ฉบับที่ 203 ปักษ์หลัง 16-31 มีนาคม 2546

[01] :ถุงพลาสติก
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา "
[03] นร.สัมมาสิกขา ม.๖ รับกลด ประทับใจได้สั่งสมบารมี
[04] บ้านราชฯ อบรมเรื่องระบบน้ำ
[05] กสิกรรมไร้สารพิษช่วยปลดหนี้ (ตอน ๑)
[06] สกู๊ปพิเศษ:จะรู้ตนเองได้อย่างไรว่าใช่อโศกพันธุ์แท้หรือไม่

[07] ชาวอโศกร่วมแสดงวัฒนธรรม งานร่วมใจประสานการศึกษา เชื่อมสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม
[08] บ้านแสนสุขภาพดี มีบุญนิยม (๒)
[09] สันติอโศกจัด"เอื้อไออุ่น" แฟนพันธุ์แท้เพลงพ่อท่าน เพื่อประโยชน์ผู้สมัครเล่นเกม
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] ชาวชุมชนสันติอโศกรวมพลัง สนับสนุน รมช.ศธ. ดร.สิริกร มณีรินทร์ งดใช้สารปรุงแต่งในอาหาร
[12] ศรัทธาชาวบุญนิยมจะยกที่ ๒๒๕ ไร่ให้บ้านราชฯ
[13] องค์การบริหารส่วนตำบล นิมนต์สมณะเดินดิน ปาฐกถาธรรม
[14] ปฏิทินงานอโศก
[15] เอื้อธรรม ชาวหินฟ้า นางงงามรายปักษ์

[16] คู่มือแปลงโฉมร้าน "โชว์ห่วย"
[17] ข่าว งานปลุกเสก"พระ"แท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๒๗ วันที่ ๖-๑๒ เมษายน ๒๕๔๖



ถุงพลาสติก

อีกไม่นานก็จะถึงงานปลุกเสก "พระ" แท้ๆของพุทธแล้ว ญาติธรรม หลายคนผู้ปรารถนาความไม่เสื่อม คงได้มาฝึกฝน เพื่อเพิ่มอธิศีลกันอีกเช่นเคย

ในช่วงงานพุทธาฯที่ผ่านมา เรามีการพูดถึงถุงพลาสติกที่ใช้ใส่อาหารใส่บาตรในแต่ละวันว่า เหลือทิ้ง เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัญหา ต่อสิ่งแวดล้อม เพราะย่อยสลายยาก หากเผาก็เป็นการเพิ่มมลภาวะต่ออากาศของโลก

จึงมีการตั้งประเด็นว่า ในงานพุทธาฯหรืองานปลุกเสกฯที่จะจัดกันต่อไป เราจะแก้ปัญหาขยะถุงพลาสติก กันอย่างไร

แม้ว่าถุงพลาสติกจะขายได้ แต่ก็ต้องล้างให้สะอาดระดับหนึ่งก่อนจะนำไปขาย ซึ่งเราก็ไม่มีแรงงานจะทำหน้าที่นี้

จึงน่าจะเป็นเรื่องท้าทายความสามารถของผู้รับผิดชอบในการจัดงานว่า จะลดปัญหาขยะถุงพลาสติกได้อย่างไร ที่จะออกมาดูดี ไม่มีปัญหา ในแง่นิติศาสตร์และรัฐศาสตร์

ข้อสำคัญเหล่าญาติธรรมกันเอง จะต้องให้ความร่วมมือคือ ในงานของชาวอโศก เราพยายามซื้ออาหารใส่บาตร ที่ปราศจาก ถุงพลาสติก หรือวัสดุ ที่ย่อยสลายยาก จะได้ไหม แล้ว ผู้ค้าหรือผู้บริการก็จะหาวิธีปรับตามค่านิยมหรือแนวทางของลูกค้าเอง.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เรื่องราวของตัญหาทั้ง ๓

กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

กามตัณหาคือ...รสอร่อย ที่เราเสพได้จากสัมผัสทั้ง ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อตากระทบรูป หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส และ กายได้สัมผัส เกิดอารมณ์ชอบ-ชังขึ้นตามที่โลกเขาสมมติกัน ว่าได้เสพกามสมใจก็เป็นสุข ไม่ได้เสพก็เป็นทุกข์

แท้จริงรสอร่อยอย่างกามตัณหานั้นไม่มี เป็นแต่เพียงจิตเราไปปรุงแต่งขึ้นมาเสพเอง เพราะความโง่ด้วยอวิชชาจึงหลงยึดติด ไปตามโลกีย์ เสาะแสวงกามมา ให้ตนเสพสม จิตพอกพูนกิเลสหนาเตอะ

เราต้องมาเรียนรู้ที่โลกเขาสมมติว่าดีว่างาม ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ ทำปัญญาให้เห็นจริง ตามสัจจะ และพยายาม ละตัวกิเลส ที่เข้าไปติดยึด ในรสอร่อยนั้นๆ ให้สิ้นเกลี้ยง เราก็จะหมดสุข-ทุกข์ไปกับสังขารโลก

เมื่อเราอยู่เหนือสมมติโลกได้แล้ว เราจะเรียนรู้ใช้ชีวิตอยู่กับสมมุติโลกตามจริง แม้จะสัมผัสรสอร่อยใดๆ ที่โลกทั่วไปสมมติกัน จิตเราจะไม่หลง ยินดีตาม และจะรู้จริงตามความเป็นจริง เพราะได้ฆ่ากามตัณหาออกจากจิตแล้ว

การเกิดของรสกามตัณหา...รสจากกายสัมผัสนั้นเป็นรสอย่างธรรมชาติ แต่เมื่อจิตเกิดกามตัณหาเข้าไปร่วมปรุงแต่ง จึงเกิดเป็น รสอร่อย ในห้วงแห่งใจ เป็นรสธรรมชาติของจิตสังขาร เป็นกามตัณหาในภพ จะเรียกว่าเป็นภวตัณหาส่วนย่อยอีกนัยหนึ่งก็ได้

เราเสพกามตัณหาในภพได้อย่างไร?... ชีวิตในอดีตเราผ่านการเสพสัมผัสกามตัณหามามากมาย ทุกบทบาทรสชาติ ถูกบันทึกเก็บไว้ ในคลังแห่งความจำเป็นสัญญา เมื่อเรานำสัญญานั้นออกมาคิดปรุงแต่งเกิดเป็นรสอร่อยในห้วงจิต ถือเป็นการเสพกามตัณหา ในภพเสร็จสรรพ เกิดรสสุขารมณ์โดยไม่ต้องมีการสัมผัสทางกายเลย เป็นการเสพกาม อย่างลึกละเอียด และทำได้ง่ายเสียด้วยสิ

ด้วยเหตุนี้หากเราไปสั่งสมเสพกามตัณหาไว้มากๆ เมื่อจะล้างจึงยากเย็นแสนเข็ญ เพราะแม้เราไม่เสพทางกายแล้ว แต่หากเผลอสติ จิตก็จะปรุงกามสัญญาขึ้นมาเสพจนได้ คนที่เคยผ่านชีวิตแต่งงาน เมื่อมาถือปฏิบัติธรรม ตั้งตนเป็นคนโสด จึงไม่ง่ายนัก เพราะอดีตรัก อันหวานซึ้ง ยังเป็นกามสัญญา ในห้วงจิต หากไม่ควบคุมจิตสังขารให้ดี ก็จะเผลอเสพกาม ในภพอยู่เรื่อยๆ บ่อยเข้า ก็สุดจะทน อยู่เป็นโสดได้ ต้องวนกลับไปใช้ชีวิตคู่เช่นเคย

แม้ไม่มีกามสัญญาให้เสพก็ตามที แต่หากคิดปั้นกามขึ้นมาเสพในภพเอาเอง จะเรียกว่าฝันหวาน สร้างวิมานในอากาศ เสพสมใจ ก็เป็นได้ ล้วนเป็นการเสพ รสกามตัณหา ในภพทั้งสิ้น

ดังกล่าวมานี้ คนทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษา ล้างกิเลสภายในจิต จึงพอกพูนกิเลสกามตัณหาขึ้นภายในจิตอยู่เนืองๆ โดยไม่รู้ตัว และก่อเป็น อำนาจผลักดัน ให้แสวงหากามเสพสม ภายนอกอีกที คนจึงดิ้นรน หาเสพสุขสมใจ ไม่จบสิ้น ชีวิตทุกข์ร้อน ลนลาน แก่งแย่ง แข่งขัน โหดร้าย รุนแรง เพราะกามตัณหาเป็นเหตุ.

- พุทธบุตร ลูกหม้ออโศก -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


นร.สัมมาสิกขา ม.๖ รับกลด
ประทับใจได้สั่งสมบารมี

พ่อท่านให้โอวาท การดำเนินชีวิตให้ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองแยกแยะว่าสิ่งไหนดีชั่ว
ควรทำหรือไม่ควรทำ แล้วเลือกทำแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นไปเพื่อมวลมนุษยชาติ

ทำงานเสียสละ ซื่อสัตย์ จริงใจ แล้วเราก็จะประสบผลสำเร็จในชีวิตได้

ณ พุทธสถานปฐมอโศก เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๕ มี.ค. ที่ผ่านมาเป็นงานพิธีรับกลดของนร.สัมมาสิกขาชาวอโศก ที่จบการศึกษา ระดับชั้น ม.๖ ปีการศึกษา ๒๕๔๕ โดยมีพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์เป็นผู้มอบ มีผู้ไปร่วมแสดงความยินดีมากมายทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง และ ญาติธรรม สำหรับปีนี้มีผู้สำเร็จการศึกษาชั้น ม.๖ จากโรงเรียนสัมมาสิกขารวมทั้งสิ้น ๔๓ คน ดังนี้ โรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก สีมาอโศก ราชธานีอโศก มีผู้จบ ม.๖ โรงเรียนละ ๑ คน ศาลีอโศก ๘ คน โรงเรียนสัมมาสิกขาและโรงเรียนสัมมาอาชีวปฐมอโศก กับโรงเรียน สัมมาสิกขา และโรงเรียนสัมมาอาชีว-ศีรษะอโศก จบเท่ากันคือ โรงเรียนละ ๑๖ คน

เวลาประมาณ ๐๙.๓๐ น. ช่วงก่อนฉัน พ่อท่าน ให้โอวาทแก่นักเรียนสัมมาสิกขาทุกๆคนที่จบออกไปว่า "การเรียนจบของโลกโลกียะจะไม่มีวันจบสิ้น ถึงแม้ จะเรียนจบชั้นประถมศึกษาแล้ว ก็จะต้องเริ่มต้นเรียน ต่อใหม่ในระดับชั้น มัธยมศึกษา พอเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาแล้ว ก็จะต้องเริ่มต้นเรียนต่อใหม่ในระดับอุดมศึกษา และต่อไปไม่มีวันจบสิ้น เพราะจบ คือการเริ่มต้นใหม่ เมื่อจบชีวิตลง ก็จะต้องไปเริ่มเกิดใหม่ เรียนใหม่ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ทุกข์แล้วทุกข์อีก อยู่อย่างนี้ ตลอดไป จนกว่าจะสามารถดึงชีวิตโลกียะของตนเอง พลิกผันกลับมาดำเนินชีวิตอยู่อย่างโลกุตระ คือการมักน้อย สันโดษ ใช้ชีวิต อยู่อย่างเสียสละ ทำงานเพื่อส่วนรวมโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่คดโกง และใช้ชีวิต อยู่ในเพศ พรหมจรรย์ ปฏิบัติธรรม ไปเรื่อยๆจนบรรลุผลตามลำดับขั้นตอนคือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ซึ่งการจะปฏิบัติได้นั้น จะต้องมีคุณธรรม เห็นประโยชน์และคุณค่าอย่างแท้จริง ในยุคสมัยนี้ ผู้คนกำลังมัวเมา อยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จนสังคมปัจจุบันวุ่นวายขาดคุณธรรม เกิดความเดือดร้อนกันทั่วหน้า อนาคตของชาติ จะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน ว่าจะช่วยกันได้แค่ไหน

ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรนั้นจะต้องคิดให้รอบคอบ ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองแยกแยะว่าสิ่งไหนดีชั่ว ควรทำหรือไม่ควรทำ แล้วเลือกทำ แต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นไปเพื่อมวลมนุษยชาติ ทำงานเสียสละ ซื่อสัตย์ จริงใจ แล้วเราก็จะประสบผลสำเร็จในชีวิตได้"

ปีนี้พ่อท่านคิดว่าจะแจกกลดเป็นปีสุดท้าย ปีต่อไปจะแจกสัญลักษณ์อื่นแทน แต่มีเสียงเรียกร้องมามากว่า อยากให้แจก กลดอีก ในปีต่อไป เพื่อจะให้เป็นที่ระลึก และคงความขลังไว้ พ่อท่านเลยตกลงจะแจกกลด ไปเรื่อยๆตามคำเรียกร้อง พร้อมกับสัญลักษณ์ ที่จะทำขึ้นใหม่ด้วย

ผู้สื่อข่าวของเราได้สัมภาษณ์ความรู้สึกและความคิดของนักเรียนที่จบ ม.๖ ปีนี้ ดังนี้

นายชุมพล พงศ์สุวิมล อายุ ๑๙ ปี โรงเรียนสัมมาสิกขาศาลีอโศก ภูมิลำเนาเดิม จ.ตาก

"ภูมิใจมาก ที่ได้จบจากสัมมาสิกขา เพราะกว่าจะจบมาได้นั้นต้องผ่านอุปสรรคหลายอย่างซึ่งอุปสรรค ตรงนั้นแหละ ที่ทำให้เรา มีวันนี้ มีจุดยืนที่ดี เพราะมันทำให้เราเข้มแข็งขึ้นทุกวัน สามารถแก้ปัญหาชีวิตด้วยตนเองได้ มันเป็นพื้นฐาน แห่งความสำเร็จ ในทุกๆเรื่อง"

คติประจำใจ ซื่อๆ ตรงๆ ไม่ดื้อซะอย่าง ทุกอย่าง ดีไปหมด

ได้พื้นฐานการปฏิบัติธรรมที่ดี ถือศีล ๕ ละอบายมุข กินมังสวิรัติอย่างบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้เป็นกำไรชีวิตที่เด็กข้างนอก มิอาจมีได้เลย อีกทั้งยังได้สั่งสมบุญบารมี โดยการทำงานเสียสละเพื่อมวลมนุษยชาติ ได้ศึกษา หาความจริง อันประเสริฐที่ว่า คนเราเกิดมา ต้องจน จนอย่างมีคุณค่า และเป็นประโยชน์ให้กับสังคมประเทศชาติ มิใช่มัวแต่หลงใหล ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข"

นางสาวฟ้าฝ่าฝัน พิพัฒน์พันธ์ อายุ ๑๙ ปี โรงเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศก ภูมิลำเนาเดิม จ.อุบลราชธานี

คติประจำใจ ไม่มีสิ่งใดยากเกินความสามารถของมนุษย์ถ้าเราจะทำ

สิ่งใดที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้สามารถอยู่ได้จนจบ ม.๖
คิดว่าสิ่งนั้นคือ ความตั้งใจที่ดี ที่เรามีมาตั้งแต่ ม.๑ แล้วว่าจะเรียนให้จบ ม.๖ และประสบการณ์ทั้งชีวิตที่เราประสบพบมาว่า ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว ที่ดีเกินที่นี่ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราจะออกไปหาอะไรข้างนอกอีก ในเมื่อมีทางนี้ทางเดียว ที่จะพาเราพบกับ ความสุขอันประเสริฐ ที่เรายังไม่เคยได้สัมผัสเลย

เคยมีความคิดที่จะออกจากที่นี่หรือไม่ ถ้ามีแล้วแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร
มีค่ะ และแก้ไขปัญหานี้โดยการหาเวลาว่างๆ อยู่กับตนเอง แล้วทบทวนตัวเองดูดีๆ ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ใช้หลักอริยสัจ ๔ ในการแก้ปัญหาแล้วแสงสว่างก็จะเกิดขึ้นกลางใจเรา ปัญหานั้นก็จะจางคลายลง แต่ถ้าวิธีนี้ไม่ได้ผล ก็หาเวลา ไปปรึกษาผู้รู้ ที่เรามั่นใจว่าเขาจะช่วยเราได้ หลักสำคัญในการแก้ปัญหาก็คือ ทำจิตใจให้เย็น ไม่วู่วาม ไม่ตัดสินใจ โดยไม่ไตร่ตรอง ใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว

นายแรงลึก ชีวกุลจรรยา อายุ ๒o ปี โรงเรียนสัมมาอาชีวศีรษะอโศก

คติประจำใจ สิ่งที่คิด คือความฝัน อนาคตคือความเจ็บปวด เงินตราคือยาพิษ

ที่นี่ให้อะไรมามากมายหลายอย่างเคยมีความคิดที่จะให้อะไรกับที่นี่บ้างมั้ย อย่างไร
มี คือ ทำงานเสียสละแรงงานช่วยชุมชนให้มีไฟฟ้าและน้ำใช้ตลอดปี โดยไม่หวังผลตอบแทนแค่เห็นคนอื่นมีความสุข เราเอง ก็มีความสุขแล้ว ใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษ กินน้อยใช้น้อย ชีวิตคนเราก็ไม่มีอะไรมากหรอก เดี๋ยวก็ตายแล้ว แต่ก่อนตาย เราจะสร้างสิ่ง ดีๆไว้ให้โลกชื่นชม

สิ่งที่ได้จากโรงเรียนสัมมาสิกขา เมื่อออกไปข้างนอกแล้ว จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นอย่างไร
เอานิสัยที่ดีๆ จากที่นี่ ไปพัฒนาตนเอง ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับสังคม พึ่งตนเอง จนสามารถ ให้คนอื่นพึ่งเราได้ เห็นแก่ประโยชน์ ส่วนรวม มากกว่า ประโยชน์ส่วนตน

นายหินสือ สุดเดช อายุ ๑๘ ปี โรงเรียนสัมมาสิกขาราชธานีอโศก

คติประจำใจ ตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน

เมื่อมาอยู่ที่นี่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของ ตนเองอย่างไรบ้าง
เปลี่ยนแปลงมาก ในด้านศีลธรรม มีจิตใจเอื้ออาทรเพื่อนมนุษย์ซึ่งกันและกัน ไม่เห็นแก่ตัว มีจุด มุ่งหมายที่มั่นคงให้กับชีวิต พร้อมที่จะทำงาน เสียสละเพื่อผู้อื่นทุกเมื่อ

ปัญหาและอุปสรรคที่หนักที่สุดในการอยู่ที่นี่คืออะไร
สภาพภูมิอากาศของบ้านราชฯ เป็นอุปสรรคที่หนักมากต่อการทำงาน เช่นช่วงฤดูร้อนก็ร้อนมาก จนแทบอยู่บ้านไม่ติด ทำอะไรไม่ได้ ช่วงฤดูหนาวก็หนาวมากขาดแคลนผ้าห่มที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย พอช่วง ฤดูฝนน้ำก็ท่วม แต่ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเราก็สามารถ อยู่อย่างเป็นสุขได้ ไม่อพยพหลบหนีไปไหน

นางสาวอรทัย ทุมมณี อายุ ๑๘ ปี โรงเรียนสัมมาสิกขาสีมาอโศก

คติประจำใจ งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา

ระหว่างได้เรียนกับชาวอโศก มีวิธีปฏิบัติตนอย่างไร
ปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียน โดยนำ ปรัชญา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา มาเป็นแนวทางปฏิบัติ ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง และผู้อื่น มากที่สุด พยายามทำ "ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา" ให้เป็นจริง มิใช่เพียง การนำมาบังหน้า เท่านั้น

"อนาคตชาติไทย จะอยู่หรือพัง ฝาก ความหวังนี้ไว้ที่พวกเรา" มีความคิดเห็นอย่างไรกับข้อความข้างต้นนี้
ถ้าเยาวชนรุ่นพวกเรา เกเร หรือไม่มีพื้นฐานที่มั่นคง ชาติก็จะพังได้ พ่อท่านอุตส่าห์มอบความหวังนี้ ไว้ให้กับพวกเรา มันจะเป็นเพียง ความฝัน ลมๆ แล้งๆ ไม่ได้ ชาติของเราจะต้องเจริญแน่ๆ ด้วยฝีมือของ สัมมาสิกขา ทุกๆสถาบัน


นายจตุพงษ์ นิ่มนวล อายุ ๑๙ ปี โรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก
คติประจำใจ อดทน

คิดว่าจะทำประโยชน์ให้กับสังคมอย่างไร
เป็นคนดีของสังคม ไม่เอาเปรียบเห็นแก่ตัว ช่วยงานทุกอย่างที่เป็นไปเพื่อการพัฒนาประเทศชาติ ตามความสามารถ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ไม่คดโกง ประกอบอาชีพอย่าง ซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรมประจำใจ

การศึกษาของข้างนอกในมุมมองของคุณเป็นอย่างไร
ขณะนี้การศึกษาของข้างนอกกำลังล้มเหลว เด็กจบออกมาแล้วไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ต้องตกงาน มีปัญหา การฆ่าตัวตาย ของนักศึกษาบ่อย เพราะไม่มีวิธีแก้ปัญหาชีวิต อย่างถูกต้อง ใช้อารมณ์ ในการตัดสินปัญหา ทำให้สังคมปัจจุบัน วุ่นวายกันไปหมด ต้องปลูกฝังสำนึกที่ดี ให้กับเยาวชน จึงจะสามารถแก้ปัญหานี้ได
้.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


บ้านราชฯ อบรมเรื่องระบบน้ำ

ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ มี.ค. ๔๖ บ้านราชฯ เมืองเรือ จัดอบรม เรื่องการออกแบบระบบน้ำ แบบประหยัด โดยเชิญ
อ.บุญมา ป้านประดิษฐ์ พร้อมคณะจากภาควิชา วิศวกรรมชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ มี ญาติธรรม ผู้สนใจและตัวแทน จากเครือข่ายต่างๆ ของชาวอโศกเข้ารับฟัง การบรรยาย ครั้งนี้ ประมาณ ๓๐ คน ณ เฮือนศูนย์ฯ ชั้น ๒


ตลอดการอบรมในภาคเช้าเป็นบรรยาย ภาคทฤษฎี ส่วนภาคบ่ายพาผู้อบรมลงมือปฏิบัติการจริง ที่สวนไวพลัง, วังไพร และ สวนไวเกินฝัน ในวันสุดท้ายได้ไปดูปัญหาและให้คำแนะนำการบำบัดน้ำเสียจากน้ำล้าง เต้าหู้ที่อุทยานบุญนิยม โดยผู้เชี่ยวชาญ การบำบัดน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย


สำหรับระบบน้ำที่สวนวังไพรและไวพลัง อ.บุญมา บอกว่าค่อนข้างสมบูรณ์ และได้ให้ข้อคำแนะนำเกี่ยวกับการวางระบบน้ำ ที่สวนไวเกินฝัน


สำหรับผู้เข้ารับการอบรมได้ให้สัมภาษณ์ถึงความรู้สึก ดังนี้


นายลำพูน ขันทอง สวนส่างฝัน จ.อำนาจเจริญ "ได้รู้วิธีคำนวณจัดระบบน้ำ ให้ประหยัดเราจะวางอย่างไร เพื่อลดต้นทุน ในการผลิตและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ฟังแล้วก็ปวดหัวนิดหน่อยเพราะตัวเลขเยอะ แต่พอได้ลงสนามปฏิบัติจริง ก็เข้าใจดีขึ้น สามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ จะนำความรู้ที่ได้รับไปเข้าที่ประชุมก่อน


วันแรกไปดูการจัดระบบน้ำที่สวนวังไพร วันที่สองก็วิเคราะห์ว่ามีปัญหาอะไร จะแก้อย่างไร วันที่สามไปที่สวนไวพลัง ทดลองต่อหัวจ่าย แบบสเปรย์ และที่สวนไวเกินฝัน ทดลองวางระบบน้ำหยดว่าเราต่อท่อแบบนี้ จ่าย เท่านี้พอไหม ลองทำแล้วก็ใช้ได้ครับ"


นายอ่อนสี บุราณ จ.ชัยภูมิ "ได้ความรู้มากที่จะเอาไปใช้ในการทำเกษตรของหินผาฟ้าน้ำ โดยเฉพาะระบบน้ำที่หินผาฯมีปัญหาว่ าแรงงานไม่พอ แต่เราปลูกพืชผักไว้เยอะไม่มีใครรดน้ำ เมื่อได้มาฟังเรื่องเกี่ยวกับระบบน้ำจะ
ทุ่นแรงไปได้มาก ได้รับความรู้เกี่ยวกับ การใช้ขนาดสปริงเกอร์ที่เหมาะกับพื้นที่และประหยัดต้นทุน ได้รับประโยชน์มาก"


ม.วช.ผาก้อง พรหมรักษา เขตศีรษะอโศก "เป็นเรื่องที่เราพอมีความรู้อยู่บ้าง แต่ไม่รู้ในรายละเอียด ประมาณเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ พอลงรายละเอียดทำให้เราคำนวณได้ว่าคุ้มไหมกับการที่เราทำ"


นายเกษม เพชรสังข์ ทักษิณอโศก "อาจารย์ให้รายละเอียดได้ดีมาก จะได้มีหลักการในการนำไปใช้เรื่องการเลือกหัวจ่ายน้ำ และเลือกปั๊มน้ำ จะนำเรื่องหัวจ่ายน้ำไปใช้ เพราะที่ทักษิณฯติดตั้งไว้แล้ว"


นายทองใบ ดวงเนตร เมฆาอโศก "ได้ความรู้เพิ่มขึ้น รู้แนวทางที่จะปรับปรุงพื้นที่ของเราว่าจะวางแผนลงพื้นที่อย่างไร ฟังแล้วทำให้เราประหยัดน้ำ ได้อีกเยอะ การ ลงทุนจะถูกลง จะนำไปใช้ที่เมฆาอโศกครับ"


นายไม้ผล ธรรมชาติอโศก ศาลีอโศก "ความรู้ที่เรามีอยู่ โดยมากจะเป็นประสบการณ์ เขาบอกต่อ มาฟังเพิ่มเติม เป็นวิชาการ มีหลักการคำนวณ ตัวเลขออกมา ฟังแล้ว ดูแล้ว สามารถทำได้ เพราะโดยมากเราจะฟังทฤษฎี มาแล้วเขาจะไม่ลง รายละเอียด แต่อาจารย์ จะลงรายละเอียด เหมือนออกจากจิตวิญญาณ ที่จะให้เอื้อได้เกร็ดความรู้เพิ่มเติมที่เราคิดไม่ถึง เช่น อากาศในท่ออยู่ส่วนไหน ของท่อระบบน้ำ ที่สวนไวพลัง ที่ผมติดตั้งไว้ ช่วงนี้ไม่ต้องปรับปรุง เพราะทรงพุ่มไม้ยังแคบอยู่ไม่เกินปริมาณ ที่อาจารย์แนะนำ แต่ในอนาคต ต้องเพิ่มเติม และติดตั้งการให้ ปุ๋ยน้ำ เพราะเราให้แต่ปุ๋ยดิน อาจารย์มาให้วิชาการ ว่าต้องทำเลย.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กสิกรรมไร้สารพิษช่วยปลดหนี้ (ตอน ๑)

หลายคนคิดว่าการใช้เงินเป็นตัวตั้งในการแก้ปัญหา ให้คนมาร่ำรวยจะสามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ แต่จริงๆแล้ว ไม่สามารถ แก้ปัญหาได้เลย แต่กลับทำปัญหามากยิ่งขึ้น วิธีแก้ปัญหาด้วยการสอนให้คนมาจน มาลดละ ไม่คิดจะรวย ทำอยู่ทำกิน ด้วยทฤษฎี เศรษฐกิจพอเพียง ที่เหลือ จึงนำไปขาย หนี้สินสามารถหมดลงได้ ชีวิตมีความผาสุก มากยิ่งขึ้น ทีมข่าวสัญจร ขอนำท่านผู้อ่าน ไปพบกับชีวิตจริง ของผู้เข้ารับการอบรม หลักสูตรสัจธรรมชีวิต ที่สามารถปลดหนี้สิน ที่มีอยู่ให้หมดลงได้

แนะนำตัวเอง
ดิฉันชื่อนางประทิน รุ่งเรือง อายุ ๔๙ ปี เป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี ได้ไปอบรมหลักสูตร สัจธรรมชีวิต ที่ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน อินทร์บุรี ก็ ไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. เห็นเขาไปกันเลยก็เลยขอหัวหน้าไปอบรมด้วย ที่อยากไปเพราะเราเป็นหนี้เป็นสินอยู่หลักแสน

ทำทันที ได้ผลทันตา
ไปถึงแล้วคิดว่าต้องเอาความรู้ให้ได้ อบรมแล้วกลับไปถึงบ้านก็เหนื่อย คนอื่นเข้าก็พักกัน แต่ดิฉันคิดว่าเรามีหนี้ ได้ความรู้ มาแล้วต้องรีบทำ กลัวลืมสูตร หนังสือเราก็ไม่ค่อยมีความรู้

ที่บ้านสวน ๒ ไร่ ๒ งาน ปกติก็ปลูกต้นไม้อยู่แล้ว แต่ผลผลิตไม่เต็มที่ ถ้าไม่ใส่ปุ๋ยเคมี ฉีดสารเคมี ก็เหมือนกับเราปลูก ไว้ดูใบเล่นๆ ตอนที่ใช้สารเคมี เคยแพ้ยา ฉีดแล้วเกิดอาการช็อค ไม่ได้สติ วูบไปเลย สามีต้องพาไปโรงพยาบาลถึงดีขึ้น

ที่บ้านมีมะนาวเยอะ ไปถึงชวนสามีล้างมะนาว ทำ แชมพูสระผม ได้ซื้อหัวเชื้อ ไปจากที่อบรม ทำเป็นผลสำเร็จ ต่อจากนั้นก็ทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ เลิกใช้สารเคมีและกินมังสวิรัติ เพราะติดพันไปจากที่อบรม กลับมาก็ไม่ทานเลย ก็กินมาจนปีกว่าแล้ว ก่อนหน้าไปอบรมดิฉันเคย บอกกับลูกไว้ว่า เนื้อต่างๆมันมีแต่สารพิษอย่ากินมาก.
(อ่านต่อฉบับหน้า)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


จะรู้ตนเองได้อย่างไรว่า ใช่อโศกพันธุ์แท้หรือไม่
- สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร -งานพุทธาฯที่ผ่านมา เราเป็นคนจำพวกไหน ได้รับของแจกจากพ่อท่าน บ้างหรือเปล่า แล้วทุกวันนี้เราดำเนินชีวิตนี้อยู่บนมรรคมีองค์ ๘ หรือโลกธรรม ๘ กันแน่ ขอเชิญพบกับคำให้สัมภาษณ์ชนิด คมชัดลึก จากท่านสมณะเดินดิน ติกขวีโร ได้แล้วค่ะ


งานพุทธาฯปีนี้ท่านมีข้อคิดอะไรบ้างคะ
งานพุทธาภิเษกเป็นยัญพิธีที่สำคัญอันหนึ่งของชาวอโศก ซึ่งเป็นยัญพิธี ที่มีผลมากน้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพวกเรา ที่มีความตั้งใจ ไปบำเพ็ญประพฤติปฏิบัติกันในงานนี้ ซึ่งสามารถแยกญาติธรรม ออกเป็น ๔ จำพวก

พวกที่ ๑ ไม่ได้เห็นความสำคัญว่ายัญพิธีนี้มีผลอะไร ก็เลยพุ่งไปหาเงินหาทอง โดย เข้าใจว่าน่าจะเป็นทรัพย์แท้ ของชีวิต ให้กับตน พวกนี้ก็จะเป็นพวกที่มองไม่เห็นว่ายัญพิธีมีผล

พวกที่ ๒ ก็มองเห็นว่ายัญพิธีมีผล แต่ก็มาร่วมงานยัญพิธีนี้อย่างสีลัพพัตตปรามาสอย่างลูบๆคลำๆ ไม่ได้จริงจังอะไร รายการภาคค่ำ ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร ดีไม่ดีก็คุยกันจนเพลินจนดึกจนดื่น ตื่นมาทำวัตรก็ไม่ไหว นี้ ก็เรียกว่า มีผลเหมือนกัน แต่มีผล เพียงแค่ สีลัพพัตตปรามาส คือสักแต่ว่าได้ลูบๆคลำๆ ศีลพรตเท่านั้นเอง

พวกที่ ๓ ก็เห็นความสำคัญของยัญพิธี พยายามที่จะร่วมกิจวัตรลงทำวัตรอะไรได้ดีตามเวลา เอาใจใส่ ในการที่จะฟังธรรม ศึกษา ทุกรายการได้ดี แต่ประโยชน์ท่านที่จะขวนขวายเอาภาระในกิจใหญ่น้อยของหมู่กลุ่มไม่ได้ทำ

พวกที่ ๔ ยัญพิธีมีผลที่สมบูรณ์ก็คือ สามารถที่จะทำประโยชน์ตนในการที่จะขวนขวายใส่ใจศึกษาได้แล้ว ก็สามารถ ที่จะเอาภาระ ช่วยเหลือ ขวนขวาย ทำให้ยัญพิธีดำเนินไปได้อย่างเรียบร้อยบริบูรณ์ เป็นผู้ที่พิธีกรรมก็ได้ร่วมทำด้วย ในกิจกรรม ที่จะทำให้พิธีกรรมสมบูรณ์ก็เป็นเรี่ยวเป็นแรงเป็นหลักให้ได้อีกด้วย ส่วนพฤติกรรมก็สามารถที่จะทำทั้งประโยชน์ตน (อธิศีล-อธิจิต -อธิปัญญา) ประโยชน์ท่านให้ครบสมบูรณ์ได้พร้อมๆกัน ผู้ที่สามารถขวนขวายได้แบบนี้ก็ถือว่า เป็นอุบาสกอุบาสิกา ชั้นเลิศ หรือ ชั้นยอด ในทางพุทธศาสนา

ส่วนข้อคิดอีกประการหนึ่งก็คือ ในช่วงงานมีข่าวมรณานุสติหลายเจ้าด้วยกัน ลูกของญาติธรรมซึ่งมาลดละเลิกอบายมุข กำลังจะ มาถือศีลกินเจ แต่ก็ถูกฆ่าตายในระหว่างที่ไปทำมาค้าขาย สามีของญาติธรรมไปอยู่ทาง เชียงใหม่ มีนาฬิกา ราคาแพง มีรถราคาแพง ก็ถูกคนร้ายฆ่าตายเพื่อมุ่งหมายเอาทรัพย์ เด็กของเราก็ถูกโจรวัยรุ่น มาจี้ทำร้ายร่างกาย ต้องเย็บ ๘๐ กว่าเข็ม เพราะมุ่งหมาย เอาทรัพย์ ก็จะเห็นได้ว่าโลกภายนอกกำลังเดินทางไปสู่กลียุคกันเต็มที พวกเราเอง ไม่ควรที่จะได้ ประมาทเลย ควรที่จะได้มา สะสมทรัพย์แท้ รีบมาบำเพ็ญบารมีกัน ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่วิบากร้ายจะมาเล่นงานเรา

ท่านคิดว่าอันตรายที่ชาวอโศกต้องระวังกันให้มากในยุคนี้คืออะไรคะ
ในยุคที่โลกกำลังเดินทางเข้าสู่กลียุค พ่อท่านเป็นผู้ที่มาประกาศ มรรคมีองค์ ๘ เพื่อสืบสานศาสนาไปให้ได้ถึง ๕ พันปี สิ่งที่ชาวอโศกต้องระมัดระวังอย่างมากก็คือ ต้องทบทวนกันว่าทุกวันนี้เรากำลังเดินอยู่มรรค มีองค์ ๘ หรือกำลังวิ่งโลดแล่น ไปอยู่บนเส้นทาง ของโลกธรรม ๘ คำถามที่ว่าอะไร คืออันตรายมากที่สุด ของชาวอโศก ในยุคนี้ ก็คือโลกธรรม ๘ นั่นเอง พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ว่า โลกธรรม คือ ลาภ สักการะ และเสียงสรรเสริญ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ด อยากจะให้พวกเรา ตระหนักกัน อย่างมากเลยว่า เรากำลังเผชิญอยู่กับ อันตรายอันแสบเผ็ด ถ้ามีใครมาบอกว่า ชาวอโศกเป็นพวกบ้า พวกเพี้ยน พวกตกขอบ สิ่งเหล่านี้ยิ่งด่าว่าชาวอโศก ก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ จะทำให้ชาวอโศกแข็งแกร่ง เติบโตได้เร็ว แต่ถ้าชาวอโศก มีแต่ได้รับคำชม เป็นคนดี เป็นคนวิเศษ เป็นคนน่าเคารพนับถือ ยอดเยี่ยม ตรงนี้แหละ ชาวอโศกกำลังได้รับ อันตราย อันแสบเผ็ด ซึ่งจะทำให้เราฟูฟ่อง ล่องลอย กลายเป็นฟองสบู่ ที่รอวันระเบิด

สังคมภายนอกเขาล้มเหลวก็เพราะว่า เขาหลงระเริงฟูฟ่องล่องลอยไปกับโลกธรรม ๘ ซึ่งในยุคนี้ชาวอโศกเอง ก็ได้คำตอบรับ ยินดี พอใจ ก็จะทำให้พวกเราต้องฟูฟ่องล่องลอย วิ่งไปตามโลกธรรม ๘ เช่นเดียวกัน จนทำให้เรา ต้องเดินทางกันมาก เพื่อที่จะไป แสดงวิสัยทัศน์ และเรายินดีพอใจ ที่ได้แสดงวิสัยทัศน์ ได้ไปบรรยาย หรือแสดงความรู้ จนแทบไม่มีเวลาอยู่วัด ไม่มีเวลาทำวัตร ไม่มีเวลาที่จะลงกิจวัตร แต่พร้อมที่จะไปแสดงวิสัยทัศน์ของตัวเรา ได้อยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่า ก็จะทำให้ คนของเรา จะไม่มีเวลาอยู่ในพื้นที่เท่าไหร่ อนาคตเมื่อไม่ได้อยู่ ในพื้นที่มากๆ ในอนาคต ก็อาจจะตายคาที่เลยก็ได้ อย่างน้อย ผักหญ้า ก็ตายคาที่ก่อน ส่วนคนกิน เมื่อไม่ค่อยมีเวลาอยู่วัด ก็จะตายคาที่ ตามผักหญ้า ไปด้วย เพราะไปรับ เอาแต่ของมีพิษ จากภายนอก

แล้วพวกเราก็จะเลือกเอาในเส้นทางที่มันง่ายกว่า เพราะว่าการพูดให้ผักงาม กับการปลูกผักให้งาม การพูดให้ผักงามทำง่ายกว่า ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องตากแดด ไม่ต้องทนร้อน ไม่ต้องลงแรง ไม่ต้องรอเวลา การพูดให้ผักงาม ไปพูดหลายๆที่ ผักก็จะงาม ขึ้นเรื่อยๆ ผักก็จะดูสวยขึ้นเรื่อยๆ แต่จริงๆแล้ว พื้นที่ของเรา อาจจะแห้ง เป็นทะเลทรายได้ เพราะว่าเจ้าของ ไม่ได้อยู่ ในพื้นที่เท่าไหร่ มีแต่ลูกน้อง มีแต่ปลายแถวอยู่ พวกลูกน้อง พวกปลายแถว ก็ทำได้ตามที่บารมี ตามที่ลูกพี่สั่ง อย่างไม่มี กะจิตกะใจ มันก็ทำได้ไม่ดี แต่ผักของลูกพี่ ที่คุยออกไป มีแต่งามขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการคุยโม้โอ้อวด นี่ก็เป็นการผิดศีล ข้อที่ ๔ ประการหนึ่ง

ดังนั้นส่วนนี้จึงอยากให้พวกเราได้ตระหนักว่า โลกทุกวันนี้เสื่อม เพราะการโปรโมต เพราะการโฆษณา เพราะการโหม ประโคม ในสิ่งที่ ไม่ได้เป็นเนื้อหา สาระเท่าไหร่ ก็อยากให้ชาวอโศกเรา ระวังว่า ทุกวันนี้ เราจะจัดงานกัน เราจะไปเน้นเรื่อง การโปรโมต การโฆษณา จะไม่ได้พยายาม ที่จะพัฒนาเนื้อหาสาระ ให้ได้มากเพียงพอ ชีวิตของเรา ก็จะวุ่นวาย โลดแล่นไปกับ โลกธรรม ๘ มากกว่า มรรคมีองค์ ๘ วิ่งไปกับการแสดงวิสัยทัศน์ มากกว่าการลงกิจวัตร การทำวัตร ส่วนนี้ก็จะเป็นส่วนที่เป็นอันตราย กับชาวอโศก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า นี่คืออันตรายอันแสบเผ็ด ที่ชาวอโศก ต้องระวังอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าซัดดัมกับอเมริกา จะเอาขีปนาวุธ ทำลายกันเสียอีก อย่างนั้นพอหลบได้ แต่โลกธรรม ๘ นอกจากเราจะไม่หลบแล้ว เรายังวิ่งเข้าไปดูดดื่ม ซึมซับซาบกับมัน อย่างเอร็ดอร่อย เสียด้วยซ้ำไป ซึ่งภายนอก จะมีให้เรามากมาย แต่เวลาพอเรากลับมา อยู่ในวัด มีแต่คำตำหนิ ติเตียน สุดท้าย เราเองก็จะไปเลือกตั้งวงเอง เลือกแยกวงเอง ไปแสวงหาโลกธรรม ๘ เอง จะไม่ยินดีพอใจ ในการที่จะได้อยู่กับหมู่ กับกลุ่มเท่าไหร่ เพราะนอกจาก ไม่ดังแล้ว ยังถูกตำหนิติเตียน สุดท้าย ไปจบลงที่ ดังแล้วแยกวง หรือดังแล้ว ไปแสวงหา โลกธรรม ๘ แทน จุดนี้คิดว่า เป็นอันตรายที่ชาวอโศก น่าจะได้ระมัดระวังกัน

ในช่วงนี้ดูเหมือนว่าพ่อท่านจะมีของแจกของแถมให้กับพวกเราอยู่หลายอย่าง ท่านคิดว่าพวกเรา ควรจะได้เอามาสังวรระวังกันอย่างไรบ้างคะ
ในงานพุทธาฯที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนว่าพ่อท่านจะแจกหนวดให้กับผู้ที่มาเป็นแขกในงาน คือคนที่มา งานพุทธาฯ ถ้าเอาแต่ เป็นแขกอย่างเดียว ทำตัวเหมือนเป็นแขก ไม่ค่อยร่วมไม้ร่วมมือ คิดสร้างสรร ช่วยงานช่วยการเท่าไหร่ ท่านก็บอกว่า คนที่เหมาะ สำหรับเป็นแขก ท่านก็จะแจก หนวดให้ เพื่อจะได้เป็นแขก ที่สมบูรณ์

คำว่าแขกกับเจ้าภาพ ถ้าเราไปงานไหนๆเรามีความเป็นเจ้าภาพ เหมือนกับเราเป็นเจ้าของกิจการ หรือเจ้าของศาสนา นั่นแหละ ถ้าเราเป็นแค่แขก เหมือนกับเป็นแขกของศาสนา ดังนั้น ระหว่างแขกของศาสนา กับเจ้าภาพของศาสนา น้ำหนักที่เป็นเนื้อหา ของมรรคผล มันก็ย่อม จะแตกต่างกัน ดังนั้น ถ้าเราไปที่ไหนๆได้ เราไปในบทบาทของเจ้าของศาสนา เป็นคนที่เอาภาระ เอาใจใส่ ไม่ดูดาย พร้อมที่จะร่วมไม้ ร่วมมืออยู่เสมอ เหมือนไปกับแบบ เป็นเจ้าของ ของศาสนา น้ำหนักของคุณธรรม ก็น่าจะมากกว่า เพียงแค่เป็นแขก เท่านั้นเอง เป้าหมาย ของการปฏิบัติธรรม นอกจาก อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ และสุดท้าย คือ บูรณภาพ การจะเกิดบูรณภาพได้ เพราะว่าชาวอโศก มีบูรณาการ เป็นคนมีกะจิตกะใจ เป็นคนเอาใจใส่ พยายาม แบ่งเบากัน เหมือนเราเข้าห้องน้ำ ถ้าแต่ละคน พยายามทำความสะอาด คนละไม้ คนละมือ คนละเล็ก คนละน้อย ห้องน้ำ ก็จะสะอาด อยู่เสมอ อยู่ตลอดเวลา ไม่ไปหนักเป็นภาระ แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง เมื่อทุกคน มีบูรณาการ ก่อให้เกิด บูรณาภาพ ก็จะเป็น จุดหมายปลายทาง ของชาวอโศก ดังนั้น ถ้าเราไม่ไปเป็นแขก พ่อท่านเอง ก็ไม่ต้องแจกหนวด ให้กับเรา

นอกจากแจกหนวดแล้ว พ่อท่านก็บอกว่าก็จะมีการแจกหญ้าให้อีก ท่านได้ยกตัวอย่างเรื่องลา มันจะทำงานได้ ต้องมีหญ้าล่อ ไว้ข้างหน้าลาถึงจะเดินไปทำงานได้ พวกเราใครที่จะทำงานแล้วต้องมีเงิน มีตำแหน่ง หรือไม่ได้ตำแหน่งอะไรมาก เป็นผู้รับใช้ ถ้าเป็นผู้รับใช้ ถึงจะเอาการเอางาน ถ้าไม่ได้เป็นผู้รับใช้ ก็ไม่ค่อยทำการทำงาน อันนี้เราเอง ก็ไม่ต่างจากลา เราอาจจะเคย เป็นลามาก่อน ถ้าไม่มีหญ้าล่ออยู่ข้างหน้าลาก็ไม่ยอมทำงาน เราเองก็ต้องพยายาม ที่จะเปลี่ยนความเคยชิน เราอาจจะเคย เป็นลาหลายชาติ แต่ตอนนี้เปลี่ยน มาทำงานเพื่องาน เพื่อให้งานสมบูรณ์ ไม่ต้องมีหญ้ามาล่อ ข้างหน้าก็ได้

แล้วพ่อท่านก็จะแจกต้นตาลสำหรับคนที่ลดตัวลดตนลงไม่ได้ จะต้องอยู่สูงอยู่เสมอ อาจจะสูงแบบต้นตาล หรือ ต้นมะพร้าว ซึ่งใครไปอยู่ใต้ร่มแล้ว มันก็อันตราย กิ่งก้านหรือลูก พร้อมจะหล่นใส่หัวได้ ร่มตาลร่มมะพร้าว จึงอันตราย ยิ่งสูงยิ่งอันตราย ความสูง ในทางศาสนา สูงในทางคุณธรรม คือสูงแบบมีสมานัตตา มีอัตตา เสมอสมานกับคนอื่น เหมือนยอดหญ้า ที่อยู่บนยอดเขา แม้หญ้าจะสูง แต่มันก็ติดดิน พร้อมให้คนเหยียบย่ำได้ พร้อมที่จะแพร่กระจาย ขยายไปได้ กว้างขวาง ถ้าต้นตาล ต้นมะพร้าว นี่มันสูง แบบเดี่ยวๆ ขยายไม่ได้เท่าไหร่ แต่หญ้าติดดิน มันขยายไปได้กว้าง ถ้าถามว่าสูงไหม สูงซิ มันอยู่บนยอดเขา มันก็สูงกว่าใครๆ อยู่ตรงไหนก็ได้ ดังนั้น เราควรจะสูง โดยมีอัตตา เสมอสมานกับคนอื่น สามารถที่จะลดตัว ประสานกับคนอื่น ได้ด้วยการอ่อนน้อม ถ่อมตน มีทั้งความแข็งแรง เข้มข้น ทนทาน ยืนนาน แน่นลึก นึกนบ ไม่ใช่แข็งแรง จนแข็งกระด้าง แต่มีนึกนบ อ่อนน้อม ถ่อมตน อยู่เสมอๆ อันนี้คือความสูง โดยคุณธรรม ถ้าสูงปรี๊ด สูงโดย ลดตัวลดตน ลงไม่ได้ พ่อท่านก็บอกว่า จะแจกต้นตาล ให้พวกเรา ขึ้นไปอยู่

และสุดท้าย พ่อท่านเองก็จะแจกกระดองให้ สำหรับคนที่ช้า ต้วมเตี้ยมๆอยู่ ไม่ว่าฆราวาสก็ดี สมณะก็ดี ถ้าเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ท่านก็จะแจก กระดองไว้ให้ อันนี้พวกเรา ก็คงต้องไปตรวจกันดูเองแหละ ถ้ามัวแต่ต้วมเตี้ยมอยู่ โดยเฉพาะ ความติดสบาย เมื่อเราได้สบายแล้ว เหมือนมีกระดองอยู่แล้ว เราก็ไม่อยากออกมาเสี่ยงอะไร ก็จะติดสบาย อยู่อย่างนั้น เราคงจะมาฝึก ตั้งตน อยู่บนความลำบากบ้าง ออกมาเสียสละกัน ให้ได้มากขึ้น ออกจากกระดองกัน ให้ได้มากขึ้น ก็จะได้ไม่ต้อง ไปอยู่ในกระดอง ที่พ่อท่าน ต้องแจกให้

อโศกพันธุ์แท้ จะเห็นคุณค่าของการได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษ ให้ความสำคัญกับยัญพิธี ขวนขวาย เอาภาระ ในกิจน้อยใหญ่ ของเพื่อน สหพรหมจรรย์ หันหลังให้กับโลกธรรม ๘ เอ...เราใช่อโศกพันธุ์แท้หรือเปล่านะ ?

- ทีมข่าวพิเศษ -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชาวอโศกร่วมแสดงวัฒนธรรม งานร่วมใจประสานการศึกษา
เชื่อมสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม

ทำอาหารมังสวิรัติเลี้ยงแขกในงาน บรรยากาศอบอุ่น สนุกสนานและเป็นกันเอง

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ มี.ค.๒๕๔๖ ชาวอโศกได้รับเกียรติจาก ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน "ร่วมใจประสาน การศึกษา และ วัฒนธรรมไทย - เวียดนาม" ณ บ้านแด่แผ่นดินของดร.นิติภูมิ เขตลาดกระบัง กทม.

เพื่อต้อนรับอธิการบดีและคณาจารย์ การศึกษาและวัฒนธรรม จำนวน ๒๕ ท่าน จากมหาวิทยาลัยวิง ซึ่งเป็น มหาวิทยาลัย ๑ใน ๒ ที่ผลิตครู มากที่สุด จากประเทศ เวียดนาม โดยมีแขกผู้มีเกียรติ ทั้งชาวไทย เชื้อสายเวียดนาม ชาวไทยมุสลิม นร. สัมมาสิกขา ศีรษะอโศก ปฐมอโศก และ สันติอโศก ร่วม ๒๐๐ คน และญาติธรรมชาวอโศก มาร่วมงานกันมากมาย


ก่อนเริ่มงานท้องฟ้าค่อนข้างมืดครึ้ม มีฝนตกโปรยปราย มาเป็นระยะๆ ทำให้โต๊ะเก้าอี้ ที่จัดไว้ในบริเวณสนามหญ้า หน้าบ้าน เพื่อต้อนรับแขก เปียก ทำให้เห็นภาพ ที่น่าประทับใจ ที่ทุกคนต่างช่วยกันเช็ดโต๊ะเก้าอี้ ให้แห้ง ทันรับแขกที่จะมา และในงานนี้ ชาวอโศก ก็ได้นำอาหารมังสวิรัติ ไปบริการ ให้แขกที่มาร่วมงานด้วย


ในระหว่างนั้นทีมงานข่าวทีวีช่อง ๑๑ ก็ได้สัมภาษณ์คุณขวัญดิน สิงห์คำ หัวหน้าพรรคเพื่อฟ้าดิน และ นร.สัมมาสิกขา สันติอโศก ๒ คน เกี่ยวกับ เรื่องการศึกษา ของชาวอโศก และได้สัมภาษณ์พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ โดยสรุปดังนี้ "อาตมามองเห็นว่า การศึกษาสมัยนี้ ค่อนข้าง ที่จะล้มเหลว เพราะเด็กไปโรงเรียน เช้า-เย็นกลับ ไม่ได้เรียนรู้ ถึงความเป็นอย ู่ในชีวิตประจำวัน รู้ก็รู้แค่ทฤษฎี ไม่ได้นำมาปฏิบัติ พอจบออกไป ก็ตกงาน ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ไม่รู้จักแก้ปัญหาชีวิต ที่ถูกต้อง... อาตมาคิดว่า การเรียนของนักเรียน คือชีวิตจริง ฉะนั้น ตารางเรียนจึง ไม่ตายตัว ไม่จำเป็นต้องเรียน ตามห้องสี่เหลี่ยม เสมอไป ยกเอาประสบการณ์ มาเป็นครูสอนตนเอง ทำงานที่เป็นประโยชน์ แก่ส่วนรวม ใครถนัดด้านไหน ก็มุ่งพากเพียร ด้านนั้น ให้ประสบ ผลสำเร็จ อย่างจริงจัง การทำงาน ก็คือการเรียนไปในตัว ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์ พิจารณา โดยใช้เหตุผล เราจะได้อะไร จากการทำงานนั้น มากมาย เรียนรู้ สัจธรรมชีวิต ตามปรัชญา การศึกษา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ด้วยจิตใจแน่วแน่ มั่นคง พอจบไปแล้ว ก็สามารถใช้ชีวิต อย่างมักน้อย สันโดษ สร้างให้พอกิน หรือถ้าเกินกิน ก็เอาไว้เท่าที่จำเป็น ที่เหลือ ก็แจกจ่าย แบ่งปัน ให้แก่สังคม ขยัน หมั่นเพียร สร้างสรร สร้างสิ่งที่ค้ำจุนโลก นั่นคือ คนที่มีคุณธรรม"


ต่อมาเวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. คณะอาจารย์ชาวเวียดนาม ก็เดินทางมาถึงงาน โดยรถบัส มีนร.สัมมาสิกขา เข้าแถวต้อนรับ ด้วยการคล้อง พวงมาลัยกล้วยไม้ พร้อมกับการไหว้ และกล่าวคำว่า "สวัสดี" ตามวัฒนธรรม อันดีงาม ของไทย เวลาประมาณ ๑๗.๒๗ น. ดร.นิติภูมิ ซึ่งเดินทาง มาจากจันทบุรี ก็มาถึงงาน และได้กราบนิมนต์พ่อท่าน ได้กล่าวเปิดงาน โดยมีล่าม แปลเป็น ภาษาเวียดนาม ดังนี้ "ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่ง ที่เราได้มาสัมพันธ์กัน มนุษย์อยู่ที่ไหนๆ ก็คือมนุษย์ การได้มาพบกัน ก็ถือว่า เป็นคุณค่าที่ดี มนุษย์เป็นสัตว์โขลง การอยู่ร่วมกัน ต้องอาศัยความเข้าใจ และสันติภาพ อย่างแท้จริง จึงจะอยู่ร่วมกัน อย่างสันติสุข" จากนั้น ดร.นิติภูมิ ก็กล่าวต้อนรับ ชาวเวียดนาม และแขก ที่มาร่วมงาน แล้วตัวแทนของชาวเวียดนาม ก็กล่าวแนะนำ มหาวิทยาลัยวิง พร้อมกับบอกว่า ประตูมหาวิทยาลัยวิง พร้อมเปิดต้อนรับชาวไทยทุกคน เข้าสู่มหาวิทยาลัยวิง และขอขอบคุณ การต้อนรับ อันอบอุ่น รู้สึกปลื้มใจมาก เป็นต้น แล้วอาจารย์ชาวรัสเซีย ซึ่งเป็นเพื่อน ของคุณนิติภูมิ เคยร่วมเรียน สถาบันเดียวกัน ในรัสเซีย ขึ้นกล่าว ในฐานะตัวแทน ชาวรัสเซีย ซึ่งพูดเป็น ภาษาไทย ได้อย่างชัดเจน เพราะอยู่เมืองไทย มานาน แล้วก็มอบ ของที่ระลึก ให้แก่กันและกัน

จากนั้นคุณนิติภูมิ ก็เชิญตัวแทนคนไทยมุสลิม กล่าวต้อนรับคณะอธิการบดีและคณาจารย์ชาวเวียดนาม อีกครั้ง

แล้วการแสดงบนเวทีก็เริ่มขึ้น โดย นร.สัมมาสิกขาจาก ๓ พุทธสถาน คือ สันติอโศก แสดงรีวิวประกอบเพลง ๓ เพลง มีเพลง ต่างแต่สามัคคี เพ้ออะไร และ สันติภาพ ศีรษะอโศกแสดงโปงลาง ปฐมอโศกแสดงกลองยาว ในระหว่างนั้น คุณขวัญดิน สิงห์คำ หน.พรรค เพื่อฟ้าดิน ก็ขึ้นกล่าวแสดงความยินดี ที่มีงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีไทย - เวียดนาม ครั้งนี้ แล้วตามด้วย คุณหมอพีระ กำธรกิจ กล่าว ทักทายปราศรัย การแสดงเป็นไปด้วยความคึกครื้น สนุกสนาน อบอุ่น จนทำให้คณาจารย์ ชาวเวียดนาม มีอารมณ์ร่วม ขอขึ้นร้องเพลง ด้วยกันถึง ๒ ท่าน นอกจากนั้น ยังมีเยาวชนไทย ชาวมุสลิม ขึ้นร้องเพลง สรรเสริญ พระผู้เป็นเจ้า เป็นภาษาอังกฤษ ด้วยเสียงไพเราะจับใจ และได้กล่าวขอบคุณ ดร.นิติภูมิ ที่ช่วยทำให้ช าวไทยได้เข้าใจ และเปิดรับ ชาวมุสลิม ได้มากขึ้น และปิดท้ายเพลง รำวงเพ็ญเดือน ๑๒ โดยนร.สัมมาสิกขา ศีรษะอโศก ได้เชิญคณะอาจารย์ จากเวียดนาม และดร.นิติภูมิ ร่วมรำวง สนุกสนานเป็น กันเอง

หลังจากนั้นนร.สัมมาสิกขาทั้ง ๓ พุทธสถานได้ช่วยกันเก็บงานจนเสร็จเรียบร้อย และก่อนกลับ ได้ร่วมกันร้องเพลง คนสร้างชาติ ให้ดร.นิติภูมิ ฟังด้วย บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น และ ประทับใจ.

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


บ้านแสนสุขภาพดี มีบุญนิยม (๒)

- กิ่งธรรม -

ขอต่อเรื่องนี้จากตอนที่แล้วเลยนะคะ ฉบับที่แล้วไม่ค่อยได้ขยายความ ฉบับนี้ขยายความพอหอมปากหอมคอก็แล้วกันนะคะว่า วิชาอายุวัฒนะที่ได้ไปสัมผัสที่บ้านสวน ๙ ไร่ ปฐมอโศกนั้น ก็คือการปฎิบัติตาม ๗ อ. อย่างที่คุณหมออารีย์ วชิรมโน ได้กล่าวไว้ คือ ทุกอย่างต้องเริ่มที่ใจก่อน เพราะใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ไม่ผิดเพี้ยน คือ

ต้องมี อิทธิบาท ๔ และ มีอารมณ์ดี

พอจิตใจของเราดีแล้ว ก็จะเกิดพลังปัญญาที่จะไปทำร่างกายของเราให้ดีด้วยการกินอาหารที่ดี คือใหม่ สด ไร้สารพิษ ผลิตเอง (ดีที่สุด)

เรื่องอากาศนอกจากจะต้องเป็นอากาศบริสุทธิ์ตามธรรมชาติแล้วเรายังต้องรู้ว่า เราต้องหัดเป็นคนหายใจยาวๆ เข้าออกลึกๆ ด้วย คนหายใจสั้น อายุจะสั้นตาม ต้องฝึกนะคะ ควรหายใจด้วยการใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง คือ การหายใจเข้าท้องพอง หายใจออก ท้องแฟบ

สิ่งที่จะขาดไม่ได้อีกอย่างคือการออกกำลังกาย เพราะเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และระบบน้ำเหลือง การออกกำลังกาย จนเหงื่อออก จะช่วยกระตุ้นภูมิต้านทาน และขับพิษออกจากร่างกายด้วย

ค่ะ...กลางวันเรามีกิจกรรมออกกำลังกายหรือทำงานจนเหนื่อยแล้ว กลางคืนเราต้อง เอนกาย พักผ่อนนอนหลับ ให้เต็มที่ ไม่ควรนอนดึก ๒-๓ ทุ่มก็ควรจะนอนได้แล้ว การนอนหลับสนิทใน ๑ ๑/๒ ชั่วโมงแรก ร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมน ขึ้นมา ช่วยสร้าง ภูมิต้านทาน ให้แข็งแรง

และที่จะลืมไม่ได้เลยคือ การเอาพิษออกจากร่างกาย ซึ่งก็มีหลายทาง แต่ที่ กำลังฮือฮากันมากที่สุด ตอนนี้ก็คงต้องยกให้ การสวนล้าง ลำไส้ใหญ่ หรือการทำดีท็อกซ์ ซึ่งคุณหมออารีย์ก็ได้บรรยายไว้อย่างละเอียด อย่าพลาด ถ้ามีโอกาส หาเท็ปฟัง ให้ได้นะคะ

แต่พิเศษที่บ้านสวน ๙ ไร่ คือ การรู้จักซ่อมแซมสุขภาพด้วยศิลปวิทยายุทธ์หลายรูปแบบโดยไม่ต้องพึ่งยาเคมี หรือเทคโนโลยี เราสามารถ ซ่อมสุขภาพ ให้แก่กันและกันได้ ด้วยพลังใจ และมือน้อยๆ ๒ มือของเรา


อยากให้พวกเราที่สนใจไปรับการถ่ายทอดวิทยายุทธ์พี่หมอน้อมบูชาของเราไว้มากๆ แล้วเราจะรู้ว่า "บุญญาวุธหมายเลข ๔" ที่พ่อท่าน ประกาศนั้น เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน อย่างวิเศษยิ่งยวดจริงๆค่ะ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

สันติอโศกจัด"เอื้อไออุ่น" แฟนพันธุ์แท้เพลงพ่อท่าน
เพื่อประโยชน์ผู้สมัครเล่นเกม

วันที่ ๒๔ มี.ค. ๒๕๔๖ ที่พุทธสถานสันติอโศก เวลาประมาณ ๐๘.๐๐-๑๓.๐๐ น. ได้มีการจัดงานเอื้อไออุ่นขึ้น ณ บริเวณ ลานทรายหน้าน้ำตกใต้ศาลาพระวิหารฯ โดยมีพ่อท่านเป็นประธาน ในการจัดงานครั้งนี้ และทุกๆคน ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพ ในการจัดงาน จุดประสงค์ ในการจัดงานก็คือ เพื่อให้ญาติธรรม ได้มีโอกาสถามพ่อท่าน เกี่ยวกับเพลง ที่พ่อท่านแต่ง เพื่อเป็นประโยชน์ แก่ผู้ที่จะสมัคร เล่นเกม อโศกพันธุ์แท้ ในต้นบทเพลงของพ่อท่าน ที่จะจัดขึ้นในงานอโศกรำลึกปีนี้

ภายในงานมีการแจกอาหารดังนี้ บจ.พลังบุญ แจกแกงเขียวหวาน ขนมจีน บจ.แด่ชีวิตแจกข้าวเหนียว ส้มตำ ลาบ ชมร. หน้าสันติอโศก แจกก๋วยเตี๋ยวน้ำ เปาะเปี๊ยะสด บจ.ฟ้าอภัยแจกขนมครก สำนักพิมพ์กลั่นแก่นแจก ขนมจีนน้ำเงี้ยว มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ยำสะเด็ดยาด ม.วช.สันติอโศก แจกชาเย็น ชมร. จตุจักร แจกเฉาก๊วย ฯลฯ

เวลาประมาณ ๘.๓๐น. พ่อท่านได้เปิดโอกาสให้ญาติธรรมได้ไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเพลงของพ่อท่าน และฟังพ่อท่าน รำลึกถึง บทเพลงต่างๆ ที่พ่อท่านเขียน ว่ามีเบื้องหลังความเป็นมาอย่างไร โดยมีคุณปฏิพล เหมวรานนท์ คุณสุทธินันท์ จันทระ มาร่วมรำลึก เพราะมีส่วนเกี่ยวข้อง กับผลงานเพลง ของพ่อท่านมานาน และได้เพิ่มสีสัน ของงาน ด้วยการขับขาน บทเพลง อันประทับใจ โดยมีคุณขวัญชนก ชูเกียรติ เป็นผู้ดำเนินรายการ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกครื้น มีเสียงเพลง และ เสียงน้ำตก คละเคล้ากัน ภายใต้การร่วม รับประทาน อาหาร ของญาติธรรม

พ่อท่านได้แบ่งแยก ศิลปะทางด้านเพลงไว้ ๕ ระดับ ดังนี้

ระดับที่ ๑ คือ เพลงของโลกโลกีย์ที่มอมเมา ไร้สาระ รักๆใคร่ๆ ซึ่งทำให้คนฟังเกิดอารมณ์คล้อยตามไปในทางที่ไม่ดี

ระดับที่ ๒ คือ เพลงที่มอมเมา ไร้สาระ แต่สูงกว่าเพลงระดับที่ ๑

ระดับที่ ๓ คือ เพลงที่มีธรรมะ สอดแทรกอยู่ แต่เพลงระดับนี้ จะไม่ค่อยมีคนนิยม

ระดับที่ ๔ คือ เพลงธรรมะล้วนๆ

ระดับที่ ๕ คือ เพลงธรรมะระดับ โลกุตระแท้ๆ

งานนี้ได้รับความสนใจจากหลายๆฝ่ายอย่างอุ่นหนาฝาคั่งพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการจัดรายการ อโศกพันธุ์แท้ และผู้สนใจ ลงแข่งขัน จากพุทธสถานและกลุ่มต่างๆ ที่จะต้องรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด เรียกว่า งานนี้พิสูจน์ใจ กันจริงๆ ว่าใครจะเป็น แฟนพันธุ์แท้ ของบทเพลง ที่พ่อท่านแต่ง รับรองว่า งานนี้แฟนตัวจริง ไม่ควรพลาด เพราะงานนี้ มีรางวัล จากพ่อท่าน แน่นอน

ญาติธรรมท่านใดสนใจติดต่อขอรายละเอียดหรือสมัครได้ที่ คุณนิ่ม (เพ็ญเพียรธรรม) ที่ศาลาสุขภาพ สันติอโศก คุณฟ้านวล นาวาบุญนิยม, คุณรินธรรม อโศกตระกูล, คุณมด (สู่เสรี) ที่พุทธสถาน สันติอโศก ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖

อย่าลืมนะคะอโศกรำลึกปีนี้เรามาพิสูจน์กันว่าใครกันแน่ที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ตัวจริง ของบทเพลงพ่อท่าน.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๐๓ (๒๒๕) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๑ มี.ค.๒๕๔๖
เจริญธรรม สำนึกดีกับทุกๆท่าน พบกับข่าวในแวดวง เพื่อนพ้องน้องพี่ ชาวอโศกกันเป็นประจำทุกปักษ์

ใกล้งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๒๗ แล้ว นับเป็นงานบุญครั้งสำคัญ ประจำปี ที่พวกเรา จะได้พบปะ และร่วมกัน สะสมบุญ เพิ่มพูนธรรมาวุธให้กับตนเอง แล้วเจอกันในงานนะฮะ

สำหรับ "หน้าปัดชาวหินฟ้า"ฉบับนี้ จิ้งหรีดหนีบข่าวมาฝากกันเช่นเคย

บึ้มคนวัด!...เช้าวันที่ ๒๒ มี.ค. ที่ผ่านมา ณ สันติอโศก พ่อท่านนำทำวัตรเช้า พอเริ่มเทศน์ พ่อท่านก็แจกทรัพย์ให้คนวัดทันที...

"คนวัดกับนิสิตนี่แตกต่างกัน คนวัดคือผู้ที่ใจไม่กล้า คนวัดคือผู้ยังโง่อยู่ ยังไม่ฉลาด นอกจากไม่กล้า และยังโง่อยู่ ก็คือ ขี้เกียจ เพราะรู้ว่า ถ้าเป็นนิสิต จะต้องอยู่ในกรอบ จะต้องทำโน่น ทำนี่เพิ่มขึ้น จะต้องได้รับคำสั่งจากคุรุ ส่วนนั้นส่วนนี้ ที่จะต้องทำงาน เพิ่มขึ้น ก็เลยขี้เกียจ ไม่อยากจะให้ใครมาสั่ง ให้ทำนั่นทำนี่ เพิ่มเติมอีก ก็คือเห็นแก่ตัว นี่คือคนวัด คนวัดกับนิสิต ถือศีล ๘ เหมือนกัน แต่นิสิต ต้องมาสมาทานศีล เสมอๆ เช่น ศีลอุโบสถ เป็นต้น นี่คือนิสิต

แต่คนวัดไม่ต้องสมาทานศีล ฉันก็อยู่ของฉันร่องๆแร่งๆ มีศีลไม่มีศีลก็ช่าง... ก็ปฏิบัติกันไปตามอำเภอใจ ไม่มีใคร คอยตรวจสอบ ไม่มีใครดูแล เอาใจใส่ ไม่มีอะไร ที่เราต้องสังวร กำกับตนเอง นี่คือคนวัด..."

"ฉะนั้นคนที่มีปัญญาไม่โง่ ก็จะรู้สึกว่า เราควรจะมีกรอบ หรือมีอะไร ที่เร่งรัดพัฒนา ให้แก่ตนเอง...

ตนเองก็จะดูดีขึ้น แล้วก็หายโง่ แทนที่จะปล่อย(ตน)ไปเรื่อยๆ คนที่เป็นนิสิตจึงเป็นคนเจริญกว่าคนวัด ด้วยประการฉะนี้"

เป็นไงฮะ จิ้งหรีดว่าเหมือนโดนจรวดโทมาฮ็อคลูกใหญ่ ตอนนี้คนวัดคงบัลลังก์ร้อน ไปตามๆกัน หลายคน ก็บ่นอุบอิบ จิ้งหรีด ได้ยิน (คนวัด ) บางคนพูดว่า "สงสัยเราจะต้องรีบไปสมัครเป็น ม.วช. (นิสิต) ซะแล้ว"

จิ้งหรีดล่ะเห็นด้วย ไม่งั้นอาจโดนจรวด ลูกที่ ๒, ลูกที่ ๓ ฯลฯ แบนแต๊ดแต๋แน่ๆ ส่วนจิ้งหรีดเอง ก็โดนลูกหลง เกือบเอาตัว ไม่รอด เหมือนกันฮะ... จี๊ดๆๆๆ .....

รับกลด... ในงานรับกลดที่ผ่านมา ณ ปฐมอโศก เมื่อพ่อท่านประกาศว่า ปีต่อไปจะไม่มีงานรับกลด สำหรับนร. สัมมาสิกขา ที่จบชั้น ม.๖ พอนร.สัมมาสิกขา ชั้น ม.๕ จากหลายแห่งได้ข่าว ก็รู้สึกใจหาย เพราะหลายคน หมายมั่น ปั้นมือว่า จะเรียบจบ เพื่อรับกลด จากมือพ่อท่านให้ได้ เช่นรุ่นพี่ๆ ที่ได้จบออกไป แล้วเหตุไฉนหนอ พ่อท่านจะหยุดงานนี้ล่ะ

ความจริงมีอยู่ว่า พ่อท่านจะแจกของที่ระลึกอย่างอื่นแทนกลด (ซึ่งเป็นเครื่องหมายของผู้รักพรหมจรรย์) จิ้งหรีด เดาว่า ผู้มา รับกลด อาจจะไม่รักกลดหรือ ไม่ยินดีในพรหมจรรย์ ของตัวเองกระมัง พ่อท่านจึงจะแจก อย่างอื่นแทน

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีเสียงขอร้อง จากลูกๆหลานๆ พ่อท่านก็มีเมตตาทบทวนในเรื่องนี้ ส่วนความคืบหน้า และผล จะเป็น อย่างไร ก็คงติดตาม กันเองนะฮะ... จี๊ดๆๆๆ .....

รักบุญ... ชาว ชมร.เชียงใหม่แจก อาหารมังสวิรัติติดต่อกันมาหลายเดือน ลูกค้าก็มารับบริการเพิ่มขึ้นๆ อย่างน่า ประทับใจ อ้าว! บางคนสงสัยว่า "ก็แจกฟรีนี่ จึงมีลูกค้าเพิ่มขึ้นๆ เป็นธรรมดา จะน่าประทับใจ ตรงไหน"

เรื่องนี้จิ้งหรีดได้ยินชาว ชมร.ช.ม. เขาพูดกันว่า ถ้าเราแจกแล้ว ไม่ค่อยมีคนมารับบริการ ก็ไม่น่าประทับใจ ดังนั้น เมื่อมีลูกค้า มารับบริการ เพิ่มขึ้นๆ จึงเป็นเรื่อง น่าประทับใจไงล่ะ

ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้าหลายคนก็เริ่มอยากมีหุ้นส่วนในโรงบุญฯ ที่บ้านมีพืชผักผลไม้อะไร ที่ไร้สารพิษ ก็เก็บมาบริจาค เข้าโรงบุญ ขนาดขนุน น้ำหนัก ๑๕ กก. ลูกค้าสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ยังอุตส่าห์อุ้มมาให้ ด้วยตัวเอง คุณใบหญ้า เห็นภาพแล้ว ก็ประทับใจ บอกให้ลูกค้า ช่วยถือไว้ก่อน ตัวเองจะรีบไปเอากล้องที่รถ มาถ่ายรูปไว้ พอคุณใบหญ้ากลับมา ก็เห็นแต่ลูกขนุน ส่วนลูกค้า ขอลาไปก่อน จะไม่รีบลาไปก่อนได้ยังไง ขืนแบกขนุน น้ำหนักขนาดนั้น รอคุณใบหญ้า มาถ่ายรูป แกคงเข่าทรุดแน่ๆ (ฮา)

แต่ที่สำคัญอีกประการ คือ แม่ให้ในชมร.ช.ม.ท่านหนึ่ง เตรียมคิดเงินลูกค้าเสียดิบดีจากผลิตภัณฑ์ที่เราผลิตได้เอง แต่พอเจอ หน้าลูกค้า กลับใจอ่อน คิดเงินลูกค้าไม่ลง จนลูกค้างง แม้แต่ตัวแม่ให้ยังงงตัวเองเลย ใครอยากรู้เรื่องนี้ สามารถ สอบถามได้ ที่แม่ใบจริง คนรักบุญได้เลยนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

อบอุ่น... ตั้งแต่หลังงานพุทธาฯ เห็นนิสิต ม.วช.ที่ศาลีฯดูมีความอบอุ่นมั่นใจ ในการอยู่ช่วยดูแลน้องๆ ที่ศาลีฯ ต่อไป หลังจาก ที่สมณะ และสิกขมาตุ ได้เอาใจใส่ พูดคุยดูแล ม.วช.

จิ้งหรีดได้ยินข่าวนี้แล้ว ก็รู้สึกประทับใจ และคิดต่อไปอีกว่า ถ้าแต่ละแห่ง ผู้ใหญ่เรา ช่วยให้เวลา ดูแลเอาใจใส่ ไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบ กับเยาวชนของเรา พวกเขาคงได้สัมมา ทิฏฐิ มีที่พึ่งทางใจ เกิดความมั่นใจ ในเส้นทาง สายนี้มากขึ้น จริงไหมฮะ... จี๊ดๆๆๆ .....

ถอยแล้วหรือ?...ช่วงงานพุทธาฯ จิ้งหรีดได้เห็นอาสาว ของชาวศาลีฯ ลงมาลุย กับนร.สัมมาสิกขา ก็รู้สึกชื่นชม ในความเสียสละ มีน้ำใจเข้ากับเด็กๆได้ดี แต่ตอนนี้ จิ้งหรีดได้ข่าวใหม่ว่า อาสาวถอยแล้ว (?)

อ้าว! ข่าวนี้จริงหรือเปล่า? ยังไงๆก็รีบปรึกษาสมณะ หรือสิกขมาตุนะฮะ ถ้าเป็น จริงอย่างข่าว จิ้งหรีด รู้สึกเสียดาย นะฮะ... จี๊ดๆๆๆ .....

อโศกอินเตอร์...ในงาน "สัมพันธ์ไทย-เวียดนาม" ที่ผ่านมา ก่อนปิดงาน คุณนิติภูมิได้พูดกับตัวแทน คณาจารย์ ชาวเวียดนามว่า "อยากให้ มหาวิทยาลัยวิง ให้ทุนการศึกษาแก่เด็กๆ ชาวอโศก เพื่อจะไปศึกษาที่นั่น สักปีละ ๑-๒ ทุน เพื่อจะได้ ไปศึกษา แลกเปลี่ยน วัฒนธรรมกัน และอยากจะขอที่สักนิดหนึ่ง หรือขอเช่าก็ได้ ในมหาวิทยาลัย เพื่อจะเป็นที่ขายผลิตภัณฑ์ ของชุมชน เพราะถ้าในภูมิภาคนี้ เราหันมา ให้ความสำคัญ ผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญา ท้องถิ่น ภูมิภาคเรา จะเจริญขึ้น" แล้วคุณนิติภูมิ ยังพูดต่อแบบยิ้มๆ อีกว่า "ผมจะหาโอกาส พาชาวอโศก ไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ที่เวียดนามอีก" ตัวแทน ชาวเวียดนาม พูดตอบด้วยความยินดีว่า "ประตูมหาวิทยาลัยวิง ได้เปิดแล้ว สำหรับลูกหลาน ชาวอโศกทุกคน เราจะสร้าง บรรยากาศอย่างนี้ ที่มหาวิทยาลัย" แหม!จิ้งหรีด ฟังแล้วขนลุกเลยฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

เลื่อนฐาน...ได้ยินข่าวว่า คุรุ(ฝ้าย)
ฝุ่นธรรม ขายห้อง (วิมานหลังน้อย) ที่ ตะวันงาย ๑ และหอบเงิน (ก้อนโต) ไปทำบุญเรียบร้อยแล้ว แว่วๆว่า ตั้งแต่ไปอยู่ ฝึกวรยุทธ์ ที่บ้านราชฯ ก็ได้เคล็ดวิชา จากท่านสมณะ และสิกขมาตุ ตั้งหลายกระบวนท่า

จิ้งหรีด ก็ขอคารวะ เอ้ย! ขออนุโมทนา กับข่าวอันเป็นมงคลเช่นนี้ ส่วนใครสงสัยว่า เคล็ดวิชา อีหยังหนอ... เชิญไปถามเจ้าตัว ที่บ้านราชได้...จี๊ดๆๆๆ .....

มีฝีมือ...ที่ชมร.สตอ.(หน้าสันติอโศก) ตั้งแต่มีนโยบายแจกอาหารฟรีเดือนละครั้ง ก็มีญาติธรรมผู้ใจบุญ มาขอลงขัน ร่วมแจก ในวันอื่นๆ อีกหลาย ต่อหลายครั้ง บ้างก็แจกทั้งร้าน บ้างก็แจกเฉพาะ ร้านขนมจีนบ้าง ร้านก๋วยเตี๋ยวบ้าง ฯลฯ บางคน อาจจะคิดว่า อาหารที่แจก รสชาติ คงจะจืดชืด (เพราะเป็นของฟรีไง)

แต่จิ้งหรีดขอรับรองเพราะบินดอดไปชิมมาแล้วทุกร้าน อื้อฮือ! แม้จะเป็น อาหารแจกฟรี แต่ฝีมือแม่ครัวนั้น ต้องยกให้ว่าเข้าขั้น ๕ ดาวนะ จะบอกให้ อย่างที่เขาเรียกว่า ทุ่มทุนสร้างบุญ จนสุดฝีมือ นั่นแหละฮะ

ข่าวล่ามาเร็วบอกว่า ที่ ชมร.สาขาจตุจักร ก็ไม่ยอมน้อยหน้า(บุญ) จะมีการแจกอาหารฟรีเดือนละครั้งเช่นกัน ส่วนจะได้ฤกษ์ดี แจกวันไหน โปรดติดตาม อย่ากะพริบตา

มีข่าวเพิ่มเติมอีกว่า แม่ครัวแต่ละท่าน ฝีมือระดับภัตตาคารทั้งน้าน ใครสนใจฝีมือท่านใด ไปแวะชิมได้ ตามสะดวกฮะ

แต่ตอนนี้จิ้งหรีดขอลาไปสารภาพบาปที่ตบะแตกไปหลายครั้ง(ตอนไปชิม)ก่อนนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

กิจหมู่สำคัญยิ่งกว่า... การประชุมอปริหานิยธรรม (การประชุมประจำทุกสัปดาห์ของสมณะ) ของหมู่สมณะ สันติอโศก เมื่อวันอังคารที่ ๑๑ มี.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่การประชุมดำเนินมา จนใกล้จะยุติแล้ว แต่ยังไม่เห็นท่านจันทร์ (สมณะเพาะพุทธ) เข้ามาร่วมประชุม กับหมู่เลย สมณะรูปหนึ่ง เลยไปตาม ถึงที่ทำงาน ปรากฏว่า ท่านก็รีบมา โดยทันทีทันใด พร้อมกับ กล่าวขอโทษหมู่ว่า "ขอโทษครับๆ ผมลืมไปว่า มีการประชุม" ในขณะที่มือข้างหนึ่ง ยังถือ ใบมีดโกน และศีรษะของท่าน ยังเปียกๆ ด้วยฟองสบู่ ซึ่งเพิ่งโกนไปได้แค่ครึ่งเท่านั้น หมู่สงฆ์เห็นอย่างนั้น ต่างก็ขำกันยกใหญ่ คือ ขำอย่างชื่นชม ที่ท่าน ให้ความสำคัญ ในกิจของหมู่ ยิ่งกว่าเรื่องส่วนตน จิ้งหรีดเกาะอยู่ฝาโบสถ์ เห็นแล้วก็อดขำ อย่างชื่นชมไม่ได้ เหมือนกันฮะ... กราบนมัสการมาด้วยความเคารพ และนับถือจริงๆฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

สมณะอาพาธ...ท่านเดินดิน ติกขวีโร อาพาธด้วยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ พักรักษาตัวที่ รพ.ศิริราช ไม่ทราบ จะหายทัน ไปช่วยงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๗ ที่จะถึงนี้ หรือเปล่า! ติดตามข่าวอาการอาพาธได้ ในข่าวอโศก ฉบับต่อไป จิ้งหรีดรู้ข่าวแล้ว ก็ขอตั้งจิต ขอให้ท่านมีสุขภาพ แข็งแรงโดยไว...จี๊ดๆๆๆ .....

มรณัสสติ
นายประจญ ปั้นโต อายุ ๘๖ ปี (บิดาของคุรุฝนฟ้า นาวาบุญนิยม) เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๒๔ มี.ค.๔๖ ฌาปนกิจศพ วันที่ ๒๗ มี.ค.๔๖ ที่สุสาน บ้านดอนสมบูรณ์ ต.ดอยลาน อ.เมือง จ.เชียงราย

ก่อนจาก ขอฝากคติธรรม-คำสอนของพ่อท่านที่ว่า
สังคมจะมีความอุดม
ก็เพราะคนมีคุณค่า
คนจะมีคุณค่า
ก็ต้องมีความจริง

(จาก พ่อท่านสอนว่า...ฉบับ คำคม ๑)

พบกันใหม่ฉบับหน้า

- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชาวชุมชนสันติอโศกรวมพลัง
สนับสนุน รมช.ศธ. ดร.สิริกร มณีรินทร์
งดใช้สารปรุงแต่งในอาหาร

วันจันทร์ที่ ๑๗ มี.ค.๒๕๔๖ ที่ผ่านมา ชาวชุมชนสันติอโศก ซึ่งประกอบด้วย คนวัด ญาติธรรม นิสิตม.วช. คุรุและนร.สส.สอ. รวม ๑๐ กว่าคน ในฐานะตัวแทนของชาวชุมชนสันติอโศก นำโดยคุณจุฬา สุดบรรทัด ประธานชุมชน สันติอโศก และคุณดินนา โคตรบุญอารยะ ได้เดินทางไปกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อนำหนังสือสนับสนุน เป็นกำลังใจ ในการทำงานของ ดร.สิริกร มณีรินทร์ รมช. กระทรวงศึกษาธิการ ที่กวดขันร้านค้า ที่ขายอาหาร สำหรับนักเรียน ในโรงเรียน ให้งดการใส่สารเคมี และ สารที่ปรุงแต่ง ที่เป็นพิษ ให้แก่นักเรียน เช่น ผงชูรส สารบอแร็กซ์ เป็นต้น ใน"โครงการงดสารพิษในอาหารในโรงเรียน" ร่วมกับชมรม อยู่ร้อยปี ชีวีเป็นสุข ชมรมคุ้มครอง ผู้บริโภค มี นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล และ ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ อดีตหัวหน้าภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

แกนนำของคณะที่ไปได้มอบช่อ ดอกไม้และอาหารไร้สารพิษ แด่ รมช.ศธ. ดร.สิริกร มณีรินทร์ แล้วแจ้งวัตถุประสงค์ ที่มาพบ ท่านรัฐมนตรีฯ จากนั้น นพ.บรรจบ และ ดร.พิชัย ได้ชี้แจงโทษภัย ของสารพิษ และผงชูรส ในอาหาร อย่างละเอียด โดย ดร.พิชัยพูดว่า "ผงชูรสมีการโฆษณาเกินจริง และบิดเบือนความจริง จริงๆแล้ว ทุกขั้นตอนของการผลิตผงชูรส เป็นสารเคมี ทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ผงชูรสจึงเป็นสารพิษในอาหาร ที่อันตรายมาก โดยเฉพาะอาหาร ที่ผ่านไฟ ย่าง ปิ้ง ผงชูรสเมื่อโดนไฟย่าง หรือปิ้ง จะเป็นสาร ก่อมะเร็ง เป็นต้น"

แล้วตัวแทนชุมชนสันติอโศก ได้กล่าวกับ รมช.ศธ.ว่า "ในฐานะที่เราเป็นตัวแทนชุมชน ที่ไม่ใช้สารเคมี เช่น ผงชูรส สีผสมอาหาร เป็นต้น และเรายังได้ใช้ผักไร้สารพิษ ในการประกอบอาหาร ในชุมชน ซึ่งเห็นอันตราย จากสารเคมี เราจึงให้ความสำคัญ ในเรื่องนี้ เมื่อได้ทราบว่า ท่านรมช.ศธ.ทำโครงการนี้อยู่ จึงมาสนับสนุน และเป็นกำลังใจ ให้ท่านทำโครงการนี้ ให้สำเร็จลุล่วง"

และ รมช.ศธ.ดร.สิริกร กล่าวว่า "อาหารเป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้นิสัย และพฤติกรรม ของเด็กวัยรุ่น สมัยนี้ มีอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย โมโหง่าย อารมณ์รุนแรง แม้แต่ลูกชายของท่าน ก็ยังต้องควบคุ มเรื่องการกินอาหาร

เด็กเดี๋ยวนี้ชอบกินอาหารฟาสต์ฟู้ด น้ำอัดลม ซึ่งจะทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลง ง่าย ในสหรัฐอเมริกา ได้มีการทดลอง กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มหนึ่ง โดยให้งดกินอาหารเหล่านี้ ภายในระยะเวลา ๓ สัปดาห์ ปรากฏว่า อารมณ์ของนักเรียนกลุ่มนี้ พัฒนาขึ้น ด้านการเรียน เกรดเฉลี่ย ก็ดีขึ้น สุขภาพ ก็ดีด้วย เป็นต้น"

ดร.สิริกร ได้กล่าวถึงโครงการนี้ว่า "โครงการนี้จะเริ่มดำเนินการภายในเปิดเทอมหน้านี้ โดยจะเน้นในโรงเรียนก่อน เพราะว่า เด็กวัยรุ่น สมัยนี้ ยังไม่ค่อย ให้ความสนใจ เรื่องอาหาร หรือโภชนาการเท่าไหร่ และได้ประสานงาน กับกระทรวง สาธารณสุข โดยมี คุณสุนัย เศรษฐบุญสร้าง ที่ปรึกษา รมช.ศธ. ช่วยดำเนินการ

สำหรับคณะของชาวชุมชนสันติอโศกที่ไปในครั้งนี้ ได้รับการต้อนรับ เป็นอย่างดี ท่าน รมช.ศธ.ดร.สิริกร มณีรินทร์ ได้ให้ ความกรุณา มาพบปะ พูดคุยเป็นเวลา ๑ ช.ม. โดยก่อนกลับ ท่านยังได้ให้เกียรติ ร่วมถ่ายรูปกับนักเรียน และชาวชุมชน สันติอโศกด้วย.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ศรัทธาชาวบุญนิยม
จะยกที่ ๒๒๕ ไร่ให้บ้านราชฯ

วันที่ ๒๑ มี.ค. ๒๕๔๖ มีผู้โทรศัพท์ถึงผู้ใหญ่บ้านชุมชนราชธานีอโศก นายรินไท สุขเกษม แจ้งความจำนงว่า จะขอมอบที่ดิน จำนวน ๒๒๕ ไร่ให้แก่หมู่บ้าน ชุมชนราชธานีอโศก พื้นที่ดังกล่าวอยู่ที่ ต.กุดลาย อ.เมือง อุบลฯ ติดแม่น้ำมูล ฝั่งตรงข้าม หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก บริเวณลานเบิ่งฟ้า

๒๒ มี.ค. ๒๕๔๖ พี่น้อง ๔ คนได้พาผู้ใหญ่บ้านฯและผู้ช่วยฯ พร้อมผู้สนใจไปดูพื้นที่ดังกล่าว หลังจากนั้น ได้มารับประทาน อาหาร ที่บ้านราชฯ โอกาสนี้ ผู้สื่อข่าวได้ขอสัมภาษณ์ ถึงความรู้สึก ของการถวายที่ ครั้งนี้

นางคมเพชรัฐ นิคมรักษ์ อายุ ๕๙ ปี "ช่วงงานตลาดอาริยะจะมาซื้อยา หนังสือธรรมะ และต้นไม้ไปปลูก ที่คิดจะถวายที่ เพราะกำลัง ของเรา ที่จะทำไม่พอ เราอยู่ฝั่งทางโน้น มองมาเห็นการปฏิบัติทางนี้แล้ว ชื่นชอบ เกิดศรัทธา คิดว่า ในเมื่อเรา ทำไม่ได้ เราก็ควรจะยกให้ เดือนมกราคม ก็คุยกัน ในพี่น้อง ก็ตกลง เพราะอยากจะถวาย"

นางยุพาพร โพธิสาร อายุ ๔๖ ปี "ชื่นชมวิธีการปฏิบัติของที่นี่มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกินอยู่ การดำรงชีวิต พอดี มีโอกาส ตรงนี้ ที่จะได้ทำบุญ ร่วมกัน คิดว่าตาย เราก็เอาอะไรไปไม่ได้ เรื่องถวายที่ คุณยายอนุโมทนา เข้ามาที่ ร้านสหกรณ์ บ่อยมาก และไปซื้อน้ำเต้าหู้ และยาที่อุทยานฯ ปีใหม่มาทุกปี แต่ไม่เคยเข้ามาถึง ข้างในวัด ทึ่งตรงที่ว่า ทำไมพอน้ำท่วม แล้วอยู่ได้ พอมาเห็น เฮือนศูนย์ฯ แล้วหายสงสัย กลัวให้แล้วไม่รับ เพราะเป็นที่น้ำท่วม แต่สูงกว่าบ้านราชฯ"

ไชยนันท์ โพธิสาร อายุ ๕๓ ปี "ผมป่วย แล้วกินมังสวิรัติมา ๑๕ ปี โรคต่างๆ ที่จะต้องผ่า ก็ไม่ต้องผ่า รู้จักปฐมอโศก มาตั้งแต่ เริ่มแรก พอย้ายมาที่นี่ ก็มาทานที่ร้านบัวบูชา ตั้งแต่สมัยแรกๆ"

นางเอื้อมพร เจตินัย อายุ ๕๓ ปี "ก็คุยๆกันเรื่องที่ว่า เราไม่ค่อยลงมาดู แล้วน้ำก็ท่วม เราก็ไม่ได้ทำประโยชน์ กำลังที่จะไปทำ ก็ไม่มี แล้วเราก็ศรัทธา ชาวบุญนิยม ติดตามตลอด ไม่ว่าจะข่าวสารหนังสือ หรือไปซื้ออาหาร ตอนที่พ่อท่าน มาตั้งใหม่ๆ ก็ยังมา ไหว้ท่าน ตรงต้นก้ามปู สมัยแรกๆ ที่มีงาน มาดูแลแม ่ก็มาเห็นสัจธรรมว่า เราไปเราก็เอาอะไรไปไม่ได้ แม่ก็เลยบอกว่า ให้ทานเขาไปเสีย ก็มาคิดกัน ๒ อย่างว่า จะให้โรงพยาบาล หรือจะให้ ชาวบุญนิยม โรงพยาบาล กว่าเขาจะหาทุนได้ ก็นาน เพราะระบบราชการ เลยตกลงกันว่า ให้ทางนี้ดีกว่า เพราะพลังเขา จะมากทีเดียว

พี่สาวที่อยู่เมืองนอกก็มาซื้อของที่ บุญนิยมบ่อยเมื่อมาอุบลฯ ศรัทธาในการปฏิบัติและพลังการทำงาน ของที่นี่มาก คุยกับแม่ บ่อยๆ ถ้าเราให้ เท่ากับต่ออายุ ให้กับท่าน"

ด.ต.ชาญณรงค์ ฑีฆะ อายุ ๔๙ ปี กองกำกับการตำรวจตะเวนชายแดนที่ ๒๒ "ได้บริจาคผืนดินนี้ เหมือนได้ทำอะไร สักอย่าง ให้แม่ดีใจ เพราะแม่ ชอบทำบุญ แม่แก่แล้ว ทำอะไรสักอย่าง ที่เรามีอยู่ เราไม่มีเงินมากมาย มีพื้นที่ แต่ไม่มีพลังไปทำ ให้คนที่เขา มีพลัง ไปทำดีกว่า

ช่วงแรกคิดจะขาย แต่จะขายให้ใครล่ะ พอฟองสบู่แตก ก็ทิ้งมา ๖-๗ ปี หลังจากน้ำท่วม ๒ ครั้ง ไม่ได้มาดูแลเลย คิดว่า แม่แก่แล้ว ก็ทำบุญให้แม่ เขาสร้างให้เจริญ เราก็ดีใจด้วย"

ในส่วนของคุณยาย ชื่อนางคูณ ฑีฆะ สกุลเดิม ทมุทมาศ เป็นชาวอุบลฯ โดยกำเนิด เกิดในสมัย รัชกาลที่ ๕ เรียนจบ ม.๓ จาก ร.ร.เบญจะมะมหาราช ชอบทำบุญสุนทาน อยู่เป็นประจำ ลูกๆเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เล็ก จำความได้ ที่บ้านจะจัดสำรับ ให้คนไว้ รับประทาน เป็นประจำวันละ ๓-๔ สำรับ มิได้ขาด ใครตกรถ ตกเรือ ก็เลี้ยงดูปูเสื่อ ให้

ค่ารถค่ารา ที่บ้านไม่เคยขาดคน ไม่ใช่พี่ไม่ใช่น้องคุณยายก็เลี้ยง หลานๆจึงเขียนไว้ที่บ้านว่า เป็นโรงทาน คุณยาย ได้ให้ สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวว่า "ก็บอกให้ลูกๆเขาไปบริจาค เพราะลูกๆแต่ละคน ก็พออยู่พอกิน ไม่ต้องใช้อะไรมาก"

ขณะที่โลกเกิดสงครามเพื่อตัวเอง และพวกพ้องน้องพี่ทุนนิยม แต่ในอีกซีกโลกหนึ่ง พี่น้อง ๗ คน แจ้งความจำนง มอบที่ดิน ๒๒๕ ไร่ให้แก่ ราชธานีอโศก ด้วยเชื่อมั่น ในความเป็นบุญนิยม ของที่นี่

อา...โลกแห่งการให้และการเอา ล้วนอยู่ในใบเดียว กัน แต่ช่างต่างกันเหลือเกิน ทุนนิยมกับบุญนิยม.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


องค์การบริหารส่วนตำบล
นิมนต์สมณะเดินดิน ปาฐกถาธรรม

เมื่อวันที่ ๑๘ มี.ค. ๒๕๔๖ เวลา ๑๓.๐๐-๑๕.๐๐ น. สมณะเดินดิน ติกขวีโร ได้รับนิมนต์จากสำนักงาน กลุ่มส่งเสริม การปกครองท้องถิ่น อ.พนา จ.อำนาจเจริญ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบล อ.พนา ให้ปาฐกถาธรรม ในหัวข้อ "จริยธรรม-คุณธรรม ในการบริหารองค์กร" ในโครงการฝึกอบรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานของพนักงาน ส่วนตำบล และ สมาชิก สภาองค์การ บริหารส่วนตำบล ณ ห้องทับทิม โรงแรมเนวาด้า อ.เมือง จ.อุบลฯ

ในช่วงแรกได้บรรยายธรรมถึงรายละเอียดของศีล ๕ แต่ละข้อพอสังเขป แล้วฉายวีซีดีเกี่ยวกับวิถีชีวิตชุมชนราชธานีอโศก ในช่วงท้ายเปิดโอกาสให้ซักถามปัญหา มีผู้สนใจซักถามปัญหาพอสมควร

ต่อจากนั้น อ.นักบุญ จันทพันธุ์ จากสวนส่างฝัน จ.อำนาจเจริญ แนะนำตัวเองและทักทายกับผู้ฟังเล็กน้อย ในฐานะเป็นคน จ.อำนาจเจริญ.


[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ปฏิทินงานอโศก
งานปลุกเสกฯ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก วันที่ ๖ - ๑๒ เม.ย.๔๖
งานกสิกรรมไร้สารพิษเพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ ๑๐ ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก วันที่ ๑๖ - ๑๘ พ.ค.๔๖
งานโฮมไทวัง ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก วันที่ ๔ - ๕ มิ.ย.๔๖

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ชื่อเดิม นางอารีย์ สิงหศิริ
ชื่อใหม่ เอื้อธรรม ชาวหินฟ้า
เกิด ๗ ต.ค. ๘๒
อายุ ๖๔ ปี
ภูมิลำเนา จ.หนองคาย
การศึกษา คุรุศาสตร์บัณฑิต สถาบันราชภัฏอุดรธานี
สถานภาพ หม้าย บุตร ๔ คน
ส่วนสูง ๑๔๕ ซ.ม.
น้ำหนัก ๔๘ กก.

ช่วงงานปีใหม่ตลาดอาริยะ หากแวะไปที่ร้านของสีมาอโศก หลายคนคงได้เห็นสินค้าสารพัดรูปแบบ ที่ประดิษฐ์ จากกล่องนม เป็นการนำขยะ มารีไซเคิล ได้อย่างสวยงาม และน่าใช้เหล่านั้น ล้วนเป็นฝีมือของ คุณป้าเอื้อธรรม จากสีมาอโศก นั่นเอง ไปรู้จักกับ คุณป้ากันค่ะ

นร.ทุน
มีพี่น้อง ๕ คน ป้าเป็นพี่คนโต พ่อเป็นครูใหญ่ แม่เป็นครู ป้าเป็นนร.ทุนหลวง สอบชิงทุนจังหวัด ได้เพียงคนเดียว ไปเรียน ฝึกหัดครู สตรีอาชีวศึกษา ธนบุรี และต่อมา สอบได้ ที่ ๑ ของรุ่น ไปเรียนที่วิทยาลัยครู สวนสุนันทา ขณะที่กำลังจะเรียนต่อ พ่อได้เรียกกลับบ้าน จึงกลับไปรับราชการ เป็นครูที่ จ.หนองคาย แล้วสอบเทียบ พ.ม. จนได้คุรุศาสตร์บัณฑิต ที่ จ.อุดรฯ ป้ารู้จักพ่อท่าน สมัยท่านเป็นดาราทีวี เพราะดูรายการ ที่พ่อท่านจัด เป็นประจำ สมัยที่เรียน อยู่ที่กรุงเทพฯ

รู้จักและอยู่อโศก
ปี ๒๕๒๐ รับราชการเป็นครูและบรรณารักษ์อยู่ที่ ร.ร.ชุมพลโพนพิสัย จ.หนองคาย ได้อ่านหนังสือแสงสูญ, สารอโศก อ่านแล้วทึ่ง ว่าคนแบบนี้ มีด้วยหรือ เคยเขียนจ.ม.ไปถามปัญหา และปีเดียวกัน พระจากสันติอโศก ได้ไปปักกลด ที่วิทยาลัยครู อุดรฯ มีโอกาส ได้สนทนาธรรม ปี ๒๕๒๙ เริ่มปฏิบัติธรรม ถือศีลกินมังสวิรัติ

ตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ เริ่มจัดโรงบุญฯ ๕ ธันวาฯ เป็นประจำทุกปีจนถึงปี ๒๕๔๒ ลาออกจากราชการ มาช่วยงาน สอนหนังสือที่ ร.ร.สัมมาสิกขา สีมาอโศก สอนวิชาการ และงานประดิษฐ์กล่องนม มารีไซเคิล, ช่วยงานอบรม ธ.ก.ส. และทำกสิกรรม

ทำงานไปบางครั้งก็ท้อ ก็นึกถึงคำสอนของพ่อท่านว่า การเสียสละเป็นทรัพย์แท้ ก็ทำให้มีกำลังใจ ปี ๒๕๔๕ มีสิกขมาตุมาอยู่ ทำให้เบาใจ ขึ้นเยอะ

ฝากสุดท้าย
ทำงานให้หนัก ผิดพลาดให้น้อย ทำงานให้เรียบร้อย เนียนนุ่มและรวดเร็ว

ป้าเอื้อธรรมเป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่งในการรีไซเคิลกล่องนมเป็นของใช้ต่างๆ หากนักปฏิบัติธรรม สามารถนำปัญหาต่างๆ มารีไซเคิลเป็นอุปกรณ์ สู่การพ้นทุกข์ ก็คงจะมีความสุขไม่น้อย ท่องไว้ๆ และทำให้ได้ "ปัญหา มีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้กลุ้ม".

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

คู่มือแปลงโฉมร้าน "โชว์ห่วย"

คำแนะนำการจัดวางสินค้าในร้านโชว์ห่วย

๑. ต้องจัดแบ่งกลุ่มสินค้าก่อนว่าเป็นประเภทใด ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้ กลุ่มที่มีอายุ การเก็บนาน กลุ่มที่มีอายุการเก็บสั้น กลุ่มสินค้าตามพฤติกรรม การซื้อ กลุ่มสินค้าที่นิยม หรือเป็นที่ต้องการ ของผู้บริโภค เป็นต้น

๒. การจัดเรียงสินค้าแต่ละชั้น ต้องเน้นความสะอาดและรวดเร็วในการซื้อของลูกค้า และการทำงานที่สะดวก ของพนักงาน ในร้าน ซึ่งมีหลักในการจัดสินค้า วางบนชั้นขาย ดังนี้

สินค้าจำเป็น หรือ สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ นม อาหารแห้ง น้ำมันพืช ซีอิ๊ว ยาสีฟัน ฯลฯ จัดเรียงไว้ด้านใน ของร้าน ค่อนข้าง ไปทางหลังร้าน เพื่อให้ลูกค้าได้เดินเข้าไป ในหลังร้าน ให้ลึกที่สุด

สินค้าที่ลูกค้าไม่ได้วางแผนในการซื้อมาก่อน ให้จัดเรียงไว้บริเวณทางเดินหรือที่ลูกค้ามองเห็นได้ง่าย และสะดวก ในการซื้อ เช่น สินค้า ที่ออกวางตลาดใหม่

สินค้าของสดหรือขนมปัง ต่างๆ ที่มีการหมุนเวียนสินค้าอยู่ บ่อยๆ มีอายุการเก็บสั้น ต้องเน้นความสดใหม่ ตลอดเวลา ต้องจัดเรียงไว้ บริเวณทางเดิน หรือที่เป็นทางเดินหลัก เพื่อให้เกิดการซื้อง่าย และสะดวกที่สุด


สินค้าที่มีมูลค่า หรือมีโอกาสเสียหายง่าย ให้จัดเรียงไว้ในส่วนที่พนักงานสามารถควบคุมดูแลได้อย่างทั่วถึง หรือ อยู่ในตำแหน่ง ที่เห็นชัด.
(เรียบเรียงจาก คอลัมน์ มติชนทูเดย์ มติชนรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๕)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

งานปลุกเสก"พระ"แท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๒๗
วันที่ ๖-๑๒ เมษายน ๒๕๔๖

ที่พุทธสถาน ศีรษะอโศก ต.กระแชง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

วันอาทิตย์ ๖ เม.ย. ๔๖
๙๐๐-๑๐.๐๐ น. พิธีเปิดงาน และ พ่อท่านนำปฏิญาณศีล ๘
๑๔.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. ปฐมนิเทศ
๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น. สัมภาษณ์ปฏิบัติกร ณ ลานขวนขวาย

วันจันทร์ที่ ๗ เม.ย.๔๖
๐๓.๓๐-๐๕.๓๐ น. อีคิวโลกุตระ โดยพ่อท่าน
๐๖.๐๐-๐๘.๐๐ น.ประชุม ค.ก.ร. ร่วมกับ ธ.ก.ส.
๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ น.อาหารใจ ก่อนใส่อาหารจริง
๑๒.๐๐-๑๓.๓๐ น. ช่วงเวลาของการประชุมกลุ่มย่อย
๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น. รายการพิเศษ
๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น.สัมภาษณ์ปฏิบัติกร ณ ลานขวนขวาย

วันอังคารที่ ๘ เม.ย. ๔๖
๐๓.๓๐-๐๕.๓๐ น. อีคิวโลกุตระ โดยพ่อท่าน
๐๖.๐๐-๐๘.๐๐ น. ประชุมบุญญาวุธ หมายเลข ๓ (กสิกรรมไร้าสารพิษ)
๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ น. อาหารใจ ก่อนใส่อาหารจริง
๑๒.๐๐-๑๓.๓๐ น. ช่วงเวลาของการประชุมกลุ่มย่อย
๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น. แบ่งกลุ่มสัมมนา ตามฐานานุฐานะ
๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น.สัมภาษณ์ปฏิบัติกร ณ ลานขวนขวาย

วันพุธที่ ๙ เม.ย. ๔๖
๐๓.๓๐-๐๕.๓๐ น. อีคิวโลกุตระ โดยพ่อท่าน
๐๖.๐๐-๐๘.๐๐ น. ประชุมพาณิชย์บุญนิยม
๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ น.อาหารใจ ก่อนใส่อาหารจริง
๑๒.๐๐-๑๓.๓๐ น. ช่วงเวลาของการประชุมกลุ่มย่อย
๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น. แบ่งกลุ่มสัมมนา ตามความพอใจ
๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น.สัมภาษณ์ปฏิบัติกร ณ ลานขวนขวาย

วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ เม.ย. ๔๖
๐๓.๓๐-๐๕.๓๐ น. อีคิวโลกุตระ โดยพ่อท่าน
๐๖.๐๐-๐๘.๐๐ น. ---
๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ น. อาหารใจ ก่อนใส่อาหารจริง
๑๒.๐๐-๑๓.๓๐ น. ประชุมร้านค้า และ ต.อ.ชุมชน
๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น. พ่อท่านตอบปัญหา
๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น. สัมภาษณ์ปฏิบัติกร ณ ลานขวนขวาย

วันศุกร์ที่ ๑๑ เม.ย. ๔๖
๐๓.๓๐-๐๕.๓๐ น. อีคิวโลกุตระ โดยพ่อท่าน
๐๖.๐๐-๐๘.๐๐ น.ประชุมองค์กรบุญนิยม
๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ น. อาหารใจ ก่อนใส่อาหารจริง
๑๒.๐๐-๑๓.๓๐ น. ---
๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น. พ่อท่านตอบปัญหา
๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น. ๒นาทีทองของเกจิ ฯ

วันเสาร์ที่ ๑๒ เม.ย.๔๖
๐๓.๓๐-๐๕.๓๐ น. อีคิวโลกุตระ โดยพ่อท่าน
๐๖.๐๐-๐๘.๐๐ น. ช่วยกันเก็บงาน
๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ น. สรุปงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๗
๑๒.๐๐-๑๓.๓๐ น. แยกย้ายกันไปกอบกู้มนุษยชาติ ประกาศ โลกบุญนิยม

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
๖๗/๑ ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ โทร.๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ ๑,๕๐๐ ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]