ฉบับที่ 185 ปักษ์หลัง 16-30 มิถุนายน 2545

[01] บทนำข่าวอโศก:จะโทษใครดี ?
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "ท่องไปกับพ่อฯ ตอนจบ"
[03] เมื่อตลาดบุญนิยม รุก ทุนนิยม กับตลาดไร้สารพิษ สันติอโศก
[04] จับกระแส ตอ.
[05] กสิกรรมธรรมชาติ
[06] สกู๊ปพิเศษ: งานโฮมไทวัง และงานอโศกรำลึก
[07] รายการวิถีธรรม ถ่ายทำสารคดีที่ สปป.ลาว

[08] ศูนย์สุขภาพ: การกดจุดเพื่อสุขภาพ
[09] ชายงามรายปักษ์ นายแก้วมูล เภตรา
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] ข่าว:คณะครู สปอ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ดูงานด้าน การป้องกันยาเสพติด และการฝึกอาชีพให้กับนักเรียน
[12] บัวมหัศจรรย์
[13] บทกวีวิถีธรรม: คนน่าเบื่อ
[14] ข่าว: แฉศัตรูศาสนาคืออำนาจกับเงินตรา
[15] : นักเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก ร่วมทัศนศึกษาเรียนรู้โลกภายนอกอย่างใช้สติปัญญา

[16]



จะโทษใครดี ?

สถานภาพของครูในปัจจุบัน มีความตกต่ำกว่าครูสมัยก่อนโดยภาพรวม ทั้งนี้ก็เพราะ ครูไม่มีเวลาให้เด็ก เพราะมุ่งเรื่องส่วนตัว มากกว่าส่วนรวม เช่นเอาอาชีพ เสริมรายได้ตัวเอง เป็นอาชีพหลัก เช่น ทำไร่ ทำนา ค้าขาย ฯลฯ จนไม่มีเวลา ให้ความรู้กับเด็ก

นอกจากจะไม่มีเวลาให้ความรู้แก่เด็กแล้ว ยังไม่มีเวลาคิดว่า จะสอนอะไร เด็กที่มีปัญหาคนนั้น จะแก้ไขอย่างไร ไม่มีเวลาศึกษา ค้นคว้าตลอดเวลา เพราะไม่ได้ใส่ใจต่อการสอน มัวหมกมุ่นกับกิจการของตน นักเรียนก็เลยไม่ได้รับ การพัฒนา อย่างเต็มที่ ไปโรงเรียน ก็สอนไป ตามหน้าที่ พอให้เสร็จไปวันๆหนึ่ง แต่จิตใจและสมอง อยู่กับงานส่วนตัว

เมื่อวิเคราะห์ถึงสถานภาพของครูทางโลกที่ตกต่ำลง จนเป็นสาเหตุให้นักเรียน มีปัญหา ขาดการดูแลเอาใจใส่ จนกลายเป็นนักเลง นักรัก นักเที่ยว นักเสพย์ยา เช่น ยกพวกตีกัน หาคู่ ทำแง เสเพล ติดยาเสพย์ติด เป็นต้น

ก็ต้องมามองดูครูสัมมาสิกขา ของเราว่า เป็นอย่างเขาไหม แม้เราจะไม่ได้ทำงาน เพื่อหารายได้เสริม เพราะเราทำงาน ด้วยความ เสียสละ ไม่มีรายได้ แต่เราทำอาชีพครู เป็นหลักหรือเปล่า แม้เราจะสอนแตกต่าง จากครูทางโลก ที่มุ่งความรู้ ความเก่ง แต่เรามุ่ง จิตวิญญาณ ความดีนั้น เราได้ให้ความสำคัญ กับอาชีพของเรามากน้อยแค่ไหน

ถ้าเรามุ่งแต่งานหรือกิจการส่วนตัว จนไม่มีเวลาแม้กระทั่งความคิดที่จะพัฒนาสัมมาทิฏฐิ หรือพัฒนา จิตวิญญาณเด็ก แต่กลับมีเวลา ทะเลาะกัน ให้เด็กดู หากเด็กของเรากระด้าง ก้าวร้าว ขาดนิสัยเจียมตน ริรักในวัยเรียน ชอบเที่ยว ไม่เอาการเอางาน เป็นต้น อย่างนี้ละก็ น่าจะทบทวนดูว่า เราจะโทษใครดี ?

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ท่องไปกับพ่อฯ (ตอนจบ)

ฉบับนี้ เรื่องราวของ "ท่องไปกับพ่อฯ" โดยปัจฉาฯ เฉพาะกิจ ได้ดำเนินมาถึงตอนสุดท้ายแล้ว ทั้งผู้เขียน และทีมงาน ข่าวอโศก ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกๆท่านที่ได้อ่านแล้ว คงจะได้ประโยชน์ โดยถ้วนทั่วกัน -ทีมข่าวพิเศษ-

วันจันทร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕

ช่วงบิณฑบาต ภันเตหินกลั่น นมวังโส ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ขบวนการกลุ่มไปถึงไหนแล้ว ไม่คิดว่าภันเต ท่านจะสนใจ เรื่องนี้ จึงตอบว่า ยังไม่ถึงไหนเลยครับ การทำงานกับคนนี่ยากมาก กับนักเรียนนี่ไม่เท่าไหร่ แต่กับครูนี่ยากมาก ถ้าเปรียบกับ การก่อสร้าง ตอนนี้ก็อยู่ในขั้น เทพื้นเท่านั้นเอง ยังไม่มีรูปธรรม ที่ชัดเจน

วันนี้ลองคิดว่าระหว่างการทำงานกับแวดวงนักเรียนกับการติดตามพ่อท่าน จะเลือกอันไหนดี!

คิดว่าการติดตามพ่อท่านก็มีส่วนช่วยนักเรียนทางอ้อม เพราะสิ่งที่พ่อท่านทำอยู่ส่วนหนึ่ง ก็เพื่อเด็กๆ อยู่แล้ว

การอยู่ใกล้พ่อท่านก็เหมือนการได้คบบัณฑิตผู้มีปัญญา มีความรอบรู้ ท่านเป็นแบบอย่างของผู้ขยัน เบิกบาน ทำงานไม่รู้ว่า เหนื่อยหรือไม่เหนื่อย อยู่ใกล้ท่าน ได้รู้ได้ฟัง ในหลายสิ่ง ที่ไม่เคยฟัง ทำให้มีไฟมีพลัง ที่จะปฏิบัติธรรม ลดละกิเลส ให้ยิ่งๆขึ้น

ส่วนการอยู่กับนักเรียนก็เหมือนการเลี้ยงลูกอ่อน มีเรื่องราว มีปัญหา มีผัสสะมากมาย เป็นตัวสะท้อน ให้รู้จักอัตตา มานะ ราคะ โมหะของตัวเอง ได้รู้ ได้เห็นตัวตนของตน และพยายามปฏิบัติ ลดละกิเลสลงไป การได้ช่วยเด็ก ก็เป็นประโยชน์เขา ได้ลดละ กิเลสในตัวเรา ก็เป็นประโยชน์ตน ถามตัวเอง ตอบตัวเองว่า มีโอกาสติดตามพ่อท่าน ก็เหมือนมาประจุไฟ ให้แรงขึ้น แล้วเอาแรง เอาพลังนั้น ไปทำงานต่อ

ข้อบกพร่องของตนเองเห็นได้ชัดในเวลาที่ผ่านมา คือ ยังนิ่งไม่พอ ยังสงบไม่พอ เย็นไม่พอ เมตตาไม่พอ ที่จะทำงานได้ดี ตั้งใจว่า กลับไปครั้งนี้ เป็นการไปเริ่มต้นใหม่ ฝึกจิตใจให้นิ่ง - สงบ - เย็น - เมตตา - อุเบกขา ให้มากพอที่จะทำงานกับคน

คนที่ดิ้น-ซัดส่าย-เร่าร้อน-เอาแต่ใจ-ฝึกตัวเราจากเขาให้ได้ และช่วยเขาให้ดี.

ปัจฉาฯเฉพาะกิจ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เมื่อ "บุญนิยม"รุก "ทุนนิยม"
กับตลาดไร้สารพิษของสันติอโศก ใหญ่ที่สุดในประเทศ

มีคำกล่าวว่า คำว่า "บุญนิยม" ของ "สมณะโพธิรักษ์" นั้นเกิดขึ้นมานมนานแล้ว นานตั้งแต่ก่อนจะเกิดเรื่อง "กรณีสันติอโศก" เสียอีก แต่ที่เริ่มมาเห็น เป็นรูปธรรมชัดเจน ก็คือในปี ๒๕๒๖ และการเกิดชุมชน "สันติอโศก" ในกรุงเทพฯ จนกระจายไป ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งสมาชิกในชุมชน "บุญนิยม" อันเป็นชุมชนใหม่ ล้วนเคยเป็นสาวกของ "ทุนนิยม" มาแล้ว ทั้งสิ้น

ล่าสุดเมื่อต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา "ชาวสันติอโศก" ได้ร่วมกันเปิดตลาด "บุญนิยม" ขนาดพื้นที่ ๔ ไร่ในใจกลางกรุงเทพฯ นับว่าเป็นตลาด ปลอดสารพิษ ที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศ และเท่ากับว่า เป็นการประกาศ "รุก" คืบสวนกระแส "ทุนนิยม" อันเป็น "กระแสหลัก" ในปัจจุบัน เพราะตลาดดังกล่าวนี้ ขายสินค้า ผลผลิต ทางการเกษตร ที่มีคุณภาพ ในราคาต่ำกว่า ท้องตลาด อื่นๆ เป็นการคืนกำไรให้สังคม

เกือบ ๓๐ ปีที่ชุมชน "บุญนิยม" ค่อยๆเติบโตขึ้น สมาชิกในชุมชนมีตั้งแต่ เด็กๆ จนไปถึงผู้ใหญ่ คนในชุมชน มีตั้งแต่ฆราวาส จนเป็น สมณะ (นักบวช) และทุกคน ต่างประกอบอาชีพ ทำมาหากิน

เมื่อก่อนสังคมเมิน "สมณะโพธิรักษ์" และชาวสันติอโศก ที่หันมาใช้ชีวิตตาม แนวทางศาสนา หันกลับมาฟื้นฟู เกษตรกรรม ทอผ้า สมุนไพร มีความเป็นอยู่เรียบง่าย และสนับสนุนการดำรงชีพแบบไทยๆ ที่เคย เป็นรากวิถีไทย แต่ปัจจุบัน "เทรน" วิถีชีวิต แบบทางเลือก ของ "สันติอโศก" ได้รับการยอมรับ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็น อาหารมังสวิรัติ ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร พืชผัก ปลอดสารพิษ แต่ถ้าพูดถึง วิถีชีวิตแบบ "สันติอโศก" สังคมแม้จะยอมรับได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด เหมือนกับที่ "สมณะโพธิรักษ์" พูดไว้ว่า

"เมื่อก่อนเขาเกลียดเราจะตาย เดี๋ยวนี้เห็นไหมสิ่งที่พวกเราทำ เขาก็หันมายอมรับ เข้าทำนองเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหล กินน้ำแกง"

การยอมรับ "ทางเลือก" ทางใหม่ ของสังคมยุคทุนนิยมที่หยิบยื่นมาจากสังคม"บุญนิยม" ของสันติอโศก ไม่ใช่ของใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ โลกก็เคยฮือฮากับ "ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว" ของฟูกูโอกะ หรือเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ ของเอินสท์ ชูมากเกอร์ หรือแม้แต่ทฤษฎี เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ที่พยายามกลับเข้ามาหา "ราก" เดิมของสังคม ที่ไม่ยอมจำนน ต่อระบบทุนนิยม เพียงประการเดียว

"จื้งเซี่ยงผ่าซือ" พระจีนชาวไต้หวัน ที่เข้ามาทำวิจัย ความสำเร็จของ "ชุมชนสันติอโศก" และได้นำเสนอ ต่อการประชุม พุทธศาสนา ที่ไต้หวัน ได้กล่าวว่า "ท่ามกลางระบบเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยทุนนิยมเสรี อย่างสุดขั้ว ระบบเศรษฐกิจ แบบบุญนิยม ของสันติอโศก เป็นทางเลือกใหม่ ที่ให้ความหมายกับชีวิต มีลักษณะคล้ายสังคม ในอุดมคติ อย่างยุค พระศรีอาริย์" แต่ "จิ้งเซี่ยงผ่าซือ" ก็ระบุว่า กว่าที่ "สันติอโศก" จะเป็นที่ยอมรับ ของสังคมไทย ก็เลือดตา แทบกระเด็น "พวกเขา ต้องพากเพียร ฝ่าฝันอุปสรรค คือ ความระแวง สงสัย ความเห็นที่ต่างกัน ...จนเมื่อมวลหมู่ ของชาวอโศก เพิ่มมากขึ้น ทั้งด้าน คุณภาพ และปริมาณ พร้อมกับบทบาท การช่วยเหลือสังคม อย่างมีประสิทธิภาพ สูงขึ้นเรื่อยๆ เสียงต่อต้าน ก็ค่อยๆจางไป"

ทั้ง "จิ้งเซี่ยงผ่าซือ" และ "โพธิรักษ์" ต่างชำแหละระบบ "ทุนนิยม" ว่าเป็นอวิชชา ที่กระตุ้นให้คนเกิดกิเลส กามคุณ ลาภ ยศ สรรเสริญ จะได้แห่กันมาเสพ "สินค้า" ที่ระบบทุนนิยมสร้างขึ้น และยิ่งไปกระตุ้น "กิเลส" ก็ยิ่งทำให้จิตใจของคน ไม่เคยสงบ

ส่วนมาเรีย เลน่า ปริญญาเอกด้านศาสนาเปรียบเทียบ ชาวฟินแลนด์ ได้เข้ามาศึกษาวิถีชีวิต "บุญนิยม" เป็นเวลาเกือบ ๒ ปี และ ได้เดินทาง ไปเยี่ยมชมชุมชน บุญนิยมทั่วประเทศ เธอได้วิพากษ์ เปรียบเทียบให้ฟังว่า

"ในระบบทุนนิยม คนมักจะวัดความสำเร็จในชีวิต ด้วยมาตรฐาน ๔ ประการคือ ความร่ำรวยทางวัตถุ ตำแหน่งทางโลก ชื่อเสียง เกียรติยศ และ ความสำราญทางโลกีย์ พวกทุนนิยม ต้องการบ้านหลังใหญ่ ต้องการเงินมากๆ"

ขณะที่ระบบแบบ "บุญนิยม" กลับเน้นการละกิเลส ไม่เสพ "สินค้า" เกินความจำเป็น หัวใจของบุญนิยม คือการลดละอะไรๆ ที่เกินเลย จากความจำเป็นของชีวิต ซึ่งตรงกับหลักการ "เศรษฐศาตร์เชิงพุทธ" (Buddhist Economics) ของเอินสท์ ชูมากเกอร์ กล่าวถึงลักษณะ เศรษฐศาตร์เชิงพุทธว่า "ตั้งอยู่บนพื้นฐานสันโดษ และอหิงสา"

"สมณะโพธิรักษ์" มองรูปแบบการบริโภคอาหาร "มังสวิรัติ" พืชผักปลอดสารพิษ ใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร แม้สังคม "เสพ" ทางรูปธรรม เท่านั้น และได้รับความแพร่หลาย จนกลายเป็น ธุรกิจขนาดย่อม สร้างรายได้ เป็นกอบเป็นกำ ซึ่งสินค้าเหล่านี้ ก็ไม่ต่างอะไร กับสินค้า ในทุนนิยม ที่ผู้เสพยังเข้าไม่ถึง จิตวิญญาณของ "บุญนิยม"

ตลาดบุญนิยม ไร้สารพิษ กำลังเติบโต ขยายปีกได้สู่ต่างประเทศเพื่อนบ้าน ลาว เขมร และจีน ที่สนใจผลิตภัณฑ์ จากสมุนไพร ขณะที่พืชผัก ผลไม้ไร้สารพิษ ฝรั่งต่างชาติสนใจ เคยสอบถามเข้ามา เพียงแต่อาจจะมีปัญหา ที่มาตรฐาน ISO ของฝรั่งกับ ISO ของบุญนิยม ไม่เหมือนกัน แต่สมณะ โพธิรักษ์บอกว่า ไม่เป็นไร "เทียบกันตัวต่อตัว มาตรฐานของเรา ดีกว่ามาก"

ถึงแม้ว่าท่ามกลางการดิ้นรน เพื่อแสวงหาหนทางชีวิต ที่ดีกว่าเศรษฐกิจ "ทุนนิยม" จะมีแนวคิดของ "ฟูกูโอกะ" "ทฤษฎีใหม่" หรือ "เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ" แต่ "บุญนิยม" น้องใหม่ล่าสุดของวงการ ที่ถูกชูขึ้นมา ให้เป็นทางเลือกใหม่ ของสังคม โดยให้คน หันกลับมา มองหาแนวคิด การดำเนินชีวิต บนพื้นฐานของหลัก "ปรัญชา" และ "ศาสนา" โดยไม่หลบลี้ หนีสังคม ไปแสวงหา ความหลุดพ้น เพียงลำพัง ก็ได้ชี้ให้เห็นว่า "อารามศักดิ์สิทธิ์" ในการบำเพ็ญเพียร เพื่อบรรลุธรรม ตามแนวทาง "บุญนิยม" ของ "ชาวสันติอโศก" ไม่ได้มีเพียง การอยู่แค่ในป่า หรือในวัด แต่กลับอยู่ในทุกๆ ที่ของโลก ดังนั้น "ชาวสันติอโศก" จึงถือเอา เวทีโลกเป็น "อารามศักดิ์สิทธิ์" ในการดำเนินชีวิต ตามหลักพระธรรม

งานนี้ใครจะนำไปทำตาม เป็นแบบอย่าง ก็ย่อมได้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์

(จากคอลัมน์ รอบทิศจิตวิญญาณ น.ส.พ.อาทิตย์ วันศุกร์ที่ ๑๔ มิ.ย.๔๕)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


มติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร ต.อ.

คณะกรรมการบริหารต.อ. ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยผลิต ต.อ.ชุมชน ผู้นำชุมชน ร้านค้า ผู้บริโภค ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ปรึกษา และ คณะทำงาน ต.อ.กลาง จำนวน ๑๘ ท่าน ได้เริ่มประชุมครั้งแรก และครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน (งานปลุกเสกฯ) และวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๕ (งานอโศกรำลึก) โดยมีพ่อท่าน เป็นประธาน ที่ประชุม มีมติที่สำคัญ ดังนี้

๑. เรื่องการจดแจ้งผลผลิตของชาวอโศก
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาทบทวน และเห็นชอบ หลักเกณฑ์ การจดแจ้งผลผลิต ของชาวอโศก ซึ่งได้ถือปฏิบัติมา ในปี ๒๕๔๔ และ ให้ถือปฏิบัติในปี ๒๕๔๕ ต่อไป โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

๑.๑ ผลผลิตที่ต้องนำมาจดแจ้ง ต้องจดแจ้งทั้งผลผลิตใหม่และเก่าสำหรับหน่วยผลิตของชุมชน ส่วนญาติธรรม ผู้ผลิตรายย่อย จดแจ้งเฉพา ะผลผลิตใหม่ ที่นำมาขาย ในร้านค้าของชุมชน

๑.๒ ชุมชน คณะกรรมการชุมชน และต.อ.ชุมชน ต้องรับรู้และเห็นชอบต่อสิ่งที่จะผลิต สำหรับผลผลิตของชุมชน ควรใช้วัตถุดิบ ที่มีในชุมชน หรือจาก เครือข่ายใกล้เคียง ที่ควบคุมคุณภาพได้ และก่อนผลิต ต้องสอบถาม ความต้องการ ของร้านค้าด้วย (สำหรับการผลิตส่งร้านค้า ในส่วนกลาง คือ บจ.ขอบคุณ บจ.แด่ชีวิต บจ.พลังบุญ ขณะนี้ มีคณะทำงาน คัดกรองสินค้าชุมชน เพื่อลด ความซ้ำซ้อน ของการผลิตด้วย)

๑.๓ ต้องแจ้งหลักฐานการจดแจ้งให้ร้านค้าทราบก่อนการรับผลผลิตออกจำหน่าย ได้แก่ ใบจดแจ้ง ใบตรวจสอบฉลาก ใบบันทึกผล การตรวจสอบ ทางห้องปฏิบัติการ

๑.๔ การสุ่มตรวจสอบคุณภาพหลังการจำหน่าย ต.อ.ชุมชน และต.อ.กลางจะสุ่มตัวอย่าง ผลผลิตของชุมชน ตรวจสอบคุณภาพ เป็นระยะๆ ส่วนผลผลิต ของญาติธรรม ร้านค้าจะเก็บตัวอย่าง ให้ต.อ.ตรวจ ผลผลิต ที่ผ่านการตรวจสอบ หลังการจดแจ้ง ประมาณ ๖ เดือน จะได้รับการพิจารณา ให้เครื่องหมาย รับรองคุณภาพ จากต.อ.

๑.๕ การประชาสัมพันธ์ผลผลิต ที่ผ่านการจดแจ้ง จะลงในคอลัมน์หน้าต่างต.อ.ในหนังสือสารอโศก และคอลัมน์ จับกระแสต.อ. ใน น.ส.พ.ข่าวอโศก เพื่อแจ้งให้ผู้บริโภคทราบ
หมายเหตุ รายละเอียดเส้นทางเดินสู่ระบบการรับรองผลผลิต ของชาวอโศก ดูได้จากหนังสือสารอโศก ฉบับที่ ๒๔๔ เดือนม.ค.๔๕ หรือ สอบถาม รายละเอียด ได้ที่คณะทำงาน ต.อ.กลาง โทร.๐๒-๓๗๔-๙๕๗๐,๐๒-๓๗๔-๕๒๓๐

๒. เรื่องการอนุญาตให้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ ยาจากสมุนไพร
คณะกรรมการฯ มีมติให้ ผลิตภัณฑ์ยาจากสมุนไพร ที่ยังไม่มีเลขทะเบียนยาของ อย. อนุโลมให้จำหน่าย ในร้านค้าชุมชนได้ โดยต้องผ่าน การจดแจ้ง การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และผ่านการรับรอง จาก ต.อ.กลาง ก่อน ยกเว้น ร้านค้าที่อยู่ในพื้นที่ ของสำนักงาน สาธารณสุขจังหวัด ที่มีการเข้มงวด ไม่มีการอนุโลม ก็ให้ปฏิบัติ ตามระเบียบราชการ และขอให้ร้านค้าชุมชน ถือปฏิบัติ ตามนี้ด้วย

๓. เรื่องการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
๓.๑ ไม่ส่งเสริมให้ร้านค้าชุมชนขาย เพราะเป็นสิ่งไม่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน และมีราคาแพงเกินจำเป็น
๓.๒ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักเป็นสินค้านำเข้า จากต่างประเทศ ซึ่งตรงกับ หลักการคัดกรองสินค้า ร้านค้าชุมชนชาวอโศก ที่ว่า หลีกเลี่ยง สินค้าฟุ่มเฟือย และ สินค้าจากต่างประเทศ
๓.๓ ถ้าเห็นว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดี ให้ศึกษาและพัฒนาจากวัตถุดิบ ที่มีในท้องถิ่นของตน
๓.๔ ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ในประเทศ เมื่อจะนำมาขายควรได้รับความเห็นชอบ จากคณะกรรมการชุมชน และ/หรือ ต.อ.กลาง ก่อน

๔. เรื่องการกำหนดราคาเครื่องดื่มน้ำหมักชีวภาพ
คณะกรรมการฯ มีมติให้ คณะทำงาน ต.อ.กลางเข้าไปดูแลเรื่อง ราคาขายเครื่องดื่ม น้ำหมักชีวภาพ ที่นำมาจำหน่าย ในร้านค้า ชุมชน โดยให้ใช้หลักเกณฑ์ การคิดราคาสินค้า ตามมติที่เคยประชุม และกำหนดร่วมกันไว้แล้ว ซึ่งในการนี้ พ่อท่านมีนโยบาย ไม่ให้นำอายุ (ระยะเวลา) ของการหมัก มาคิดเป็นต้นทุน และให้นำไปแจ้ง ในที่ประชุม พาณิชย์บุญนิยม ต่อไป เพื่อขอความร่วมมือ จากร้านค้า ให้ช่วยควบคุมราคาผู้ผลิตด้วย (ขอเอกสาร หลักเกณฑ์การคิดราคา ได้จากต.อ.กลาง หรือ ต.อ.ชุมชน)

อนึ่ง พ่อท่านให้นโยบายเกี่ยวกับ น้ำหมักชีวภาพชนิดบริโภคไว้ ดังนี้
"ขณะนี้จะปฏิเสธเรื่องการบริโภค น้ำหมักฯ ก็ไม่ได้ ใครทดลองแล้วได้ผลอย่างไร ดื่มอย่างไร เข้มข้นมาก น้อยแค่ไหน ควรทำวิจัย ทำสถิติ ให้ชัดเจน จะได้เป็นหลักฐาน เป็นข้อมูล สามารถนำมาเสนอ ต่อหน่วยงานทางราชการ เพื่อการวิจัยพัฒนา ต่อไปได้

เรื่องการซื้อขายทำกันมากขึ้น ราคาแพง ก็เป็นความผิดของอาตมาเอง ที่ทำให้ลดความโลภไม่ได้ เพราะมีการ เปรียบเทียบ ราคากับฝรั่ง ก็เลยเกิดการ เข้าข้างตนเอง ขี้โลภ".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ความมหัศจรรย์ของน้ำหมักชีวภาพ

ผมชื่อ นายบุญจันทร์ ต้นศีล อยู่ที่บ้านม่วง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี มีความรู‰แค่ ป.๔ แต่ก่อนผมทำนา ก็ใช้ปุ๋ยเคมี ต้นทุนการผลิตต่อ ๑ ไร่ เฉพาะค่าปุ๋ยอย่างเดียว ๓๓๐ บาท ยังไม่รวมค่าเก็บเกี่ยวและปักดำ ผลผลิตได้น้อย ๒๕๐ กก.ต่อ ๑ ไร่
ปี ๒๕๔๑ เริ่มรู้จักเรื่องของ ปุ๋ยจุลินทรีย์ ก็ลองเอามาทำดู ทดลองในแปลงนา
ปีแรก ลงทุน ๒๐๐ บาท ได้ผลผลิตข้าว ๒๕๐-๓๐๐ กก./ไร่
ปีที่สอง ลงทุน ๑๕๐ บาท ได้ผลผลิตข้าว ๔๐๐ กก./ไร่
ปีที่สาม ลงทุน ๑๐๐ บาท ได้ผลผลิตข้าว ๖๕๐ กก./ไร่
ปีที่สี่ ลงทุน ๕๐ บาท ได้ผลผลิตข้าว ๑,๐๘๐ กก./ไร่

ผมเริ่มจัดเก็บข้อมูลเรื่อง การทำนาว่า ทำไมผลผลิตถึงเพิ่มขึ้น เป็นเพราะปัจจัยอะไร ในระหว่างการปักดำหนึ่งต้น -สองต้น -สามต้น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

การปักดำ ๑ ต้น ใช้เมล็ดข้าว ๑ เมล็ด ๑ ไร่ใช้ต้นกล้า ๒๒,๒๐๐ เมล็ด การปักดำห่างกัน ๓๕-๔๐ ซ.ม. การแตกกอ ต้นเดียว แตกเป็น ๑๒ ต้น ผลผลิต ๑,๐๐๐ กก.ต่อไร่
การปักดำ ๒ ต้น ใช้เมล็ดข้าว ๔๔,๐๐๐ เมล็ด การปักดำห่างกัน ๓๕-๔๐ ซ.ม. การแตกกอแตกเป็น ๑๒-๒๐ ต้น ผลผลิต ๑,๐๔๐ กก.ต่อไร่
การปักดำ ๓ ต้น ใช้เมล็ดข้าว ๖๖,๐๐๐ เมล็ด การปักดำห่างกัน ๓๕-๔๐ ซ.ม. การแตกกอ แตกเป็น ๒๓-๒๕ ต้น (๓๐ ต้นก็มี แต่น้อย) ผลผลิต ๑,๐๘๐ กก.ต่อไร่

ตรงนี้เองผมจึงคิดว่าประสบผลสำเร็จ ๙๐% ซึ่งผมหันมาทำปุ๋ยหมักชีวภาพ ก่อนจะประสบผลสำเร็จได้ขนาดนี้

ขั้นตอนการทำนาก็คือ
หลังฤดูการเก็บเกี่ยว ถ้าเตรียมปุ๋ยไม่ทัน ก็ฉีดพ่นแต่น้ำจุลินทรีย์ คือผสมกากน้ำตาลฉีดพ่นแล้วก็ไถกลบ

ในช่วงเดือนพฤษภาคมก็ทำปุ๋ยเตรียมไว้หว่านลงไปในนา ฉีดพ่นตามด้วย น้ำจุลินทรีย์ แล้วไถกลบ เมื่อเวลาปักดำ ก็ไถดำได้เลย

ถ้านับถึง ๔ ปี ประสบผลสำเร็จแน่นอน แต่ก่อนที่ใช้ปุ๋ยเคมีดินเสื่อมสภาพ จะทำให้ดินตรงนั้น กลับมามีความสมบูรณ์ ต้องไม่เผา เศษหญ้า เศษฟาง

ปีที่ห้าผมคิดจะลงทุน ๒๐ บาท/ไร่ ปีที่หกผมคิดว่า ๑๐ บาท/ไร่ ปีที่เจ็ด ๕ บาท/ไร่ ปีที่แปด จะลงทุน ๒ บาท/ไร่ ก็จะลองทำดู ผลผลิต จะได้มากหรือไม่ ผมว่าอย่างน้อยๆ เศษหญ้าเศษฟาง จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะไถกลบ ไปให้เป็นดิน เราแค่ฉีดพ่น น้ำจุลินทรีย์ อย่างเดียว พวกมูลสัตว์ แกลบ รำ ไม่ต้องใส่เลย เพราะดินน้ำ มีความอุดม สมบูรณ์อยู่แล้ว

ถ้าจะถามว่าเรื่องของ NPK มีเท่าไหร่ ตรงนี้ผมไม่สามารถตอบได้ ตั้งแต่ผมทำปุ๋ยธรรมชาติ แบบใส่แกลบ รำ น้ำจุลินทรีย์ หว่านลงในดิน เมื่อพืชออกมาแล้วงาม ผลผลิตได้ประมาณ ๑,๐๐๐ กก./ไร่

ครับ ทุกคนสามารถจะเลือกแบบไหนก็ได้ ระหว่างปุ๋ยเคมีที่ต้องใช้ทุนเพิ่มขึ้น แต่ผลผลิตต่ำ กับการใช้ปุ๋ยจุลินทรีย์ ทุนจะลดลง ผลผลิตเพิ่มขึ้น

ผมคิดว่าการหันมาทำกสิกรรมไร้สารพิษ เราจะได้รับอาหาร ที่เป็นยาที่แท้จริง.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


งานโฮมไทวังและงานอโศกรำลึก ในปีนี้ พ่อท่านเน้นธรรมะข้อใด และในวัยที่พ่อท่านมีอายุ ย่างเข้าปีที่ ๗๐ ลูกๆ จะมี ส่วนทำให้พ่อท่าน มีอายุยืนยาว และสุขภาพ แข็งแรงได้อย่างไร ลักษณะของ อโศกพันธุ์แท้ มีอะไรบ้าง ทีมข่าวพิเศษ ได้กราบเรียนสัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร มาฝากทุกท่าน เหมือนเดิมค่ะ

.ในวันที่ ๕ มิ.ย.ที่ผ่านมา พ่อท่าน กำลังเดินหน้าย่างเข้าสู่ปีที่ ๗๐ ท่านได้ ข้อคิดอะไร ในช่วงวัยที่จะถึง ๗๐ ปี ของพ่อท่าน บ้างคะ
ในปีนี้ เราได้ข้อคิด เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพกันมาก เพราะมีคุณหมอมาจาก ไร่มะขามเปรี้ยว อายุ ๗๕ ปี พึ่งหายป่วย จากโรคมะเร็ง ในระยะสุดท้าย ซึ่งแม้ คุณหมอ จะป่วยจากการเป็นโรคมะเร็ง ที่ต่อมลูกหมากมาก่อน แต่คุณหมอ ก็มีความคิดว่า จะสามารถ อยู่ไปได้ อีกถึง ๑๕๐ ปี แล้วก็ได้มาพบพ่อท่าน แล้วรู้สึกว่า พ่อท่านเอง น่าจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญ ที่จะอยู่ได้ ยาวนานเหมือนกัน เพราะว่า เขาดูฟันของพ่อท่าน ยังอยู่เต็มครบ ไม่มีการใช้ฟันปลอมเลย ซึ่งดูลักษณะส่วนนี้ ก็เป็นเครื่องชี้ ที่จะบอกถึง ความเป็น ผู้มีอายุ ยืนยาวได้

ก็เลยคิดว่า พ่อท่านน่าจะอยู่กับเรา ได้นานเหมือนกัน โดยลักษณะโครงสร้าง ร่างกายของพ่อท่าน หมอเขาเห็น เขาก็ พยากรณ์ ได้เลยว่า พ่อท่านน่าจะแข็งแรง และมีอายุยืน แล้วคุณหมอก็มาแนะนำ "อ." ต่างๆ ให้พวกเรา ที่จะไม่เอาอาหาร ที่เป็นพิษ เข้าสู่ร่างกาย เป็นต้นว่า เกลือ ของเค็ม ไม่ต้องทานเลยก็ได้ น้ำตาลไม่ทานเลย ก็ยิ่งดี หรือ แม้แต่ผลไม้ รสหวานมากๆ ก็เป็นตัว ที่ทำให้ สุขภาพไม่ดี แล้วคุณหมอ ก็แนะนำว่า การกินอาหารมื้อเดียว จะมีสุขภาพ ดีมาก ถ้าอดไม่ได้ตอนเย็นก็กิน กล้วยน้ำว้า สัก ๒-๓ ลูกก็พอ นี่ก็เป็น ส่วนหนึ่งที่ทำให้อายุยืนยาว โดยไม่เอาของ ที่เป็นพิษ เข้าสู่ร่างกาย แม้น้ำมันก็ถือว่า ถ้าเราพยายาม ลดได้ก็ดี ถ้าจำเป็นต้องใช้ ใช้น้ำมันมะกอกได้ ดีที่สุด หรือน้ำมันอื่นๆ ถ้าจำเป็นต้องใช้ ก็ไม่ควรเอาไปผัด ไปทอด ควรผัด ด้วยน้ำก่อน เมื่อเย็นแล้ว ค่อยเติมน้ำมัน เข้าไปอีกทีหนึ่ง อันนี้ดีที่สุด

นอกจากนั้นแล้ว ก็อารมณ์ที่เป็นพิษ ด้วยการที่พยายาม มองอะไรในแง่ลบ ในมุมร้าย คุณหมอมาแนะนำ ให้พวกเรา พยายามมอง ในแง่บวก มองในแง่ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็จะมีส่วน ที่จะสัมพันธ์ ซึ่งกันและกัน ไม่เอาอาหารที่เป็นพิษ เข้าสู่ร่างกาย ไม่เอาอารมณ์ ที่เป็นพิษเก็บกักเอาไว้ ในร่างกาย แล้วก็สามารถขับเอา สิ่งที่เป็นสารพิษ ออกจากร่างกายได้ด้วย โดยคุณหมอแนะนำว่า ทำได้ด้วยการ เดินออกกำลังกาย และถ้าให้ดีที่สุด ควรเดินในยามเช้า ให้แดดส่องได้ด้วย จะทำให้ โครงสร้าง และกระดูกของเรา เกิดความแข็งแรงขึ้นมา ถ้าเหงื่อออกได้ด้วย ก็เป็นการขับพิษ ออกจากร่างกายได้ ประการหนึ่ง และถ้ายังสามารถ ล้างพิษได้ด้วยการ ใช้ดีท็อกซ์ หรือการสวนออก ด้วยน้ำมะขามเปรี้ยว ด้วยน้ำมะนาว เอาอุจจาระ ที่หมักหมม อยู่ในลำไส้ใหญ่ของเรา ออกมาได้ด้วย ก็จะเรียกได้ว่า ทำภายนอกภายใน ให้ผ่องแผ้วทีเดียว ส่วนนี้ก็จะเป็นส่วน ในการดึง พิษต่างๆ ออกจากร่างกาย ทั้งในเรื่องอาหาร ในเรื่องอารมณ์ ในเรื่องออกกำลังกาย แล้วก็สุดท้าย ก็สวนออก ก็เป็นส่วน ประกอบต่างๆ ที่ทำให้อายุยืน

ส่วนของพ่อท่านเองนั้น ข้อที่ยังไม่ลงตัวก็คือ ในเรื่องของอิริยาบถ ดูเหมือน ว่าพ่อท่านยิ่งอายุมากขึ้น งานที่ต้องใช้สมอง งานที่ต้องนั่ง บริหารอยู่บนโต๊ะ ก็มีมากขึ้น ดังนั้นถ้าลูกๆจะช่วยกันให้พ่อท่านมีอิริยาบถ ได้สมบูรณ์ ก็คือพยายาม ที่จะนิมนต์ ให้พ่อท่าน นั่งให้น้อยๆ หน่อย ตอนนี้ก็มีบางองค์กรของเรา เวลานิมนต์พ่อท่านประชุม ก็จะเอาวาระที่พ่อท่านเอง จะต้องร่วม รับรู้ด้วย ขึ้นมาก่อน เมื่อเสร็จแล้ว ก็จะนิมนต์ พ่อท่านได้เปลี่ยนอิริยาบถ หรือไปพักผ่อน ได้เลย โดยไม่ต้อง อยู่ประชุม ตลอดเวลา ส่วนนี้ก็จะแบ่งเบาได้มาก เพราะว่า งานประชุม ของพ่อท่านก็มาก งานเขียนหนังสือก็มาก งานนั่งบรรยายก็มาก สุดท้าย พ่อท่านเอง ก็มีแต่นั่งกับนั่ง นั่ง ตรงนี้ทำให้ อ.อิริยาบถ ไม่สมดุล ถ้าเราสามารถ ให้พ่อท่าน ไม่ต้องมานั่ง อยู่กับพวกเรา จนเนิ่นนาน ก็คงเป็นส่วนหนึ่ง ที่จะทำให้ พ่อท่าน อายุยืนยาว นานไปกับพวกเรา ได้หลายร้อยปี

. ในงานโฮมไทวังที่ผ่านมา พ่อท่าน เน้นธรรมะเรื่องอะไรบ้างคะ
ปีนี้พ่อท่านเน้นความสำคัญ ในการประสานสัมพันธ์กัน เพราะว่าปีนี้นิสิตม.วช. บางแห่ง ก็มีคนสองวัย ต้องมาอยู่ร่วมกัน มีทั้งวัย คนหนุ่มสาว และ มีทั้งวัยของผู้อายุยาว ในช่วงรายการเอื้อไออุ่น ก็มีปัญหา ที่เด็กๆถามมา ในช่องว่างระหว่าง คนสองวัย จะแก้ปัญหา ได้อย่างไร พ่อท่านได้อธิบายอย่างสำคัญว่า ต่อไปสังคมของชาวอโศก ไม่ควรที่จะยก เอาประเด็นเรื่อง ช่องว่างระหว่างวัย มาทำให้เกิด ปัญหา เพราะว่า ช่องว่างระหว่างวัย เป็นเรื่องทำลายสังคม มานานแล้ว ความจริง การอยู่ร่วมกันในสังคม มันไม่มีช่องว่าง แม้แม่กับลูก จะอายุต่างกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาช่องว่าง ระหว่างวัย แต่อย่างใด แม้ปู่กับหลาน จริงแล้วก็ไม่มีปัญหา ช่องว่างระหว่างวัย ถ้าจะเรียกให้ถูก ควรจะเรียกว่า เป็นความสัมพันธ์ ระหว่างวัย เป็นความประสาน สัมพันธ์ เกื้อกูลกัน ระหว่างวัยนั่นแหละ ถึงจะถูกต้อง ดังนั้น ในสังคมชาวอโศกเรา จะต้องไม่มีเรื่อง ที่เป็นช่องว่าง ระหว่างวัย แต่ควรจะเป็นเรื่องความช่วยเหลือเกื้อกูล ประสานสัมพันธ์กัน ระหว่างวัยนั่นต่างหาก หรือช่องว่าง อย่างอื่น ช่องว่างระหว่าง ฐานะก็ดี ช่องว่าง ระหว่างความคิดก็ดี โดยเฉพาะปัญหา เกี่ยวกับช่องว่าง ทางความคิด นี่แหละ ที่มันจะนำไปสู่ ช่องว่าง ระหว่างวัย ช่องว่าง ระหว่างฐานะ

แม้พวกเราแต่ละคนๆก็จะต้องพยายามรู้เท่าทันความคิดของเรา ที่เป็น อรูปอัตตาก็ตาม เป็นมโนมยอัตตา ก็ตาม โดยมัน จะก่อให้เกิด ความให้ได้ดั่งใจ ให้เป็นอย่างใจของตัวเอง เมื่อคิดอะไร ขึ้นมาแล้ว ก็จะปักมั่น ยึดมั่น ในความคิด ของตัวเรา อย่างรุนแรง สิ่งเหล่านี้ ก็จะก่อให้เกิดปัญหา กำแพงไร้สภาพ หรือ ความเข้ากันไม่ติด หรืออยู่ร่วมกันไม่ได้ เพราะเกิดจาก ช่องว่างทางความคิด ขึ้นมาก่อน วิธีแก้ไขก็คือว่า เราเองต้องพยายาม ที่จะฝึกเก็บความคิดของเราบ้าง (เหตุผล คือความบ้า อัตตา คือความจริง) ซึ่งที่ผ่านๆมา ในสังคม ของชาวอโศก ความไม่อบอุ่น ก็มักจะเกิดจากผู้ใดผู้หนึ่ง ยึดมั่นถือมั่น ในความคิด ของตัวเอง อย่างจัดๆ จนไม่ฟังเสียงใคร จนไม่เอา ด้วยกับใคร เพราะอยากจะทำ ตามใจตัวเองคิด เป็นโรคร้ายที่ร้ายแรง

หากเราช่วยกันลดได้ ไม่หมกมุ่นปักมั่นยึดจัด ในความคิดความเห็น ของตนเอง เอามติของที่ประชุมเป็นใหญ่ มีการปรึกษา หารือกันไว้ อยู่เสมอๆ ในส่วนนี้ก็คงจะแก้ ปัญหาเรื่องช่องว่างระหว่างวัย ระหว่างฐานะ และแม้แต่ความคิดคนละสุดขั้วก็ตาม ก็สามารถ ทำให้ พวกเรา เข้ากันได้ดี

. ชาวอโศกเติบโตขึ้นมากว่า ๓๐ ปีแล้ว ท่านคิดว่าลักษณะของชาวอโศกพันธุ์แท้ น่าจะมีลักษณะอย่างไรคะ
๑. ชาวอโศกเรารวมตัวกันที่แดนอโศก เป็นแห่งแรก การเกิดของพวกเราชาวอโศก ในที่นั้น เราเริ่มต้นกันด้วยสมณะ ๒๑ รูป และ สามเณร ๒ รูป พ่อท่านถือว่าชาวอโศก ของเราเริ่มต้นกันด้วย มงคล ๒๒ ที่เน้นเรื่องคารโวจะ นิวาโตจะ เริ่มต้นกันด้วย ความอ่อนน้อม ถ่อมตนให้มาก ในช่วงแรก ของชาวอโศก พ่อท่านเอง จะกราบลูกๆ ให้เป็นตัวอย่าง ของการฝึกฝน ในการทำตัว ให้เป็นคน อ่อนน้อม ถ่อมตน ดังนั้น ลักษณะของชาวอโศกพันธุ์แท้ ประการที่หนึ่ง ก็ควรจะแสดงออก ให้เห็นถึงรูปธรรม ของความอ่อนน้อม ถ่อมตน อย่างชัดเจน แม้ในงานอโศกรำลึก ครั้งที่ผ่านมา พ่อท่านเอง ก็เน้นเรื่องนี้ไว้มากเช่นกัน

๒. ชาวอโศกพันธุ์แท้ควรมีเอกลักษณ์ ของความไม่เศร้าโศก ไม่ซึมเซา แต่จะเป็นผู้มีความเบิกบานแจ่มใส มัธยัสถ์ สุภาพ สงบ หมดความอยาก สิ้นความเสพย์ และเมื่อตัวเองฝึกปรือ จนอยู่กับความไม่เศร้า ไม่โศกได้แล้ว ก็พยายามเผยแพร่ ความไม่ เศร้าโศก ให้คนอื่นได้มี ได้เป็นอย่างเช่นที่ ตัวเองได้แล้วเช่นกัน

๓. ชาวอโศกพันธุ์แท้ควรจะมีลักษณะของความเป็นคนที่ลดตัวลดตน เป็นคนที่เรียบๆง่ายๆ ไม่ถือตัวถือตน พยายามลดละ ล้างอัตตา ลดความสำคัญ ของตัวตน ของเราลง น้อยลง แต่นับวันๆก็จะให้ความสำคัญ ของส่วนกลาง หรือ ให้ความสำคัญ ของหมู่กลุ่มเป็นหลัก เหมือนพ่อท่าน ที่ให้ย้ายวันอโศกรำลึก ไปวันที่ ๑๐ มิ.ย. โดยไม่ได้ประสงค์ที่จะให้ถือว่า วันเกิดของท่าน เป็นวันสำคัญ แต่อย่างใด

ดังนั้น ชาวอโศกพันธุ์แท้ ก็จะมีการ ฝึกฝนตัวเองไปสู่ความเป็นไท หรือไป ให้ถึงความเป็นอิสรเสรีภาพทั้งกายและใจ ชีวิตของ คนเรา หลงอะไรก็จะเป็นทาส ในสิ่งนั้น หลงบุหรี่ก็เป็นทาสบุหรี่ หลงเหล้าก็เป็นทาสเหล้า หลงการพนัน ก็เป็นทาส การพนัน หลงในเรื่องกาม ก็เป็นทาสกาม แม้แต่เราไม่หลงในสิ่งเหล่านี้แล้ว อบายมุข ก็ดี โลกกามก็ดี หรือโลกธรรมก็ดี แต่ในเรื่อง ของอัตตา ที่ยังเป็นเหตุปัจจัย ให้เราหลงก็ได้ เรียกว่า โอฬาริกอัตตา หรือ อรูปอัตตา ก็ตาม

ดังนั้นคนที่จะพ้นจากการไม่หลง ในสิ่งเหล่านี้ได้ ก็เพราะพยายามที่จะผลักดันตัวเอง เข้ามาเป็น คนส่วนกลาง บริโภค ส่วนกลาง ร่วมกัน (สาธารณโภคี) ชีวิตของคนที่มีความเป็นกลางๆ ได้มากเท่าไหร่ (มัชฌิมา, สัมมา, อรหันต์) ลดความสำคัญ ของตัวเอง ได้มากเท่าไหร่ จนสู่จุดสูญ คนนั้นก็น่าจะได้ ชื่อว่าเป็นอโศกพันธุ์แท้ที่บริบูรณ์ มีความเป็นไทแก่ตัว อย่างสมบูรณ์ และเป็น ชาวอโศก ที่สมบูรณ์ ด้วยความยิ้มแย้ม แจ่มใส ไม่เศร้าโศกอีกต่อไป

วัตถุสิ่งของเราก็ไม่หลงใหล ผ่านมา ได้ระดับหนึ่งแล้ว เหลือแต่ความคิดของเรานี่แหละ หากทะลุทะลวงเจ้า มโนมยอัตตา ลงได้ จัดการส่งมอบ ให้ส่วนกลาง แล้วแต่มติหมู่ พวกเราคงเป็น อโศกพันธุ์แท้ แน่นอน หวังว่าทุกคน คงไปสู่เป้าหมาย ของการหมด อัตตา ในที่สุด.

- ทีมข่าวพิเศษ รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


รายการวิถีธรรม สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ
ถ่ายทำสารคดีที่ สปป.ลาว

เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ มิ.ย.๒๕๔๕ หลังจากท่านจันทร์แสดงปาฐกถาธรรมโปรดญาติโยมในงาน "วันโฮมพลังแผ่นดิน" ที่ชุมชน ดินหนองแดนเหนือ ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เสร็จแล้ว ได้เดินทางต่อ ไปยังประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อถ่ายทำสารคดี รายการวิถีธรรม ซึ่งออกอากาศ ทุกวันอังคารเวลา ๐๕.๓๐ -๐๖.๐๐ น.

ช่วงที่อยู่ในลาว พักค้างที่วัดศรีคุณเวียง (วัดดงเมี่ยง) ๑ คืน ได้รับการต้อนรับ จากท่านเจ้าอาวาส คือ สาธุธรรม เป็นอย่างดี ได้จั่วบุญเพ็ง (สามเณร) เป็นมัคคุเทศก์ นำชมสถานที่สำคัญ ภายในนครเวียงจันทน์ เช่น พระธาตุหลวง อนุสาวรีย์ประตูชัย สภาชาติลาว สะพานท่างอน

บรรยากาศทั่วไปเท่าที่ได้ไปสัมผัสมา ๑ คืน ๒ วัน ผู้คนที่นี่เป็นมิตรกับเราดี ได้ยินเสียงเชียร์ฟุตบอลโลก ดังมาเป็นระยะๆ วันที่ไป เป็นวันที่เกาหลีใต้ แข่งกับสเปนพอดี ตกเย็นจะเห็นผู้คน โดยเฉพาะวัยรุ่นชาวลาว ใส่รองเท้า มาเล่นฟุตบอล (เขาเรียก เตะบาน) ที่สนามหน้าพระธาตุหลวง กันเต็มไปหมด บางคนก็ย้อมผมสีแดง เหมือนดาราฟุตบอล เบียร์ลาวตราหัวเสือ เป๊ปซี่ โคล่า บุหรี่ ขนมกรุบกรอบ ลูกอมชนิดต่างๆ เห็นมีวางขายอยู่ทั่วไป การแต่งกาย ชาวบ้านบางส่วน ยังอนุรักษ์ผ้าซิ่นไว้อยู่ โดยเฉพาะเด็กหญิง เขาแต่งกายด้วยผ้าซิ่น ได้น่าเอ็นดูมาก แต่ก็มีบางส่วน เป็นส่วนน้อย ที่ใส่ชุดวัฒนธรรมตะวันตก ใส่กางเกงยีนส์ โชว์สะดือ แต่ไม่เยอะ เหมือนบางประเทศ

รถยนต์วิ่งเลนขวา พวงมาลัยคนขับอยู่ด้านซ้าย ตรงข้ามกับการจราจรในไทย ถนนหนทาง แม้ไม่กว้างใหญ่ เหมือนเรา แต่เขาก็ไม่มีรถติด เมื่อถามชื่อ ก็ยังเป็นลาวอยู่ เช่น แสงจันทร์ บัวจันทร์ ดำแดง ผาย บุญเพ็ง ตัวอักษร ก็พออ่านออก คล้ายๆ อักษรไทย ภาษาก็พูดกันรู้เรื่อง ไม่ต้องใช้ล่ามแปล

ไม่ค่อยเจอสุนัขกับแมวเท่าไหร่ จั่วเล่าให้ฟังว่า คนลาวบางส่วน นิยมกินสัตว์ทั้งสองชนิดนี้ ตึกสูงๆก็ไม่มีให้เห็น ดูแล้ว นครเวียงจันทน์ คล้ายๆกับตัวอำเภอใหญ่ๆ หรือตัวจังหวัด ในต่างจังหวัดของไทย วิถีชีวิตเรียบง่าย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม หรือมีก็น้อย เพราะสิ่งยั่วย้อม มอมเมา มีน้อยกว่า ญาติโยมก็ทำบุญ ใส่บาตรกันดี แต่ยังติดประเพณี กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลอยู่

เมรุเผาศพก็เรียบง่ายคล้ายเมรุเผาศพที่ศีรษะอโศก เผาด้วยฟืนที่ตัดเตรียมไว้จำนวนมาก ยาวท่อนละ ๑ เมตร เอาศพขึ้นวาง บนฟืน แล้วจุดไฟเผา ถ้าสังเกตตามบ้านเรือน ของชาวบ้าน ก็ใช้ฟืนหุงหาอาหาร เป็นส่วนมาก สกุลเงินที่ใช้ เรียกว่า เงินกีบ ๑ บาทไทย ก็ตกราว ๒๕๐ กีบ ที่นี่ใช้ได้ทั้งเงินบาท และเงินกีบ

สรุปได้ว่า วัฒนธรรมที่ดีๆของลาว ที่ควรอนุรักษ์ไว้มีอยู่มาก มีผู้เปรียบลาวไว้ว่า เท่ากับเมืองไทย ย้อนหลังไป ๓๐-๕๐ ปีที่แล้ว การเกษตรกรรม เขาก็ยังไม่ได้ใช้สารเคมี หรือปุ๋ยเคมีมาก เหมือนเมืองไทย หากธรรมะของพระพุทธเจ้า ทรงอานุภาพ ประชาชนลาว ใฝ่ธรรมกันดี ชาวลาวก็คงอยู่กัน อย่างสุขสงบ สันติไปอีกนาน แต่ยังหวั่นอยู่ว่า อีกไม่นาน ลัทธิบริโภคนิยม จะเข้าไป ครอบงำพวกเขา เป็นเหยื่อรายต่อไป ถ้าหากเราชาวอโศก ไปคบคุ้น ประสานสัมพันธไมตรีบ่อยๆ ธรรมะชาวอโศก คงจะหยั่งราก ลงไปในดินแดน บ้านพี่เมืองน้อง แห่งนี้โดยไม่ยากนัก.

ส.ลั่นผา สุชาติโก รายงาน
(แพร่ภาพออกอากาศ วันอังคารที่ ๒ ก.ค.๔๕)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

อีกทางเลือกหนึ่ง...เพื่อดูแลสุขภาพตัวเอง กิ่งธรรม

การกดจุดเพื่อสุขภาพ

การกดจุดเริ่มมีมานานแล้ว แต่เพิ่งนำมาบำบัดอย่างกว้างขวาง เมื่อประเทศทางตะวันตกเกิดกระแสนิยม ใช้วิธีนี้มากขึ้น เพราะเป็นวิธี ที่ปลอดภัย และได้ผลดี เชื่อกันว่าการกดจุดแบบนี้ จะไปกระตุ้น หรือลดความไม่สมดุล ของปริมาณและคุณภาพ ของพลัง แม่เหล็กไฟฟ้า ตามจุดต่างๆ ตามแนวเส้น พลังร่างกาย ยังมีผลไปถึงจิตใจ และอารมณ์ด้วย ฉบับนี้เราจะมา เสนอเรื่อง การกดจุด แบบญี่ปุ่น ด้วยตนเอง ซึ่งมีหลายตำแหน่ง ที่ทำได้ง่าย และทำได้เอง ลองเอาไปทำดูนะคะว่า จะได้ผลอย่าง ที่นักบำบัด ได้เสนอไว้ หรือเปล่า ได้ผลอย่างไร ส่งข่าวให้ทราบบ้าง จะได้เป็นประโยชน์ ต่อผู้อื่นด้วย

การกดจุดที่ทำได้ด้วยตนเอง
การกดจุดบางจุดเชื่อว่า ช่วยบรรเทาอาการผิดปกติ เฉพาะอย่างได้ ดังที่นักบำบัด แสดงให้ดู ตามรูปข้างล่างนี้ การกดจุด เป็นส่วนหนึ่ง ของการนวด ที่เรียกว่า โด-อิน ซึ่งอ้างกันว่า สามารถฟื้นฟู สุขภาพทั่วไปได้

ใช้แรงกดลงบนฝ่ามือตรงจุดที่ปลายนิ้วกลางแตะไปถึงได้ กดไว้ ๑๐-๑๕ วินาที ทำซ้ำ ๓ รอบ จะช่วยลดอาการ กะปลกกะเปลี้ย ซึมเซา โรคกระเพาะอาหาร และ ความดันโลหิตสูง

เมื่อเกิดอาการคลื่นไส้ เมารถเมาเรือ ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือกดแรงๆตรงจุดที่อยู่ห่างจากกลางข้อมือประมาณ ๒ นิ้วหัวแม่มือ กดไว้ ๗-๑๐ วินาที ทำซ้ำ ๓ รอบ

ใช้นิ้วหัวแม่มือกดแรงๆลงไปที่จุดห่างจากปลายกระดูกข้อเท้าขึ้นมา ๔ นิ้วมือตรงบริเวณขาด้านใน หลังกระดูกหน้าแข้ง กดไว้ ๗-๑๐ วินาที ทำซ้ำ ๓ รอบ นักบำบัดอ้างว่า ช่วยลดอาการ ปวดประจำเดือน นอนไม่หลับ และปัญหา ระบบย่อยอาหาร แต่ห้ามทำ ขณะตั้งครรภ์

ใช้นิ้วชี้แต่ละข้างกดบริเวณร่องใต้โหนกแก้มที่อยู่ตรงกับตำแหน่งลูกตาดำขณะมองตรง โดยออกแรงกดดันขึ้น เชื่อว่า จะช่วยบรรเทา อาการคั่ง ของโพรงไซนัส และจมูก ความตึงเครียด บริเวณหน้า อัมพาต และอาการปวดฟัน

ค่อยๆทุบบริเวณไหล่ด้านข้างของคอลงมาที่หลังบริเวณที่เอื้อมถึง แล้วเพิ่มแรงให้หนักขึ้น ทีละน้อย นาน ๑๕-๒๐ วินาที แล้วเปลี่ยน ไปทำอีกข้างหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลด อาการปวดข้อ ตามจุดต่างๆ ที่ได้รับการกดรักษาได้

ในการกระตุ้นเพื่อช่วยชีวิต ช่วยให้ฟื้นจากอาการช็อก แก้อาการลมบ้าหมู ปวดประจำเดือน และวิงเวียน ให้ใช้นิ้ว หัวแม่มือทั้ง ๒ ข้าง กดจุดที่ฝ่าเท้า ตรงตำแหน่งกึ่งกลาง ที่วัดได้ประมาณ ๑ ใน ๓ ของระยะ จากปลายนิ้วกลาง ถึงส้นเท้า กดไว้ ๑๐-๑๕ วินาที ทำซ้ำ ๓ รอบ


กดจุดแบบญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
มีจุดหลายตำแหน่งที่กดได้ง่ายและทำเองที่บ้านได้ ที่น่าสนใจได้แก่ การกดจุด แก้อาการ อาหารไม่ย่อย และ อาการเจ็บคอ

แก้อาหารไม่ย่อย จุดกดอยู่บริเวณหลังมือ ตรงง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ ใช้นิ้วหัวแม่มือขวา กดจุดนี้ ที่หลังมือซ้าย ไปพร้อมกับ นิ้วชี้ขวา ที่กดอยู่ตรงฝ่ามือ ในตำแหน่งเดียวกัน นวดเบาๆ ประมาณ ๑๐-๒๐ วินาที ทำซ้ำที่มืออีกข้างหนึ่ง (สตรีตั้งครรภ์ ห้ามทำ)

แก้เจ็บคอ จุดกดอยู่ต่ำจากกึ่งกลางกระดูกไหปลาร้าลงมา ๒ นิ้วฟุต ระหว่างกระดูกซี่โครง ซี่ที่ ๑ และ ๒ กดนิ้วหัวแม่มือ ทั้งสอง ลงบนจุด ทั้งสองด้าน พร้อมกันนาน ๗-๑๐ วินาที

เพื่อปรับปรุงความยืดหยุ่นและกระตุ้นการไหลเวียนของพลังงาน ลองใช้เทคนิคการออกกำลัง ๒ วิธีต่อไปนี้
วิธีแรกเชื่อว่า ช่วยลด อาการตึง ของร่างกาย โดยเฉพาะส่วนคอ และ

วิธีที่สอง ช่วยให้ไหล่หายตึง และ บริหารส่วนอก

๑.นั่งหลังตรง และหันศีรษะไปด้านข้าง ให้หูข้างขวา อยู่ในแนวเดียวกับไหล่ขวา ยกแขนขวาข้ามพาดศีรษะ จนมือปิดหูซ้าย หมุนไหล่ซ้าย ตามเข็มนาฬิกา ๑๐ ครั้ง และ ทวนเข็มนาฬิกาอีก ๑๐ ครั้ง ค่อยๆเพิ่ม แรงเหยียดทีละน้อย แล้วทำซ้ำ กับไหล่อีกครั้ง

๒.ยืนตรง กางขาออกเล็กน้อย มือไขว้กันไว้ด้านหลัง แล้วโค้งตัวลงมาด้านหน้า ตั้งแต่ส่วนสะโพก โดยไม่ให้งอ ลำตัวส่วนบน ยกมือ ที่ไขว้กัน ให้สูงเท่าที่จะทำได้ แล้วปล่อยมือลง ต่อไปยืนตรง หงายศีรษะไปด้านหลัง ยกมือที่ไขว้กัน ให้สูงเท่าที่จะทำได้

การกดจุดแบบนี้ไม่ค่อยมีอันตรายต่อคนส่วนใหญ่ ถ้าใช้เฉพาะหัวแม่มือ นิ้วมือและฝ่ามือเท่านั้น แต่ไม่ควรใช้ กับผู้ที่มีอาการ อักเสบ ติดเชื้อ หรือมีแผล ผู้ที่กระดูกหัก หรือหมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือ ผู้ที่ใช้ยากสเตียรอยด์ เช่น คอร์ติโซน.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ นายแก้วมูล เภตรา
เกิด ปีฉลู อายุ ๗๘ ปี
ภูมิลำเนา อ.พาน จ.เชียงราย
การศึกษา ป.๔
สถานภาพ แต่งงาน บุตร ๘ คน
ส่วนสูง ๑๖๐ ซ.ม.
ส่วนสัด ๓๒-๓๓-๓๕ นิ้ว
น้ำหนัก ๕๒ กก.

ตาแก้วมูล เป็นญาติธรรมผู้มีอายุยาว ของเชียงรายอโศก แข็งแรงและดูแลเรื่องสุขภาพตนเอง ครบ ๕ อ. จนได้รางวัล ผู้สูงอายุ สุขภาพดีเด่น ระดับอำเภอมาแล้ว ไปรู้จักกับตากันเลยค่ะ

v ประวัติ
มีพี่น้องรวมกัน ๖ คน ผมเป็นคนที่ ๔ เมื่อก่อนอยู่พะเยา พ่อแม่เป็นชาวนาและค้าขายด้วย จบ ป.๔ แล้วก็ไปเรียนช่างไม้ เป็นช่างไม้ อยู่พักหนึ่ง แต่งงานครั้งแรก ตอนอายุ ๒๐ ปี ภรรยาอายุ ๑๖ ปี มีลูกด้วยกัน ๖ คน ต่อมาภรรยาเสียชีวิต ด้วยโรค มะเร็ง เมื่ออายุ ๓๐ กว่าปี จึงแต่งงานใหม่ มีลูก ๒ คน รวมลูกทั้งหมด ๘ คน คนเล็กมีโอกาส มาเรียนที่ ร.ร.สัมมาสิกขา สันติอโศก ตั้งแต่ชั้น ม.๑-๖ ชื่อ นายยุทธภูมิ เภตรา

ก่อนที่จะมาเจออโศก ก็ปฏิบัติธรรมกับสำนักอื่นๆ และกินมังสวิรัติ มาก่อนเป็นช่วงๆ

v เอาเพชรไปขาย
ได้อ่านหนังสือสารอโศก ตั้งแต่เป็นฉบับโรเนียว หนังสือดอกหญ้า น้ำใจ แสงสูญ จากเพื่อนบ้าน ที่เขาจะโละหนังสือ ไปชั่ง กิโลขาย ผมเห็นแล้วดีใจมาก โอ...พวกเขาไม่รู้จักเพชร จะเอาเพชรไปชั่งกิโลขาย และได้รับหนังสือ "ชีวิตในผ้าสีหม่น"
จากญาติธรรม ในเวลาต่อมา และมีโอกาส เข้าร่วมประชุม กับกลุ่มเชียงรายอโศก ในช่วงปิดภาคเรียน ก็ตั้งใจ จะเอาลูกชาย ไปบวช เป็นสามเณร ภาคฤดูร้อน แต่เมื่อรู้จักอโศก จึงนำไปร่วมงานพุทธาฯ และในปี ๒๕๓๖ ได้นำมาสมัครเรียน ที่ ร.ร. สัมมาสิกขา สันติอโศก ตั้งแต่ชั้น ม.๑ และเรียนจบ ม.๖ ในเวลาต่อมา

v การปฏิบัติธรรม
ปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านและไปๆมาๆ ที่เชียงรายอโศก ในช่วงอบรม ธ.ก.ส. ไปช่วยตั้งแต่รุ่นที่ ๑-๕ ได้ประโยชน์คือ ได้เสียสละ เมื่อผัสสะเกิดขึ้น ก็ไม่ถือสา แต่ก่อนเป็นคนที่โกรธง่าย จึงตั้งตบะธรรม จะไม่โกรธ เมื่อมีอารมณ์โกรธขึ้นมา ก็คิดว่า เขาเป็น อย่างนั้นเอง เขาคงไม่รู้ ก็ให้อภัยได้ ตบะนี้ตั้งในช่วง เข้าพรรษามาได้ ๓ ปี ก็โมโหไป ๒ ครั้งเท่านั้น

กิจวัตร
ตื่นนอนตี ๕ สวดมนต์ทำวัตรเช้า แล้วออกวิ่งไปกลับ ๔-๕ ก.ม. หากฝนตกก็เล่นโยคะ หรือ ไท้เก๊กแทน กลับมาอาบน้ำ นึ่งข้าว (แม่บ้านยังไม่ตื่น) แล้วไปจ่ายตลาด ซื้อผักป่าเล็กๆน้อยๆ เพราะบางส่วน ปลูกเองที่บ้าน ผมทำอาหารกินเอง อย่างง่ายๆ มีข้าวกล้อง -ถั่ว -งา ผักสด เคี้ยวช้าๆ ๕๐ ครั้ง เก็บล้างเรียบร้อยแล้ว เข้าสวนรดน้ำ

ส่วนแม่บ้าน ก็ทำของเขาเอง ผักที่ปลูก ก็มี บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี มะเขือเทศ คะน้า ฟักทอง ถั่วแปบ ถั่วพู ขึ้นฉ่าย หัวผักกาด ต้นหอม ผักชี ก็ปลูกไว้กิน ส่วนแม่บ้าน ขายก๋วยเตี๋ยว เขาก็เอาบางอย่างไปใช้ด้วย ทุกวันนี้กินข้าว ๒ มื้อเช้า และเย็น

ผู้สูงอายุสุขภาพดีเด่น
สูบบุหรี่มาตั้งแต่เป็นหนุ่มจนถึงอายุ ๖๐ ปี ไอเป็นเลือด จนหมอห้าม และผมก็อยากเลิกอยู่แล้ว ก็ใช้วิธีหักดิบเลย เลิกเหล้า บุหรี่มาได้ ๗ ปี ก่อนจะเจออโศก

ไปที่ไหนผมชอบออกกำลังกาย ทางอนามัย เชิญไปช่วยอบรมหมู่บ้าน ไปสาธิตไท้เก็ก โยคะ เมื่อวันที่ ๑๒ เม.ย.๔๔ ทางการ ให้อนามัย ส่งผู้สูงอายุไปเข้าประกวด ทางหมอก็มาตรวจสุขภาพ ฟัน ตรวจอวัยวะภายใน วัดความดันฯ โดยไม่เกี่ยว เรื่องหู-ตา ผมบอกว่า ไม่กินเนื้อสัตว์ หมอบอกว่าได้ ๕๐ คะแนน ฟันดีได้อีก ๒๐ คะแนน แล้วอวัยวะภายใน ก็เกือบเต็มร้อย มีคนเข้า ประกวด ทั้งหมด ๑๒๐ คนจาก ๑๖ ตำบล ผมชนะเลิศได้ที่ ๑

ทุกวันนี้ไม่ห่วงอะไร ลูกๆก็เป็นฝั่งเป็นฝาเกือบหมดแล้ว ห่วงแต่ไม่มีใคร รดน้ำสวน เวลาผมไม่อยู่ ไม่กลัวตาย อยากจะมีอายุ ถึง ๑๐๐ ปี

ฝาก
อยากจะให้ทุกๆคน รักษาสุขภาพให้ ดีๆ ให้ความสำคัญ กับสุขภาพให้มาก เอาใจใส่สุขภาพ อย่างถ่องแท้ ให้เข้าใจเรื่อง ของความเครียด ขอให้ละเว้น สิ่งที่เป็นพิษ เป็นภัยทุกๆอย่าง แล้วร่างกายเรา จะแข็งแรง อ่อนกว่าวัย

ด้วยการดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย ทำใจให้มีความสุข ตาแก้วมูล จึงมีสุขภาพกาย และสุขภาพใจ ที่แข็งแรง
ค่ะ สุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องทำเองค่ะ
เอ...วันนี้คุณออกกำลังกายแล้วหรือยัง?.

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจริญธรรม สำนึกดี พบกับคราวนี้กับ น.ส.พ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๑๘๕(๒๑๘) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๐ มิ.ย.๔๕

ฉบับนี้เรามีลักษณะของ "อโศกพันธุ์แท้" มาฝาก ใครอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร พลิกไปอ่านได้จาก สัมภาษณ์พิเศษ สมณะเดินดิน ติกขวีโร อ่านแล้ว อย่าลืมนำไป ปฏิบัติด้วยนะฮะ เพราะแฟนพันธุ์แท้แบบนี้ ใช้รู้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีในตนด้วย ถึงจะเป็น อโศกพันธุ์แท้ ของจริงฮะ

นี่ก็ใกล้เทศกาลเข้าพรรษาแล้ว ป่านฉะนี้เพื่อนพ้องน้องพี่ชาวเรา คงกำลังนึกจะตั้ง ตบะหรรษาอะไรดี ที่จะโค่นเจ้าข้าศึก (กิเลส) ลงได้ และนี่ก็เป็น อีกหนึ่งวัฒนธรรม ของชาวอโศก เมื่อเทศกาลเข้าพรรษามาเยือน ก็ขออนุโมทนา กับนักรบ ผู้ทวนกระแส ทุกท่านด้วย และหาก มีประสบการณ์ใดๆ เกี่ยวกับ "ตบะหรรษา" ก็เล่าสู่กันฟัง เป็นธรรมทานบ้าง ก็จะดีไม่น้อย

อารัมภบทกันไปมากแล้ว ทีนี้มาพูดคุยเรื่องราวในครอบครัวเรากันต่อ

วัฒนธรรมอโศก...แม้งานอโศกรำลึกได้ยุติลงไปแล้วอีกปี ปีนี้ว่าเป็นครั้งที่ ๒๑ แล้ว จิ้งหรีด (และอีกหลายๆท่านก็) รู้สึก ประทับใจ ภาพ นร.สัมมาสิกขา สันติอโศก ที่เดินชักแถว ต้อนรับญาติธรรม และนร.สัมมาสิกขา จากแห่งอื่นอยู่ ๒ ข้างทาง ของซอยเทียมพร พอได้ยิน เสียงทักทาย "เจริญธรรมครับ" / "เจริญธรรมค่ะ" พร้อมกับเข้าไปช่วย ยกข้าวของ ให้เพื่อนๆ ต่างชุมชน และญาติธรรม ที่มาร่วมงาน พาไปยังที่พัก ที่ได้จัดเตรียมไว้ให้ ความรู้สึกอบอุ่น ในภาพที่ได้เห็น และเสียงที่ได้ยิน บันดาลให้เกิด ความรู้สึกอบอุ่น แน่นแฟ้น อย่างชุ่มชื่น เบิกบานจิต เป็นยิ่งนัก

แม้ในช่วงงานก็ได้เห็นการเอาภาระด้านวิดีโอและเครื่องเสียง ของชาวปฐมอโศก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทำให้เจ้าภาพ เบาแรง ทางด้านนี้ ไปได้มาก และไม่ว่างานไหนๆ ที่เป็นงานประจำปี ของชาวอโศก ก็จะเห็นทีมงาน จากปฐมอโศก เอาภาะแข็งขัน น่าอบอุ่นใจ มาโดยตลอด

พอมองไปทั่วๆงาน จะเห็นคนหนุ่มสาวของชาวอโศก โดยเฉพาะกลุ่ม ม.วช.จากที่ต่างๆ เข้ามาเป็น ผู้เอาภาระการงาน ด้านต่างๆ ให้ไหลลื่นไป อย่างไม่ติดขัด ส่วนใหญ่ จะถือวิทยุมือถือ พูดติดต่อประสานงาน ดูทะมัดทะแมง และน่าตื่นตาตื่นใจ ต่างจาก หนุ่มสาวทั่วไป ในสังคม ที่ส่วนใหญ่ มุ่งใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เสพย์สุขอย่างสิ้นเปลือง และไร้สาระ แต่พอมา เห็นชีวิต หนุ่มสาวชาวอโศก นุ่งเสื้อผ้า ชุดไทย ใส่ผ้าถุง แบบเรียบง่าย แถมไม่ใส่รองเท้า เหงื่องามงานผุดไหล ไคลย้อย แทบตลอดวัน เพราะต้องเดิน และวิ่งประสานงาน กันแทบทั้งวัน แถมต้องนอนดึก ตื่นเช้า เพราะต้องอยู่ สรุปงาน หลังรายการ ประจำวันยุติ และต้องตื่นขึ้นมา เตรียมงานแต่เช้า เพื่องาน วันใหม่ จะได้ดำเนินไป อย่างราบรื่น จิ้งหรีดเห็นแล้ว ก็รู้สึกชื่นชม ประทับใจ จนบรรยายไม่ได้หมด

ยิ่งตอนเลิกงาน ทุกฝ่ายช่วยกันเก็บกวาด เชื่อไหมว่า งานอโศกรำลึกในปีนี้ เพียง ๒ ช.ม.โดยประมาณเท่านั้น ทุกอย่าง ในชุมชน สันติอโศก ก็อยู่ในสภาพ ปกติธรรมดา ถ้าคนไม่รู้ว่า ชาวเรามีงานอะไรก่อนหน้านี้ ได้เดินเข้ามาในช่วงนี้ ก็จะไม่รู้สึก สะดุด เลยว่า ก่อนหน้านี้ ได้มีคน จำนวนนับพัน มีโรงบุญฯมากมาย เรียงรายตามถนน ในซอยเทียมพร

ซึ่งปีนี้มีผู้มาร่วมงานมาก จนบางคนรู้สึกว่า อาจจะเป็นปีที่มีคนมาร่วมงาน มากกว่าทุกๆปี ที่ผ่านมาก็ว่าได้

พ่อท่านถึงขนาดกล่าวชื่นชม และเชิญชวนให้สมณะ และสิกขมาตุ ที่กำลังประชุมสัมมนากันอยู่ ในห้องชั้นบน ของแผนก ธรรมโสต ได้เดินลงไป พิสูจน์ด้วยตาเปล่าทีเดียว

จิ้งหรีดเองก็รู้สึกว่า นี่แหละคือวัฒนธรรมของชาวอโศก ที่ชาวเราควรรักษาไว้ ให้ยั่งยืนยาวนาน...จี๊ดๆ

บันทึกคนวัด..."ค่ำวานนี้ ร่วมพูดคุยสนทนากันเกือบครบทุกคน ยังมีบางคนที่ไม่ "ตั้งใจ" ฟังเรื่องราว ของผู้อื่นเท่าที่ควร ตั้งท่าแต่ จะพูดคุย เรื่องของตนเอง อย่างหวังว่า ผู้อื่นคงจะฟัง หรือต้องฟัง จนเหมือนจ้อกแจ้ก ไม่ค่อยได้ศัพท์ บางครั้ง ถ้าลองถามกันว่า เพื่อนเขา พูดอะไร คนที่จ้อง แต่จะพูดมากกว่าฟัง ก็มักจะตอบ ไม่ค่อยมั่นใจ

เรื่องทำนองนี้นับว่า ยังเป็นปัญหาระดับหนึ่ง ของทุกๆระดับบุคคล ในองค์กรของเรา แต่ที่ยังดูนิ่งสงบ กว่าทุกๆระดับ ก็คือ หมู่สมณะ แต่กระนั้น ถ้าสมณะให้โอวาท ในที่ประชุม เป็นเชิงติเตือน ก็จะมีเสียงสะท้อนกลับ ทันควันว่า "ท่านก็เป็น"

จิ้งหรีดเห็นว่า ถ้านักปฏิบัติธรรมยังมองไม่ออกในมุมของผู้อื่น ซึ่งในบางมุมที่เขา หรือท่านดีกว่า นิ่งกว่า และ ฝึกชื่นชม ทั้งทางกาย วาจา และใจ ให้ได้บ้าง เราก็มักจะกลายเป็น คนที่ "เป็นตัวปัญหา" โดยไม่รู้ตน ในแต่ละมุมนั้นๆ ได้ง่ายมาก ซึ่งเป็นเรื่อง น่ากลัวจริงๆ เพราะ หลงทางเสียเวลา หลงอัตตา ก็บ้าไปเลย นะฮะ...จี๊ดๆ

มหัศจรรย์...๑๑ มิ.ย.๔๕ กรักและปะหญิงไปรวมตัวสัมมนากัน ที่ปฐมอโศก ใช้เวลาประชุมสัมมนากัน ตั้งแต่เที่ยงวันกว่าๆ จนเกือบถึง ๑๘.๐๐ น.จึงได้ยุติ

ปะคนหนึ่งเล่าให้จิ้งหรีดฟังว่า ปีนี้ใช้เวลาได้กระชับกว่าครั้งที่ผ่านๆมา และเพื่อนๆที่เคยมีปัญหาเรื่อง การพูด หรือสื่อ ไม่ค่อยออก หรือ ไม่ค่อยตรงประเด็น ต่างก็มีการพัฒนาที่ดีขึ้น จนสิกขมาตุรูปหนึ่ง ออกปากชมชื่น ชาวกรัก-ปะ หลายคน ก็ได้เรียนท่าน ถึงสาเหตุ ที่ช่วยให้ มีพัฒนาการ ดังกล่าวดีขึ้น ซึ่งเรื่องนี้จิ้งหรีด รู้ถึงสาเหตุมาบ้างแล้ว ใครอยากรู้ ก็ไปสอบถาม จากปะ หรือกรัก เอาเองนะฮะ...จี๊ดๆ

บารมี...กว่าจะได้เป็นสิกขมาตุนี่ว่ายากแสนยากแล้ว และเมื่อบวชแล้ว แทนที่จะได้อยู่กุฏิสบายๆ ก็ต้องมาอยู่กุฏิเล็กๆ แบบสมณะอีก ความกว้าง ความยาว ก็แค่นิดหน่อย พอให้ซุกหัวนอนได้ แต่ถ้าสิกขมาตุรูปใด เกิดต้องไปอยู่ ที่บ้านราชฯ แทนที่จะได้อยู่กุฏิ แบบที่ควรจะอยู่กัน ก็ต้องไปอาศัย นอนในเรือ และต้องพักอาศัย อยู่ด้วยกัน เข้าทำนอง คำพังเพยที่ว่า "ลงเรือลำเดียวกัน" บางคนเปรยว่า ถ้าต้องไป ใช้ชีวิตในเรือ ต่อให้แต่งสวยงามแค่ไหน ก็ไม่เอาด้วยหรอก ขออยู่บนดินดีกว่า

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ปะ-กรักคนไหนจะสนใจ นี่ถ้าใครได้ไปอยู่ในเรือจริงๆ จะเรียกว่า มีบารมี หรือไม่มีบารมี เรื่องนี้คงต้อง ให้ไปถาม สิกขมาตุ ที่บ้านราชฯ เมืองเรือกันเองฮะ

แต่ที่แน่ๆที่ชาวบ้านราชฯ กำลังเตรียมตัวเตรียมใจรับ ภาวะน้ำท่วมใหญ่ประจำปี อันนี้จิ้งหรีดคิดว่า จะเป็นบารมีหรือไม่ ไม่รู้ฮะ แต่ที่รู้ แน่ๆ คือ ได้สร้างบารมีอยู่กับน้ำ หาพื้นดินเหยียบ ไม่ได้เลยฮะ...จี๊ดๆ

คอร์สละแสน...จิ้งหรีดได้ยินปัจฉาฯ ของท่านอาจารย์ ๑ ที่รับนิมนต์จัดคอร์ส "มหัศจรรย์" ให้ญาติธรรมรุ่นเก๋า ชาวกทม. มีอยู่ช่วงหนึ่ง ท่านปัจฉาฯ ได้เปรยถึงบรรยากาศ ทางชุมชนภูผาฯ ว่า กำลังจะสร้างสุขาฝ่ายหญิง พอสิ้นสุดคอร์สนี้ ญาติธรรม ที่มาเข้าคอร์ส ก็ขอเป็นเจ้าภาพ สร้างห้องน้าให้ ประมาณ ๑๐ ห้อง เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทเศษ ครั้นพออาจารย์ ๑ ท่านกล่าว อนุโมทนาเสร็จ ท่านปัจฉาฯ ก็กล่าวติดตลกว่า "โอ้โฮ! คอร์สครั้งนี้ ราคาเป็นแสน" ปรากฏว่า ทั้งท่านอาจารย์ และญาติธรรม ต่างก็พากันอมยิ้ม (รวมทั้งจิ้งหรีดด้วย) ในมุขของปัจฉาฯ เพราะเดี๋ยวนี้ปัจฉาฯ มีมุขมหัศจรรย์ ยิ่งกว่าคอร์ส ละแสน อีกนะฮะ ... จี๊ดๆ

นั่นนะซี...จิ้งหรีดมีโอกาสรู้ความในใจของสาวน้อยที่ศีรษะฯ คนหนึ่ง หลังจากที่เดินทาง ห่างจากเพื่อนๆ ทางศีรษะฯ เพื่อไปช่วยงาน ที่ปฐมอโศก เธอได้เปิดเผย ความรู้สึกส่วนหนึ่ง ออกมาว่า "หนูรู้ซึ้งถึงความเหงา และอ้างว้างแล้วว่า ทำไม ถึงคิดถึงเพื่อนมาก ทำไม ตอนเราอยู่ ร่วมกัน ทำไมพวกเรา ถึงไม่รักกัน และคอยหาเรื่องกันตลอด แถมยังชอบแกล้งกันด้วย

ตอนนี้รู้แล้ว และคิดถึงเพื่อนทุกคนมากจริงๆ รักเพื่อนทุกคน..." นั่นนะซี่ ยังไงๆ ชาวเราก็พึ่งน้อมนำเรื่อง สาราณียธรรม ๖ ตามที่ พ่อท่าน ได้ย้ำเตือน อยู่บ่อยๆ ก็อย่าให้มารู้คุณค่ากัน ตอนใกล้ตายละกัน นี่ดีนะ ที่สาวน้อยคนนี้ รู้สำนึกตอนจากหมู่ แต่ถ้ามารู้สำนึก ตอนใกล้ตาย จากหมู่ โอกาสทำดีคงหมดลง ในชาตินี้นะฮะ...จี๊ดๆ

สมณะทั้งหก...เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๑ มิ.ย.ที่ผ่านมา มีเหตุปัจจัยทำให้สมณะ ๖ รูปจาก ๔ สถานที่เดินทางมาที่ ชมร.ช.ม. โดยมิได้นัดหมาย นำความปีติ ยินดี ให้กับชาว ชมร.เชียงใหม่ เป็นอย่างยิ่ง เพราะมีโอกาสได้ทำบุญ ถวายอาหาร แก่สมณะ ซึ่งหลังภัตกิจแล้ว แต่ละท่าน ก็แยกย้าย ไปปฏิบัติภารกิจ ของท่านต่อไป สำหรับสมณะทั้งหกคือ

๑.สมณะดวงดี ฐิตปุญโญ จากศีรษะอโศก (พาโยมแม่ไป ร.พ.สวนดอก จ.เชียงใหม่)

๒.สมณะมองตน เมตตจิตโต และสมณะนาไท อิสสรชโน จากปฐมอโศก พานักศึกษา ม.วช. ไปเข้าคอร์สมหัศจรรย์ ที่ภูผาฯ ตามที่สมัครเอาไว้

๓.สมณะเก้าก้าว สรณีโย และสมณะหินเพชร ธัมมธีโร เดินจากลานนาอโศก ตั้งแต่ ๐๔.๐๐ น. ไปเยี่ยมลูกหนี้ ธ.ก.ส.ที่ จ.ลำปาง

๔.สมณะลานบุญ วชิโร จากภูผาฟ้าน้ำ มาประชุม จนท.ขายของแห้งในระบบบุญนิยมที่ ชมร.เชียงใหม่.

จิ้งหรีดได้ยินเรื่องนี้พลอยทำให้นึกถึงเรื่องของ อายตนะ ๖ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างอยู่ที่ ชมร.เชียงใหม่. ถ้าใคร รู้ไม่เท่าทัน สิ่งที่มาสัมผัสอายตนะ โดยเฉพาะลิ้น เมื่อสัมผัสกับรสอาหาร ที่ตนเคยหลง เคยติดมานาน ก็จะถูกเจ้ามารร้าย เข้าครอบครอง หนาขึ้น ปุถุ ปุถุ...อร้อย...อร่อยไม่รู้จบเลยฮะ...จี๊ดๆ

๑๐๔ รูปแล้ว...ขอแจ้งๆ และแล้ว เราก็มีสมณะ เสริมกองทัพธรรม เพิ่มขึ้นอีก ๒ รูป คือ สมณะใต้ดาว เหฏฐานักขัตโต (บวช ๑๑ มิ.ย.๔๕ ที่ปฐมอโศก) และสมณะลึกเล็ก จุลลคัมภีโร (บวช ๑๗ มิ.ย.๔๕ ที่สันติอโศก) จิ้งหรีด ขอกราบงามๆ ด้วยอนุโมทนายิ่ง... จี๊ดๆ

อัศจรรย์...แล้วเช้าวันหนึ่งของปลายเดือนมิ.ย. ก็เกิดความแตกตื่นกันไปทั่วสันติอโศก (จิ้งหรีดเขียนให้เว่อร์นิดๆ) เพราะ ปรากฏการณ์ น่าอัศจรรย์ "บัวเจ็ดสี-เจ็ดดอก" ที่บานสะพรั่ง ภายในค่ำคืนเดียว ฤทธิ์ของการสื่อสาร ชนิดปากต่อปาก ทำให้ข่าวกระพือ ออกไปทั่วชุมชน อย่างรวดเร็ว ต่างก็รุดมาดู มาชมกัน ให้เห็นกะตาตัวเอง ด้วยเหตุผล หลากหลายประการ

แล้วข่าวระลอกใหม่ ก็แพร่กระจายไปทั่วชุมชนอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เมื่อพิสูจน์แน่ชัด เป็นคำตอบสุดท้ายแล้วว่า คือ ดอกบัว พลาสติก ที่มีผู้ศรัทธา เจตนาดี ได้มาเปิดเผยภายหลังว่า ต้องการบูชา พระคุณครูบาอาจารย์ มิได้มีประสงค์เป็นอื่น เรื่องนี้จิ้งหรีด ได้ยินหลายคน เปรยยิ้มๆ เมื่อนึกถึง แถมยังได้ข้อคิด แถมให้อีกว่า "อย่าเชื่อเพราะมันน่าเชื่อ อย่าเชื่อฟัง เพราะได้ยินมา อย่าเชื่อเพราะเห็นด้วยตา (ของเรา) ฯลฯ" จิ้งหรีด เห็นบรรยากาศแล้วก็ว่า ครอบครัวเรา น่าเอ็นดูดีออก...จี๊ดๆ

พึ่งเจ็บ...นายณัฐพล หน่อแก้ว นร.สส.ษ.ชั้น ม.๖ ประสบอุบัติเหตุขณะขับรถมอเตอร์ไซด์ เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะนี้ พักรักษาตัว อยู่ห้อง ๔๐๔ ตึกอุบัติเหตุ ร.พ.นครพิงค์ จ.เชียงใหม่ ข่าวว่ากระดูกที่แขน และขาหัก

นางจันทร์ จันวัน อายุ ๘๖ ปี โยมแม่ของสมณะดวงดี ฐิตปุญโญ ป่วยด้วยโรคมะเร็งที่มดลูก ขณะนี้พักรักษาตัว ที่ตึกสุจิณโณ ชั้น ๔ นารีเวช ๔ ร.พ.สวนดอก จ.เชียงใหม่

ขอส่งกำลังใจถึงทั้งสองท่าน ขอให้หายป่วยไวๆนะฮะ...จี๊ดๆ

ช่วงท้ายขอระลึกถึงกันด้วยคติธรรม-คำสอน ของพ่อท่านที่ว่า

อย่ารุนแรง (และ) อย่ารีบตอบโต้ทันที

พบกันใหม่ฉบับหน้า

จิ้งหรีด

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ผู้บริหารและคณะครูจาก สปอ.อุทัย ศึกษาการป้องกันยาเสพติด
และ ฝึกอาชีพ ตามแนวบุญนิยม ที่ชุมชนสันติอโศก

การศึกษาบุญนิยม สร้างคนพ้นตกงาน และปลอดยาเสพติด

เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๔๕ คณะผู้บริหาร ครู และอาจารย์ จากสำนักงาน การประถมศึกษา อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา จำนวน ๕๓ คน มาศึกษาดูงานด้าน "การป้องกันยาเสพติด และการฝึกอาชีพ ให้กับนักเรียน" ที่พุทธสถาน สันติอโศก ช่วงเวลา ประมาณ ๙.๐๐-๑๒.๐๐ น.

เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ รองประธานชุมชนสันติอโศก กล่าวต้อนรับคณะผู้มาเยือน และแนะนำ ความเป็นมา ของชุมชน สันติอโศก

 

คุณฟังฝน จังคศิริ ครูใหญ่ ร.ร.สัมมาสิกขาสันติอโศก บรรยายสรุป โครงสร้าง การจัดการศึกษาอย่างไร ที่ทำให้นักเรียน ปลอดจาก ยาเสพย์ติด และ การฝึกฝนสัมมาอาชีพ ในสถานประกอบการ

จากนั้น พ่อท่านเทศน์ให้คณะผู้มาเยี่ยมฟัง ในเรื่องการจัดการศึกษาแนวใหม่แบบบุญนิยม และในตอนสุดท้าย ได้นำคณะ ที่มาเยี่ยม ชมโรงเรียน ชุมชน พบปะนักเรียน ดูการทำงานของนักเรียน ในสถานประกอบการ เช่น บจ.พลังบุญ บจ.แด่ชีวิต ร้านกู้ดินฟ้า บจ.ขอบคุณ ธรรมทัศน์สมาคม ศูนย์อาหารมังสวิรัติ หน้าสันติอโศก บจ.ฟ้าอภัย และฐานงานแปรรูป

ผู้มาเยี่ยมชมให้ความสนใจมากพอสมควร.

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


บัวมหัศจรรย์

เช้าอากาศสดชื่นของวันศุกร์นี้เอง (๒๘ มิ.ย.๔๕) ญาติธรรมชายที่กำลังกวาดลานวัดคนหนึ่ง บอกดิฉันว่า "พี่ไปดูดอกบัว ๗ สี ข้างกุฏิ พ่อท่านซิครับ"

รู้สึกน่าสนใจนิดๆ เดินไปอีกหน่อย ญาติธรรมหญิงบอกอีก "มีดอกบัวบานสีสวย เหมือนพลาสติกเลย ตั้ง ๗ สี ไปดูหรือยังคะ" น่าสนใจขึ้นมาอีกนิดแล้ว

สักครู่ต่อมา ดิฉันพบสิกขมาตุรูปหนึ่ง ย้ำเตือนอีก "นี่เธอไม่ไปดูบัว ๗ สี ๗ ดอกกับเขาซะหน่อยรึ" "ค่ะ ดิฉันจะไปดูนะคะ" พอเห็นกับตาตัวเอง ดิฉันก็เอ่ยปากออกมา ตรงกับใจว่า "ไม่ใช่พลาสติกหรือคะ" ก็ดิฉันสัมผัสรู้สึกได้ว่า "สวยเกินธรรมดามาก" ญาติธรรมหญิง ที่นั่งดูอยู่ วิจารณ์คำพูดดิฉัน ด้วยเสียงดังว่า "เวอร์อีกคนแล้ว!!"

เอ...หรือจะเป็นไปได้ "คงเป็นนิมิตหมายดีๆ ที่จะเกิดแก่หมู่เราบางประการกระมัง" ดิฉันคิด และพูดกับญาติธรรม เช่นนั้น เมื่อมีเหตุผล สนับสนุน ความเป็นไปได้นานา "เขามีขาย เขาเอาบัวกอละสี มาผูกรวมกันไง" แล้วดิฉันก็ระลึกถึง น้องสาวคนหนึ่ง ที่ชื่อ "บัว" ถ้าเขา ได้มาเห็น บัวมหัศจรรย์ และงามงดขนาดนี้ คงน่ารื่นรมย์ไม่น้อย แต่ดิฉันกำลังยุ่ง เกินว่าจะแบ่งเวลา ไปโทรศัพท์ ถึงน้องสาวได้ เหลือบเห็นคุณแดนดิน กำลังถ่ายภาพ รู้สึกดีเหมือนกัน เดี๋ยวขอยืมภาพถ่าย ไปให้น้องสาวดู ก็แล้วกันนะ

ช่วงเวลาเพียง ๒ ชั่วโมงกว่า ข่าวบัวมหัศจรรย์ แพร่กระจายไปทั้งวัด

"ความงดงามของความไม่รู้ก็คือ สิ่งใดที่ไม่รู้ก็คือ "ไม่รู้" จริงๆ ทราบว่าท่านสมณะรูปหนึ่ง ต้องการพิสูจน์ ให้ชัดเจน จึงใช้ไม้ ลองเขี่ยๆดู จนเกิดพลัดตก ลงน้ำอย่างจำเป็น อีกทั้งท่านสิกขมาตุ อีกรูปก็หกล้ม เนื่องจากความน่าสนใจ ของบัวมหัศจรรย์ทั้ง ๗ ด้วยค่ะ (ล้มเล็กๆ ไม่ได้เป็นอะไรมาก)

ผู้เชื่อก็คือ "ผู้เชื่อ" ผู้ไม่เชื่อก็มีสิทธิ์ไม่เชื่อ เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ขึ้นมากมาย อาทิ "ผมไม่เชื่อหรอก ว่าของจริง ก็บานตั้ง ๗ ดอก พร้อมกัน ทำไมไม่มีผึ้ง สักตัวมาตอมเลยล่ะ!!" และกองพิสูจน์หลักฐาน ก็เริ่มทำงาน มาช่วยกันบรรเลงเขี่ย บัวมหัศจรรย์ ให้พลิกคว่ำ ท่ามกลาง เสียงประท้วง "เบาๆเดี๋ยวมันช้ำ" พอดอกบัวสวย ถูกพลิกหงาย ให้เห็นรูปพรรณสัณฐานชัดๆ พร้อมลูบคลำ สัมผัสเพิ่ม ด้วยมือ ของหลายๆคน ผลปรากฏว่า บัวสีสดแจ่มทั้ง ๗ ดอกนั้นคือ "บัวพลาสติก" ค่ะ

ประสบการณ์นี้ไม่มีอะไรเสียหาย หากผู้มองจะใช้แว่นสีชมพูในการพินิจ เนื่องจากญาติธรรมหญิงผู้หนึ่ง มีเหตุผลส่วนตัว บางประการ ที่ต้องการ จะบูชาครูแก้ว (คือ พ่อท่านโพธิรักษ์) ด้วยดอกไม้คือ ดอกบัวบ้าง ก็เมื่อวาน วันพฤหัสบดี เป็นวันครู... แต่ก็มีแต่ "บัวพลาสติก" นี่นา ไม่มีเจตนา ให้เป็นบัวมหัศจรรย์ ซักกะหน่อย!!...และบางท่าน ก็มองอีกมุมว่า "เขามีหัวศิลปะน่ะ นี่แหละศิลปินตัวจริง อย่าไปว่า เขาหลอกเลยน่า..." พอดีช่วงนี้ สันติอโศกอยู่ในบรรยากาศ งานศิลปะ ชื่อ "รากแก้วแห่งชีวิต ศิลปะกับวิญญาณทางสังคม" เป๊ะเลย.

บัวปลิว

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

คนน่าเบื่อ
เห็นหน้าเธอครั้งใดใจเป็นทุกข์
แน่นกระจุกในอกต้องปกปิด
น่ารำคาญหัวใจคนใกล้ชิด
เบื่อจริตอิตถีมีมารยา
ใครชี้บอกขุมทรัพย์รับไม่ได้
ไม่ถูกใจ เจ็บใจ ไม่ชอบหน้า
ทั้งจู้จี้ขี้บ่นไม่เลิกลา
เหมือนคนบ้าเพ้อเจ้อเผลอลืมตน

ชอบเพ่งโทษถือสาอัตตาจัด
พวกแก่วัดเจ้าปัญญาหาเหตุผล
แต่ไม่รู้ไม่ตามอารมณ์ตน
เธอเป็นคนถือตัวน่ากลัวจัง
ทำอะไรอยู่ที่ไหนไม่สนุก
แส่หาทุกข์ทับตนจนปวดหลัง
สร้างภาพเพื่อศักดิ์ศรีดีเด่นดัง
คนน่าชังนี้นะหรือ คือฉันเอง.

- แด่ธรรม คนึงสัตย์ธรรม -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


แฉศัตรูศาสนาคืออำนาจกับเงินตรา

"พระศรีปริยัติโมลี" ชี้หยุดชิงความเป็นใหญ่ หวั่นคนเลิกนับถือศาสนา

พระศรีปริยัติโมลี รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เปิดเผยผลการสัมมนา สภาผู้นำศาสนา และ จิตวิญญาณ แห่งโลก วันที่ ๑๓ มิ.ย. ที่หอประชุมสหประชาติว่า สาระของการประชุม ในวันที่ ๒ คือ การนำหลักธรรม ทางศาสนา ไปแก้ปัญหา ความยากจน ที่นับวันช่องว่าง ระหว่างความร่ำรวย กับความยากจน ยิ่งเลวร้ายลง จากสภาพ แวดล้อมเศรษฐกิจ การเมืองที่เปลี่ยนไป การเอารัดเอาเปรียบ ของคนรวย ที่มีต่อคนจน ประเทศที่ร่ำรวย กับประเทศที่ยากจน โดยมีการสร้างกฎเกณฑ์ เอารัดเอาเปรียบขึ้นมามากมาย การกระทำย่ำยีกันเอง ของมนุษย์กับมนุษย์ ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า ไม่ว่าคนรวย หรือคนจน และทุกศาสนา ล้วนแต่มีพระเจ้าองค์เดียวกัน ซึ่งสอนให้มนุษย์รักกัน เป็นพี่น้อง ไม่คับแคบ และ หากศาสนา ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหา หรือเป็นที่พึ่ง ให้กับคนยากจนได้ ก็เท่ากับว่า มนุษย์ไม่มีอิสรภาพ อย่างแท้จริง ส่วนคำสอน ทางศาสนา ก็เป็นได้เพียง คำเทศนา ที่หาแก่นสารไม่ได้

รองอธิการบดีมหาจุฬาฯกล่าวว่า นอกจากนั้นมีการกล่าวถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก ที่ถูกทำลายมากขึ้น ปัญหาสังคม โดยเฉพาะ ยาเสพติด ที่ทำลายเยาวชน ให้ออกนอกกรอบ และจารีตประเพณีที่ดีงาม จนส่งผลกระทบ ต่อความมั่นคง ในชีวิต ความแตกสลาย ของครอบครัว ความล้มเหลว ของระบบการศึกษา ที่ท้าทายทุกฝ่าย ซึ่งต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องใช้ศาสนา แก้ปัญหา อย่างจริงจังว ต้องทำความเข้าใจเงื่อนไข และสภาพที่แท้จริง ของสังคม และไม่ควรฝันเฟื่อง "หมดเวลาแล้ว ที่เราจะมอวศาสนาอื่น เป็นคู่แข่ง แล้วต่อสู้แย่งชิงความเป็นใหญ่ เหนือศาสนาอื่น คู่แข่งของศาสนา ก็ไม่ใช่ศาสนาอื่น คู่แข่งสำคัญของศาสนา คือวัตถุนิยม และ บริโภคนิยม ซึ่งชักนำจิตใจของคน ออกห่างศาสนา และ ในที่สุด ก็เลิกนับถือศาสนาใดๆ แสวงหาแต่เงินตรา และอำนาจ การแสวงหาเงินตรา และอำนาจ โดยไม่มีจริยธรรม ทางศาสนา กำกับ เป็นรากเหง้า แห่งความขัดแย้งทั้งปวง"

(จากคอลัมน์ การศึกษา-ศาสนา-สาธารณสุข น.ส.พ.ไทยรัฐ วันศุกร์ที่ ๑๔ มิ.ย.๔๕)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

นร.สัมมาสิกขาร่วมทัศนศึกษา
เรียนรู้โลกภายนอกอย่างใช้สติปัญญา

เมื่อวันที่ ๑๔-๒๓ มิ.ย. ๔๕ สมณะร่วเมือง ยุทธวโร พร้อมคณะคุรุทั้งนักบวช และฆราวาส พาเด็กน.ร.สัมมาสิกขาสันติอโศก และปฐมอโศก เดินทางไปทัศนศึกษา นอกสถานที่ ภายใต้คำจำกัดความ ของสมณะร่มเมืองที่ว่า "คนโง่ชอบเที่ยว คนฉลาด ชอบศึกษา" ดังนั้นการไป ทัศนศึกษาครั้งนี้ ก็เพื่อให้เด็กๆ ได้ไปเรียนรู้ สังคมภายนอกบ้างว่า เขามีวิถีชีวิตแตกต่าง จากพวกเรา อย่างไร ถือเป็นการ ปลุกจิตสำนึก ของเด็กนักเรียนด้วย

การไปทัศนศึกษาครั้งนี้แบ่งออกเป็น ๒ ชุด ชุดแรกให้นักเรียน ชั้น ม.๓-๖ ไประหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ มิ.ย.๒๕๔๕ ชุดที่ ๒ นร.ชั้น ม. ๑-๒ ไประหว่าง วันที่ ๒๑-๒๓ มิ.ย.๒๕๔๕ สถานที่ไป ก็จะทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

ในกรุงเทพฯก็มี ๑.ตลาดสะพานปลากรุงเทพ ๒.โบสถ์ซางตาครู้ส ๓.วัดกัลยาณมิตร ๔.ตลาดปากคลองตลาด ๕.ตลาด พาหุรัด, สำเพ็ง, เยาวราช ๖.วัดซิกส์ ๗.วัดมังกรกมลาวาส ๘.สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ๙.สถานเสาวภา ๑๐.สลัมคลองเตย ๑๑.พิพิธภัณฑ์ซีอุย โรงพยาบาลศิริราช ๑๒.วัดพระแก้ว ๑๓.วัดมหาธาตุ ๑๔.พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ๑๕.ห้องสมุดปรีดี พนมยงค์ ๑๖.ศาลหลักเมือง ๑๗.นั่งเรือหางยาว ชมทิวทัศน์สองฝั่ง แม่น้ำเจ้าพระยา จากท่าช้างไปนนทบุรี ๑๘.บ้านปากเกร็ด

ส่วนต่างจังหวัดก็มี ๑.บ้านนาเกลือ อำเภออรัญประเทศ ชายแดนไทย-เขมร เยี่ยมชาวเขมร ๒.น้ำตกสอยดาว ๓.วัดเขาสุกริม จังหวัดจันทบุรี

สถานที่ทุกแห่งที่ไป ท่านจะอธิบายให้ความรู้นักเรียนตลอดเวลา และก็จะให้นักเรียนสรุปทุกครั้งว่า ไปดูแล้วรู้สึกอย่างไร ได้ข้อคิดอะไร ทุกคนต้องพูด เพราะเราไปทัศนศึกษา มิใช่ไปเที่ยว และให้นักเรียน ช่วยกันวิเคราะห์ด้วยว่า "การไปเที่ยว กับ การไปทัศนศึกษา ต่างกันอย่างไร" พอกลับมาที่วัด ก็ให้สรุป ที่ศาลาฟังธรรมอีกครั้งว่า ได้ข้อคิด ได้ประโยชน์อะไร จากการไป ทัศนศึกษา ในครั้งนี้ และ ให้สรุปเขียนเป็นจดหมาย เล่าบรรยากาศ การไปทัศนศึกษา ส่งไปให้พ่อแม่ทางบ้าน ได้รับรู้ด้วย

โดยสรุปแล้ว นักเรียนทุกคนก็ได้รับประโยชน์ ในการไปครั้งนี้มาก เพราะสิ่งที่ไปประสบพบเจอ ผู้คนที่ลำบากกว่า พวกเรามาก ต้องปากกัด ตีนถีบหาเลี้ยงชีพ แม้กระนั้น ก็ยังแทบเอาตัวไม่รอด ยิ่งชาวเขมรที่ไปเจอ เขาลำบากมาก แทบไม่มีจะกิน ทำงาน ก็หนัก เด็กๆ ก็ทำงานหนัก อายุ ๘-๑๐ ขวบ หาบของหนัก ๔๐ -๕๐ กก. แถมหนังสือ ก็ไม่ได้เรียน เขาลำบากกว่าพวกเรา หลายเท่าทีเดียว ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้นักเรียน แต่ละคน มีพลังใจ ที่จะพัฒนา แก้ไขปรับปรุงตนเอง มากยิ่งขึ้น.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,500 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]