ฉบับที่ 202 ปักษ์แรก 1-15 มีนาคม 2546

[01] บทนำข่าวอโศก: เพื่อลูกทุกคน
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "ทิศทางของพระอริยะ... "
[03] สดจากปัจฉาสมณะ:ระวัง!..จะตกรถด่วนขบวนสุดท้าย
[04] จับกระแส ตอ. เครื่องซีลสูญญากาศ : การลงทุนที่คุ้มค่า
[05] กสิกรรมธรรมชาติที่บ้านสันทราย
[06] โครงการโรงเรียนวิถีพุทธ
[07] บุญญาวุธหมายเลข ๔ ค่ายสุขภาพ ๗ อ. ครั้งที่ ๑ ณ สวนส่างฝัน จ.อำนาจเจริญ
[08] บ้านแสนสุขภาพดี มีบุญนิยม (ตอน ๑)
[09] ดร.สุธารทิพและคณะจาก ม.มหิดล สาธิตการทำไบโอดีเซล ช่วยลดควันดำ
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] ญาติธรรมรวมใจไทเลย สามัคคีเข้าคอร์สมหัศจรรย์ที่ อ.วังสะพุง ประสานน้ำใจให้เป็นหนึ่ง:
[12]
:น้ำใจลูกค้า
[13] องค์กรภาครัฐและเอกชน ร่วมประชุมสภาเกษตรฯ ณ พุทธสถานสันติอโศก
[14]กำหนดการอบรม ยุวพุทธทายาท ครั้งที่ ๒ ณ ชุมชนสันติอโศก ๑๖-๒๐ เมษายน ๒๕๔๖
[15] :ชายงามรายปักษ์ หนึ่งเดียว ชาวหินฟ้า



เพื่อลูกทุกคน

ในอีกไม่นาน เราจะได้มีโอกาสพบกับศิษย์เก่าสัมมาสิกขาทุกรุ่น ในวันที่ ๓-๕ พ.ค.๔๖ ที่ราชธานีอโศก ตามที่พ่อท่าน ได้มีดำริ จัดงาน "คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำสัมมาสิกขา"

ศิษย์เก่าที่มาก็นับตั้งแต่รุ่นแรก กศน.กลุ่มสัมมาสิกขา ซึ่งบางคนก็มีครอบครัวไปแล้ว

ทั้งนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกๆได้มีโอกาสมาพบพ่อท่าน ซึ่งศิษย์เก่าแต่ละคนที่มาก็จะได้รับของที่ระลึก ที่คิดว่า ลูกๆทุกคน ที่มาร่วมงาน หากได้รับก็จะรู้สึกประทับใจ

นี่เป็นการแสดงธรรมอีกลักษณะหนึ่ง ที่จะช่วยกระตุ้นจิตสำนึกของลูกๆให้เกิดสารณียธรรม ที่นับวัน จะหาได้ยาก ในสังคม ที่กำลังเติบโต ทางวัตถุ เช่นในทุกวันนี้.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ธรรมะพ่อท่าน (๑๔)

ทิศทางของพระอริยะ...

โดยทั่วไปเข้าใจเอาว่า พระอาริยะต้องใช้ชีวิตอยู่สงบตามป่าเขาและถ้ำ กลายเป็นฤาษีชีไพรไปเลย

แท้จริงแล้วพระอาริยะของพุทธเป็นผู้ขยัน ช่วยเหลือปวงชน ช่วยสังคมอยู่กับโลกอย่างไม่เปื้อนโลกีย์

เมื่อท่านทำตน พ้นทุกข์ได้แล้ว ก็ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์บ้างเช่นกัน

ด้วยเหตุพระอรหันต์ ตั้งจิตบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์อยู่เช่นนี้ ทำให้ศาสนาพุทธ มีการสืบต่อเป็นวัฏฏะ อย่างไม่สิ้นสุด เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป วนเวียนอยู่เช่นนี้นิจนิรันดร์

ใครจะเป็นพระพุทธเจ้า?...
สรรพสิ่งมีมาแต่เหตุ-แน่นอน การเป็นพระพุทธเจ้าย่อมมีเหตุที่มาเฉกเช่นกัน

การจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ต้องสั่งสมภูมิธรรมมาเป็นลำดับขั้น ใช้เวลายาวนานหลายภพหลายชาติ ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ สุดจะด้นเดาได้

สายเถรวาทเข้าใจว่า พระโพธิสัตว์นั้นเป็นปุถุชน ที่ตั้งใจบำเพ็ญเพียรสั่งสมบุญบารมีจนได้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งฟังแล้ว ออกจะไม่สมเหตุผล เท่าใดนัก เพราะเป็นการกระโดดข้ามขั้นอย่างมากโขทีเดียว และภูมิปุถุชน กับภูมิระดับ พระพุทธเจ้า ก็ห่างไกลกัน หลายขุม เป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อมต่อกันติด

แท้จริงต้องเลื่อนภูมิธรรมขึ้นไปเป็นลำดับขั้น จากปุถุชนเป็นอาริยะ... เป็นอรหันต์.. เป็นพระโพธิสัตว์... เป็นพระปัจเจก พุทธเจ้า... และถึงจะเป็น พระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า

บ้างก็คิดว่าเป็นพระอรหันต์ต้องปรินิพพานดับสูญ มิอาจต่อภูมิขึ้นไป เป็นพระพุทธเจ้าได้... นี่ก็เข้าใจผิดไปอีกทาง เพราะใน ความเป็นจริง พระอรหันต์ เป็นผู้อยู่เหนืออัตตา ท่านสามารถกำหนดได้ว่า จะต่อภูมิ หรือจะตัดภพ จบชาติ ปรินิพพาน ตามแต่สะดวกใจ ท่านเลือกเอง และโดยมาก เลือกที่จะต่อภูมิ เป็นพระโพธิสัตว์ แต่น้อยนัก ที่จะเพียรบำเพ็ญไป จนถึง ภูมิระดับ พระพุทธเจ้า โดยมาก จะปรินิพพานเสีย ระหว่างทาง.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

สดจากปัจฉาสมณะ
ระวัง!..จะตกรถด่วนขบวนสุดท้าย

งานพุทธาฯที่ผ่านมาพ่อท่านแจก"หนวด" สำหรับผู้ที่ไปงานไหนๆก็มักทำตัวเป็น"แขก"ดูดายไม่ขวนขวายช่วยงานใดๆ กลับมาที่ สันติอโศก พ่อท่านเทศน์แจก"กระดอง" กับผู้ไม่ขวนขวาย พัฒนาตนเองต่อ แถมฝากทิ้งท้ายว่า ต่อไปอาจจะแจก "กระบอง" ใครอยากได้ก่อน ก็ไปขอได้เลยเด้อ ผู้เขียนขอสละ ไม่แย่งใครดีกว่า

ไม่กี่วันที่ผ่านมาผู้เขียนได้รับจม.น้อย จากผู้ใช้นามปากกาว่า "คนเคยคิดผิดจึงเกือบพลาดโอกาสที่ดี" เธอเล่าว่าเป็นผู้ที่ชอบรับ ชอบเก็บหนังสือ ของอโศกมาก แต่ไม่ค่อยชอบอ่าน หลังปีใหม่แล้ว เธอได้อ่านคอลัมน์นี้ ทำให้เธอตั้งใจว่า จะเร่งฝึกตน ทั้งเรื่องการกิน และจะร่วมสมทบทุนงาน "โรงบุญ๕ธันวาฯ" และ "ตลาดอาริยะ" แม้เธอจะมีรายได้น้อย เธอก็ตั้งใจว่า ตั้งแต่ต้นปี ๔๖นี้ ตั้งกองบุญ๓กอง โดยจะหยอดกระปุก วันละ๑๕ บาท

๑.กองบุญ๕ธันวาฯ เก็บวันละ๕บาทเป็นเวลา๑ปีเป็นเงิน๑๘๐๐บาท
๒.กองบุญตลาดอาริยะ เก็บวันละ๕บาทเป็นเวลา๑ปีเป็นเงิน๑๘๐๐บาท
๓.ช่วยงานเผยแพร่เท็ปธรรมะ โครงการศีล๕ศีล๘ เก็บวันละ๕บาท ต่อเดือนเป็นเงิน๑๕๐บาท จนถึงสิ้นปี

นี่ก็เป็นตัวอย่างดีๆที่พยายามฝึกตนตามฐานเพื่อที่จะไม่ต้องรับ แจก"หนวด","กระดอง" หรือ "กระบอง" สาธุ!หลายๆเด้อ ที่นำมาเขียนลงในที่นี้ ก็ด้วยเห็นว่า เป็นตัวอย่างที่น่าเผยแพร่ เผื่อจะมีใครได้ฉุกคิด นำไปทำตามบ้าง เรื่องดีๆ ที่น่าประทับใจ อย่างนี้ เธอผู้เป็นต้นคิดต้นทำ คงไม่สงวนลิขสิทธิ์ดอกนะ

ได้ฟังพวกเราพูดกันบ่อยว่าเป็นห่วงสุขภาพพ่อท่านจังแต่เชื่อไหมผู้ที่บอกว่าห่วงยังงั้นยังงี้ก็มักจะหางาน มาให้พ่อท่าน อยู่เรื่อย บางที ก็ข้ามขั้น การบริหารปกครอง แทนที่จะปรึกษาสมณะ หรือผู้ใหญ่ในชุมชนนั้นๆ ให้ช่วยคิด แล้วตัดสินกันมาก่อน

หากยังไม่กระจ่างชัดยังไงก็ค่อยปรึกษาพ่อท่านเป็นที่สุดก็ควรแล้ว... บ้างก็ยังใหม่กำลัง"ไฟแรง" ไปจัดรายการวิทยุ ร่วมกับ คนนอก แล้วก็โทร.มาบอก ขอให้ช่วยฟัง และช่วยวิจารณ์ให้ด้วย ... บ้างก็นิมนต์ให้ช่วยไปเยี่ยมคนป่วยหน่อย... บ้างก็นิมนต์ ให้ไปเทศน์ ในงานที่ชุมชนตนจัด... บ้าง ก็ขอปรึกษาปัญหาส่วนตัว... บางทีก็เป็นเรื่องความขัดแย้ง ในการทำงาน หรือขัดแย้ง ในจริตนิสัย ของการอยู่ร่วมกัน นี่ยังไม่นับเรื่องจิปาถะอื่นๆสารพัดจำไม่หวาดไหว รวมถึงการตั้งชื่อ และการขอเปลี่ยนชื่อ ที่ตั้งให้แล้ว เป็นครั้งที่สองบ้าง สามบ้าง สี่ก็ยังเคยมีเลย ของบรรดาหนูน้อย ลูกอโศกทั้งหลาย ที่มีความไม่นิ่ง เปลี่ยนแปลงง่าย เป็นธรรมดา

วันก่อนขณะประชุมชุมชนสันติอโศกมีน้องสาวของญาติธรรมคนหนึ่ง ซึ่งมีอาการผิดปกติทางจิตมานาน ผ่านมา ก้มลงกราบ พ่อท่าน แล้วพูดแทรกขึ้นว่า "หนูจับผีได้แล้ว ผีคือกิเลสในตัวเรา รางวัล๕ล้านบาท ที่พ่อท่านประกาศให้ หนูขอบริจาค ทำบุญ สร้างพระวิหารค่ะ" กราบแล้วจากไป คนลักษณะนี้ ไม่อยู่ในฐานะที่จะแจกทั้ง"หนวด","กระดอง" หรือ "กระบอง"ใดๆ ต้องยกไว้ แต่เธอก็พูด ให้คนปกติได้คิดนะ แม้เธอจะดูติ๊งต๊อง แต่ก็ติ๊งต๊องอย่างอโศกนะ คือมีสาระแฝงงัย !

เมื่อพ่อท่านเป็นศูนย์รวมใจของลูกๆที่มีคนหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละคนก็มีเรื่องที่กำหนดสำคัญ แตกต่างกันไป ทั้งต่าง ก็อยากให้ พ่อท่านรับรู้ ... "ไม่เป็นไรน่ะนานๆที ฉันจึงจะมา" เมื่อหลายคนคิดอย่างนี้ เรื่องต่างๆที่มาจึงมาก ดีที่หลายคน ก็ปรึกษา ไถ่ถามมาก่อนว่า พ่อท่านตอนนี้ เป็นอย่างไร? สะดวกไหมที่จะคุยเวลาไหนดี ? มีบ้างที่คิดสำคัญอะไร ขึ้นมาแล้ว ก็พุ่งตรง เข้าหาพ่อท่านเลย ขณะที่พ่อท่าน ก็มีงานเขียนเร่งๆอยู่ นับเป็นเรื่องยากใจมาก สำหรับผู้เขียน ที่จะใช้คำพูดอย่างไร ที่ทำให้เขาเข้าใจ โดยไม่เสียความรู้สึกว่า ปัจฉาฯกีดกัน ไม่เห็นว่า เรื่องของเขาสำคัญ

อย่าว่าแต่เรื่องงานเลย แม้เรื่องหยูกยาหรือการดูแลรักษาสุขภาพ ใครไปได้อะไรมาดีๆ ก็อยากจะให้พ่อท่านได้ใช้ ได้ทำ เช่นตนบ้าง บางทีฝ่ายที่ดูแลสุขภาพอยู่ประจำไม่เห็นด้วย ก็ลำบากด้วยกันทั้งสองฝ่าย ปัจฉาฯเอง ก็พลอยฟ้าพลอยฝน ยากลำบากใจไปด้วย ไม่ว่าจะ "กัน" หรือ "ปล่อย" ก็คงจะมีคนไม่ถูกใจทั้งขึ้นทั้งล่อง

สองวันก่อน(๗-๘มี.ค.)พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้ไปพบหมอถึงสองโรงพยาบาล เพื่อตรวจรักษาอาการไอ ในช่วงที่ผ่านมานี้ "ไอมาก" โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งหมอทั้งสอง ก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติร้ายแรง แม้จะเอ็กซเรย์ "ปอด" และ "โพรงจมูก" แล้วก็ตาม พบเพียงรอยจุดแผลเป็นเล็กๆที่ปอด แต่ก็ไม่น่าตกใจอะไร เพราะเคยพบมาก่อนแล้ว โดยหมอสันนิษฐานว่า พ่อท่าน อาจจะรับเชื้อมา แต่ร่างกาย มีภูมิคุ้มกันพอ จึงทำให้ไม่มีอาการใดๆ เมื่อสืบประวัติดูพบว่า โยมแม่ของพ่อท่าน เสียชีวิตด้วย "วัณโรค" จึงเป็นไปได้ว่า อาจจะรับเชื้อ มาจากโยมแม่ หมอตรวจดูอย่างละเอียด ทั้งหู-คอ-จมูกทุกอย่าง ยังปกติ จึงได้แต่ สันนิษฐานว่า พ่อท่านจะต้องแพ้อะไร สักอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น -ละออง -เชื้อรา -ไร ฯลฯ จึงทำให้เกิด การระคายแล้วไอ

ขณะที่สุขภาพมีอาการเสื่อมบ้าง ตามวัย๖๙ แต่งานทั้งภายในและนอก นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งขอให้เขียนลงคอลัมน์ นสพ.เส้นทางธุรกิจ... ทั้งขอสัมภาษณ์ ออกรายการวิทยุสด... ทั้งเชิญไปร่วมสัมมนา เกี่ยวกับนโยบาย ปราบยาเสพติด ของรัฐบาล... รวมถึงกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ก็สนใจชุมชนชาวอโศก ที่มีวิถีชีวิต เป็นอีกอย่างหนึ่ง ต่างจากสังคมกระแสหลัก เป็นทางเลือกหนึ่ง ที่น่าเรียนรู้ และส่งเสริม วันที่๑๐มี.ค.นี้ ก็จะมีการประชุม สภาเกษตร อินทรีย์แห่งชาติ ที่สันติอโศก นับเป็นความพยายามของหลายฝ่าย ที่จะผลักดันให้ชาวไร่ชาวนา ละทิ้งสารเคมี หันมาใช้ ปุ๋ยอินทรีย์แทน ได้อย่างมั่นคง โดยมีองค์กรเอกชน และเครือข่ายอื่น รวมถึงหน่วยงานของรัฐ ที่ส่งเสริมเรื่องนี้ เข้ามาร่วม ซึ่งทั้งหมด เห็นสอดคล้องกัน ยกให้องค์กรชาวอโศก เป็นหัวหอกนำ ด้วยเห็นว่า กลุ่มชาวอโศกทำอยู่แล้ว และมีมวล ที่เป็นปึกแผ่นกว่า

ข้างต้นที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นงานจากภายนอก ที่เข้ามาประสานสัมพันธ์ด้วย นั่นคืองานมากขึ้นแน่!

ทำอย่างไร? ชาวอโศกทุกฐานะ จะลดละความเป็น "ลา" (หลงเหยื่อล่อของโลกีย์), ลดละความเป็น"ยอดตาล" (หลงสูง หลงใหญ่ ทำงานติดดินไม่ได้) รวมถึง ลดละความเป็น "แขก" เมื่อไปร่วมงานต่างๆ ก็ควรเอาภาระ รับผิดชอบ ช่วยงานบ้าง พ่อท่าน จะได้ไม่เสียเวลา ไล่แจก "หนวด" หรือถ้าฟังอย่างนี้แล้ว ยังทำตัวเหมือนเดิม ไม่ขยับเขยื้อน เปลี่ยนแปลงใดๆ สักวันหนึ่ง คงได้รับ"กระบอง"จากพ่อท่านแน่ หากได้รับ "กระบอง"แล้ว ก็ยังติดแป้นแช่อิ่ม ดองเค็มอยู่เช่นเคย คราวนี้ ก็คงถูกทิ้ง ตกรถด่วน ขบวนสุดท้าย เป็นแน่แท้

ที่สำคัญ ทุกคนต้อง"มองตน" เห็นข้อบกพร่องของตน แล้วแก้ไข อย่ามัวแต่เพ่งจับผิดผู้อื่น โทษว่าในข้อบกพร่อง ของผู้อื่น ... คนโน้น ยังมีความเป็น"ลา" อยู่เยอะนะ... ยัยคนนั้นชอบอยู่แต่"ยอดตาล"เหรอ ...นายคนนี้ ก็น่าจะติด"หนวด" ให้เขามั่งนะ... อะไรอย่างนี้ ก็คงทะเลาะกัน ไม่เสร็จแน่ เคล็ดวิชา "มองตน" นี้ เป็นหนึ่งในวิชา ที่ผู้ผ่านการเข้าคอร์สมหัศจรรย์ ที่ภูผาฟ้าน้ำ มาแล้ว จะรู้ดี เพราะท่านอาจารย์ ๑ ย้ำเป็นสำคัญ เขียนอย่างนี้ ผู้เขียนก็ยังไม่ลืม"มองตน" ดอกนะ เพราะเมื่อ "ตักน้ำ ใส่กระโหลก ชะโงกดูเงา" ทั้ง... "ลา".. "หนวด".. "ยอดตาล".. "กระดอง" เพียบเลย! แต่ถึงอย่างไร ก็ยังขอเกาะท้าย ขบวนรถด่วน ไปด้วยคนน่ะ แม้จะถึงทีหลังใคร ก็ยังดีกว่า ตกขบวน... จริงมั้ย

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เครื่องซีลสูญญากาศ : การลงทุนที่คุ้มค่า

สารพิษอะฟลาท็อกซินจากเชื้อราเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกในประเทศร้อนชื้นแบบบ้านเรา โดยเฉพาะ ในสังคมนักมังสวิรัติ แบบชาวอโศก หรือผู้นิยมบริโภคอาหาร แนวธรรมชาติ ประเภทข้าวกล้อง ถั่ว งา และธัญพืชต่างๆ ที่เป็นอาหาร ที่อุดม ด้วยวิตามิน และเสี่ยงต่อเชื้อรา หากไม่ได้มีกระบวนการทำให้แห้ง และการเก็บรักษาที่ดีพอ ด้วยเหตุที่เป็นวัตถุดิบ ที่ซื้อขายกันเอง ในระหว่างเครือข่าย กสิกรรมไร้สารพิษ ไม่ได้ผ่านกระบวนการ ทางอุตสาหกรรม ที่อบฆ่าเชื้อ หรือฉาย กัมตภาพรังสี หรืออาบสารกันเชื้อรา หรือสารป้องกันแมลงอื่นๆ เพื่อการเก็บรักษาระยะยาว และการขนส่งระยะไกล

การซีลสูญญากาศจะเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่งในการป้องกันปัญหาดังกล่าว เนื่องจากใช้หลัก การดูดเอาอากาศ ออกจากถุง หรือ ภาชนะบรรจุ ออกทั้งหมด ให้อยู่ในภาวะสูญญากาศ และผนึกแน่น ไม่ให้มีอากาศ เข้าไปได้อีก ทำให้ไม่มีการเจริญเติบโต ของเชื้อจุลินทรีย์ และเชื้อรา นอกจากนี้การซีลสูญญากาศ ทำให้อาหารยังคงคุณสมบัติที่ดี อีกหลายประการ เช่น

* คงความสดใหม่ และคงรสชาติเดิมของอาหาร โดยยืดอายุของอาหารได้นานกว่า ๓-๕ เท่า
* เนื้ออาหารไม่เปลี่ยนแปลงเมื่ออยู่ในช่องแช่แข็งเพราะไม่ได้สัมผัสความเย็น หรืออากาศแห้งโดยตรง
* อาหารสดเปียกที่มีความชื้นจะไม่แห้งแข็งกระด้างเพราะไม่มีอากาศเข้าไปดูดความชื้นจากอาหารได้
* อาหารแห้งเช่นน้ำตาลสีรำ ไม่เกาะติดกันเป็นก้อน เพราะไม่ได้สัมผัสกับอากาศชื้น
* ไข่มอดหรือแมลงในธัญพืชต่างๆ ไม่สามารถเจริญเติบโตได้
* อาหารกรอบยังคงสภาพความกรอบ ไม่อ่อนนิ่ม
* อาหารที่มีไข หรือน้ำมัน จะไม่มีรสและกลิ่นหืน เพราะอากาศไม่สามารถเข้าไปทำปฏิกิริยากับน้ำมันได้

นอกจาก จะได้วัตถุดิบ หรืออาหาร ที่คงคุณสมบัติเดิม ที่ดีไว้ได้นานแล้ว ผู้บริโภค สามารถประหยัด ค่าใช้จ่ายได้ ในหลายทาง เช่น ไม่ต้องทิ้งอาหาร ที่เน่าเสียบ่อยๆ ประหยัดเวลา ไม่ต้องเดินทางไปซื้อบ่อยครั้ง หรือ ไม่ขาดแคลน ในฤดูกาล ที่ไม่มีผลผลิต เพราะสามารถ ซื้อได้จำนวนมาก โดยเก็บไว้ในอุณภูมิห้องปกติ โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น

ที่ศีรษะอโศก ใช้เครื่องซีลสูญญากาศ ขนาดใหญ่ (ราคากว่าแสนบาท) ซีลวัตถุดิบสมุนไพร ที่เก็บเกี่ยวได้ ในบางฤดูกาล เท่านั้น เก็บไว้ใช้แปรรูปเป็นยา และเครื่องดื่มสมุนไพรชง ตลอดทั้งปี ทำให้ได้สมุนไพรแห้ง ที่มีความใหม่ ปราศจากฝุ่น และแมลง

ราคาของเครื่องซีลสูญญากาศที่จำหน่ายทั่วไป มีตั้งแต่หลักหมื่น จนถึงหลักแสน ขึ้นอยู่กับขนาด และคุณสมบัติ ของการใช้งาน

ปัจจุบัน มีญาติธรรมของเรา (คุณเจ็ดแก้ว) ได้รับการอนุญาต จากอาจารย์บุญมี (สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้า ไทย-เยอรมัน) ซึ่งเป็นผู้พัฒนา เครื่องซีลสูญญากาศ ด้วยเทคโนโลยีแบบง่าย ราคาถูก สำหรับชุมชน ให้ประกอบเครื่องมือเอง โดยใช้ต้นทุน ประมาณ ๑๒,๐๐๐ บาท ใช้ซีลถุงพลาสติกได้ทั้งขนาด ๑กิโลกรัม และ ๕ กิโลกรัม

ร้านค้า หรือหน่วยผลิตใดสนใจ ให้ติดต่อขอรายละเอียดได้ที่ คุณตู้ สุขนึก โทร. ๐-๑๓๑๒-๘๓๓๘

ถือเป็นการลงทุน ที่คุ้มค่า หากท่านมีวิสัยทัศน์กว้างไกล


[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กสิกรรมธรรมชาติที่บ้านสันทราย
- ใบจริง -

๑ หมู่บ้าน ๑ ผลิตภัณฑ์ เป็นนโยบายของรัฐบาลยุคนี้ และในยุคนี้เช่นกัน หาก ๑ หมู่บ้าน ปลูกผักชนิดเดียว นำส่งขาย ให้ชมร.ช.ม. หมุนเวียนกันไป ก็คงจะดีแน่แท้

เนื้อที่ ๑ งานปลูกบ้านตรงกลาง จึงมีที่ดินรอบๆบ้านไม่มากนัก เพราะเนื้อที่เพียงน้อยนิด ดินก็แข็งแห้ง เหมือนดินตาย

ย้อนไปในอดีต จำได้ว่าวันที่ ๑๔ พ.ค.๔๔ ข้าพเจ้าได้ย้ายเข้ามาอยู่หมู่บ้านจัดสรรที่ อ.สันทราย ได้บำรุงดินด้วยปุ๋ยพืชสด จาก ชมร.ช.ม., แกลบจากโรงสี ลานนาอโศก และ ทำจุลินทรีย์ รดต้นไม้ด้วย

เวลาผ่านไป ๑ ปี ข้าพเจ้าไม่ได้ซื้อผักจากตลาดเลย ผักที่บ้านยังได้แบ่งเพื่อนบ้านและนำไปให้ ชมร.ช.ม. ก็หลายครั้ง ต้นไม ้และผัก ในสวนรอบบ้าน มีอย่างละ ๑ ต้น ๒ ต้น ส่วนมากเป็นผลไม้ยืนต้น เช่น มะพร้าว มะนาว มะม่วง มะกรูด มะยม มะขาม มะเฟือง กล้วย สะเดา ต้นยอ ชมพู่ ทับทิม ขนุน ฝรั่ง ส้มโอ ต้นแค นอกจากนั้น ก็เป็นผักสวนครัว เช่น ข่า ตะไคร้ สลัดญี่ปุ่น สลัดผักกาด คะน้า มะเขือพวง มะเขือเทศ มะเขือเปาะ ฟักทอง อ่อมแซบ โหระพา สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง ผักบุ้ง ต้นหอม อัญชัญ ใบเตย กระชาย ชะพลู บัวบก ต้นเข็ม มะละกอ หอมหัวใหญ่

เพื่อสุขภาพของเราและเพื่อประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน จึงขอเชิญชวนท่านญาติธรรม ที่ยังไม่เคยทดลอง ลงมือทำ กสิกรรม ธรรมชาติ ได้ทดลองดูนะคะ อย่างน้อยสักคนละ ๑-๒ กระถางก็ยังดี.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชาวอโศกร่วมประชุมปฏิบัติการจัดระบบการศึกษารูปแบบใหม่
"โครงการโรงเรียนวิถีพุทธ"

นำหลักพุทธศาสนา มาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน

ที่โรงแรมแกรนด์เดอวิลล์ วังบูรพา กรุงเทพมหานคร วันที่ ๒๖-๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ จัดโดยกระทรวงศึกษาธิการ

งานนี้ชาวอโศกได้รับเชิญในฐานะเป็นโรงเรียนที่ใช้พระพุทธศาสนาในการบริหารงานและจัดการศึกษา ผู้ที่ไปร่วมประชุม คือ สมณะฟ้าไท สมชาติโก อุบาสิการินธรรม อโศกตระกูล และคุณฟังฝน จังคศิริ โดยเขาต้องการเชิญครู ที่ปฏิบัติการจริง มาร่วมประชุมปฏิบัติการ

งานเริ่มเวลา ๐๙.๐๐ น. ของวันที่ ๒๖ ก.พ. โดยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดร.กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา

หลังจากนั้นเวลา ๐๙.๓๐-๑๐.๓๐ น. บรรยายเรื่อง การจัดการศึกษาแนวพุทธปัญญา โดยพระเทพโสภณ (ประยูร ธัมมจิตโต) ซึ่งท่านเป็นผู้เขียนหลักสูตร พระพุทธศาสนา ของนักเรียน ภาคบังคับ ๑๒ ปี และนำเสนอแนวทางโรงเรียนวิถีพุทธ ประกอบด้วย วุฒิธรรม ๔ คือ ๑.สัปปุริสสังเสวะ ๒.ธรรมสวนะ ๓.โยนิโสมนสิการ ๔.ธัมมานุธัมมปฏิปัตตติ

เวลา ๑๐.๐๐-๑๑.๑๕ น. โรงเรียนในกำกับของรัฐ บรรยายโดย เอกอัครราชฑูตสิงคโปร์ มีประสบการณ์ ๑๖ ปี เล่าประวัติ ความเป็นมา และปัญหาการ จัดการศึกษา ของประเทศสิงคโปร์

เวลา ๑๓.๐๐-๑๔.๐๐ น. สำนักพัฒนานวัตกรรมที่พึงประสงค์ โดย ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช เป็นสำนักใหม่ ในกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสนองตอบ การพัฒนาการศึกษา

เวลา ๑๔.๐๐-๑๕.๐๐ น. การพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กและเยาวชน โดย ศ.ดร.กฤษณพงษ์ กีรติกร บรรยายถึงที่เก่ง ด้านวิชาการเฉพาะ ซึ่งจะต้องเฟ้นหาให้ได้มากที่สุด และมีการคัดเลือก อย่างเข้มข้น

เวลา ๑๕.๐๐-๑๘.๐๐ น.และ ๑๙.๐๐-๒๑.๐๐ น. สรุปแนวคิดจากการบรรยายและนำเสนอทางการ ระดมความคิด ในการประชุม ๕ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ การจัดการศึกษาแนวพุทธปัญญา กลุ่มที่ ๒ โรงเรียนในกำกับของรัฐ กลุ่มที่ ๓ การจัดการศึกษา สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ กลุ่มที่ ๔ โรงเรียนสองภาษา กลุ่มที่ ๕ โรงเรียนเน้น ICT

ชาวอโศกอยู่กลุ่มการศึกษาแนวพุทธ ซึ่งมี อ.บุญนำ ทานสัมฤทธิ์ เป็นประธาน และ คุณสุนัย เศรษฐบุญสร้าง มาร่วม อยู่พักหนึ่ง ให้นำเสนอแต่ละแห่งว่า มีการปฏิบัติงานอย่างไร ชาวอโศกเอง ก็เสนอไป เต็มรูปแบบทีเดียว ประชุมกันถึง ๒๑.๐๐ น. เป็นกลุ่มสุดท้าย ที่เลิกการประชุม ซึ่งในเวลานั้น ท่านปลัดกระทรวงฯ ดร.กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ก็ยังมาเยี่ยมเยียน เป็นกำลังใจ กับผู้ทำงาน ในขณะที่พักประชุม ก็มีเจ้าหน้าที่ กระทรวงศึกษา สนใจมาคุยกับสมณะ และวันรุ่งขึ้น ก็ประชุมกันต่อ ซึ่งสรุปว่า โรงเรียนวิถีพุทธ เป็นดังนี้

ความหมาย คือ โรงเรียนที่นำหลักธรรมพระพุทธศาสนามาใช้ และประยุกต์ใช้ในการบริการ และพัฒนาผู้เรียน

ลักษณะสำคัญ
๑.ไม่มีอบายมุข (ดื่มสุรา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เกียจคร้าน คบมิตรชั่ว เล่นการพนัน)
๒.มีวินัยในโรงเรียน ในสังคม
๓.มีศีล ๕
๔.คุณค่าแท้ กิน-อยู่-ดู-ฟัง ด้วยปัญญาแบบพุทธ
๕.มีบูรณาการในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ในกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
๖.มีวัฒนธรรมการแสวงหาปัญญาและวัฒนธรรมเมตตา
๗.มีความสมัครใจ

สภาพความสำเร็จ
๑.โรงเรียนไม่มีอบายมุข
๒.ทุกคนอยู่ในบริบทและธรรมชาติ
๓.อยู่ในศีล ๕ ทุกคน
๔.สิ่งแวดล้อมเป็นไปเพื่อกากรพัฒนาศีล สมาธิ ปัญญา
๕.กิจกรรมการเรียนการสอนเอื้อต่อการศึกษาศีล สมาธิ ปัญญา
๖.เกิดวัฒนธรรมแสวงปัญญา
๗.เกิดวัฒนธรรมเมตตา
๘.ทุกคนมีความสุขและพอใจที่จะร่วมมกันพัฒนาต่อไป เป็นวิถีชีวิตในโรงเรียน (และที่บ้านพร้อมในสังคม -รมช.ดร.สิริกร มณีรินทร์ เพิ่มเติม ในส่วนนี้)

ยุทธศาสตร์การดำเนินงาน
มีคณะดำเนินงานเป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนนำร่อง แล้วแต่สมัครใจ มีความพร้อม เริ่มรับสมัครเดือน พฤษภาคม ๒๕๔๖

บรรยากาศนำเสนอ คณะครูที่ฟังหัวเราะครืนเขาบอกว่า มันหนักไปน่าจะเบากว่านี้จะได้ใช้ทุกโรงเรียน ซึ่งทางสมณะ ก็บอกว่า "ทุกวันนี้ อาตมาอยู่กับเด็ก ที่มีธรรมะ ก็อยู่ได้ดี อาตมาเห็นว่า เด็กที่ไม่มีคุณธรรมมากกว่า ที่เครียด และติดยาบ้า ซึ่งครู น่าจะคิด มากกว่า

โรงเรียนส่วนใหญ่เด็กติดยาบ้า ถ้าจะมีโรงเรียนที่มีศีลเคร่งสัก ๑ โรงเรียนถ่วงดุลเอาไว้ไม่ดีกว่าหรือ ถ้าไม่สามารถ เอาคุณธรรม เข้าไปในโรงเรียน ประเทศชาติคงล่มจม ไปไม่รอดแน่" เสียงครูตอบรับ และแสดงท่าทีเห็นด้วย

ก็หวังว่า โรงเรียนในประเทศไทย คงมีโรงเรียนที่มีศีลมากๆ ประเทศชาติจะได้ไม่ต้องฆ่าแกง ดังเช่นทุกวันนี้.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


บุญญาวุธหมายเลข ๔
ค่ายสุขภาพ ๗ อ. ครั้งที่ ๑
ณ สวนส่างฝัน จ.อำนาจเจริญ

จากที่พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ได้กำหนดเรื่อง สุขภาพ "บุญนิยม" เป็น "บุญญาวุธ หมายเลข ๔" ทำให้เกิด การตื่นตัวกัน ในหมู่ ชาวอโศก

"สวนส่างฝัน" ได้เห็นความสำคัญเรื่องสุขภาพบุญนิยม ๗ อ. จึงเข้าค่ายซ่อม, เสริม, สร้าง สำหรับปฏิบัติกรภายใน เพื่อให้รู้จัก วิธีการดูแล เรื่องสุขภาพ ด้วยตนเอง และช่วยเหลือคนใกล้เคียง

ในวันเข้าค่ายสุขภาพ ๗ อ. ครั้งนี้ มีหมอเขียวเป็นหัวเรือใหญ่ และได้เชิญคุณน้อมบูชา ไปเป็นปฏิบัติกร ผู้คักแน เป็นที่ปรึกษา และ ปฏิบัติการจริง พร้อมกับให้ความรู้ด้านสุขภาพอย่างดียิ่ง

ในการเข้าค่ายครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วม ๓๒ คน สมณะ ๑ รูป พระ ๑ รูป รวมเป็น ๓๔ ชีวิต

อาหารที่ใช้ในการเข้าค่ายครั้งนี้ มีแตงโมไร้สารพิษตลอดงาน ผัก ผลไม้ไร้สารพิษจากเครือข่าย คนละเล็กคนละน้อย รวมกันเป็น งานบุญแห่งสุขภาพ

ผลจากการเข้าค่ายอบรม บางคนบอกว่าเหมือนได้ร่างใหม่ ชีวิตใหม่ ในการเข้าค่ายอบรมครั้งนี้ มีญาติธรรม จากกลุ่ม เชียงรายอโศก และญาติธรรม จากวัดสวนธรรมร่วมใจ มาร่วมด้วย

ตารางการจัดเข้าค่ายสุขภาพ ๗ อ. (๕ วัน)
๐๕.๐๐-๐๗.๐๐ น. ออกกำลังกายตามธาตุ (บรรยาย และปฏิบัติ)
๐๗.๐๐-๑๐.๐๐ น. ล้างพิษจากลำไส้ชุดใหญ่ รับประทานน้ำชาข้าว และผลไม้สลับกันไป
๑๐.๐๐-๑๒.๐๐ น. ๓ วันแรก รับประทานอาหารล้างพิษตามธาตุ และฤดู (
๒ วันหลัง รับประทานอาหารบำรุงตามธาตุ และ ฤดู)
๑๒.๐๐-๑๕.๐๐ น. เอนกาย
๑๕.๐๐-๑๘.๐๐ น. ล้างพิษชุดเล็ก และบริการแพทย์ทางเลือก (อบสมุนไพร, ฝ่าควัน, จัดกระดูก ฯลฯ)
๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น. บรรยายและตอบคำถาม
๒๐.๐๐ น. เอนกาย

หมอเขียว ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ถึงแรงบันดาลใจในการจัดงานครั้งนี้ว่า :-

"สืบเนื่องจากพ่อท่านได้ประกาศสุขภาพบุญนิยมเป็นบุญญาวุธหมายเลข ๔ เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ แต่กำลัง ของพวกเรา ยังมีน้อย พ่อท่านจึงให้นโยบายเคี่ยวในก่อน ด้วยสำนึกในพระคุณ ของพ่อท่าน สมณะ นักบวชทุกฐานะ และ ญาติธรรม ชาวอโศก ที่ให้กำเนิดจิตวิญญาณ ใหม่ในเส้นทางธรรม อันจะนำชีวิตไปสู่โลกที่พ้นทุกข์โดยแท้ และ มีความรู้สึกว่า ชาวอโศก เป็นผู้ที่เสียสละ ทำงานที่ให้ประโยชน์ คุณค่าต่อสังคม น่าจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์ก่อน และ จะได้ช่วย คนอื่นต่อไป ผมได้ผ่านค่ายสุขภาพ ๗ อ. ที่โรงเรียนศูนย์ฝึกผู้นำ ค่ายธรรมชาติบำบัด ที่มาเลเซีย การศึกษา แนวแพทย์ ทางเลือก มา ๖ ปี และโดยเฉพาะการศึกษาเรียนรู้ และทดลองแพทย์ทางเลือก จากคุณน้อมบูชา ที่ปฐมอโศก ซึ่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ทางเลือก ของชาวอโศก ทำให้ได้พบวิธีที่ทำให้คนสุขภาพดีได้อย่างรวดเร็ว และทดลอง กับตนเอง พบว่า ทำให้สุขภาพดีขึ้น จากเดิม อย่างรวดเร็ว จึงเสนอข้อมูล ต่อที่ประชุม กลุ่มบุญค้ำบุญคูณ ซึ่งมีสวนส่างฝัน เป็นศูนย์กลาง กลุ่มจึงมีมติเห็นชอบ ให้จัดค่ายสุขภาพ ๗ อ. ของกลุ่มบุญค้ำบุญคูณ ณ สวนส่างฝัน จ.อำนาจเจริญ ในวันที่ ๖-๑๐ มี.ค. ๔๖ ซึ่งได้รับการอนุเคราะห์ จากคุณน้อมบูชา เสียสละเวลามาช่วยเหลือ ทางคณะ ต้องขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วย สำหรับผลการเข้าค่าย ทำให้สุขภาพทุกคนดีขึ้น เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก"

สำหรับความรู้สึกของผู้ที่มาร่วมเข้าค่าย อบรมมีดังนี้
อ.นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมคุณธรรมกสิกรรมไร้สารพิษ สวนส่างฝัน จ.อำนาจเจริญ "มีความรู้สึกว่า ชีวิตได้เกิดใหม่ จากการทนทุกข์ทรมาน มานานหลายปี จากอาการลืมตาไม่ขึ้น แสบตา เป็นต้อลม ตาแดง ขอบตาดำ คิ้วบวม หนังตกปรก จะลืมตาแต่ละครั้งหนังตาปรก น้ำมันเยิ้มบนศีรษะ และถ่ายไม่สะดวก เป็นโรคริดสีดวงทวาร พอหลังเข้าค่ายได้ ๓ วัน สารพิษ หมักหมม เป็นขยะ ที่อยู่ในลำไส้ เลือด ก้อนมูก เม็ดไขมันออกมามากมาย รู้สึกร่างกายโล่งสบาย การเข้าค่ายครั้งนี้ รู้สึกพอใจ อย่างยิ่ง เหมือนได้ชีวิตใหม่ ได้เกิดใหม่"

คุณดินหอม เป็นหนึ่งในพี่เลี้ยงอบรม แม่ครัว และผู้ดูแลผู้เข้ารับการอบรมทุกคน ให้สัมภาษณ์ว่า "การเข้าค่ายครั้งนี้ รู้สึกว่า ตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเป็นการจัดค่ายครั้งแรกของที่นี่ ทั้งการเตรียมงานและจัดสถานที่เข้าค่ายสนุกมาก มีญาติธรรม และ เด็กๆ มาร่วมกิจกรรม อย่างมากมาย ระหว่างอบรม เราก็มีหน้าที่ดูแล และจัดการการทำอาหาร นวดจัดกระดูก และต้มน้ำ ดีท็อกซ์ มีเหตุการณ์ ระหว่างการเข้าค่าย ๗ อ.นี้ ที่น่าตื่นเต้นมาก สำหรับทุกคน คือ อุจจาระของแต่ละคน ที่ถ่ายเป็นก้อนไขมัน เลือด เป็นเยื่อไม้ไผ่ เป็นวุ้น มูกเน่า หลายๆอย่าง แล้วแต่ละบุคคล และคิดว่า ญาติธรรมภายใน ที่ทำงานร่วมกัน มาเข้าค่าย ในครั้งนี้ จะได้ประโยชน์อย่างมากค่ะ"

สมณะดินไท ธานิโย จากราชธานีอโศก "ประทับใจที่เห็นพวกเราตื่นตัว เกี่ยวกับสุขภาพ เพราะว่าถ้าสุขภาพไม่ดี การทำงาน เราก็ไม่ดี งานเราก็ไม่ดีไปด้วย จากแต่ก่อน พวกเราหักโหมทำงานจนลืมดูแลสุขภาพของตนเอง การเข้าค่ายครั้งนี้ เป็นแบบ เรียบง่าย ประหยัด พึ่งตนเองตลอดการเข้าค่าย ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันตลอดงาน เชื่อว่าทิศทาง การเข้าค่ายสุขภาพ อย่างนี้ จะทำให้ชาวอโศกเรา ได้มีสุขภาพที่ดี ยั่งยืนยิ่งขึ้น การเข้าค่ายครั้งนี้ มีการล้างพิษ ออกกำลังกาย บริหารร่างกาย ฯลฯ และ เชื่อว่า สุขภาพของชาวอโศก จะแข็งแรงมั่นคงขึ้นไปเรื่อยๆ"

แม่สมไพร (สมนึก ห้องแซง) ญาติธรรมเก่าแก่ เป็นผู้ป่วยมะเร็งปอด ที่เข้าค่าย ๗ อ. ครั้งนี้ "ดีมากๆเลย ทำอะไรๆ ก็ดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การดีท็อกซ์ การทาน อาหาร ได้รับคำแนะนำดีๆ มีความเชื่อมั่นว่า ตัวเองจะหาย จากมะเร็ง ๑๐๐ % ค่ะ"

แม่สร้างธาร ญาติธรรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านม "รู้สึกดีมาก ในการเข้าอบรมครั้งนี้ ที่น่าตกใจที่สุดก็คือ เราดีท็อกซ์ แล้วถ่ายออกมา เป็นก้อนไขมัน แข็งๆ เป็นก้อนๆ มากมาย น่ากลัวมากเลยค่ะ คิดว่าตัวเอง จะหายจากมะเร็ง ๑๐๐% ค่ะ"

พระบุญรักษ์ จารุธัมโม จากวัดป่าสวนธรรมร่วมใจ เป็นผู้ป่วยตับลีบ ม้ามโต เส้นเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร "สมัยก่อน คิดว่าคงจะรักษา ให้หายขาดไม่ได้ อาการร่อแร่ เดี๋ยวก็ป่วย เดี๋ยวก็หาย ไม่มีทางออก เมื่อได้มาเข้าค่ายครั้งนี้ อาตมา เริ่มเชื่อมั่นว่า ตัวเองจะหาย จากโรคร้ายนี้ แน่นอน ๑๐๐ %"

คุณแก่นเกื้อ จากแก่นอโศก มาช่วยงานครัวในค่าย ๗ อ. "เป็นบุญมากที่จัดค่ายฟื้นฟูสุขภาพ ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็น การเอาพิษ ออกจากร่างกาย การจัดกระดูก การดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง แบบง่ายๆ แบบธรรมชาติ ห่างไกลจากยา และหมอ เป็นการพึ่งตัวเอง ที่สมบูรณ์แบบ ที่พิเศษ และสำคัญที่สุด ของค่ายนี้คือ มีอาหารที่ไร้สารพิษ รับประทาน ตลอดคอร์ส เลยทีเดียว งานครัวไม่หนักมาก เหมือนค่ายอบรมทั่วๆไป ขอบคุณ สำหรับงานบุญ ครั้งนี้ค่ะ"

นายต้นเสียงธรรม อายุ ๓๖ ปี จากชุมชนเชียงรายอโศก "เดินทางมาจากเหนือสุด ใช้เวลาในการเดินทาง ถึงสวนส่างฝัน ถึง ๒๔ ชั่วโมงเต็ม รู้สึกว่าคุ้มจริงๆ ในการเข้าค่ายสุขภาพ ๗ อ. ได้ทดลองดีท็อกซ์สูตรใหม่ ไม่ใช่ดีท็อกซ์ตรายาง สิ่งที่ได้คือ
๑. ร่างกายถูกล้างพิษ
๒. ได้พักผ่อนจริงๆ
๓. ได้รู้จักรักษาตนเองและการป้องกัน
๔. ได้ฝึกตนเองในการกินผักแบบพิเศษๆ"

คุณน้อมบูชา นาวาบุญนิยม "รู้ข่าวว่าพวกเราตั้งใจจะดูแลสุขภาพกันอย่างจริงจัง ก็รู้สึกอนุโมทนาบุญด้วย เต็มใจมาช่วย พี่น้องเรา ที่สวนส่างฝัน โดยเฉพาะเป็นการ จัดครั้งแรก เพราะคิดว่า ประสบการณ์ในการทำงาน ด้านนี้ อาจเป็นประโยชน์ สำหรับพวกเราบ้าง และคิดว่า ถ้ามีเรื่องดีๆ ที่น้องๆญาติๆเราทำไว้อย่างมากมาย ก็จะได้มาชื่นชม เนื่องจาก ไม่ได้มาตั้ง ๕ ปีแล้ว พอมาช่วยจริง ก็ประทับใจ ในการจัดครั้งนี้ เพราะทุกคนเต็มใจ ยินดีจริงๆ แรงก็ลงเต็มที่ ช่วยกันสามัคคีกันทุกวัน ผลออกมา ก็น่าประทับใจ เพราะทุกคน มีสีหน้าพอใจสดชื่น มีการเปลี่ยนแปลง ทางร่างกาย เป็นรูปธรรม โดยเด่นชัด น่าเป็นตัวอย่าง แก่ชุมชนอโศกอื่นๆ ในอนาคตได้ ขอให้กำลังใจ ในการจัดครั้งต่อๆไป
ส่วนชุมชนอโศกอื่นๆ ชุมชนใดสนใจ ด้านสุขภาพบุญนิยม (บุญญาวุธหมายเลข ๔) นี้ และอยากจัด เหมือนสวนส่างฝัน ก็จะขออนุโมทนาไว้ก่อน หากมีเวลา ก็จะไปช่วยเช่นกันค่ะ".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



บ้านแสนสุขภาพดี มีบุญนิยม (ตอน ๑)

นับว่าเป็นความโชคดี หรือมีบุญก็ว่าได้ ที่พอฉลองหนาวบนภูผาฟ้าน้ำเสร็จแล้ว ได้มีโอกาสไปเรียนวิชาอายุวัฒนะ จากพี่น้อมบูชา ที่บ้านสวนเก้าไร่ ปฐมอโศก แม้จะมีเวลาจำกัดเพียง ๓ วัน ก็สัมผัสได้ ด้วยจิตวิญญาณว่า ทำไม จะไม่อายุวัฒนะล่ะ ก็เมื่อทุกคนในบ้าน เริ่มด้วยการมีจิตใจ ที่คิดแต่จะให้ คิดแต่ในสิ่งดีๆ มีแต่บวกไม่มีลบ เรื่องอาหารนั้นเล่า ทั้งใหม่ๆ สดๆ จากสวนข้างบ้าน จะกินเมื่อไหร่ก็ไปเด็ดเอา อย่างนี้เอนไซม์ ก็ยังคงเหลือ เพียบพร้อม บริบูรณ์ เรื่องไร้สารพิษนั้น ไม่ต้องสงสัย เพราะได้ปุ๋ยธรรมชาติแท้ๆ จากการสวนล้างลำไส้ หรือการทำดีท็อกซ์ แล้วเอาไปหมัก กับกากน้ำตาล ซึ่งเป็นสุดยอด ของปุ๋ยจุลินทรีย์

เรื่องอากาศแปลกแต่จริงคือ ปลอดโปร่งเย็นสบาย ไม่เหม็นขี้หมูเหมือนบริเวณอื่นๆ

ส่วนการออกกำลังกายนั้นไม่เสียเปล่า คือได้ทั้งงานได้ทั้งกำลังกาย แบบเหงื่อหยด รดแผ่นดิน ชนิดเหงื่อออกมาก น้ำตาไหลน้อยนั้นแหละค่ะ

พอถึงเวลานอนก็นอนกันตั้งแต่ ๓ ทุ่ม เรียกว่าเอนกายแบบหลับสบายเหมือนตายก่อนตาย ที่สำคัญที่สุดคือ กิจกรรมก่อนนอน มีกิจกรรมพิเศษ จากค่ายมหัศจรรย์ เพื่อขจัดความขุ่นข้อง หมองใจ ด้วยการเปิดเผยความในใจ ที่ผ่านมาทั้งวันว่า วันนี้ ยังมีจิตใจ ยินดีเต็มร้อยอยู่หรือเปล่า ใครมีอะไรในใจ ทั้งดีไม่ดีมาเล่าสู่กันฟัง ทำให้จิตใจ ได้ผ่อนคลาย มีกำลังใจ ทำดีต่อไป ในวันรุ่งขึ้น

ส่วนเรื่องการทำดีท็อกซ์นั้นไม่ธรรมดาเหมือนที่เคยรู้มา เพราะมีกรรมวิธีถอนรากถอนโคนพิษจากลำไส้ใหญ่ ที่เกาะติดแน่น มาหลายสิบปี ให้ออกมา ยลโฉมกันได้ กรรมวิธีใดนั้น อยากให้ท่านลองสัมผัสเอง ถ้ามีโอกาส ลองแวะไปทำดู ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่นี่ดีเกินกว่า จะบรรยายลง ในตอนเดียวหมด ขอต่อตอนที่ ๒ ในฉบับหน้านะคะ รู้แต่ว่า ประทับใจ ในคุณงามความดี ของพี่ๆน้องๆของเราจริงๆค่ะ

ก็อย่างนี้แหละค่ะ พวกเรา "ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีให้เก็บ เจ็บป่วยมีคนช่วยดูแลรักษา อายุจะไม่วัฒนะ ได้อย่างไรคะ"

มาช่วยกันสร้างบุญญาวุธหมายเลข ๔ สุขภาพบุญนิยมกันเถอะค่ะ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ดร.สุธารทิพและคณะจาก ม.มหิดล
สาธิตการทำไบโอดีเซล ที่สันติอโศก
ช่วยลดควันดำและปราศจากมลพิษ

วันอาทิตย์ที่ ๒ มีนาคม ที่ผ่านมา ณ พุทธสถานสันติอโศก ที่บริเวณศาลาฟังธรรม ได้มีการสาธิต การทำน้ำมันไบโอดีเซล จากน้ำมันพืช ที่ใช้แล้ว โดย ผศ.ดร.สุธารทิพ ภมรประวัติ และ ดร.ซิลวิโอ เอเมอรี่

เนื่องจากปัจจุบัน ราคาน้ำมันตลาดโลกขึ้นสูงมาก จึงมีผู้คิดค้นสูตรการทำน้ำมันไบโอดีเซล จากน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว ซึ่งมีสูตร ดังนี้

น้ำมันพืชใช้แล้ว ๗๕ ลิตร
โซดาไฟ ๕๐๐ กรัม
เมทิลแอลกอฮอล์ ๑๕ ลิตร

ขั้นตอนการผลิตคือ
๑. นำน้ำมันพืชที่ใช้แล้วมากรอง เพื่อขจัดเศษผงและสิ่งสกปรกออก แล้วเทใส่หม้อสแตนเลส ตั้งไฟให้อุณหภูมิเกิน ๑๐๐ องศาเซลเซียสขึ้นไป หากน้ำมันเดือดและมีฟองผุดขึ้นมา แสดงว่าในน้ำมันนั้นมีน้ำเจือปนอยู่ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องต้มต่อไป จนกระทั่ง ฟองดังกล่าวหมดไป หรือเหลือเพียง ๒-๓ ผุดต่อนาที มิฉะนั้น จะไม่เป็นน้ำมันไบโอดีเซล แต่จะได้สบู่แทน เพราะน้ำในน้ำมัน ยังระเหยออกไม่หมด เมื่อต้มจนไม่มีน้ำผุดขึ้นมาแล้ว ให้ยกลงแล้ว รอจนอุณหภูมิ ของน้ำมัน เหลือเพียง ๖๐ องศาเซลเซียส (ซึ่งมีผู้เคยทดลองจับเวลาดูพบว่า เฉลี่ยแล้วในเวลา ๑ ชั่วโมง อุณหภูมิ ของน้ำมันดังกล่าว สามารถลดลงได้เพียง ๑๐ องศาเซลเซียส ดังนั้น ในระหว่างรอ ให้อุณหภูมิลด ผู้ทำสามารถ ไปทำงานอย่างอื่นได้ โดยไม่ต้องกังวล แต่ขอแนะนำ ให้ผสมโซดาไฟ และเมทิลแอลกอฮอล์เตรียมไว้)

๒.ขั้นตอนการผสมโซดาไฟและเมทิลแอลกอฮอล์
เทเมทิลแอลกอฮอล์ ๑๕ ลิตร ลงในภาชนะพลาสติกที่มีฝาปิดมิดชิด จากนั้นเทโซดาไฟ ๕๐๐ กรัม ลงไปผสม กับ เมทิลแอลกอฮอล์ จากนั้น เอาฝาปิดทันที พยายามทำให้สารทั้งสอง เข้ากันอย่างดี ด้วยวิธีใดก็ได้ เช่น เขย่าหรือกลิ้ง แต่ระหว่างนี้ สารทั้งสอง กำลังทำปฏิกิริยากัน ทำให้เกิดพลังงานความร้อน ดังนั้น ระหว่างเขย่า ควรนำผ้ามาพัน กันความร้อนด้วย ระวังอย่าให้สารละลาย โดนส่วนต่างๆ ของร่างกาย และไม่สูดดม กรณีส่วนของร่างกาย โดนสารละลาย ให้รีบล้างน้ำออกทันที มิฉะนั้น จะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ เมื่อสารทั้ง ๒ เข้ากันดีแล้ว ให้ทิ้งไว้สักครู่

๓.ใช้เทอร์โมมิเตอร์เช็คอุณหภูมิของน้ำมันที่ต้มแล้ว(ในข้อ ๑) หากอุณหภูมิลดลงเหลือ ๖๐ องศาเซลเซียสแล้ว ให้นำ สารละลาย ที่ผสม (โซดาไฟ และ เมทิลแอลกอฮอล์) แล้วในข้อ ๒ มาใส่ลงในน้ำมัน โดยระหว่างใส่ ต้องระวัง อย่าให้กระเด็น และ ผู้ทำ ต้องไม่สูดดมด้วย เพราะช่วงนี้ เป็นช่วงที่สารทั้งหมด ทำปฏิกิริยากัน เมื่อเทรวมกันแล้ว ก็ต้องคนให้เข้ากัน โดยผู้ทำ ต้องอยู่เหนือลม และกลั้นหายใจ ไม่สูดดมด้วย เพื่อป้องกันอันตราย

ใช้เวลาคนอย่างน้อยประมาณ ๑/๒ ช.ม. จากนั้นปล่อยทิ้งค้างคืนไว้ เพื่อให้สารละลายตกตะกอน โดยปิดฝาหม้อ ที่มีส่วนผสม ทั้งหมด เพื่อป้องกันสิ่งสกปรก แมลง หรือสัตว์อื่นๆตกลงไป

๔.พอรุ่งเช้าเปิดดูจะเห็นว่า สารละลายแยกออกเป็นชั้น โดยชั้นบนที่เป็นน้ำใสๆ ให้ตักออกมาใส่ภาชนะ ที่มีฝาปิด ทิ้งไว้ ประมาณ ๑ สัปดาห์ เมื่อครบกำหนดแล้ว สามารถนำไปใช้กับ เครื่องยนต์ดีเซลได้เลย ซึ่งส่วนที่ได้นี้คือ น้ำมันไบโอดีเซล ๑๐๐ % จากธรรมชาติ

ส่วนชั้นที่ ๒ ที่เป็นไข คือ เชื้อเพลิง ส่วนนี้สามารถนำไปคลุกกับขี้เถ้าและดิน ให้เป็นถ่าน สำหรับการต้มน้ำมัน ครั้งต่อไปได้ หรือ จะนำไปเป็นสบู่ สำหรับซักล้าง สิ่งสกปรกมากก็ได้ โดยของเหลวชั้นที่ ๒ นี้ หากทิ้งไว้นานๆ มันจะจับตัวกันเป็นก้อน ซึ่งก็คือ สบู่นั่นเอง แต่สีอาจจะดู สกปรกหน่อย เพราะเป็นสบู่ ที่ทำมาจาก น้ำมันพืชที่ใช้แล้ว แต่ประสิทธิภาพ ไม่ด้อยกว่ากันเลย

สำหรับต้นทุนการทำน้ำมันไบโอดีเซล คือ ค่าน้ำมันที่ใช้แล้ว+๓ บาท (ค่าโซดาไฟ และ เมทิลแอลกอฮอล์) ต่อลิตร

ดังนั้น ถ้าเรามีน้ำมันใช้แล้ว โดยไม่ต้องซื้อ ต้นทุนก็คือ ๓ บาทต่อ ๑ ลิตรเท่านั้น ซึ่งสามารถ ช่วยลดค่าใช้จ่าย ของครอบครัว ในด้าน น้ำมันเชื้อเพลิง ได้มากทีเดียว นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยลดมลพิษ ในอากาศ ได้อีกด้วย

สิ่งที่ต้องระมัดระวังระหว่างการผลิตไบโอดีเซล คือ
๑.ช่วงที่ผสมโซดาไฟและเมทิลแอลกอฮอล์เข้าด้วยกัน สารทั้งสองจะทำปฏิกิริยา ทำให้เกิดพลังงานความร้อน และมีฤทธิ์ เป็นด่าง อย่างรุนแรง ดังนั้น ไม่ควรให้สารละลายนี้ โดนผิวหนัง หรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย เป็นอันขาด เพราะจะเกิด อันตรายได้

๒.ระหว่างผลิตไม่ควรให้เด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยงเข้าใกล้ เพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต

๓.ช่วงผสมโซดาไฟและเมทิลอัลกอฮอล์ควรเลือกสถานที่ให้เหมาะสม ไม่ใช้สถานที่ ที่มีความเสี่ยง ต่อการเกิดอันตราย เช่น บริเวณ ที่มีประกายไฟ ประจุไฟฟ้า หรือการจุดไฟ เป็นต้น

๔.ถ้าต้องการผลิตไบโอดีเซลครั้งละมากๆ ไม่ควรทำคนเดียว ควรมีเพื่อนช่วยทำด้วย และถ้าหลัง การต้มน้ำมันแล้ว ไม่ควรจะนำ หม้อสแตนเลส ไปแช่น้ำ เพื่อให้อุณหภูมิลดเร็ว เพราะมันหนักมาก อาจทำให้หก และ เกิดอันตรายได้ ภาชนะที่ใช้ผลิต ไบโอดีเซล ควรเป็นหม้อสแตนเลสเท่านั้น ไม่ใช่หม้ออลูมิเนียม เพราะจะทะลุได้

๕.ระหว่างคนสารละลายต่างๆ ระมัดระวังไม่สูดดมหรืออยู่ใต้ลม ที่สำคัญ พยายามผัดเปลี่ยน ผู้ที่คนบ่อยๆ กรณีที่ทำ ไบโอดีเซลบ่อยๆ หรือทุกสัปดาห์ ให้ใช้เครื่องทุนแรง ในส่วนนี้

๖.น้ำมันไบโอดีเซลนี้ ใช้แทนได้กับเครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้น ห้ามนำไปใช้กับเครื่องยนต์เบนซิน

๗.ไม่ควรผลิตน้ำมันในแต่ละครั้งมากเกินไป ควรผลิตในปริมาณ ที่พอใช้เพียง ๑ สัปดาห์ เพราะน้ำมันนี้ สามารถเก็บได้เพียง ๖ เดือน หลังจากนั้น น้ำมันจะขึ้นรา เพราะทำมาจากพืช

ไบโอดีเซล คือ เชื้อเพลิงดีเซลบริสุทธิ์ ได้จากปฏิกิริยาทรานเอสเทอริฟิเคชั่น ของน้ำมันธรรมชาติ (จากพืช หรือ ไขสัตว์) กับ แอลกอฮอล์ ได้เมทิลเอสเทอร์ บริสุทธิ์ (ไบโอดีเซล) ปราศจากไขกลีเซอรีน การผลิตไบโอดีเซลดังกล่าว ได้ถูกค้นพบ ในประเทศ เยอรมัน กว่า ๑๐๐ ปีแล้ว

น้ำมันชนิดนี้ มีคุณสมบัติเป็นเชื้อเพลิง ให้กับเครื่องยนต์ดีเซล ทั้งเครื่องหมุนเร็ว และหมุนช้า นอกจากนี้ ยังเป็นเชื้อเพลิง ที่มีคุณสมบัติ ในการหล่อลื่น ดีกว่าเชื้อเพลิงดีเซล และสามารถใช้แทน เชื้อเพลิงดีเซลได้ ๑๐๐ % โดยไม่มีความเปลี่ยนแปลง ในเชิงกำลัง ความสามารถ ในการติดเครื่องยนต์ และกำลังการหมุนของเครื่อง และไม่ต้องแปลงชิ้นส่วน ของเครื่องยนต์ด้วย

ไบโอดีเซลเผาไหม้ได้หมดจด เนื่องจากมีโมเลกุลของออกซิเจน การใช้ไบโอดีเซล จึงช่วยลดควันดำ และ ปราศจากมลพิษ จากสารกำมะถัน ที่พบในเชื้อเพลิงดีเซล จึงปลอดภัยต่อผู้ใช้ และ สภาวะแวดล้อม เป็นพลังงาน ที่หามาทดแทนได้ เนื่องจากใช้พืช เป็นวัตถุดิบ ในการผลิต

สำหรับการใช้งานนั้น ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ออสเตรเลีย ออสเตรีย ญี่ปุ่นและ สหรัฐอเมริกา ได้มีการผลิต ไบโอดีเซล และใช้กับพาหนะ ขับเคลื่อน ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถประจำทาง

ตัวอย่างของผู้ใช้ไบโอดีเซล ได้แก่ รถเขียว (รถโตโยต้าไฮลักซ์ปี '๓๘) ของ ดร.ซิลวิโอ เอเมอรี่ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยสยาม โดย ดร.ซิลวิโอ ได้ผลิตไบโอดีเซล เพื่อใช้กับรถเขียว ๑๐๐ % มาตั้งแต ่เดือน ส.ค.๔๔ ปัจจุบัน รถเหล่านี้ ใช้งานมาเกิน ๓๐,๐๐๐ ก.ม. ซึ่ง ดร.สุธารทิพ ภมรประวัติ และคณะ จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทดสอบ ใช้รถเขียวดังกล่าว เดินทางไปเชียงใหม่ และ แม่ฮ่องสอน แล้วพบว่า กำลังรถเป็นเยี่ยม แม้บรรทุกคน และ สัมภาระเต็มที่ และเมื่อผ่าเครื่องออกดู ก็พบว่า ฝาสูบไร้ตะกรัน ถนอมช่วงล่างดีมาก.

นันทนา สุขสวัสดิ์ รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 


เจริญธรรม สำนึกดี ขอเชิญสมาชิกติดตามข่าวในแวดวงชาวเราได้ใน "หน้าปัดชาวหินฟ้า" ประจำ นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๐๒ (๒๒๔) ปักษ์แรก ๑-๑๕ มี.ค.๒๕๔๖

พลัง ม.วช....จิ้งหรีดติดรถขนข้าวจากบ้านราชฯมาจอดอยู่หลัง บจ.แด่ชีวิต เห็นนิสิต ม.วช.สุดสายฟ้า เดินมา หลังมีการ ประกาศเรียก ให้มาช่วยแบกกระสอบข้าว ลงจากรถ พร้อมนิสิต ม.วช. ต่างพุทธสถานอีก ๒ คน ทันใดนั้น สิ่งที่ไม่แน่ใจ ก็ชัดเจนขึ้น เมื่อนิสิต ม.วช.สุดสายฟ้า พร้อมเพื่อน เดินมา อาสาช่วยแบก กระสอบข้าว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ได้อานิสงส์ จากไปช่วยจัดยุทธการพุทธาฯ'๔๖ หรือเปล่า?!

แต่ที่น่าทึ่งก็คือ วันนั้น นิสิตสุดสายฟ้ากำลังฝึกเอกามังสวิรัติหรือกินข้าวมื้อเดียวต่อวัน(ไม่ใช่ตลอดวันนะฮะ) แบกกระสอบข้าว อย่างหน้าตาเฉย

จิ้งหรีดก็เสียดายว่า ไม่ทันได้ถามเขาว่า รู้สึกอย่างไรที่กินข้าวมื้อเดียว แล้วมาแบกกระสอบแบบหน้าเฉยตาเฉย แต่ก็ต้อง ขอยกนิ้วให้พลัง มว.ช. (มังสวิรัติชาย) มา ณ ที่นี้ ส่วนใครสงสัยว่า ทำไมถึงแบกกระสอบข้าวน้ำหนัก ๕๐ กก. ได้อย่าง หน้าเฉย ตาเฉย ก็ให้ไปถามไถ่กัน เอาเองนะฮะ...จี๊ดๆ

คุมอยู่...อาปิ๋มของหลาน สส.สอ. หลังจากไปจัดอบรมให้ชาวหินผาฟ้าน้ำ จนชาวชุมชน อยากเชิญให้อยู่ต่อไป นานๆ ก็ได้กำลังใจ จากชาวหินผาฯ มามากโข เข้าหลักยิ่งให้ไปยิ่งได้มา ล่าสุดก็ได้มีโอกาสเข้าที่ประชุม คุรุสัมมาสิกขา สันติอโศก จิ้งหรีดได้ข่าวว่า คราวนี้ ควบคุมอารมณ์ได้ดี จนเจ้าตัวรู้สึก ภูมิใจตัวเอง อย่างนี้ที่ปรึกษานิสิต ม.วช. ที่สันติอโศก คงปลื้มใจ กับลูกศิษย์คนนี้ เหมือนกันนะฮะ...จี๊ดๆ

พึ่งเจ็บ พึ่งป่วย...ยายขยันมั่น คุณแม่ของสมณะตรงมั่น และสมณะใต้ดาว ล้ม(ไม่รู้ครั้งที่เท่าไร) เข่ากระแทกพื้น ถึงกับ กระดูกเข่าแตก ต้องนอนรักษาตัว อยู่ที่สวนรักฟ้าบูชาดิน แถวนา ๙ ไร่ เลยอดไปร่วมงานพุทธาฯ ที่ผ่านมา แต่ก็ถือว่า ได้ฝึกอีกแบบ จิ้งหรีดได้ไปเยี่ยม ก็ถามว่า "ไม่ได้ไปรักษาที่โรงพยาบาลหรือ?"

ยายขยันมั่น ก็ตอบว่า "อยู่รักษากระดูกที่นี่ดีกว่า รักษาก็ง่าย ไม่เปลืองเวลาเปลืองเงินไปโรงพยาบาล แถมมีคนพยาบาล ดูแลตลอด อีกทั้งใครมาเยี่ยม ก็สะดวก ข้อสำคัญคือใกล้เมรุ" โอ๊ะ!ยังไงๆ ก็คงไม่ถึงขั้น เผากระมังฮะ เพราะดูหน้าตา ยิ้มแย้มแจ่มใส คงหายวัน หายคืนอยู่นะฮะ... ส่วนสิกขมาตุพูนเพียร หลังกลับจากงานพุทธาฯ ก็ได้ไปเจอเจ้าหนี้ มาทวงหนี้ ถูกแมลงต่อ ต่อยเอา จนตัวบวม สิกขมาตุบอกกับจิ้งหรีดว่า นี่ขนาดต่อต่อย ๑ ตัวยังหนักขนาดนี้ ก็คิดถึงคุณด้าว ที่ถูกต่อต่อย ไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ตัว จะรู้สึกอย่างไร ก่อนเสียชีวิต พอกลับจากงานพุทธาฯ ก็คิดว่า คงไม่เป็นไร แต่ที่ไหนได้ ร่างกาย เกิดอักเสบ ขึ้นมาอีก จนอาการน่าเป็นห่วง คนปฐมฯ ต้องช่วยกัน นำส่งโรงพยาบาลสินแพทย์ กทม. ตอนนี้อาการ ก็ดีขึ้นแล้วนะฮะ

ฝ่ายสิกขมาตุปราณี ธาตุหินฟ้า จิ้งหรีดก็เพิ่งจะรู้ข่าวว่า ท่านต้องไปผ่าตัดเนื้องอกในมดลูก ได้ไปเยี่ยมที่ตึกตะวันงาย ๑ เห็นคนฟัง นั่งเงียบ ดูเหี่ยวๆกว่าผู้ป่วย ที่พูดทักทายผู้มาเยี่ยม อย่างมีพลัง และไม่เหน็ดเหนื่อย นี่ถ้าไม่รู้จักผู้ป่วย ก็คงเข้าใจว่า คนที่มาเยี่ยม เป็นคนป่วยแน่ๆเลย...

สำหรับ "โอ่ง" ศิษย์เก่า สส.สอ. หลังพักรักษาตัวที่ศาลาสุขภาพสันติอโศก บาดแผลที่ถูกแทง ๑๓ แผล ซึ่งต้องเย็บถึง ๘๓ เข็ม ตอนนี้ ก็ดูดีขึ้น จนไปไหนมาไหนได้แล้ว แถมจิ้งหรีดได้ข่าวว่า ช่วงนี้กำลังเบื่อ การเรียนเอาปริญญา ก็ไม่รู้ว่า เบื่อแบบไหน ใครอยากรู้ ต้องไปสอบถาม กันเอาเองนะฮะ...จี๊ดๆ

ขาวบริสุทธิ์...จิ้งหรีดเกาะที่เสาศาลาฟังธรรม ได้ยินนร.สัมมาสิกขาสีมาอโศก ๒ คน คุยกันอย่างรื่นเริง สนุกสนาน

คนที่ ๑: มางานพุทธาฯ ครั้งนี้พี่รู้สึกอย่างไรคะ

คนที่ ๒: ก็สนุกดีนะ ได้ฟังเทศน์จากสมณะหลายรูป แต่บางทีอาให้ทำงานเยอะ ก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกันค่ะ

คนที่ ๑: พี่หน้าขาวขึ้นกว่าเดิม ใช้ครีมอะไรทาหน้าเหรอคะ

คนที่ ๒: เปล้า(เสียงสูง) พี่ไม่ได้ใช้เครื่องสำอางอะไรเลย ใช้ก็ผิดศีลน่ะซิคะ

คนที่ ๑: แล้วทำไมหน้าพี่ถึงขาวอย่างนี้ละคะ

คนที่ ๒: เพราะพี่คิดแต่สิ่งที่ดีๆ มันทำให้สบายใจขึ้น หน้าเลยขาวขึ้นมั้ง...

แม้เธอจะอายุยังน้อยอยู่ แต่สามารถเข้าใจแก่นสารของชีวิต ไม่หลงใหลไปตามกระแสแฟชั่น ของวัยรุ่นยุคนี้ ที่เห็นการแต่งเนื้อ แต่งตัว เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำคัญ สำหรับชีวิตเหลือเกิน...จิ้งหรีดรู้สึกเป็นปลื้ม (ใจ) กับคุรุไปด้วย ที่เลี้ยงดูฟูมฟักลูกศิษย์ จนได้ดี ขนาดนี้นะฮะ...จี๊ดๆ

ทีม ม.วช....จากงานพุทธาฯ'๔๖ ที่ผ่านมา ทีม ม.วช.ได้เปิดเผยความรู้สึกกับจิ้งหรีดว่า "รู้สึกอบอุ่นมาก งานนี้ มีความเป็นพี่ เป็นน้อง เหมือนครอบครัว ที่ช่วยกันทำงาน ทั้งพ่อแม่พี่ป้าน้าอา ต่างช่วยกันร่วมเป็นเจ้าภาพ ทั้งในช่วงการเตรียมงาน จนกระทั่ง ถึงร่วมกันเก็บงานใน ยุทธการพุทธาฯ'๔๖

ปีนี้ทีม ม.วช.ได้รับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานโดยมีสมณะและผู้ใหญ่คอยให้คำปรึกษาเหมือนทุกๆปีนั้น ได้มีความเห็นว่า เราต้องแบ่งเบาภาระ ของพ่อแม่ ให้ได้มากที่สุด ตามกำลัง ความสามารถของเรา และต้องถ่ายโอนงาน ให้รุ่นน้องๆ และสร้างทีมงานใหม่ขึ้นมา เพื่อเป็นตัวตายตัวแทน และช่วยกันทำงาน ของชาวอโศก...

ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น พวกเราจะพยายามมองเข้าหาตัวเองว่า ตัวเองบกพร่องตรงไหน เพราะเราเชื่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น เราทุกคน มีส่วนร่วม ในการทำให้ปัญหานั้นเกิดขึ้น

ทุกๆวันตอนเย็น ทีมเราจะมีการสรุปสภาวะจิตใจและสรุปงานในวันนั้นๆเป็นประจำ เป็นผลทำให้เราเข้าใจ เห็นใจ และช่วยเติม กำลังใจ ให้แก่กันและกัน ร่วมกันวางแผนและหาวิธีแก้ปัญหาต่างๆ โดยยึดหลัก ให้เวลา ให้ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่เพ่งโทษถือสา ไม่ทำอะไร ตามใจตัวเอง จนมีคำฮิตติดปากเกิดขึ้นในทีม ม.วช. คือ `ขออนุญาตปรึกษาครับ' แม้ว่าทีม ม.วช. จะเข้ามา มีส่วนร่วม ช่วยงานต่างๆ ของชาวอโศกถึง ๔ ปีแล้วก็ตาม แต่ปีนี้ และครั้งนี้ ที่ได้พูด และได้ยินคำๆนี้ กันอย่าง แพร่หลาย ซึ่งหลายคน อาจจะรำคาญ `ไม่รู้จะปรึกษาอะไร กันหนักหนา' ซึ่งทีมเราก็ต้องขอโทษ ที่บางครั้ง เราก็ประมาณผิด ประมาณพลาด หรือบกพร่อง ในหน้าที่ ที่รับผิดชอบ ซึ่งก็ถือ เป็นประสบการณ์ ในการทำงาน เพื่อฝึกฝนตัวเอง ในโอกาสต่อๆไป ก็ต้องกราบ ขอบพระคุณ ทุกๆท่าน ที่ให้เวลา ให้ความเข้าใจ ให้โอกาส แนะนำลูกหลาน ม.วช. มา ณ ที่นี้ด้วย..."

จิ้งหรีดฟังความรู้สึกจากใจเหล่านี้แล้วรู้สึกซาบซึ้งถึงคำว่า "ภราดรภาพ" จริงๆ สาธุ...จี๊ดๆ

๑๐ ปี สกว....ทีม คุรุและนิสิต ม.วช.ปฐมอโศก จำนวน ๔๕ คน นำโดยสมณะมั่นแจ้ง พุทธชาโต เดินทางไปดูงาน "ความรู้เพื่อชีวิต (๑๐ ปี สกว.) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๙-๒๓ ก.พ.๔๖ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งสำนักกองทุน สนับสนุนการวิจัย (สกว.) นี้ก่อตั้งขึ้น เพื่อสร้างความรู้ และเป็นหน่วยงานสนับสนุน การวิจัยภายใต้ภารกิจ "สร้างสรรปัญญา เพื่อพัฒนาประเทศ" มีจุดประสงค์ เพื่อส่งเสริมการวิจัย หาข้อมูลสำคัญ ที่จะนำไปใช้ ในการวางแผนพัฒนา ประเทศ อย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ เช่น การเกษตร อุตสาหกรรม และ เทคโนโลยี เป็นต้น

งานนี้นอกจากทีมคุรุและนิสิต ม.วช.ปฐมอโศก จะไปเก็บเกี่ยวความรู้และงานวิจัยที่มีประโยชน์ ในด้านต่างๆแล้ว ยังได้ไป เป็นกำลังใจ ให้แก่เยาวชนชาวอโศก ๓ คนของเรา คือ แสงฝ่าฝัน เวียงฟ้าและไม้แก้ว ที่ขึ้นเวทีพูดสด แบบออกรายการวิทยุ ของชุมชน ประมาณ ๒๐ นาที ซึ่งหลายคนบอก พูดได้ครบเครื่องดีมาก...จี๊ดๆ

ก่อนจาก ขอฝากคติธรรม - คำสอนของพ่อท่านที่ว่า
ประโยชน์ตนของอาตมาคือ ทำสิ่งที่ดี ให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
(จาก หนังสือ พ่อท่านสอนว่า...ฉบับ คำคม ๑)

พบกันใหม่ฉบับหน้า

จิ้งหรีด

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


 

ญาติธรรมรวมใจไทเลย
สามัคคีเข้าคอร์สมหัศจรรย์ที่ อ.วังสะพุง
ประสานน้ำใจให้เป็นหนึ่ง

เมื่อวันที่ ๒๖-๒๘ ก.พ.๔๖ กลุ่มญาติธรรมชาวจังหวัดเลย ได้นิมนต์สมณะบินบน ถิรจิตโต มาอบรมคอร์สมหัศจรรย์ ที่สวนธรรมเลยลัด อ.วังสะพุง จ.เลย โดยได้นิมนต์ผ่านมา ทางสมณะกลางดิน โสรัจโจ แต่เนื่องจาก สมณะบินบน ถิรจิตโต ไม่สามารถ ไปร่วมงานได้ จึงได้มอบให้ สมณะโพธิสิทธิ์ โพธิสิทโธ สมณะแก่นหล้า วัฑฒโน และ สมณะธาตุดิน ปฐวีรโส มาดำเนินการ อบรมแทน

โดยเวลา ๑๖.๓๐ น. เริ่มลงทะเบียน โดยมีผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น ๕๖ คน

จากนั้นเวลา ๑๘.๐๐ น. จึงเริ่มการอบรม โดยแบ่งกลุ่มผู้เข้าอบรมออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่ม ๑ และกลุ่ม ๒ เป็นกลุ่มญาติธรรม มีสมณะโพธิสิทธิ์ และ สมณะธาตุดิน นำอบรมตามลำดับ ส่วนกลุ่มที่ ๓ เป็นนักเรียน จากวิทยาลัย การอาชีพวังสะพุง ๕ คน และเด็ก ที่อยู่กับอาจารย์วิเชียร ถาวงษ์กลาง มีสมณะแก่นหล้า นำอบรม โดยการอบรม ในแต่ละวัน แบ่งเป็น ๓ ช่วง (เช้ามืด, กลางวัน, เย็น)

บรรยากาศในการอบรมเป็นไปด้วยดี ผู้เข้ารับการอบรมได้รับประโยชน์ ได้เข้าใจการปฏิบัติ ตามหลักมรรคองค์ ๘ ได้รู้จัก การสร้าง ความยินดี การระลึกถึงศีล การเดินจงกรม การฝึกหัดเป็นผู้นำ และผู้ตาม การมองมุมบวก รู้จักสักกายะของตน และ วิธีการแก้ไข

การอบรมครั้งนี้ทำให้ญาติธรรมบางคนตั้งใจเข้ามาอยู่ในชุมชนเลไลย์อโศก ส่วนบางคน หลั่งน้ำตาเปิดใจ ที่ได้เห็นภาพ อบอุ่น เมื่อครั้งเก่าๆ ได้กลับมาอีกครั้ง

สมณะกลางดิน โสรัจโจ "รู้สึกประทับใจที่ได้เห็นญาติธรรมมาพูดเปิดใจกัน ทำให้เข้าใจกันมากขึ้น ซึ่งหลายคน บอกว่า บรรยากาศ เก่าๆ การเป็นพี่เป็นน้องนั้น กำลังจะกลับคืนมา ทำให้เห็นว่า พวกเรา จะรวมกันได้จริงๆ คิดว่า การเข้าคอร์ส แบบนี้ น่าจะทำ ให้ต่อเนื่อง และน่าจะขยายผล ไปสู่ชาวอโศก ในองค์รวม จะเป็นผลดี ต่อการปฏิบัติธรรม อย่างมากมาย หาประมาณ มิได้ เพราะในภาวะที่การงาน กำลังล้นรอบทิศ ถ้าพวกเราไม่รวมกันได้ เป็นเอกภาพแล้ว การงาน แม้มากสักปานใด ก็ไร้ผล ถ้าแกนในของเรา ไม่มั่นคงแข็งแรง อย่างแท้จริง"

คุณหินชนวน อโศกตระกูล "ขอสรุปการมาเข้าคอร์สครั้งนี้เป็น ๓ ส่วน คือ ข้อดี ข้อเสีย และ ข้อเสนอแนะ

ข้อดี
๑. ผมได้รู้บทบาทใหม่ การขอกรรมฐานของชาวอโศกที่มีบทบาทในการชี้ที่นิ่มนวลขึ้น กรรมฐานปรับได้เคร่งครัดขึ้น
๒.การสอนแบบใหม่ คือ ผู้รับคำสอนมีส่วนร่วม มีการเรียนรู้ที่แน่นอนอย่างมีระบบที่ประสานงานเป็นทีมที่ได้ผลดีมาก
๓.ได้ทบทวนหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น วิชาจับงู นิทานไอ้เมา ฯลฯ ได้ความรู้ใหม่มาก
๔.ได้ญาติใหม่ แต่ก็เป็นญาติเก่าที่ขาดการคบคุ้นกัน การอบรมครั้งนี้สิ่งเก่าๆดีๆที่หายไปก็ได้กลับคืนมา แต่ก่อน ญาติโยม ห่างจาก สมณะ ตอนนี้สมณะเข้ามา ก็รู้สึกเย็นสบาย ทำให้ผมมีไฟ ในการทำงานมากขึ้น ผมคงแบ่งเวลา ให้กับหมู่กลุ่ม ๘๐ % ส่วนอีก ๒๐ % ก็จะให้ครอบครัว งานนี้ได้ผลเกินคุ้ม

ข้อด้อย
๑.เวลาในการอบรมน้อย (แต่ถึงน้อยขนาดนี้ก็ยังดีขนาดนี้เลย)
๒.แบ่งกลุ่มย่อยน้อยไป ทำให้แต่ละกลุ่มมีคนมาก
๓.ญาติธรรมบางคน ยังอยู่ไม่เต็มเวลาอบรม

ข้อเสนอแนะ
๑.อยากให้มีการอบรมแบบนี้อย่างต่อเนื่อง
๒.อยากให้จัดอย่างนี้ทุกปีหลังงานปลุกเสกฯหรือพุทธาฯก็ได้ โดยเน้นญาติธรรมภายในจังหวัดเลย"

คุณทรายกล้า ถาวงษ์กลาง "จากแผ่นปลิวเชิญชวนเข้าคอร์ส `พิเศษมหัศจรรย์' นั้น อย่าว่าผู้อื่นอ่านแล้วจะไม่เชื่อ ก็ขนาด ผู้พิมพ์เอง ก็ยังไม่เชื่อเลย แต่เห็นผู้มาเข้าคอร์สวันแรก ก็ประทับใจ ขนาดคนแก่ ก็ยังเอาใจใส่ ตั้งใจมาจดอธิศีล ๖ ข้อ ของศีล ข้อ ๔ เลย

การเข้าคอร์สครั้งนี้ นักเรียนมีส่วนรวม แต่ก็แปลกชั่วโมงต่อไป นักเรียนยังไม่รู้เลยว่า จะเรียนอะไร เลยมืดตึ๊บ ยาขนานแรก ที่ได้คือ การมองตน การหันกระจกเข้าหาตน รู้ว่าข้อบกพร่อง ของตนคืออะไร และได้แง่คิดว่า เวลาเราไปทำความดี กับผู้อื่นนั้น ให้เราลืมไปเลย แต่หากคนอื่น ทำความดีกับเรา ก็ให้เราจดจำเอาไว้อย่าลืม!

ส่วนสิ่งที่ได้กลับคืนมา คือ ได้เห็นบรรยากาศเก่าๆ ที่ดีกลับคืนมา ยาขนานนี้สำคัญนัก.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



นักข่าวเบอร์จู๋น

น้ำใจลูกค้า

ช่วงเช้าวันหนึ่ง มีรถเก๋งคันงามมาจอดเทียบบันได ชมร.ช.ม. แล้วเจ้าของเดินลงจากรถตรงเข้าไปหาผู้ที่ต้องการจะพบ เมื่อเจอกัน และทักทายด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนแล้ว เขาก็พาเราเดินไปที่รถคันงามของเขา

ที่ท้ายรถปรากฏว่ามีเข่ง ๑ ใบ ภายในเต็มไปด้วยมะเฟืองหวานลูกเล็กๆที่แก่จัดบ้าง สุกบ้างปนกัน ซึ่งพ่อดาบขจร ได้ไปช่วย ขนกันอีกแรง

มะเฟืองเข่งนั้นน้ำหนักคงประมาณ ๑๕ กก. ซึ่งถ้าเขานำไปขายก็คงได้หลายบาท แต่เขาก็เลือกที่จะสะสมบุญ แม้อาหารวันนั้น ทางเรา จะขอเลี้ยงฟรีบ้าง เขาก็ไม่ยอมรับ และบอกว่า "ให้คือให้" เขาพูด

และเขาจะนำมะเฟืองแบบนี้ มาให้เป็นประจำ ติดต่อมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว

ก็ต้องขออนุโมทนา กับอาจารย์สุเมธี ศรีแสงแก้ว มา ณ ที่นี้ด้วย.

นักข่าวเบอร์จู๋น

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


องค์กรภาครัฐและเอกชน ร่วมประชุมสภาเกษตรฯ
ณ พุทธสถานสันติอโศก

สมณะเสียงศีล ชาตวโร เข้าร่วมประชุมสภาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ มีองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมประชุมกว่า ๒๐ องค์กร

เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๔๖ เวลา ๐๙.๐๐-๑๖.๐๐ น. มีการประชุมตัวแทนขององค์กรต่างๆ ทั้งของภาครัฐ และเอกชน ที่ชุมชน สันติอโศก เขตบึงกุ่ม กทม. เพื่อจัดตั้งสภาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ มีองค์กรต่างๆที่สนใจร่วมรับฟัง แสดงความคิดเห็น ไม่น้อยกว่า ๒๐ องค์กร มีจำนวนตัวแทน ที่มาเข้าร่วมประชุมกว่า ๑๐๐ คน

พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ได้ให้โอวาทเปิดประชุม สรุปว่า จะเป็นกสิกรต้องเสียสละ ตั้งใจผลิตของดีขายราคาถูก มีความขยัน มีสมรรถนะ มีความมัธยัสถ์ ไม่ฟุ่มเฟือย จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณค่า

การประชุมแต่ละองค์กรสามารถตกลงกันร่างธรรมนูญของสภาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ และจัดตั้ง คณะทำงาน ชั่วคราว เพื่อรอ การประชุม เลือกตั้ง คณะทำงานถาวร ในโอกาส ต่อไป

การประชุมตัวแทนแต่ละองค์กรแสดงความเห็นร่วมกัน มีความกระตือรือร้นที่จะได้ร่วมมือกันทำงาน แม้แต่ตัวแทน จากกลุ่ม เกษตรยั่งยืน จ.อุทัยธานี ลุงจันดี เหมภูมิ ซึ่งมีอายุถึง ๘๓ ปี ก็มีไฟแสดงความเห็น อย่างตั้งใจ ตลอดวัน.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กำหนดการอบรม ยุวพุทธทายาท ครั้งที่ ๒
ณ ชุมชนสันติอโศก
๑๖-๒๐ เมษายน ๒๕๔๖

"เราพร้อมที่จะมาฝึกตั้งตนบนความลำบากแล้วใช่ไหม?"

เป้าหมายในการจัดอบรม
๑.เพื่อฝึกให้เด็กช่วยเหลือตนเอง ตามคำขวัญที่ว่า "พึ่งตนจนเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้"
๒.เพื่อฝึกให้เด็กได้รู้จักความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เช่น อยู่ง่าย กินง่าย นอนง่าย ตื่นง่าย แต่ไม่มักง่าย
๓.เพื่อฝึกให้เด็กมีสัมมาคารวะอ่อนน้อมถ่อมตน
๔.เพื่อฝึกให้เด็กเป็นผู้มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา
๕.เพื่อฝึกให้เด็กได้รู้จักศีล ๕ ฝึกปฏิบัติ และรักษาศีล ๕ ให้ได้
๖.เพื่อฝึกให้เด็กได้เรียนรู้วิถีชีวิตชุมชน คนมีศีล

คุณสมบัติของผู้สมัคร
๑.อายุตั้งแต่ ๑๐-๑๕ ปี
๒.ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองเป็นลายลักษณ์อักษร และนักเรียนต้องเต็มใจ
๓.ไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง
๔.ฝึกทานมังสวิรัติอย่างน้อย สัปดาห์ละ ๑ วันให้ได้ก่อน จึงสมัคร
๕.สามารถตื่นเช้า ถอดรองเท้าเดินในบริเวณงานและนั่งนานๆได้ ฯลฯ
๖.ฝึกตรวจศีลก่อนมาร่วมงาน
๗.ไม่นำสิ่งของมีค่าติดตัวมา เช่น เงิน เกมส์เพลย์ นาฬิกา โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นเทปชนิดต่างๆ ฯลฯ

เครื่องใช้ที่ต้องเตรียมมา
๑.ใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย ไม่ควรเกิน ๓ ชุด(ชายนุ่งกางเกงขาก๊วย หญิงนุ่งผ้าถุง สวมเสื้อคอปิด)
๒.เครื่องนอน เช่น มุ้ง เต็นท์หรือกลด ผ้าห่ม ฯลฯ
๓.สมุด ปากกา ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด ใช้ในการบันทึกและจดความรู้ต่างๆ
๔.ของใช้ส่วนตัว เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น

ผู้สนใจสามารถขอใบสมัคร (ส่งคืนไม่เกินวันที่ ๑๕ เม.ย.๔๖)ได้ที่ สมณะกล้าตาย ปพโล หรือ สิกขมาตุผาแก้ว ชาวหินฟ้า โทร.๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อเดิม นายจอม ศรีสวัสดิ์
ชื่อใหม่ หนึ่งเดียว ชาวหินฟ้า
เกิด ๑๓ มิ.ย. ๒๔๗๓ อายุ ๗๒ ปี
ภูมิลำเนา ๙๗ ม.๑๒ ต.หนองหญ้าไทร อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
การศึกษา คุรุศาสตร์ วิทยาลัยกาญจนบุรี สถานภาพ แต่งงานแล้ว บุตร ๑ คน
ส่วนสูง ๑๗๖ ซ.ม.
น้ำหนัก ๕๙ กก.

คุณลุงหนึ่งเดียว ปลูกบ้านอยู่ที่ปฐมอโศก ช่วยงานด้านถอดเท็ปมานาน ตั้งแต่ปี ๒๕๓๒ -ปี ๒๕๔๔ ตอนนี้ช่วยทำกลด สุขภาพ แข็งแรง เดินได้ วิ่งได้ ไปคุยกับคุณลุงกันค่ะ

นักธรรมเอก
มีพี่น้อง ๗ คน ลุงเป็นคนที่ ๔ พ่อเป็นคนอุบลฯ แม่เป็นคนสุพรรณฯ อาชีพทำนา จบ ป.๔ แล้วบวชเณร ไปเรียนบาลี ที่กรุงเทพฯ สอบได้ นักธรรมเอก แล้วใช้สิทธิ์ไปสอบครูมูล ครูประถม แล้วลาสิกขา ออกไปเป็นครูได้ ๒ ปี ก็แต่งงาน ตอนอายุ ๒๙ ปี แม่บ้าน อ่อนกว่า ๕ ปี มีลูกสาวคนเดียว

แทบหมดตัว
ปี ๒๕๒๔ ขณะเป็นครูก็ทำการค้าไปด้วย เกิดขาดทุนแทบหมดตัว บังเอิญได้ไปซื้อหนังสือแสงสูญ ราคาเล่มละ ๑๐ บาท ที่หน้าองค์พระ จ. นครปฐม อ่านแล้ว ตั้งใจว่า จะเลิกกินเนื้อสัตว์ และ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ เพราะเคยบวชมาก่อน ๑๓ ปี แต่ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย

กลับไปบ้านเอาหนังสือแสงสูญให้ลูกสาวอ่าน และชักชวนให้แม่บ้าน และลูกสาว ทานมังสวิรัติด้วยกัน หลังจากนั้น เขียน จ.ม. มาถามปัญหา ได้รับคำตอบ และหนังสือหลายเล่ม ลงมือปฏิบัติ เลิกอบายมุข ทานมังสวิรัติ จนคนในละแวกบ้าน และที่ทำงาน หาว่าบ้า

เริ่มชีวิตใหม่
เมื่อลงมือปฏิบัติธรรม รักษาศีล หนี้ที่มีอยู่ก็ค่อยๆลดลงจนหมดในที่สุด ต่อมาได้ไปร่วมงานพุทธาฯ และตกลง ถือศีล พรหมจรรย์ กับแม่บ้าน จนถึงวันนี้ ปี ๒๕๓๐ ขอย้ายมาทำงานที่นครปฐม และปลูกบ้าน ที่ปฐมอโศก ทำงานได้ ๔-๕ เดือน ก็ลาออกจากราชการ ตอนนั้น อายุ ๕๗ ปี เงินเดือน ๘ พันกว่าบาท เขากำลังจะปรับเงินเดือน แต่ไม่เอา เพราะแค่นี้ ก็บาปพออยู่แล้ว

หลังจากลาออกแล้ว ก็ไปอยู่บ้านระยะหนึ่ง จนเสร็จภารกิจ จึงกลับมาอยู่ชุมชน จนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่ปี ๒๕๓๒-๒๕๔๔ ช่วยงาน ถอดเท็ป จากส.ม.ปราณี แล้วเปลี่ยนมาช่วยทำกลด กับสมณะ สุขภาพตอนนี้แข็งแรง เดินได้ วิ่งได้ ทุกวันนี้ มีความสุข กับการทำงาน เสียสละ ในชุมชน มีเวลาว่าง ก็อ่านหนังสือ อยากให้ทุกคน รักษาศีล ๕

ชายงามคนนี้มีความสุขกับการทำงานเสียสละ แล้วท่านล่ะ ทุกวันนี้มีความสุขอยู่กับอะไร ? หากการเอาเปรียบผู้อื่น ทำให้ท่าน มีความสุข นั่นท่านกำลังสร้างหนี้ ให้กับตัวเองแล้วนะ

บุญนำพา รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
๖๗/๑ ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ โทร.๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ ๑,๗๐๐ ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]