไร

ส่วนพรรคเพื่อฟ้าดิน เกิดจากคณะบุคคล โดยคุณนิติภูมิ ได้ขอจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้น ชื่อ "พรรคสหกรณ์" ต่อมาเห็นว่ากลุ่มชาวอโศก เป็นกลุ่มคนมีอุดมการณ์ จึงมอบความไว้วางใจ ให้ดำเนินการพรรคการเมืองนี้ นายทะเบียนพรรคการเมือง จดทะเบียนรับ จัดตั้งพรรคเมื่อวันที่ ๗ พ.ค.๔๔ ต่อมาทาง กกต. ทักท้วงเกี่ยวกับชื่อพรรค จึงได้ เปลี่ยนชื่อมาเป็นพรรคเพื่อฟ้าดิน

จากนั้นทางบริษัท ฟ้าอภัย จำกัด ได้นิมนต์พ่อท่านมอบของที่ระลึก แก่ผู้ที่ออกแบบก่อสร้าง ผู้รับเหมา และนายช่าง ที่ควบคุมการก่อสร้าง ส่วนคุณลัดดา ปิยวงศ์รุ่งเรือง ก็ได้ประกาศมอบของที่ระลึก แก่อาสาสมัคร ที่ช่วยงานบริษัทฯ มาโดยตลอด

เวลา ๐๙.๓๐ น. พ่อท่านได้นำสวดมนต์ และแสดงธรรมโดยสรุปว่า กิจกรรมจะทำให้ก่อเกิดวัตถุ ส่วนพิธีกรรม จะมุ่งเน้นจิตวิญญาณ มนุษย์ต้องฝึกฝนพฤติกรรม จิตเป็นประธานต่อสิ่งทั้งปวง การอบรมจิตดี กายกรรม วจีกรรมก็จะดี งานเปิดอาคารใหม่ งานนี้จะให้มีผล ทางจิตวิญญาณ โดยการเอาศาสนาเป็นหลัก

วันนี้เปิดโรงพิมพ์ใหญ่ ก็มีการพัฒนาการขึ้น บางคนก็ยังเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ก็จะยึดอยู่ คนมักน้อยดี แต่ที่เราทำไปก็มิใช่เป็นไปเพื่อโลภ โกรธ หลง เราก็มิได้หลงใหล ความใหญ่ ที่สร้างตึกใหญ่โต ก็เพื่อรองรับการขยายตัว

"บางคนว่าอโศกทำไมสร้างตึกสวยจัง ก็ช่วยไม่ได้ มันสาวขึ้นแล้วนี่ ทางวัตถุโต จิตวิญญาณก็โตด้วย พนักงานรับเงินเดือน ๓,๐๐๐ บาท ก็ลดเหลือ ๒,๕๐๐ บาท ยิ่งจิตวิญญาณสูง ยิ่งไม่ต้องรับเงินมาก มักน้อยเราสบายใจ มักมากเราโง่แน่ๆ คนสูง ยิ่งไม่ต้องรับอะไร ยิ่งเรามีระบบบุญนิยม มีสาธารณโภคี ยิ่งลึกซึ้งขึ้น

พรรคเพื่อฟ้าดิน มีนโยบายแบบบุญนิยม นายกรัฐมนตรีไม่รับเงินเดือน จะอีกกี่ปีกี่เดือนถึงจะมีได้ ลักษณะนี้เป็นเรื่องใหม่ เรื่องแปลก เป็นนวัตกรรม ใครพอมาช่วยกันได้ก็มา

คนเราเกิดมาก็เพื่อศึกษา พระพุทธเจ้าเป็นนักศึกษาชั้นยอด พุทธศาสนิกชน เป็นคนอย่างไร ศาสนาพุทธ เป็นลักษณะ อเทวนิยม เป็นศาสนา ที่พึ่งกรรม พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นทั้งหมด ของศาสนาพุทธ เทวนิยมจะพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เราพึ่งกรรม ศาสนิกชน ทุกวันนี้พึ่งอะไร ยังไม่เข้าใจ คนยังพึ่งอำนาจ ศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังเป็น เทวนิยม..."

หลังจากที่พ่อท่านเทศน์เสร็จ เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ มาพูดคุยประสาญาติธรรม เล่าประสบการณ์ ที่ไปเห็น ในต่างประเทศให้ฟัง พร้อมทั้งแสดงความยินดี กับพรรคเพื่อฟ้าดิน ที่เปิดสำนักงานใหญ่ที่มั่นคง

ต่อจากนั้นนักเรียน สส.สอ. บรรเลงอังกะลุง ทำให้บรรยากาศครื้นเครง

ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ อายุ ๔๙ ปี กรรมการผู้จัดการบริษัท ฟ้าอภัย จำกัด เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า "งานวันนี้เร่งไปหน่อย หลายอย่างยังไม่เสร็จ เช่น ป้ายก็ยังไม่เสร็จ แต่ก็ได้เห็นความสามัคคี ปรองดองกัน

สิ่งที่เกิดขึ้น มิใช่เป็นผลที่ทำเร็วๆนี้ แต่เป็นผลที่สะสมมานานแล้ว เกิดจากความขยัน อุตสาหะ เป็นระเบียบ ทำให้มีพลัง พึ่งตนเองได้ และเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ ในอาคารหลังเดิม ทุกองค์กรก็ยังอยู่ได้ ไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย เราไม่ได้เอากำไรมาก แต่ทำงานมาก

ระบบบุญนิยม ผู้ทำงานต้องเหนื่อย แต่ก็ได้ลดละกิเลส ส่วนตัวก็มีความสุขและเจริญ ขึ้นเรื่อยๆ องค์กรที่พ่อท่านพาทำ จะเจริญขึ้น ทั้งทางวัตถุ และจิตวิญญาณ มีทั้งโลกียสมบัติ และโลกุตระสมบัติ มีรูปแบบที่เกิดขึ้นจริง

การดำเนินการต่อไป ก็ใช้วิธีการเดิม อาคารใหม่เป็นสำนักงานบริษัท ฟ้าอภัย จำกัด และสำนักงานใหญ่พรรคเพื่อฟ้าดิน ชั้น ๔ เป็นที่พัก ของฝ่ายหญิง ส่วนชั้น ๕ เป็นที่พักฝ่ายชาย การสร้าง มีเจตนาสร้างให้โปร่ง เพื่อให้พนักงาน สามารถที่จะพักผ่อน นอนหลับได้สบาย เวลาทำงาน ก็ต้องทำงานกันจริงๆ และเวลาพัก ก็ควรพักผ่อนกันจริงๆ แต่ก่อนนั้น พนักงานพิมพ์งานแล้ว ก็ต้องนอนตรงนั้น กลางคืน มีการทำงาน ก็เสียงรบกวน อากาศก็ไม่ดี พนักงานทำงานได้สองสามปี ก็ลาออก เราจึงคิดว่า ทำอย่างไร พนักงาน จึงจะอยู่กับเรา ตลอดชีวิต

แม้เราจะอยู่ในอาคารที่สวยงาม สะดวก สะอาด เราจะต้องเพิ่มคุณธรรม ทุกคนก็ ต้องละเอียดมากขึ้น เพิ่มอธิศีลขึ้น เสียสละแรงกายเพิ่มขึ้น ขณะที่รับเงินน้อยลง

ซึ่งโดยส่วนตัวก็ได้ประโยชน์ ส่วนรวมก็ได้ประโยชน์ และสังคมก็ได้ ประโยชน์

องค์กรฟ้าอภัย ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ระบบบุญนิยม ว่าดีกว่าระบบทุนนิยม เพราะว่า นอกจากตัวเอง จะเป็นสุข ยังช่วยให้สังคมเป็นสุขด้วย ต่างกับระบบทุนนิยม เมื่อตัวเอง โลภมากๆ จะทำให้สังคมเดือดร้อน อยากเชิญชวนให้สื่อมวลชน นักวิชาการ และ ผู้บริหารบ้านเมือง มาวิจัย ระบบบุญนิยมนี้ว่า ดีกว่าระบบทุนนิยม มากมายเพียงใด" ร.ต.แซมดิน กล่าวทิ้งท้ายในที่สุด.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

[4] ธรรมะพ่อท่าน ชีวิตที่ประเสริฐ

ชีวิตที่ประเสริฐ
ผู้ที่ฝึกตนไปสู่ความหลุดพ้น นับว่าเกิดมามีชีวิตที่ประเสริฐ ในโลกนี้มีคำสอนที่ดีมากมาย จากอดีตจวบจนปัจจุบัน ศาสดาเกิดแล้วดับไป คนแล้วคนเล่า เหลือไว้เพียง หลักธรรมคำสอน อันคัมภีรภาพ แต่จะหาคนฝึกฝนปฏิบัติ จนเข้าถึงหลักธรรมนั้น ยากเหลือแสน ศาสนธรรม จึงผุกร่อน ไปตามกาลเวลา สัจธรรมนับเป็นสิ่งดีเลิศที่สุด ควรที่เราจะแสวงหา มอบให้กับชีวิต นับว่าเป็นเรื่องเศร้า หากเราเมินหน้า หนีจากสิ่งดี แล้วไปวิ่งไขว่คว้า สุขอย่างโลกีย์ ซบหน้าบูชาเงิน เป็นศาสดาองค์ใหม่ พ่อท่านได้บอกไว้ว่า...

"เมื่อเราได้พากเพียร อบรมตน ศึกษาตามระบบของปราชญ์ ของบรมศาสดา ของผู้ที่ได้รู้ยิ่ง รู้ยอดมาก่อน ผู้นั้นถือว่า เป็นผู้มีประโยชน์คุณค่า โชคดีที่สุด และสามารถจะเป็นมนุษย์ ผู้ประเสริฐสูงสุด เป็นผู้ที่มีคุณค่า ประโยชน์มากที่สุดได้ ถือว่าเกิดมาในโลกนี้ เป็นสิ่งสูงสุดที่สุด ไม่มีอะไรเทียมเท่า" (๒๕/๕/๒๗) คนเราไม่ฝึกฝนตน คุณค่าความเป็นคนก็ต่ำต้อย เหมือนม้าป่ากับม้าแข่ง ราคาค่าตัว ย่อมต่างกัน คุณค่าของคน อยู่ที่สมรรถนะ ทำเพื่อผู้อื่น มิใช่ชื่อเสียง หรือ ตระกูลสูงศักดิ์ และการเสียสละ เพื่อสังคม จึงทำให้เรามีคุณค่า แต่การเอามา เพื่อสนองอัตตาตน เป็นการลดค่า ในชีวิตคนเรา ชีวิตที่ประเสริฐ มิใช่เกิดบนกองเงิน กองทอง หรือเดินบนถนน ผู้รากมากดี มีการศึกษาสูง ทำงานสบาย แต่รายได้เยอะ อะไรทำนองนั้น... แม้เกิดมายากจน ก็มีชีวิตที่ประเสริฐได้ ด้วยการอบรมตน ให้เป็นคนดี อย่าให้ดวงใจ หลงไปกับโลกียารมณ์... แม้เดินบนเส้นทางอย่างยาจก ก็มีชีวิตที่ประเสริฐได้ ด้วยการย่างก้าว ไปตามครรลองธรรม อย่าให้ร่างกาย เปื้อนคาวโลกีย์... แม้การศึกษาต่ำต้อย ก็มีชีวิตที่ประเสริฐได้ ด้วยการศึกษา ละล้างอวิชชา อย่าปล่อยดวงตา แห่งปัญญามืดบอด จมติตอยู่กับโลกีย์ ใจเราที่ฝึกอยู่เหนือความอยากได้แล้ว นับว่าประเสริฐสุด สงบเย็นและเป็นสุข.

พุทธบุตร ลูกหม้ออโศก

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

[5] จับกระแส ต.อ.

[::]สุภาษิต คำพังเพย ประจำปักษ์ โบราณท่านชี้ ต.อ.ตีความ
[::]เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ไม่ใช่วิสัย ต.อ.
[::]
ช้า ช้า ได้พร้าเล่มงาม Slow but sure
[::]
ตำข้าวสารกรอกหม้อ ไม่มีเชื้อรา ไม่มีอะฟลาท็อกซิน...
[::] ซื้อวัตถุดิบแต่พอผลิต ไม่กักตุนนานๆ
[::] รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ รักจะขายผลผลิตนานๆ ก็ให้บั่น (ทอน) ความไม่ประณีตทิ้งๆไป
[::]
น้ำขึ้นให้รีบตัก ทำผลผลิตให้มีคุณภาพ รีบตักบุญไว้ได้เลย
[::]
ผักชีโรยหน้า ให้โรยทุกวัน...ไม่เฉพาะแต่วัน ต.อ.สัญจร (สมณะท่านหนึ่งว่าไว้)
[::]
อย่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ม่ายช่าย..ก็แม่มูลท่านท่วมมาละลายน้ำพริกเองนี่นา (สายด่วนจากบ้านราชฯ)
[::] ขี่ช้างจับตั๊กแตน คนที่ชอบทำทำ ลองลอง  หยุดหยุด หรือหนีไปฐานงานอื่น...ทิ้งของที่ลงทุนไว้เพียบ
[::] อันความรู้รู้กระจ่างเพียงอย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล คม ชัด ลึก
[::] รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง รำไม่ดี โทษวัตถุดิบ โทษอุปกรณ์
[::] ชักแม่น้ำทั้ง 5 มักจะเป็นข้อแก้ตัวของ...หน่วยไหนเอย
[::] หนีเสือปะจระเข้ ขายที่สันติฯไม่ได้ แล้วหนีไปขายชายแดน...ระวังหนี ต.อ.กลาง ปะ ต.อ.ชุมชนนะ
[::] เข็นครกขึ้นภูเขา ง่ายกว่า ...กลิ้งคนมิจฉาทิฐิลงดอย
[::] อย่าเห็นขี้ดีกว่าไส้ อย่าหลงว่าขี้ (สินค้านอกชุมชน) จะคุณภาพดีกว่าไส้ เพราะทำให้เศรษฐกิจบุญนิยมหมุนเวียนได้ดีนะ
[::] เรือล่มในหนองทองจะไปไหนเสีย อย่าลืมว่า ยังมีหนี้สินอยู่ที่ (ชุมชน) พี่ใหญ่ และ (ชุมชน) น้องเล็ก
[::] เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด เดินตาม (ระบบ) ต.อ. อ.ย.ไม่จับ
[::] กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ กว่าจะได้ (เครื่องหมาย) ต.อ. หน่วยผลิตก็อ่วมอรทัย...อันนี้ไว้เตือนใจ ต.อ.เองจ้ะ
[::] พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง วันที่ ต.อ.โดนชี้ขุมทรัพย์
[::] หน้าบานเป็นจานเชิง วันที่ ต.อ.ได้ข่าวว่าหน่วยผลิตพัฒนามาตรฐานคุณภาพให้ยิ่งๆ
[::] แมวไม่อยู่หนูร่าเริง จะมีใครที่ไม่อยากให้มีหน่วย ต.อ.เชียวหรือ
[::] เห็นช้างขี้  ขี้ตามช้าง เห็น ต.อ.ขี้ (ช.ช้างนะ) ขี้ตาม ต.อ. ..ก็ช่วยกันพัฒนา คุณภาพผลผลิตน่ะซี
[::] และสุดท้ายนี้...รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี รักวัวให้ผูก รักลูกให้ (พ่อท่าน) ตี ...สำหรับลูกๆ ที่ ต.อ.เอาไม่ไหวแล้ว

หมายเหตุ ตีความไม่แตก แอบถาม ต.อ.กลางเอาเองนะ เบอร์โทรศัพท์ใหม่ (เอี่ยมอ่อง) 02-3749570

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

[6] สกู๊ปพิเศษ สัมภาษณ์ท่านเดินดิน

งานตลาดอาริยะปีใหม่'๔๕ ผ่านไปแล้ว งานอบรมก็จ่อคิวรอพวกเรา ให้ได้โกยบุญกันต่อ จะทำอย่างไร เมื่อต้องเผชิญกับงานหนักแล้ว เราไม่หนักใจตามไปด้วย พร้อมกับ ข้อคิดสำหรับพวกเรา ให้ได้สำนึกสำเหนียกกัน โอกาสนี้ทีมข่าวพิเศษ ได้กราบเรียนสัมภาษณ์ ท่านสมณะเดินดิน ติกขวีโร มาฝากทุกท่านค่ะ

ในช่วงนี้แต่ละที่ของเราได้จัดให้มีการอบรมเป็นส่วนใหญ่ ท่านอยากจะฝากอะไรถึง เครือข่ายต่างๆ ของพวกเราบ้างคะ

ยุคนี้ถือว่าเป็นยุคเปิดม่านบุญนิยม ผู้คนก็จะหลั่งไหลมาดูกัน พวกเราคงต้องทำใจ กันไว้ว่า ผู้ใดที่มีศีล ที่ยังไม่มาขอให้มา ที่มาแล้ว ขอให้ร่วมงาน ร่วมการกันอย่างเป็นสุข และที่ออกไปบ้างแล้ว ก็ขอให้ได้กลับมา ร่วมบำเพ็ญบารมีกันใหม่เถิด เพื่อมาช่วยกัน เปิดโลกบุญนิยม ให้คนได้พ้นทุกข์ ออกจากกลียุค ที่กำลังจะเกิดขึ้น ข้อที่อยากจะฝากไว้ มีดังต่อไปนี้

๑.อยากจะให้เครือข่ายแต่ละแห่ง ให้ความสำคัญในเรื่องของ ๓ อาชีพกู้ชาติ ซึ่งพ่อท่าน ได้พูดไว้นานแล้ว ปัจจุบันนี้ เราพอที่จะรองรับ กับกองทัพของพี่น้อง ชาวไร่ชาวนา ที่จะเคลื่อนตัวเข้ามาหรือยัง ๓ อาชีพกู้ชาติของเรา แต่ละเครือข่ายนั้น พอที่จะกู้ตัวเองได้หรือยัง?

๒.อยากให้แต่ละแห่ง ได้ระมัดระวัง ให้การอบรมกับพี่น้องเกษตรกร ซึ่งเขาถูกหลอก มามากต่อมาก เขาตั้งความหวังว่า ที่นี่จะเป็นแหล่งสุดท้าย ที่เขาจะพึ่งพาอาศัย ดังนั้นขอให้แต่ละแห่ง อย่าได้มีการเคลือบแฝง เช่น การขายน้ำหมักจุลินทรีย์ เพื่อหารายได้ ให้กับตัวเอง ในตรงนี้ ก็มีข้อที่อันตรายอยู่เหมือนกัน เพราะในการหมัก เราไม่สามารถแยกจุลินทรีย์ ที่เป็นเชื้อโรค หรือจุลินทรีย์ดีได้ ก็อยากจะให้พวกเรา ระมัดระวัง ในการที่จะเอามาขาย โดยเฉพาะเอาไปใช้ดื่ม เพราะมีข้อที่อันตรายอยู่

๓.หัวใจของการอบรม พ่อท่านเคยให้นโยบายไว้ว่า ให้เน้นวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี วิถีชีวิตที่รักษาสิ่งแวดล้อมได้ดี วิถีชีวิตที่มีวัฒนธรรมที่ดีงาม โดยเฉพาะ การทำงานกับคน เราจะต้องมียืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น พวกเราจะต้องให้ความสำคัญ กับการยืดเส้นยืดสาย คลายกายคลายจิต ไม่ติดปักมั่นอยู่กับอย่างใดอย่างหนึ่ง จนเส้นยึดเส้นตึง กระดูดยึดกระดูกงอก จนแคลเซี่ยม ไปเกาะอยู่ตามจุดต่างๆ ตามข้อ ตามกระดูก ถ้ายึดมากๆ ก็จะเป็นปัญหา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สิ่งใดๆที่ยึดถือในโลกๆ จะไม่มีทุกข์ไม่มีเลย ดังนั้น ก็อยากจะฝาก ให้พวกเรา พยายามยืดเส้นยืดสาย คลายกายคลายจิตให้มากๆ เพื่อความพ้นทุกข์เป็นสำคัญ

ทุกวันนี้พวกเราต่างก็มีงานหนักกันมาก จะแก้ปัญหางานหนักได้อย่างไรคะ

งานหนักนั้น ถ้าหนักกายคงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าหนักใจก็คงทำได้ไม่นาน สาเหตุที่เกิด การหนักใจ ก็พอวิเคราะห์สาเหตุได้ว่า เกิดจาก

ก.หนักเพราะแบกงาน เพราะหลงยึดติดกับงาน ถ้าไปทำงานที่วัดก็แบกวัด ถ้าไปทำงานที่บ้านก็แบกบ้าน การหลงยึดติดกับงาน ก็จะทำให้เราหนักมาก จนลืมเป้าหมาย การทำงานว่า เราทำเพื่อหวังไปสู่ มรรคผลนิพพาน แต่ถ้าไม่ทบทวนให้ชัดเจน ก็จะกลายเป็น ทำงาน แบกงาน ยึดติดกับงาน กลายเป็นคนหลงงาน เหมือนคนเลี้ยงหมูมากๆ ก็จะกลายเป็นคนหน้าเหมือนหมู หรือคนเลี้ยงลิง อยู่กับลิงนานๆ ก็จะกลายเป็น คนหน้าเหมือนลิง มีกิริยาท่าทางคล้ายลิงไป ดังนั้น เราจะต้องทบทวนเป้าหมาย ของการทำงานให้ชัดว่า เราทำงานเพื่ออะไร แล้วเป็นการทำงาน ที่ได้ประโยชน์ เป็นไปตามความต้องการ ของสังคมหรือไม่ ถ้าจะให้ดีที่สุด ควรจะได้ถาม เพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ หรือขอรับคำแนะนำ จากเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอๆว่า สิ่งที่เราทำงานนั้น เป็นไปตามความต้องการของเพื่อนๆ หรือเป็นไปเพื่อประโยชน์ โดยองค์รวมหรือไม่ บางคนคิดว่า งานเราสำคัญที่สุด เป็นประโยชน์กับเพื่อนมากที่สุด แต่จริงๆแล้ว เพื่อนเขาอาจจะ อยากให้เราหยุด อยากให้เลิกงาน ตั้งนานแล้วก็ได้ ซึ่งมีอยู่มากด้วยกัน ในสังคมของพวกเรา ที่ทำไปแล้ว เป็นวรรคเป็นเวร คือ ไม่ได้เป็นมรรค เป็นผล แต่เป็นวรรคเป็นเวร จนเพื่อนอยากให้หยุด ตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่กล้าบอก เพราะความหลงยึดงาน หลงติดกับงาน อันนี้ก็เป็นนักการงาน ที่น่าสงสาร

ข.หนักเพราะพ่ายแพ้ต่อคำวิจารณ์ เป็นคนทำงานที่ ไม่สามารถเก็บเอาคำวิจารณ์ คำชี้แนะ ติติง จากเพื่อนฝูงมาให้เกิดประโยชน์ได้ คนที่มีอัตตามาก ก็จะแตะต้องไม่ ได้ สิ่งนี้ก็สำคัญ พวกเราเมื่อทำงานกันมากๆ เราจะหลงเพลิดเพลิน ต่อคำชื่นชม ยินดี ยกย่อง แต่เราจะอ่อนแอ พ่ายแพ้ต่อคำตำหนิ ติติงอย่างมาก โดยเฉพาะ อยากจะให้พวกเรา ที่ได้รับคำชม ได้รับคำสรรเสริญบ่อยๆ ให้ระมัดระวัง อย่างมากเลยว่า ลาภ สักการะ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดจริงๆ ซึ่งตัวนี้จะเช็คได้ว่า เมื่อเราได้รับคำตำหนิ ติติงทักท้วง เราสามารถเก็บ เอามาใช้ประโยชน์ ทั้งในแง่อ่านจิต อ่านใจ ในแง่ของผัสสะ เราสอบผ่านหรือไม่? หรือประโยชน์ในแง่ ปรับปรุงการทำงาน ให้เราได้ สมบูรณ์ขึ้น ซึ่งจริงๆแล้ว คำตำหนิติติง หรือคำวิจารณ์นั้น เป็นประโยชน์โดยถ่ายเดียว แต่คำสรรเสริญ ยกย่องนั่นเสียอีก ที่จะเป็นอันตราย อันแสบเผ็ด ถ้าเราไม่เท่าทัน ดังนั้น นักปฏิบัติธรรมจริงๆแล้ว เราควรยินดีพอใจ ที่เราจะได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิติติง เพื่อเราจะได้ลด อัตตามานะของเรา เพื่อมรรคผลนิพพาน มากกว่าที่จะแสวงหา ยินดีพอใจ กับการได้รับอันตราย อันแสบเผ็ด

ท่านอยากจะฝากข้อคิดอะไรให้กับพวกเราบ้างคะ

เร็วๆนี้อาตมาได้มีโอกาสติดตามพ่อท่านไปเยี่ยมคนป่วย ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ของพวกเรา หลายๆคน พอเริ่มอายุเจ็ดสิบแปดสิบ ก็ถูกโรคาพยาธิเบียดเบียน ไปในสภาพต่างๆกัน บางคนก็เป็นอัมพฤกษ์บ้าง หรือเป็นอัมพาตบ้าง ซึ่งพวกลูกๆหลานๆของ ญาติธรรมเรา ก็ตั้งคำถาม กับพ่อท่านว่า ทำไมพ่อแม่ของเขา ซึ่งเป็นคนทำบุญทำทาน สนใจศาสนากันมาตลอด แต่ทำไม ในบั้นปลายชีวิต จึงมีผลออกมาเป็นอย่างนี้

พ่อท่านได้ทำความแจ่มแจ้ง ให้กับลูกหลานของญาติธรรม ในประเด็นนี้ว่า "สัจจะใดๆ ในโลกนี้นั้นไม่มีโกง ไม่มีเบี้ยว เราทำดีเป็นดี เราเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ก็เป็นไปตามสัจจะ พระพุทธเจ้าของเรา แม้จะบำเพ็ญบารมี มามากมาย หลายแสน หลายล้านๆชาติ ถึงขนาดนั้น แม้ในชาติสุดท้าย ก็ยังถูกอกุศลวิบาก เล่นงานให้ท่านเกือบตาย อยู่หลายๆครั้ง ซึ่งท่านก็เล่าให้ฟังว่า เป็นเพราะอกุศลวิบาก ที่เคยทำในอดีตทั้งสิ้น แม้พระโมคคัลลานะ จะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย มีฤทธิ์เดช มีบารมีมาก สักปานใด แม้ในชาติสุดท้าย ก็ยังถูกทุบตาย ซึ่งเป็นอกุศลวิบาก ที่ท่านเคยทำเอาไว้แล้ว ในอดีตชาติ เช่นเดียวกัน ดังนั้น ชีวิตของคนเรา ล้วนแล้วแต่เคยทำอกุศล กันมาทั้งสิ้น เราเองก็ ไม่รู้ว่า อกุศลวิบากนั้น จะตามเรามา เล่นงานกันเมื่อไหร่ แต่ในขณะนี้ โอกาสทอง ของความเป็นมนุษย์มีอยู่ โอกาสทอง ของการได้อยู่ ในชมพูทวีป โอกาสทองที่เรายังสามารถ ปฏิบัติธรรมได้ ยังเป็นของเราอยู่ เราควรทำโอกาสทองนี้ ให้เจริญรุ่งเรือง เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ให้เต็มที่กันเถิด เพราะเมื่อโอกาสทองผ่านไปแล้ว เมื่อนั้น เราก็ไม่รู้ว่า อกุศลวิบาก จะมาเล่นงานเรา มากน้อย หนักเบาแค่ไหน พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเตือนพวกเราไว้ว่า อย่าปล่อยให้ขณะล่วงเลยไป เพราะบุคคลผู้ปล่อยให้ขณะ ล่วงเลยไปนั้น เขาย่อมพากันไปแออัด ยัดเยียดอยู่ในนรก เพราะไม่ได้ปฏิบัติ สัมมาอาริยมรรค

เราเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ยิ่งทำงานแล้วยิ่งหนัก แบกทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้หมด คงได้คำตอบแล้วใช่ไหมว่า งานหนักน่ะ ไม่เท่าไหร่ แต่แบกอัตตานี่สิ หนักยิ่งกว่า

ลดตัวลดตน แล้วรีบโกยบุญ อย่าปล่อยให้โอกาสทอง หลุดลอยไปเสียล่ะ เดี๋ยวจะไปรวมกัน ในนรก นะเออ.

ทีมข่าวพิเศษ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,300 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]