ฉบับที่ 183 ปักษ์หลัง 16-31 พฤษภาคม 2545 |
ใครหนอที่รู้ความจริง
?
ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา เราจะรู้หรือว่า เงิน คือ อสรพิษ ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา เราจะรู้หรือว่า สตรี คือ ศัตรูของพรหมจรรย์ และหากมีสตรีเข้ามาบวช พระพุทธศาสนา จะมีอายุสั้น ลงกว่าเดิมกึ่งหนึ่ง ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา เราจะรู้หรือว่า การเหาะเหิoเดินอากาศ การหยั่งรู้ใจคนอื่นได้ เป็นเดรัจฉานวิชา ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา เราจะรู้หรือว่า การแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คือการสะสมกองทุกข์ มิใช่หนทาง ให้คนเราค้นพบความสุขที่แท้จริง ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา เราจะรู้หรือว่า กีฬาการละเล่นเป็นอบายมุข ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา เราจะรู้หรือว่า กีฬาฟุตบอลโลก ที่คนทั่วโลกส่วนใหญ่ กำลังหลงใหล คลั่งไคล้ คือ หนทางที่จะนำคน และโลก ไปสู่ความฉิบหาย ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เมื่อปีที่แล้วนักเศรษฐศาสตร์ชาวดัตช์ ต่างลงความเห็นว่า ถ้าทีมฟุตบอลของชาวดัตช์ ชนะเลิศ ฟุตบอล ถ้วยใหญ่ ของทวีป ยุโรป จะมีผลทำให้ปัญหาเศรษฐกิจ ของประเทศมากขึ้น จึงไม่อยากให้ ทีมฟุตบอล ของตนชนะเลิศ ซึ่งสวนทางกับความรู้สึก ของชาวดัตช์ทั่วไป ประเทศอาร์เจนตินาที่เคยเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก และมีนักเตะเล่นฟุตบอลเก่ง แถมยังมีค่าตัวแพงๆ เป็นจำนวนมาก ก็มิสามารถ ช่วยประเทศอาร์เจนตินา ให้พ้นวิกฤตทางเศรษฐกิจ แต่ตรงกันข้าม ประเทศชาติ กลับมีหนี้สิน ล้นพ้นตัว ประชาชน อดอยาก เกิดจลาจล แย่งชิงทรัพย์สิน เดือดร้อนไปทั่วประเทศ การอุบัติของพระพุทธเจ้า จึงเป็นความยิ่งใหญ่ ที่ช่วยให้ชาวโลกตาสว่าง แต่ต้องเป็นชาวโลก ผู้มีธุลี ในดวงตาน้อย พระพุทธเจ้า ทรงกล้าชี้ถูก-ผิด ทวนกระแสความรู้สึกนึกคิด ของชาวโลก แต่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะ ประเทศไทย จะมีใคร สักกี่คน ที่มองเห็นโทษภัย ของฟุตบอลโลก แล้วกล้าออกมาชี้ความจริง เช่นพระพุทธองค์ว่า ฟุตบอลโลก ที่คนกำลังหลงใหล คือหนทางแห่งหายนะ ของชาติและโลก ใครหนอ ที่จะรู้ความจริง ในเรื่องนี้ และ กล้าพูดความจริง. |
||
โอวาทพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ เนื่องในวันวิสาขบูชา '๔๕ "เรารู้จักวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับศาสนา แล้วเราก็นำมาเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ เพื่อที่จะสำรวมสังวร มีสติ สัมปชัญญะ ตั้งอก ตั้งใจ เอาใจใส่ต่อธรรมะต่อศาสนา ต่อสิ่งที่จะเป็นประโยชน์คุณค่าของชีวิต เพราะว่า ถ้ามนุษยชาติ ไม่เอาใจใส่ ในเรื่อง ของธรรมะ มนุษย์ก็ตกต่ำ เพราะว่าธรรมะเท่านั้น ที่จะทำให้คนเรา สามารถที่จะพัฒนาตนเองขึ้นมาได้ ละความเห็นแก่ตัว ละกิเลส กิเลสนี่เป็นภัยต่อตน เป็นภัยต่อผู้อื่น ถ้าเผื่อไม่ใส่ใจในสิ่งนี้ ไม่ทำให้ตนเองละกิเลส เพื่อที่จะไม่เป็นภัย ต่อตน เป็นภัยต่อผู้อื่นได้ ก็เป็นคน ที่ล้มเหลว เป็นคนที่ไม่มีรากฐานที่เป็นสาระสัจจะของชีวิต ก็ต้องตั้งใจเอา วันสำคัญอย่างนี้ เราก็ต้องรู้ความสำคัญ วันก็เป็นสิ่งหนึ่ง ที่เป็นความพิเศษที่เรา จะต้องรู้ ว่าเราควรเอาใจใส่ ทำตัวเอง ให้มีสติสัมปชัญญะปัญญา ให้สอดคล้องกับสิ่งที่ควรจะเป็น". สมณะโพธิรักษ์ ท่องไปกับพ่อฯ ตอน ๔ วันเสาร์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ เช้ากราบพ่อท่าน เป็นการขอโอกาสรับใช้และแสดงสัมมาคารวะต่ออาจารย์ พ่อท่านนำบิณฑบาตในชุมชน คุณขวัญดิน สิงห์คำ นำดูจุดสำคัญๆ เช่น โรงเก็บกระเทียม โรงปุ๋ย โรงทำอ้อยทราย และโฆษณาประชาสัมพันธ์เก่งเหมือนเดิม ประทับใจเด็กนกกระจาบ ตอนเช้าๆพากันมากวาดถนนโดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่มาควบคุม ไปแต่ละที่ จะมีนักเรียน ทำงานกัน อย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่มีการเล่นระหว่างทำงาน สมกับเป็นหมู่บ้านเด็กจริงๆ ไปทางไหน ก็มีเด็กอยู่เป็นหลัก ที่นี่สอนกันได้อย่างไร ทำไมถึงเข้าถึงจิตวิญญาณเด็กได้ขนาดนี้ เทียบกับปฐมอโศกยังห่างกัน ๑ ขั้น เด็กปฐมฯถ้าเล่นน้อยลงจะดี ถ้าเพิ่มการเอาใจใส่ให้วิญญาณได้จะดี ความเข้าใจส่วนตัวคิดว่า สมณะ คุรุ พื้นฐานของคนชุมชนนี่แหละรวมกันเป็นเบ้าหลอม ผู้ให้มีค่ารวมเช่นใด เด็กก็มีคุณธรรม คุณภาพตามค่าเฉลี่ยนั้นๆ เปรียบเทียบสามฐานะของผู้ใหญ่ทั้งสอง ต่างกันจริงๆ ก่อนฉันพ่อท่านแสดงธรรมและตอบปัญหาผู้เข้าอบรมฯธ.ก.ส. โดยสรุปคือ ให้เรามาเป็นคนจน จนอย่างสมบูรณ์ จนอย่าง ประเสริฐ เอื้อเฟื้อ เสียสละ เป็นคนจนที่มีประโยชน์ต่อโลก เป็นคนสร้างสรร แจกจ่าย เจือจาน บุญนิยมจะไม่รวย ใครสะสม ให้ตัวเองรวย เป็นคนเลว ทุนนิยม คือ
กอบโกยให้ตัวเองมากๆ ให้พวกพ้อง ใครฉลาดมากก็เอาเปรียบได้มาก ขณะฉันภัตตาหาร พ่อท่านเปิดโอกาสให้นักเรียน ม.๖ ที่ผ่านขบวนการกลุ่มที่ภูผาฯ มาแล้วเข้าพบ และ แต่ละคน เปิดใจถึง ความรู้สึก จบลงด้วยการร้องเพลง ที่พวกเขาแต่งขึ้นมา เนื้อหาคือ "เราจะรวมกันให้ได้" การจำชื่อลูกๆได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าทึ่งในความจำของพ่อท่าน ท่านจำได้ขนาดว่า ใครมาขอเปลี่ยนบ่อยๆ ทั้งๆที่นานๆพบกัน ขนาดผมทำงานกับนักเรียน เจอกันบ่อย พอนานวันเข้าไม่เจอกัน ก็ลืมชื่อแล้วก็มี ต้องแง้ม สมุดดูอีกครั้ง อำลาศีรษะอโศกตอนบ่ายโมง คุณอ้อย มรฐ.และคุณอโศกน้องชาย พาไปดูหินทรายที่ อ.น้ำยืน ใกล้ๆไร่ผลไม้ ที่อโศกทำอยู่ เผื่อว่าพ่อท่าน จะสนใจ และ คิดนำไปใช้ประโยชน์ จากลานหินบ่ายสองตรง มุ่งสู่ราชธานีอโศก ถึงตอน ๑๕.๔๕ น. เก็บของเข้าที่ พ่อท่านก็นำสำรวจ ตรวจตรา จุดต่างๆ ก่อนจะ เข้าที่ทำงาน เมื่อลืมตาพ่อท่านอยู่กับงานตลอดเวลา ขนาดเวลานั่งรถเดินทาง แทนที่จะงีบจะหลับ พักเอาแรง แต่พ่อท่าน ใช้เวลานั้น อ่านหนังสือพิมพ์ แม้เท็ปในรถหมดรอบ จนวนมาเริ่มต้นใหม่ ยังรู้และบอก คนคุมเครื่อง ให้เปลี่ยนม้วนใหม่ ขณะที่ลูกศิษย์ที่ติดตามก็หลับๆตื่นๆไปตามๆกัน ความอุตสาหะพากเพียรของพ่อท่าน เป็นสิ่งที่เป็นแบบอย่างอันดี เป็นผู้ที่บริโภคอย่างเป็นเจ้าของที่แท้จริง. ปัจฉาฯเฉพาะกิจ |
||
จากที่ได้ยินความมหัศจรรย์ในการมาเข้าค่ายที่ภูผาฯของเพื่อนๆในสถาบันต่างๆ ทำให้พวกเราศิษย์เก่า สีมาอโศก เริ่มมี ความตั้งใจ ที่จะมาฝึกฝนตัวเองด้วยเหมือนกัน หลังจากได้ประสานงาน และติดต่อ ท่านอาจารย์ ๑ แล้ว ก็ได้รับความกรุณา ให้มาเข้าค่ายได้ ในช่วงกลางเดือนเมษายน วันที่ ๑๘ เม.ย. ตอนหัวค่ำ เป็นวันแรกของการเปิดคอร์ส "มหัศจรรย์" ในการมาเข้าค่ายครั้งนี้ มีเด็กนักเรียน จากสีมาอโศก ๔ คน ลูกญาติธรรรมจาก จ.เชียงใหม่ ๑ คน ญาติธรรมจาก กทม. ๑ คน คณะครู และ ผู้ใหญ่ จากสีมาอโศก ๔ คน บรรยากาศการเข้าค่ายในช่วงแรก ก็ต้องเจอกับความร้อนของไฟป่า คอร์สนี้จึงเป็นคอร์ส ที่ต้องไปดับ ไฟป่า ซึ่งก็มีผู้ใหญ่ บางท่าน ได้รับบาดเจ็บ แต่ประสบการณ์จากการดับไฟป่า ทำให้เป็นอีกบทเรียนหนึ่ง ในคอร์สนี้ ที่พวกเรา จะได้มีความสามัคคี กันมากขึ้น ในระยะเริ่มต้น ก็เป็นการเข้าค่ายแบบแยกเด็ก และผู้ใหญ่ โดยจะเน้นที่ การประคองรักษาความยินดี ให้ได้ทุกเวลา ให้มองหาความดีของกันและกัน เก็บประโยชน์ จากทุกๆ สภาพที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การคุยกัน หรือ แม้แต่การต้อง อยู่กับตัวเอง ในวันพุทธัง และ ที่สำคัญก็คือ ต้องมีเวลาให้กันและกัน ในการพบปะพูดคุย ไม่ถือสาและพยายามเอาใจใส่กัน อยู่เสมอ ต้องสังวรในศีล ๕ ระลึงถึงศีล ๕ ใช้ธรรมวิจัยสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น มองหาจุดบกพร่องของตัวเอง โดยการเข้าไป ปวารณาตัว กับทุกๆคนอยู่เสมอๆ เวลาแห่งการฝึกฝนผ่านไปเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านที่ดีขึ้นของตัวเอง ความยินดีก็ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากที่ไม่เต็มร้อยก็สามารถพัฒนามาจนถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ในช่วงท้ายๆ ของการเข้าค่าย ท่านอาจารย์ ๑ สมณะบินบน ถิรจิตโต ก็ได้พาลงมาทดสอบตัวเองที่ ชมร. สาขาเชียงใหม่ โดยมาร่วมงานโรงบุญฯของที่นั่น ซึ่งบริการอาหารฟรีเดือนละ ๑ ครั้ง โดยครั้งนี้ เป็นการรวมตัวกัน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทำให้รูปแบบของการเข้าค่าย มีลักษณะคล้าย และ เป็นครอบครัว มากยิ่งขึ้น ที่แปลกก็คือ มีสมาชิกที่เป็นญาติธรรม เชียงใหม่ มาเพิ่มอีก ๑ คน ทำให้ความอบอุ่น เพิ่มมากขึ้น สำหรับความรู้สึกของผู้เข้าค่ายฯบางส่วนในรุ่นนี้ที่ชื่อว่า รุ่น "โพชฌงค์" มีดังนี้ นายภูผาหิน ด่านพงษ์ "ฝึกตัวเองมาจนไม่รู้ว่าถึงวันที่ ๑๑ ของการเข้าค่ายแล้ว ทุกคนได้ทบทวน และ สรุปสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา ในการมาฝึกครั้งนี้เหมือนการเกิดใหม่ เพื่อพร้อมจะลงไป จุติยังโลก ไปสู่ค่ายกล ของการงาน และพัฒนาตัวเอง ให้ดียิ่งๆขึ้น ซึ่งเป็นการเข้าค่ายระยะยาว ที่กำหนดวันจบไม่ได้ และเป็นการ เข้าสู่สนามจริงๆ" น.ส.นภา บุญยิ่ง(พลอยน้ำค้าง) "แรกๆไม่อยากมาเลย แต่พอได้สัมผัสแล้ว ก็รู้สึกว่า เราต้องใช้สติ และ ความอดทน ยอมรับ สิ่งใหม่ๆที่เข้ามาในชีวิต เพื่อสิ่งที่ดี บอกตัวเองว่า `ความอ่อนแอ ชนะอะไรไม่ได้' เราทำได้น่า เรียนรู้ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง ให้มีจิตปีติยินดีอยู่เสมอ พยายามอยู่กับปัจจุบันให้ได้ ชัดเจนในตัวเองมากขึ้น พยายามจะเป็นผู้ที่เข้าใจคนอื่น จะเปลี่ยนแปลงตัวเราก่อน ที่จะเปลี่ยนแปลงคนอื่น มีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่น และต้องมีเวลาให้กับตนเอง หาประโยชน์จากทุกสิ่ง เรามีเวลาเหลืออยู่แค่ ๑ ช.ม. ก้าวแต่ละก้าว มีความหมาย ขอขอบพระคุณชาวภูผาฟ้าน้ำ ที่ให้ความอบอุ่นเหมือนครอบครัวเดียวกัน อาหารอร่อยมาก โดยเฉพาะข้าว`เอกภัตร'เยี่ยมจริงๆ" นายธรรมนูญ ศิริโชติ (ลูกหิน) "ประทับใจมากครับ ในการเข้าค่ายฯนี้ ในความรู้สึกจริงๆ ไม่อยากมาเลย แต่ที่มาได้ เพราะต้องการ ซื้อใจเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่อยากมาเหมือนกัน แต่ตัวเองเป็นคนง่ายๆ จึงยอมจะมา หลังจากเข้าค่ายเสร็จ บอกได้เลยครับว่า ปอนนี่คนเก่าตายไปแล้ว จะมีก็แต่ปอนนี่คนใหม่ แต่กลัวคนเก่า ฟื้นเหมือนกัน แต่ถ้าฟื้น ก็จะรีบมาเมืองสวรรค์ มาเติมพลัง แล้วค่อยกลับลงไปใหม่ และ จะสร้างความปีติ อยู่เสมอแม้ลำบาก" น.ส.กาญจนา ศรีวงษา (แก้วเกร็ดรุ้ง) " เราได้ชัดเจนในเป้าหมายทางโลกุตระมาก และ เน้นย้ำกับตัวเอง บ่อยๆว่า จะต้องทำ ให้ได้ด้วยตัวเอง และจะฝึกใจยอมรับยินดีกับทุกอย่าง ที่เข้ามาในชีวิตให้ได้ เข้าพบ สมณะบ่อย เข้าค่ายครั้งนี้ ทำให้เปลี่ยนคน ให้เป็นคนมากขึ้น `แม้สิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนไป แต่ยังเหลือ
หัวใจ ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง'
|
||
ส่งเสริมพระพุทธศาสนา
วิสาขบูชา '๔๕ วันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๖ พ.ค.๒๕๔๕ และปีนี้บริเวณท้องสนามหลวง มีการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา วิสาขบูชา ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๖ พ.ค.๔๕ มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อนร่วมงานเป็นครั้งที่ ๓ (ครั้งแรกปี ๒๕๔๓ ไปร่วมในนามของ มูลนิธิ ธรรมรักษ์ วัดพระบาทน้ำพุ ครั้งที่ ๒ ปี ๒๕๔๔ จัดในนามมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน โดยมีหลายหน่วยงาน มาร่วม) เช้าวันที่ ๒๐ พ.ค. ซึ่งเป็นวันแรกของงาน มีพิธีบวงสรวงเทพยดา พระสยามเทวาธิราช และบูรพมหากษัตริย์ ตอนบ่าย เป็นพิธิอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุ จากวัดพระแก้ว มาประดิษฐานที่มณฑป เพื่อให้ประชาชน สักการะบูชา ตอนเย็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเป็นประธานเปิดงานฯ วันที่ ๒๖ พ.ค. ซึ่งวันสุดท้ายของงาน เวลาหกโมงเช้า มีการทำบุญตักบาตร พระสงฆ์ ๒๒๑ รูป และ ๑ ทุ่มตรง สมเด็จพระสังฆราชเสด็จ แสดงสัมโมทนียกถา และทรงเป็น ประธานพิธีเวียนเทียน รอบพระบรมสารีริกธาตุ ปีนี้มีรูปแบบการจัดงานต่างจากปีที่แล้วคือ มีการแบ่งเต็นท์ออกเป็นเต็นท์นิทรรศการ เต็นท์บรรยายธรรมะ และ เต็นท์จำหน่าย หนังสือ-เท็ปธรรมะ รวมทั้งหมด ๒๙๓ เต็นท์ โดยเต็นท์จำหน่ายหนังสือฯ ต้องเสีย ค่าบริการด้วย บริเวณ ๔ มุมของการจัดงานได้จัดผ้าป่า ๔ มุมเมือง โดยแบ่งเป็นผ้าป่าของทหารบก - ทหารอากาศ - ทหารเรือ - ตำรวจ ให้ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงิน เพราะในปีนี้ไม่อนุญาตให้แต่ละเต็นท์ ตั้งตู้รับบริจาค หากใคร ประสงค์จะทำบุญ ก็สามารถ บริจาคได้ตาม ๔ มุมเมือง โดยเงินบริจาคทั้งหมดนี้ นำเข้าศูนย์ส่งเสริม พระพุทธศาสนา นอกจากนี้ได้เชิญตัวแทนวัด ของแต่ละจังหวัดรวม ๗๖ จังหวัด มาแสดงผลงานกิจกรรม เกี่ยวกับ พระพุทธศาสนา จังหวัดละ ๑ เต็นท์ โดยจัดรอบบริเวณท้องสนามหลวง และมีการประกวดโต๊ะหมู่ บูชาด้วย ในส่วนของมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ที่ไปร่วมงาน ในครั้งนี้ มีเต็นท์บรรยายธรรมะ และ เต็นท์จำหน่าย หนังสือ - เท็ปธรรมะ วิดีโอเท็ป แผ่นวิดีโอซีดี สำหรับเต็นท์บรรยายธรรมะ มีการแสดงธรรมตั้งแต่เช้า โดยสวดมนต์ทำวัตรเช้า หลังจากนั้น เป็นการ บรรยาย ธรรมะ สนทนาธรรม และ สวดมนต์ทำวัตรเย็น โดยสมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ หรือ ท่านจันทร์ และมีพระสงฆ์จากวัด - สำนักสงฆ์ ต่างๆ มาร่วมบรรยายด้วย เช่น พระพิศาลธรรมพาที (พระพยอม) จากวัดสวนแก้ว พระสงฆ์จากวัดป่าธรรมชาติ และ จากวัดต่างๆ รวม ๑๐ รูป มาร่วมบรรยาย หมุนเวียนกันไป ตลอดงาน มีแฟนรายการวิทยุ และ ประชาชนให้ความสนใจ มาฟังมากมาย นอกจากนี้ มีโรงบุญ อาหารมังสวิรัติ บริการอาหาร ขนม ผลไม้ฟรี ตลอด ๗ วันเช่นเดียวกัน ในส่วนของเต็นท์จำหน่ายของมูลนิธิฯ อยู่บริเวณด้านหน้า เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า มูลนิธิฯ ได้นำ หนังสือ ธรรมะ เท็ปธรรมะ วิดีโอเท็ป และ แผ่นวิดีโอซีดี ไปจำหน่าย ปรากฏว่า มีประชาชนสนใจ มาเลือกซื้อ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ แผ่นวิดีโอซีดี ชุดตามรอยบาทพระศาสดา ขายดีจนหมดเกลี้ยง ในส่วนของพุทธสถานของชาวอโศกก็มีการเวียนธรรม (เป็นการแสดงธรรมหมุนเวียนกันไป ทั้งสมณะ - สามเณร - สิกขมาตุ แทนการเวียนเทียน) เนื่องในวันวิสาขบูชาเช่นกัน ผู้สื่อข่าว ได้สอบถามไปยัง แต่ละ พุทธสถาน ปรากฏว่าคล้ายๆกัน คือเริ่มรายการเวลา ประมาณ ๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น. ดำเนินรายการ โดยสมณะ และมีสมณะ - สิกขมาตุ ร่วมแสดงธรรม ในเวลาสั้นๆ ที่แตกต่างคือ พุทธสถานสันติอโศก ที่พ่อท่าน ขึ้นแสดงธรรม ในช่วงก่อนฉัน และภาคค่ำ หลังจากที่สมณะ - สามเณร - สิกขมาตุ เวียนธรรม ทุกรูปแล้ว พ่อท่านได้ร่วมแสดงธรรมด้วยอีก ๑๖ นาที และที่พุทธสถานศาลีอโศก ญาติโยม มีการ ลดละ กิเลส เพิ่มขึ้น เป็นการปฏิบัติบูชา |
||
"...ตอนนี้สวนผมไม่มียุงเลย ผิดกับเมื่อก่อนนี้ ยุงป่ามันมากแทบจะบินเข้ามาเปิดเข้าไป ในมุ้งเองได้" ...เป็นคำพูดของชายวัย ๗๕ ปี รศ.ดร.อรรถ บุญนิธิ เกษตรกรผู้อยากจน เจ้าของสวน"บุญล้อมสวน" อำเภอ คลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จากคำพูดำนี้ เล่นเอาผู้ฟังทั้งหลายหูผึ่งไปตามๆกัน ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ยิ่งตอนนี้ มีการรณรงค์ ในเรื่องป้องกันยุง โดยใช้ งบประมาณจำนวนมากมาย แล้วที่สวนแห่งนี้มีร่องสวน แล้วก็มีต้นไม้ ขึ้นหนาแน่น... ทำไมจึงไม่มียุง!! รศ.ดร.อรรถ บุญนิธิ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่อยู่ในวัยเกษียณ ยืนยันในคำพูด แล้วก็บอก ต่อว่า... ผมได้ศึกษาเรื่องจุลินทรีย์มานานแล้ว พอหลังจากที่เกษียณอายุราชการ ก็มาอยู่สวน แล้วปลูกผัก ปลูกพืช กินเอง ก็เลยเอาวิชา ที่เราได้ศึกษา มาประกอบในการทำการเกษตร โดยเอาจุลินทรีย์มาทำประโยชน์ (ในอากาศทั่วๆไป มีตัวจุลินทรีย์ลอยปะปนอยู่) วิธีการก็คือ นำเอาเศษพืชผัก อาหาร มาหมักกับน้ำตาล ตามอัตราส่วนที่เหมาะสม ในช่วงเวลา ที่พอควร ก็จะได้น้ำ หัวเชื้อ จุลินทรีย์ ซึ่งสามารถที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในหลายรูปแบบ เมื่อเอาหัวเชื้อจุลินทรีย์มาผสมกับน้ำ แล้วนำไปใช้งานในการฉีดพ่นใบต้นพืช จะทำให้ต้นพืช เจริญเติบโต ได้ดี ผลผลิต ดกดีมีคุณภาพ และแมลงศัตรูพืชไม่รบกวน สาเหตุนี้ อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้ในสวน "บุญล้อมสวน" ไม่มียุง และ หัวเชื้อฯนี้ ก็สามารถนำไปใช้ได้กับพืช แทบทุกชนิด แม้แต่ในน้ำที่มีการเลี้ยงสัตว์น้ำ ก็สามารถที่จะเอาน้ำหัวเชื้อจุลินทรีย์นี้ ผสมแล้วเทลงไป ในบ่อเลี้ยง ทำให้น้ำ ในบ่อเลี้ยง ไม่เน่าเสีย ป้องกันโรคระบาด และทำให้น้ำนั้นแข็งแรง เจริญเติบโตได้ดี เมื่อทำการทดลองได้ผลแล้ว ดร.อรรถ ก็นำวิทยาการนั้นมาถ่ายทอด โดยการเปิดอบรม และก็มีผู้สนใจ เข้ารับการอบรมไม่น้อย จากนั้นไม่นาน ก็มีพวกปุ๋ยน้ำชีวภาพ ออกมาขายกัน ในตลาดการเกษตร ซึ่ง ดร.อรรถ บอกว่า ความจริงแล้วในการสกัดน้ำหัวเชื้อจุลินทรีย์นี้ มันเป็นเพียงฮอร์โมน อาหารเสริม ให้กับพืช เท่านั้น ไม่ใช่อาหารหลัก อย่างพวกไนโตรเจน โปแตสเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นอาหารหลัก มีความจำเป็น สำหรับพืชมาก ถ้าจะเปรียบเทียบแล้ว การให้อาหารทางใบของหัวเชื้อจุลินทรีย์ ก็เหมือนกับว่า ให้การบำรุงร่างกายมนุษย์ โดยทางสายยาง อย่างเช่น การให้น้ำเกลือ และการให้สารหลัก ก็ให้คนกินข้าวปลาอาหาร ที่เข้าทางปาก อย่างไรก็แล้วแต่ ในการใช้น้ำหัวเชื้อจุลินทรีย์ กับต้นพืชก็สำคัญเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับ ความเหมาะสม ถ้าน้อยไปก็ไม่ดี มากไป ต้นพืชอาจตายได้ !! ศาสตร์และความรู้นี้ รศ.ดร.อรรถ บุญนิธิ จะถ่ายทอดและอภิปรายให้กับผู้ที่สนใจฟัง ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ในวันที่ ๘ มิถุนายน ที่จะถึงนี้ ใครสนใจ อยากได้ความรู้นี้ จองที่นั่งได้ที่ โทร. ๐-๒๙๔๐-๕๙๒๘, ๐-๒๙๔๐-๖๕๑๘ ในเวลาราชการ ปัญญา เจริญวงศ์ (หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ๒๒ พ.ค. ๔๕) |
||
|
||
งานเพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ ๙ สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร งานเพื่อฟ้าดินครั้งที่ ๙ ก็ผ่านพ้นไปด้วยความร่วมมือของทุกๆฝ่าย ข้อคิดจากการจัดงานครั้งนี้มีอะไรบ้าง ปัญหาที่หลายชุมชน กำลังประสบอยู่คืองานมากขึ้น แต่มีคนช่วยงานน้อย ขณะเดียวกัน ต้องปฏิบัติธรรม ไปพร้อมกับ การทำงาน จะแก้ปัญหานี้ ได้อย่างไร โอกาสนี้ทีมข่าวพิเศษ ได้กราบเรียนสัมภาษณ์ ท่านสมณะ เดินดิน ติกขวีโร มาฝากทุกท่านค่ะ ในงานเพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ ๙ ท่านมีข้อคิดอะไรฝากให้กับญาติธรรมของเราบ้างคะ ในงานเพื่อฟ้าดินที่ผ่านมา มีหลายๆเสียงบอกว่างานไม่คึกคักเท่าที่ควร เหตุที่งานไม่คึกคักเท่าที่ควร เพราะพวกเรา เอาไปเทียบ กับงานปีใหม่ ถ้าเทียบกับงานครั้งที่ ๘ ปีนี้ก็ถือว่า มีการเติบโตมากกว่าปีที่แล้ว หลายเท่าตัว มีญาติธรรม และเครือข่าย มาช่วยกันออกร้านเกือบๆ ๕๐ ร้าน มีพวกเราประมาณว่าคนมา ร่วมงาน ทั้งคนนอกคนในปีนี้จะเกือบๆ ๕,๐๐๐ คน ซึ่งปีที่แล้ว คนจะเฉลี่ย ประมาณ ๗-๘๐๐ เท่านั้น ปีนี้ถือว่า เป็นการเริ่มต้น ตลาดพืชผักผลไม้ ไร้สารพิษแฟร์ ของชาวอโศก ทีเดียว แต่อย่างไรก็ดี ถ้าดูสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ ที่ออกมาแล้ว ก็ยังไม่เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ได้เท่าไหร่ เพราะปีนี้ เรามีการ เตรียมตัวกัน อย่างกระชั้นมาก และการจัดงาน ก็ไม่ตรงกับช่วงที่ พืชผักผลไม้จะออก พ่อท่านเลยกำหนดให้งาน เพื่อฟ้าดิน ในปีหน้า ตั้งแต่ตอนนี้ เป็นวันศุกร์ที่ ๑๖ ถึง วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๖ พ่อท่าน ก็บอกว่า จะให้โฆษณากัน ไว้แต่เนิ่นๆ ตั้งแต่งานปีใหม่ไป ก็ให้โฆษณาบอกกล่าว ให้รับรู้ทั่วถึงกัน ประโยชน์โดยตรง ที่เกิดขึ้นในแวดวงภายใน ของพวกเรา ก็คือ ๑.การส่งเสริมสนับสนุนให้เครือข่ายต่างๆที่เราไปอบรมเขา ให้เขาได้มาฝึกเป็นพ่อค้าแม่ค้า ทำโดยตัว ของเขาเอง ซึ่งจะทำให้ เขามีความมั่นใจ และจะสามารถนำสินค้า ออกมาขายได้ เขามาเล่าให้ฟังว่า เป็นเรื่องที่ ตื่นเต้นมาก และก็สนุก คนมาซื้อ ไม่มากเท่าไหร่ พ่อค้าแม่ค้าก็ได้พูดคุยกัน ได้แลกเปลี่ยน สูตรต่างๆ เคล็ดวิธีต่างๆ ในการทำอาหาร ต่างๆนานา ซึ่งเขาก็ ประทับใจกัน เหมือนกับสมัยโบราณ ที่ใครมีไอ้นั่นไอ้นี่ ก็เอามาแลกกัน เปลี่ยนกันเอง เป็นการสร้างคนของเรา ที่ได้อบรม ไปแล้ว ให้มีความ สัมพันธ์กัน แล้วทำให้เขาเองมั่นใจ ในการที่จะทำไร้สารพิษ มากขึ้น ซึ่งบ้านราชฯเอง หลังจากเสร็จงาน พ.ฟ.ด.แล้ว ก็จะมีการเปิดตลาด ไร้สารพิษต่อไปอีก โดยจะให้มีขายกัน ทุกวันอาทิตย์ ให้เครือข่าย หมู่บ้านที่เรา อบรมไปแล้ว เอาผลิตภัณฑ์ ไร้สารพิษมาขาย ทุกวันอาทิตย์ ที่อุทยานบุญนิยม ในเรื่องนี้ ก็อยากจะฝาก ไปถึงพวกเรา ชาวอโศกว่า น่าจะได้ทำงาน ในเรื่องนี้กัน อย่างสำคัญ เพราะว่า เราจะมี โครงการ ตลาดออกมารองรับ แม้แต่ที่กทม. เปิดกันที่ ใจกลางเมืองเลย หรือ ที่ร้านอาหารต่างๆ ของชาวอโศก ก็จะมีนโยบาย เปิดให้เป็นร้านผัก ไร้สารพิษ โดยเฉพาะ ตลาดมีแล้ว ก็เหลือแต่คน ที่จะผลิต ขึ้นมาส่งตลาด เพื่อยึดหัวหาด ผักไร้สารพิษ ให้ได้ ให้สมกับเป็น บุญญาวุธ หมายเลข ๓ ให้ได้นั่นเอง ๒.ในส่วนภายในของพวกเรา ก็ยังดูว่าพืชมงคลที่เป็นข้าวถั่วงา โดยเฉพาะถั่วกับงา พวกเราเอง ยังไม่ค่อย ได้ปลูกเท่าไหร่ ซึ่งวิเคราะห์ลึกๆลงไป ที่ยังไม่ชอบปลูก เพราะพวกเรายังไม่ชอบกิน ในระยะยาว สุขภาพ ของเรา น่าจะมีปัญหา ถ้าเราเอง ไม่ชอบกินถั่ว ซึ่งถั่วเหมือนกับแทนเนื้อสัตว์ แทนปูแทนปลา ที่เราเคยกินก่อน ถ้าเราไม่ได้ กินถั่วไปนานๆ สุขภาพของเราก็จะไม่ดี นอกจากสุขภาพคนไม่ดีแล้ว ดินของเรา ก็จะไม่ดีอีกด้วย เพราะในกลุ่ม ผู้ชำนาญการ ที่ทำกสิกรรมโดยตรง ก็ได้ข้อสรุปกันว่า ปุ๋ยที่สำคัญที่สุด ลงทุนน้อยที่สุด และง่ายที่สุด คือการทำปุ๋ยพืชสด ถ้าจะให้สมบูรณ์ก็มีฟาง มีต้นถั่ว มีต้นงา จะเป็นปุ๋ยพืชสด ที่จะบำรุงดิน ได้ดีมาก อันนี้ก็อยากจะฝาก ให้ญาติธรรมของเรา ได้เห็นความสำคัญของถั่วว่า เป็นหัวใจสำคัญของดิน และ เป็นหัวใจ ของคนกิน และอย่าลืม งานเพื่อฟ้าดินปีหน้า เราคงจะสามารถหาผลิตผล หรือ ผลิตภัณฑ์ มานำเสนอ ให้เป็นที่ตื่นตา ตื่นใจ มีฟักทองลูกใหญ่ๆ มีแตงโมลูกใหญ่ๆ มีทุเรียนมีมังคุด มีอะไรมากมาย ก็จะทำให้งาน เพื่อฟ้าดิน ในปีหน้า อุดมสมบูรณ์ มากกว่านี้ ถาม ปัญหาอมตะของชาวอโศกที่มีเหมือนกันทุกๆแห่ง และก็คงจะมีกันตลอดไป นั่นก็คือปัญหางานมาก คนน้อย จะมีวิธี แก้ปัญหานี้ได้อย่างไรคะ การทำงานของพวกเรา ถ้าจะแบ่งออกโดยลักษณะพอจะแบ่งได้เป็น ๔ ลักษณะด้วยกันคือ ๑.ทำงานส่วนตัวเพื่อเข้าส่วนกลาง ๒.ทำงานส่วนตัวเพื่อส่วนตัว ๓.ทำงานส่วนกลางเพื่อส่วนกลาง ๔.ทำงานส่วนกลางแต่เพื่อส่วนตัว หรือทำงานส่วนกลางนี่แหละแต่โดยความชอบส่วนตั๊วส่วนตัว ใน ๔ ลักษณะนี้ คนที่มีวิบากอยู่ต้องทำงานส่วนตัวเพื่อส่วนตัว อันนี้คงไม่มีใครไปว่าอะไรกัน หรือยิ่ง อนุโมทนา ที่บางคน แม้ต้องมีวิบาก ต้องทำงานส่วนตัว แต่ก็พยายามที่จะเข้ามาเสริมหนุน ให้กับส่วนกลาง อยู่ตลอดเวลา แต่กำลังที่สำคัญ ในกองทัพธรรมของเรา ก็คือคนที่ทำงานส่วนกลาง เพื่อส่วนกลาง หรือ เป็นคนที่ก็รับรู้กันอยู่ว่า คนของเราอย่างนี้ เป็นคนทำ เพื่อส่วนกลาง คือทำให้ส่วนกลาง เป็นคนที่มีความเป็น ตัวของตัวเองสูงนั้น แม้จะทำงาน ให้ส่วนกลางก็จริง แต่เป็นคน ที่ทำงานยึด เอาตัวของตัวเอง เป็นศูนย์กลาง จะให้เขาทำงานอะไร ก็ต้องดูว่าเขาชอบมั้ย ถ้าเขาไม่ชอบ ก็อย่าไปพูดให้เสียเวลา ก็ทำงานส่วนกลาง เหมือนกัน แต่เป็นลักษณะของ ความส่วนตัวอยู่มากๆ ซึ่งจะมาเข้าลักษณะ ของประเภท ที่มีปัญหาสุดท้าย คือ ทำงานส่วนกลาง โดยความชอบส่วนตั๊วส่วนตัว หรือ ทำงานส่วนกลาง แต่ก็เป็นไปเพื่อชื่อเสียง เพื่อเด่น เพื่อดัง เพื่อทิศทาง เป็นประโยชน์ ของตัวเองเป็นหลัก ในงานที่ทำ ถ้าทำไปแล้ว มันไม่ได้หน้าได้ตา ไม่ได้สมใจ ที่ตัวเองได้คิดเอาไว้ ก็จะไม่ทำ ถ้าชุมชนไหนมีคนที่มีความเป็นกลางๆ ทำงานเพื่อส่วนกลาง ถ้ามีคนประเภทนี้เยอะ ชุมชนนั้น ก็จะมีพลัง มีความเข้มแข็ง สามารถที่จะมาสร้าง ขบวนการกลุ่มได้ง่าย แม้จะมีคนน้อยก็ตาม แต่ถ้าชุมชนไหน ที่มีคนที่เหมือน อยู่ในภพของตัวเอง หรือ ทำงานตามที่ตัวเองชอบ ไม่ได้เอาหมู่เอากลุ่มเป็นใหญ่ จะเอาตัวเอง เป็นใหญ่ แม้จะได้ชื่อว่า ทำงานส่วนกลางก็ตาม ในส่วนนี้ แม้จะมีคนอยู่มาก แต่พลังรวม หรือ ประสิทธิภาพ ก็จะไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ซึ่งในสังคมเมือง ก็จะมีลักษณะแบบนี้มาก แม้มีคน อยู่เยอะ แต่จะสร้าง ขบวนการกลุ่มได้ยาก จริงๆแล้ว คนของเรา ทุกแห่งทุกชุมชน ก็ทำงานมากเหมือนกัน แต่ปัญหาทำงานมาก มันคงต้องมี รายละเอียดอีกว่า ทำงานมาก โดยทำงาน ตามที่ใจเราชอบมาก หรือทำงานโดย มันเป็นความ ต้องการ จำเป็น เร่งด่วน ของส่วนกลางจริงๆ ปัญหาของงานมากคนน้อย มองอีกมุมหนึ่งก็เป็นส่วนดี ที่แต่ละคน จะได้ควักศักยภาพ ควักพลังภายใน ของตัวเอง ออกมา ทุ่มกัน ให้ได้เต็มที่ และเป็นส่วนดีอีกอย่างหนึ่ง คือเราจะได้บีบ ทำให้เราจะต้อง มารวมตัวกัน มาช่วยกัน สร้างขบวนการกลุ่ม ซึ่งทางศีรษะอโศก จะเป็นชุมชนที่จะเป็นตัวอย่าง ได้ชัดเจน เพราะว่าผู้ใหญ่จริงๆ มีไม่มากเท่าไหร่ แม้ศีรษะอโศก จะมีผู้ใหญ่น้อย แต่ก็จะมีขบวนการกลุ่ม ที่เข้มแข็ง และ มีความเป็นเอกภาพสูง เพราะฉะนั้น แม้คนจะน้อย ก็สามารถที่จะ สร้างสรร การงานให้เป็นประโยชน์ ออกไปได้ กว้างขวาง ไม่แพ้ชุมชน ที่มีคนอยู่กันมากๆ ได้ทีเดียว จะเห็นได้ว่า ชุมชนที่ไหน ก็ตาม แม้จะมีคน ทำงานมาก ถ้าต่างคนต่างทำ ไปตามความชอบของตัวเอง ตามภพ ของตัวเอง เราก็จะเห็นได้ว่า ชุมชนนั้น ก็จะเป็นชุมชน ที่ไม่มีพลัง ไม่สามารถที่จะสร้างสรรงาน ให้ออกมาได้ อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีแก้ปัญหา ที่สำคัญก็คือว่า ต้องมาวิเคราะห์วิจัยกันว่า ทำอย่างไร ถึงเราจะสร้างพลังรวม ให้เกิดขึ้นได้ สร้างขบวนการ กลุ่มให้เกิดขึ้นได้ ตรงนี้คิดว่า เป็นประเด็นสำคัญ ที่จะแก้ปัญหางานมาก และคนน้อยได้ ถาม ในขณะที่งานมากๆเราจะปฏิบัติธรรมอย่างไรให้ลงตัวได้คะ การปฏิบัติธรรมจะเกิดความลงตัวได้นั้น น่าจะเกิดมาจากการจัดความสมดุล ให้กับชีวิตของเรา และ ความสมดุลนั้น เราก็คงจะต้อง มาจัดสรรวิถีชีวิตของเราให้ อ.ต่างๆที่เราได้ฟังมา ไม่ว่าอาหาร อากาศ อารมณ์ อิทธิบาท หรือ อิริยาบถก็ดี ช่วงนี้พวกเราเพียงแค่อายุ จะใกล้ๆเลข ๕๐ กันนี่ ก็จะเป็นโรค กระดูกเสื่อม โรคปวดขา ปวดนั่นปวดนี่ กันอยู่พอสมควร หมอเขาบอกว่า ถ้าอยู่ในอริยาบถ ที่นั่งนานๆ กระดูกก็จะเสื่อมได้ เคยฟังหมอกระดูก ที่มาอธิบายให้ พ่อท่านฟังว่า มีหนู ๒ ตัว ถ้าเอาหนูตัวหนึ่ง ให้มันอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนเลย กับอีกหนูตัวหนึ่งให้วิ่งตามปกติ หนูที่นิ่งอยู่กับที่ กระดูกจะเสื่อม อย่างรวดเร็วมาก จะเป็นกระดูกผุ กระดูกมีปัญหาทันที ดังนั้น การใช้อริยาบถของเรา ก็จะต้องให้สมดุล การออกกำลังกาย ก็คงจะต้องให้สมดุล ถ้าเราไม่ได้ยืดเส้นยืดสายของเราเลย เส้นสาย มันก็จะยึด ทำให้จิตวิญญาณของเรา ยึดตามได้ง่ายด้วย หรือร่างกายมีความยึดมาก ปวดเมื่อยเส้น ตามเนื้อตามตัวมาก ต้องไปบีบ ไปนวดกัน ก็แสดงว่า เราไม่ค่อยได้ออก กำลังกาย เท่าไหร่ ก็คงจะต้องจัดสรร ร่างกายของเรา ให้มีอริยาบถ ที่สมดุลไปด้วย มีการออกกำลังกาย ที่สมดุลด้วย มีเรื่องของอาหาร ที่ให้มันถูกหลัก โภชนาการด้วย และ ที่สำคัญ ก็คือ ในเรื่องของอารมณ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าเอง ท่านจะมีตรัสเอาไว้ใน อุโบสถสูตร พูดถึงเรื่องศาสนาพุทธ จะมีความเจริญ รุ่งเรืองมาก แพร่หลายมาก ถ้าทุกคนสามารถ ที่จะเข้าถือ อาริยะอุโบสถ โดยการทำจิต ของเรา ให้เบิกบาน ผ่องแผ้ว ด้วยการระลึกถึงพระพุทธเจ้า เรียกว่า พรหมอุโบสถ ทำจิตใจผ่องแผ้ว ด้วยการระลึกถึง พระธรรม เรียกว่าธรรมอุโบสถ ระลึกถึงพระสงฆ์ เรียกว่า สังฆอุโบสถ ระลึกถึงศีล เรียกว่า ศีลอุโบสถ สิ่งเหล่านี้ ใครสามารถที่ระลึกถึง พระพุทธเจ้าแล้วจิตใจ ก็เบิกบานผ่องแผ้วได้ ก็ถือว่าได้เข้าถึง อาริยะอุโบสถ ในตัวอย่างนี้ ก็เป็นเครื่องที่จัดสรร ความสมดุล ของชีวิตของเราอย่างหนึ่ง อย่างน้อยเราก็ควรมีเวลา สวดมนต์ ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์บ้าง มีเวลาฟังธรรม อ่านหนังสือธรรมะบ้าง ขวนขวายในการทำวัตรอยู่เสมอ เพราะว่า ในช่วงที่การงานมาก ถ้าชีวิตของเรา พุ่งไปกับงานอย่างเดียว จนลืมการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ลืมพระบริสุทธิคุณ พระกรุณาธิคุณ มหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า หรือ ลืมในคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า ลืมในความศรัทธา ที่มีต่อ สงฆ์สาวก ของพระพุทธเจ้า ถ้าใจเราพุ่งไปกับงานอย่างเดียว มันอาจจะทำให้ เราหลุดไปยึดมั่น สำคัญหมาย ในโอฬาริกอัตตา (วัตถุข้าวของเงินทอง) หรือ ในอรูปอัตตาก็ดี ที่เป็นความคิดความเห็น ความเชื่อของเรา มันก็จะทำให้ใจของเรา อาจจะทำงานไปด้วยจิตใจ ที่ไม่สบายอึดอัดขัดเคือง เพราะว่า กลายเป็น กัมมรามตา เป็นความหมกมุ่น วุ่นวายไปกับงาน ชีวิตก็ขาดความสมดุล เมื่อชีวิตขาด ความสมดุลแล้ว เราจะมีแต่ความวุ่นวายใจ ก็จะรู้สึกว่า ไอ้นั่นก็ไม่ทัน ไอ้นี่ก็ไม่เรียบร้อย ไอ้นั่นก็มีดูเหมือน มีปัญหา เยอะแยะไปหมด แต่ถ้าเรามาเน้น การจัดความสมดุล ชีวิตของเรา จะทำให้เราโน้มน้อม จิตวิญญาณของเรา มาสู่ความสงบตั้งมั่น งานของเรา ก็จะเสร็จไปอยู่ ทุกๆขณะ เจริญไป ตามลำดับๆ เป็นไปตามลำดับด้วยดี ก็จะสามารถที่จะทำงานชิ้นเอก ด้วยจิตที่เป็น เอกัคตารมย์ ด้วยจิตที่มีความเป็นหนึ่ง ก็จะทำให้เรา สามารถสร้างงานชิ้นเอกขึ้นมาได้ ถ้าทำงานด้วยความวุ่นวายใจ ก็จะได้อนุสาวรีย์ แห่งความ วุ่นวายใจ หรือจะได้ อนุสาวรีย์แห่งราคะ โทสะ โมหะ ออกมา เพราะฉะนั้น เราคงจะต้องมา เน้นการทำงาน ให้เกิดความสมดุล เป็นอันดับหนึ่ง เพื่อปรับจิตวิญญาณของเรา ให้เข้ามาสัมมา เข้าหามัชฌิมา เข้าหา ความพอดีอันสูงสุด (อรห+อันตะ = อรหันต์) อันนคือ เป้าหมายที่เราทำงาน ไม่มีอย่างอื่น นอกจาก สัมมามัชฌิมา และ สูงสุดก็คืออรหันต์ นี่คือเป้าหมายการทำงานของเรา เมื่อทุกอย่าง เป็นสัมมา มัชฌิมา ก็จะทำให้การปฏิบัติธรรม และ การงานเกิดความลงตัวไปด้วยกัน คิดว่าปีหน้าท่านญาติธรรมคงได้นำผลิตผลจากกสิกรรมไร้สารพิษ มาร่วมออกร้าน ในงานเพื่อฟ้าดิน กันถ้วนหน้า นะคะ และ แม้งานจะมากขึ้นสักเพียงใด คนช่วยงานจะน้อยสักแค่ไหน แต่หากขบวนการ กลุ่มแน่น ทุกอย่างก็สำเร็จ แล้วอย่ามัว แต่เพลิดเพลินเจริญใจ มีความสุขกับการทำงาน จนลืมปรับสมดุล ของชีวิตนะคะ ด้วยความเป็นห่วง จากทีมข่าวพิเศษค่ะ ทีมข่าวพิเศษ รายงาน |
||
มหกรรมฟุตบอลโลก ๒๐๐๒ ระหว่างวันที่ ๓๑ พ.ค.ถึง ๓๐ มิ.ย. ๒๕๔๕ ซึ่งประเทศเกาหลีใต้ และ ประเทศญี่ปุ่น ได้เป็นเจ้าภาพร่วมกัน นับได้ว่าเป็นกีฬาของชาวโลกที่ได้รับความสนใจอย่างมากในขณะนี้ แม้แต่หน่วยงานทั้งภาครัฐ และ เอกชนของไทยเอง ก็ยังพยายามเลี่ยงกิจกรรม ไม่ให้ไปชนกับ มหกรรม ลูกหนัง ระดับโลกครั้งนี้ เพราะเกรงจะสู้ฟุตบอลโลกฟีเว่อร์ ไม่ไหวนั่นเอง กีฬา โดยเฉพาะฟุตบอลขณะนี้ จึงไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่เพื่อส่งเสริมสุขภาพ หรือหวังแค่ เชื่อมมิตรภาพ ดังเช่น แต่ก่อนแล้ว ปัจจุบันกีฬาได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง ในรูปแบบต่างๆ ทำให้มียอดเงิน แพร่สะพัด ในวงการนี้มากมาย จนน่าตกใจ เพราะมีเรื่องของการค้า การพนันขันต่อและอื่นๆ เข้ามา เกี่ยวข้อง ด้วยนั่นเอง สิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบ ต่อการดำเนินชีวิต และความรู้สึกนึกคิด ของประชาชน ในระดับโลก และมีส่วนนำไปสู่ ปัญหาต่างๆ เช่น อาชญากรรม หนี้สินที่เกิดจากการพนัน รวมไปถึง ประสิทธิภาพในการทำงานและจิตวิญญาณของมนุษยชาติ ฯลฯ ซึ่งผลกระทบเหล่านี้ ได้ถูกหยิบยก ขึ้นมาวิพากษ์ วิจารณ์กัน อย่างกว้างขวาง ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เราจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่คืบคลาน เข้าครอบงำสังคมมนุษยชาติอย่างไร?! แล้วความถูกต้อง และ บทบาทของ "กีฬา" นั้นควรอยู่แค่ไหน? อย่างไร? จึงจะเรียกได้ว่า ถูกสัจจะที่ควรเป็น คำตอบของเรื่องนี้ ทีมข่าวพิเศษ ได้ถือโอกาสกราบเรียนถาม ความเห็นจากพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ มาฝากกัน ดังนี้ "ฟุตบอลโลกเป็นสัญญาณแห่งความหายนะของบ้านเมือง ของโลกทุกวันนี้ เพราะว่าฟุตบอล คือ การเล่น ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ใช่อาชีพ ไม่ใช่เรื่องหลักของชีวิต เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อเราไปหลงใหล ไปลงทุนลงแรง ให้ทั้งทุนรอน เวลา ความคิด ความอ่าน แรงงาน ทั้งกายทั้งสมองมากไป จนเกินเหตุ มันก็จะพาบรรลัย เพราะว่า เป็นการเล่นไม่ใช่เรื่องจริงของชีวิต มันเป็นอบายมุข เป็นเรื่องเหลวไหล จริงเราจะมีเล่นบ้าง คนเรามักมีภาวะ ที่พักผ่อนนิดหน่อย คลี่คลายเล็กๆน้อยๆ ก็ต้องรู้ว่า ส่วนของชีวิตนั้น การเล่นก็คือ ส่วนเล่น เพราะฉะนั้น คนเราถ้าไปมุ่งไปเอาอันนี้ มาเป็นอาชีพ มาเป็นการงานหลัก มาเป็นสิ่งที่เลี้ยงชีวิตเลย มันผิด สัจธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าคนเราหลงระเริงสิ่งเหล่านี้ มันก็จะพาเสื่อมพาทรุด เพราะฉะนั้น ในความเป็นจริง ที่มันเป็นอยู่ ทุกวันนี้ มันพาเสื่อมไปมาก จนกระทั่งว่า ชีวิตของคนไปหลงระเริงว่า ฉันเก่งที่จะเล่น ที่จะทำเล่นๆ ที่มันเก่ง เก่งยังไงก็ได้ แค่เก่งเล่นๆ มันไม่ได้สาระอะไรของชีวิต ไม่ได้ประโยชน์อะไร จะบอกว่าการเล่นกีฬา เป็นการออกกำลังกายก็ใช่ แต่นี่มันไม่ใช่ การออกกำลังกาย มันไม่ได้มุ่ง การออก กำลังกาย มันมุ่งเอาความสามารถ เอาความเก่งยอด เอาความชนะคะคาน เอาความ ได้ลาภ ยศสรรเสริญ มันเลอะเทอะไปโน่นหมดเลย มันก็ยิ่งไม่มีคุณค่าอะไร เลยกลายเป็น เรื่องหยำเป เป็นเรื่องเลอะเทอะ เสร็จแล้วมันเป็นเรื่อง บานปลายขึ้นมา เพราะว่ามันเป็นทางมา แห่งความหลงใหลของมนุษย์ มนุษย์มีกิเลส พอมีกิเลส ก็เป็นความหลงใหลติดยึด พอติดยึด คนก็ได้โอกาส ฉวยโอกาสอันนี้ ไปทำเป็นการหาเงิน โดยหลอกล่อเอาเงิน ไปประโคม ตัวนักกีฬา เอาลาภ เอายศ เอาสรรเสริญ ไปประโคมเข้า เพื่อที่จะให้เขาฮึด ลงทุนลงแรงสู้ เหมือนกับจิ้งหรีด ถูกปั่นหัว เหมือนไก่ชน ถูกปั่นหัว อะไรขึ้นมา เหมือนไก่ชนเราธรรมดานี่เอง พวกตัวนักกีฬา ทั้งหลายแหล่ นายทุน หรือ ผู้ที่จะคว้า เอาประโยชน์ จากอันนี้ก็มาใช้อันนี้ เป็นฐานล่าง ในการที่จะสร้างฐานะ ให้แก่ตนเอง พอทำไปๆ แล้วแพร่หลาย บานปลาย ออกไป จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เป็นเทคโนโลยีบานปลาย ก็กลายเป็นเรื่อง ของการพนัน กลายเป็นเรื่องของการหลงใหล ติดยึด งมงาย จนกระทั่ง เสียเวล่ำเสียเวลา เสียเศรษฐกิจ เสียอะไร ต่ออะไรไปหมดเลย และก็จะกลายเป็น เรื่องอาชญากร อาชญากรรม การพนันเป็น เรื่องหนักเข้าไป อาตมาขอพยากรณ์ไว้เลยว่า ในอนาคตข้างหน้านี้การกีฬาทั้งหลายแหล่ จะทำลายสังคม ประเทศชาติ อย่างร้ายแรง เหมือนกับ พวกยาพิษ ยาบ้า ยาเมาอะไรต่างๆนานา เหมือนกันเลยไม่มีผิด อย่าว่าแต่กีฬาเลย แม้แต่มหรสพ ก็จะทำลาย บ้านเมือง ในอนาคต เพราะว่าจะพาออกไป ทางกามทางอะไร ตอนนี้ก็ลงแรง แข่งขัน แย่งชิงกัน จะหนักหนาสาหัสสากรรจ์ หลงระเริง กันไปทุกที เพราะฉะนั้น ในเรื่องของการกีฬา ถ้าหากว่า ไม่เรียนรู้ในเรื่อง ของสัจธรรมจริงๆ แล้วก็แบ่งหรือว่ารับ ให้เป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิต แค่เล็กน้อย ๑๐% ก็มากไปแล้ว ๒๐% ก็เกินเลย นี่จะไปเอา ๑๐๐% การกีฬายกเป็นเอก เป็น ๑๐๐% เป็นเรื่องเด่น ของชีวิตไปเลย มันผิดสัจธรรม นี่คือความไปไม่รอด ของมนุษยชาติ ที่ไม่รู้จักสัจธรรม" พออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว พวกเราคงจะได้คำตอบแล้วว่า อะไรคือ ความพอดี สำหรับคำว่า "กีฬา"!. ทีมข่าวพิเศษ |
||
อาหารเผ็ดร้อน บรรเทาหอบหืดและหวัด ดร.เออร์วิน ไซเมนท์ ศาสตราจารย์ทางการแพทย์ แห่งมหาวิทยาลัย UCLA ได้สนใจเกี่ยวกับประสิทธิภาพ ของอาหาร ที่เผ็ดร้อน เช่น พริก กะเพรา พริกไทย เขาพบว่า ในพริกมีสารช่วยสะลายเสมหะ และขับเสมหะ อยู่ด้วย ทำให้หายใจสะดวก สารนี้มีชื่อว่า แคปไซซิน ซึ่งมีสรรพคุณเผ็ดร้อน และมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา คล้ายกับ ยาขับเสมหะในแผนปัจจุบัน เขาได้ทดลองใช้พริก ในผู้ป่วยปอดอักเสบเรื้อรัง หลายครั้ง เขาจึงพบว่าสาร แคปไซซิน กระตุ้นให้เกิดการขับเสมหะ ได้ดีเกินคาด ลองมานึกถึงเวลาที่เรารับประทานอาหารรสเผ็ดจัด เรามักพูดเปรียบเปรยว่า เผ็ดจนน้ำหูน้ำตาไหล ซึ่งผลนี้ เกิดเช่นเดียว กับการทดลอง คือน้ำเมือกที่มีหลั่งในหลอดลม จะทำให้เสมหะที่ข้นเหนียว เจือจางลง ร่างกาย ขับออกได้ง่าย ทำให้หายใจ สะดวก นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดนพบว่า สารแคปไซซินนี้ยังช่วยลดอาการบวมของเซลล์ ในหลอดลมใหญ่ และ เล็ก ลดอาการเกร็ง ของกล้ามเนื้อ รอบหลอดลม ดังนั้น พริกเผ็ดๆ จึงเป็นประโยชน์ต่อคน ที่เป็นหอบหืด หรือ คนที่แพ้ ละอองสารในอากาศ ส่วนในหัวหอม และ กระเทียมมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสหวัด และ ไข้หวัดใหญ่ น้ำสกัด สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้เกือบ ๑๐๐% ส่วนพริกไทย มีสารสกัด ที่ยับยั้งการเจริญเติบโต ของเชื้อโรค ในทางเดินหายใจได้ ดร.เออร์วิน ทดลองให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารรสเผ็ดอาทิตย์ละ ๓ ครั้ง ควบคู่กับการรักษาปกติ พบว่า ผู้ป่วยหลอดลม อักเสบเรื้อรัง และ ถุงลมโป่งพอง จะมีอาการดีขึ้น หายใจคล่อง อาการกำเริบน้อยลง อาการดีกว่า กลุ่มที่ไม่ได้รับประทาน อาหารรสเผ็ด ฉะนั้น เมื่อเป็นหวัด มีเสมหะ มีน้ำมูกไหล แทนที่จะนึกถึง ยาแก้หวัด ที่มีส่วนผสมของพีพีเอ ลองบรรเทาด้วย ข้าวราดผัดพริกใบกระเพราเผ็ดๆ แซ่บๆสักจาน ดีมั้ยคะ ทั้งปลอดภัย เงินทองไม่รั่วไหลดีนะคะ |
||
ชมรมผู้อายุยาว
รื้อฟื้นงานมหกรรมรักษาศีล วันที่ ๑๐-๑๓ พ.ค. ๔๕ ที่ลานนาอโศก ชมรมผู้อายุยาวกลุ่มภูผาฟ้าน้ำ ได้จัดงานมหกรรมรักษาศีล หลังจากหยุดไปนานถึง ๑๓ ปี ก่อนหน้านั้น เคยเป็นงานประจำปี ที่วัดพันอ้น จ.เชียงใหม่ สมัยท่านอาจารย์ ดวงดี เป็นเจ้าอาวาส จัดงานอย่างยิ่งใหญ่รวม ๕ วัน ๕ คืน ปีแรกที่จัด มีผู้มาร่วมงานถึงครึ่งพันคน โดยมีสมณะกระบี่บุญ มนาโป (มรณภาพแล้ว) และสมณะเลื่อนลิ่ว อรณชีโว ไปเป็นวิทยากร ได้จัดมาทุกปี จนกระทั่งถึงปี ๒๕๓๒ จึงได้เลิกไป ประธานชมรมฯ และสมาชิกชมรมฯหลายท่าน ต่างก็เคยเข้ารับการอบรม ที่วัดพันอ้นมาแล้ว จึงได้รื้อฟื้น การจัดงานขึ้นมา อีกครั้งหนึ่ง ได้กราบนิมนต์สมณะดวงดี ฐิตปุญโญ มาเป็นที่ปรึกษา และเปิดงาน ครั้งนี้ด้วย การดำเนินงานและการจัดงานเป็นไปแบบเรียบง่าย รูปแบบคล้ายกับงานปลุกเสกฯ มีทำวัตรเช้า เทศน์ก่อนฉัน ภาคบ่าย ได้เชิญ น.พ.พินิจ ลิ้มสุคนธ์ และ ดร.ไมตรี สุทธจิตต์ มาบรรยาย ท่านละ ๒ ช.ม. ในวันที่ ๑๑ และ ๑๒ พ.ค.ตามลำดับ ส่วนภาคค่ำ เป็นรายการสัมภาษณ์ปฏิบัติกร โดยมี สมณะเก้าก้าว สรณีโย และ สมณะดวงดี ฐิตปุญโญ เป็นผู้สัมภาษณ์ คืนวันที่ ๑๑ และ ๑๒ พ.ค. ๔๕ ในรายการ "ชีวิตใหม่ในโลกใบเก่า" และ "สุขใดที่ใจใฝ่หา" ก็เป็นที่ม่วนอ๋กม่วนใจ๋ของผู้ฟัง จากปฏิบัติกรผู้อายุยาว คืนละ ๕ ท่าน บรรยากาศในงานเป็นกันเองและอบอุ่นดี มีสมาชิกมาลงทะเบียน ๘๖ คน สมณะรวม ๗ รูป ผู้เข้ารับ การอบรม ในงานครั้งนี้ ต่างก็ได้เคร่งในศีลได้สมชื่อ สมณะเก้าก้าว และ สมณะดวงดี เป็นวิทยากรหลัก ได้เทศน์เน้นย้ำ เกี่ยวกับองค์คุณ และ ญาณ ๗ ของพระโสดาบัน อานิสงส์ของศีล และอีกมากมาย (ท่านใดสนใจ โปรดหาฟังได้ในเท็ป) วิทยากรข้างนอกให้ความร่วมมือด้วยดี ดร.ไมตรี แม้จะเข้าโรงพยาบาล เมื่อ ๒๒ พ.ค.๔๕ นี้ เพื่อจะผ่า ลิ้นหัวใจที่รั่ว ก็ยังรับคำเชิญ ด้วยความเต็มใจ "ผมขออย่างเดียวนะครับ อย่าได้จัดของชำร่วยให้ผม ผมไปมือเปล่า ผมก็กลับมือเปล่า" เป็นคำพูดของ น.พ.พินิจ ลิ้มสุคนธ์ (ฉายาหมอปากหมา) นักข่าวเบอร์จู๋น
|
||
เจริญธรรม สำนึกดี พบกันอีกครั้งกับ "หน้าปัดชาวหินฟ้า" ประจำ น.ส.พ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๑๘๓(๒๑๖) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๑ พ.ค.๒๕๔๕ วันวิสาขบูชาปีนี้ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗) วันที่สำคัญอย่างยิ่งของพุทธศาสนิกชน และ องค์การสหประชาชาติ ยังประกาศให้เป็น วันสำคัญสากลอีกด้วย ฉบับนี้เรานำข่าวบรรยากาศ กิจกรรมในวันวิสาขบูชา ของชาวอโศก ทั่วไทยมาเสนอ อย่าพลาด! ช่วงนี้กระแสของการแข่งขันฟุตบอลโลกกำลังมาแรง หลายคนให้ความสนใจ ให้ความสำคัญ จนแม้กระทั่ง มีบางโรงเรียน จะเลิกเรียนให้เร็วขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน กลับไปดูได้อย่างจุใจ หรือแม้แต่ การเล่นพนัน แข่งขันฟุตบอล ที่จะมีตามมาเป็นปกติ เรื่องนี้หาคำตอบได้จาก "มอง...ฟุตบอลโลก ๒๐๐๒" พลิกไปอ่านได้ ในฉบับฮะ เอ่ยถึงเรื่องราวรอบๆบ้านเราแล้ว ที่นี้วกเข้าเรื่องภายในบ้านกันต่อดีกว่า ไปดูว่าพี่ๆน้องๆของเรา เป็นอย่างไร กันบ้าง เพิ่มฐาน...หลังจากที่อยู่ช่วยกันด้านการศึกษาที่ศีรษะอโศกมาหลายปี จนมีชื่อเสียงโด่งดัง ในเรื่อง ความขยันเอาภาระ ทางหมู่สงฆ์ที่ปฐมอโศก จึงขอตัวท่านร่มเมือง ยุทธวโร จากศีรษะฯ มาช่วยงาน ด้านการศึกษา ที่ปฐมอโศก กับพ่อท่านโดยตรง หลังจากงานปลุกเสกฯ ท่านร่มเมือง จึงได้เดินทางจากศีรษะอโศก ท่ามกลางความเสียดายของเด็กๆ และ ชาวชุมชนศีรษะฯ หลายคน ไปยังปฐมอโศก จิ้งหรีดก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ท่านร่มเมืองตอนนี้เป็นอย่างไร แต่ก็ได้ข่าวจากจิ้งหรีดที่ปฐมฯมาว่า ท่านร่มเมือง ต้องถือหลัก คิดใหม่ มองใหม่ เพราะคนที่ปฐมฯ ไม่เหมือนที่ศีรษะฯ ความศรัทธามีพื้นฐานต่างกัน จะต่าง กันอย่างไร ก็คิดว่าชาวเรา คงพอเดาได้ แต่ที่แน่ๆคือ ท่านร่มเมืองรู้สึกพอใจ ชาวปฐมอโศก แม้จะสัมผัส สัมพันธ์ไม่ถึงปี ที่ท่านพอใจมาก จิ้งหรีดไปแอบได้ยิน มาจากปาก ของท่านโดยตรง ก็คือ "อาตมาได้เพิ่มฐาน" ใครอยากรู้ ฐานอะไร ก็ไปถามกันเองนะฮะ จิ้งหรีดขอรีบเข้ารูก่อน... จี๊ดๆ น่าประทับใจ...จิ้งหรีดได้เดินทางไปกินอาหารที่ ชมร.เชียงใหม่ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๐ พ.ค.ที่ผ่านมา ก็ให้นึกแปลกใจว่า ผู้บริหาร ชมร.ช.ม.ไปไหนกันหมด และทำไมมีคนใหม่ๆ มาช่วยงานหลายคน ดูคึกคัก จิ้งหรีด จึงแอบถามคนที่ ชมร.ช.ม. ด้วยความสงสัย ในที่สุด จิ้งหรีดก็ได้ความกระจ่าง และรู้สึก ประทับใจ เพราะคนที่มา ช่วยงาน ชมร.ช.ม.หน้าใหม่ ที่แท้ก็เป็น คนชุมชนภูผาฯ ที่สมัครใจ ลงมาช่วยงาน แทน ผู้บริหาร ของ ชมร.ช.ม. เพราะผู้บริหารชุดเดิม ต้องการไปอบรมธรรมะ เพื่อเพิ่มพูนคุณธรรม ที่พุทธสถาน ภูผาฟ้าน้ำ ประมาณ ๗ วัน ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ที่แน่ๆคือ หลายคน ที่เข้าอบรม ฟังธรรม วันละ ๓ เวลา อยากรับการอบรมต่อไปอีก... จี๊ดๆ เติมพลัง...งานนี้หอมนาน หอมไกล(หอมกลิ่นศีลกลิ่นธรรม) เพราะตอนนี้จิ้งหรีดบ้านราชฯ หลังจาก สะสางงาน ที่รับผิดชอบได้แล้ว ก็ตั้งโปรแกรม หลังงานอโศกรำลึก '๔๕ แล้ว จะขอไปร่วมแจม กับค่าย มหัศจรรย์ กับเขาบ้าง กลับมา คงมีเรื่องดีๆ เล่าสู่กันฟังบ้างล่ะ จิ้งหรีด กทม. ก็กรีดปีกเชียร์ เพื่อนสุดๆ ไม่ใช่อะไรหรอก หากถึงคิวบ้างก็จะไป มะ-หัด-สะ-จัน (มหัศจรรย์) กับเขาด้วยเหมือนกัน...จี๊ดๆ ฝนปรอยร้อยแปด...สำหรับความคืบหน้าของสถานีวิทยุชุมชนของชาวเรา ตอนนี้อยู่ในช่วง ทดลอง ออกอากาศ และขะมักเขม้น ปรับผังรายการ เพื่อจะได้นำสาระประโยชน์ มาสู่ท่านผู้ฟัง ให้มากที่สุด ญาติธรรม สามารถเปิดฟังรายการ ได้ทุกวัน ที่ FM 108 MHz ตั้งแต่เวลา ๐๔.๐๐-๒๒.๐๐ น. (หยุดพักช่วง ๑๒.๐๐-๑๓.๐๐ น.) โดยเวลา ๐๔.๐๐-๐๖.๐๐ น. จะเปิดเท็ปธรรมะของพ่อท่าน นอกนั้น นำเสนอรายการ หลากหลายรูปแบบ....จี๊ดๆ สวนไผ่สุขภาพ...ร้านกู้ดินฟ้า ๓ เปิดแน่ ๓ มิ.ย.นี้ ที่สวนไผ่สุขภาพ ตอนนี้ตระเตรียมทีมงานได้ ๑๐ คนแล้ว เพื่อช่วยกัน ขายพืชผัก ผลไม้ไร้สารพิษ จากผู้ผลิตตามเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ ที่ได้ลงพื้นที่ เปิดขายตั้งแต่ ๐๕.๐๐-๑๔.๐๐ น. (อาจมีการเปลี่ยนแปลง) โดยจะหยุดทุกวันจันทร์ เครือข่าย กสิกรรม ไร้สารพิษ รายใดพร้อม เชิญติดต่อได้ที่คุณดินนา โคตรบุญอารยะ ได้ฮะ...จี๊ดๆ เต้าหู้...อย่างที่เคยลงไว้เมื่อฉบับที่แล้ว ที่สวนไผ่สุขภาพ นอกจากจะเป็นตลาดพืชผัก ไร้สารพิษแล้ว ต่อไป จะมีร้านผลิต เต้าหู้ เพื่อจำหน่ายด้วย ตอนนี้ทางบจ.ภูมิบุญ ออกทุนสั่งซื้อเครื่องทำเต้าหู้ จากไต้หวัน โดยจะมี ตัวแทน จากสันติฯ ๔ ท่าน ปฐมฯ ๒ ท่านและศีรษะฯ ๒ ท่าน เดินทางไปเรียน กระบวนการผลิต และการใช้เครื่อง ที่ไต้หวัน ซึ่งจะออกเดินทางวันที่ ๑๒ มิ.ย.ที่จะถึงนี้ จิ้งหรีดก็ขอให้กำลังใจ อยู่ทางนี้ จะรอหม่ำเต้าหู้ ฝีมือชาวเราฮะ...จี๊ดๆ สนับสนุนผักไร้สารพิษ...ยามนี้มีลูกค้าอย่าง สหกรณ์เลมอนฟาร์ม พัฒนาจำกัด และ โรงอาหาร คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล สนับสนุนซื้อพืชผักไร้สารพิษ จากร้านกู้ดินฟ้า ๑ ซึ่งนำมาจากเครือข่าย หลายต่อหลายที่ เช่น เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษของกลุ่มวังน้ำเขียว, กลุ่มของกำนันกำไร ที่ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา, กลุ่มของไร่ทนเหนื่อย จ.ลพบุรี ของ อ.สมหมาย หนูแดง เป็นต้น ก็ต้องขออนุโมทนา กับทุกๆ ฝ่าย... จี๊ดๆ บอกเล่าเก้าสิบ...โครงการอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ หลักสูตรสัจธรรมชีวิต ที่ชุมชนปฐมอโศก ร่วมกับ ธ.ก.ส. ได้จัดอบรมมาแล้ว ๑๑ รุ่น เป็นเกษตรกรจาก นครปฐม, ปราจีนบุรี และ ราชบุรี เกือบทุกรุ่น จะมีสมาชิกแห่งอื่น มาร่วม สมทบด้วย ถึงแม้หน่วยอบรมของปฐมอโศก จะเด่นมากในเรื่อง ผู้เข้าอบรม ที่อยู่อบรม จนครบหลักสูตร แต่ละรุ่นเหลือ จำนวนน้อยมาก แต่จากการประเมินผล ก็เป็นที่น่าพอใจ เกษตรกร สามารถเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิตของตัวเองได้ บางแห่ง สามารถรวมกลุ่มพัฒนาทั้งอาชีพ และ คุณธรรม อย่างเห็นเป็นรูปธรรม มีการติดต่อกับชุมชนปฐมอโศก อย่างสม่ำเสมอ เกษตรกรบางท่าน ได้พัฒนาตัว มาเป็นวิทยากร ของการอบรม หลักสูตรนี้แล้ว ในระหว่างการอบรม ได้เปิดโอกาสให้ เจ้าหน้าที่.ธ.ก.ส. และเกษตรกร จัดรายการวิทยุ เพื่อประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชน ได้ทราบ ปฐมอโศกได้จัดรวมรุ่นจากรุ่น ๑-๗ บรรยากาศอบอุ่นมาก เสมือนญาติพี่น้องมาพบกัน มีการพูดคุย แลกเปลี่ยน ประสบการณ์ เอาผลงาน ต่างๆมานำเสนอ และเปิดโอกาสให้สมาชิก ได้ศึกษา เจาะลึก ฐานงานที่สนใจ และ ยังไม่ชัดเจน ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สมาชิกได้เชื่อมโยงกันระหว่างรุ่น ทำให้ความสัมพันธ์ กว้างขึ้น ช่วยตอกย้ำ ให้มีความชัดเจนในเป้าหมาย และ มีทิศทาง ที่จะช่วยกัน กอบกู้ เกษตรไร้สารพิษ ให้เกิดขึ้นในเมืองไทย ในด้านหน่วยอบรม ได้มีการพัฒนาเพิ่มคุณภาพของรายการให้สมบูรณ์มากขึ้น ทีมที่ให้อบรม ได้รู้จัก และเพิ่ม ความเป็นพี่ เป็นน้องกัน ชาวชุมชนและเด็กนักเรียน ได้เวียนมารุ่นชละ ๑ ชั้น มาพูดคุยกับ เกษตรกร เพื่อให้เห็นสังคม และ แนวชีวิต ของมนุษย์ทวนกระแส (แนวทางสังคมชุมชนของพุทธ) ช่วยพัฒนาเด็ก และ ผู้ใหญ่ ให้มีความอาจหาญแกล้วกล้า เข้าหา มวลชนมากขึ้น งานการอบรมช่วยให้สังคมเราชาวอโศก พัฒนาจิตวิญญาณ เพิ่มฐาน ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา อย่างแท้จริง ต้องขอขอบคุณ ทางปฐมอโศก ที่ส่งข่าวคราวกันเข้ามา สิ่งเหล่านี้ล่ะฮะ ที่จะสื่อสัมพันธ์ และจะเป็นกำลังใจ ให้กันและกัน ไม่ว่างานจะยาก จะหนักอย่างไร พวกเราทุกๆที่ ก็ยังฝ่าฟัน สาธุ....จี๊ดๆ ฝากชื่นชม...มีญาติธรรมฝากชมคอลัมน์ "ศูนย์สุขภาพ" จิ้งหรีดเลยถือโอกาส ส่งผ่านคำชมต่อไป ถึงผู้เขียน (กิ่งธรรม) ที่นำเสนอเรื่องราว ที่มีประโยชน์ ได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะการเขียนขมวดปม ธรรมะทิ้งท้ายน่ะ จิ้งหรีดล่ะ ชอบจริงๆ...จี๊ดๆ อนุโมทนา...ได้ฟังมาว่า ต่อแต่นี้ไปอโศกจะมี ๖ พาณิชย์แล้วล่ะฮะ ก็เพราะการประชุมพาณิชย์อโศก งวดล่าสุด (๒๖ พ.ค.๔๕) "ธรรมทัศน์สมาคม" ได้สมัครเข้าร่วมอุดมการณ์แล้ว ต่อแต่นี้ไปต้องเรียกว่า การประชุม ๖ พาณิชย์แล้วซิฮะ สาธุ กับน้องใหม่ของเราด้วย...จี๊ดๆ ขโม้ย ขโมย...เกิดเป็นขโมยนี่ จิ้งหรีดว่าช่างไม่รู้จักคิดเอาเสียจริงๆ ก็ขนาดวันพระใหญ่อย่าง วันวิสาขบูชา ที่ผ่านมา (๒๖ พ.ค.) คนทั้งบ้านทั้งเมือง เขาทำบุญสุนทานกัน แต่ไฉนมีขโมย มาดอดจัดการ กับ บจ.แด่ชีวิต แล้วแถมด้วยร้านกู้ดินฟ้า ๑ โชคดีของขโมยที่งัดโต๊ะหวังเอาแต่เงิน จึงไม่ได้อะไรไป อย่างอื่นเลยอยู่ในสภาพเรียบร้อย (ยกเว้นโต๊ะ แคชเชียร์ ที่เสียสภาพ ไปบ้าง) และได้ข่าวจากทีมช่างของศาลาวิหาร แจ้งว่า เมื่อวันที่ ๒๔ พ.ค. ก่อนหน้านั้น เวลาประมาณ ๕ โมงเย็น ขณะทีมงานพัก ทานข้าวกันนั้น ได้วางหินเจียไว้ที่บริเวณนั่งร้าน เมื่อทานข้าวกลับมา ปรากฏว่า หินเจีย ได้อัตรธาน หายไปโดยไร้ร่องรอย ก็ขอฝากๆกันไว้ด้วยว่า ให้ชาวเราร่วมด้วย ช่วยกันสอดส่อง ดูแลกันและกัน ด้วยนะฮะ เพราะขโมยขโจรสมัยนี้ ไม่รู้ใจเขา ทำด้วยอะไร...จี๊ดๆ กสบ....ย่อมาจาก คณะกรรมการตรวจสอบสินค้าชุมชน รวมตัวกันขึ้นตั้งแต่งาน ปลุกเสก '๔๕ คณะทำงาน ประกอบด้วย ตัวแทน จากพาณิชย์อโศกต่างๆ, ทีมงาน ต.อ. และที่ปรึกษา เช่น คุณธำรงค์ แสงสุริยจันทร์ คุณสมพงษ์ ฟังเจริญจิตต์ คุณหนึ่งพุทธ วิมุตตินันท์ คุณร้อยแจ้ง จนดีจริง เป็นต้น วัตถุประสงค์ในการทำงานคือ ๑.จัดลำดับความนิยมของสินค้าของชุมชนชาวอโศก ๒.ส่งเสริมและเพิ่มมาตรฐานสินค้าของชุมชนชาวอโศก ๓.แนะนำเปรียบเทียบต้นทุนการผลิต และการคิดราคาสินค้าแบบบุญนิยม ๔.แนะนำการทำบรรจุภัณฑ์ ๕.ช่วยประสานจัดหาแหล่งเงินทุนทีมงานตั้งใจจะเจาะงานไปทีละชิ้น โดยงานชิ้นแรกที่ทีม กสบ. คาดว่า จะให้บริการก่อน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทแชมพู ที่ชุมชนผลิตอยู่ (ย้ำว่า สินค้าของชุมชนชาวอโศกนะฮะ) นัดประชุมครั้งต่อไป ในงาน อโศกรำลึก ที่จะถึงนี้ หากมีข้อมูลเพิ่มเติมอย่างไร หากจิ้งหรีดรู้ จะนำมาขยาย ให้ฟังต่อฮะ...จี๊ดๆ ตึกสันติมา...มีการยกเรื่องการสร้างตึกสันติมา (ซึ่งจะเป็นอาคารพาณิชย์ที่ดำเนินการแบบ บุญนิยม) ขึ้นมาทบทวน โดยมีมติให้ทุกพาณิชย์ของชาวอโศกได้ร่วมทุน เพื่อรวมกับทุนเดิมที่มีอยู่ หากเงินเพียงพอ ก็จะดำเนินการ สร้างตึกสันติมา บริเวณลานจอดรถด้านหลัง บจ.พลังบุญ ต่อไป ซึ่งในการประชุม ๖ พาณิชย์ ครั้งต่อไป คงจะได้มีการสรุปผล ความคืบหน้า ในเรื่องนี้กันต่อ...จี๊ดๆ รำลึกถึง...จิ้งหรีดได้เห็นหนังสือที่ กลุ่มญาติธรรมกลุ่มหนึ่ง รวมทุนกันจัดพิมพ์ชื่อ "ธรรมานุสรณ์ แด่นักรบ กองทัพธรรม สมณะกระบี่บุญ มนาโป มหาเถระ..." จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม เพื่อแจกจ่าย แก่ญาติธรรม ในงานอโศกรำลึก '๔๕ ที่สันติอโศก จิ้งหรีดนั้นเห็น และได้อ่านแล้ว ให้รู้สึกอนุโมทนา และขอร่วมศรัทธา รำลึกถึง สมณะผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ นาม กระบี่บุญ มนาโป ณ ที่นี่อีกครั้ง...จี๊ดๆ ฝากความห่วงใย...ตอนนี้ขอให้พี่ๆน้องๆชาวเราดูแลสุขภาพด้วย โดยเฉพาะตอนนี้ โรคไข้เลือดออก ระบาดหนัก ขอให้ระมัดระวังด้วยนะฮะ จิ้งหรีดเป็นห่วง...จี๊ดๆๆ... ก่อนจากขอจบด้วยคติธรรม-คำสอนของพ่อท่านที่ว่า พบกันใหม่ฉบับหน้า จิ้งหรีด |
||
ลุงห่วงเป็นญาติธรรมเก่าแก่ของสีมาอโศก มีอุดมการณ์ตั้งแต่วัยหนุ่มจนถึงปัจจุบัน เป็นผู้ปิดทองหลังพระ มานาน ชีวิตน่าสนใจ ทีเดียวค่ะ พรรคสังคมนิยม เป็นครูสอบเลื่อนวิทยฐานะเป็นชั้นตรีบรรจุไปอยู่ลำปาง ต่อจากนั้น ย้ายเข้ากระทรวงศึกษาฯ แผนกโต้ตอบ กองกลาง ๑๖ ปี แล้วไปเป็นเลขานุการ คณะศึกษาศาสตร์ ม.ศิลปากร ลาออกจากราชการ เมื่ออายุ ๕๐ กว่าๆ ก่อนลาออก ไปร่วมทำงานกับ พรรคสังคมนิยม เห็นว่านโยบายพรรคดี อุดมการณ์คือ ช่วยมนุษยชาติ เฉลี่ยความเป็นธรรม ไม่ให้คนอดอยาก ๑๖ ต.ค. ๑๙ ผมข้องใจอยู่ตลอดเวลาว่าศีลข้อ ๑ ห้ามฆ่าสัตว์ แล้วทำไมต้องฆ่ากันเอง นโยบายยึดอำนาจรัฐ ด้วยอาวุธปืน ผมไม่เห็นด้วย แต่ตอนนั้นไม่มีทางเลือก แต่ไม่เคยปะทะกัน เพราะผมสนับสนุน เรื่องการข่าว อโศกเป็นคอมมิวนิสต์ ผู้มีอุปการคุณต่อสีมาฯ สุขแบบโลกุตระ เมื่อมีผัสสะก็เอาธรรมะไปแก้ไข อันไหนไม่เป็นธรรมะก็ปล่อยวาง จะเน้นว่าทำอย่างไร จะมาทำงาน สร้างคนได้ ก็เอาธรรมะ ไปแก้ ว่าทางไหนไปโลกุตระก็เอาทางนั้น จิตเราก็รู้สึกว่าพอจะไปได้ ตอนนี้กำลังสนใจ หัวข้อธรรม เพื่อเป็นแนวทาง การปฏิบัติ ต่อไป ทุกวันนี้ถือศีล ๘ ทานอาหาร ๒ มื้อ สุขภาพพออาศัย แบ่งเวลามาช่วยงานอบรม ธ.ก.ส.ด้วย และไปช่วยงาน ที่นาด้วย ตายเรื่องธรรมดา ไม่ห่วงอะไร แต่คิดว่าจะทดแทนพระพุทธศาสนาหรือพ่อท่าน-หมู่กลุ่มนี้ได้อย่างไร ที่เราได้นำมาประพฤติ ปฏิบัติแล้ว เราสบายใจขึ้น ก็อยากจะทำในจุดนี้ ฝากสุดท้าย หัวใจของลุงเต็มไปด้วย ความกตัญญูกตเวทีต่อศาสนา มีสิ่งใดที่ลุงจะร่วมด้วยช่วยสร้างสังคม ให้ดีขึ้น ลุงไม่ละเลย พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ลักษณะของคนดี คือคนที่มีความกตัญญูกตเวที ซึ่งเป็นบุคคล ที่หาได้ยาก แล้วท่านล่ะ... ศาสนา ทำให้ท่านมีความสงบสุข ตราบจนทุกวันนี้ ท่านเคยตอบแทน ศาสนา บ้างหรือไม่... บุญนำพา รายงาน |
||
พบกันอีกแล้วค่ะ งวดนี้ "ชวนชิม" มีอาหารสมุนไพร "ซุปกระเทียม" มาฝากให้ลองทำดู เผื่อใครอยากเปลี่ยน บรรยากาศ จากซุปฟักทอง, แครอท, งา กันบ้าง ขึ้นชื่อว่า "กระเทียม" ใครๆก็รู้ว่า สารในกระเทียมนั้นมากมายด้วยคุณค่า เพราะช่วยป้องกันโรคหัวใจ มะเร็ง ทั้งยังช่วยลด คอเลสเตอรอล ในเลือดด้วย ซุปกระเทียม ซุปข้นจากเนื้อของกระเทียมจีนต้มสุก เนื้อกระเทียมเมื่อสุกจะคล้ายกัน เมื่อปั่นเคี่ยวจะข้น ซุปกระเทียมไทยบด ในขั้นตอนสุดท้าย วิธีเสิร์ฟ อุ่นซุปกระเทียมให้ร้อนใส่ถ้วย ใส่ชิ้นขนมปังงา เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก ทำโดยเอาส่วนผสมงาดำ ทาขนมปังอบ จนกรอบ ทำเก็บใส่ขวดโหลไว้ได้ รับประทานทันที ขนมปังงาดำ จะคงความกรอบ ซุปกระเทียม (สำหรับ ๒ คนรับประทาน) เครื่องปรุง น้ำสต็อกผัก ขนมปังงาดำ วิธีทำ ๒.ทำขนมปังงาดำโดยผสมงาดำ กระเทียม มาการีน เข้าด้วยกัน หั่นขนมปังเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาด ๑x๑ ซ.ม. เคล้ามาการีน ที่ผสมไว้ให้ทั่ว นำไปอบให้เหลืองหอม และแห้งกรอบ ๓.ปอกเปลือกกระเทียมจีน ล้างใส่ลงในหม้อน้ำสต็อก ตั้งไฟกลางให้เดือด ลดไฟอ่อนต้มต่อ พอกระเทียมสุก นุ่มยกลง ทิ้งไว้ให้อุ่น ปั่นส่วนผสมเข้าด้วยกันให้ละเอียด เทใส่กระทะแบบเทปล่อน ตั้งไฟอ่อนอีกครั้ง ให้เดือด ๔.ใส่นมสด เคี่ยวให้ข้นเล็กน้อย ปิดไฟ ใส่กระเทียมสับ ยกลง ตักใส่ถ้วยซุป ใส่ขนมปังงาดำชิ้นเล็ก รับประทาน ร้อนๆ (จากครัว: นิตยสารอาหารและวัฒนธรรม พฤษภาคม ๒๕๔๔) |
||
-แด่ธรรม คนึงสัตย์ธรรม- |
||
ประธานชุมชนภูผาฟ้าน้ำ' ๔๕ ศาลาเสียงธรรม... เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ณ ศาลาเสียงธรรม พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ มีการประชุม คณะกรรมการ ชุมชนภูผาฟ้าน้ำ ชุดใหม่ ที่ทางชุมชนได้เลือก เมื่อวันพุธที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๔๕ จำนวน ๑๐ คน โดยกรรมการ ชุดใหม่ที่ได้รับคัดเลือก เป็นชาวชุมชนฯ ๘ คน และตัวแทนจาก ชมร.เชียงใหม่ และ ลานนาอโศก แห่งละ ๑ คน การประชุมคณะกรรมการชุมชนภูผาฟ้าน้ำ ชุดใหม่ในครั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติเลือก นายภูฟ้า แพงค่าอโศก เป็นประธานชุมชน น.ส.เทียมดิน เป็นเลขานุการ และนายทองใบ เป็นเหรัญญิก |
||