ฉบับที่ 193 ปักษ์หลัง 16-31 ตุลาคม 2545

[01] บทนำข่าวอโศก:ปฏิบัติธรรม
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "จับประเด็นจากหนังสือ คนคืออะไร ๕"
[03] :โครงการตามแนวพระราชดำริ คืนชีวิตกล้วยไม้ไทยสู่ไพรพฤกษ์ ณ ภูผาฟ้าน้ำ
[04] จับกระแส ตอ. นโยบายประเทศ นโยบายพ่อท่าน : ถามใจ(หน่วยผลิต)กันดูหน่อย
[05] กสิกรรมธรรมชาติ ๖ ขั้นตอนการทำนาไร้สารพิษ (ตอนจบ)
[06] สกู๊ปพิเศษ:งานฉลองน้ำครั้งที่ ๓ ราชธานีอโศก
[07] พิสูจน์สัจจะสังคมบุญนิยม ประเพณีฉลองน้ำบ้านราชฯ กระแสน้ำใจหลังไหลท่วมท้น
[08] ศูนย์สุขภาพ : วิธีเพิ่มประสิทธิภาพภูมิคุ้มกัน
[09] ข่าวพรรคเพื่อฟ้าดิน : พันธมิตรกู้ชาติกดดันรัฐบาล ยกเลิกกฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] ศูนย์วังน้ำเขียวฉลองครบรอบสี่ปีตามรอยพระภูมินทร์
[12] นานาสาระ : ครัวอโศก ยำตำลึง
[13] ช่อง ๑๑ และ นสพ.มติชน สัมภาษณ์สมณะเสียงศีล ครูภูมิปัญญาไทย ที่ปฐมอโศก
[14] ข่าวสั้นทันอโศก : ท่านเจ้ากรมการสัตว์ ทหารบก เยี่ยมสวนไวเกินฝัน
[15] :ชายงามรายปักษ์ นายอุไร พยอมใหม่




ปฏิบัติธรรม

การตรวจตน ทบทวน พฤติกรรมของตนเป็นเรื่องสำคัญ

พ่อท่านเคยเทศน์ให้ชาวเราฟังว่า ผู้ที่ไม่รู้จักทบทวนพฤติกรรมตัวเอง ย่อมไม่มีทางบรรลุธรรม

ดังนั้นนักปฏิบัติธรรมควรจะได้สำรวจตัวเองว่า

ทุกวันนี้ เราปฏิบัติธรรมกันถูกต้องหรือเปล่า?

การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องเป็นอย่างไร?

หากใครไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้กับตัวเอง หรือจะมีคำตอบที่ชัดเจนก็ตาม

เราพึงเข้าหมั่นเยี่ยมเยียนพระภิกษุ ไม่ละเลยการฟังธรรม แล้วพึงศึกษาในอธิศีล ฯลฯ อันเป็นแนวทางเบื้องต้น ของอุบาสก อุบาสิกา ที่ปรารถนาความไม่เสื่อม จากการปฏิบัติธรรม

แล้วเราคงเกิดความชัดเจน หรือชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิมในคำว่า ปฏิบัติธรรม.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



จับประเด็นจากหนังสือ "คนคืออะไร?" (๕)

ผ่าละเอียด "คน" ถึงนิพพาน...

คนที่มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ จะสามารถรู้สภาพอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ จากการทำงานสอดประสานกันของกายกับจิต

กระบวนการทำงานของจิตคนเรา ยังแบ่งย่อยหน้าที่ออกได้อีกสี่ส่วนคือ...

๑.จิตเวทนา คือ ตัวรับรู้ความรู้สึกจากกายสัมผัสทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามสภาพจริงนั้นๆ

๒.จิตสัญญา คือ ตัวจดจำสภาพเวทนานั้นๆ ตามจริง

๓.จิตสังขาร คือ ตัวที่นำกิเลสตัณหามาปรุงแต่งร่วมกับจิตเวทนาและสัญญา ทำให้เกิดเป็นสภาพอารมณ์ต่างๆ

๔.จิตวิญญาณ คือ ตัวรับรู้การเกิดขึ้นของจิตทั้งสามข้างต้น

เมื่อมีสิ่งใดมากระทบภายในขณะที่สติสัมปชัญญะของเราตื่นเต็มอยู่ จิตทั้งสี่ตัวนี้ จะรับสัมผัสนั้น ต่อจากกาย เกิดกระบวนการ สังเคราะห์ขึ้น เป็นอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ ภายในจิตคนเรา ซึ่งการทำปฏิกิริยานี้ รวดเร็วมาก เร็วยิ่งกว่าแสงเสียอีก โลกปัจจุบันนี้ ยังไม่มี เครื่องมือชนิดใด ที่สามารถ ตรวจจับ การทำปฏิกิริยา ของจิตได้ ผู้ที่สามารถจับจิต มาแยกย่อย ละเอียด ได้ปานฉะนี้ มีเพียงผู้เดียวคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งค้นพบ การทำงานของจิต เป็นบุคคลแรก


กระบวนการทำงานของจิตเกิดขึ้นอย่างไร?
เริ่มต้นที่กายได้สัมผัสกับสภาวะอย่างหนึ่ง...จิตเวทนาของเราจะเข้ารับรู้สภาวะนั้นทันที...ตามด้วยจิตสัญญา เข้าไปจดจำ สภาวะนั้นเอาไว้... แล้วจิตสังขาร จะเข้าไป ปรุงแต่งสภาวะนั้น ด้วยกิเลสตัณหา-อวิชชา เกิดเป็นรสอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ นานา ขึ้นภายในใจเรา อาจมีชอบ มีชัง หรือว่าเฉยๆ... และจิตวิญญาณของเรา จะเข้าไปรับรู้ การเกิดทุกขั้นตอนของจิต นับแต่เริ่ม จนจบกระบวนการ

ยกตัวอย่างเช่น ใครคนหนึ่งตบหน้าเราฉาด...จิตเวทนาจะรับรู้ความรู้สึกเจ็บนั้นทันที...จิตสัญญาจะจดจำ สภาพเหตุการณ์ ครั้งนั้น ทุกอย่าง โดยเฉพาะ คนตบหน้าเรา จำได้แม่นนัก... จิตสังขารจะปรุงแต่งอารมณ์โกรธ เดือดปุดทันที ส่วนจิตวิญญาณ จะเข้าไปรับรู้ ทุกสภาพการ ตั้งแต่ความรู้สึกเจ็บ จดจำเหตุการณ์ และเกิดอารมณ์โกรธ ...หากเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ อาจมีการตบ แก้คืน

วงจรการทำงานของจิต เปรียบเหมือนกับวงจรอิเล็คทรอนิคทั่วไป...หากมีการตัดขาดตรงช่วงใดช่วงหนึ่ง การทำงาน ก็จะหยุดลง ณ จุดนั้น มิอาจเชื่อมวงจรต่อ จนครบรอบ

วงจรของจิตเฉกเช่นนั้น หากเรามีอำนาจจิตที่กล้าแข็ง ถึงขั้นสามารถควบคุมวงจรจิตได้ดังใจหมาย เมื่อนั้น เราจะเป็นผู้อยู่เหนืออารมณ์ ความรู้สึก ของตนได้

เป็นต้นว่า...เมื่อเราถูกตบหน้า หากเราสามารถบังคับจิตเวทนาไม่เข้าไปรับรู้สึก กายเราก็จะเหมือนไม้ท่อนหนึ่ง ที่ไม่รู้สึก เจ็บปวดอะไร... หากเราไม่เอา จิตสัญญา เข้าไปจดจำ เหตุการณ์นั้น ก็จะเลือนหายไป เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลย...และ หากเราหยุด จิตสังขาร ไม่ให้กิเลสเข้าไปปรุงแต่งกับจิต อารมณ์โกรธเกลียดใดๆ จะไม่เกิด เราโดนตบหน้ายังเฉย ใจสบาย หากจะเอาอย่าง ศาสนาคริสต์ ให้เอียงแก้มอีกข้าง ให้เขาตบยังได้... ส่วนจิตวิญญาณ ยังคงรับรู้ สภาพการเกิด ของแต่ละวงจรจิตตามจริง นอกเสียจาก เราจะข่มจิตให้ดับไม่รับรู้ใดๆ เหมือนคนนอนหลับ หรือสลบ แต่จะเป็นได้เพียง ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น -หากยังไม่ตาย จิตต้องตื่นมารับรู้ดังเดิม

ผู้ที่สามารถควบคุมวงจรจิตได้อย่างว่านี้ เห็นจะมีแต่ท่านผู้มีภูมิธรรมระดับพระอรหันต์ขึ้นไป ด้วยว่าสามารถ หยุดจิตสังขาร ไม่ให้ปรุงแต่ง ร่วมกับกิเลส เกิดเป็นวิญญาณดวงใหม่ ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์...เหลือแต่จิตวิญญาณ สะอาดบริสุทธิ์ รับสัมผัสทุกสิ่ง จากกายอย่างรู้จริง ตามความเป็นจริง

- พุทธบุตร ลูกหม้ออโศก -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


โครงการตามแนวพระราชดำริ
คืนชีวิตกล้วยไม้ไทยสู่ไพรพฤกษ์
ณ ภูผาฟ้าน้ำ

โครงการคืนชีวิตกล้วยไม้ไทยสู่ไพรพฤกษ์ ตามแนวพระราชดำริ เกิดขึ้นจากการที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จขึ้นมา เป็นประธาน เปิดงานกล้วยไม้แปซิฟิค ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เมื่อปี ๒๕๓๕ ทรงมีพระราชดำริ เกี่ยวกับกล้วยไม้ไทยว่า นับวันจะสูญหายไป มากขึ้นๆ ด้วยเหตุว่า ป่าไม้ถูกทำลายสูงมาก นอกจากนั้น ยังมีคนนำออกมาจากป่า เพื่อทำธุรกิจ ทั้งใน และ ต่างประเทศ จากที่กล้วยไม้ไทย เคยมีประมาณ ๑,๓๐๐ ชนิด ตอนนี้สูญหายไป จำนวนมาก และส่วนหนึ่ง ก็ไปปรากฏ อยู่ที่ ต่างประเทศ เพราะโดยแท้จริงแล้ว กล้วยไม้ในโลกนี้ ก็จะมีกล้วยไม้ไทยนี่แหละเป็นหลัก ที่จะเป็นแม่พันธุ์ แก่ลูกผสมทั้งหลาย เนื่องจากบ้านเรา เป็นเขตเมืองร้อน มีพันธุ์หลากหลาย ทางชีวภาพมากมายด้วยกัน ดังนั้น ทรงมีพระราชดำริว่า ถ้าไม่มีหน่วยงานใด ที่จะอนุรักษ์ไว้ ในที่สุด ก็จะสูญหายไปหมด ต่อไปลูกหลาน คงไม่รู้จักกล้วยไม้ไทย ว่าเป็นอย่างไร

ต่อมามหาวิทยาลัยแม่โจ้จึงเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ มีผส.จีระสิทธิ์ สมประเสริฐ รองคณบดีฝ่ายวางแผน คณะผลิตกรรม การเกษตร ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าสำนักงานโครงการ จุดประสงค์หลักคือ ทำอย่างไร ที่จะทำให้กล้วยไม้ไทย ที่เหลืออยู่น้อยในป่า คงอยู่ และไม่ให้มีคนเอาออกมาจากป่า เป็นจุดสำคัญ จึงรณรงค์ให้ประชาชนรู้จักถนอมรักษา ตามระบบนิเวศน์ ที่มันจะอยู่ได้ ขณะเดียวกัน ก็เอาเมล็ดพันธุ์กล้วยไม้ ที่ต้องการ มาเพาะขยายพันธุ์ เพื่อจะนำคืนสู่ป่า ตลอดระยะเวลา ที่ตั้งโครงการมา ประมาณ ๗ ปี สามารถเพาะเลี้ยงได้ ประมาณ ๑,๕๐๐,๐๐๐ ต้น ซึ่งแต่ละปี จะมีหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน มาขอพันธุ์กล้วยไม้ เป็นจำนวนมาก

ที่โครงการเลือกจะนำกล้วยไม้ไทยมาเพาะเลี้ยงที่ชุมชนภูผาฟ้าน้ำ เพราะว่า

๑.โดยสภาพอากาศของที่นี่มีความชื้นเพียงพอ เหมาะแก่การเจริญเติบโตของกล้วยไม้

๒.ความร่วมมือของคนในพื้นที่ ซึ่งชาวชุมชนที่นี่ให้ความร่วมมือดีมาก และมีใจอนุรักษ์ ซึ่งเป็นจุดสำคัญ และเป็นความคาดหวัง ของโครงการ ที่พยายามจะให้เกิดหมู่บ้านกล้วยไม้ไทยขึ้น ซึ่งตอนนี้ อบต.ของหมู่บ้าน หลายๆพื้นที่ ได้แสดงความจำนง ที่จะอยากจัดทำ หมู่บ้านกล้วยไม้ไทย แต่อ.จีระสิทธิ์ ได้กล่าวว่า "วันนี้มีความยินดี ที่ได้นำกล้วยไม้ มาสู่ภูผาฟ้าน้ำ เพราะว่าที่นี่ เป็นที่ๆมีธรรมะเป็นใหญ่ ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นท่านสมณะ หรือญาติธรรม ต่างก็เป็นคนที่มีใจ รักธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติ จึงมีความรู้สึกว่า ถ้านำกล้วยไม้ มาไว้ที่นี่แล้ว จะปลอดภัย และเห็นว่าที่นี่ จะเป็นที่ๆสามารถ ขยายพันธุ์ต่อไปได้ และ วันข้างหน้า เมื่อกล้วยไม้ เจริญเติบโตขึ้นมา ทางโครงการ ก็จะมีโอกาสมาเก็บฝักนำไปเผยแพร่ เพื่อจะขยาย ไปสู่พื้นที่อื่น ที่อยู่ในระดับ น้ำทะเลเดียวกัน มีความชื้น ความเหมาะสม ใกล้เคียงกัน เพราะว่า การเพาะเลี้ยงกล้วยไม้ ในโครงการนั้น จะพยายาม ไม่ทำลาย ระบบนิเวศน์ของกล้วยไม้ ฉะนั้น เมื่อเพาะเมล็ด ซึ่งมาจากฝักที่อยู่ป่าไหน ก็จะนำกลับไปสู่ป่านั้น ทั้งนี้ เพื่อที่จะให้กล้วยไม้นั้น มีจำนวนมากขึ้น และมีขนาดของกอใหญ่ขึ้น และจะสร้างความสวยงาม ให้กับพื้นที่นั้นๆเป็นอย่างดี กล้วยไม้ที่นำมาครั้งนี้ ประมาณ ๕๐๐ ต้น มีอยู่ ๔ พันธุ์ คือ

๑.เอื้องผึ้ง
๒.กะเลกะล่อน
๓.สายเขียว
๔.หวายอื่นๆ "

คุณใบหญ้า ซึ่งเป็นผู้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการครั้งนี้ เผยความรู้สึกว่า "รู้สึกดี ที่จะมีกล้วยไม้ทำให้ป่าที่ภูผาฯ มีดอกไม้ เพื่อที่จะทำให้ มีชีวิตชีวาขึ้น ประทับใจสมณะและชาวชุมชน รวมทั้งเด็กๆที่ให้ความร่วมมือ ร่วมใจ ในการปลูกกล้วยไม้ ครั้งนี้ ทีมงานที่ขึ้นไปช่วย ก็รู้สึกประทับใจ ในอาหาร ที่ทางชุมชนทำเลี้ยง เพราะว่า เป็นอาหาร ที่ทำจากผักป่าไร้สารพิษ และ หารับประทาน ไม่ได้ง่ายๆเลย จากที่อื่น"

ทางชุมชนภูผาฟ้าน้ำเอง ก็ต้องขอขอบคุณที่ทางโครงการให้ความไว้วางใจ และให้กล้วยไม้มา เพื่อเพิ่มความสมดุล ให้กับป่า เห็นได้ว่า แค่การที่มีใจ จะอยู่กับป่า แบบพึ่งพาอาศัย และพยายามรักษา ความเป็นป่าให้ยั่งยืน ก็เพียงพอ แก่ความปลอดภัย ที่แม้แต่พืชพันธุ์ ก็ยังได้อาศัย หวังว่าต่อไป ชุมชนภูผาฟ้าน้ำ จะได้ต้อนรับ ผู้มาเยือนด้วยวิถีชีวิต แบบป่าแบบดอย ได้ดียิ่ง

- ทีมเลี่ยมภูผาฟ้าน้ำ รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



นโยบายประเทศ นโยบายพ่อท่าน :
ถามใจ(หน่วยผลิต)กันดูหน่อย

นโยบายของประเทศ
ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (พ.ศ.2545-2549)

เป้าหมายผลิตภัณฑ์
1. เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ จากวัฒนธรรม ภูมิปัญญา หรือวัตถุดิบของท้องถิ่นเป็นหลัก

2. เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากธรรมชาติที่ปลอดสารเคมี (Green products) เช่น ยาฆ่าแมลง, สาร ปรุงแต่งอาหาร จากสารเคมี สังเคราะห์ต่างๆ (Food additives) ฯลฯ (ยกเว้นสารเคมีที่เป็นส่วน ประกอบพื้นฐานในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง) และมีความเสี่ยง ในกระบวนการผลิตต่ำ

3. เป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับการดำรงชีวิตพื้นฐาน อันได้แก่
* อาหาร (อาหารแปรรูป เช่น กะปิ น้ำปลา ซีอิ๊ว เครื่องดื่มสมุนไพร ฯลฯ, วัตถุดิบ เช่น ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ อาหารจาก เนื้อสัตว์ ต่างๆ)
* ยาจากสมุนไพร
* เครื่องสำอางทั่วไป (เช่น แชมพู ครีมนวดผม สบู่เหลว)

เป้าหมายการตลาด เพื่อการลดรายจ่าย เพิ่มการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจในท้องถิ่น และการพึ่งตนเองในแต่ละระดับ รวมถึงความพร้อมและศักยภาพของแต่ละชุมชน ผลิตภัณฑ์ที่เหลือจากการบริโภคในชุมชนแล้ว

เป้าหมายการตลาดควรเป็นไปตามลำดับขั้น เพื่อให้ประชาชนคนในท้องถิ่นได้บริโภคของดีก่อน
1. สหกรณ์ ร้านค้าของชุมชน/ เครือข่ายชุมชนต่างๆ ในท้องถิ่น เพื่อการลดรายจ่ายการบริโภคในครัวเรือน
2. โรงเรียน สำหรับโครงการอาหารกลางวัน/อาหารเสริมสำหรับเด็กนักเรียน
3. โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลชุมชน สถานสงเคราะห์คนชรา ผู้พิการ เด็กกำพร้า เรือนจำ ค่ายทหาร ฯลฯ เพื่อเป็นผลผลิต ปลอดสารพิษ สำหรับสร้างเสริมสุขภาพของผู้ป่วย และผู้ด้อยโอกาส ในสังคม
4. ตลาดทั่วไปในเมือง หรือสถานบริการต่างๆ เช่น เป็นผลิตภัณฑ์ในห้องพักของโรงแรม อาหารว่าง /เครื่องดื่มสมุนไพร ของที่ระลึก ในร้านจำหน่าย
5. ตลาดกทม.
6. ตลาดต่างประเทศ

นโยบายของพ่อท่าน
นโยบายต่อทิศทางการผลิต-การตลาด ในการประชุมหน่วยผลิตเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2542
1. ด้านการผลิต
1.1 ผลิตตามกำลังความสามารถของหน่วยผลิต (วัตถุดิบ กำลังคน และเครื่องจักร)
1.2 ไม่ผลิตตามความต้องการของตลาด แต่เป็นไปเพื่อพึ่งตนเอง และทำการตลาดเพื่อแสดงน้ำใจช่วยเหลือสังคม
1.3 วัตถุดิบต้องไร้สารพิษ และไม่ใช่ GMO ถ้าปลูกเองจะการันตีคุณภาพ ถ้ารับซื้อจากเครือข่ายญาติธรรมต้องควบคุม ตรวจสอบ
1.4 ให้ความสำคัญกับคุณภาพ มาตรฐานกระบวนการ Product Line และมี QC มากกว่ารูปแบบของหีบห่อ (Packaging)
1.5 ให้พัฒนาผลผลิตที่มีคุณค่า ฉีกแนว ทวนกระแสโลก เป็นผู้นำร่อง เช่น ผลผลิตจากน้ำหมักชีวภาพ เพื่อลดการใช้สารเคมี และ รักษาสิ่งแวดล้อม ไม่จำเป็นต้องแข่งกับกลุ่มแม่บ้าน หรืออื่นๆ ที่ทำอยู่แล้ว (อาจผลิตบ้าง เพื่อเป็นศูนย์ฝึกอบรมใ ห้ชาวบ้าน หรือ ปลดหนี้หมด)
1.6 เป้าหมายสูงสุดต้องเผยแพร่ความรู้การผลิตให้ชาวบ้านไปทำเอง ให้พึ่งตนเองได้ ถ้าสังคมทำกันได้เองแล้ว เราจะหยุด เพื่อทำพออยู่พอกิน หรือ กลับมาเป็นปลูกข้าว พืช ผัก ผลไม้ เพราะไม่มีใครอยากทำ ต้องกลับมาเป็นกสิกร ทำ 3 อาชีพกู้ชาติ

2. ด้านการตลาด
2.1 ให้ขายตามปริมาณผลผลิตที่ผลิตได้
2.2 ต้องเป็นการตลาดแบบบุญนิยม คือ ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ เครดิตเหนือเครดิต
2.3 การซื้อขายให้เป็นเงินสด (เครดิตเหนือเครดิต) จะแสดงความจริงของกำลัง และความต้องการของตลาด ไม่มีการหลอกลวง จะเป็นเศรษฐศาสตร์ ที่แท้จริง
2.4 ไม่ทำการตลาดแบบแข่งขัน แต่เป็นการทำเพื่อประกาศความจริงของบุญนิยม เพื่อให้เป็นแบบอย่าง แก่คนภายนอก นำไปประยุกต์เอง
2.5 ไม่จำกัด หรือผูกขาดผลผลิต และการตลาดของญาติธรรมรายย่อย ให้เปิดโอกาสให้ทุกฝ่าย แต่ต้องเป็นของดี ปลอดภัย และ มีคุณภาพ

3 ด้านการตรวจสอบคุณภาพ
3.1 ต.อ.ต้องทำงานหนัก จริงจัง มีน้ำใจ และตรวจสอบอย่างซื่อสัตย์
3.2 ต.อ.ต้องกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดว่า ผลผลิตแต่ละประเภทจะตรวจสอบอะไร
3.3 หน่วยผลิตต้องตัดเงินเปอร์เซ็นต์มาให้ต.อ.ใช้จ่ายเป็นค่าตรวจสอบคุณภาพ การตั้ง Lab และเครื่องมือ ค่าใช้จ่าย ในการเดินทาง ฯลฯ
3.4 ผู้ผลิตรายย่อย ญาติธรรมที่ส่งสินค้าให้ร้านของอโศก ต้องผ่านให้ ต.อ.ตรวจสอบด้วย

4 ด้านราคา
4.1 หน่วยผลิตของแต่ละพุทธสถานกำหนดราคาภายในชุมชนเอง
4.2 ให้ผู้แทนจำหน่ายกำหนดราคาในอัตราเดียวกัน (ไม่ว่าจะขายในปริมาณเท่าใด)
4.3 กลุ่ม องค์กรที่มีคุณธรรม และคุณภาพ จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนจำหน่ายในระยะยาว ทุกๆ หน่วย จะได้รับโอกาส เท่าๆ กัน

ข้อคิดจากพ่อท่าน เทศน์ช่วงทำวัตรเช้า ในวันมหาปวารณา วันที่ 24 ต.ค. 2543
"หลักการที่ตัดสินใจว่าควรจะผลิตผลผลิตใด ให้คำนึงถึง 'ความขาดแคลน ความจำเป็น ความต้องการ ประโยชน์ และ เป็นคุณค่า ความดี' มากกว่าที่จะผลิตอะไรก็ได้ ที่ขอให้รวย และ 'คนใกล้ควรเป็นเพื่อนก่อน' หมายถึง ให้ผลิตสำหรับ การพึ่งตนเอง และ ใช้ประโยชน์ ของคนในท้องถิ่น มากกว่าการผลิต เพื่อส่งออก เข้าสู่ระบบการตลาด แบบทุนนิยมในเมือง หรือต่างประเทศ"

เพียงเท่านี้ หน่วยผลิตทั้งหลาย ก็มีเรื่องให้ถามใจ และสำรวจตนได้หลายวันทีเดียว

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



๖ ขั้นตอนการทำนาไร้สารพิษ (ตอนจบ)

การเปรียบเทียบผลผลิต การใช้ปุ๋ยจุลินทรีย์กับการใช้ปุ๋ยเคมี
ปุ๋ยเคมี
๑.ได้ผลผลิต ๔๐๐ ก.ก.ต่อ ๑ ไร่
๒.ต้นทุน ๑ กระสอบ ราคาประมาณ ๓๖๐-๔๐๐ บาท/ไร่
๓.ต้องเพิ่มต้นทุนและปุ๋ยทุกปีแต่ผลผลิตอาจลดลง

ปุ๋ยจุลินทรีย์
๑.ได้ผลผลิต ๘๐๐ ก.ก.ต่อ ๑ ไร่
๒.ต้นทุน ๑๘๐-๒๐๐ บาทต่อ ๑ ไร่
๓.ปริมาณปุ๋ยเท่าเดิม หรืออาจลดลง ถ้าสภาพดินดีแล้วแต่ผลผลิตเพิ่มขึ้น

การเปรียบเทียบสภาพแวดล้อม การใช้ปุ๋ยจุลินทรีย์กับปุ๋ยเคมี
ปุ๋ยเคมี
๑.หน้าดินแข็ง รากข้าวชอนไชหาอาหารยาก
๒.ปลาเป็นแผลตามตัว
๓.บริโภคข้าวที่มีสารเคมีตกค้า
๔.ทำให้อายุสั้น เพราะสะสมสารเคมีในร่างกาย
๕ เสียงบประมาณซื้อปุ๋ยจากต่างประเทศ

ปุ๋ยจุลินทรีย์
๑.ดินร่วนซุย รากข้าวชอนไขหาอาหารง่าย
๒.ปลา กบ ชุกชุม
๓.บริโภคข้าวที่ไร้สารพิษ
๔.ทำให้สุขภาพดี อายุยืน เพราะบริโภคข้าวที่ไร้สารพิษ
๕.ใช้วัสดุในท้องถิ่น ได้พึ่งตนและใช้เงินน้อย

(สรุปจาก ขั้นตอนในนาทำนาไร้สารพิษ ของชุมชนอาสาพัฒนาบ้านม่วง หมู่ที่ ๑๐ ต.สะอาด อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

แล้วงานฉลองน้ำครั้งที่ ๓ ก็จบลงด้วยความเรียบร้อย ข้อคิดจากงานครั้งนี้มีอะไรบ้าง ในยุคของการทำดี...(ท็อกซ์) ทั้งกายและใจ ควรปฏิบัติอย่างไร และของฝาก เมื่อฤดูหนาวมาเยือน คืออะไร ติดตามได้จากคำให้สัมภาษณ์ ของสมณะเดินดิน ติกขวีโร ค่ะ...

งานฉลองน้ำปีนี้ ท่านมีข้อคิดอะไรบ้างคะ
เนื่องจากปีนี้เป็นปีที่น้ำท่วมสูงกว่าปีที่แล้ว สภาพความเสียหายของบ้านเรือนในชาวชุมชนค่อนข้างที่จะเสียหายมากกว่าปีที่แล้ว ปีที่แล้วพวกเรายังอยู่กันที่ชั้น ๒ ได้ แต่ปีนี้ชั้น ๒ ของบ้านทุกหลังน้ำท่วมเกือบหมด น้ำท่วมแต่ละครั้ง ประตูหน้าต่าง ที่ทำจากไม้อัด หรือแม้แต่ไม้จริง ก็จะบวมพองดันกัน เสียหายกันมากมายพอสมควร น้ำท่วม ๓-๔ ปีติดต่อกัน ก็เหมือนเป็นเครื่องตอกย้ำ ในความเป็น บ้านราชฯ เมืองเรือ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนข้อคิดในงานฉลองน้ำปีนี้

ข้อที่ ๑ เราได้เห็นว่า แม้อุปสรรคจะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่หยุดอยู่ในการเจริญกุศลธรรม อุปสรรคนั้น ก็จะพลิกผัน กลายเป็น อยู่ใกล้สวรรค์ก็ได้ เหมือนกับปีนี้ช่วงน้ำท่วม ก็พอดีอยู่ในช่วง เทศกาลงานเจ คนของเราทั้งหมด ก็ออกไปขายเจกัน ทั้งหมู่บ้าน อย่างสนุกสนานร่าเริง แล้วก็ขายดี เป็นเรื่องแปลกมาก ที่คนอีสาน พากันมากินเจกัน อย่างชนิดที่ คนขาย แทบจะเป็นลมกัน ในส่วนนี้ ก็ทำให้เรารู้สึกว่า แม้มองไปข้างหลัง เราจะเจอสภาพ ที่มีความเสียหาย ต่างๆนานามากมาย แต่สิ่งกุศลที่เราไม่หยุดอยู่ ในการกระทำ ก็ทำให้เรารู้สึกว่า ทำให้จิตใจเรา ไม่ได้เศร้าหมอง ทุกข์ร้อนอะไร เพราะเรามีเรื่องเดินหน้า ต้องทำความเพียรให้ยิ่งขึ้น แล้วก็พอขายงานเจเสร็จ ก็มีงานฉลองน้ำต่อ พองานฉลองน้ำเสร็จ น้ำก็แห้งพอดี ดังนั้น พอน้ำแห้ง เราก็รีบเก็บข้าวเก็บของ สร้างบ้านแปลงเมืองใหม่ ก็เลยไม่มีเวลา ที่ไปทุกข์เศร้าโศกเสียใจ กับเรื่องเสียๆหายอะไร มีแต่เรื่อง ที่จะสร้างสรรกันตลอด ก็ได้เห็นว่า ตราบใดที่เรายังไม่หยุดอยู่ ในกุศลธรรม เราสามารถ จะพลิกผัน อุปสรรคขวากหนาม ให้กลายเป็น สิ่งที่อยู่ใกล้สวรรค์ ทำให้เกิดปัญญา ทำให้เพิ่มบารมีเราได้ อยู่ตลอดเวลา

ข้อที่ ๒ ได้เห็นความสำคัญว่า การมีทรัพย์สินเงินทอง ก็ไม่สู้การมีพี่น้องมากๆได้ ทรัพย์สินเงินทอง ก็มีวันอันตรธาน สูญหาย ขโมย ลักไปได้ ไฟไหม้ไปได้ น้ำท่วมเสียหายไปได้ แต่ในความเป็นพี่เป็นน้อง จะอยู่ยั่งยืนยาวนาน สามารถช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน ได้ตลอดไป

ปีนี้ก็ต้องขอบคุณพวกเราที่อุตส่าห์มาเยี่ยม มาให้กำลังใจกัน ซึ่งชาวบ้านราชฯเองก็ค่อนข้างที่จะปรับสถานการณ์ ได้เกือบปกติแล้ว ต่อๆไปพ่อท่านเอง ก็ได้ดำริว่า น้ำจะท่วมหรือไม่ท่วม ก็อาจจะมีงานจัดฉลองเช่นกัน จัดงานรับน้ำ เป็นประเพณีไปทุกปี เป็นการเปลี่ยนจุดอ่อน ให้เป็นจุดแข็งไปเลย

 

ทุกวันนี้พวกเรานิยมทำดี...(ท็อกซ์)กันมาก ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้คะ
เราคงต้องจับประเด็นหรือเป้าหมายของการทำดีท็อกซ์ว่า เป็นการขับสารพิษออกจากร่างกาย ดังนั้น ถ้าเราพยายามป้องกัน โดยการไม่เอา สารพิษเข้าไป ก็จะเป็นการแก้ปัญหา ที่ต้นเหตุได้ก่อน ไม่ใช่มีอะไรก็กินมั่วไปหมด แล้วค่อยไปทำดีท็อกซ์ ออกทีหลัง ต้องเสียเวลา ทั้งตอนเอาเข้า แล้วรีบเอาออก และจะไม่ค่อยได้ผล คุณหมอบรรจบเน้นว่า จะต้องกินอาหารธรรมชาติด้วย ขบวนการทำดี... จึงมีผลสมบูรณ์ ตัวอย่างของอาหารธรรมชาติ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชต่างๆ พืชผักผลไม้ และเครื่องเทศต่างๆ เช่น หอม กระเทียม เป็นต้น ส่วนอาหารที่ไม่มีกากใย ได้แก่แป้งทั้งหลาย ที่นำไปทำก๊วยเตี๋ยว ขนมจีน และขนมทั้งหลายนั้น ควรละเว้น ได้ก็ดี โดยเฉพาะคนที่ปวดหัว ไมเกรนเป็นประจำ ดร.สาทิส ยืนยันว่า ถ้าเลิกกินแป้ง จะทำให้หายปวดหัวได้

แต่พิษที่ร้ายยิ่งกว่าอาหารเป็นพิษ และมีกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจยิ่งกว่าอุจจาระใดๆในโลก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ไม่มีอะไรเน่าเหม็น น่ารังเกียจ เท่ากับกิเลส โดยเฉพาะ อุปกิเลส ๑๖ มีตั้งแต่ อภิชฌาวิสมโลภะ พยาบาท โกรธ ผูกโกรธ หรือ ริษยาก็ตาม ฯลฯ อุปกิเลสทั้ง ๑๖ เหล่านี้ พระพุทธเจ้าถือเป็นสิ่งเน่าเหม็น ที่น่ารังเกียจมากที่สุด ที่นักปฏิบัติธรรม ควรจะต้องทำการดีท็อกซ์ ด้วยสมถะ และวิปัสสนา โดยการอ่านอารมณ์ของเรา ให้รู้เท่าทันอยู่เสมอๆ ไม่ไปเก็บเอาไว้ เวลาโกรธขึ้นมาก็ไม่ใช่จำไว้ แล้วจะหาทางเล่นงาน จัดการเขาทีหลัง อันนี้ก็จะเป็นการสะสม สารพิษทางจิตวิญญาณ ซึ่งกลิ่นเหม็น น่ารังเกียจยิ่งกว่า ความเหม็นใดๆ เราจะต้องรีบใช้ทั้งสมถะ และวิปัสสนา ล้างจัดการ ทำให้จิตวิญญาณของเราสะอาด บริสุทธิ์ อยู่เสมอ เราก็จะสามารถ ขับพิษร้าย ให้เกิดความบริสุทธิ์ ทั้งภายนอก ภายใน ได้อย่างสมบูรณ์

ช่วงนี้ฤดูหนาวเข้ามาเยือน ท่านมีอะไรจะฝากพวกเราบ้างคะ
พวกเราเองก็เพิ่งจะเสร็จสิ้นเทศกาลกินเจ อยากจะรณรงค์ในฤดูหนาวนี้ว่าน่าจะมีเทศกาลกินผัก ซึ่งช่วงฤดูหนาว พวกเรา จะปลูกผักฤดูหนาว ขึ้นได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นผักกาด ผักคะน้า ผักกะหล่ำปลี บล็อคโคลี่ อะไรต่างๆนานา จะปลูกได้ง่ายมาก ทางบ้านราชฯ ถือว่าช่วงนี้ เราจะมีอาหารการกิน ที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุด พื้นที่ของเรา ก็จะสวยงาม มากที่สุด ปีนี้ทางราชธานี กับศีรษะอโศก ก็เลยตกลงกันว่า เราจะแข่งกันปลูกผัก เพื่อให้พิสูจน์ฝีมือกันว่า ใครจะปลูกผัก ได้งามกว่ากัน พ่อท่านเอง ก็ส่งเสริมกีฬาอาริยะ คือกีฬาที่สามารถ ได้ออกกำลังด้วย และได้ผลงานด้วย อันนี้ก็เป็นกีฬาอาริยะ อย่างหนึ่ง

ดังนั้นในช่วงนี้ น่าจะเป็นช่วงเทศกาลกินผัก แต่กว่าจะได้กินผัก เราควรจะได้ปลูกผัก ให้งอกงาม ซึ่งอาจารย์อุดม ก็เคยโฆษณา บ่อยๆในการใช้สูตร พรึบเดียวก็เขียวได้ ถ้าใครไม่รู้ ก็ติดตามได้จากวารสารต่างๆ ของชาวอโศก และก็จะสอดคล้อง กับเรื่อง ของสุขภาพ ถ้าใครได้อ่านบทความ ด้านสุขภาพ เขาก็จะแนะนำให้ ผักที่ควรรับประทาน ควรเป็นผักที่หลากหลาย โดยเฉพาะ สารอาหาร จากผักที่เรากินเข้าไป ควรหลาก ในฤดูหนาวเราจะมีผัก เลือกกินได้มากมาย ปลูกง่าย ขึ้นง่าย เขาบอกว่า สารในผัก จะเป็นตัวยา รักษาโรค นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ แล้วยังสร้างภูมิต้านทาน ให้แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งมีประโยชน์ มากมาย ดีกว่าไปกินยาปฏิชีวนะ หลายเท่าตัว

โดยเฉพาะในยุคนี้เราเผยแพร่เรื่องปุ๋ยสะอาด และกสิกรรมธรรมชาติกันมาก ก็ฝากให้เครือข่ายของพวกเรา ช่วยกันทำ โลกสวย ด้วยมือเรา ให้จริงตามคำโฆษณา และเผยแพร่ออกไปด้วย ไม่อยากจะให้มีแต่ผักสวย ปุ๋ยดีเฉพาะที่ในศาลาเท่านั้น อยากจะให้ ช่วยกัน ทำรูปธรรมให้งดงาม เต็มพื้นที่ เต็มชุมชนของเรา แล้วเราก็จะได้มีทั้งยา ทั้งอาหารกินกัน อย่างอิ่มหนำสำราญ อุดมสมบูรณ์ กันดีทีเดียว ถ้าเหลือเฟือ ก็จะได้เอาไปจัดงานโรงบุญฯ หรือเอามาขาย ในงานปีใหม่ ให้เต็มที่กันไปเลย

อุปสรรคทำให้ใกล้สวรรค์ แต่บางครั้งเราก็หลงค่ายกลเดินห่างจากสวรรค์ไปทุกทีๆ เอ้า...ตั้งหลักกันใหม่นะคะ แล้วพบกัน ในงาน มหาปวารณา เพื่อฟังเทศน์ จากพ่อท่าน จะได้ดีท็อกซ์จิตวิญญาณ ให้บริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้น

ทีมข่าวพิเศษ รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ฉลองน้ำ

พิสูจน์สัจจะสังคมบุญนิยม
ประเพณีฉลองน้ำบ้านราชฯ กระแสน้ำใจหลังไหลท่วมท้น

ท่วมมากกว่าทุกปี ตอกย้ำความเป็นบ้านราชฯ

งานฉลองน้ำครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๓ ต.ค. ๔๕ ณ บ้านราชเมืองเรือ เพื่อเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ปีนี้น้ำมาช้า จนหลายคน ไม่แน่ใจว่า น้ำจะท่วมหรือเปล่า แล้วน้ำก็ค่อยๆท่วมขึ้นในช่วงต้นเดือนกันยาฯ และระดับน้ำขึ้นสูงสุดในวันที่ ๒ ต.ค. ซึ่งทำลายสถิติ ท่วมสูงกว่าทุกปี ที่ผ่านมา บ้านเกือบทุกหลัง ในชุมชน ถูกน้ำท่วม ถึงชั้น ๒ เสียหายกันทั่วหน้า

เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าว เป็นช่วงเทศกาลขายอาหารเจ ซึ่งชาวชุมชนออกไปช่วยกันขายอาหารแทบจะหมดหมู่บ้าน และ อยู่พักค้าง อยู่ที่นั่นเลย เมื่อเสร็จสิ้นงานเจ ระดับน้ำ ก็ค่อยๆลดลง จนถึงวันสุดท้าย ของฉลองน้ำ ปีนี้จึงได้ชื่อว่า ฉลองน้ำลด

สมณะ-สิกขมาตุ ญาติธรรมจากพุทธสถาน-สังฆสถาน และจังหวัด ทยอยมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ มีหลายแห่ง ติดงานอบรม ธ.ก.ส. จึงปลีกเวลามาได้ แห่งละวัน สองวัน เท่านั้น บรรยากาศอบอุ่น พอกลุ่มนี้มา กลุ่มนั้นก็กลับ สลับหมุนเวียนกันไป ก็มีผลดี ไปอีกแบบหนึ่ง เพราะหากมาพร้อมๆกัน คงจะลำบาก ในหลายๆเรื่อง เหมือนกัน

สำหรับบรรยากาศในงาน
บิณฑบาตทางเรือ พ่อท่านนำหมู่สมณะพายเรือบิณฑบาตภายใน ๒ วัน คือวันที่ ๒๑ และ ๒๒ ต.ค. ญาติธรรมใหม่ที่ไม่เคยใส่ ตื่นเต้น

สถานที่ทำวัตรเช้า อยู่ที่ใต้ถุนเฮือนศูนย์ ซึ่งในวันที่ ๑๖ ต.ค. ระดับน้ำได้ลดลงพอดี จึงสามารถทำวัตรเช้าที่นี่ได้ ตลอดงาน โดยพ่อท่าน เมตตา นำทำวัตรเช้าทุกวัน ตั้งแต่วันที่ ๑๘-๒๓ ต.ค. เนื้อหาสาระระดับห้าดาว ติดตามหาเทปฟังได้

ข้าวถั่วงา ญาติธรรมแต่ละพุทธสถาน แต่ละกลุ่ม ทั้งนักเรียนและผู้ใหญ่ที่มาร่วมงาน ต่างช่วยกันเป็นเจ้าภาพ โดยใช้แพเหล็ก เป็นโรงครัว และแพแดงสถานที่ฉันภัตตาหารของพ่อท่าน สมณะ-สิกขมาตุ ส่วนญาติธรรม เมื่อตักอาหารแล้ว สามารถไปนั่ง รับประทาน ตามเรือต่างๆ ที่จอดอยู่ใกล้ๆ ได้ตามสะดวก

ที่พักของสมณะ อยู่ที่เรือโบสถ์ ท้าวแถนพญามูล สิกขมาตุพักที่แพสิกขมาตุ ฝ่ายชายพักที่เรือสุดให่เหมิด (เรือสำราญ) เรือเกียข่วมฟ่า (เรือเหลือง) และชั้น ๔ เฮือนศูนย์ฯ ฝ่ายหญิงพักที่ชั้น ๒-๓ เฮือนศูนย์ และแพแดง

กีฬาอาริยะ วันแรกมีการแข่งขันล้างถ้วยตราไก่สำหรับใช้ใส่ก๋วยเตี๋ยวในงานปีใหม่ เพราะเปื้อนโคลน พ่อท่านแจกรางวัล ให้กับทุกคน ที่เข้าแข่งขัน บนเวทีภาคค่ำ เพื่อส่งเสริมการเล่นที่สนุกและได้สาระ นอกจากนี้ มีญาติธรรม และนักเรียน สัมมาสิกขา แต่ละแห่ง ช่วยกันขัด ถู ล้างสถานที่ต่างๆอย่างสนุกสนานในช่วงเช้าหลังทำวัตรและช่วงบ่าย ๒ โมง

กรีฑาทางน้ำ ซึ่งจะขาดไม่ได้เริ่มเวลาประมาณบ่าย ๒ โมงครึ่ง- ๕ โมงเย็น มีทั้งการแข่งขันว่ายน้ำ การแข่งขันพายเรือ สนุกสนาน โดยเฉพาะเจ้าภาพนักเรียนสัมมาสิกขาฯบ้านราชฯ ต้องลงแข่งกับนักเรียนแต่ละพุทธสถาน ที่หมุนเวียนนมาทุกวัน จนแทบหมดแรง กองเชียร์ แต่ละแห่ง เชียร์กันสุดใจ

 

เวทีภาคค่ำ อยู่บนเรือใหญ่ลำใหม่ "กล้าข่วมฝัน" สำเร็จลงด้วยฝีมือของทีมช่างจากปฐมอโศกและศีรษะอโศก เป็นการแสดงต่างๆ ของญาติธรรม และนักเรียนสัมมาสิกขาฯ ที่มาร่วมงาน และที่ขาดไม่ได้คือ วงดนตรีฆราวาส

 

เรือแท๊กซี่ บริการแก่ทุกท่านที่ต้องการสัญจรภายในชุมชนฟรี! ตลอดงาน

งานฉลองจบลงพร้อมกับระดับน้ำ ที่ลดลงไปด้วย กราบขอบพระคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมให้กำลังใจ

 

สำหรับผู้อยู่ในเหตุการณ์และมาร่วมงานฉลองน้ำครั้งนี้ได้ให้สัมภาษณ์ดังนี้

สมณะน่านฟ้า สุขฌาโน ราชธานีอโศก "ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ได้ใช้วิกฤติเป็นโอกาส อาตมาว่ายน้ำไม่เป็น ได้ฝึกพายเรือ ญาติธรรม มาร่วมกันเยอะ เอาอาหารมา แล้วยังมาช่วยกันทำ แสดงถึงน้ำใจ แม้จะดูเรียบๆ ถ้าไม่ได้มาอยู่ก็เสียดาย เพราะตื่นมา ก็เห็นน้ำ เต็มไปหมด ประทับใจพ่อท่านเทศน์ทำวัตรเช้า"

น.ส.ปีกฟ้า เภาประเสริฐ สันติอโศก "มาครั้งแรกรู้สึกตื่นเต้น กะจะมาเห็นความเวิ้งว้าง ความเงียบสงบของน่านน้ำ ปรากฏว่า น้ำลดไปเยอะ แต่ก็ยังเห็นบรรยากาศที่เด็กๆยังสดชื่น ผู้ใหญ่ก็ยังเบิกบาน ยอมรับสถานการณ์ อาจจะเป็นเพราะท่วมมา ๓ ปี แล้วจึงทำใจ ได้กันทุกคน

ประทับใจทำวัตรเช้ามากที่สุด การแสดงภาคค่ำ แล้วก็ได้ฝึกพายเรือทั้งเช้าและเย็น เคยมาฝึกพายตอนปีใหม่ ปีนี้พายได้ดีขึ้น"

ด.ช.ชาติบดินทร์ สอนพูด ม.๑ สัมมาฯศีรษะฯ "มาเป็นครั้งที่ ๒ สนุกและถูกใจได้เล่นน้ำ แข่งพายเรือกับทีมปฐมฯ-บ้านราชฯ ผมได้ที่โหล่ เพราะเรือไม่ดี พายไปๆไม้ที่นั่งเรือผุ เพื่อนกระโดดลงน้ำ จึงเหลือผมคนเดียว

ชอบมากครับ สนุก ว่ายน้ำทำให้ได้ฝึกออกกำลังกาย และว่ายได้เร็ว ปีหน้าอยากให้ท่วมอีก เพราะจะได้มาฉลองอีก"

คุรุพัดบุญ ชาวหินฟ้า ปฐมอโศก "มาครั้งแรก รู้สึกว่าเป็นอีกแบบกับอยู่บนบก ไม่เคยแบบนี้ อบอุ่นดี รู้ชัดเรื่องอาหารต้องละเอียด พืชผักต้องไม่ตัดทิ้ง อะไรง่ายๆ ต้องประหยัด ไม่เคยเห็นปลาสวายมากมายขนาดนี้ สัมผัสแล้วเหมือนพวกเขาคุยกับเรารู้เรื่อง ประทับใจ ทำวัตรเช้า และการแข่งเรือ ว่ายน้ำ ล้างจานเปื้อนโคลน และ เวทีภาคค่ำ"

นายธนา เลิศทรัพย์ทวี กทม. "มาที่นี่ครั้งแรก ประทับใจ ไม่เคยเห็นงานฉลองน้ำอย่างนี้ พ่อท่านเก่งมาก สามารถเปลี่ยน วิกฤติ เป็นโอกาส ดึงคนมาฟังธรรมะ เป็นการโยนหิน ถามทางว่า ชาวอโศกจะมีน้ำใจ มาช่วยกันไหม ใครที่คิดว่า พุทธสถาน ตัวเอง ลำบากแล้ว แต่ที่นี่ลำบากกว่าหลายเท่า แต่เขาก็สามารถปรับได้ ดังนั้น คนที่คิดว่าตัวเองลำบาก ยังครับ ยังไม่ลำบาก".

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



วิธีเพิ่มประสิทธิภาพภูมิคุ้มกัน

คงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะคะว่า ถ้าเรามีภูมิคุมกันดี เราก็มีความสามารถ ในการต้านทาน โรคต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้ มะเร็ง หัวใจ เบาหวาน และ โรคร้ายอื่นๆ ดังนั้นการทำระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุดสำหรับสุขภาพ วิธีเพิ่ม ภูมิคุ้มกัน มีหลายวิธี แต่วิธีที่สำคัญที่สุดคือ การนอนหลับ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ต้องควบคุมอารมณ์ ไม่ให้เกิดความเครียดมากเกินไป และที่สำคัญจำเป็นที่สุด อีกอย่างคือ การรับประทานอาหาร ให้ถูกต้อง ครบถ้วน เพียงพอ ตามหลัก โภชนาการ

เรื่องอาหารนี้เป็นหนึ่งในโลกจริงๆ เราต้องเรียนรู้ให้มากและรับประทานให้ถูกต้อง ไม่ใช่รับประทานให้ถูกใจถูกกิเลส ซึ่งคนส่วนมาก มักจะเป็นทาสของอาหาร ในประการหลัง ทำให้เจ็บป่วยเกี่ยวกับนิสัย การบริโภคอาหาร บางคนทั้งๆที่รู้หมด แต่ต้องพ่ายแพ้ กับความอดไม่ได้ อาหารจืดๆ ไม่อร่อย ไม่ถูกใจ ต้องแซ่บๆ หวาน มัน เค็มอะไรทำนองนั้น ถ้าท่านเป็นเช่นนั้น ก็เตรียมใจไว้ด้วยว่า ท่านมีโอกาสเสี่ยง กับการเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้มาก

สารอาหารที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่ วิตามินซี อี เบต้าแคโรทีน ซีลิเนียม และกลูทาไทโอน ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งจะช่วยกำจัด อนุมูลอิสระออกจากร่างกาย เป็นอย่างดี มีการพบว่ากระเทียมมีสารที่ช่วยกระตุ้น การทำงานของระบบ ภูมิคุ้มกันได้ด้วย เพราะมีคุณสมบัติ ต่อต้านเชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียได้ดี การกินกระเทียม ที่ได้ประโยชน์ มากที่สุดคือ การกินขณะยังดิบๆ กรดไขมันที่จำเป็น สำหรับการสร้าง ระบบภูมิคุ้มกัน อีกตัวคือ กรดไขมันโอเมก้า ๓ ซึ่งที่พบในพืช ได้แก่ เมล็ดปอที่ใช้ทำน้ำมันลินสีด จมูกข้าวสาลีในฤดูหนาว ถั่ววอลนัท และในน้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น วิตามินซี นอกจาก จะเป็นสาร แอนตี้ออกซิเดนท์แล้ว ยังมีผลยับยั้ง สารฮีสตามีนในร่างกาย ซึ่งจะหลั่งเมื่อเกิดปฏิกิริยา แพ้สารต่างๆ ยังช่วยลด อาการบวม ตามเนื้อเยื้อ และ เยื่อหุ้มเซลล์ต่างๆ ได้ด้วย

จะเห็นว่าร่างกายและจิตใจสัมพันธ์กันจริงๆ ถ้าจิตใจอ่อนแอ ร่างกายก็จะอ่อนแอไปด้วย ถ้าภูมิคุ้มกันทางจิตใจดี ภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย ก็ดีไปด้วย ภูมิคุ้มกัน ทางใจดีคือ ไม่ตามใจกิเลส กินแต่ของอร่อยๆ ที่ถูกใจแต่ไม่ถูกต้อง หรือไม่เครียด นี่กระมัง ที่เรียกว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" นะคะ.

กิ่งธรรม

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

พันธมิตรกู้ชาติกดดันรัฐบาล
ยกเลิกกฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ

วันศุกร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๕ เวลา ๑๖.๒๐ น. ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า สมาชิกพรรคเพื่อฟ้าดิน และนักเรียนสัมมาสิกขา ปฐมอโศก จำนวน ๕๐ คน ไปร่วมชุมนุม กับกลุ่มกู้ชาติจาก ๔๕ องค์กร จำนวนประมาณ ๕,๐๐๐ คน ทวงสัญญา จากรัฐบาล ในการแก้กฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ เนื่องจากรัฐบาล ภายใต้การนำ ของพรรคไทยรักไทย เคยให้คำมั่นสัญญากับประชาชขน ตอนหาเสียงเลือกตั้งว่า ไม่เห็นด้วยกับกฎหมาย ๑๑ ฉบับ ที่อนุญาตให้ต่างชาติ เข้ามาทำธุรกิจ ในหมวดเศรษฐกิจ และ ธุรกิจ รายย่อย ในประเทศ โดยไม่บอกให้ประชาน และนักธุรกิจไทยรู้ตัว อันจะมีผลให้ธุรกิจทั้งหมด โดยเฉพาะ ธุรกิจรายย่อย ได้รับ ผลกระทบ ถึงต้องเลิกกิจการ เพราะสู้ไม่ได้ทั้งด้านการตลาด และเงินทุน ของคนไทยในอนาคตด้วย

ในช่วงเวลานั้น(พ.ศ.๒๕๔๒) พรรคไทยรักไทยเห็นว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทบทวนยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เพื่อผลประโยชน์ ของคนไทย ทั้งประเทศ รวมทั้ง เรียกร้อง ให้ประชาชนร่วมกัน คัดค้านกฎหมาย ยกเศรษฐกิจให้ต่างชาติ ซึ่งมีรายละเอียด ที่ทำให้เราเสียเปรียบต่างชาติ ในทุกประเด็น

บัดนี้ เกือบ ๒ ปีแล้ว ที่รัฐบาลยังคงดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและขายกิจการดีๆหลายอย่างของชาติในราคาถูก ให้แก่ต่างชาติ เสมือนหนึ่ง ลืมเลือนสัญญา ที่ให้ไว้แก่ประชาชน กลุ่มผู้ใช้แรงงานผู้เดือดร้อน พนักงานรัฐวิสาหกิจ อาทิ การบินไทย การท่าเรือ การไฟฟ้า การท่าอากาศยาน รสพ. ขสมก. คุรุสภา รวมทั้ง สหภาพแรงงาน ชมรมต่างๆ และประชาชนทั่วไป จึงต้องมาชุมนุมกัน เพื่อทวงสัญญา ดังกล่าว เพราะเราไม่ต้องการ เป็นอาร์เจนตินา ๒

เนื้อหากฎหมาย ๑๑ ฉบับโดยย่อ แบ่งออกเป็น ๔ กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ ๑ เกี่ยวกับ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับ "ที่ดิน" เปิดทางให้ต่างชาติสามารถเข้ามาครอบครองแผ่นดินไทยได้นับ ๑๐๐ ปี ครอบครอง อาคารชุดได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ และ เปลี่ยนแปลงการเช่า เช่น ให้ผู้เช่าสามารถเอาไปจำนอง และตกถึงลูกหลานได้ ซึ่งจะมีผล ประทบต่อชีวิต และความเป็นอยู่ ของคนไทย เพราะทุกวันนี้ คนไทยบางกลุ่ม ยังไม่มีที่ทำกินและที่อยู่

กลุ่มที่ ๒ เกี่ยวข้องกับการเข้าประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ที่ออกมาเพื่อเปิดทางให้ "ทุนต่างด้าว" เข้ามาทำลาย "ทุนในชาติ" ในภาค ขายปลีก ขายส่ง และ ภาคบริการต่างๆ

กลุ่มที่ ๓ เป็นเรื่องทุนรัฐวิสาหกิจ ที่เอื้อให้ผู้บริหารประเทศสามารถเอาประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ สนามบิน มหาวิทยาลัย ฯลฯ ออกมา เร่ขาย ในตลาดหลักทรัพย์ เปิดทาง ให้ทุนต่างชาติ มาครอบงำอีก

กลุ่มที่ ๔ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการล้มละลาย ของธุรกิจ คนไทยที่กฎหมายเปิดทางให้ "เจ้าหนี้ต่างชาติ" สามารถเข้ามายึด กิจการ อุตสาหกรรม บ้านเรือน รถยนต์ ฯลฯ ของลูกหนี้คนไทย ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

ทางออกที่จะไม่ให้ประเทศไทยล้มละลาย และหายนะอย่างอาร์เจนตินา
รัฐบาลและประชาชนต้องมีความยึดมั่นในความผูกพันต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง และรีบกลับลำ ก่อนที่จะสาย ไปกว่านี้ ด้วยการดำเนินการ อย่างจริงจัง เช่น

๑.หยุดการคอร์รัปชั่น
๒.หยุดขายรัฐวิสาหกิจ
๓.หยุดกู้เงินจากต่างประเทศ มาสร้างสาธารณูปโภคที่ไม่จำเป็น เช่น สนามบินหนองงูเห่า
๔.หยุดปล่อยให้ทุนต่างชาติเข้ามาทำลายทุนในชาติ เช่น การค้าปลีก ภาคบริการ ฯลฯ
๕.หยุดคิดแต่จะพึ่งการลงทุนกับต่างชาติ สร้างความเชื่อมั่นให้ต่างชาติ หันกลับมาสร้างความเชื่อมั่น ให้แก่คนไทย
๖.ออกพระราชกำหนด ยกเลิกกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ ๑๑ ฉบับ หรือที่สื่อเรียกกันว่า "กฎหมายขายชาติ" และ กฎหมาย อื่นๆ ตลอดจน สนธิสัญญา ต่างๆ ที่สร้างความเสียเปรียบ ให้แก่คนในชาติ
๗.ยึดมั่นในหลักการพึ่งตนเอง ยืนอยู่บนขาตนเองและมีเศรษฐกิจแบบพอเพียง
๘.สร้างค่านิยมที่ดี เช่น การรักชาติ การเคารพคุณงามความดีมากกว่าเงินทอง ฯลฯ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 


เจริญธรรม สำนึกดี พบกันอีกครั้งกับข่าวความเคลื่อนไหว ในหมู่กลุ่มชาวเรา ใน น.ส.พ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๑๙๓(๒๒๖) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๑ ต.ค.๔๕
ขอแก้ไข-ในหน้า ๑ ของข่าวอโศก ฉบับที่แล้วที่ลงชื่อ พล.อ.ปรีดา เอี่ยมสุพรรณ อดีตหัวหน้านายทหาร เสนาธิการ ประจำ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหม ที่ถูกต้องคือ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ต้องขออภัย ในความผิดพลาดมา ณ ที่นี้ด้วย

ก่อนจะไปเรื่องอื่นๆต่อไป จิ้งหรีดขออนุญาตเก็บข่าวข้างนอกมาเล่าให้ฟังกันหน่อย เพราะวันก่อน ไปอ่านพบว่า "สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้รายงานผลสำรวจ ภาวะเศรษฐกิจ และสังคมครัวเรือน พ.ศ.๒๕๔๕ (ข้อมูล ๖ เดือนแรก) แล้วพบว่า คนไทย ยังคงแบกหนี้บานเบอะ โดยกลุ่มลูกจ้าง วิชาชีพ วิชาการนักบริหาร คว้าแชมป์สร้างหนี้ ชี้ประมาณ ๘๙ % ถูกใช้ไปกับ การบริโภค และอุปโภค สำหรับหนี้สิน ของครัวเรือน โดยรวมทั่วประเทศ ในปี ๒๕๔๕ ประมาณ ๘.๓ หมื่นบาท (เพิ่มขึ้น ๑๒.๖% ต่อปี เมื่อเทียบกับปี'๔๓) ครัวเรือนทุกภาค มีหนี้สินเฉลี่ย ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีหนี้สิน ๑.๖ แสนกว่าบาท ต่อครัวเรือน (เพิ่มขึ้น ๒๑.๑ %) รองลงมาคือ ภาคใต้ มีหนี้สินประมาณ ๘.๐ หมื่นบาท (เพิ่มขึ้น ๑๗.๖%)"

นี่เพียงแค่ ๖ เดือนของปีนี้ คนไทยเราต้องแบกหนี้ เพราะการใช้จ่ายกันมากมายขนาดนี้ แต่ละคน คงต้องแบกภาระ กันหนักอึ้ง เพราะรายได้ส่วนใหญ่ มาจากค่าจ้า งและเงินเดือน อ่านแล้วก็ให้เป็นห่วง! หากคนในชาติ ไม่หันมาฝึกหัดใช้ชีวิต ด้วยหลักธรรม ของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้เรารู้จักอดทน อดกลั้น ต่อความอยาก อย่างไม่มีที่สิ้นสุด การช่วยสังคม ก็คงต้องเริ่มที่ตัวเรา อย่างเต็มที่ ซึ่งพวกเรา ชาวอโศก ก็ได้ดำเนินชีวิต อย่างสมถะ เน้นประโยชน์สูง-ประหยัดสุด มาตั้งแต่ ก่อตั้งหมู่กลุ่มแล้ว ก็หวังว่า ชาวเรา ทั้งหลาย จะไม่ละเลย ที่จะดำเนินชีวิต อย่างประณีตประหยัดต่อๆไป เพราะสังคมวิกฤต เข้ามาทุกทีแล้ว

คุยกันเรื่องรอบๆตัวกันแล้ว ฉบับนี้จิ้งหรีดบ้านราชฯมีข่าวฉลองน้ำ(ลด) มาฝากท่านญาติธรรม ที่ปีนี้ติดขัด ไม่ได้ไปร่วมงาน ให้อ่านกันจุใจทีเดียว และที่พลาดไม่ได้ ก็เท็ปธรรมะที่พ่อท่านบันลือสีหนาท แสดงธรรมทุกเช้า ตั้งแต่ ๑๘-๒๓ ต.ค. เจาะลึก ความลึกซึ้ง ของมนุษย์ พร้อมแนวปฏิบัติไปสู่นิพพาน เป็นการทบทวน หลักปริยัติ และเพิ่มเติมเนื้อหา ละเอียดลออยิ่งนัก ญาติธรรม คอ(เท็ป)ห้าดาว ไม่ควรพลาด ติดตามหาฟังเอานะฮะ เพราะหากพลาด ท่านอาจจะเสียใจ ไปตลอดชีวิต (ไม่ได้เว่อร์ นะฮะ... ขอบอก) ทีนี้เชิญตามอ่าน บรรยากาศของงาน และข่าวแวดวง ชาวเรากันได้แล้ว

งานฉลองน้ำ'๔๕...นับเป็นครั้งที่ ๓ แล้วที่ชาวเราได้มีโอกาสร่วมกันฉลองน้ำ ปีนี้จัดระหว่างวันที่ ๑๗-๒๓ ต.ค.๔๕ รวม ๗ วัน ๗ คืน ณ บ้านราชฯเมืองเรือ เจ้าเก่า เพื่อเปลี่ยนวิกฤตน้ำท่วม เป็นความสุข (อย่างมีสาระ) อีกรูปแบบหนึ่ง ที่อาจจะมีที่นี่ แห่งเดียว ในโลก ก็ว่าได้ ที่น้ำท่วมแล้ว ก็ยังอบอุ่น ไม่ทุกข์ยากเดือดร้อน มีสมณะ-สิกขมาตุ ญาติธรรม จากทั่วประเทศ หลั่งไหลหมุนเวียน มาเยี่ยมเยียน ให้กำลังใจ มากมายเหมือนเคย แม้บางแห่งบางที่ จะติดงานอบรมลูกหนี้ ธ.ก.ส. ก็ยังอุตส่าห์ เจียดเวลามากัน... น้ำท่วมมา ๓ ปีซ้อนนี้ ชาวบ้านราชฯ ไม่เคยรับถุงยังชีพ จากทางราชการ แม้แต่ถุงเดียว เพราะสังคมของพวกเรา พึ่งพากันได้นี่เอง... การเตรียมงานนั้น ก็ใช้เวลาเตรียมการ ล่วงหน้าแค่ ๑ วันเท่านั้น อาจเป็นเพราะบ้านราชฯ เกิดน้ำท่วม มาหลายครั้งแล้ว จึงกลายเป็น มืออาชีพ ในเรื่องน้ำท่วมไปเสียแล้ว แม้หลายๆคน จะยังไม่หายเหนื่อยล้า จากการขายอาหาร ในเทศกาลกินเจ ที่เพิ่งแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ ๑๕ ต.ค.ที่ผ่านมาก็ตาม แต่ทุกอย่าง ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี... พ่อท่านได้กล่าว ในช่วงทำวัตรเช้า ของวันที่ ๑๘,๑๙ ต.ค.ว่า

"...น้ำท่วมปีนี้ ท่วมมาก ๓ ปีซ้อน จนกระทั่งอาตมาภูมิใจว่า พวกเราไม่ได้รังเกียจน้ำและไม่ได้กลัวน้ำ แล้วยังใช้น้ำ ให้เป็นประโยชน์ เท่าที่เป็นไป ที่ตรงนี้ คนข้างนอกเขาบอกว่า พวกนี้โง่ มาซื้อที่น้ำท่วม แล้วจะอยู่กันอย่างไร ตอนนี้เขาคงรู้แล้วว่า พวกเราพอไปได้ แม้น้ำท่วม เราก็อยู่สบายๆ ไม่เดือดร้อน น้ำท่วมเราก็อยู่กับน้ำจริงๆ น้ำท่วมแต่ละปีๆ หมดไปหลายล้าน สูญเสียไปกับน้ำพัด น้ำไหล ที่ทำงานของอาตมา ไม้โก่ง งอ เสียไปเยอะ ต้องปรับปรุงใหม่ เปลืองข้าวของ ต้องซ่อมแซม เสียแรงงาน แต่ก็ไม่เป็นไร คิดว่า เราไม่สิ้นไร้ ไม้ตอกหรอก เราเอาแน่

บ้านราชฯนี่อาตมาไม่ถอดไม่ถอยไปไหนหรอก จะปลูกฝังสร้างบ้านราชฯ ไปจนกว่าอาตมาจะตาย บ้านราชฯ มีองค์ประกอบ ที่ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือ สะอาดสะอ้าน เกลี้ยง สด บริสุทธิ์..."

เป็นไงฮะฟังแล้วเดินหน้าลุยได้ บ้านราชฯอยู่คู่อโศกแน่นอน...ส่วนการสัญจรภายใน-ภายนอก จากแพแดง มายังเฮือนศูนย์ฯ ใช้เรือใหญ่ ๑๑ ลำต่อกัน เป็นทางเดิน ซึ่งต้องระมัดระวังกันหน่อย เพราะหลายคน อาจจะไม่เคยชิน เลยลืมระวังความปลอดภัย จากท้องเรือ ที่อาจมีหลุม มีร่องโดยเฉพาะในช่วงกลางคืน หรือถ้ามัวแต่ใจจดใจจ่อ ระวังเพียงข้างล่าง จนลืมระวังข้างบน ศรีษะของท่าน อาจได้รับบาดเจ็บ จากหลังคาเรือได้ แต่ก็ยังไม่มีรายงานมาว่า มีใครได้รับบาดเจ็บร้ายแรง แสดงว่า มีสติ กันดีอยู่ไงฮะ... ข้างฝ่ายที่พายเรือไม่เป็น ก็สามารถเรียกบริการเรือแท๊กซี่ ไม่มีมิเตอร์ แต่พร้อมชูชีพประจำเรือ ไว้บริการ ในราคา บุญนิยม ระดับ ๔ โดยท่าเรืออยู่ ที่บริเวณหน้าเฮือนศูนย์ฯ หลายคนที่เคยแต่นั่งรถแท๊กซี่ พอได้มาลองนั่ง เรือแท๊กซี่แล้ว ต่างพูด เป็นเสียงเดียวกันว่า บรรยากาศดีม๊ากมาก ได้ชมวิวสองข้างทาง สนุกตื่นเต้นและเร้าใจ ชนิดวินาทีต่อวินาทีเลย (เอ! จิ้งหรีดว่า ความรู้สึกช่วงหลังนี่ ฟังพิกลๆนะ)... ส่วนการเข้าออกชุมชน มีเรือยนต์ใหญ่ และเรือหางยาว คอยรับส่ง เป็นเวลา และ สำรอง นอกเวลา แต่ต้องใจเย็นกันหน่อย เพราะเวลาที่กำหนดอ าจไม่ตรงกับเวลาที่เรือออกก็ได้ งานนี้ได้ทำใจไปในตัว เพราะบางที ต้องรอคนโน้นคนนี้ กว่าจะได้ไป ก็เลยเวลาเป็นชั่วโมง ส่วนบางที ก็ออกตรงเวลาเป๊ะ ไม่รอใคร นี่ก็ได้ทำใจอีก เพราะฉะนั้น ช่วงน้ำท่วม สิ่งที่เที่ยงอาจไม่เที่ยง ตรงนี้นี่แหละ เป็นกำไร ที่แถมฟรี ให้แต่ละคน ได้ฝึกปล่อยวาง และได้ฝึกใจเย้นเย็น... งานฉลองน้ำ ครั้งที่ ๓ นี้จบลงด้วยความอบอุ่น พร้อมกับระดับน้ำ ที่ลดลงไปด้วย ก็ขออนุโมทนา กับทุกๆท่านด้วยฮะ...จี๊ดๆ

รีบจดสิขสิทธิ์...ชมร.เชียงใหม่แจกอาหารฟรีมาถึงครั้งที่ ๘ ได้ใช้พืชผักผลไม้ไร้สารพิษล้วน ในวันขายอาหารตามปกติ ก็ใช้พืชผัก ผลไม้ไร้สารพิษ ไม่ต่ำกว่า ๙๐ % ที่ได้รับความนิยม จากลูกค้าอย่างมาก คือ สลัดสมุนไพร ถึงขนาดเข้ารั้ว เข้าวังมาแล้ว ทั้งนี้คงเป็นเพราะ มีคนขายที่ชื่อ แม่ปราณี ที่รอดชีวิต จากโรคมะเร็ง เป็นคนขาย ที่ยืนพูดยืนขาย แทบจะไม่หยุดปาก เพราะต้องการ ให้ลูกค้า ได้บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ สมุนไพร จากชุมชนภูผาฯ ซึ่งส่วนใหญ่ เกิดขึ้นเอง บนดอย จนมีลูกค้ารายหนึ่ง แนะนำให้แม่ปราณี รีบทำเรื่องจดลิขสิทธิ์ สลัดสมุนไพร เพราะยอมรับว่า สลัดสมุนไพรที่นี่ ไม่เหมือนสลัดที่อื่น และดีจริงๆ แถมยังราคาถูกอีกต่างหาก...จี๊ดๆ

แจกอาหาร...ชมร.เชียงใหม่แจกอาหารมังสวิรัติฟรีประจำเดือนนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ ๘ ตรงกับวันปิยมหาราชพอดี

พืชผักผลไม้ที่นำมาทำอาหารส่วนใหญ่ได้มาจากดอยแพงค่า ชุมชนภูผาฟ้าน้ำ ซึ่งเป็นพืชผักผลไม้ไร้สารพิษทั้งหมด อีกส่วน ก็ได้มาจาก ญาติธรรม ที่เก็บมาจากบ้าน คราวนี้จึงมีแหล่งที่มา ของวัตถุดิบถึง ๑๙ แห่งใน จ.เชียงใหม่ ทำให้มีเหลือพอจำหน่าย ในร้านกู้ดินฟ้า ๔ ด้วย

การแจกอาหาร ตามแนวบุญนิยมระดับ ๔ ครั้งนี้ มีความแตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา ตรงที่ครั้งนี้ ตรงกับวันหยุดราชการ และ มีการประกาศ บอกลูกค้าล่วงหน้า

นอกจากนี้ยังได้เริ่มจัดมุมจำหน่ายสินค้าราคาเท่าทุนเพิ่มขึ้นมาอีกมุมหนึ่ง ซึ่งได้รับความสนใจ จากลูกค้า อย่างเห็นได้ชัด

การแจกอาหารแต่ละครั้งก็คล้ายวัน รวมพี่รวมน้องของญาติธรรมภาคเหนือตอนบน ที่จะได้มีโอกาส มาพบปะสังสรรค์กัน โดยครั้งนี้ มีร่วมงาน ประมาณ ๑๐๐ คน อันเป็นความร่วมรวมกันที่น่าปีติยินดียิ่ง...เอ้าล่ะ...จิ้งหรีดก็ตีฆ้องร้องป่าว ทุกครั้งที่ ชมร.ช.ม. แจกอาหารฟรี จะได้สร้างบรรยากาศให้ฮึกเหิม เผื่อที่อื่นๆที่เริ่มพร้อม หรือใกล้พร้อมจะเป็นแนวร่วม (อุดมการณ์บุญนิยม ระดับ ๔) จะได้มีกำลังใจ เคลื่อนไหวต่อไป ด้วยความมั่นใจว่า ต้องมีสักวัน ที่เราทำได้น่า...จี๊ดๆ

อย่ามัวแต่เพลิน...แล้ววันหนึ่ง หมอก้อง จาก ร.พ.หนองคาย ญาติธรรมอีกท่านของเรา ก็ได้ทบทวน ความเป็นอยู่ ของตนเอง แล้วสรุปได้ อย่างน่าอนุโมทนาว่า "ความสบายทำให้เราเพลิดเพลิน ปล่อยปละละเลยอะไรไปหลายๆอย่าง" ... จิ้งหรีด ฟังคุณหมอแล้ว ก็นึกสะดุ้ง เพราะนึกถึงคำสอนของสมณะ ที่ท่านสอนอยู่บ่อยๆ ให้เราอย่างติดแป้น มัวชมสวนดอกไม้ เพราะนอกจาก จะไม่พาให้เจริญขึ้นแล้ว ความหยุดยังพาให้เราเสื่อมต่ำลง ในกุศลกรรมอีกด้วย จี๊ดๆ ..แว๊ก! จิ้งหรีดก็มัวหลง ดื่มด่ำ กับสวนส่วนตัว อยู่เหมือนกัน ต้องขอขอบคุณ บทสรุปของคุณหมอด้วยนะฮะ สรุปได้แล้ว ทีนี้ก็ต้องหยุดทำตัวสบาย เพลิดเพลิน แล้วหันมาตั้งตนอยู่บนความลำบาก แล้วซิฮะ คุณหมอฮะ...จี๊ดๆ

กู้ชาติ...ตอนนี้แขกไปใครมา คงได้เห็นคุณกรักน้ำเย็นกำลังทำงานกู้ชาติอย่างแข็งขัน(และมุ่งมั่น) ด้วยการเก็บขยะสด จิ้งหรีด สมองตื้อ อยู่ตั้งพักใหญ่ เพิ่งถึงบางอ้อ เมื่อมีผู้ช่วยขยายต่อว่า "(เก็บขยะสด)เอาไปทำปุ๋ยไง" แหม!นึกออกแล้ว มีปุ๋ยดี ก็มีผลิตผล ไร้สารพิษมากๆ ป้อนสู่มวลมนุษยชาตินี่เอง เอ้า!สู้ๆๆๆ เพื่อชาติของเรา สาธุ...จี๊ดๆ

ความเกรงใจ...เป็นคุณสมบัติหนึ่งของผู้ปฏิบัติธรรม ก็มีผู้ฝากขุมทรัพย์แนะนำมาว่า เรื่องการหลับการนอน ของพวกเรา หลายที่ หลายแห่ง พักผ่อนนอนหลับ ห้องเดียวกัน ยังไงๆ ก็อย่าลืมความเกรงใจ ขอให้ระมัดระวัง อย่าให้เสียงดัง ไปรบกวน ผู้ที่มาพักผ่อนก่อนเรา หรือผู้ที่ต้องตื่น ทีหลังเราด้วยนะฮะ เรื่องนี้จิ้งหรีด เห็นด้วยอย่างยิ่ง หากเราเป็นพี่เป็นน้อง เป็นญาติกันจริงๆ ย่อมมีหัวใจ เอื้ออาทร ห่วงใยกัน คงไม่อยากให้เพื่อนเรา ตื่นขึ้นมาขอบตาดำปี๋ ใช่ไหมฮะ...จี๊ดๆ

บั้งไฟใครเอ่ย?...วันก่อนนิสิต ม.วช.ศีรษะอโศก มีตารางต้องไปรับน้อง ส.ส.ษ.ที่เสร็จภารกิจ จากงานเทศกาลเจ ที่บ้านราชฯ แต่ไม่รู้อะไรดลใจ ให้ไปหลงใหล บั้งไฟพญานาคข้างทาง มากกว่าน้องๆตาดำๆ ทำให้น้องได้แต่ชะเง้อ คอยอยู่กว่า ๒ ช.ม. ครั้นพอไปถึง ผู้ชื่นชมบั้งไฟพญานาค จึงต้องหลบบั้งไฟ (โทสะ) จากอากันพัลวัน(ฮา)...จี๊ดๆ

ศิลปินเพลงคนใหม่...เกิดแล้วจ้าๆ ศิลปินเพลงคนใหม่ แต่งเอง ร้องเอง โฆษณาขายเอง ก็เท็ปเพลงของลุงลำพัน ชุด "ดีแล้วดิน" เท็ปชุดนี้ข่าวว่า ไม่ต้องง้อนักดนตรี ก็ขายดีเกินคาด ตัวจิ้งหรีดเอง ก็ยังไม่เคยฟัง แต่ได้ยินชื่อเท็ปแล้ว ก็อยากรู้จังว่า เนื้อเพลง จะเป็นจักใด๋ฮะ เอ้า!ใครสนใจ อยากฟังติดต่อได้ ที่ศาลีอโศกฮะ...จี๊ดๆ

ศีรษะอโศก...การศึกษาที่ศีรษะอโศกยามนี้ เน้นเคี่ยวในเพิ่มขึ้น นักเรียนต้องยินดีที่จะเรียน ผู้ปกครองก็ต้องยินดีด้วย และที่สำคัญ นักเรียนต้องมีอินทรีย์พละ เพียงพอที่จะปฏิบัติ ตามกฎระเบียบของ ร.ร.ด้วย จิ้งหรีดเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะเรียน ที่ไหน ก็ไม่เหมือนที่ ร.ร.สัมมาสิกขาของเรา มันยากส์ส์ม๊ากมาก ใครจบได้ ต้องถือเป็นผู้กล้า ที่สามารถเอาชนะ ตนเองได้ จิ้งหรีด ขอคารวะ ๑ จอก (น้ำเก๊กฮวย)...จี๊ดๆ

เสียวไส้จัง...วันก่อนจิ้งหรีดเกาะอยู่ข้างเสา ฟัง "ชะวา" นิสิต ม.วช.ศาลีอโศก บอกว่า กลับบ้านงวดนี้ จะไปช่วยพ่อแม่ หักข้าวโพด ในไร่ฝั่งพม่า ในเขตสงคราม ของพม่ากับกะเหรี่ยงอิสระ หากมีชีวิตรอด จะกลับมา... เปลี่ยนไปหักข้าวโพด ที่อื่น ไม่ได้หรือฮะ จิ้งหรีดฟังแล้ว หวาดเสียวจัง ยังไงๆก็รีบชวนพ่อแม่ กลับมาจากฝั่งโน้น แล้วกลับมา ปฏิบัติธรรมกันต่อ นะฮะ...จี๊ดๆ

มรณัสสติ
นางศิริลักษณ์ เฉลิมพงษ์ อายุ ๔๐ ปี (ภรรยาคุณสมยศ เฉลิมพงษ์) เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ ๒๙ ต.ค.๔๕ ตั้งศพ บำเพ็ญกุศล ณ พุทธสถานสันติอโศก วันที่ ๓๐ ต.ค. - ๒ พ.ย. ๔๕

ก่อนจาก ขอฝากโอวาทของพ่อท่านในช่วงทำวัตรเช้าเมื่อวันที่ ๒๓ ต.ค.ที่ว่า

"...ก็ขอให้พวกเราตั้งใจ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของงานฉลองน้ำ แล้วเย็นเราก็ต้องช่วยกัน ความเป็นหมู่เป็นขบวนกลุ่ม ชนะอะไร ต่ออะไรได้ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อปริหานิยธรรม ธรรมที่ไม่เสื่อม สามัคคีกันพรั่งหร้อมกันประชุม พรั่งพร้อมกันเลิก พรั่งพร้อมกันทำ อะไรต่างๆนานา ยังมั่นคงอยู่ในธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ไปอย่างนี้ตลอด ไม่มีใครจะมาล้มล้างได้ เด็ดขาด มีแต่จะรุดเจริญ ไปข้างหน้าจริงๆ เพราะฉะนั้น เรื่องของขบวนการกลุ่ม เราจะต้องพยายามทำให้ดีๆ อย่าเอาแต่ใจตัว อย่าไปเลี้ยง อรูปอัตตานัก ลดละอัตตากันให้จริงๆ แล้วอัตตาหยาบ ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา ใครยังกะรุงกะรัง ใครที่ยังเฟอะๆฟะๆ อะไรอยู่ ก็หัดลด หัดละ หัดปลด หัดปลงซะบ้าง วันเวลาก็ผ่านไปๆมากมาย สิ่งดีก็มีให้เห็นให้ปรากฏ เราก็จงพยายาม ตั้งอกตั้งใจ เพิ่มอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อย่าหยุดอยู่ ต้องเจริญขึ้น ต้องตรวจสอบตัวเราเอง มีเตวิชโช เราควรจะเพิ่มภูมิ เราควรจะตั้งกรรมฐาน หรือ ตั้งอะไร ของเรา ที่ควรเคร่งครัด ควรเลิกอันนี้ ควรละอันนี้ แต่ละคนตั้งใจทำจริงๆ แล้วเราจะได้เห็นผลกันไป ในชีวิตของเรานี้แหละ ขอให้ทุกคน ประสบความสำเร็จ ตามที่เราได้ตั้งใจ ตามกันมาทุกคน"

พบกันใหม่ฉบับหน้า

- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ศูนย์วังน้ำเขียวฉลองครบรอบสี่ปีตามรอยพระภูมินทร์
เน้นแก้วิกฤติชาติให้ได้ผล ต้องยกความจนให้มีระดับ

สี่ปีแห่งการก่อเกิด ศูนย์ศึกษาพัฒนาการของชาวบ้าน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีทิศทางการพัฒนาให้เป็นไป เพื่อสอดคล้อง ระบบบุญนิยม ผู้ว่าฯ ยกเลิก งานอื่น มาเปิดงาน และร่วมบรรยาย ให้กำลังใจ ชัยวัตน์ชี้ขี้ควายหนึ่งปี มีมูลค่ามหาศาล ศิลปิน วงฆราวาส สร้างบรรยากาศ พ่อท่านโพธิรักษ์ แสดงธรรม ท้าให้ไม่เชื่อ ในความเป็นไปได้ของมนุษยชาติ ระบุพุทธศาสนา ไม่ได้สอน ให้คนมีความสุข ด้วยความร่ำรวย แต่ทำตัวเองให้จนลง อย่างมีระดับไฮโซแท้ๆ สังคม จึงไปรอด

เมื่อวันที่ 24-25 ตุลาคม 2545 ที่ศูนย์ศึกษาพัฒนาการของชาวบ้าน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านน้ำซับ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา อันเป็นสถานที่ ฝึกอบรม กสิกรรมไร้สารพิษ โดยมีคุณอำนาจ หมายยอดกลาง เป็นประธานศูนย์ ได้จัดงาน ฉลองครบรอบสี่ปี ตามรอยพระภูมินทร์ งานเริ่มเมื่อ สมาชิกเครือข่าย เดินทาง เข้าพื้นที่ และลงทะเบียนในตอนเที่ยง เจ้าภาพ เลี้ยงด้วยอาหารมังสวิรัติ และชมการแสดงดนตรี แบบฝึกซ้อม ใช้ปฏิภาณของศิลปิน วงฆราวาส ซึ่งกำลังปรับปรุง ทำดนตรี ให้เป็นศิลปะ เพื่อการพัฒนาชีวิต ทั้งแบบจริงจัง และผ่อนคลาย

ประมาณ 17.00 น. เปิดเวทีอภิปรายให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาวิสัยทัศน์ชุมชน มีผู้ร่วมอภิปราย คือ คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ คุณเอนก นาคะบุตร หัวหน้าสำนักงาน กองทุนเพื่อสังคม (SIF) โดยมีคุณแก่นฟ้า แสนเมือง เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย คุณไชยวัฒน์ กล่าวตอนหนึ่งว่า " ... ควายหนึ่งตัว ขี้วันละกี่กิโล หนึ่งปี ได้ขี้ควายกี่ตัน หนึ่งตันมูลค่าเท่าไร ตลอดอายุควาย 20 กว่าปี มันให้ปุ๋ย มูลค่าแก่เรากี่ตัน มีมูลค่าเท่าไร เราไม่เคยนำมาคิด เอะอะก็จะเอาควาย ไปขายให้ โรงฆ่าสัตว์ ได้ตัวละแค่ หมื่นกว่าๆ แล้วก็เอาเงิน ไปซื้อปุ๋ยเถ้าแก่ กิโลละ 7 บาท ตันหนึ่งก็ 7,000 บาทแล้ว ถ้าชาวบ้าน ถูกสอนให้รู้จักคิด มีวิสัยทัศน์ จากมูลค่า ขี้ควาย 20 ปี ได้ปุ๋ย หลายร้อยตัน เขาจะยอมขายควายไหม ? ... "

พ่อท่านโพธิรักษ์ กล่าวแสดงธรรมปาฐกถาภาคเช้าก่อนฉัน ว่า... พุทธศาสนาแก้วิกฤติชาติ ไม่ได้เอาตัวอย่างของคนร่ำรวยมาแก้ แนวคิดแบบทุนนิยมนั้น เป็นการทำลายสังคม ไม่ได้สร้างสรรค์โลกเลย เพราะคนมุ่งแต่จะรวย ด้วยการเอารัดเอาเปรียบ มหาเศรษฐี ก็จะดูดเอาทรัพยากรทั้งหลาย มากองกักเก็บไว้ ที่วงศ์บริวาร ของตัวเอง ยิ่งดูดเอามาได้หลายพันล้าน หมื่นล้าน คนก็ยิ่ง ขาดแคลนมาก แล้วมันก็ยิ่งแก่งแย่งกัน หนักหน้าเข้าไปอีก...

พุทธศาสนาสอนให้มีความสุขด้วยการมาเป็นคนจน ที่ตั้งใจมาจน มาลดละ ยิ่งละให้ตัวเองว่างเบาได้มากเท่าไร ก็ยิ่งจะมี สมรรถนะ มีความสามารถ มีการเสียสละ ได้มาก เศรษฐกิจก็จะมีการสะพัดกระจาย ไปอย่างทั่วถึง คนจนอย่างนี้แหละ คือ คนมีระดับ เป็นคนไฮโซแท้จริง เพราะมีวรรณะเก้าชั้น โดยเฉพาะ วรรณะ ข้อที่แปด สำคัญโดยตรงเลย คือ อัปปิจฉะ เป็นคนเอามา ให้ตัวเองน้อย แต่ขยันทำให้ผู้อื่นมาก เศรษฐกิจแบบบุญนิยมนี่แหละ จึงเป็นทางออก.


[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ครัวอโศก โดย ชวนชิม

ยำตำลึง

"ตำลึง" ผักริมรั้วที่มากคุณค่าทั้งรสชาติ-สารอาหาร แถมประหยัด และเป็นผักไร้สารพิษที่ปลูกง่าย อยากเชิญชวน ให้พวกเรา ปลูกผักไว้ทานเอง จะได้ปลอดภัย และเป็นตัวอย่างดีๆ ในการดำเนินชีวิต ที่มีคุณค่าได้อีกทาง

ปลูกตำลึงแล้ว ชวนชิม ก็มีอีก ๑ เมนูอาหารของตำลึงมาฝาก แถมท้ายกันด้วยน้ำสมุนไพร "รากบัว" ไว้ให้ชิมปิดท้าย มื้ออาหาร กันด้วย เริ่มกันเลยนะคะ

ยำตำลึง
ส่วนผสม
ใบตำลึง ๒ ถ้วยตวง
เต้าหู้เหลืองทอดตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ๑/๔ ถ้วยตวง
มะพร้าวคั่ว ๒ ช้อนโต๊ะ
หอมเจียว ๑ ช้อนโต๊ะ
หัวกะทิ ๒ ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสมน้ำยำ
น้ำมะนาว ๒ ช้อนโต๊ะ
น้ำซีอิ๊ว ๒ ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปีบ ๑ ช้อนโต๊ะ
ถั่วลิสงป่น ๑ ช้อนโต๊ะ
น้ำพริกเผา ๑ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
๑.ลวกผักตำลึง พักให้สะเด็ดน้ำ
๒.ผสมน้ำยำ คนให้เข้ากัน
๓.เวลาเสิร์ฟนำส่วนผสมทั้งหมด คลุกกับน้ำยำให้เข้ากัน


น้ำรากบัว
ส่วนผสม
รากบัวหลวง ๒๐๐ กรัม
น้ำตาลทราย ๒ ถ้วยตวง
น้ำ ๖ ถ้วยตวง

วิธีทำ
๑.นำรากบัวปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นๆ
๒.ต้มเคี่ยวจนรากบัวนิ่ม
๓.ใส่น้ำตาล คนให้ละลาย กรองให้สะอาด

สรรพคุณ
แก้ร้อนใน ลดไข้ แก้ไอ แก้กระหายน้ำ.

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ช่อง ๑๑ และ นสพ.มติชน สัมภาษณ์สมณะเสียงศีล
ครูภูมิปัญญาไทย ที่ปฐมอโศก

เมื่อวันศุกร์ที่ ๔ ต.ค. ๔๕ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงกลาโหม และธนาคาร ธ.ก.ส. จัดเสวนาทางวิชาการเรื่อง "จะส่งเสริม การทำปุ๋ยน้ำชีวภาพ เพื่อสนับสนุน เกษตรอินทรีย์ได้อย่างไร" ที่ห้องประชุม กรมส่งเสริมการเกษตรชั้น ๕ (อาคารหลังที่ ๑) ซึ่งสมณะเสียงศีล ชาตวโร ได้รับนิมนต์ ให้ไปเสวนา และ ขึ้นอภิปราย ร่วมกับนักวิชการ ด้านการเกษตรหลายท่าน อาทิเช่น นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ รมว.กระทรวงเกษตร, อจ.ชนวน รัตนวราหะ, ดร.อรรถ บุญนิธิ, อจ.วิวัฒน์ ศัลยกำธร และ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์ ดำเนินรายการ โดยดร.อภิชาติ พงษ์ศรีหดุลชัย อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร

เมื่อวันที่ ๑๐ ต.ค. ๔๕ สมณะเสียงศีล ไปร่วมงานสมัชชาสหพันธ์วิทยุชุมชนแห่งชาติ ที่มหาวิทยาลัยธรรมชาติ มีการนำเสนอ วิทยุชุมชนที่อินทร์บุรี ซึ่งเป็น ตัวอย่างนำร่อง ฉายให้ชมด้วย มีสมาชิกมาจากทุกภาค มาร่วมงานครั้งนี้ ประมาณ ๕,๐๐๐ คน

และวันที่ ๑๖ ต.ค. ๔๕ ทีวีช่อง ๑๑ และน.ส.พ.มติชน ได้มาสัมภาษณ์สมณะเสียงศีล ครูภูมิปัญญาไทย และถ่ายทำ การทำงาน เผยแพร่ องค์ความรู้ ภูมิปัญญาไทย ด้านการจัดสรร ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ที่พุทธสถานปฐมอโศก ซึ่งจะออกอากาศแพร่ภาพ ในรายการข่าวเกษตร ประมาณวันที่ ๔ พ.ย. ๔๕ เวลา ๑๗.๐๐ น.

ในช่วงเดือนตุลาคม ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ประสบกับภาวะน้ำท่วม จนต้องงดการอบรมลูกค้า ธ.ก.ส.ไป ๑ เดือน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



ท่านเจ้ากรมการสัตว์ ทหารบก เยี่ยมสวนไวเกินฝัน

เมื่อวันที่ ๑๕ ต.ค.๔๕ เวลาประมาณ ๐๗.๓๐ น. พล.ต.ถวัลย์ ส่อสืบ เจ้ากรมการสัตว์ทหารบก พร้อมคณะ ได้เดินทางมาเยี่ยม ศูนย์การเรียนรู้ กสิกรรมไร้สารพิษ เศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ ที่สวนไวเกินฝัน ต.คำขวาง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่ชุมชนราชธานีอโศก ขอยืมใช้เป็นแปลงสาธิต การปลูกพืชผัก พืชไร่ ตามแนวทฤษฎีใหม่ เป็นกสิกรรม ไร้สารพิษ จากหมวดสัตว์บาลที่ ๓ แผนกสัตว์บาลที่ ๒ กองการสัตว์ และเกษตรกรรมที่ ๒ กรมการสัตว์ทหารบก จำนวน ๒๐๐ ไร่

เมื่อเดินทางมาถึง ท่านเจ้ากรมฯได้ทักทายกับทีมต้อนรับของชาวบ้านราชฯ แล้วชวนถ่ายรูปร่วมกัน หลักจากเข้าที่พักรับรองแล้ว ได้พูดคุย ซักถามถึงความเป็นอยู่ กิจกรรม และพืชผักต่างๆ ที่ทางทีมกสิกรรม ได้ลงไปแล้วประมาณ ๓๐ ไร่ และได้ขอชิม น้ำบาดาล ที่ขุดเจาะมาดื่ม พร้อมกับกล่าวว่า รสชาติดีเหมือนน้ำดื่ม ยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่งเลยทีเดียว "ไม่แน่นะ เราอาจจะได้ทำ น้ำดื่มขาย ด้วยก็ได้" หลังจากนั้น ได้เดินชมโรงปุ๋ยชั่วคราว บ่อบาดาล พื้นที่บางส่วน ที่ลงพืชผักไปแล้ว และอนุญาต ให้ทำโรงปุ๋ยถาวร เพราะว่าปุ๋ย จำเป็นมาก การขุดบ่อบาดาล เพิ่มอีก ๙ บ่อ เพื่อใช้ในหน้าแล้ง และอนุญาตพิเศษ พื้นที่ทำนาเพิ่มอีก ๓๐ ไร่ ตามที่ทีม กสิกรรม ขออนุญาต โดยให้ใช้ที่นาผืนเก่า ที่อยู่ติดกับที่นี่ ก่อนกลับได้กำลังใจว่า ทำแข่งกับทหารเลย ต่อไปจะเชิญผู้ใหญ่มาดู แล้วเดินทางกลับ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ นายอุไร พยอมใหม่
ชื่อใหม่ คุ้มไท
เกิด ๑๔ มี.ค.๒๔๗๑ อายุ ๗๔ ปี
ภูมิลำเนา นครราชสีมา
การศึกษา ป.๔
สถานภาพ แต่งงาน บุตร ๖ คน
ส่วนสูง ๑๖๕ ซ.ม.
น้ำหนัก ๕๐ กก.

งานฉลองน้ำครั้งที่ ๓ ญาติธรรมมาเยี่ยมให้กำลังใจชาวบ้านราชฯมากมายเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา เห็นหน้าพ่อคุ้มไท จากสีมาอโศก มาร่วมฉลองน้ำด้วย ก็เลยขอสัมภาษณ์ มาเป็นชายงามฯ ประจำฉบับนี้ค่ะ

พนักงานรถไฟ
มีพี่น้อง ๕ คน ผมเป็นคนที่ ๔ พ่อแม่ประกอบอาชีพชาวนา จบ ป.๔ แล้ว ช่วยพ่อแม่ทำนา การรถไฟเปิดรับสมัคร จึงไปสมัครสอบ ที่โคราช ทำงานรับใช้ทั่วไป จนเกษียณอายุ

แต่งงานตอนอายุ ๒๗ ปี แม่บ้านอายุ ๒๒ ปี มีบุตรด้วยกัน ๖ คน พออายุได้ ๓๖ ปีก็เลิกอบายมุขทุกอย่าง เพราะลูกโตแล้ว กลัวลูก จะเอาอย่าง แล้วจะสอนลูกไม่ได้

มีบุญเก่า
ปี ๒๕๓๐ ตอนนั้นอายุ ๕๗ ปี ญาติธรรมพามารู้จักกับชาวอโศก ได้พบพ่อท่าน เห็นแล้วเกิดศรัทธาอยากบวช แต่มาคิดว่า รถเก่า เกวียณเก่า คนแก่ เราจะบรรทุกหนักไม่ได้ เอาแต่พอประมาณ จึงเป็นพระของลูกหลานดีกว่า คือทำตัวเป็นพระในครอบครัว

เคยทานมังสวิรัติมาก่อน ๒ ปีก่อนที่จะเจออโศก เมื่อมาเจออโศก จึงมั่นใจเลยครับ เห็นอโศกแล้วเกิดปีติมากจนน้ำตาไหล มีศรัทธา อย่างแกล้วกล้า ภูมิใจว่ามาเจอของจริงแล้ว มังสวิรัติจึงทำได้ง่ายและทานตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันรวม ๑๖ ปี

มาอยู่สีมาอโศกตั้งแต่สมณะพอแล้ว สมาหิโต เป็นสมภาร เป็นผู้รับใช้กลุ่ม ชมร.โคราชอยู่ ๓ ปี แล้วมาอยู่ ฐานงานกสิกรรม ปลูกกล้วย ได้กินทุกปี ทั้งหัวปลี กล้วยและหน่อกล้วยทำจุลินทรีย์ ตอนนี้ไปดูสวนกล้วยสิครับ สมบูรณ์มากเลย

อุปสรรค
สุขภาพของตัวเองนั่นแหละเป็นอุปสรรค ส่วนเรื่องผัสสะ ก็ใช้วิปัสสนา ต่อสู้มาตลอดไม่เคยหนีจากสีมาอโศกเลย จะขอตาย กับอโศก

ความสุขทุกวันนี้
อยู่กับการปฏิบัติธรรมและการทำงาน ทำวัตรสวดมนต์ไม่เคยขาด เป็นมัคนายกวัดตั้งแต่อยู่ข้างนอก ตอนนี้ก็ยังทำอยู่ แต่เบาลง เพราะให้คนรุ่นใหม่ทำบ้าง และรับผิดชอบเป็นพี่เลี้ยงงานอบรม ธ.ก.ส. มาตั้งแต่รุ่นแรกถึงรุ่นปัจจุบัน รุ่นที่ ๑๒

ทุกวันนี้ทานมื้อเดียว ถือศีล ๘ ไม่ห่วงอะไร ไม่กลัวตาย ตอนเจ็บป่วยลูกๆทั้ง ๗ ก็มาดูแล ส่วนสมบัติก็ยกให้ลูกๆหมดแล้ว ตั้งแต่เกษียณ บำนาญ ก็ยกให้แม่บ้าน

ลูกๆรับราชการหมด แม้ไม่ได้ปฏิบัติธรรมด้วย แต่เขาก็ไม่คัดค้าน ส่วนแม่บ้านก็ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดทำขนมทียนขายหารายได้เข้าวัด ใครที่ได้ชิมขนมเทียนแม่สำราญจะติดใจ

ศีลพาไปสู่นิพพาน
เรื่องการปฏิบัติธรรม ศีลเป็นหลักสำคัญมาก เพราะฉะนั้นคนที่จะเกิดปัญญาได้ ก็เพราะมีศีล แล้วสมาธิ ปัญญาก็จะตามมา จะพาเราพ้นทุกข์ ก็เพราะศีล ตัวเดียวนี่แหละครับ พ่อท่านอยู่ในใจผมเสมอมา และหนังสือที่พ่อท่านเขียนเหมือนคำสอนของพระพุทธเจ้าเลยครับ ผมศรัทธามาก ท่านเอามาสอน จะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ระบบสาธารณโภคีที่เกิดขึ้นในชุมชนแต่ละแห่ง ถูกต้องตามหลักของพระพุทธเจ้า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์

กับความรู้สึกที่มาร่วมงานฉลองน้ำ
ดีมากครับ พ่อท่านบอกว่าเราไม่รวมพลัง ใครล่ะจะรวมพลัง เรามาให้กำลังใจกัน อโศกที่ไหนๆก็คืออโศกเหมือนกัน ดังนั้น เราต้องมา ให้กำลังใจกัน

น้ำท่วมที่อื่นๆเขาทุกข์ยากเดือดร้อนกัน แต่สำหรับบ้านราชฯแล้วอบอุ่น เพราะพี่น้องแต่ละแห่งมาให้กำลังใจกัน แม้บางคน มาไม่ได้ ก็ฝาก ข้าวของมาเยี่ยม หรือ ส่งกำลังใจมาแทน สังคมของเรา อบอุ่นอย่างนี้แหละค่ะ

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
๖๗/๑ ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ โทร.๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ ๑,๕๐๐ ฉบับ
www.asoke.info

[กลับหน้าสารบัญข่าว]