ฉบับที่ 195 ปักษ์หลัง 16-30 พฤศจิกายน 2545

[01] บทนำข่าวอโศก:ช่วยหรือทำลาย
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "สติปัฏฐาน ๔ ภาค ๒"
[03] อบรมเสริมสร้างสุขภาพ เข้าค่าย ๗ อ. ณ ศูนย์ฝึกผู้นำฯ
[04] มุมกล้อง
[05] กสิกรรมธรรมชาติ : ๑๖ปีชีวิตที่สดใสของเกษตรกรแม่ทา หลังกลับใจ หันหลังให้สารเคมี (ตอนจบ)

[06] สกู๊ปพิเศษ
: โศลกงานมหาปวารณามีข้อคิดอะไรบ้าง
[07] สัมภาษณ์พิเศษ: กลุ่มกรีนเวย์เจาะลึกชาวอโศก ศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านราชฯ
[08] ศูนย์สุขภาพ: สารต้านอนุมูลอิสระ
[09] ม.วช. เข้าค่ายอบรมเตรียมงานปีใหม่ เพื่อพัฒนาตนเองและขบวนการกลุ่ม
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] ข่าว: เชียงรายอโศก อบรมเกษตรกร รุ่นที่ ๑๑
[12] นานาสาระ: ปฏิทินงานอโศก
[13] แจกยิ้ม ; ไร้สารพิษ
[14] ข่าวสั้นทันอโศก:
[15] นางงามรายปักษ์ :นางพวงนาค(พวงข้าว) น้อยโสภา
[16] รู้เขารู้เรา : ล้างมือด้วยสบู่




ช่วยหรือทำลาย

ในช่วงปิดภาคเรียน จะมีเด็กนักเรียนสัมมาสิกขาอยู่ช่วยงานในโรงเรียน

แต่อาจมีปัญหาถ้าขาดผู้ใหญ่ที่ดูและรับผิดชอบอย่างชัดเจน เพราะเวลาเด็กมีปัญหาก็ไม่รู้จะปรึกษาใครดี หรือเวลาปรึกษา ผู้ใหญ่คนหนึ่ง ก็จะมีความเห็นอย่างหนึ่ง ปรึกษาผู้ใหญ่อีกคนหนึ่ง ก็จะมีความเห็นอีกอย่างหนึ่ง

ปัญหาอีกประการที่ทำให้เด็กอยู่ในวัดอย่างไม่เป็นสุข คือ มีผู้ใหญ่หรือเพื่อนมาชักชวน ออกไปทำงานนอกวัด ด้วยข้อเสนอว่า จะให้ผลตอบแทน ทางวัตถุได้แก่เงิน มากกว่าเดิม หรือความสะดวกสบาย แบบโลกียชน มากยิ่งขึ้น

ก็ขอให้ผู้ใหญ่และเพื่อนที่เสนอผลตอบแทนแก่เด็กดังกล่าว ได้ช่วยพิจารณาในจุดนี้ ด้วยว่า เป็นการช่วยเด็ก หรือเพื่อน ให้ดีขึ้น หรือแย่ลง!

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ธรรมะพ่อท่าน ตอน ๗

สติปัฏฐาน ๔ ภาค ๒

ในกายคนเรานั้นมีจิต ในจิตคนเรานั้นมีเวทนาเป็นตัวเข้ารับรู้อารมณ์สัมผัสทั้งปวง

เดินทางสู่นิพพานด้วยสติปัฏฐาน ๔ คือ การตั้งสติเพ่งพินิจสภาพการภายในตัวเราเอง อันมีกาย... เวทนา... จิต... และ ธรรมารมณ์

เราพึงมีสติกำหนดรู้สัมผัสทางกายซึ่งเป็นรูป แล้วกำหนดรู้ลึกลงไปภายในถึงเวทนาซึ่งเป็นนาม และพึงมีสติ เพ่งมองอาการจิต ที่เกิดขึ้น จากสังขารภายใน ซึ่งเป็นรูป แล้วกำหนดรู้ลงไปอีก ถึงธรรมารมณ์ต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาเป็นนาม

สภาพการต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตเรา จะแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เมื่อสติของเราเข้าไปกำหนดรู้สภาพการนั้นๆ จากรูป เปลี่ยนเป็น นาม จากที่เคยเป็นนาม กลับเปลี่ยนเป็นรูป ละเอียดลึกลงไปเรื่อยๆ เป็นต้นว่า...

จิตเราเกิดอาการ สุข-ทุกข์ ชอบ-ชัง ซึ่งเป็นรูปของอาการนั้นๆภายในจิตเรา หากสติเราไม่เข้าไปกำหนดรู้ อาการเหล่านั้น คงอยู่อย่าง นาม แต่จะเปลี่ยนจากนามเป็นรูปทันที เมื่อสติเราเข้าไปกำหนดรู้อาการจิต

ธรรมารมณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นนาม...เกิดขึ้นภายในใจเราอย่างไร้ตัวตน แต่หากสติเราเข้าไปกำหนดรู้ธรรมารมณ์นั้นๆ มันจะเปลี่ยน จากนาม กลายเป็นรูปในทันที

การมีสติอยู่กับตัวเองทั้งภายนอกภายในอยู่เสมอ ช่วยให้เราได้รู้เท่าทันการเกิดของจิตวิญญาณได้ และเลือกเอาแต่ สภาวธรรม ที่ดีใส่ตัว ส่วนอันไหนเป็นกิเลสชั่วช้า ก็คัดออกไป ให้จิตเราสะอาดไม่มัวหมอง

ฌาน อรูปฌาน ลืมตาหรือหลับตา? เหมือนและต่างกันอย่างไร?...
ฌาน คือ สภาวะที่เราสามารถหยุดจิต ไม่เข้าไปปรุงแต่งร่วมกับกาย หยุดสังขารอันเป็นกิเลส กับกายได้ แยกกายกับจิต ออกคนละส่วน

จิตซึ่งเป็นฌาน เราจะได้สัมผัสธรรมารมณ์อันปราศจากกิเลส...มีวิตกวิจาร ปีติ สุข อุเบกขา และเอกัคตา อยู่ภายใน ห้วงอารมณ์

กายของผู้มีฌาน...จะสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสกาย รับรู้สภาพนั้นๆตามจริง ไม่มีรสสุข ทุกข์ หรือชอบ-ชัง แต่ประการใด

ส่วนจิตของผู้มีฌาน...ยังจะข้ออยู่กับธรรมารมณ์ เพราะต้องการที่จะรู้สภาวะจิตอันลึกซึ้งยิ่งขึ้น สภาพความอยากเช่นนี้ เรียกว่า "ภวตัณหา" ผู้ยังมีตัณหาเช่นว่านี้ ดวงจิตยังมิหลุดพ้นอย่างแท้จริง

หากเราสามารถดับภวตัณหาได้ด้วยปัญญาญาณของตนเอง เป็นวิปัสสนาญาณที่เห็นแจ้งว่า กายตัดขาด จากกามตัณหา และ จิตดับ ภวตัณหา สิ้นเกลี้ยงถาวร เมื่อนั้น เราก็บรรลุนิพพานโดยแท้

การเกิดของภวตัณหา...เนื่องด้วยจิตเรายังมีอวิชชา ทำให้จิตสังขารภายในไม่หยุดนิ่ง จิตเรายังมีการปรุงแต่ง ด้วยตัณหา... หากเรารู้เท่าทัน จิตสังขารนี้ สามารถหยุดมันได้ จึงจะเรียกว่าเป็นพระอรหันต์โดยแท้ เป็นผู้มีวิชชา และสิ้นเกลี้ยง อวิชชาได้แล้ว

ภวตัณหาเกิดจาก การที่จิตสังขารเข้าไปปรุงแต่งสัญญา... เราไปกำหนดรู้สภาวะต่างๆ ในชีวิตไว้ด้วยสัญญา หากจะดับ ภวตัณหา จะต้องหยุด จิตสังขาร ไม่ให้เข้าไปยุ่มย่าม กับสัญญาเดิมของเรา ไม่ให้เกิดการสังเคราะห์ ระหว่างสัญญา กับสังขาร เพียงเท่านี้ ภวตัณหาจะไม่เกิด

ฌาน แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ รูปฌาน กับ อรูปฌาน และแต่ละส่วนแบ่งขั้นสภาวธรรมารมณ์ ออกได้ ๔ ระดับ ดังนี้
รูปฌาน ๑ เรียกว่า ปฐมฌาน อรูปฌาน ๑ เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ
รูปฌาน ๒ เรียกว่า ทุติยฌาน อรูปฌาน ๒ เรียกว่า วิญญานัญจายตนะ
รูปฌาน ๓ เรียกว่า ตติยฌาน อรูปฌาน ๓ เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ
รูปฌาน ๔ เรียกว่า จตุตถฌาน อรูปฌาน ๔ เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


อบรมเสริมสร้างสุขภาพ เข้าค่าย ๗ อ.
ณ ศูนย์ฝึกผู้นำฯ
เน้นอาหารไร้สารพิษไม่ปรุงแต่ง

"ค่าย ๗ อ." ณ สถาบันฝึกอบรมผู้นำ จ.กาญจนบุรี ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๒ พ.ย.๔๕

ซึ่งมีผู้เข้ารับการอบรมทั้งสิ้น ๘๕ คน แบ่งเป็นผู้หญิง ๕๕ คนและผู้ชาย ๓๐ คน โดยผู้เข้าอบรม มาจากพุทธสถาน และศูนย์ฝึกอบรม ทั่วประเทศ

ค่ายครั้งนี้จัดในนามของพรรคเพื่อฟ้าดิน โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายพยาบาล (คุรุพลาภิบาล) จากศีรษะอโศก และ ปฐมอโศก, นิสิตพลาภิบาล จากปฐมฯ และ ศีรษะฯ รวม ๙ คน, นร.สัมมาสิกขาศีรษะฯ (อโรคยาและแพทย์ทางเลือก) ๗ คน ร่วมมือ ให้การบริการ อาหารธรรมชาติ อาหารเพื่อสุขภาพ ที่ไม่ใช้เกลือ น้ำมัน และ น้ำตาล, กาแฟ และน้ำสมุนไพร สำหรับทำดีท็อกซ์, การนวดตัว - นวดฝ่าเท้า, จัดกระดูก -ดัดกระดูกก้นกบ, การอบประคบ, เจาะเลือด เพื่อการรักษา (แผนจีน) รวมไปถึง การดูแล ความสะอาด และจัดเตรียมสถานที่ ของงานทั้งหมด

สำหรับบรรยากาศของการเตรียมงาน ในส่วนของผักสดและผลไม้บางส่วน ได้เตรียมมาจากศีรษะอโศก และ ปฐมอโศก ที่เหลือ ได้จัดซื้อ จากสวนไร้สารเคมี

คณะจากศีรษะอโศกได้ออกเดินทางจากศีรษะอโศก ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พ.ย. มาสมทบกับคณะของปฐมอโศก เพื่อรับฟังโอวาท จากพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ที่สันติอโศก ในวันที่ ๑๖ พ.ย. หลังจากนั้น ได้เดินทางไปยัง สถาบันฝึกอบรมผู้นำ จ.กาญจนบุรี เดินทางถึง ประมาณบ่ายโมง แล้วแยกย้ายเข้าพัก ตามบ้านพัก ของสถาบันฝึกอบรมผู้นำ และจัดเตรียมวัตถุดิบ ไว้ทำอาหาร รวมทั้ง อุปกรณ์ สถานที่ต้อนรับ ผู้เข้าอบรม เพื่อให้ค่าย ๗ อ.ครั้งนี้ ดำเนินไปได้ ด้วยดี

เย็นวันที่ ๑๗ พ.ย. ผู้เข้าอบรมบางส่วนเริ่มเดินทางมาถึง พอช่วงสายของวันที่ ๑๘ พ.ย. ผู้เข้าอบรมเข้าพื้นที่ เกือบครบ จนกระทั่ง เย็นวันที่ ๑๘ ผู้เข้าอบรมเข้าพื้นที่ ครบทั้งหมด ๘๓ คน จากนั้น ก็จะมีคนขอเข้าค่ายนี้เพิ่ม เพราะทราบข่าว ภายหลัง จึงเดินทางมา ขอสมทบด้วย ซึ่งคณะทำงาน ก็ยินดีต้อนรับทุกๆท่าน

ผู้เข้าร่วมอบรมส่วนมากเป็นผู้ทำงานเกี่ยวกับ คกร.ในการอบรมลูกค้า ธ.ก.ส. บางส่วนเป็นคนวัดที่ป่วย มาเข้าค่าย เพื่อสุขภาพ

สำหรับกิจกรรม และบรรยากาศภายในค่ายมีดังนี้

การทำดีท็อกซ์ เนื่องจากมีผู้เข้าอบรมบางส่วนไม่มีประสบการณ์ในการทำดีท็อกซ์มาก่อน ทางทีมงาน จึงได้จัดให้มีพี่เลี้ยง คอยช่วยดูแล และให้กำลังใจ ซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้เข้าอบรม มีความเข้าใจ ในเรื่องนี้มากขึ้น ส่วนการรับประทานอาหาร สิ่งที่ผู้เข้าอบรม รับประทานได้ยากคือ การจิบน้ำมะนาวสดๆ หลังทำดีท็อกซ์ทุกครั้ง เพราะรู้สึกเข็ดฟัน ส่วนการรับประทาน สลัดผักธรรมชาติ (จืดสนิท)นั้น ผู้สูงอายุมีปัญหา เรื่องเคี้ยวยาก

การออกกำลังกาย ฝึกให้การกราบ ๑๐๘ ครั้ง (แบบมหายาน)นั้น ในช่วงวันแรกผู้เข้าอบรมทำได้มาก ส่วนวันต่อมา ทำได้ลดลง เพราะจะรู้สึกปวด หน้าขามาก พอเข้าวันที่ ๓-๔ กล้ามเนื้อลด อาการปวดลง ก็ทำได้ครบ ๑๐๘ ครั้งตามกำหนด รวมทั้ง การฝึกโยคะ ในวันหลังๆ ผู้เข้าอบรม ก็ทำได้ดี เกือบทุกคน

การฟังบรรยาย มีทั้งธรรมะจากท่านไชยยศ (พระไทยที่อยู่ไต้หวัน) และความรู้เรื่องสุขภาพ ซึ่งผู้เข้าอบรม ตั้งใจฟังกันดีมาก ไม่มีอาการง่วงนอน และมีการซักถาม เรื่องการทำดีท็อกซ์ จากวิทยากร อย่างสนใจ

ในส่วนของพิธีกรนั้นทางศูนย์ฝึกอบรมผู้นำได้ส่งพิธีกรมาช่วยสร้างบรรยากาศ ทำให้การอบรม มีสีสรรมากขึ้น

สำหรับกิจกรรมต่างๆของค่าย ๗ อ.นั้นในวันแรกๆ สังเกตได้ว่าผู้เข้าอบรมยังทำได้ยาก แต่พอเข้าวันที่สามของงาน ทุกคน จะลงตัว ทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย และการทำดีท็อกซ์ รวมทั้งในด้านของสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งได้ประเมิน จากความ ดันโลหิต ผู้ที่เคยมีความดันโลหิตสูง (140/100 mmHg) ก็ลดลงเหลือ 110/80 mmHg และบางคน ที่เคยมี ความดันโลหิตต่ำ ก็ปรับความดันฯได้ ในวันท้ายๆ เช่น บางท่านความดันฯจาก 90/60 mmHg ก็ปรับขึ้นเป็น 110/70 mmHg (ซึ่งผู้เข้าอบรม ส่วนใหญ่ จะมีความดันโลหิตต่ำ) และหลังจากเข้าค่ายนี้แล้ว น้ำหนักตัว จะลดกันทุกคน ซึ่งผู้ที่ลดมากที่สุด คือ ลดได้ ๔.๕ กก. แต่โดยสรุป แม้น้ำหนักตัวจะลด (คนผอม ก็ไม่มีปัญหา) จะสดชื่น ไม่ง่วง กระปรี้กระเปร่า อาการเจ็บตามข้อ ปวดเมื่อย กล้ามเนื้อ จะดีขึ้น

สำหรับข้อมูลสุขภาพของผู้เข้าอบรมบางท่าน ก่อนและหลังเข้าค่าย ๗ อ.มีดังนี้

รายที่ ๑ เพศหญิง สถานภาพ โสด อายุ ๕๑ ปี
วันแรก น้ำหนัก ๘๓.๕ กก. ความดันโลหิต ๑๒๐/๘๐ มิลลิเมตรปรอท

วันสุดท้าย น้ำหนัก ๗๙.๐ กก. ความดันโลหิต ๑๒๐/๗๐ มิลลิเมตรปรอท

ปัญหาก่อนเข้าค่าย คือ กล้ามเนื้อแขน, ขาอ่อนแรง เดินไม่ตรง เพราะขาซ้าย อ่อนแรงกว่าขาขวา หายใจไม่โล่ง เหนื่อยง่าย หลังเข้าค่าย กล้ามเนื้อแขนขามีแรงขึ้น เดินไม่เฉ สามารถเดินได้ดี บังคับกล้ามเนื้อได้ การหายใจโล่ง สบายมาก น้ำหนักลดลง ๔.๕ กก. ซึ่งรู้สึกดีใจมาก

สิ่งที่ได้รับบริการในงาน คือ จัดกระดูก ๒ ครั้ง (๒ วัน) นวดตัวและขูดผิว

รายที่ ๒ เพศหญิง สถานภาพ สมรส อายุ ๕๕ ปี
วันแรก น้ำหนัก ๗๔ กก. ความดันโลหิต ๑๔๐/๙๐ มิลลิเมตรปรอท
วันสุดท้าย น้ำหนัก ๗๐ กก. ความดันโลหิต ๑๑๐/๙๐ มิลลิเมตรปรอท

ปัญหาก่อนเข้าค่าย คือ ปวดเมื่อยตามตัวและข้อ โดยเฉพาะข้อมือ ๒ ข้าง กำมือไม่มีแรง ปวดศีรษะข้างซ้าย ตลอดถึง ไหล่ซ้าย และ ขาแถบซ้าย ทั้งหมดปวด และอ่อนแรง

วันสุดท้าย อาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อหาย ๑๐๐ % กำลังของกล้ามเนื้อดี ความดันโลหิตลดลง รู้สึกกระปรี้ประเปร่า สดชื่นขึ้นมาก

"สิ่งที่ได้จากการเข้าค่าย คือ ได้ข้อคิดที่จะปฏิวัติเรื่องอาหารในโรงครัว เพราะเป็นแม่ครัว (ศีรษะอโศก) จะปรับอาหาร ให้เป็นอาหาร เพื่อสุขภาพ ให้มากขึ้น"

รายที่ ๓ อาชีพ แพทย์หญิง ร.พ.กรุงเทพคริสเตียน อายุ ๕๔ ปี
วันแรก น้ำหนัก ๔๕ กก. หลังเข้าค่าย น้ำหนักจะลดลงวันละ ๒ กก. จนกระทั่ง วันสุดท้าย เหลือ ๔๒ กก. คุณหมอ เป็นผู้ดูแลสุขภาพ และ ทำอาหาร รับประทานเอง ตลอด ๒ ปีที่ผ่านมา และไม่กล้ารับประทานอาหารตามร้าน

สุขภาพโดยทั่วไปดีมาก "การได้มาเข้าค่ายครั้งนี้ รู้สึกดีใจมาก มีผู้มาเข้าค่ายมาก ซึ่งหากทุกคน สามารถนำไปช่วยคนไข้ จะเป็นบุญมาก เพราะปัจจุบัน คนไข้จะถูกดูแล แบบตามบุญตามกรรม ไม่มีใครคอยแนะนำ เรื่องสุขภาพ"

คุณหมอท่านนี้เป็นหมอทางสูตินรีเวช ปัจจุบัน เมื่อพบคนไข้ ก็จะแนะนำ ให้รับประทาน อาหารมังสวิรัติ และ อาหารที่ปลอดภัย แก่สุขภาพ แก่คนไข้ ที่มาฝากครรภ์ ทุกคนที่ปฏิบัติตามแนะนำ ก็จะสุขภาพดีขึ้น หลายคนเป็นก้อนที่มดลูก หรือเป็นซีสต์ (CYST) ที่เต้านม พอปฏิบัติตามคำแนะนำ ประมาณ ๖ เดือน อาการที่มีก้อน ในมดลูก หรือ เต้านม จะหายได้ ซึ่งคุณหมอ บอกว่า มีหลายรายที่ทำได้ และอาหารที่มีผลต่อสุขภาพ ที่ก่อให้เกิดซีสต์ในเต้านม ก็คือ จำพวกนม เนย นั่นเอง

สำหรับข้อคิด ที่อยากฝากไว้คือ "อย่าเชื่อคำแนะนำของหมอทุกคน เพราะปัจจุบันนี้ หมอหลายคน ทำธุรกิจบนชีวิต ของผู้ป่วย".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


มุมกล้อง

 

"ถ้าหน้าแตก เย็บได้อย่างนี้ก็ดีซิ"

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


๑๖ปีชีวิตที่สดใสของเกษตรกรแม่ทา
หลังกลับใจ หันหลังให้สารเคมี (ตอนจบ)

"หมู่บ้านเกษตรอินทรีย์แม่ทา" ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.แม่ทา กิ่งอ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ตัวอย่างหนึ่งของกลุ่มเกษตรกร ที่พยายาม หันกลับมา ทำการเกษตรแบบยั่งยืน หรือ เกษตรอินทรีย์แบบดั้งเดิม เป็นเวลา ๑๖ ปีมาแล้ว ซึ่งขณะนี้ มีกว่า ๗๐ ครอบครัว ที่เข้ามาร่วม กลุ่มเกษตรอินทรีย์

นายประพัฒน์ อภัยมูล ผู้ริเริ่มการทำเกษตรอินทรีย์ที่ ต.แม่ทา รุ่นแรก หรือกว่า ๑๖ ปี เปิดเผยสาเหตุ ที่กลับมาทำ การเกษตร อินทรีย์ว่า ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ ก็ทำการเกษตรอินทรีย์มาโดยตลอด โดยใช้หลักแบบ พออยู่พอกิน ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่พอมาถึงช่วง เมื่อประมาณ ๔๐ ปีที่แล้ว รูปแบบการทำการเกษตรเปลี่ยนไป ชาวบ้านเริ่มทำ การเกษตร เชิงพาณิชย์กัน มากขึ้น คือปลูกเพื่อค้าขาย มีนายทุนเข้ามาแนะนำ ให้ใช้สารเคมี ใช้ปุ๋ยเร่งผลผลิต ทำให้การทำการเกษตร กลายเป็นเชิงเดี่ยว คือในสวนจะปลูกพืชอย่างเดียว และมีการใช้สารเคมี เข้ามาช่วย

"ชาวบ้านหลงมัวเมาอยู่นานกว่าจะรู้ตัว เพราะการทำการเกษตรเชิงเดี่ยวพอเก็บเกี่ยวผลผลิต ก็ได้รับเงินมาก ต่างกับการทำ เกษตรอินทรีย์ ที่ได้เพียงวันละเล็กละน้อย แต่พอมาดูรายจ่ายแล้ว การทำเกษตรเชิงเดี่ยว ก็ไม่เหลืออะไรเหมือนกัน หมดไปกับ ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ชาวบ้านยิ่งทำ ก็ยิ่งเป็นหนี้ ทั้งๆที่ทำงานมากขึ้น เหนื่อยมากกว่าเดิม มีแต่นายทุนเท่านั้น ที่รวยขึ้น จากกา รขายปุ๋ย ขายยาให้กับชาวบ้าน แถมสุขภาพร่างกาย ก็แย่ลงตามไปด้วย ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ไม่เคยเข้า" นายประพัฒน์เล่า

สำหรับสวนเกษตรอินทรีย์ของนายประพัฒน์นั้น มีประมาณ ๒๐ ไร่ ปลูกต้นไม้ไว้มากกว่า ๗๐ ชนิด ส่วนใหญ่ จะเป็นไม้ผล และพืชผัก ซึ่งนายประพัฒน์เล่าว่า ที่สวนจะไม่ใช้สารเคมีใดๆทั้งสิ้น ใช้หลักการพึ่งพากันเอง ของต้นไม้ และแมลงในสวน ซึ่ง ๑๖ ปี ที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร ไม่เหมือนกับสวนที่ยังใช้สารเคมี ที่อยู่ใกล้ๆกัน ที่มีปัญหา โรคแมลงทุกปี

"หลังจากผมเลิกใช้สารเคมีมา ๑๖ ปี ก็ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลอีกเลย ทุกวันนี้ก็สบายแล้ว และอยากจะให้ชาวเกษตรกร หันมาทำ การเกษตรอินทรีย์กันทั้งหมด อย่าไปหลงเชื่อพวกนายทุน และทำลายสิ่งแวดล้อม ไปมากกว่านี้ ส่วนรายจ่าย ทุกวันนี้ ก็ไม่ค่อยมีอะไร โดยเฉพาะเรื่องของกินนั้น แทบไม่ต้องจ่ายเลย ของที่เหลือจากเก็บกิน ก็นำไปขายที่ตลาด เงินที่ได้ ก็สะสมไว้" เกษตรกรกลับใจเล่า

นี่คือชีวิตที่สดใส ของเกษตรกรแม่ทา เป็นชีวิตที่เลือกเอง ที่จะหันหลังให้กับเกษตรเคมี และกลับสู่วิถีการผลิต แบบดั้งเดิม ที่มีธรรมชาติ เป็นตัวกำหนด.

(จาก น.ส.พ.ไทยโพสต์ วันเสาร์ที่๑๓ ก.ค.๔๕)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


โศลกงานมหาปวารณามีข้อคิดอะไรบ้าง ในยุคที่ชาวอโศกทำงานกว้างขึ้น จะถือว่าเป็นยุคหย่อนยานหรือไม่ และเราจะวัด ความสำเร็จ แห่งการงานได้อย่างไร ขอเชิญพบกับคำให้สัมภาษณ์ของ สมณะเดินดิน ติกขวีโร ได้แล้วค่ะ

ในงานมหาปวารณาที่ผ่านมา ท่านได้ข้อคิดอะไรบ้างคะ
ชาวอโศกทุกวันนี้เราได้รับการยอมรับ ได้รับคำสรรเสริญเยินยอค่อนข้างมาก ถือว่าเรากำลังอยู่ในท่ามกลางอันตรายอันแสบเผ็ด ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดทีเดียว ดังนั้น เราจะต้องพยายาม ที่จะให้ได้ อานิสงส์ ของปวารณาให้มาก คือพร้อมที่จะน้อมรับฟัง คำตำหนิติเตียน พยายามที่จะเก็บเอาขุมทรัพย์ จากผู้อื่น ให้ได้มาก มิฉะนั้น เราจะฝ่าพ้นอันตรายนี้ ไปไม่ได้

ทุกๆครั้งที่เราได้คำตำหนิติเตียน จะเป็นเครื่องเช็คอย่างดีว่าทุกวันนี้อัตตาเราโต หรือว่าอัตตาเรากำลังตาย ถ้าของขึ้น ก็แสดงว่า อัตตาเราโตขึ้น ถ้าเราสงบ เล็กลง เจียมเนื้อเจียมตัวได้มาก เห็นประโยชน์จากคำตำหนิติติง เหมือนขุมทรัพย์ได้มาก ก็แสดงว่า อัตตาเรากำลังจะตาย ในท่ามกลางอันตราย อันแสบเผ็ดนี้ อยากจะให้พวกเรา ตระหนักถึงความสำคัญ ของปวารณา ความสำคัญ ในการอยู่ร่วมกัน ที่สามารถบอกกล่าว ว่ากล่าว ติติงตักเตือนกันได้ ถ้าอยู่รวมกันแล้ว ว่ากล่าวติติง ตักเตือน กันไม่ได้ กลุ่มนั้นๆ เรียกว่ากำลังอยู่ใน ท่ามกลางอันตรายอย่างมาก

ข้อคิดข้อที่ ๒ ในงานมหาปวารณา พ่อท่านเปรียบเทียบว่า การปฏิบัติธรรมเหมือนกับการไปขุดบ่อทอง บ่อเพชร ซึ่งคนที่แสวงหา บ่อเพชร เขาก็จะทุ่มโถมยินดี แม้ได้เล็กได้น้อยเขาก็ยินดี เหน็ดเหนื่อยเท่าไร เขาก็ยินดีเพื่อที่จะเอาเพชร แต่พ่อท่าน เทียบให้ฟังว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า ประเสริฐเลิศค่ายิ่งกว่าเพชร ดังนั้น เราเองจะต้องทำความยินดี มีฉันทะ พ่อท่าน ให้โศลก กับพวกเรา ชาวบุญนิยมไว้ว่า จะต้อง แข็งแรง เข้มข้น ทนทาน ยืนนาน แน่นลึก นึกนบ ซึ่งทั้งหมดนี้ ถ้าจะเปรียบ เทียบกับเพชร ก็เป็นเหมือนหัวใจเพชร เราจะต้องแข็งแรงให้ได้ เข้มข้นให้ได้ ทนทานให้ได้ ยืนนาน ทั้งแน่นลึก แต่ถึงกระนั้น ก็นึกนบ อ่อนน้อมถ่อมตน ทำตัวเราเอง ให้เล็กลง ไปได้อยู่เสมอๆ เพื่อความเป็นผู้มีหัวใจเพชร เราจะต้องได้ หัวใจเพชร ไม่ใช่ ไปได้ขี้กะโล้โท้ ได้ลาภ ได้ยศ หลงติดในวัตถุเท่านั้นเอง โดยเฉพาะ อีกไม่นาน ก็จะถึงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเป็น การสอบไล่ใหญ่ ของชาวอโศก ก็อยากให้ญาติธรรมได้เตรียมตัว ที่จะได้พิสูจน์หัวใจเพชร ของเราว่า เรามีศีล มั่นคงแค่ไหน เรามีทาน มีจาคะ มีการเสียสละ ได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อถึงงานปีใหม่แต่ละครั้ง ก็เสมือนเป็นการสอบไล่ใหญ่ หรือเป็น การทดสอบ หัวใจเพชร ของเรา ที่สำคัญ เป็นการประกาศบุญนิยม อย่างสำคัญ อีกครั้งหนึ่ง ขอให้พวกเราได้ไปช่วยกัน ร่วมสอบไล่ โดยพร้อมหน้า พร้อมตา กันด้วย

ชาวอโศกยุคนี้ เราทำงานกันกว้างขวางมากขึ้น จะถือว่าเป็นยุคหย่อนหยานของพวกเราหรือเปล่าคะ
พ่อท่านเปรียบชาวอโศกยุคนี้ว่า เป็นยุคดอกไม้บาน เป็นดอกไม้ที่มีสีสรร กลิ่นหอม บานอออกมา ถ้าไม่พิจารณาให้ดี หลายๆคน ก็จะรู้สึกว่า มันหลวมๆ หย่อนๆยานๆ ไม่แน่นอย่างเก่า เพราะว่ามีโลกียะ มีโลกธรรมมาแฝง มาปนด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ เราเอง ก็จะต้องเข้าใจ พ่อท่านได้อธิบายให้ฟังว่า เราเองจะต้องเข้าใจในแนวลึก เราเองจะต้องฝึกตัวเราเอง ให้แน่นลึก เข้าไปด้วย โดยที่จะต้อง เคร่งครัดที่ตน ผ่อนปรนผู้อื่น ดังนั้น เราเอง จะต้องให้ความสำคัญ กับปัจจัยที่สำคัญ ๒ ประการด้วยกัน คือ

ก.อาหารกาย มีความสำคัญที่จะทำให้สุขภาพดี สุขภาพดีก็จะทำให้จิตใจดี ทุกวันนี้ขาวอโศกเรา ค่อนข้างจะปล่อยปละ ละเลย ในเรื่องของอาหารกันมาก เราบูมเรื่องการเผยแพร่ อาหารมังสวิรัติ การเคร่งครัดฝึกฝนตน ในเรื่องอาหารน้อยไป แม้แต่คุณหมออารีย์ ที่เคยมาพูด ให้พวกเราฟัง ก็ยังให้ข้อเสนอแนะว่า ชาวอโศกเรา ควรจะลดความหวาน มัน เค็ม อาหาร ของพวกเรา ยังรสจัด สามารถทำให้จืดกว่านี้ได้ เพื่อสุขภาพของพวกเรา จะได้ดีขึ้น ถ้าเรามุ่งแต่ทำดีท็อกซ์ ล้างพิษออก แต่ก็เอาพิษเข้าอยู่ ตลอดเวลา ผลของการทำดีท็อกซ์ ก็จะมีอานิสงส์น้อย เพราะฉะนั้น ถ้าเราคุมเรื่องอาหารรสจัด ก็จะเป็น ส่วนที่ ขัดเกลาจิตใจ ของเราให้สงบ ดี แล้วสุขภาพของเรา คงจะดีขึ้นมาด้วย

ข.อาหารใจ ในช่วงนี้พ่อท่านจะเน้นงานเขียนมากขึ้น เพื่อที่จะเจาะเข้าหาเนื้อแก่นของศาสนาในแนวลึก เพื่อให้อนุชน คนรุ่นหลัง สามารถสืบทอดคำสอน ของศาสนา ที่เป็นแก่นแกนเอาไว้ได้ พ่อท่านบอกว่า ท่านจะเขียนออกมา แต่ละหน้า บางครั้ง ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ๆทีเดียว เพื่อจะให้ได้ความลึกซึ้ง ครบถ้วนสมบูรณ์ ละเอียดลออ คนไม่เข้าใจผิด งานเขียน ของพ่อท่าน จึงเป็นงานที่กลั่นออก จากเลือดเนื้อ สมอง อวัยวะ แม้จะเขียนจนกระทั่ง เสียตาไปข้างหนึ่ง พ่อท่าน ก็ทุ่มเทให้ แบบเอาชีวิตเข้าแลก พวกเราเอง คงจะต้องติดตาม สิ่งนี้เป็นอาหารใจ เป็นการเพิ่ม ความลึกซึ้ง ที่เราเอง ก็จะได้ให้สำคัญ กับธรรมในธรรม จิตใจจิต ให้ได้มากขึ้น ถ้าเรามุ่งแต่ทำงาน โดยไม่ให้ความสำคัญ ของเรื่องธรรมในธรรม ในเรื่องของ สติปัฏฐาน โดยเฉพาะ การพิจารณา จิตในจิต ธรรมในธรรม คิดแต่เรื่องวัตถุ ทั้งคืนทั้งวัน ก็จะกลายเป็น การหลงงาน บ้างาน และ สุดท้าย ก็ไปหาบ้าอำนาจ บ้าอัตตา

ดังนั้น ถ้าเราหมั่นศึกษาฝึกฝนตนอยู่เสมอ โดยไม่ปล่อยปละละเลย อาศัยโจทย์ทั้งหลายที่มาผัสสะ กระทุ้งกระแทก ให้เราได้เห็น ความบริสุทธิ์ หรือ ความด่างพร้อย ในจิตใจของเรา แล้วเพียรพยายาม ฆ่ากิเลสให้ได้ ในแนวลึก ต้องถือว่า เป็นการฝึก หนักขึ้น เคร่งครัดขึ้น ไม่ใช่หย่อนหยานมากขึ้น


ชาวอโศกยุคนี้เป็นยุคที่เรามีการงานกันมาก เครื่องวัดความสำเร็จแห่งการงาน เราจะวัดกันได้ที่ไหนคะ
โศลกของงานมหาปวารณาปีนี้ ก็เป็นเครื่องชี้บอกได้นัยหนึ่งที่บอกว่า จงเห็นค่าของคน เหนือกว่าผลของงาน ดังนั้น เราจะต้อง ตรวจสอบว่า ทุกวันนี้เราลุยงาน แบบเห็นค่าของคน มากกว่าผลของงานหรือเปล่า? เราเห็นค่าของจิตวิญญาณ เหนือกว่า วัตถุหรือเปล่า หรือว่า จะต้องเอาวัตถุสำเร็จๆๆ แต่จิตวิญญาณ เต็มไปด้วยโลภ โกรธหลงอย่างไร ฉันไม่สนใจ อันนี้ก็เรียกว่า เป็นความล้มเหลว ในการงาน วัตถุที่สำเร็จออกมานั้น ก็ไม่ต่างไปจาก อนุเสาวรีย์ของโลภโกรธหลง ที่เกิดขึ้น จากจิตวิญญาณ ของเรา เราเห็นค่าของคุณธรรมยิ่งกว่า เหนือกว่า โลกธรรมหรือเปล่า?

ดังนั้นสิ่งนี้ก็จะเป็นเครื่องเช็คว่าเราทำงานแล้วเข้าเป้า เข้าหาแก่นของศาสนาหรือไม่ ตัวอย่างง่ายๆ ที่เห็นได้ชัดว่า เราทำ กสิกรรม ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะอะไร แม้แต่ในหมู่กลุ่ม ของชาวอโศก ของเราเอง จะทำกสิกรรม เพื่อจะได้มากๆ จะได้มั่งคั่ง ร่ำรวย ที่พ่อท่านเน้นว่ าเราต้องยอมจน เราจะต้องกล้าให้ จะมีคนทำกสิกรรมคิดอย่างนี้ มีไม่ค่อยมากเท่าไร ทุกคน จะทำกสิกรรม เพื่อที่จะเอา เพื่อที่จะได้ โดยไม่คิดที่จะให้กับแผ่นดินเป็นหลัก เขาจะให้ความสำคัญ กับการปลูกถั่ว ปลูกงา ปลูกพืชมงคล ซึ่งก็เคยถามพวกเราอยู่เสมอว่า ปลูกถั่ว-งาง่ายไหม พวกเราจะตอบกันว่า ปลูกง่าย แล้วถั่ว-งานี่ สำคัญไหม ก็จะมีคำตอบ ได้เหมือนกัน ทุกคนว่า ถั่ว-งาก็เป็นของสำคัญ สำหรับคนกิน แต่ถ้าถามต่อไปว่า พวกเราได้ปลูกไหม ทั้งปลูกง่าย ทั้งสำคัญด้วย แต่ก็จบลงตรงที่ว่า ก็ไม่ได้ปลูกกัน

ส่วนใหญ่จะไปให้ความสำคัญว่า เราจะหาปุ๋ยที่ยอดเยี่ยมได้อย่างไร ที่วิเศษมหัศจรรย์ที่จะทำให้พืชผัก ที่เราปลูก มันงาม แต่การทำดิน ให้มีชีวิต หัวใจสำคัญของการบำรุงดิน สร้างดิน เราจะไม่ได้คิดทำ เราคิดแต่ว่า จะได้อะไรมากิน ปลูกไปแล้ว จะได้ ผลผลิต อะไรมากๆ แต่การบำรุงดิน การสร้างดิน เราจะไม่ค่อยให้ความสำคัญ

ดังนั้นการทำกสิกรรมจึงไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จ เขาจะกล้าให้หรือกล้าจน เขาจะกล้าคิด ที่จะปลูกถั่ว-งา พืชคลุมดิน เพื่อสร้างให้ดินมีชีวิต แล้วแม้ได้ผลผลิตออกมาแล้ว เขาก็กล้าจะแจกจ่าย ไม่หวงแหนอีกด้วย สำหรับ คนที่ทำกสิกรรม ประสบความสำเร็จ สรุปได้ว่า เพราะเขากล้าจน เขาจึงประสบความสำเร็จ ในชีวิตได้

ดังนั้นในยุคนี้ คนที่กล้าให้ กล้าจน คนที่เห็นค่าของคุณธรรมมากกว่าโลกธรรม คนที่เห็นค่าของจิตวิญญาณ ของการให้ ของการ มักน้อยสันโดษ มากกว่าจะได้วัตถุกลับมา แม้คนที่เห็นค่าของคน ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มากกว่า จะเอาแต่ งานๆๆๆ อย่างเดียว ก็เป็นเครื่องวัดความสำเร็จได้ ประการหนึ่ง

การเก็บหางก็เป็นเครื่องวัดความสำเร็จอีกประการหนึ่ง คนเราถ้าทำอะไรไว้แล้วก็ปล่อยหางทิ้งไว้ยาว ไม่ค่อยเก็บ ปล่อยปละ ละเลย ก็จะเหมือนกับนักปฏิบัติธรรม ที่ปล่อยให้อนุสัยอาสวะ ของตัวเอง เจริญงอกงาม ซึ่งสุดท้าย ก็จะพบกับความเสื่อม ในที่สุด

ดังนั้นในยุคที่การงานเรามาก ยิ่งเป็นระบบสาธารณโภคี ที่สมบัติทั้งหลายไม่มีใครเป็นเจ้าของ ก็จะพากันใช้ข้าวของ แบบทิ้งๆ ขว้างๆ คนที่ทำอะไรไว้แล้วทิ้งหางไว้ยาว ไม่ค่อยเก็บข้าวเก็บของ ไม่ค่อยเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ ไม่เก็บสิ่งของ ที่ตัวเองได้ใช้ ให้ดี ปล่อยให้เกิด ความสูญเสียหายมาก ก็ไม่ต่างอะไร กับนักปฏิบัติธรรม ที่ไม่พยายาม เก็บรายละเอียด ของการปฏิบัติธรรม ไม่พยายาม ที่จะศึกษา เรื่องอนุสัยอาสวะ หรือเรื่องกิเลสหยาบๆ โผล่ออกมาก็ไม่สนใจ ตรงนี้ก็จะเป็นความล้มเหลว ทั้งการงาน และ เป็นความล้มเหลว ทั้งการปฏิบัติธรรมด้วย ซึ่งก็เกิดจากการที่ทำงานไปแล้ว ไม่เคยสรุปบทเรียน เอาแต่บทลุยอย่างเดียว ไม่มีข้อมูล มีแต่ข้อมั่ว ดังนั้น เมื่อทำงานไปแล้ว ก็ไม่เคยเอามาทบทวนว่าผลได้ ผลเสีย มีข้อที่ควรแก้ไขปรับปรุง อะไรบ้าง ก็จะมีหางยาว เยอะออกมา ซึ่งก็จะไม่สามารถ ประสบความสำเร็จในการงานได้

นักปฏิบัติธรรมชาวอโศกจะไม่ละเลยในเรื่องของอาหารกายและอาหารใจ ไม่ให้ค่าผลของงาน มากกว่าจิตวิญญาณ ของเพื่อนร่วมงาน และไม่ทิ้งหางใดๆ ให้เป็นภาระกับผู้อื่น มิฉะนั้น ผลสำเร็จของงาน ก็เป็นเพียงอนุสาวรีย์ แห่งความชั่วร้าย ที่หลงเหลืออยู่ ในจิตวิญญาณของเรา เท่านั้นเอง.

ทีมข่าวพิเศษ

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กลุ่มกรีนเวย์เจาะลึกชาวอโศก ศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านราชฯ
ทึ่งชุมชนพึ่งตนเองครบวงจร

เรียนรู้การทำกสิกรรม ธรรมชาติ ร่วมเกี่ยวข้าวกับชาวชุมชน
ระหว่างวันที่ ๑๘ -๓๐ พ.ย. ๔๕ นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กลุ่มกรีนเวย์ จำนวน ๑๑ คน จากประเทศ อเมริกา, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, แคนาดา และ ญี่ปุ่น พร้อมเจ้าหน้าที่คนไทย ๑ คน จากกรีนเวย์ในประเทศไทย เดินทางมาศึกษา วิถีชีวิต ชาวบ้านราชฯ โดยเฉพาะ การทำกสิกรรมธรรมชาติ นับเป็นกลุ่มที่ ๕ ที่มาศึกษาที่นี่ และเป็นการมา ของกลุ่มที่ ๓ ในปีนี้ ซึ่งมีข้อสังเกตว่า ปีนี้มามากถึง ๓ ครั้งติดกันทีเดียว คือเดือนมิ.ย., ก.ค. และ พ.ย.

จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือบอกเล่าให้ฟังว่า ขณะนี้มีสายจากต่างชาติ แทรกตัวเข้ามาในรูปของ กลุ่มกรีนเวย์ เพื่อหาข้อมูล ของชาวอโศก ในคืนเอื้อไอุ่น เมื่อวันที่ ๑๙ พ.ย. ที่บ้านราชฯ มีผู้สงสัยได้กราบเรียน ถามความคิดเห็น ในเรื่องนี้ จากพ่อท่าน ซึ่งได้รับคำตอบว่า ชาวอโศกยินดี ที่ชาวต่างชาติ เข้ามาศึกษา นับเป็นสิ่งที่ดี ที่เขาได้มาเห็น วิถีชีวิต ของชาวอโศก ว่าเป็น อยู่กันอย่างไร ทางเราไม่มีความลับอะไร ที่จะปิดบัง มีแต่ความลึกให้เขาศึกษา

วิถีชีวิตของชาวบ้านราชฯในเดือนนี้ เน้นหนักในเรื่องของการเกี่ยวข้าว การทำกสิกรรมและ ปรับปรุงพื้นที่ หลังน้ำท่วม กลุ่มกรีนเวย์ ได้ร่วมทำงาน ดังกล่าว และได้ช่วยสอนภาษาอังกฤษ ให้กับเด็กน.ร.สัมมาสิกขาฯ ที่นี่ด้วย

ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ความรู้สึกของกลุ่มกรีนเวย์ ถึงการมาร่วมวิถีชีวิต ในบ้านราชฯ ดังนี้

KIM WEST อายุ ๔๒ ปี จากประเทศแคนาดา "มีความสุขกับการทำงานร่วมกันกับคนที่นี่ ได้พูดคุย และเรียนรู้ ภาษาไทย ได้ศึกษา วิถีชีวิต ของพุทธศาสนิกชนที่นี่ ปกติคนที่แคนาดา จะทำงานเพื่อตัวเอง แต่ที่นี่ทำงาน เพื่อส่วนรวม ฉันแปลกใจว่า ที่นี่สอน อย่างไร จึงสามารถทำให้คน ตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ และอยากเรียนรู้ เรื่องการทำอาหารมังสวิรัติ ที่อร่อยของที่นี่ จะกลับมา ศึกษาที่นี่ อีกครั้งหนึ่ง"

JEANETTS GEISEL อายุ ๒๐ ปี จากเยอรมัน "รู้จักอโศกจากองค์กรสันติภาพในเยอรมัน รู้สึกดีมาก ที่ได้มาที่นี่ ชอบวิถีชีวิต ของชาวอโศก ได้เรียนรู้ว่า จะอยู่กับชาวอโศกได้อย่างไร เพิ่งเกี่ยวข้าวครั้งแรกที่นี่ และสนุกมาก ที่ได้ทำงานร่วมกัน"

คะสุโกะ ฮูดูตะ อายุ ๒๘ ปี จากญี่ปุ่น "อยู่ที่ญี่ปุ่นเคยทำเกษตรแบบธรรมชาติ ซึ่งเป็นสวนของเพื่อน แต่ทำเฉพาะอย่าง คือ มะเขือเทศ แอปเปิ้ล ไม่ได้ปลูกผักหลากหลายเหมือนที่นี่ ในอนาคต จะทำสวนเล็ก แบบธรรมชาติ อยากจะเรียนรู้ ชาวอโศก ให้มากกว่านี้ ฉันสงสัยว่า ทำไมคนถึงมาอยู่รวมกันที่นี่ได้ ศาสนาพุทธที่ญี่ปุ่น แตกต่างจากชาวอโศกมาก"

MARINA อายุ ๒๖ ปี จากปารีส ฝรั่งเศส "อยู่ที่นี่ลำบากเรื่องอาหาร เพราะที่ฝรั่งเศสจะกินเนื้อ นม ไข่ เนื้อ และชีสต์ แต่ที่นี่ ทานข้าวเป็นหลัก ฉันกำลังปรับตัว ทาน ๒ มื้อไม่หิว ประทับใจการต้อนรับดีมาก คนที่นี่ทำงานหนัก ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดี"

PATSRICK MCALARY อายุ ๓๔ ปี จาก แคลิฟอร์เนีย อเมริกา "เคยทานมังสวิรัติแบบคนจีนมา ๗ ปี แล้วหยุดไป แล้วมาเริ่มต้นที่นี่ และคิดว่า จะทานต่อไป เพิ่งมาทานอาหารมังสวิรัติแบบไทยที่นี่ ที่นี่ทำกสิกรรมธรรมชาติโดยแท้จริง เป็นชุมชน พึ่งตนเอง อย่างครบวงจร ไปเกี่ยวข้าว สนุกมากครับ กลับไปผมจะทำงานเก็บเงิน และสร้างชุมชนเล็ก ทำเกษตรแบบที่นี่ ก่อนมาที่นี่ ผมได้เรียนรู้ การทำปุ๋ยชีวภาพ ที่ศูนย์ของกรีนเวย์ ที่หาดใหญ่ มาก่อน ๑ ปี ประทับใจพ่อสะอาด มีเทคนิคการทำปุ๋ย ที่ดีมาก"

นายสุทธิชัย สุภารัตน์ เจ้าหน้าที่จากกรีนเวย์ อายุ ๒๘ ปี "สมัยเป็นนักศึกษา มอ. ผมเคยไปออกค่ายที่พะโต๊ะ จ.ชุมพร ได้รู้จัก ชาวอโศก ตอนนั้น รู้สึกแปลกๆ มาที่นี่ได้มีโอกาสฝึกตน ทำงานหนัก เรียนรู้การทำเกษตร เรียนรู้ศาสนาพุทธ ได้เดินเท้าเปล่า ประทับใจ คนที่นี่ ขยันทำงาน ไม่มีอะไรต้องแก้ไข เพราะผมมาเรียนรู้ ไม่ได้คิดมาเปลี่ยนอะไร"

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สารต้านอนุมูลอิสระ

ก่อนจะรู้จักสารต้านอนุมูลอิสระ เรามาทำความรู้จักกับอนุมูลอิสระกันก่อนนะคะว่า ทำไมนะ จึงต้องมีสารต้านมันด้วย ต้านแล้วดีหรือไม่ จะเหมือนที่ประชาชนส่วนใหญ่ ต้านการขึ้นเงินเดือนของ สส.และ สว.หรือเปล่านะ

อนุมูลอิสระ เป็นโมเลกุลที่มีพลังการทำลายที่รุนแรงมาก เป็นผลพลอยได้ที่เกิดจากการเปลี่ยนอาหาร ให้เป็นพลังงาน ภายในร่างกาย จะเข้าไปเกาะ ตามผนังเซล ทำให้เซลถูกทำลายได้ และยังเกิดจากแหล่งอื่นๆอีก เช่น จากแสงอาทิตย์ น้ำมันพืช ที่ถูกความร้อน การถูกแสงอัลตราไวโอเลต เป็นเวลานานๆ สารเคมีที่ปนเปื้อนในน้ำ อากาศ อาหาร ควันบุหรี่ และจาก สารก่อมะเร็งอื่นๆ เมื่อเกิดอนุมูลอิสระมากๆ ในร่างกาย จะทำให้ร่างกายทรุดโทรม แก่เร็ว ทำให้เป็นโรคต่างๆง่าย ได้แก่ โรคหัวใจ โรคปอด โรคมะเร็ง เป็นต้น

สารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ สารที่ช่วยต่อต้านกระบวนการของอนุมูลอิสระ โดยจะไปขัดขวาง กระบวนการ ทำลายล้าง ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันไม่ให้สารก่อมะเร็ง ก่อตัวขึ้นมาได้ด้วย ซึ่งจะมีผล ทำให้มนุษย์ มีอายุยืน แก่ช้า ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคปอด และโรคอื่นๆได้ สารที่เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ได้แก่ วิตามินอี เอ ซี ดี ซิลิเนียม กรดอะนิโม ที่มีกำมะถัน เป็นส่วนผสม เบต้าแคโรทีน เป็นต้น ที่มีมากที่สุดคือ วิตามินอี ซึ่งมีมากในอาหาร ที่พวกเรา ชาวมังสวิรัติ จะขาดไม่ได้คือ จมูกข้าวสาลี ข้าวกล้อง ธัญพืชเมล็ดเต็ม (ไม่ขัดขาว) เป็นต้น

อ่านถึงตรงนี้ คงจะถึงบางอ้อ กันแล้วว่า สารต้านอนุมูลอิสระดีหรือไม่ ขอแจมให้ชัดเจน แบบฟันธงลงไปเลยว่า ดีแน่ๆ ไม่แพ้ การต่อต้าน คัดค้านการขึ้นเงินเดือนของ สส.และสว. แสดงว่าผู้คัดค้านอยู่ฝ่ายเดียวกับ สารต้านอนุมูลอิสระ คือ ต่อต้าน สิ่งเลวร้าย ที่คอยทำลาย ต่อต้านความไม่ชอบมาพากลทั้งหลาย ที่จะทำให้ประเทศชาติ และประชาชน เดือดร้อน แต่! ข้อสำคัญที่สุด คือ เราต้องต่อต้าน สิ่งเลวร้ายในจิตใจของเรา ให้ได้ด้วย อย่าปล่อยให้ความทุกข์ ความเครียด กลุ้มรุมจิตใจเรา มากนัก ด้วยใจเราต้องมี สารต้านอนุมูลอิสระ คือ ธรรมไว้ในใจให้มากๆนะคะ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ม.วช. เข้าค่ายอบรมเตรียมงานปีใหม่ เพื่อพัฒนาตนเองและขบวนการกลุ่ม
สืบสานงานชุมชนบุญนิยมให้สมบูรณ์

ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๖ พ.ย. ๔๕ นิสิต-เตรียมนิสิตมว.ช. พร้อมคุรุ และผู้สนใจรวม ๓๐ ชีวิต เข้าค่ายอบรม เชิงบูรณาการ เพื่อเปลี่ยนแปลง ตนเอง และพัฒนาศักยภาพ เพื่อเตรียมความพร้อมของนิสิต รับงานค่ายนิสิตมว.ช., ค่าย ยอส. (ยุวชน อโศกสัมพันธ์) และงานปีใหม่ ที่จะมาถึงในเดือนหน้า

ในการค่ายครั้งนี้ ผู้เข้าอบรมต้องมากิน-นอน-ทำงานร่วมกัน ๗ วัน ๗ คืน โดยฝ่ายชายนอนรวมกัน ที่เฮือนโสเหล่ และ ฝ่ายหญิง นอนที่บ้านหนองหม้อแกง

สำหรับตารางการอบรม เริ่มตั้งแต่เวลา ๐๓.๓๐ น. ทำวัตรเช้า โดยพ่อท่านในวันแรกของการอบรม และ สมณะ -สิกขมาตุ หมุนเวียน แสดงธรรม ในวันถัดไป เพื่อกระตุ้นจิตสำนึก ในการเปลี่ยนแปลงตัวเองร่วมกัน พร้อมแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น จากการฟัง ทำวัตรเช้า

หลังจากนั้นออกกำลังกาย ทำดีท็อกซ์, ลงฐานกสิกรรม, ๐๙.๓๐ น. ขึ้นศาลารับประทานอาหาร, ร่วมกันทำ ๕ ส. ตามฐาน งานต่างๆ ในส่วนของกิจกรรมภาคค่ำ ประกอบด้วย การเดินจงกรม - นั่งสมาธิ, ฟังบรรยายเรื่องสุขภาพ และเรื่องเกษตร

ในวันรองสุดท้าย หลังทำวัตรเช้าร่วมกันระดมสมอง แก้ปัญหาเรื่องขยะ, เรื่องห้องน้ำที่ติดอันดับ ในความสกปรก ทำให้นิสิต ได้เข้ามามีส่วนร่วม ในการเป็นเจ้าของ และพัฒนาฐานงานขยะ และสร้างวัฒนธรรม ในการทิ้งขยะ ที่โรงขยะ โดยแต่ละคน รับผิดชอบขยะของตัวเอง ยกเว้นผู้อายุยาวและแขกที่มาเยี่ยมเยียน, ดูแลห้องน้ำส่วนกลางทั้งหมดจำนวน ๑๔๐ ห้อง ให้สะอาด เหมือนในยุคแรก ของชาวอโศก, การดูแลสุขภาพเชิงรุก ออกกำลังกาย ทำดีท็อกซ์ และผู้รับต้มกาแฟ ด้านอาหาร โรงครัว จะใช้ซีอิ๊วที่ผลิตเอง ลดอาหารเส้น เน้นเรื่องอาหารรสอ่อน และผักสดเพิ่มขึ้น, ด้านสื่อ เปิดวิดีโอ.ไม่เกิน ๒ ทุ่ม ในช่วง ๔ โมงถึง ๕ โมงเย็น เปิดธรรมะกระจายเสียง และ สอนธรรมะขึ้นกระดานดำ เวลา ๕ โมงเย็น


วันรองสุดท้ายของภาคค่ำ ผู้เข้าค่ายอบรมฯร่วมกันเปิดใจ ถึงความรู้สึกที่ได้มาใช้ชีวิตร่วมกัน บางคน มีอาการ คิดถึงบ้าน การปรับตัว ในการตื่นมาร่วม ทำวัตรเช้า ผลดีของการดีท็อกซ์ ความอบอุ่นที่ได้ทำงานร่วมกัน เหน็ดเหนื่อยร่วมกัน หลังจาก ที่เคยทำงาน เพียงฐานที่ตัวเองรับผิดชอบ อยู่อย่างโดดเดี่ยว ได้คุยกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น มีวิญญาณสัมพันธ์ ลดการเพ่งโทสถือสา นอกจากนี้ หลายคนผ่านการเป็นพี่เลี้ยง. พิธีกรงานอบรมบ้านราชฯ มานับครั้งไม่ถ้วน ก็ได้มาสวมบทบาท ของผู้เข้าอบรมตัวจริง และเกิดสภานิสิต ที่เฮือนโสเหล่ เป็นจุดนัดพบ เพื่อปรึกษาหารือ พูดคุยกัน หลายคน มีความรู้สึก ที่ดีขึ้น มีไฟ มีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง และพร้อมจะร่วมกัน ก่อร่างสร้างบ้านราชฯ ให้เติบโตเป็นชุมชนบุญนิยม ที่สมบูรณ์แบบ

ความรู้สึกของผู้เข้าค่ายรับการอบรมครั้งนี้
เตรียมนิสิตซึ้งดี อโศกตระกูล คุณแม่ลูก ๑ ฐานโรงจักร "ได้เปิดภพ ได้รู้จักตัวเอง-คนอื่น และมีใจที่จะฝึกตัวเองเพิ่มขึ้น เหมือนเพิ่ม อธิศีล การเข้าค่ายอย่างนี้ น่าจะมีติดต่อกัน เพราะทำให้ได้งานซึ่งดีมาก ได้พูดคุยกัน ได้รู้จักกัน ได้ความเป็น ญาติกัน มีน้ำใจต่อกัน ได้กำลังใจ แต่ก่อนก็เมินเฉยกัน ทำงานอยู่คนเดียวก็เหงา โดยเฉพาะ ได้ข้อธรรมะ จากกันและกัน และ จากสมณะ-สิกขมาตุ และเพื่อนๆ ไม่ได้ร่วมทุกกิจกรรม เพราะต้องกลับไปนอนกับลูก และ งานบางอย่าง ที่ต้องรีบทำ"

นิสิตไฟพร นาวาบุญนิยม ปี ๔ "ได้ออกจากภพมาพบเพื่อน ได้พัฒนาตัวเองกล้าขึ้น ตั้งแต่มาอยู่วัด รู้สึกว่า ได้มาทำงานจริงๆ ปฏิบัติธรรมจริงๆ เพราะงานหนักจริงๆ แต่ก็ได้ประโยชน์ ได้ฟังธรรม ได้สัมพันธ์กับเพื่อนนิสิต มากยิ่งขึ้น ได้ความรู้เรื่อง การทำกสิกรรม ในขณะทำงาน จากเพื่อนไปด้วย ประทับใจ ที่ตัวเองได้มีโอกาส ได้มาเข้าค่ายครั้งนี้ อยากให้มีทุกๆปี เพราะได้พัฒนาตัวเองด้วย"

นิสิตดินงาม นาวาบุญนิยม "ตัวเองก็กระตือรือร้นอยู่นะ การเข้าค่ายทำให้รวมกลุ่มกันทำงานอย่างจริงจัง ซึ่งอบอุ่นมาก และ เพื่อความเป็นหนึ่งเดียว ของชาวบ้านราชฯ ซึ่งผลงานออกมา ภูมิใจมาก ถ้าเข้าค่ายอย่างนี้บ่อยๆ บ้านราชฯ คงพัฒนาได้เร็ว ทั้งเรื่องการงาน และจิตวิญญาณ ทำให้พลังของเราไม่เฉื่อย และเคลื่อนตัวได้เร็ว ปีละ ๓ ครั้งจะดีมาก เพราะเราได้พัฒนาไป พร้อมๆกับเพื่อนๆ หากมีครั้งต่อไป อยากให้ชาวชุมชน ที่สนใจ เข้าร่วมด้วย จะทำให้มีความรู้สึกที่ใหม่ๆ ดีๆ แม้จะมีงาน อยู่ก็ตาม พลังรวม ก็จะไปช่วยได้ เกิดความอบอุ่น"

สมณะฟ้าไท สมชาติโก "เกิดโครงการนี้ เพราะเราว่างเว้นจากการอบรม ธ.ก.ส. ทำนิสิตอยู่ห่างกัน จะได้มารวมกัน และ คนภายใน จะได้เพิ่มศักยภาพ ให้กับตัวเอง มากยิ่งขึ้น ทางฝ่ายบริหารก็คิด แล้วนำเสนอนิสิต เพื่อเพิ่มสมรรถภาพ ชีวิตความเป็นอยู่ เรื่องศีล เรื่องงาน การนำเสนอวิชาการ มิฉะนั้น เราก็นำเสนอเขาไปเรื่อยๆ แต่สมรรถภาพเขาไม่สูงขึ้น

นิสิตและผู้ที่มาอบรมเกิดความกระตือรือร้นขึ้น มีความคิดที่จะพัฒนาตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม คิดว่าบรรลุเป้าหมาย มากกว่า ๕๐% ซึ่งก็พอใจ เพราะไม่ได้หวังอะไรมาก เพียงเขาพัฒนาตัวเองก็ดีแล้ว หากมีเวลาและโอกาส จะจัดอีก เป็นระยะๆไป"

เตรียมนิสิตทั้งดิน วรพิมพ์รัตน์ "ได้รับประโยชน์มากในการทำงานเป็นกลุ่ม ได้สร้างความเป็นพี่เป็นน้อง ในหมู่กลุ่ม ของนิสิต ได้ฝึกฝนตนเอง ตื่นแต่เช้า มาทำวัตร ทำให้เพิ่มสัมมาทิฐิ อยากให้มีอย่างนี้อีก เท่าที่เป็นไปได้ และถ้าได้เข้าค่ายทั้งชุมชน ก็ยิ่งจะดี ในขบวนการกลุ่มอย่างนี้"

นิสิตตรงเตือน นาวบุญนิยม ปี ๑ "ได้เข้าใจความยากลำบากของผู้อื่น ปกติที่เราทำงานอยู่แต่ฐานของเรา เราจะไม่รู้เลยว่า ที่อื่นเขาหนัก เข้าค่ายครั้งนี้ ได้มารวมกัน และช่วยงาน ตามฐานต่างๆ เช่น การขนของ ที่ฐานโรงสี การปรับปรุงพื้นที่ หลังน้ำท่วม ตามจุดรกร้าง ของหมู่บ้าน ได้เห็นอกเห็นใจเพื่อนๆ ในขณะที่การงานก็มาก และเขาต้องเร่งรัด พัฒนาตัวเองด้วย ได้เข้าใจ ทั้งตัวเอง และผู้อื่น ได้ลดความเอาใจของตัวเอง อยากให้มีการเข้าค่ายอย่างนี้ทุกปี ก่อนถึงงานปีใหม่ เพื่อจะได้ปรับ สัมมาทิฐิ และเพิ่มไฟที่จะรองรับ งานค่ายนิสิต และค่าย ย.อ.ส. เพราะจุดบกพร่องของที่นี่ คือ นิสิตบ้านราชฯ ปล่อยให้แขก เป็นเจ้าภาพ ต่อไปเราจะเป็นตัวหลักมากขึ้น และประสานสัมพันธ์กับนิสิตที่อื่น ได้มากขึ้นด้วย"

นิสิตฝั่งบุญ ชาวหินฟ้า ปี ๖ "ทำให้มั่นใจในสุขภาพ ได้พัฒนาขบวนการกลุ่ม ได้เข้าใจเพื่อนๆ ซึ่งเดิมแยกกันทำงาน คิดไม่ตรงกัน ว่ากันไปว่ากันมา ได้พูดคุยกัน งานนี้ได้กิน-นอน-ทำงานร่วมกัน ได้แก้ปัญหาตัวเอง และ ปัญหาของชุมชน ธรรมะก็เข้มข้น เจาะถึงการสลายอัตตา ไม่อยากให้มีเฉพาะ ในการเข้าค่าย หากสามารถพบกัน ในตอนเย็นได้ แจ้งการทำงาน เป็นขบวนการ กลุ่มได้ และ ดำเนินการแก้ปัญหา อย่างต่อเนื่อง น่าจะเป็นวิถีชีวิตของเรา ตลอดไป"

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน อโศกตระกูล "การอบรมครั้งนี้ทำให้แน่นในขึ้น นิสิตแต่ละคนได้มากิน-นอน -ลุยงานร่วมกัน ทำให้ ความสัมพันธ์ เขาแน่นขึ้น ลึกขึ้น มีการเปิดใจ เข้าใจกันมากขึ้น ซึ่งได้รับผลดี คิดว่าจะมีต่อไป เป็นระยะๆ เป้าหมายก็คือ ให้เขาได้เข้าใจ เรื่องศีล เรื่องสัมมาทิฐิ ซึ่งเขาได้ฟังธรรมเต็มที่ ตอนทำวัตรเช้า การทำงานที่เป็นทั้งผู้ตาม และผู้นำ มีการวางแผนงาน ในตัวเขา คิดว่าบรรลุเป้าหมาย ๘๕ % บางอย่าง อาจจะตึงไปหน่อย ทำให้เขาหมดแรง ซึ่งครั้งนี้ ผนวกการรักษาสุขภาพ เข้าไปด้วย อาหารก็จืดลง ลดอาหารที่มีสารพิษลง เช่น พวกเส้นต่างๆ โดยจะลดในหมู่ของ นิสิตก่อน แก้ไขเรื่อง สิ่งแวดล้อม เรื่องขยะ, ห้องน้ำ โดยให้นิสิต เป็นเจ้าของ รับผิดชอบมากขึ้น และ การทำกสิกรรม ในตอนบ่ายๆ และเย็นๆ ให้คนที่อยู่แผนกอื่น มาลุยร่วมกัน เรื่องจิตวิญญาณ แม้ที่นี่จะมีงานอบรมตลอด ก็จะพยายาม ควบคู่ไปกับ การเดินจงกรม ฟังธรรม มีการเปิดใจ แบบตอนต้นพรรษา กลับมาให้ต่อเนื่อง จะออกเชิงมรรคมีองค์ ๘ เป็นขบวนการกลุ่ม มีการติดตามผล ทุกอาทิตย์จะมาคุยกัน อุปสรรคคือ นิสิตแต่ละคน มีงานประจำ ต้องหมุนนักเรียนเข้าไปแทน บางฐานงาน จึงไม่ค่อยราบรื่น แต่อุปสรรค ก็ทำให้ปั้นสัมมาสิกขา ขึ้นมาอีกรอบ"

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ น.ส.พ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๑๙๕(๒๒๘) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๐ พ.ย.๔๕ นำข่าวในแวดวงชาวเรา มานำเสนอ สู่สายตาสมาชิกเช่นเคย

ทายาทตัวจริง...เกือบทุกครั้งที่จิ้งหรีดกระพือปีกไปร่วมงานที่ปฐมอโศก ก็อดไม่ได ้ที่จะลองลิ้มชิมรสส้มตำ ฝีมือ คุณยาย เหมือนคำ (คำปูน) แต่หลังจากคุณยายได้จากพวก เราไปแล้ว ก็ให้รู้สึกเสียดายคุณยาย ผู้ใจดีท่านนี้ ที่สร้างความอบอุ่น ให้กับ ลูกๆ หลานๆ ในยามเข้าใกล้ชิด พูดคุยด้วย...

นอกเหนือไปกว่านี้หลายคนอาจคิดว่า เคล็ดวิชาเดี่ยวส้มตำคงสูญไปด้วย (ฮั่นแน่!เข้าค่ายเห็นแก่กินอีกแล้วเรา) แต่ตอนนี้ หายห่วง ได้แล้วฮะ เพราะตอนนี้มี นิสิตผาพึ่ง มั่นคง รับแสดงฝีมือตำส้มตำทุกครั้ง ที่มีงานแล้ว นี่ก็ได้ยินข่าวว่า ถูกเชิญตัว ไปออกงานที่ ตจว. (ต่างจังหวัด) หลายงานแล้วด้วยนะฮะ

จิ้งหรีดพลอยรู้สึกชื่นชม ประทับใจที่มีผู้สานงานตำบักหุ่ง ต่อจากคุณยายคำปูน ผู้เป็นนักรบ แห่งกองทัพธรรม ของชาวเรา แล้วฮะ...จี๊ดๆ

ค่าของคน...ณ ปฐมอโศก คุณใจดินได้มีโอกาสทำงานกับเด็กๆมากกว่าปกติ ได้ข้อคิดในการทำงานว่า ยามใด ที่เน้น วิญญาณก่อน บรรยากาศ ก็จะออกมาดี แต่มีอยู่ช่วงหนึ่ง "เผลอ" จึงรู้สึกเครียดกับผลงาน เพราะไปคิดเปรียบเทียบ กับผลงานผู้ใหญ่ สังเกตเห็น ปฏิกิริยาของตัวเอง มีอาการตึงๆ แต่พอมีสติรู้ได้ก็ปรับ โดยวิธีคิดให้ลดเพดาน ความคาดหวัง ของตัวเอง แล้วพอใจกับสิ่งที่เป็นไปได้... จิ้งหรีดรู้สึกอนุโมทนา ที่คุณใจดิน มีโสตทิพย์ อ่านเสียงสอง ของตัวเองได้ แล้วยังจิต ให้เป็นไป ตามที่พ่อท่านสอนว่า จงให้ค่าของคนเหนือกว่าผลของงาน นี่แหละคือ ธรรมะ ที่ลูกของพ่อท่าน พึงน้อมนำมาปฏิบัติ และ ถ้าใครอยากรู้ว่า อาการตึงๆนั้น เป็นอย่างไร ให้ถามคุณใจดิน ได้เองนะฮะ...จี๊ดๆ

ใช้หนี้...หลังจากพลิกผันชีวิตจากคนขี้เมา มาเอาดีทางประพฤติพรหมจรรย์ จนกระทั่ง ได้เป็นสมณะนวกะ ไปฝึกตัวเอง ที่พุทธสถาน ภูผาฟ้าน้ำ ปีแรกน้ำหนักตัว ลดลงไปไม่ต่ำกว่า ๑๐ กก. พอมาปีที่ ๒ ท้องก็เสีย ขณะนี้ ก็ต้องพักรักษาตัว ต่อไปอีก หลังจากสุขภาพดี มาระยะหนึ่ง เพราะถอนฟันคุด หมอต้องฉีดยาชาให้ถึง ๓ เข็ม แถมเท้าซ้าย ก็ไปเหยียบปากฉลาม ของท่อพีวีซี ขณะกำลังหย่อนตัวลงไปในแท็งค์ ๕ แท็งค์เพื่อล้างขี้โคลน ออกจากแท็งค์ แม้การใช้ชีวิตนักบวช จะต้องพากเพียร เรียนรู้ ล้างกิเลสตัวเอง อยู่เสมอ แต่ท่านก็ยังหัวเราะได้ เพราะท่านหัวเราะมาตั้งแต่ คลอดออกมา จากท้องแม่ จิ้งหรีดถาม ท่านถักบุญว่า เจอทุกข์เช่นนี้ รู้สึกอย่างไร ท่านก็ตอบแบบยิ้มๆว่า ได้ใช้หนี้...สาธุ...จี๊ดๆ

เพื่อพ่อจึงรอได้...นิสิต ม.วช.อัลวา ที่ศาลีฯขอลาครูบาอาจารย์ไปช่วยพ่อแม่เก็บข้าวโพดที่บ้าน แต่ไร่ข้าวโพด อยู่ช่วงต่อ ระหว่างไทยกับพม่า อัลวาจึงบอกลาว่า ถ้าผมไม่กลับมา แสดงว่า ผมคงถูกยิงตายอยู่ที่ไร่

อัลวาได้กลับไปช่วยงานตอบแทนพระคุณพ่อแม่ด้วยความรู้สึกห่วงใย จากหลายๆคน การไปครั้งนี้ ก็เพื่อไปทำตามพ่อแม่สั่ง ในสิ่งที่ไม่ผิดศีลธรรม อัลวาได้พบพ่อแม่ ดั่งที่ตั้งใจ

พ่อ...ชวาปิดเทอมกี่วัน (พ่อเข้าใจว่า คงเหมือนน้องๆสัมมาสิกขาที่กลับบ้าน)
อัลวา...ช่วงนี้พ่ออยากให้ผมช่วยทำอะไร
พ่อ...อยากให้ช่วยขับรถและหักข้าวโพด
อัลวา...ได้ครับ ถ้าหักเสร็จ ผมจะลงมาวัด (จากนั้น อัลวาก็หักข้าวโพดทุกวัน ประมาณ ๑๒ วันก็เสร็จ)
พ่อ...ชวาช่วยน้าหักข้าวโพด ๓-๔ วันก่อนค่อยกลับ
อัลวา...ครับ (จากนั้น ๓-๔ วันผ่านไป พ่อบอกให้รอน้า แต่เป็นน้าอีกคนหนึ่ง)
พ่อ...เดี๋ยวให้น้าลงมาจากป่า แล้วให้ชวาพาไปส่งที่วัดสวนแก้ว
อัลวา...ครับ (จากนั้นอัลวาก็รอไปอีก ๓ วันแล้ว น้าก็ยังไม่กลับจากป่าเลย)
อัลวา...พ่อครับ ถ้าพรุ่งนี้น้ายังไม่ลงมาจากป่า ผมขอกลับวัดได้มั๊ยครับ
พ่อ... ได้ ไปเลย ไม่ต้องรอน้าแล้ว

เหตุการณ์ครั้งนี้ที่เกิดขึ้น ทำให้อัลวารู้สึกว่าตัวเองได้ทำดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมีที่ดีกว่านี้อีก เขาพิจารณาแล้ว ก็เชื่อว่า พ่อไม่ได้หลอกเขา ไม่มีมารยา เขาเห็น จึงอดทนรอได้เพื่อพ่อ

จิ้งหรีดก็ขออนุโมทนากับเจตนาดีที่มีนึกนบต่อบุพการี นี่คือ คนหนุ่มสาวที่รับการฝึกฝน จากชาวเรา สาธุ...จี๊ดๆ

จิ๋วแต่แจ๋ว...เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว จิ้งหรีดบินไปเที่ยว อุ้ย!...ไม่ใช่ ไปทำธุระที่ศาลีฯ เห็นผู้เฒ่าชาวศาลีฯ ที่แต่ก่อนนั้น เคยเดิน งกๆเงิ่นๆ (อีกไม่นานจิ้งหรีดเอง ก็คงลีลาเดียวกัน) แต่มาบัดนี้ หลายท่านเดินเหิน กระฉับกระเฉง จนน่าแปลกใจว่า เอ! เกิดอะไรขึ้น? เพื่อให้สิ้นสงสัย จิ้งหรีดจึงแอบไปกระซิบ ถามญาติธรรมแถบนั้น ก็ได้ความมาว่า ที่ศาลีฯ ยามนี้ มีรถสามล้อ (คัน) จิ๋ว ไว้ให้ผู้เฒ่า หรือผู้สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ใช้ขี่ออกกำลังกาย หรือไปทำธุระต่างๆ ภายในชุมชน แถมสามารถ บรรทุก สัมภาระได้ อีกต่างหาก โอ้โฮ!... จิ้งหรีดขอปรบปีกดังๆให้กับเจ้าของความคิด สุดแจ๋วนี้ ที่เนรมิต ให้ผู้เฒ่าหลายๆท่าน มีบุคลิกเป็นหนุ่ม เป็นสาวขึ้นเป็นกอง...จี๊ดๆ

พลังพลาภิบาล...จิ้งหรีดรายงานมาจากเมืองกาญจนบุรี หลังจากร่วมกับทีมสาธารณสุขอโศก และ กลุ่มพลาภิบาล ทั้งนิสิต และคุรุ เข้าพบพ่อท่าน เพื่อคลายใจ และวางแนวทาง ของงานสาธารณสุขชาวอโศก แล้ววันรุ่งขึ้น ก็เดินทางไป เมืองกาญจน์ เพื่อจัดคอร์สสุขภาพ (๗ อ.)

การเข้าคอร์สที่เมืองกาญจน์ ถ้าพูดถึงด้านอาหาร ก็นับว่าสมบูรณ์มากเลย เป็นอาหารธรรมชาติ มีแป้งน้อยที่สุด มีผักสด ผลไม้ แต่ให้ผู้เข้าคอร์ส กินเฉพาะ ผักราดน้ำซุปเล็กน้อย ไม่มีเค็ม แม้แต่หยดเดียว รู้สึกกิเลสของจิ้งหรีด ไม่เรียกร้อง เพราะรู้ว่า ต้องรักษาสุขภาพ และ ไม่มีปัญหาว่า ไม่อิ่ม ล้างอุปาทานได้มากขึ้น

การอยู่กับคนที่เข้าคอร์ส ส่วนมากเป็นญาติธรรมที่ช่วยงานวัด คนวัดจริงๆไม่มาก เวลาเขาเล่นสนุกสนาน จิ้งหรีด ก็จะนั่งดู และร่วมกิจกรรมบางครั้ง เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่นี่พักผ่อนได้ดีมาก และ กิจกรรมดีท็อกซ์ ก็เป็นกิจกรรม ที่จิ้งหรีด ยังไม่เก่ง ในการช่วยคน เพราะยังรู้สึกรังเกียจ ของเสียจากคน แม้จะเป็นพยาบาลมาแล้ว แต่ก็อยู่ในแผนกผู้ป่วยตา ซึ่งดูแลตัวเองได้ ใจจึงยังไม่เต็ม แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา

ฟังธรรมจากท่านชัยยศ จากวัดพุทธธรรมหนองฮ่อ ก็ชื่นชมที่ท่านช่วยคนได้มากมาย ในเรื่องสุขภาพ และยังได้ความรู้ เรื่องแพทย์ทางเลือก จากท่าน เพราะท่านมีหนังสือ จากต่างประเทศเยอะ เลยได้ความรู้เพิ่ม คิดว่า คงได้นำไปให้เด็กๆ พลาภิบาล นำไปใช้ประโยชน์

มีเด็กนิสิตมาช่วยงานทั้งหมด ๑๐ คน เป็นพลาภิบาล และนักเรียน ม.ปลาย ทั้งจากศีรษะฯ และปฐมฯ เด็กทำครัว ดูแลของ ที่จะใช้ทำ ดีท็อกซ์ เสิร์ฟอาหารเสริม เป็นแพทย์จัดกระดูก อบ-ประคบ นวด ฯลฯ นับว่าเป็นงานแรก ของคณะพลาภิบาล ที่รับงานเต็มๆ ส่วนผู้ใหญ่พลาภิบาล ๔-๕ คน เป็นฝ่ายเก็บข้อมูล วัดความดันฯ และช่วยดูแลเด็ก ขณะจัดกระดูด หรือ นวด เป็นทีมงาน ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ อาเปิ้มช่วยจัดสรร ร่วมกับคุณน้อมบูชา ในการดูแลผู้เข้าคอร์ส คุณแก่นฟ้าดูแลแสง เสียง โฆษก และ ช่วยนวด ในวันที่ ๓-๔ ก็เริ่มหมดแรง เพราะน้ำหนักลด ความดันฯก็ลด การนอนจะแยกหญิงกับชาย ส่วนจิ้งหรีด ก็หมดแรง เช่นกัน ตัวเบาๆ น้ำหนัก ลดไปตั้ง ๓ กก. แต่ก็มั่นใจว่า จะมีสุขภาพดีขึ้น ในไม่ช้านี้ ถ้ารู้จักดูแลตัวเองดีๆ ไม่มีติดภพนะฮะ...จี๊ดๆ

ก่อนจาก ขอจบลงด้วยโอวาทช่วงหนึ่งของพ่อท่าน ในช่วงทำวัตรเช้า เมื่อวันที่ ๒๓ ต.ค.๔๕ ที่ว่า

"...เรื่องของขบวนการกลุ่มนั้น เราจะต้องพยายามทำให้ดีๆ อย่าเอาแต่ใจตัว อย่าไปเลี้ยงอรูปอัตตานัก ลดละอัตตากันให้จริงๆ แล้วอัตตาหยาบ ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา ใครยังกะรุงกะรัง ใครที่ยังเฟอะๆฟะๆอะไรอยู่ ก็หัดลดหัดละ หัดปลดปลงซะบ้าง..."

ฉบับนี้ลาไปก่อน พบกันใหม่ในปักษ์หน้า

จิ้งหรีด

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เชียงรายอโศก อบรมเกษตรกร รุ่นที่ ๑๑

การอบรมสัจธรรมชีวิต เกษตรกร เชียงรายอโศก รุ่นที่ ๑๑ ซึ่งเป็นรุ่นที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จัดมาอบรม ส่วนรุ่นก่อนๆ เป็นลูกค้าเกษตรกร ของ ธ.ก.ส. ต่างจังหวัดทั้งนั้น ในขณะที่ ธ.ก.ส.จังหวัดเชียงราย ก่อนหน้านี้ ไม่เคยส่งมาอบรมเลย ทั้งๆที่อยู่ ในจังหวัดเดียวกันแท้ๆ

สำหรับรุ่นที่ ๑๑ นี้ได้ผลดีเกินคาดหมาย เป็นที่น่าพอใจด้วยกันทุกฝ่าย ทั้งผู้ให้และผู้รับ กระทั่งผู้เข้ารับการอบรม ซึ่งนับว่า เป็นรุ่นที่โชคดีกว่าทุกรุ่น เพราะมีรายการบรรยายพิเศษ จากเกษตรกร สมพงษ์ คงจันทร์ คุณหนึ่งแก่น และคณะ มาร่วมช่วย บรรยายพิเศษ เป็นที่ประทับใจ ของผู้เข้ารับการอบรม เป็นอย่างมาก สังเกตจาก เสียงปรบมือลั่นศาลา เป็นระยะๆ

วันสุดท้าย ด้วยความประทับใจ ที่มีต่อกันในช่วง ๔ คืน ๕ วัน ทั้งพี่เลี้ยง พิธีกรและผู้เข้ารับการอบรม ในรายการ "จ่มก่อนจาก" (เปิดใจ) รู้ได้ว่าเขาสัมผัสได้ว่า ชาวเราเป็นผู้มีน้ำใจ ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งล้วนเป็นของดีๆทั้งนั้น จนรับแทบไม่หวาดไม่ไหว ไม่ว่าจะเป็น หลักธรรม จากสมณะ เรื่องของวิชาชีพ การดำเนินชีวิต กิน อยู่ หลับ นอน สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ซึ่งมีรายหนึ่ง "จ่ม" (เปิดใจ) ให้ฟังในรายการ "จ่มก่อนจาก" ว่า เคยไปอบรมมาหลายครั้ง แต่ไม่ประทับใจ เท่ามาที่นี่ อบรม ธ.ก.ส. ก็ไปมา แต่ไม่ใช่หลักสูตร สัจธรรมชีวิต สมาชิกคนไหนไป ก็จะได้รับแจกคนละ ๓,๐๐๐ บาท อบรมพาไปดูงาน ในที่ต่างๆหลายแห่ง ทั้งใกล้และไกล สุดท้าย ติดลมกันทุกคน มีหลายคนกลับจากอบรมที่นี่ จะนำความรู้ไปพัฒนาตนเอง ครอบครัว และชุมชน บ้างก็จะลดละเลิก อบายมุข เช่น เหล้า บุหรี่ ฯลฯ

พี่เลี้ยงทุกคนและพิธีกรต้องตื่นก่อนนอนทีหลัง ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี พิธีกรทุกคน ประทับใจ ในความว่าง่าย ของผู้เข้ารับการอบรม ทุกรายการ พิธีกรบอกให้ทำอะไร ก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ตลอดงาน

ในการอบรมลูกหนี้ ธ.ก.ส. ในหลักสูตรสัจธรรมชีวิต เรามักได้ยินคำที่เราเคยได้ยินอยู่บ่อยๆที่ว่า "จะปลูกพืช ต้องเตรียมดิน จะกินต้องเตรียมอาหาร จะพัฒนาการต้องพัฒนาคน จะพัฒนาคนต้องพัฒนาจิต จะพัฒนาอะไรก็ติด ถ้าจิตไม่พัฒนา"

กิจกรรม ๕ ส. ที่เรานำมาใช้ ส่วนใหญ่มุ่งไปทางวัตถุสิ่งของ เอกสาร สถานที่และการทำงานเป็นลำดับ มีอยู่สิ่งหนึ่ง ที่น่า จะนำมา ใช้พัฒนาก่อนเรื่องอื่นๆ ด้วยซ้ำไป นั่นคือ การพัฒนาตนเอง ดังคำพูด ที่เราได้ยินอยู่บ่อยๆ ไหนๆ เราก็ใช้กิจกรรม ๕ ส.จัดการกับสิ่งต่างๆ รอบข้างอยู่แล้ว หากใช้กับกาย วาจา และจิตใจตนเองดูบ้าง ก็จะช่วยให้เรา มีประสิทธิภาพ และ ช่วยให้เรา ทำกิจกรรม ๕ ส. ตลอดกิจกรรมทุกอย่าง ได้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ซึ่ง ๕ ส.ที่จะนำมาพัฒนาตนเอง ก็คือ
สะสาง ต้องหมั่นแยกแยะเรื่องที่คิด กิจที่ทำ คำที่พูด ถูกควร หรือไม่ถูกไม่ควร ออกจากกันให้ชัด แล้วนำมาทำ พูด คิด เฉพาะที่ถูก ที่ควรเท่านั้น

สะดวก เมื่อสะสางแล้ว จะทำ พูด คิดอะไรก็ง่ายขึ้น ไม่ต้องเกรงว่าจะเสียหายและผิดพลาด ทั้งไม่เบียดเบียนตนเอง และ ผู้อื่นด้วย

สะอาด คอยตรวจสอบพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์สะอาดอยู่เสมอ

สุขลักษณะ เมื่อปฏิบัติ ๓ ส.แรกดีแล้วสุขภาพจิตและสุขภาพกายก็จะดีไปด้วย มีความสุขทุกกาลเวลาและสถานที่

สร้างนิสัย พยายามปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอเนืองๆ จนเกิดความเคยชิน เห็นการกระทำดี เป็นเรื่องง่าย และรักที่จะทำดี ตลอดไป.

แก้วมูล เภตรา รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ปฏิทินงานอโศก

งานตลาดอาริยะปีใหม่ อโศก'๔๕ ณ หมู่บ้านราชธานีอโศก วันที่ ๒๙ธ.ค.๔๕ - ๑ ม.ค.๔๖
งานฉลองหนาวธรรมชาติอโศก ณ ชุมชนภูผาฟ้าน้ำ ศุกร์ที่ ๒๔- ๒๒ ก.พ. ๔๖
งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ณ พุทธสถานศาลีอโศก วันที่ ๑๖-๒๒ ก.พ. ๔๖
งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก วันที่ ๖-๑๒ เม.ย. ๔๖


เสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์ เพิ่มพูนเมตตาให้จิตใจ
ด้วยอาหารมังสวิรัติ

ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย

จำหน่ายอาหารมังสวิรัติเพื่อสุขภาพ ด้วยอุดมการณ์บุญนิยม

สาขาสันติอโศก ๖๗/๔๘-๔๘ ถ.นวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. โทร. ๐-๒๗๓๓-๔๐๒๕ กด ๐ ต่อ ๑๖๔

สาขาสวนจตุจักร ๕๘๐-๕๙๒ ถ.ย่านพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ๑๐๙๐๐ โทร. ๐-๒๗๒-๔๒๘๒

สาขาเชียงใหม่ ๔๒ ถ.มหิดล ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โทร. ๐-๕๓๒๗-๑๒๖๒

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


แจกยิ้ม
ไร้สารพิษ

บ่ายของวันอาทิตย์วันหนหึ่ง ที่บจ.พลังบุญ ลูกค้ากำลังเดินซื้อของกันอย่างขวักไขว่ หญิงสาวคนหนหึ่งเินเข้ามากับเพื่อนได้ถามหาซื้อข้าวไร้สารพิษ ผู้ขายได้ชี้ไปที่กระสอบข้าวหลายกระสอบที่วางเรียงรายอยู่ เธอจึงเดินไปยังที่นั้น ก้มๆเงยๆอยู่สักครู่หนึ่ง ก็เดินย้อนกลับมาหาแล้วเอ่ยปากถามผู้ขายว่า

ลูกค้า : ๑ ไหนว่าไร้สารพิษไงล่ะ
ผู้ขาย : ข้าวเราไร้สารพิษจริงๆค่ะ
ลูกค้า๑ : ไร้สารพิษอุไร แมลงเต็มไปหมด
ผู้ขาย : ???

ลูกค้า๒ : ข้าวไร้สารพิษ แต่ไม่ได้ไร้แมลงไงคะ

ลูกค้า๑ : !!!

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ขอส่งข่าวถึงกลุ่มญาติธรรม ที่ประสงค์จะร่วมแสดงสาระบันเทิงในงานปีใหม่ตลาดอาริยะ'๔๖ ที่ชุมชนราชธานีอโศก ขอให้ท่าน แจ้งความประสงค์ได้ ที่สมณะฟ้าไท สมชาติโก โทร.๐-๔๕๓๑-๘๐๗๑-๓ หรือ สิกขมาตุผาแก้ว ชาวหินฟ้า โทร.๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐

ขอความกรุณาแจ้งล่วงหน้า ๑ อาทิตย์ ไม่เช่นนั้นจะไม่รับพิจารณา

กำหนดเวลาการแสดง
หากเป็นพุทธสถานให้เวลาไม่เกิน ๒๕ นาที
สังฆสถานเวลาไม่เกิน ๒๐ นาที
กลุ่มต่างๆ ๑๕ นาที
ศิลปินเดี่ยว ๕ นาที
อนึ่งการแสดงทุกชุดจะต้องไม่แต่งหน้าทาปากและมีบทเล่นเป็นกะเทย รวมถึงต้องแสดงให้คณะกรรมการเซ็นเซ่อร์ ก่อนการแสดงจริง

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ชื่อ นางพวงนาค(พวงข้าว) น้อยโสภา
เกิด ๑๓ มิ.ย.๒๔๗๒ อายุ ๗๓ ปี
ภูมิลำเนา บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
การศึกษา ม.๓
สถานภาพ ม่าย บุตร ๔ คน
ส่วนสูง ๑๕๕ ซ.ม.
น้ำหนัก ๔๐ กก.

คุณป้าพวงข้าวเป็นญาติธรรมกลุ่มเพื่อนบุญอโศก ชีวิตของป้าเป็นตัวอย่างของความเรียบง่าย ขยัน ประหยัด นอกจากนี้โชคดีมีลูกชายมาบวชเป็นสมณะชาวอโศกอีกด้วยค่ะ

ชีวิตเรือจ้าง
มีพี่น้อง ๔ คน ป้าเป็นพี่คนโต น้องเสียชีวิตไป ๑ คน พ่อเป็นครู แล้วลาออกมาทำนา พ่อเป็นคนขยัน สนับสนุนให้ป้าเรียน จบ ม.๓ ก็ทำงานเป็นครูอยู่ที่ ร.ร.วัดจันทาราม อยู่ที่โรงเรียนนี้ถึง ๓๘ ปี ตั้งแต่อายุ ๑๕ ปี จนถึง ๔๕ ปีแล้วลาออก เพราะป่วย เป็นโรคความดันโลหิตสูง

แต่งงานตอนอายุ ๒๐ ปีกับครูที่สอนอยู่ที่นี่ เขาแก่กว่าป้า ๕ ปี แต่งงานแล้วมีลูก ๔ คน (ชาย ๓ คน หญิง ๑ คน) พ่อบ้าน เป็นคนดีมาก เสียชีวิตไป ๒๐ ปีแล้ว ด้วยโรคเบาหวาน

ตัวอย่างที่ดี
สมัยเป็นครูชอบปลูกต้นไม้ กล้วยนี่ปลูกไว้เยอะ ผักก็ปลูก ไม่ต้องฉีดยา เสาร์-อาทิตย์ก็เก็บผัก-ใบตอง หาบไปขาย ที่นครปฐม เงินที่ขายได้ ก็เอาใส่กระปุกออมสินให้ลูกๆแต่ละคน ทั้ง ๔ คน พวกเขาไม่รู้หรอก เก็บได้ประมาณ ๕ หมื่นบาท คิดดูซิ เงินสมัยนั้นนะ เอาเงินนี้แหละ ส่งให้เขาเรียนกัน ป้าไม่เคยเป็นหนี้ใครเลย มีแต่คนมาขอยืม เสื้อผ้าลูกๆ ก็ไม่ต้องซื้อ เอาของเก่าๆบ้าง ขากางเกงของพ่อเขาบ้าง ที่หัวเข่าขาด ป้าก็ตัดขาออก มาเย็บเป็นกางเกงลูกได้อีกตัว

อภิชาตบุตร
รู้จักอโศกเพราะลูกชายคนที่ ๓ พามาที่ปฐมอโศก ในปี ๒๕๓๒ แล้วเริ่มปฏิบัติธรรมกัน ตอนแรก ก็ยังกินไข่อยู่ ต่อมาก็เลิก ช่วยขาย อาหารมังสวิรัติ อยู่กับกลุ่มเพื่อนบุญ ต่อมาลูกชายก็บวช ฉายา สมณะนาไท อิสสรชโน ตอนเล็ก ท่านเลี้ยงง่ายมาก พอหิว ก็ร้องขึ้นมาหน่อยว่าอ๊อดๆ กินอิ่มก็หลับ เลยตั้งชื่อเล่นว่า อ๊อด เป็นเด็กเรียบร้อย บวชใหม่ๆ ท่านอยู่ปฐมอโศก ป้าก็มาอยู่ด้วย บวชแล้วท่านไม่มาดูแม่เลย ตอนนั้นทำใจไม่ได้ ตอนหลัง ถึงเข้าใจว่า ท่านต้องญาติปริวัตตังปหายะ วันนี้ ดีใจมาก ที่ท่านบวช ป้าก็ได้เกาะชายผ้าเหลือง ได้ปฏิบัติธรรม ท่านไปเข้าพรรษาที่ไหน ป้าก็ตามไปเข้าพรรษาด้วย เมื่อก่อน ไปราชธานีฯ ปีนี้ก็อยู่ปฐมอโศก

แดนโลกุตระ
อยู่วัดมีความสุขกว่าอยู่บ้าน ตอนนี้ทุกวันเสาร์กลับไปเก็บผักที่ปลูกไว้ที่บ้านเอามาขายที่ตลาดนัดไร้สารพิษที่ปฐมฯ สนุกมาก ปลูกไว้เยอะแยะเลย ลูกชายที่เขาอยู่ที่บ้าน คอยรดน้ำให้

เมื่อก่อนป่วย ๓ โรค เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน และ โคเลสเตอรอล พอมากินมังสวิรัติแล้วหายไป ๒ โรค เหลือแต่โรค ความดันฯ แต่ก็เป็นไม่มากแล้ว อย่าเหนื่อยมาก ก็ไม่เป็นอะไร

ไม่กลัวตาย หากตายก็เผาที่ปฐมฯนี่แหละ มีลูกหลานก็ไม่ผูกพัน ให้พ่อแม่เขาดูแลไป สมบัติก็ยกให้ลูกหมดเกลี้ยง ไม่ห่วง อะไรแล้ว

ฝากทุกคน
ความประหยัด เป็นความประเสริฐ อย่าไปสุรุ่ยสุร่าย คนเขานับหน้าถือตา เป็นทีพึ่งของผู้อื่นได้ แล้วจะมีความสุข

ความประณีต-ประหยัด พ่อท่านก็พยายามบอกพวกเรา ใครปฏิบัติได้ก็จะถึงพร้อมด้วยประโยชน์ตน และ ประโยชน์ท่าน ช่วยศาสนาด้วย วันนี้คุณประณีต-ประหยัด แล้วหรือยัง?

บุญนำพา รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

รู้เขา รู้เรา
ล้างมือด้วยสบู่

สหประชาชาติจะเริ่มรณรงค์ยกย่องสบู่ ด้วยเชื่อว่าจะช่วยรักษาชีวิตคน ตามชาติพัฒนาทั่วโลก เอาไว้ได้ปีหนึ่งๆ เป็นเรือนล้าน ขอให้รู้จักใช้สบู่ล้างมือ รักษาความสะอาดเท่านั้น

วิทยาลัยสาธารณสุขและโรคเมืองร้อนของอังกฤษ ได้ศึกษาวิจัยพบว่า ถ้าหากคนทั่วโลก รู้จักล้างมือให้สะอาด จะช่วยถนอม ชีวิตมนุษย์ ไม่ให้ต้องเสียชีวิต ก่อนวัยอันควร ด้วยโรคอันเนื่องมาจากอุจจาระร่วง ลงได้ตั้งครึ่งค่อนทันที ทุกวันนี้ โรคท้องร่วง ได้คร่าชีวิตเด็กทารก ลงมากยิ่งเสียกว่าโรคเอดส์ หรือไข้จับสั่น เฉลี่ยชั่วโมงละ ๒๐๐ คน แม้ว่าจะมีสบู่ กันอยู่เกือบทุกบ้าน อยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยใช้ล้างมือ ทำความสะอาดกัน หลังจากเพิ่งเสร็จมาจาก อาบน้ำเด็กตัวสกปรก มอมแมมมาหมาดๆ หรือ หลังจากเข้าห้องน้ำ

โครงการน้ำเพื่ออนามัยแห่งสหประชาชาติ จะได้ร่วมกับธนาคารโลก และนักวิจัยของวิทยาลัย จะร่วมกันรณรงค์ ให้ประชาชน ใช้สบู่ล้างมือ รักษาความสะสอาด อย่างทั่วถึง หัวหน้านักวิจัยของวิทยาลัย ดร.วัลเคอติส กล่าวว่า "การล้างมือด้วยสบู่ ก็เหมือนกับ เราให้วัคซีนกับตัวเรานั่นเอง และควรจะทำกัน อย่างทั่วถึง เหมือนกับ การฉีดวัคซัน ถ้าอยากจะให้สถิติ การเสียชีวิต ด้วยโรคท้องร่วง ลดต่ำลง เหลือเพียงครึ่งเดียว

(จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ วันเสาร์ที่ ๗ ก.ย. ๒๕๔๕)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
๖๗/๑ ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ โทร.๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ ๑,๕๐๐ ฉบับ

www.asoke.info

[กลับหน้าสารบัญข่าว]