ฉบับที่ 190 ปักษ์แรก1-15 กันยายน 2545

[01] บทนำข่าวอโศก: งานสร้างตน สร้างคน
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "จับประเด็นจากหนังสือคนคืออะไร (ตอน ๒) ผ่าคน แยกคน"
[03] บันทึกปัจฉาสมณะ:
[04] สกู๊ปพิเศษ : ลอบวางเพลิงร้านน้ำใจ หัวใจชาวอโศกสลาย
[05] กสิกรรมธรรมชาติ : การทำกสิกรรมไร้สารพิษ ๒
[06] ข่าว: เชียงรายอโศก อบรมเกษตรกรรุ่นพิเศษ เศรษฐกิจพึ่งตนฯ ผวจ.เชียงราย ให้ความร่วมมือ

[07] ศูนย์สุขภาพ : ระวังภัย ระวังใจ ไมโครเวฟ
[08] พรรคเพื่อฟ้าดิน สาขา ๑๐ เขตบึงกุ่ม เสวนาเรื่อง ขายทรัพย์สินของชาติ แก้ปัญหาได้จริงหรือ
[09] ข่าวพรรคเพื่อฟ้าดิน: สาขา ๘ คัดค้านการขึ้นเงินเดือน ส.ส. และ ส.ว.เพื่อความเป็นธรรมฯ
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] ข่าว:เตาเผาขยะไร้มลพิษ
[12] นานาสาระ : เรียนรู้เบื้องลึก ว่าด้วยการสวนกาแฟ เพื่อล้างพิษ
[13] ข่าว : ธรรมนูญบุญนิยม ร้านค้าเครือข่ายชาวอโศก มติจากที่ประชุม ๘ พาณิชย์
[14] ข่าว : พบเส้นเลือดปริศนาในตับ ช่วยไขคำตอบ รักษา มะเร็ง
[15] :นางงามรายปักษ์ นางเฉลียว ลอยวิไล
[16] ครัวอโศก : เห็ดรวมกระทะร้อน

:


งานสร้างตนสร้างคน

การปฏิบัติธรรมคือการทำงาน หรือการทำงานคือการปฏิบัติธรรม จริงหรือไม่?

จะจริงอย่างยิ่งเลย ถ้าการทำงานดังกล่าว หมายถึงงานในและงานนอก สำหรับคนที่ยังมีกิเลสอยู่

ส่วนผู้หมดกิเลสแล้วดังเช่นพระอรหันต์ ท่านจะมีการทำงานนอกเพื่อผู้อื่นเท่านั้น สำหรับงานในถือว่า ท่านจบกิจ สิ้นภาระ ไม่มีอะไร ต้องทำอีกแล้ว

ดังนั้นการทำงานของชาวเราที่ยังไม่จบกิจสิ้นภาระงานในเช่นพระอรหันต์ ก็ต้องดูแลจิตวิญญาณ ให้ตัดกิเลสพร้อมไปกับ การทำงาน ที่ไม่ผิดศีลธรรม

การดูแลจิตวิญญาณก็คือมีการเพ่งเล็งกล้าในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ดุจแม่วัวเล็มหญ้า

ส่วนการทำงานเพื่อชาวโลกที่ไม่ผิดศีลธรรม ก็ดุจแม่วัวให้ลูกวัวดูดนม

ดังนั้นถ้าชาวอโศก เช่น เด็กนักเรียนที่เพิ่งเรียนจบสัมมาสิกขาไม่ว่าที่ไหน หากเรามุ่งแต่จะให้พวกเขา ทำแต่งานภายนอก โดยไม่ดูแล จิตวิญญาณ ก็เท่ากับว่า มุ่งให้พวกเขาหลุด จากการเป็นนักปฏิบัติธรรม

เชื่อไหมว่า นักบวชที่มุ่งแต่งานนอก ไม่เน้นงานในควบคู่กันไป ก็มีสิทธิ์หลุดจากการปฏิบัติธรรมได้เช่นกัน ป่วยการ กล่าวไปไย ถึงฆราวาส โดยเฉพาะเด็กๆ

แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาเด็กๆให้มีจิตวิญญาณที่แข็งแรง และพวกเขาสามารถทำงานสร้างคนดี มิใช่สร้างแต่ ความเจริญ ทางวัตถุได้ นี่สิที่ประเสริฐกว่า และควรส่งเสริม และสนับสนุนอย่างยิ่ง จริงไหม?

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


จับประเด็นจาก หนังสือ คนคืออะไร ? (ตอน ๒ )

ผ่าคน แยกคน

ชีวิตคนเราแบ่งออกได้สองส่วนคือ กายกับจิต

กายนั้นเป็นวัตถุธาตุ ส่วนจิตเป็นพลังงานธาตุ กระบวนการทำงานสอดประสานสองสิ่งนี้ ทำให้คนมีชีวิตเคลื่อนไหว สัมผัสรับรู้ เกิดอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ ขึ้นเป็นวิญญาณธาตุ

วิญญาณธาตุจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากกายกับจิตไม่เกิดการสอดรับกันและกัน อาทิเช่น คนนอนหลับ เขาไม่รับรู้ ความรู้สึกใดๆ ทางกาย เพราะจิตจมลงภวังค์ ไม่สอดรับกับสัมผัสกาย หรือเรียกว่า ขาดสติสัมปชัญญะ

พ่อท่านเปรียบคนเหมือนกับรถยนต์ ซึ่งประกอบด้วยตัวรถกับพลังงานขับเคลื่อน หากเครื่องไม่ติดรถก็วิ่งไม่ได้ ฉันใด ก็ฉันนั้น... หากกายกับจิต ไม่ทำงาน สอดประสานกัน การสัมผัสรับรู้ หรือวิญญาณธาตุ ก็ไม่ก่อเกิด

"วิญญาณ" คืออะไร ?

วิญญาณคือตัวรู้...รับรู้สัมผัสอันส่งมากจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะที่เรายังมีสติสัมปชัญญะอยู่

วิญญาณไม่มีรูปร่างเป็นตัวตน มิใช่อย่างหนังผีที่เราเคยดูในโรงหนัง หรืออย่างที่ผู้ใหญ่ หลอกเด็กให้กลัว หากเป็นเพียง พลังงาน อย่างหนึ่ง ในตัวคนเรา

วิญญาณจำแนกออกได้ ๒ ส่วน คือ ส่วนย่อยกับส่วนใหญ่

ส่วนใหญ่...เป็นวิญญาณจิตองค์รวมภายในตัวเรา

ส่วนย่อย...เป็นวิญญาณซึ่งแตกออกมาจากวิญญาณจิต ส่งออกไปจากกายในรูปพลังงาน เช่น การเปล่งเสียงพูด เป็นวิญญาณเสียง ส่วนย่อย ที่ถูกส่งออกไป

สรรพสิ่งทั่งพิภพจักรวาลไม่สูญหายไปไหนทั้งสิ้น เพียงแปรเปลี่ยนสถานะไป ตามกาลเท่านั้น ทั้งที่เป็นวัตถุธาตุ ขนาดใหญ่ อย่างโลก หรือพระอาทิตย์ สักวันหนึ่ง ก็ต้องแปรสภาพไป เพียงแต่นานหน่อยเท่านั้น

ส่วนวิญญาณจิตคนก็เฉกเช่นกัน สามารถแปรเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว ชนิดเราจับไม่ติดเลยก็มี และวิญญาณจิต ที่ยึดติด ด้วยอวิชชา ต้องใช้ระยะเวลา ยาวนานเหลือแสน สุดคาดเดา ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลง

ดิน น้ำ ลม ไฟ = คน

คน ก่อเกิดจากการสังเคราะห์ ระหว่าง สสารกับพลังงาน
สสาร คือธาตุทั้งสี่
พลังงาน คือจิต

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สดจากปัจฉาสมณะ

"เมื่อคืนนี้สี่ทุ่ม มีคนมาจุดไฟ เผาร้านน้ำใจ ไหม้หมดทั้งร้าน ค่าเสีนหายประมาณ ๘ ล้านบาท ดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร" เสียงสมณะผืนฟ้า อนุตตโร โทรมาบอก เมื่อเวลา ๐๕.๓๓ น. วันที่ ๔ ก.ย.๔๕ ขณะที่พ่อท่าน กำลังรอจะขึ้นเครื่องบิน ที่ดอนเมือง เพื่อเดินทางไป อุบลราชธานี ทุกคนที่ทราบข่าว แทบไม่เชื่อเลยว่า จะมีใครใจอำมหิต ทำเรื่องเลวร้าย กับพวกเราได้ ถึงขนาดนั้น อาจจะไฟช็อต ไฟฟ้าลัดวงจรมั้ง" พ่อท่านตั้งข้อสันนิษฐาน หลังจากทราบข่าว เพราะพวกเรา มีแต่ให้กับให้ แถมเสียสละ ช่วยเหลือชาวบ้าน มาตลอด แล้วจะมีชาวบ้านที่ไหน ทำร้ายเราได้ลงคอ...!? ถ้ามีคนมาเผาจริงๆ ให้รู้สึกตกใจ และงงมากๆ เป็นไปได้ยังไง ? ใครเป็นคนบงการ? มีเรื่องอะไร? ทำไมทำกันรุนแรงขนาดนี้?

 

เมื่อพ่อท่านถึงที่สนามบินอุบลราชธานี ยังไม่เข้าบ้านราชฯ รีบเดินทางไปศีรษะอโศกทันที พร้อมสมณะบ้านราชฯอีก ๕ รูป เสียดายผู้เขียน ไม่ได้ติดตามไปด้วย เพราะกำลังเดินทาง โดยรถไฟ เพิ่งจะถึงแถว อ.มวกเหล็ก ชาวศีรษะอโศก โทรบอกว่า พ่อท่านไปถึง ศีรษะอโศกแล้ว จึงทำได้เพียงแแค่ จินตนาการเอา ขณะนั้น ใจนึกเป็นห่วง ชาวศีรษะอโศก หลายคน คงอกสั่นขวัญหาย กับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ความร้อนแรงของเปลวไฟลูกใหญ่ๆ ในคืนเดือนมืด (แรม ๑๑ ค่ำ) บวกเสียงสิ่งของ ที่ถูกไฟเผาไหม้ ดังปะทุ เป็นระยะๆ น่าตื่นตระหนกมาก สถานที่สิ่งของโรงเรือนนั้น เราเคยเห็น เคยใช้ประโยชน์ด้วย มันเหมือนใจเรา ถูกเผาไหม้ไปตาม ความสูญเสียอย่างนี้ มันรวดเร็วเกินกว่า ที่คนบารมีน้อย กิเลสหนา เช่นเราๆ จะทำใจไม่สลด เสียดายได้ สภาพ "ขวัญหนีดีฝ่อ" เช่นนี้ ผู้เขียนเคยรู้รสชาติ ของมันมาแล้ว ชีวิตในอดีต พบเจอมา ๓ ครั้งแล้ว ขนาดนั่นเป็นทรัพย์สินบ้านช่อง ของคนที่ผู้เขียน ไม่ได้รู้จักด้วย แต่การเห็นคนลนลาน ตื่นกลัว ร้องห่มร้องไห้หา กันไปมา บ้างแบกข้าวแบกของกัน อย่างทุลักทุเล หลายคนตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ผู้เขียนพลอย "อกสั่นขวัญหาย" ไปตาม นี่ร้านน้ำใจ ที่เด็กๆและผู้ใหญ่ ชาวศีรษะอโศกรู้จักดี คงจะทำใจลำบากมาก กับการสูญเสียครั้งนี้ ร้านน้ำใจเปรียบเหมือน เส้นเลือดเศรษฐกิจเส้นใหญ่ ของศีรษะอโศก มูลค่า ๘ ล้านบาท ที่มลายหายไป กับเปลวเพลิง คงต้องใช้เวลา อีกนานทีเดียว กว่าจะฟื้น ขึ้นมาได้ คำพังเพยที่ว่า โจรปล้น ๑๐ ครั้ง ก็ยังไม่เสียหาย เท่าไฟไหม้ ครั้งเดียว จริงทีเดียว แม้บ้านราชฯ น้ำท่วมติดกัน ๓ ปีเข้านี่แล้ว ต้นกล้วย มะละกอ เป็นพันๆต้น จมน้ำ ข้าวเปลือกชื้นเสียหาย และแต่ละปี น้ำท่วม ๒-๓ เดือน กว่าจะลด ก็ยังไม่สูญเสียมาก อย่างไฟไหม้ ร้านน้ำใจแค่ ๓ ชั่วโมงเท่านั้น แสดงว่า ภัยจากธรรมชาติ ก็ยังไม่โหดร้าย เท่าภัยจากมนุษย์

ลอบวางเพลิงร้านน้ำใจ หัวใจชาวอโศกสลาย" เป็นข้อความพาดหัวข่าว อโศกรายปักษ์ ที่คณะจัดทำ โทร.ไปเรียนถาม พ่อท่านจึงแนะ ให้ใช้ข้อความนี้ คำว่า หัวใจชาวอโศกสลาย จริงทีเดียว โดยเฉพาะหัวใจชาวศีรษะอโศกเอง ทำอย่างไร จะช่วยเยียวยา รักษาใจ ของพวกเขาได้ อย่างน้อยๆตอนนี้ที่ทำได้ก็คือ ช่วยเยียวยาทรัพย์สิน ให้ชาวศีรษะอโศกก่อน

พ่อท่านแจ้งให้ฝ่ายการเงิน ที่ดูแลเงินทำบุญ ๓ แสนเศษ เตรียมจะใช้ขนย้ายเรือ โอนให้ศีรษะอโศก ไปหมดกระเป๋าคลัง

เมื่อวาน (๘ ก.ย.) ทราบข่าวว่า ทางสันติอโศก และปฐมอโศก ไปเยี่ยมให้กำลังใจ และเอาเงินให้ จำนวนหนึ่ง

วันนี้ (๙ ก.ย.) ผู้เขียนร่วมไปกับชาวบ้านราชฯ ขนเต้าหู้ไปให้ ได้มีโอกาสฉันอาหาร กับข้าวอาหารมีน้อย ไม่เหมือนก่อน ได้ยินว่า ชาวศีรษะอโศก กำลังช่วยกัน กระเหม็ดกระแหม่ ค่าใช้จ่ายต่างๆ สิ่งที่น่าเอ็ดดู ก็คือ เด็กนักเรียนส่วนหนึ่ง ตื่นตี ๓ ทำน้ำเต้าหู้ ไปขายที่ บ้านกระแชง และทำอาหารไปขายที่ อ.กันทรลักษ์ ผู้เขียนได้เห็น และคุยกับเด็กหลายคน ยังคงยิ้มหัว สนุกกับชีวิตที่นั่น แสดงว่า อาการอกสั่นขวัญหายไม่มีแล้ว แม้ขวัญไม่หนี ดีไม่ฝ่อ แต่ก็อยากจะตีฆ้อง ร้องป่าว ชาวอโศก ที่ยังพอจะมี ช่วยน้ำใจของท่าน แบ่งปันไปให้ศีรษะอโศกด้วย กิจกรรมที่เป็นกุศล จะได้ขยับเขยื้อน ไปได้ต่อ เพื่อกอบก่อ ร้านน้ำใจ ขึ้นมาใหม่.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ลอบวางเพลิงร้านน้ำใจ
หัวใจชาวอโศกสลาย

คืนวันอังคารที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๕ เวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกาเศษ ขณะที่ฝนกำลังตกพรำๆ มีคนในชุมชน ได้ยินเสียง รถมอเตอร์ไซค์ พร้อมกับเสียงบอกตะโกน บอกว่าไฟไหม้ๆๆ ไฟไหม้ร้านน้ำใจ แต่ไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่งมีโทรศัพท์ จากเจ้าหน้าที่ อ.บ.ต. กระแซง ซึ่งมานั่งทำงานล่วงเวลา อยู่ที่ทำงาน (สถานที่ อ.บ.ต.กระแซงอยู่ตรงข้ามกับร้านน้ำใจ) โทรมาแจ้ง อ.บ.ต. ของศีรษะอโศก ว่ามีไฟไหม้ร้านน้ำใจ ขณะเดียวกัน ไฟก็เกิดลุกไหม้ขึ้นที่ กองบุญปัจจัยสี่ เจ้าหน้าที่ อ.บ.ต. ของศีรษะอโศก (คุณสมภาร บุญทะจิตร) จึงรีบไปดับไฟ ทางด้านหลังกองบุญปัจจัยสี่

 

ขณะเดียวกันไฟที่ร้านน้ำใจ ก็ได้โหมกระพือขึ้น ทั้งๆที่ฝนได้ตกพรำๆ ลงมาตลอด กว่าที่แต่ละคน จะได้วิ่งไปพร้อมกัน ที่ร้านน้ำใจ ซึ่งใช้เวลากว่า ๑๐ นาที ทำให้ไม่สามารถควบคุมไฟ ที่กำลังลุกไหม้ได้ และกว่ารถดับเพลิง จะมาถึง ใช้เวลา ประมาณ ๔๕ นาที แม้เมื่อมาถึงแล้ว ก็ไม่สามารถ ที่จะใช้น้ำดับไฟได้ทันที รถดับเพลิง จึงต้องกลับไปอีกครั้ง และกลับมาใหม่ จึงสามารถใช้งานได้

ขณะที่รอรถดับเพลง แต่ละคนต่างก็ช่วยกันคนละถังสองถัง เอาน้ำเลี้ยงรอบๆบริเวณ ที่ไฟยังไหม้ไม่ถึง และบริเวณ ปั๊มน้ำมัน กว่า ๓ ชั่วโมง จึงสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะนำอะไร ออกมาจากร้านได้เลย ซึ่งประมาณ ค่าเสียหาย ตอนนี้ ๕-๘ ล้านบาท

สำหรับสาเหตุยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน ต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานอีก มาตรวจสอบ หลักฐาน อีกครั้ง ซึ่งคงต้องใช้เวลา ไม่ต่ำกว่า ๗ วัน ส่วนสาเหตุต่างๆ เช่น การไปขัดแย้งผลประโยชน์ คนอื่นหรือไม่ โดยเฉพาะ ด้านปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งในปีนี้ โรงปุ๋ยชีวภาพ เฉพาะของจังหวัดศรีสะเกษ มีถึง ๕ โรงด้วยกัน แน่นอนเหลือเกิน นายทุนหลายคน คงเสีย ผลประโยชน์ ในส่วนนี้ไป และอีกประการหนึ่ง ที่น่าสนใจคือ พรรคเพื่อฟ้าดิน เป็นแกนนำ ในการต่อต้าน การขึ้นเงินเดือน ส.ส. และ ส.ว. ที่ผ่านมา ทั้งตัวเมืองกันทรลักษ์ และอำเภอเมือง จ.ศรีสะเกษ ก็ได้ร่วมกันเดินขบวน คัดค้าน ซึ่งอาจจะเป็น สาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ฝ่าย ที่เสียผลประโยชน์ ไม่พอใจ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เรายังไม่ทราบ หรือไม่สามารถ สรุปสาเหตุ ที่แน่ชัดได้ เพราะนอกจากนี้แล้ว ยังมีประเด็น การขายสินค้าต่างๆ ที่ขายถูกกว่าท้องตลาด ในทุกๆๆประเภท และที่ยิ่งสำคัญ ไปกว่านั้นคือ มีการอบรม ให้ทั้งเกษตรกร และชาวบ้าน ที่สนใจ ในอาชีพต่างๆ เรียกว่า อบรมให้เกษตรกร ฉลาดขึ้น ช่วยตัวเอง ให้มากขึ้น หรือ พึ่งตนเอง ให้มากขึ้นนั่นเอง

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอานุสสติอย่างดียิ่ง ให้กับชาวบ้านศีรษะอโศก ขณะที่เราหลงภาคภูมิใจว่า ได้ทำงานเสียสละ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่แก่ผู้อื่น นับเป็นบุญยิ่งนัก คงต้องหันกลับมา มองย้อนดูตัวเอง และ พิจารณาให้มากว่า ขณะที่มีคนชอบ คนสนใจ ก็มีคนที่ไม่ชอบ หรือรังเกียจเราอยู่ ในการทำงานต่อไป คงต้องระมัดระวังให้มาก ดังคำพูดที่ว่า เมื่อมีคนรัก ก็มีคนชัง เป็นของคู่กัน และก็เป็นอุปกรณ์ การเรียนการสอน อย่างดียิ่ง สำหรับ นร.ศีรษะอโศกว่า เราลำบากแล้วนะ เราไม่มีร้านค้า ให้เบิกของแล้วนะ ทุกสิ่งทุกอย่าง จะต้องใช้อย่างประหยัดจริงๆ ไม่ใช่ประหยัด แค่ภาษาพูดเท่านั้น ปรับวิกฤต ให้เป็นโอกาส ความรู้สึก ของเด็กๆ ส่วนใหญ่ ก็ไม่แตกต่าง ไปจากผู้ใหญ่ เศร้าใจหดหู่ใจ อาจจะมีบางคนเท่านั้น ที่ไม่รู้สึกอย่างไร เพราะพึ่งจะเข้ามาอยู่ ยังไม่ครบปี แต่ถ้าใครอยู่มาหลายปี จะมีความผูกพันมาก เพราะร้านน้ำใจ เป็นฐานเศรษฐกิจ ฐานเดียว ที่นำรายได้ ให้ส่วนอื่น ยกเว้น ภาคเกษตร เข้ามาหล่อเลี้ยงชุมชน

 

ส่วนเช้าวันที่ ๔ กันยายน พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร พร้อมด้วยปัจฉาฯ ได้ทราบเรื่องราว จึงได้เดินทาง มาให้กำลังใจ ชาวศรีษะฯ ซึ่งพ่อท่านก็ได้ให้กำลังใจว่า เป็นโจทย์ หรือบททดสอบ สำหรับนักปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง โจทย์ระดับนี้ ใจของเรา จะเป็นอย่างไร ทนได้หรือไม่ เมื่อมีความรุ่งเรือง ก็ย่อมมีความเสื่อม จากความรุ่งเรือง ยกเว้น ใจของเรา ที่หลุดพ้น จากกิเลสแล้ว จะไม่หวนกลับไปอีก สำหรับทรัพย์สินภายนอก สามารถที่จะหาใหม่มาได้

 

สุดท้ายแม้ว่าขณะนี้เราจะยังไม่สามารถสรุปสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้อย่างแน่ชัดได้ แต่ก็ได้มีการพูดคุย ในทิศในอนาคต ในครั้งหน้าว่า ต่อไปสินค้า ที่จะนำมาจำหน่าย จะมุ่งเน้นที่ผลิตภัณฑ์ ในชุมชนเป็นหลัก พอใช้ พออยู่ พอกิน ที่เหลือ จึงนำออกจำหน่าย เพื่อให้สมกับ หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง แต่คงจะต้องรอเวลา สักระยะหนึ่ง เพื่อเก็บออมเงินทุน พวกเรา คงจะต้องอดทน และย้อนไปสู่ ความยากจน อีกครั้ง

ขออนุโมทนา และขอขอบพระคุณทุกท่านที่ห่วงใย และส่งน้ำใจไปช่วยเหลือ ซึ่งมีทั้งญาติธรรม ทั่วทุกภาค ไม่ใช่เฉพาะ ญาติธรรม ของชาวอโศกเท่านั้น บรรดาชาวบ้าน ที่อยู่ละแวกใกล้เคียง ที่เคยไปจับจ่ายซื้อของ พอไปเห็นซากปรักหักพัง บางคนถึงกับ สาบแช่ง คนที่กล้าทำเลยทีเดียว พวกเราก็ได้แต่ปลอบใจว่า อย่าไปสาบแช่งเขาเลย คงเป็นคราวเคราะห์ หรือเป็นวิบาก ของเราจริงๆ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



การทำกสิกรรมไร้สารพิษ (๒)

วิธีใช้ที่ให้มีประสิทธิภาพเร็ว มีอยู่ ๒ ลักษณะ
๑.อาไปใส่ไว้ในที่ที่เราอยากจะปลูกอะไรลงไป แล้วก็รดน้ำ ๑ สัปดาห์ เอาไปใช้
๒.เมื่อเราไปปลูกพืชไว้แล้ว เอาไปใส่เพิ่ม ควรจะมีการพรวนดินรอบๆใบสักนิดหนึ่ง แล้วใส่ลงไป เอาดินกลบ เอาวัชพืช หรือ เอาฟางคลุมก็ได้ จะช่วยให้ประสิทธิภาพ ของปุ๋ยเร็วขึ้น ดีกว่าที่เราจะไปวางไว้เฉยๆ แล้วให้ซึมลงเอง ใบไม้ที่ดินกลบ จะเปื่อยไว ลงรากพืชได้ไว (สรุปจากคำบรรยายของคุณใจเพชร สวนส่างฝัน)

ไม่ต้องใช้น้ำตาลก็ได้
หมักจุลินทรีย์ เดี๋ยวนี้ไมต้องใช้น้ำตาลแล้ว เอาน้ำซาวข้าวใส่ลงไป แล้วก็ข้าวแห้งที่เรากินเหลือ ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า เพราะข้าว จะเปลี่ยนเป็น น้ำตาล จะขึ้นฝ้าทันที เป็นกลูโคลส แล้วช้อนใส่ถังที่เตรียมไว้ ที่จะทำจุลินทรีย์ เอาเศษผักต่างๆลงไป เอาน้ำซาวข้าว ใส่ลงไป พอเต็มก็ตักออกใส่อันใหม่ แต่อย่าเทหมด เพราะเชื้อยังอยู่ เศษอาหาร เปลือกผลไม้ เราลงถังหมด คนเข้าด้วยกัน ไม่มีกลิ่นเหม็นเลย ไม่มีหนอน เสร็จแล้วเอาไปทำปุ๋ย เพียง ๓ วันเชื้อเดินขาวเลย ใส่แกลบดำ ๑ ส่วน, แกลบขาว ๒ ส่วน, ดิน ๑ ส่วน แล้วเอาขยะ หรือสาบเสือใส่ลงไป ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ ได้ใช้เลย โดยเฉพาะ สาบเสือ กับสาบแร้ง สาบกา ชั้นยอดเลย

ในสวนของเรา หญ้าขึ้นก็ตัดมาสับใส่เลย หญ้าที่เราไถออก เอามาชงใส่กันเลย

รสจะเปรี้ยว ไม่เหม็น เหมือนทำเหล้า ข้าวไม่ต้องใส่มาก ข้าวแห้งเป็นตัวเชื้อ ข้าวเหนียวจะดีกว่าข้าวเจ้า เศษอาหาร ที่เหลือ ใส่ลงไป ไม่ต้องทิ้งอะไรเลย ยกเว้นถุงพลาสติก ไม่ต้องมีสูตร คือมีอะไร ใส่ลงไปหมดเลย เพราะมันย่อยสลาย กลายเป็น ปุ๋ยหมด ไร้กระบวนท่า แต่ดีที่สุด คือสาบเสือ เพราะย่อยเร็วที่สุด ก็จะเป็นอาหารก่อน แกลบย่อยทีหลัง จะกินได้นาน

ต้นสาบเสือตามถนน มีมากมาย ไปเกี่ยวเอามาเลย ไม่เกิน ๓ วันย่อยหมดเลยครับ หากมีกลิ่นเหม็น เติมน้ำตาล ลงไปได้ แต่ถ้า ไม่มีกลิ่น ก็ไม่ต้องเติมน้ำตาลเลย
(สรุปจากคำบรรยายของ อ.ไม้หอม บุญสุภาพ สวนส่างฝัน)


[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เชียงรายอโศก อบรมเกษตรกรรุ่นพิเศษ
เศรษฐกิจพึ่งตน ชุมชนเข้มแข็ง
ผวจ.เชียงราย หน่วยราชการให้ความร่วมมือ

ผ่านพ้นไปอย่างได้ผลเกินคาด สำหรับการอบรมค่ายสัจธรรมชีวิต รุ่นที่ ๑๑ (วันที่ ๗-๑๑ ส.ค.๔๕) ของชาวเชียงรายอโศก รุ่นนี้นับว่า เป็นรุ่นที่ค่อนข้าง พิเศษสุดกว่ารุ่นอื่นๆ เพราะเป็นรุ่นที่ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายรุ่งฤทธิ์ มกรพงศ์ มีคำสั่ง ให้ฝ่าย ปกครอง จัดหาเกษตรกร แต่ละอำเภอ มาเข้ารับการอบรม โดยให้จัดมาอำเภอละ ๕ คน วันแรก เกษตรกรมา ลงทะเบียน ๗๙ คน และมีผู้เข้าสมทบ จากที่อื่น ๑๒ คน จากปราจีนบุรี ๒ คน พะเยา ๒ คน เชียงราย ๒ คน และเยาวชนจาก ร.ร. เม็งราย มหาราชอีก ๖ คน วันสุดท้าย แม้จะเหลือเกษตรกรเพียง ๕๙ คน (ไม่รวมผู้สมทบ) แต่ผู้ที่เหลือ นับว่าเป็น เพชรเม็ดงาม ที่ผ่าน การเจียระไนอย่างดี จากนักเจียระไน มืออาชีพ หลายๆท่าน เกษตรกรชื่นชม ในตัววิทยากร ของเราว่า เก่งมาก ทั้งมีความจริงใจ และความตั้งใจ สูงส่ง จะไม่เก่ง ไม่ดีได้อย่างไรละคะ วิทยากรระดับประเทศ ไปช่วย คือ คุณหนึ่งแก่น คุณกล้าฝัน (สุทธินันท์ จันทร) จากขบวนการกู้ชาติ ได้ไปใช้ความรู้ และปลุกจิตสำนึก ได้ดีมาก ยังไม่พอ ยังมีเกษตรสมพงษ์ คงจันทร์ ไปช่วยสอน ทำปุ๋ยกสิกรรม ไร้สารพิษ แถมด้วยการหมัก น้ำป๋าตาเสือ (น้ำลูกยอ) ให้อีก ชาวบ้านฮือฮา เรียนแบบตา ไม่กะพริบ

ส่วนรายการบัญชีชาวบ้าน ก็มี จ.ส.อ.ชัย วงค์ตระกูล(จ่าชัย) มืออาชีพจากลำปาง ไปช่วยบรรยายอีก และนับว่า เป็นข่าวดี ของรุ่นต่อๆไปด้วย ที่จ่าชัยของพวกเรา ได้รับอนุญาต จากผู้บังคับบัญชา ให้ไปช่วยราชการ ที่เชียงรายอโศก ทุกรุ่น อนุโมทนาสาธุ กับผู้อนุญาต และผู้รับอนุญาต ด้วยนะคะ

บอกแล้วว่ารุ่นนี้ไม่ใช่ธรรมดา เพราะมีผู้ว่าราชการจังหวัด มาเยี่ยมเยียน ให้โอวาท และให้กำลังใจ แก่เกษตรกรดีมากๆ ในวันที่ ๒ ของงาน เนื่องจากวันเปิดงาน ท่านติดราชการสำคัญ ที่กรุงเทพฯ มาเปิดงานไม่ได้ รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายปิยะ ศิริกุล จึงมาเปิดงานแทน และมีข้าราชการ ฝ่ายปกครอง เช่น ปลัดจังหวัด ปลัดอำเภอ มาเยี่ยนเยียน ให้กำลังใจเป็นระยะ

พิเศษสุดกว่ากลุ่มอื่นๆ อีกอย่างคือ รุ่นนี้มีการสอนให้ทำ และใช้ลูกประคบโดย คุณน้ำนวลดิน นาวาบุญนิยม ทำน้ำหวาน เข้มข้น จากลูกมะเกี๋ยง ไว้กินได้นานๆ แทนโคล่า แฟนต้า เป๊ปซี่ จากคุณกิ่งธรรม แถมเศษมะเกี๋ยง เอาไปทำแยมต่อ อร่อยไม่น้อยหน้า แยมบนดอยแพงค่า เลยนะคะ และสอนให้ทำน้ำเต้าหู้ จากมืออาชีพ ได้บอกเคล็ดลับ การทำ และการตลาด โดยจ่าชัยอีกด้วย ชาวบ้านสนใจมาก

และแล้วงานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกลา ถึงวันที่ ๑๑ ส.ค.๔๕ ก็ถึงเวลาอำลากัน ก่อนจะอำลาด้วยอาลัย ก็มีรายการ "จ่มก่อนจาก" คือให้เกษตรกร ออกมาเปิดใจ ส่วนใหญ่ก็บอกว่า เขาดีใจมาก และนับเป็นบุญ ของเขาจริงๆ ที่อุตส่าห์อดทนอยู่ จนถึง วันสุดท้าย หลายคนคิดจะหนีกลับ ตั้งแต่วันแรก แต่ด้วยใจนักสู้ และอดทน ก็เลยอุตส่าห์อยู่ จนวันสุดท้าย พอวันที่ ๓, ๔ เขาก็รู้สึก มีความสุข และความเข้าใจเพิ่มขึ้น อาหารก็อร่อยขึ้นๆ ถอดรองเท้าก็ชิน จนลืมไปว่า ยังมีรองเท้า และ ที่สำคัญที่สุด คือ ซาบซึ้ง ในรสพระธรรมยิ่งนัก วันสุดท้าย น้ำตาของลูกผู้ชายบางคน ก็ซึมออกมาให้เห็น ด้วยความซาบซึ้ง และประทับใจ

พวกเราชาวอโศกลูกพ่อท่าน ก็รู้สึกซาบซึ้งประทับใจพวกเกษตรกรไม่น้อยเช่นกัน ทำให้ทุกคน มีกำลังใจ ที่จะตามหาญาติ ของเราต่อไป อย่างไม่ย่อท้อ ต่อความเหน็ดเหนื่อย เช่นกัน ทุกคนสอบผ่าน ด้วยความเบิกบานใจ หัวใจเต็มร้อย สู้ไม่ถอย ตามรอยเท้าพ่อค่ะ.

กิ่งธรรม รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



ระวังภัย! ระวังใจ! ไมโครเวฟ

ได้อ่านข่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า หญิงอเมริกาคนหนึ่ง เกือบกลายเป็นคนตาบอด หลังจากถูกน้ำร้อน ที่ผ่านการต้ม จากเตาไมโครเวฟ พุ่งกระฉูดใส่หน้า เนื่องจากเธอต้มน้ำ ในเตาไมโครเวฟ ๓ นาที ไม่เห็นน้ำมีทีท่า ว่าจะเดือด เธอจึงนั่งรออีกนิด แล้วไปยกถ้วยน้ำ ออกจากเตาไมโครเวฟ ช่วงนั้นเองน้ำที่ร้อนจัด แต่ไม่เดือดปุดๆให้เห็น ก็พุ่งกระฉูด เข้าใส่ใบหน้าของเธอ ราวกับลูกกระสุนปืน ทั้งยังพุ่งกระฉูด ไปโดนเพดานด้วย เธอได้ถูกนำส่งโรงพยาบาล ในสภาพใบหน้า ถูกน้ำร้อนลวก ทั้งใบหน้า กระจกตา ทั้ง ๒ ข้างของเธอเกือบมองไม่เห็น ต้องใช้เวลาเกือบ ๖ เดือน กว่าจะมองเห็น เป็นปกติอย่างเดิม สิ่งที่เกิดกับเธอ เพราะน้ำร้อน ที่มีอุณหภูมิ สูงกว่าจุดเดือด หากแต่ไม่เดือดปุดๆ หรือเดือดให้เห็น แต่สามารถเดือดพุ่งพล่าน อย่างไม่คาดฝัน เมื่อได้รับ การกระตุ้น ทำให้เธอขาดความระมัดระวังตัว นี่ถือว่า เป็นบทเรียน ของผู้ที่จะใช้ เตาไมโครเวฟ ซึ่งควรอ่านวิธีใช้ และข้อควรระวัง อย่างละเอียด รอบคอบ และ ปฏิบัติให้ถูกต้อง

ถึงอย่างไร ความร้อนอันพุ่งพล่านที่มองไม่เห็นของน้ำเดือดในเตาไมโครเวฟ ก็คงไม่ต่างอะไรกับ ความร้อนที่พุ่งพล่าน ที่อยู่ใน จิตวิญญาณของคน ที่สะสมไว้ที่มองไม่เห็น ด้วยตาเปล่า เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้าไม่รู้ตัว สะสมไว้มาก จนเกินพิกัดแล้ว สักวัน ก็คงจะระเบิดออกมา ทำร้ายตัวองก่อน แล้วกระจายไปทำร้าย บุคคลรอบข้าง ซึ่งอาจจะทำร้าย ทำลายได้ แม้กระทั่งชีวิต ร้ายกว่าความร้อน จากเตาไมโครเวฟ หลายเท่านัก ผู้รู้จึงเตือนเราไว้ว่า "อย่าเผลอใจ อย่าห่างใจ" คอยควบคุมจิตใจ ของเราไว้ให้ดีๆ ด้วยศีล ด้วยธรรม จะนำสุขมาให้ ทั้งตัวเอง และผู้ใกล้ชิด สังคมคงสงบสุข และน่าอยู่ กว่าทุกวันนี้ มาช่วยกันสร้างตรงนี้ กันดีกว่านะคะ

- กิ่งธรรม-

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

พรรคเพื่อฟ้าดินสาขา ๑๐ เขตบึงกุ่ม
จัดโครงการบูรณาการด้านนิติบัญญัติ ที่ชุมชนสันติอโศก
เสวนาเรื่อง "ขายทรัพย์สินของชาติ...แก้ปัญหาได้จริงหรือ"

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ ก.ย. ๒๕๔๕ พรรคเพื่อฟ้าดิน สาขาลำดับที่ ๑๐ เขตบึงกุ่ม จัดโครงการบูรณาการ ด้านนิติบัญญัติ เสวนาเรื่อง "ขายทรัพย์สินของชาติ...แก้ปัญหาได้จริงหรือ" โดย ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการ สถาบันสหสวรรษ, นายอัมรินทร์ คอมันตร์ นักธุรกิจ, น.พ.เหวง โตจิราการ ประธานสมาพันธ์ เพื่อประชาธิปไตย ดำเนินรายการ โดย นายธำรงค์ แสงสุริยจันทร์ ประธานเครือข่าย กสิกรรมไร้สารพิษแห่งประเทศไทย

บรรยากาศในวันนี้มีสมาชิกพรรคจากสาขาต่างๆ ตลอดจนญาติธรรม และประชาชนผู้สนใจ เข้าร่วมฟังการเสวนา มากมาย โดยจัดเวที อยู่ทางด้านทิศตะวันออก ของศาลา เวลา ๐๙.๑๐ น.พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ได้พูดเกริ่นนำ ถึงเรื่องหนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร ที่จะครบรอบ ๘ ปีในฉบับที่ ๑๔๗ เดือนตุลาคม ๒๕๔๕ นี้ และแจกหนังสือ โทษทันตา ซึ่งเป็นเรื่องของ กรรมตามสนอง แก่ผู้ซื้อ ในฉบับนี้ด้วย และเชิญชวนทุกท่าน ร่วมแสดงความยินดี ลงโฆษณา ในหนังสือทั้ง ๒ เล่ม สอบถาม รายละเอียดได้ที่ สำนักพิมพ์กลั่นแก่น และพูดถึงเรื่องหนังสือ ที่พ่อท่านเขียนเรื่อง ศาสนาพุทธ เป็นอเทวนิยม

เริ่มเสวนาเวลา ๐๙.๒๕ น. โดย น.พ.เหวง พูดเป็นคนแรก ท่านกล่าวชื่นชมชุมชนชาวอโศกว่า เป็นชุมชน ที่ทรงพลัง เพราะระบบ สังคมทุนนิยม ไม่สามารถครอบงำได้ ขอให้มีกำลังใจ เดินหน้าต่อไป ต่อจากนั้น ได้พูดถึง ก.ม. ๑๑ ฉบับว่า ต่างชาติบอกว่า ก.ม. ดังกล่าว คนไทยเขียนยกผลประโยชน์ ให้ต่างชาติ มากเกินกว่าที่ต่างชาติ ต้องการเสียอีก เนื่องจาก มีธุระจำเป็น เมื่อพูดจบ จึงขอตัวกลับก่อน โดยหัวหน้าพรรค น.ส.ขวัญดิน สิงห์คำ ได้มอบของที่ระลึก

ท่านต่อมา คือ ดร.วุฒิพงษ์ ได้พูดถึงรายละเอียดการขายรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลชุดนี้ว่า ทำได้แนบเนียน และฉลาดกว่า รัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่ขายแบบขายปลีก แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันขายส่ง ขณะนี้รัฐวิสาหกิจ ที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ สนามบิน ท่าเรือ กำลังทยอยขาย ให้ต่างชาติถึง ๑๘ แห่ง จะขายหมดในปี ๒๕๔๗ และฝากว่า ประชาชน ต้องทำให้รัฐบาลรู้ว่า เราตั้งรัฐบาลได้ ก็สามารถล้มรัฐบาลได้เช่นกัน

ท่านสุดท้าย คือ นายอัมรินทร์ คอมันตร์ นักธุรกิจผู้ทำธุรกิจมานานกว่า ๓๐ ปี เคยทำธุรกิจร่วมกับ รัฐวิสาหกิจต่างๆ ของไทย ยืนยันว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆเลย ที่นำรัฐวิสาหกิจ เข้าสู่บริษัทมหาชน เพราะนั่นคือ หนทางไปสู่มือ ของต่างชาติ โดยมี นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง และต่างชาติเท่านั้น ที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาล

ช่วงสุดท้ายเป็นการตอบคำถาม มีผู้ฟังส่งคำถามมากมาย แต่เนื่องจากเวลามีจำกัด จึงไม่สามารถตอบ ได้หมด ๑๑.๔๕ น จึงยุติรายการ โดยหัวหน้าพรรค ได้มอบของที่ระลึก แก่ผู้ร่วมเสวนา และดร.วุฒิพงษ์ ได้มอบต้นฉบับ หนังสือเกี่ยวกับ รายละเอียด ของ ก.ม. ๑๑ ฉบับ แก่หัวหน้าพรรค เพื่อนำพิมพ์เผยแพร่ต่อไป สำหรับการเสวนาครั้งนี้ ท่านใดสนใจ สามารถสั่งซื้อเทปได้ ที่ห้องเผยแพร่ สันติอโศก กทม.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


พรรคเพื่อฟ้าดิน สาขา ๘ ร่วมกับประชาชน
เดินขบวนคัดค้านการขอขึ้นเงินเดือนของ ส.ส.และ ส.ว.
เพื่อความเป็นธรรมของสังคม

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๕ ส.ค. ๒๕๔๕ พรรคเพื่อฟ้าดิน สาขาที่ ๘ จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับประชาชน เดินขบวนคัดค้าน การขึ้นเงินเดือน ของ ส.ส. ส.ว.. นัดรวมตัวที่สี่แยกอุปคุต ต.ช้างม่อย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยดูต้นแบบจากคณะคัดค้าน ที่เดินที่กรุงเทพฯ มาประกอบ เริ่มเคลื่อนขบวน เวลา ๑๗.๐๐ น.ที่ถนนคนเดิน ประตูท่าแพ ซึ่งเป็นตลาดนัด มีคนมาเที่ยวกันมาก เดินมาได้สักพัก ก็หยุดร้องเพลง คนสร้างชาติ ประชาชนทั่วไป ที่ได้ยินเพลง ก็มีปฏิกิริยา ตอบรับดี ริ้วขบวนจะมีผู้ประกาศนำหน้า มีส่วนหนึ่ง คอยรับลงชื่อ ร่วมคัดค้าน การขอขึ้นเงินเดือน ในขณะขบวนเคลื่อนไป ประชาชนที่ได้เห็นขบวน, ใบแถลงการณ์ต่างๆ ก็เห็นด้วย กับการคัดค้านครั้งนี้

ขบวนหยุดร้องเพลงคนสร้างชาติ ๔ จุด จุดสุดท้ายร้องที่ประตูท่าแพ มีเวทีส่วนกลาง ซึ่งเปิดโอกาส ให้คณะคัดค้าน ใช้เครื่องเสียงเล็กๆ แถลงการณ์ ของคณะคัดค้านให้ประชาชน ได้รับทราบถึงกิจกรรม ในวันนี้ และรับรู้ว่า จะร่วมคัดค้านได้ ๒ วิธี คือ ๑.ลงชื่อคัดค้าน หรือ ๒.เขียน จ.ม.ถึงนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ใช้เวลาเดินรณรงค์ คัดค้านอยู่ประมาณ ๒ ช.ม.

เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. ได้เดินย้อนกลับมาขึ้นรถที่สี่แยกอุปคุต แล้วร่วมรับประทานอาหาร ที่ข้างปั๊มน้ำมันบางจาก ก่อนแยกย้าย กันกลับบ้าน

สมาชิกทุกคนที่ร่วมขบวนคัดค้านต่างสดชื่น เบิกบาน ตื่นเต้น เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ร่วมเดินขบวนเพื่อประเทศชาติ และประทับใจ ในน้ำใจ และความเสียสละ ของคณะคัดค้าน ที่เอาภาระบ้านเมือง มีประชาชน เข้าร่วมเดินขบวน คัดค้านครั้งนี้ ประมาณร้อยคน โดยมาจากเชียงราย ลำพูน แพร่

และในวันจันทร์ที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๔๕ โดยการนำของรองหัวหน้าพรรคเพื่อฟ้าดิน(คุณกระจาย บุญยัง) ร่วมกับประชาชน ที่ไม่เห็นด้วย กับการขอขึ้นเงินเดือน จาก จ.เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย ประมาณ ๖๐ คน โดยเริ่มเดินขบวนเวลา ๐๗.๐๐ น. ที่จุดเริ่มต้น สี่แยก ข่วงสิงห์ ผ่านตลาดช้างเผือก -ถนนพระปกเกล้า -ตลาดประตูเชียงใหม่ หยุดร้องเพลง คนสร้างชาติ แล้วเดินต่อ ถึงปั๊มน้ำมัน บางจาก เวลา ๐๙.๐๐ น. ตลอดเวลาที่เดินได้รับความสนใจ จากประชาชนที่เห็นด้วย กับคณะคัดค้าน ประมาณ ๙๐% การเดินครั้งนี้ เดินแบบสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน มิได้สร้างความรำคาญ ให้กับคนใช้รถใช้ถนน แม้จะเป็นเวลาที่จราจร กำลังติดขัด มีรถตู้ ๑ คัน ที่บีบแตรขอทาง นอกนั้นส่วนมาก ก็ยกนิ้วให้กำลังใจ

คุณอิทธิ(ชัดคม) เกษกุล กรรมการสาขาพรรคได้เปิดเผยกับข่าวอโศกว่า จุดประสงค์ ในการเดินขบวน ครั้งนี้ ต้องการให้ประชาชน รู้ว่ามีการขอความเห็น จากประชาชน คัดค้าน การขอขึ้นเงินเดือนของ ส.ส.และส.ว. รู้สึกประทับใจ ที่คณะคัดค้านวันนี้ ประกอบด้วย คนหลากหลาย มีทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง ข้าราชการ พ่อค้า แม่ค้า ประชาชน ได้เห็นคนที่มีความเห็นตรงกัน เป็นจำนวนมาก ผู้ร่วมขบวน ให้ความร่วมมือด้วยดี เวลาติดไฟแดง ขบวนคัดค้านก็หยุดด้วย มีเสียงตะโกน จากประชาชนว่า "เอาเลยผมเห็นด้วย"

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 


เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ น.ส.พ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๑๙๐(๒๒๓) ปักษ์แรก ๑-๑๕ กันยายน ๒๕๔๕

ครั้งแรกที่จิ้งหรีดได้รับข่าวการลอบวางเพลิงร้านน้ำใจและกองบุญปัจจัยสี่ ที่ศีรษะอโศก ด้วยความรู้สึกสลดใจ กับสิ่งเลวร้าย ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ยิ่งทำให้เห็นความสำคัญ และจำเป็นเร่งด่วน ในการเผยแพร่ธรรมะ เพราะมีเพียงธรรมะเท่านั้น ที่จะหยุดยั้ง ไม่ให้สังคมนี้ เข้าสู่กลียุคได้ อีกสำนึก ก็รู้สึกเห็นใจ และเป็นห่วงญาติพี่น้องของเรา ที่ศีรษะอโศก ห่วงความรู้สึก ห่วงจิตใจ ว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ก็อยากส่งกำลังใจทั้งมวล จากหมู่น้องพี่ ส่งถึงชาวศีรษะอโศก ทุกท่าน ให้ฟันฝ่าอุปสรรค ทุกๆอย่าง ไปได้ด้วยดี

เสีย(ร้าน)น้ำใจ..."แต่ได้น้ำใจอีกมากมาย" ฟังว่า อ.ขวัญดิน สิงห์คำ หญิงเหล็กของเรา และอีกหลายๆท่าน ต่างก็เปลี่ยน วิกฤติให้เป็นโอกาส ค้นพบว่า การสูญเสียครั้งนี้ ไม่เปล่าดาย แต่ได้ให้บทเรียน อันมีค่ามากๆ กับชาวศีรษะฯ รวมทั้งได้น้ำใจ ที่หลั่งไหล อีกมากมาย ทั้งจากหมู่กลุ่ม ที่พ่อท่านฯ สมณะ ญาติธรรม ฯลฯ ต่างก็มาให้กำลังใจ หรือแม้แต่ วงนอกเอง ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ ที่รู้เรื่อง ก็ให้ความเห็นใจ เรื่องคราวนี้ จิ้งหรีดเห็นว่า ออกจะเป็นเรื่องยากไม่น้อย ที่จะทำใจ สำหรับบางท่าน เพราะร้านน้ำใจนั้น ชาวศีรษะฯ ได้ร่วมมือร่วมใจ สร้างสรรมากับมือ เป็นเวลายาวนาน แต่ต้องมามอดไหม้ ภายในเวลา ไม่กี่ช.ม. เล่นเอาบางท่าน ยังทำใจไปดู(ซาก)ไม่ได้ แต่จิ้งหรีดเชื่อว่า อีกไม่กี่วัน ชาวศีรษะฯ ซึ่งมีขบวนการกลุ่ม ที่แข็งแรงที่สุด จะกลับมาสดใส กว่าเดิม...จี๊ดๆ

สถานีวิทยุชุมชน...มีข่าวดีมาบอก ขณะนี้สถานีวิทยุชุมชน FM 107.9 MHz.ได้ดำเนินการทดลอง ส่งกระจายเสียงแล้ว จากตึกฟ้าอภัย เลขที่ ๖๔๔ ซ.เทียมพร ถ.นวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐ สามารถรับฟัง ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา ๐๔.๐๐-๑๒.๐๐ น. และ ๑๓.๐๐-๒๑.๐๐ น. ส่วนท่านใดประสงค์ จะแนะนำ หรือติชม รายการต่างๆ ของทางสถานี ก็ขอเชิญได้ตามที่อยู่ ดังกล่าวฮะ....จี๊ดๆ

สถานการณ์น้ำน้ำ...ได้รับรายงานว่า ตอนนี้น้ำคงกำลังขึ้นเรื่อยๆ จนต้องใช้เรือเล็กกันแล้ว และแม้ว่าระดับน้ำ ในช่วงนี้ จะน้อยกว่า ในช่วงเดียวกัน ของปีที่แล้ว ที่เรือใหญ่ ไปได้ทั่วก็ตาม แต่ระดับน้ำ ก็ไม่น้อยแล้ว พูดก็พูดเถอะ สำหรับเรื่อง (น้ำ)ท่วมเนี่ยะ ท่านผู้มีประสบการณ์ ก็บอกว่าท่วมแน่ และยากที่จะป้องกันได้ เพราะบ้านราชฯ มีแนวติดกับแม่น้ำมูล เป็นระยะทางไม่น้อย สบายใจหน่อย ก็ตรงที่ไม่ต้องสูญเสีย พืชผักที่ลงแรงปลูก เหมือนปีก่อนๆ เพราะย้ายไปทำ กสิกรรมธรรมชาติกัน นอกพื้นที่ชุมชน ส่วนเรื่องจิตใจ ของชาวบ้านราชฯ ยามนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ฟังมาว่า สามารถปรับตัว ปรับใจกันได้อย่างดี ไม่หวาดหวั่นใดๆ กับเรื่องน้ำท่วม ฟังแล้วก็อนุโมทนาว่า การปฏิบัติธรรมนี้ มีผลจริงๆนะฮะ...จี๊ดๆ

จัดระเบียบสังคม(รถ)...ช่วงนี้หากใครไปใครมาที่สันติอโศก จะเห็นป้าย(เชิญชวน) ให้รถลูกค้า จอดบริเวณนี้ ส่วนรถของญาติธรรม ก็ขอความร่วมมือ ไปจอดด้านใน เป็นต้น จิ้งหรีดเห็นป้ายแล้ว ก็ให้นึกยินดี แถมคิดเล่นๆ ต่อไปว่า เอ!...สงสัยฝ่ายจัดการ จราจรของชาวเรา กำลังจัดระเบียบสังคมอยู่กระมัง ก็ไม่รู้ว่าประชาสัมพันธ์ เขียนป้ายขนาดนี้แล้ว จะได้ผล มากน้อยแค่ไหน (ว่างๆจะลองไป ตามผลอีกที แฮะๆ...แน่นอนแล้ว จะเอามาบอกต่อ) แต่ที่จิ้งหรีดประทับใจ แนวคิด ก็ตรงที่เปิดโอกาส ให้ญาติธรรม ได้เสียสละ ให้คนนอก แหม!จิ้งหรีดว่า เสน่ห์ของนักปฏิบัติธรรม (ของแท้) มันอยู่ตรง ได้เสียสละนี่แหละ... จี๊ดๆ

เงินก็ซื้อไม่ได้...หลังเสร็จจากการทำนาซึ่งใช้เวลาประมาณ ๑๐ กว่าวัน ที่จิ้งหรีดได้ไปร่วมดำนากับ ม.วช.ศีรษะฯ ที่เฉลี่ยแล้ว ประมาณวันละ ๑๓ คน ที่ช่วยไปดำนากัน จิ้งหรีดเกิดความรู้สึกว่า อันคำว่า "ภูมิใจที่ได้เกิด เป็นลูกชาวนา" เมื่อต้อง หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ความภาคภูมิใจ ยังคงจะเหลืออยู่ในใจ สักเท่าไรก็ไม่รู้ เมื่อเจอกับงานที่ลำบาก ตรากตรำ ใช้ความอดทน หลังสู้ฟ้าที่แดดเผาเปรี้ยงๆ หน้าสู้ดิน จนหลังคด หลังงอ คนที่จะมีความภาคภูมิใจได้ ต้องมีพลังใจ และแรงจูงใจไม่น้อย
หน้าตาจิ้งหรีด เมื่อได้ไปดำนา ทำให้หน้าที่ดำอยู่ ก็ดำคมขำเข้มมากกว่าเดิม จนมีน้องๆ มาช่วยแซวเยอะดี ชาวม.วช. ได้สัมผัสความเป็นชาวนา อย่างเต็มตัว คือ กินอยู่แบบเรียบง่าย มีความสุข สนุกกับการอยู่กับ ธรรมชาติ ซึ่งเศรษฐีหลายคน ยังไม่มีโอกาสเลย

เสร็จจากการทำนา ชาว ม.วช.ก็พากันไปเล่นน้ำตกกันต่อ โดยพูดแซวกันว่า ชวนกันไปล้างบาป ทำเอา ม.วช. คนอื่นๆ ที่อยู่วัด พอได้ทราบข่าว ก็พร้อมใจกันทิ้งฐานงาน เพื่อจะได้ไปร่วมสนุกกับเพื่อน แม้แต่คนที่ไม่เคยไปนา ทำให้เกิดความสัมพันธ์ กันดี ในหมู่ ม.วช.

จิ้งหรีดรู้สึกประทับใจคนหนุ่มสาว ที่พยายามอยู่รวมตัวกัน เพื่อทำความดี แม้ว่าสิ่งยั่วยวนทางโลก จะแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าทุกคน พยายามระลึกถึง อุดมการณ์ เห็นคุณค่าของการรักษาศีล ซึ่งเงินก็ซื้อไม่ได้ ก็คงจะต้านทาน กระแสกาม ในทางโลกได้บ้าง ไม่มากก็น้อย...จี๊ดๆ

ศาลีอโศก...จิ้งหรีดที่ศาลีฯ เกาะอยู่ที่เสาวัด เห็นกลุ่ม ม.วช.ศาลีอโศก รวมตัวกัน ปรับปรุงธรรมนูญ และคู่มือ นิสิตบางข้อ ก็สำเร็จลุล่วง ไปด้วยดี มีการประชุมจับเสือ ภายในตัวด้วย นิสิตไปล่ บุตรพริ้ง แม้จะเป็นนิสิตสาวน้อย เพราะเป็น อุปัฐาก ที่ศาลีฯ มานาน ก็ร่วมจับเสือ กับลูกหลาน ช่วยให้การประชุมของกลุ่ม ม.วช. มีสีสันมากขึ้น

ในด้านการศึกษา จิ้งหรีดได้รู้เพิ่มมาว่า ทาง ม.วช.ฝ่ายชายได้ทำงานด้านการดูแลน้องๆ สัมมาสิกขาฯ โดยได้อยู่ร่วมกับน้อง และพานำ ทำกิจกรรม ๕ ส. ฝ่ายม.วช.หญิง ที่มีอยู่คนเดียว ก็เช่นกัน ได้ย้ายที่นอน จากบ้านทุ่ง ไปนอนกับน้องๆ สส.ศ.ฝ่ายหญิง เพื่อสร้างความคบคุ้น ให้ความอบอุ่น

บรรยากาศทั่วไปก็มีผู้มาเข้าร่วมอบรมสัจธรรมชีวิตกันมาก รอคิวอยู่ ตอนนี้ก็อบรมไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า ๒๐ รุ่นแล้ว ฝนก็มีตกบ้าง ความแห้งแล้ง ก็ยังคงอยู่ แต่ดูสภาพชีวิตของคนในชุมชน ก็อบอุ่นดี เอ็นดูเด็กๆทุกคน โดยเฉพาะ ท่านสมณะ, สิกขมาตุ ให้ความเป็นพ่อ เป็นแม่ ผู้ใหญ่ก็เอ็นดูเด็ก และนิสิต ม.วช. เหมือนลูกหลาน

ส่วน ม.วช.ที่ศาลีฯก็ทำขบวนการกลุ่ม มีการประชุมจับเสือ ใครสงสัยว่า ที่ศาลีฯเขาจับเสือกันยังไง น่าจะไปถาม แม่ไปล่ดู เพราะจะเป็น คนเก่าแก่ ที่รู้จักหน้าตา เสือร้ายที่ศาลีฯ ได้ดีกว่า หลายคนกระมัง...จี๊ดๆ

เด็กอโศก...จิ้งหรีดที่ปฐมอโศกแถวโรงครัว รายงานบอกมาว่า เห็นนักเรียน สส.ฐ.ทำงาน ก็รู้สึกประทับใจ แม้งานจะมาก แต่ก็พยายามอดทน เพื่อความเจริญของชีวิต เห็นนักเรียนที่รับผิดชอบ ทีมโรงครัว ทำเทมเป้ขาย ทำเอ็นไซม์ขาย รวมทั้งทำกินใช้ ในชุมชน ซึ่งเป็นหลักอยู่แล้ว เด็กๆฝึกรับผิดชอบ แทนผู้ใหญ่ แม้เหนื่อยก็เป็นการเหนื่อย ที่มีคุณค่า

ยังไงๆ ผู้ใหญ่ก็อย่าเพิ่งท้อนะ เพราะงานสร้างคน เป็นงานสำคัญ ที่ต้องอาศัยเวลา และความเข้าใจ ชั้นโลกุตระทีเดียว หากไม่มี โลกุตรภูมิจริงๆแล้ว งานนี้ก็ไปได้ยาก ดังเช่นชาวโลก ที่ทำกันอยู่ แต่ทางโลกุตระนั้น ยิ่งสอนก็ยิ่งเจริญ ยิ่งรู้ความจบ ของจิตวิญญาณ หรือนิพพาน ที่เป็นสุดยอดของชีวิต มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จริงไหมฮะ...จี๊ดๆ

มรณัสสติ
นางอยู่ นาคเครือ (มารดาของคุณลมระริน นาคเครือ) อายุ ๘๑ ปี เสียชีวิต เมื่อวันที่ ๑ ก.ย.๔๕ ฌาปนกิจ เมื่อวันที่ ๔ ก.ย.๔๕ ที่วัดสว่างอารมณ์ ต.ละหาน จ.นครราชสีมา

ก่อนจากขอฝากช่วงหนึ่งจากบทสัมภาษณ์พ่อท่านฯใน เสาร์สวัสดี ฉบับที่ ๑๗๑ วันที่ ๓๑ ส.ค.๔๕ ที่ว่า

"การทำงานเพื่อสังคม อาตมาตัดไม่ขาดหรอก เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว จักรวาลมีความสัมพันธ์กันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ต้องคำนึงถึง ความสัมพันธ์ เกี่ยวโยงใกล้ไกลแค่ไหน ก็ทำตามลำดับ เมื่อก่อนอโศก ไม่ได้กว้างขนาดนี้ คนมองว่า อโศก เอาแต่พวกมัน ใช่เลย...ตอนนั้น เรากำลังฟักตัว สร้างแก่นของเรา ให้แข็งแรงก่อน ถ้าเราจะช่วยใคร ต้องทำแก่นของเรา ให้แข็งแรง ไม่เช่นนั้น จะช่วยใครไม่ได้ จะอุ้มคนอื่น ก็อุ้มไม่ได้..."

พบกันใหม่ฉบับหน้า

จิ้งหรีด

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


รู้เขา-รู้เรา
เตาเผาขยะไร้มลพิษ

"ในหมู่บ้านที่ผมอยู่ไม่มีรถขยะมาเก็บขยะ ชาวบ้านจึงต้องเผาขยะกันเอง เวลาเผาขยะ ควันไฟจะลอยไป เข้าบ้านอื่น ทำให้สำลักควัน และเกิดมลพิษ ในหมู่บ้าน หรือบ้านที่ตากผ้าไว้ ก็จะมีขี้เถ้าลอยไปเกาะเสื้อผ้า ทำให้ผ้าที่ตากไว้เปื้อน ผมจึงมีความคิด ทำเตาเผาขยะ ที่ไม่ทำให้ควันไฟ ลอยไปรบกวนบ้านอื่น เวลาเผาขยะ"

น้องอ๊อฟ สงกรานต์ อ่อนมาสาย โครงการสำนึกรักบ้านเกิดเพื่อพัฒนาผู้นำชุมชน จ.ขอนแก่น เล่าว่า

"ผมจึงสร้างเตาเผาขยะไร้มลพิษขึ้นมา โดยได้คำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษา ทุนในการสร้าง เตาเผาขยะ ไร้มลพิษ ผมได้เงิน มาจาก ฝรั่งคนหนึ่ง ซึ่งเขามาดูงานที่โรงเรียน และท่านอาจารย์ได ขอทุนในการสร้างเตาเผาขยะ ผมสร้างเตาเผาขยะ ไร้มลพิษไว้ ที่โรงเรียน จะมีชาวบ้าน นำขยะมาฝากเผา ผมจะขุดหลุมขยะไว้ ที่เป็นพักขยะ เพื่อทำให้ขยะที่เปียก แห้งก่อน ที่จะนำไปเผา เดี๋ยวนี้ปัญหา เรื่องการเผาขยะ ในหมู่บ้านของผม หมดไป เพราะหมู่บ้านผม มีเตาเผาขยะไร้มลพิษ

ที่ผมทำเตาเผาขยะไร้มลพิษ แล้วชาวบ้านนำขยะมาฝากเผา ผมก็ไม่คิดเงินเขา เพราะผมคิดว่า เป็นการช่วยหมู่บ้าน ของผม ให้ปลอดมลพิษ แต่เนื่องจากเตาเผาขยะ เกิดชำรุด ชาวบ้านก็จะช่วยกัน ออกเงิน คนละเล็กละน้อย เพื่อมาเป็นค่าซ่อม

ผมภูมิใจที่สามารถช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านของผมได้ ถึงจะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่ผมสามารถทำได้ แต่ก็เกิดจาก ความตั้งใจของผม ที่ผมทำให้กับบ้านเกิดของตนเอง"

เยาวชนโครงการสำนึกรักบ้านเกิด เพื่อพัฒนาผู้นำชุมชน ชั้น ม.๓ โรงเรียนบ้านขนวน จ.ขอนแก่น

(จาก น.ส.พ.อาทิตย์ วันศุกร์ที่ ๙ ส.ค. ๔๕)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เรียนรู้เบื้องลึก ว่าด้วยการสวนกาแฟเพื่อล้างพิษ

การสวนกาแฟเป็นหนึ่ง ในกระบวนการล้างพิษ หรือ Detoxification ซึ่งมี ๕ กระบวนการใหญ่ด้วยกัน

๑. กินเพื่อล้างพิษ ทำได้ง่ายนิดเดียว กินอาหารไทยได้แก่ ข้าวกล้อง ผักสด ผลไม้ น้ำพริกกับผักพื้นบ้าน จะได้วิตามินอี วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ซีลีเนียม แถมด้วยสารผัก เป็นแอนติออกซิแดนท์ ช่วยลดพิษในร่างกาย

๒. อดเพื่อสุขภาพ ทำให้ระบบร่างกายได้พัก เกิดสารพิษน้อยลง ระหว่างอดถ้ากินผลไม้ทั้งวัน หรือ ดื่มน้ำผลไม้ ทั้งวัน ก็ได้ แอนติออกซิแดนท์ เข้าไปช่วย

๓. สวนลำไส้เพื่อล้างพิษ มีทั้งการสวนลำไส้ใหญ่ส่วนบนด้วยน้ำอุ่นจำนวนมาก เพื่อขจัดคราบตะกรัน ที่หมักหมม ในลำไส้ใหญ่ มีทั้ง การสวนด้วยกาแฟ ช่วยกระตุ้นตับ ในการลดสารพิษ
๔. ฝึกลมปราณ ชี่กง โยคะ ลมหายใจที่ยาวๆช่วยการขจัดสารพิษทางลมหายใจ ฝึกลมปราณยังได้ กายเคลื่อนไหว ใจสงบอีกด้วย

๕. ฝึกสมาธิ ช่วยลดความเครียด ลดปริมาณสารเสียที่เกิดขึ้น จากกระบวนการเคมีในร่างกาย ถ้าต่อยอดไปถึง วิปัสสนากรรมฐาน ก็ลดกิเลส โลภ โกรธ หลงล้างพิษทางจิตใจ ได้อีกด้วย

Detoxification จึงหมายถึงกระบวนการทั้ง ๕ ของการล้างพิษ ซึ่งควรทำต่อ อย่างองค์รวม

สวนกาแฟเป็นที่นิยมกันแพร่หลายมาหลายปี แต่นักสวนกาแฟเคยสังเกตหรือไม่ครับว่า บางครั้ง คุณสวนกาแฟแล้ว รู้สึกสดชื่น แจ่มใส แต่บางครั้งบางวัน คุณสวนเสร็จแล้ว กลับรู้สึกเปลี้ย เพลีย ง่วงซึม ใช่หรือไม่ เกิดอะไรขึ้น จากการสวนกาแฟ ในแต่ละครั้ง และ จะสวนกาแฟ ให้ล้างพิษได้สูงสุด ได้อย่างไร ติดตามเรื่องราวต่อไปนี้ อย่ากะพริบตา

หน้าที่ล้างพิษของตับ
หน้าที่สำคัญที่สุดของตับ คือการขับสารพิษออกจากร่างกาย พึงรู้ไว้ว่าการสวนกาแฟ มิได้มีจุดมุ่งหมาย เอาอุจจาระออก นั่นเป็นเพียง ผลพลอยได้ แต่สวนกาแฟ มีจุดมุ่งหมายสำคัญ อยู่ที่การกระตุ้นตับ ให้ขับพิษนั่นเอง

สำหรับการทำงานในการล้างพิษของตับมี ๒ ขั้นตอนใหญ่ แบ่งออกเป็น ๒ ระยะ

ระยะที่ ๑ เป็นการทำงานของเอนไซม์หลายตัว ในชุดของไซโตโครม พี ๔๕๐ (cytochrome P 450) ระยะที่ ๒ เป็นระยะ จัดส่งสารพิษ ออกนอกร่างกาย ที่รู้จักกันดีว่า กระบวนการคอนจูเกชั่น (conjugation)

การทำงานขับสารพิษของตับทั้ง ๒ ระยะ จำเป็นต้องทำไปต่อเนื่องกัน หากกระบวนการนี้ หยุดเพียงระยะแรก สารพิษ ก็จะยังคงคั่งค้าง อยู่ในร่างกาย

การขับสารพิษมี ๒ ระยะ

ระยะที่ ๑ เป็นขั้นตอนแรกของการขับสารพิษออกนอกร่างกายของตับ ในระยะนี้มีสารหลายชนิด ที่สามารถกระตุ้น ให้ตับทำงาน ในระยะแรกนี้ มากขึ้น ได้แก่ กาเฟอีน แอลกอฮอล์ โปรตีนที่มากินไป สำหรับความต้องการ ของร่างกาย เนื้อย่างที่เกรียมจัด ฮอร์โมน สเตียรอยด์ ฮอร์โมนเพศหญิง ฮอร์โมนเพศชาย รวมทั้งฮอร์โมน ที่เกิดจากความเครียด สารเคมีต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ ควันไฟ ไอระเหยของสีทาบ้าน ยาต่างๆ เช่น ยาประเภท ซัลฟาบาร์บิทูเรท อาหารที่มีไขมัน อิ่มตัวสูง ยาฆ่าแมลง จำพวก ออร์แกโนฟอสเฟต และไดออกซิน ที่ได้จากอุตสาหกรรมพลาสติก และอุตสาหกรรม กำจัดขยะ เป็นต้น

ในระยะแรกนี้ ตับไม่ได้ทำการกำจัดสารพิษทิ้งจริงๆ หากแต่จัดการเพียงจับสารพิษบรรจุเป็นหีบห่อ เตรียมพร้อม ที่จะกำจัดทิ้ง เท่านั้นเอง สารพิษจะจับกับสารโมเลกุลอื่น และจะถูกทำให้ละลายน้ำ ได้มากขึ้น เพื่อสะดวก ในการกำจัดออก นอกร่างกาย ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจาก กระบวนการทำงาน ของเอนไซม์ชุดใหญ่ ซึ่งรู้จักกัน ในชื่อ ไซโตโครม พี ๔๕๐

ยิ่งสารพิษที่คุณสัมผัสมีมากเท่าใด การทำงานของ พี ๔๕๐ ก็จะยิ่งต้องทำงานหนักเท่านั้น และผลที่ได้ จากการทำงานของตับ ในระยะแรกนี้ จะได้สารพิษ ที่มีพิษมากยิ่งขึ้น กว่าสารพิษ ตัวเดิมเสียอีก

การทำงานของเอนไซม์ พี ๔๕๐ ทั้งหลาย จำเป็นต้องอาศัยสารอาหารอื่นๆมาช่วยหล่อลื่นปฏิกิริยา ได้แก่ สารต้าน อนุมูลอิสระ ปริมาณมาก วิตามินบีรวม กลูตาไทโอน และไขมันฟอสโฟไลปิด ทั้งหมดนี้ หาได้จากอาหาร แนวธรรมชาติบำบัด ซึ่งได้แก่ การกินข้าวกล้อง เป็นประจำ ผักใบเขียวสดๆ ผลไม้สด เป็นต้น

สรุปแล้ว การทำงานของตับในระยะที่ ๑ นี้ จะได้สารพิษที่มีพิษมากยิ่งขึ้น แต่ถูกเปลี่ยนรูป ให้ละลายน้ำ ได้มากกว่าเดิม และถูกจับติด อยู่กับโมเลกุล ของสารบางชนิด เพื่อพร้อมในการกำจัด ออกนอกร่างกาย จะเปรียบไป ปฏิกิริยา ในระยะแรกนี้ จะเท่ากับว่า เตรียมสารพิษ บรรจุเป็นหีบห่อ พร้อมที่จะทำการขนส่งเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม กระบวนการขับสารพิษของตับจะต้องอาศัยการขับสารพิษระยะที่ ๒ เสมอ เมื่อตับทำงาน ผ่านระยะแรก ไปแล้ว หากไม่มีระยะที่ ๒ มารับงานต่อ สารพิษจะเกิดคั่งค้าง ในร่างกาย และจะยิ่งเป็นอันตราย มากกว่าเดิม เพราะสารหลายตัว มีฤทธิ์ในการทำลายล้าง ค่อนข้างสูง บางตัว เป็นอนุมูลอิสระฤทธิ์แรง และบางตัว เป็นสารก่อมะเร็ง เสียด้วยซ้ำ

แต่เพื่อป้องกันตับจากอันตรายดังกล่าว หากการกำจัดสารพิษต่อในระยะที่ ๒ ทำไม่ทัน ร่างกายจะเปลี่ยนสารพิษ ที่ได้จากการทำงาน ในระยะแรกของตับ ให้กลายเป็นสารชนิดหนึ่ง ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับ คลอรับไฮเดรต ซึ่งเป็นยา ที่นิยมใช้ เป็นยานอนหลับในเด็ก

ดังนั้น หากตับของใครก็ตาม ทำงานขับสารพิษได้เพียงระยะที่ ๑ และเกิดการกำจัดออกในระยะที่ ๒ ไม่ทัน ด้วยสาเหตุ อันใดก็แล้วแต่ เนื้อตัวจะมีความรู้สึก คล้ายๆกับ กินยานอนหลับ คือ ง่วง ซึม รู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่า เมื่อยตามตัว ไม่มีเรี่ยวแรง และอ่อนล้า

ระยะที่ ๒ ของการขับสารพิษ เป็นระยะปลดพิษ คือทำให้สารพิษ ที่เกิดขึ้นจากการทำงาน ของตับ ในระยะแรก ให้ไม่มีพิษภัย ต่อร่างกาย และ เตรียมให้ร่างกายกำจัดออก

ในระยะนี้สารพิษที่บรรจุหีบห่อเรียบร้อยแล้วจากระยะที่ ๑ จะถูกสารอีกตัวหนึ่งจับเอาไว้ เรียกกระบวนการนี้ว่า คอนจูเกชั่น (conjugation) ซึ่งจะทำให้สารพิษมีโมเลกุลใหญ่ขึ้น และมีพิษน้อยลง เช่น ตับจะใช้กลูตาไทโอน ยึดติดกับโมเลกุล ของพาราเซตามอล เพื่อกำจัดทิ้ง ดังนั้นใครก็ตาม ที่กินพาราเซตามอล เกินขนาด วิธีรักษาก็คือ ต้องให้ยากจำพวก N-acetylcysteine (ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกเปลี่ยนเป็นกลูตาไทโอน ได้อย่างรวดเร็ว) จำนวนมาก เพื่อขับพิษ ของพาราเซตามอล ที่เกิดจาก การกำจัดสารพิษ ในระยแรก ของตับให้ทันการ ก่อนที่มันจะทำให้ตับเสียหาย จนกระทั่ง เสื่อมและถึงแก่ชีวิตได้

สารที่จะเอื้อในการทำงานของตับในระยะนี้เป็นไปโดยสะดวก ได้แก่ สารประกอบกำมะถัน ไลโมนีน ซีสเตอีน กรดเบนโซอิก วิตามินบีรวม แมกนีเซียม ซิลีเนียม และสังกะสี

สวนกาแฟอย่างเดียว สารพิษจะคั่งค้าง

ที่แล้วมาผู้รักสุขภาพจำนวนไม่น้อยทำตามกันไป โดยส่วนมากไม่ค่อยมีความรู้อะไร บางคนเข้าใจว่า สวนกาแฟ ก็เพื่อให้ขับถ่าย เอาเศษซากอุจจาระออกไป แท้ที่จริง การเอาอุจจาระออก เป็นเพียงผลพลอยได้ เท่านั้นเอง บางคนเข้าใจมากขึ้นอีกนิด สวนกาแฟ เพื่อกระตุ้นตับ ให้ขับพิษ รู้ถึงตรงนี้ นับว่าถูกต้อง แต่ในทางปฏิบัติ จะพบข้อสังเกตว่า บางคนสวนแล้ว มีอาการอ่อนเพลีย ง่วงซึม ไปพักหนึ่ง ที่เป็นเช่นนี้ อธิบายได้ ตามทฤษฎีล้างพิษตับ ตรงนี้เองว่า กาแฟเป็นเพียง ตัวกระตุ้น กระบวนการขั้นที่ ๑ แต่ถ้าเขาคนนั้น ไม่ได้กินอาหารสุขภาพมาก่อน คือกินแย่ๆ การล้างพิษ จะค้างอยู่ขั้นที่ ๑ เพราะในร่างกายของเขา ขาดปัจจัยเอื้อ ที่จะช่วยกระตุ้น การล้างพิษขั้นที่ ๒ ให้ดำเนินต่อ จนจบกระบวนความ จึงเกิดอาการข้างเคียง รอจนกว่า จะมีองค์ประกอบ ตัวอื่นๆ ที่ช่วยให้การล้างพิษขั้น ๒ ดำเนินไปได้ อาการจึงหมดไป

เพราะฉะนั้นใครที่รักการสวนกาแฟ ต้องกินอาหารสุขภาพพวกข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ และ สารผักอีกบางตัว ซึ่งจะช่วยจรรโลง ให้กระบวนการ ล้างพิษ ดำเนินไปได้ดี คุณูปการ ของการสวนกาแฟล้างพิษ จึงจะสำแดงอานุภาพได้ อย่างจริงจัง

(น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล คอลัมน์สุขภาพ จากหนังสือแพรว)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ธรรมนูญบุญนิยมร้านค้าเครือข่ายชาวอโศก
มติจากที่ประชุม ๘ พาณิชย์
พุทธสถานสันติอโศก

เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ได้มีการประชุม ๘ พาณิชย์ อันประกอบด้วย บจ.ขอบคุณ บจ.แด่ชีวิต บจ.พลังบุญ บจ.ดินน้ำฟ้า บจ.ภูมิบุญ ธรรมทัศน์สมาคม กู้ดินฟ้า ๑ ชมร.หน้าสันติอโศก และ ชมร.จตุจักร ซึ่งมีพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ เป็นประธาน ในที่ประชุม ได้มีมติให้นำ "ธรรมนูญบุญนิยมร้านค้า เครือข่ายชาวอโศก" ไปติดตาม สถานที่ร้านค้า ของชุมชน ชาวอโศก โดยถ้วนทั่ว ดังนี้

ร้านค้า / บริษัท / ร้านอาหารของชาวอโศก
๑. บจ.ขอบคุณ ๒. บจ.แด่ชีวิต ๓. บจ.พลังบุญ ๔. บจ.ดินน้ำฟ้า ๕. ธรรมทัศน์สมาคม ๖. ร้านปันบุญ ๗. สหกรณ์ บุญนิยม ราชธานีอโศก ๘. ร้านไร้สารพิษ ศีรษะอโศก ๙. ร้านน้ำใจ ศีรษะอโศก ๑๐. ร้านร่วมใจ สีมาอโศก ๑๑. ร้านใจฟ้า ศาลีอโศก ๑๒. ศาลาค้า ๑ ปฐมอโศก ๑๓. ศาลาค้า ๒ ปฐมอโศก ๑๔. ร้านร่วมบุญ ทักษิณอโศก ๑๕. ร้านรวมบุญ หินผาฟ้าน้ำ ๑๖. ชมร.จตุจักร ๑๗. ชมร.หน้าสันติอโศก ๑๘. กู้ดินฟ้า ๑ ๑๙. อุทยานบุญนิยม ๒๐. ร้านมังสวิรัติโคราช (ร้านใบหญ้า) ๒๑. ชมร.ปฐมอโศก ๒๒. ชมร.เชียงใหม่

ธรรมนูญบุญนิยมร้านค้าเครือข่ายชาวอโศก
๑ . กรรมการ พนักงาน รวมไปถึงสามีภรรยา (ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน) จะต้องไม่ผลิต หรือนำสินค้า มาให้ร้านค้า ในเครือข่าย ชาวอโศกทุกแห่งจำหน่าย
๒. ญาติ ของกรรมการและพนักงาน ซึ่งได้แก่ ลูก พ่อแม่ พี่น้อง ลุง ป้า น้า อา ฯลฯ ก็จะผลิต หรือนำสินค้า มาจำหน่าย ที่ร้านค้า ที่บุคคลในข้อ ๑ ทำงานอยู่ ไม่ได้เช่นกัน
๓. อาสาสมัครและญาติ จะต้องไม่ผลิตหรือนำสินค้ามาให้ร้านค้าที่อาสาสมัครนั้นๆ ช่วยงานอยู่จำหน่าย
๔. บุคคลที่กล่าวถึงในข้อ ๒ และ ๓ สามารถผลิต หรือนำสินค้ามาจำหน่ายในร้านค้า ของเครือข่าย ชาวอโศกอื่นๆ ได้

ประกาศ ณ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


พบเส้นเลือดปริศนาในตับ
ช่วยไขคำตอบรักษา 'มะเร็ง'

แพทย์ไทยสร้างผลงานเจ๋งระดับโลก ค้นพบหลอดเลือดแดงในตับเส้นใหม่ เชื่อว่าจะเป็นต้นตอ ที่ทำให้การรักษาโรคตับ และมะเร็งตับได้ เผยจะเป็นการเปิดมิติใหม่ ในการรับมือมะเร็งตับ

เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ที่ศูนย์ประชุมอิมแพคเมืองทองธานี ในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม จัดสัมมนา โครงการสมองไหลกลับ และผลงานนวัตกรรม โดยได้นำเสนอผลงานของ น.พ.วิชัย เอกทักษิณ นักวิจัยโครงการ สมองไหลกลับ ซึ่งเดิมทำงานที่ มหาวิทยาลัยแพทย์ และทันตแพทย์แห่งโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่ค้นพบหลอดเลือดแดงโดด ที่เป็นแขนง หลอดเลือดแดง ของตับ ซึ่งสามารถนำพา ระบบเลือดแดงตับ ให้ลัดวงจร โดยผ่านสู่ระบบ เลือดเลี้ยงผนัง ของหลอดเลือด ดังกล่าวนี้ ยังไม่เคยมีแพทย์ และตำราแพทย์ฉบับใ ดอธิบายเอาไว้เลย

น.พ.วิชัยกล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ศัลยแพทย์ที่รักษาคนไข้ที่ป่วยโรคมะเร็งตับ จากโรงพยาบาลทั่วโลก มักจะใช้วิธี ผูก หรือบล็อก หลอดเลือดแดงเอาไว้ เพื่อไม่ให้เลือดแดง ไปหล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ที่บริเวณตับ และแม้ว่า จะใช้วิธีการ ดังกล่าวแล้ว แต่ปรากฏว่า เซลล์มะเร็งที่ตับ ยังสามารถเจริญเติบโตได้ ซึ่งไม่มีใครทราบว่า เป็นเพราะสาเหตุใด จนเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๘ ระหว่างที่กำลังศึกษาเรื่องระบบเส้นเลือด ที่หล่อเลี้ยงตับอยู่นั้น ตนได้ค้นพบ หลอดเลือดแดง เส้นหนึ่ง ที่ซ่อนตัว อยู่ใกล้ๆ กับหลอดเลือดดำตับ ซึ่งฉีกตัวออกมา นอกกลุ่มหลอดเลือดแดงอื่นๆ หลอดเลือดหลอดนี้ สามารถทำหน้าที่ นำเลือดแดง ไปหล่อเลี้ยงเซลล์อื่นๆ ที่เกี่ยวพันกับตับ เช่น ท่อน้ำดี เยื่อบุผนังเลือดดำ หลอดเลือดดำ และหลังจากนั้น จะนำเลือดที่ใช้แล้ว กลับมาเลี้ยงเซลล์ตับ อีกครั้งหนึ่ง

"การค้นพบครั้งนี้เหมือนเราสามารถค้นหาตัวผู้ร้ายที่สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับบ้านเราได้ คือพบเส้นทาง ที่อาจจะเรียกได้ว่า เป็นต้นตอ ที่ทำให้การรักษา โรคมะเร็งตับ หรือโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับตับ ไม่ได้ผล เพราะไม่เคยมีใคร ในวงการแพทย์ทั่วโลก รู้มาก่อนว่า ในระบบตับของสิ่งมีชีวิตนั้น มีหลอดเลือด ชนิดนี้อยู่ด้วย ผมตั้งชื่อ หลอดเลือดตัวนี้ว่า หลอดเลือดแดงโดด หรือไอโซเลทเตท อาร์เทอรี่ (isolated artery) ซึ่งการค้นพบครั้งนี้ ถือเป็นการค้นพบ ด้านสถาปัตยกรรม หลอดเลือดตับ ครั้งใหม่ของโลก ผลงานครั้งนี้ เป็นความร่วมมือ ระหว่างผม และคณะนักศึกษาแพทย์ และนักวิจัย ในทีมงานอีก ๙ คน และได้เผยแพร่ ตีพิมพ์งานวิจัยงานชิ้นนี้ ในวารสารการแพทย์ ต่างประเทศ รวมทั้งได้เดินทาง ไปบรรยาย ยังมหาวิทยาลัยแพทย์ต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับแล้วทั่วโลก" น.พ.วิชัยกล่าว

เมื่อถามว่า การค้นพบครั้งนี้จะทำให้ตำราแพทย์ที่แพทย์ทั่วโลกใช้ศึกษาเรื่องระบบเส้นเลือดตับ จะต้องเปลี่ยนไป หรือไม่ น.พ.วิชัยกล่าวว่า คงต้องเปลี่ยน ขณะนี้ ดร.Lautt W.Wanyne นักสรีระเภสัชวิทยา แห่งมหาวิทยาลัย แมลิโตบาร์ ประเทศ แคนาดา เจ้าของทฤษฎี การตอบสนองแบบกันชน ของหลอดเลือดแดง และ เป็นผู้สร้าง ทฤษฎีกลไก การไหลของ หลอดเลือดแดง ที่เป็นที่ยอมรับ ของแพทย์ทั่วโลก ก็ได้ยอมรับ การค้นพบของตน ในครั้งนี้แล้ว

เมื่อถามอีกว่า การค้นพบครั้งนี้จะทำให้สามารถรักษาโรคมะเร็งตับ ให้หายขาดได้หรือไม่ น.พ.วิชัยกล่าวว่า ยังพูดถึง ขั้นนั้นไม่ได้ เพียงแต่ทำให้ มีความหวังมากขึ้น เพราะขณะนี้ สามารถรู้ปัจจัย สำคัญอีกตัว ที่อาจจะเป็นสาเหตุ ให้มะเร็งตับ เจริญเติบโต รวมทั้งทำให้รู้ถึง รายละเอียดของความซับซ้อน ของโรคตับมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นความหวัง และเป็นโอกาส ที่จะช่วยให้คนไข้โรคตับ และโรคมะเร็งในตับ มีโอกาสหาย จากโรคนี้มากขึ้น เช่นเดียวกัน

น.พ.วิชัยกล่าวว่า ปัจจุบันนี้ประเทศไทย มีอัตราการเกิดมะเร็งตับ สูงที่สุดในโลก คือ ในอัตราประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน จะมีผู้ป่วยโรคนี้ ๙๕-๑๐๐ คน ซึ่งสถิติดังกล่าว ประเทศไทยครองแชมป์ มาแล้วถึง ๔๐ ปี โรคนี้จะต้องเสีย ค่ารักษา รายละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท แสดงว่าปีหนึ่งๆ อาจจะต้องสูญเสียเงิน ไปถึง ๕๐ ล้านบาท หากสามารถรักษา และป้องกัน ไม่ให้เกิด โรคนี้ได้ จะลดงบประมาณ ที่สูญไปกับการนี้ เอาไปสร้างประโยชน์ ส่วนอื่นๆ ได้ ซึ่งในอนาคต มหาวิทยาลัย มหิดล กำลังจะสถาปนา ศูนย์วิจัยตับ แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยแห่งแรก ของประเทศไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.พ.วิชัยเป็น ๑ ในนักวิทยาศาสตร์ไทย ที่เข้าร่วมโครงการ สมองไหลกลับของ สวทช. จบการศึกษา ชั้นมัธยมฯ จากโรงเรียนพัทลุง และไปศึกษาต่อ ที่มหาวิทยาลัยแพทย์ และทันตแพทย์ แห่งโตเกียว หลังจากนั้น ก็เข้าบรรจุ เป็นข้าราชการ ของมหาวิทยาลัย ถือเป็นคนไทยคนแรก ที่ได้รับใบประกอบโรคศิลปะ ของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน กำลังจะกลับมาทำงาน อยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล.

(จาก น.ส.พ.มติชน วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ส.ค.๒๕๔๕

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ชื่อเดิม นางเฉลียว ลอยวิไล
ชื่อใหม่ อุบาสิกาใจบุญ ชาวหินฟ้า
เกิด ๑๗ ม.ค. ๒๔๘๒ อายุ ๖๓ ปี
ภูมิลำเนา อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา
การศึกษา ป.๔
สถานภาพ แต่งงานแล้ว ไม่มีบุตร
ส่วนสูง ๑๕๕ ซ.ม.
น้ำหนัก ๕๕ ก.ก.

อุบาสิกาใจบุญร่วมสร้างปฐมอโศกครั้งยังเป็นท้องนาว่างเปล่าตั้งแต่ปี ๒๕๒๙ บุกเบิกสร้างลำธาร น้ำตก จนน่าร่มรื่น น่าอยู่ ต่างจากเมื่อ ๑๖ ปีที่แล้ว ที่ไม่มีอะไรเลย

พบกองทัพธรรม
ปี ๒๕๒๔ ป้าขายของอยู่ที่ประตูน้ำ เห็นพ่อท่านนำหมู่พระ-สิกขมาตุ-ญาติธรรม เดินแถวยาว ด้วยอาการสงบสำรวม ไปงานระดมธรรม ที่สวนลุมพินี เห็นแล้วประทับใจ ขนลุกเลย ก็ติดตามไปฟังธรรม รู้ว่าท่านฉันเจ ก็ซื้ออาหารไปถวาย ไปเห็นโรงบุญฯ ก็ประทับใจ ฟังเทศน์แล้ว ได้หนังสือมาอ่าน ก็ติดตามไปฟังธรรม ที่สันติอโศกต่อ ทุกอาทิตย์ แล้วยืมเท็ป กลับไปฟัง ตอนนั้น ยังไม่ได้เริ่มกินเจ กินเฉพาะ วันที่ไปวัดเท่านั้น

เริ่มฝึกปฏิบัติ
ปี ๒๕๒๖ ไปร่วมงานปลุกเสกฯ แล้วเลิกกินเนื้อสัตว์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ๑๙ ปีแล้ว ปี ๒๕๒๗ เกิดโครงการ ที่ปฐมอโศก ก็ซื้อที่ ปลูกบ้านไว้ ได้รุ่นที่ ๒ ตอนนั้นก็อยู่กลุ่มนนท์-ปทุมฯ ทุกวันอาทิตย์ ก็ไปช่วยงานส่วนกลาง ที่ร้านชมรมมังสวิรัติ อยู่จตุจักร ซอย ๔ ไปช่วยล้างจาน ที่กลุ่มมีกิจกรรมอะไร ก็ไปช่วยมากขึ้น

ปี ๒๕๒๘ ทางกลุ่มเปิดร้านมังสวิรัติ จึงไปช่วยอยู่จนถึงปี ๒๕๓๐ จึงได้เข้าวัด พอไปอยู่วัด หลานๆ ที่บ้าน ก็จะดึง ให้กลับ ไปอยู่บ้าน ป้าจึงตัดสินใจโกนหัว แต่งชุดขาว เป็นอุบาสิกา ถือศีล ๘ พอเขาเห็นป้าเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ดึง กลับไปบ้าน อีกเลย

ปฐมฯยุคเริ่มต้น
ก่อนนั้นยังเป็นที่นาโล่งๆ ต้นไม้ก็ไม่มี ช่วงนั้นป้าจะไปอาทิตย์ละครั้ง ไปช่วยรดน้ำต้นไม้ จนแขน แทบจะเสีย เพราะน้ำ ก็ต้องไปหิ้ว เอาจากลำธาร แล้วขุดบ่อ จากลำธาร เข้ามาในบ้าน ฝังท่อก็ทำเอง ทั้งนั้นเลย อากาศก็ร้อน งานก็หนักมาก ทำภูเขา ปลูกหญ้า บนภูเขา ทำลำธาร ต้องขนทราย ขนหินมาลง คนก็ไม่มาก เหมือนเดี๋ยวนี้ เด็กๆก็ยังไม่มี ตอนนั้น ป้ายังแข็งแรง อายุเพิ่งจะ ๔๐ กว่าๆ แต่ทำงานสนุกนะ ช่วยกันทั้งพ่อท่าน สมณะ สิกขมาตุ ญาติโยม

มีความสุข
ป้าเป็นคนปล่อยวาง ไม่ค่อยถือสา มีบ้างบางครั้งที่ใจเราไม่ยอม หากคนไหนที่สนิทกัน ก็โดนป้าบ้าง แต่เสร็จแล้ว ก็ปรับ ความเข้าใจกัน

หัวถึงหมอนก็หลับแล้ว ไม่คิดอะไรเลย ต่างจากเมื่อก่อนที่ยังค้าขายอยู่ ตอนนี้ไม่ห่วงอะไรแล้ว อยู่ที่นี่มีความสุข เวลากลับไป เยี่ยมหลานๆ เขาก็บอกว่า เมื่อก่อนแสนลำบาก ป้าก็ทนอยู่ได้ พอทางบ้านเริ่มสบาย ป้าก็ไม่ยอมอยู่ซะแล้ว ไปอยู่วัด ก็ไปลำบาก รองเท้า ก็ไม่ใส่

เมื่อก่อนอ้วนมาก น้ำหนักเกือบ ๗๐ ก.ก. ตอนนี้เหลือ ๕๕ ยังรู้สึกว่าอ้วนเลยนะ

สัมมากัมมันตะ
ช่วยงานอยู่บ้านปัจจัยสี่ ดูแลเรื่องอาหารสมณะอาพาธ และบริการคนเฒ่าคนแก่ ลงสวนปลูกผัก เข้าโรงครัว ทำสวนแล้ว แข็งแรง ตอนนี้ก็รับทำ ดอกไม้จันทน์ และเป็นนายทะเบียน จดรายชื่อศพ ที่มาเผาที่นี่ ตั้งแต่ปีแรกที่เผา บริเวณลานหินฟ้า จนมีเมรุเผาศพ ก็ ๙๐ กว่าศพแล้ว บันทึกไป ก็คิดว่า เมื่อไหร่ จะถึงคิวของเรา

ฝาก
อย่าประมาท ชีวิตคนเราตายกันง่าย ถ้ายังมีเรี่ยวแรงอยู่ก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ให้มีน้ำใจต่อกัน

ทุกวันนี้ป้าใจบุญมีชีวิตเป็นบุญ สั่งสมบารมีอย่างมีความสุข แล้วชีวิตของท่านล่ะ? ทุกวันนี้ ได้สั่งสมบุญ อย่างมีความสุข หรือเปล่า ?

บุญนำพา

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ครัวอโศก โดย ชวนชิม
เห็ดรวมกระทะร้อน

พบกันคราวนี้ มีเมนู "เห็ดรวมกระทะร้อน" มาฝาก `ชวนชิม'เห็นว่าวิธีทำและ เครื่องปรุงก็ไม่ยาก เริ่มกันเลยนะคะ

ส่วนผสม (๒-๓ คนรับประทาน)

เครื่องปรุง
เห็ดฟาง ๑๐๐ กรัม,เห็ดหูหนูขาวสด ๒ ดอก,เห็ดหูหนูดำสด ๕๐ กรัม,เห็ดนางฟ้า ๕๐ กรัม,เห็ดเป๋าฮื้อ ๕๐ กรัม, พริกขี้หนูสด ๒-๓ เม็ด, รากผักชี ๒ ราก,งาขาวคั่ว ๑ ช้อนชา, ซีอิ๊วขาว ๒ ช้อนโต๊ะ,น้ำตาลทรายแดง ๑ ช้อนชา, กระเทียม ๔ กลีบ, พริกไทย ๑ ช้อนชา, น้ำมันเล็กน้อย

วิธีทำ
๑.โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทย แล้วนำไปผัดในน้ำมันที่ร้อนแล้ว นำเห็ดที่หั่นเตรียมไว้ ทั้งหมดลงผัด ใส่เครื่องปรุงที่เหลือ ปรุงรสตามชอบ
๒.ผัดให้เข้ากันเติมน้ำสุกเล็กน้อย จากนั้นตักใส่ในกระทะที่ร้อนจัด แล้วโรยงาคั่วให้ทั่วๆเสิร์ฟร้อนๆ

รุ่มร้อนซ่อนรส เวลาในการปรุง ๒๐ นาที

(จากนิตยสาร ลิซ่า ประจำวันพฤหัสฯที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๕)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
๖๗/๑ ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ โทร.๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ ๑,๕๐๐ ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]