ฉบับที่ 205 ปักษ์หลัง 16-30 เมษายน 2546 |
สู่ชีวิตใหม่ ใครเคยมีความรู้สึกสงสัยว่า การปฏิบัติธรรมของเราเจริญขึ้นหรือเปล่า ? ถ้าเคยมีความรู้สึกเช่นนี้ หรือปัจจุบันก็มีความรู้สึกเช่นนี้ อาจเป็นสภาวะที่สะท้อนความจริงในตัวเราบางอย่าง ซึ่งเกิดจากความไม่ชัดเจนในการปฏิบัติธรรมของเราว่า ขณะนี้ หรือที่ผ่านมา เราได้เสียสละหรือได้ลดละจริงๆ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เราติดแป้นหรือชินชากับวิถีชีวิตในปัจจุบัน หรือหยุดอยู่ในกุศลธรรม ทั้งนี้ก็เพราะขาดการเพ่งเล็งกล้าในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้แต่ความขวนขวายในกิจ น้อยใหญ่ ของเพื่อนสพรหมจรรย์ ก็ไม่ได้ทำ อย่างเป็นไป เพื่อละหน่ายคลาย ใครที่เกิดสภาวะนี้ ถือว่า เข้าสู่เขตอันตราย วิธีแก้ไข คือ เข้าหาสัตบุรุษ ไม่ละเลยการฟังธรรม และพึงศึกษาในอธิศีล แล้วเราจะได้ชีวิตใหม่ที่มั่นใจว่า เราเจริญขึ้นจริงๆ. |
จับประเด็นจากหนังสือคนคืออะไร? ภพของคนเป็นๆ แบ่งได้ ๓ ภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ กามภพ คือ รสกามารมณ์ในห้วงแห่งจิต อันเกิดจากกายสัมผัสทางทวารทั้ง ๕ กอปรรูป เสียง กลิ่น รส และภาวะสัมผัสกาย เกิดขึ้นภายในจิตเรา หากกิเลสกามเข้าไปปรุงแต่งก็จะเรียกว่า "กามคุณ ๕" รูปภพ คือ สัญญาอันเราระลึกย้อนขึ้นมาเพื่อเสพในภวังค์ เกิดเป็นรูปธรรมารมณ์ในห้วงแห่งจิต หากมีกามในรูปภพก็เรียกว่า ภวตัณหา อรูปภพ คือ เป็นภาวะที่ละเอียดยิ่งกว่ารูปภพ เป็นความคิด เป็นอารมณ์ ที่ปั้นขึ้นมาเป็นรูปในห้วงแห่งจิต หากประกอบด้วยกาม ก็เป็นภวตัณหาอย่างละเอียดภายในภวังค์ ผู้ใดหยุดเสพกามในภพทั้ง ๓ ได้ ชื่อว่าเป็น พระอนาคามี พ้นแล้วซึ่งสังโยชน์ ๕ เบื้องต้น อบายภพหรืออบายภูมิคือ เป็นภพของปุถุชนผู้มีกิเลสหนาตัณหาจัด เป็นภพนรกโลกีย์ของสัตว์โลก ซึ่งมีภูมิต่ำอย่างสัตว์นรก อันมี เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย คนที่ทำแต่บาปกรรม ประพฤติตนต่ำทรามชั่วช้า ย่อมสั่งสมจิตวิญญาณเป็นสัตว์นรกทั้งยังมีชีวิต หากทำตัวเลวไม่รู้ดี-ชั่ว เหมือนสัตว์เดรัจฉาน วิญญาณก็เป็นเสมือน สัตว์เดรัจฉาน เมื่อตายไปก็ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตามที่จิตสั่งสมภูมิไว้ เป็นต้นว่าภูมิเราเลวเท่ากับหมา ตายไปมีสิทธิ์เกิดเป็นหมาแน่นอน เพราะภูมิวิญญาณเหมือนหมา จัดอยู่ในสายพันธุ์ วิญญาณเดียวกัน ฉะนั้น ใครที่โดนด่าว่าเลวยิ่งกว่า สัตว์ ระวังให้ดี หากเลวจริงอย่างเขาว่า ตายไปมีหวังได้เกิดเป็น...? ผู้ไม่มีภูมิถึงระดับพระอรหันต์ซึ่งอยู่เหนือกรรมลิขิต ไม่สามารถที่จะเลือกเกิดได้ตามชอบใจ มีแต่กรรม อันสั่งสม เมื่อมีชีวิตอยู่ เป็นตัวกำหนดทิศว่า จะให้ไปเกิด ยังภพภูมิไหน สั่งสมกรรมดีก็ไปเกิดยังภพดี สั่งสมกรรมชั่วก็ไปเกิดยังภพต่ำทราม ทุกอย่าง เป็นไปตามอำนาจวิบากกรรม มีแต่ผู้หลุดพ้นอยู่เหนือโลกได้เท่านั้น ถึงจะไม่หมุนวนไปตามยถากรรม. - พุทธบุตร
ลูกหม้ออโศก - |
หลายชุมชนจัดงานยุวพุทธฯ
'๔๖ สนุกแต่สร้างสรร ช่วงเดือนเมษายนของทุกปีอาจกล่าวได้ว่า เป็นช่วงเทศกาลการจัดค่ายอบรม ยุวพุทธทายาทของชาวอโศก (อบรมเด็ก อายุระหว่าง ๑๐-๑๕ ปี) ซึ่งปีนี้ตามพุทธสถาน สังฆสถาน และชุมชนต่างๆ ของชาวอโศก ต่างร่วมกันจัดงานยุวพุทธฯ ขึ้นในท้องถิ่น ของตน อย่างคึกคักในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งปีนี้นับเป็นปีที่สอง ที่ทางส่วนกลาง มีนโยบายให้กระจายกัน จัดงาน ยุวพุทธฯ เพื่อความสะดวก ประหยัดและเหมาะสมกับสภาพ ของแต่ละท้องถิ่น ปีนี้มีการจัดค่ายยุวพุทธฯ มากกว่า ปีที่ผ่านๆมา ซึ่งผู้สื่อข่าวของเรา ขอรายงานบรรยากาศ ของบางค่าย ให้ทราบดังต่อไปนี้ (พ่อท่านเทศน์
ทำวัตรเช้าให้เด็กฟัง บริเวณศาลาฟังธรรมใต้คลังเสียง ณ พุทธสถานสันติอโศก สันติอโศก บรรยากาศภายในค่ายสนุกสนานแบบเรียบๆง่ายๆแต่ได้สาระเพิ่มขึ้น ไม่ปรุงแต่งสีสันบันเทิงมาก เหมือนปีที่ผ่านมา เน้นเรื่อง วิถีชีวิตพื้นฐาน เช่น เรื่อง ๕ ส. ให้เด็กรู้จักเก็บที่หลับพับที่นอนให้เรียบร้อย รู้จักกตัญญูสถานที่ เป็นต้น นอกนั้น ก็มีฐานงาน ต่างๆ ให้เด็กได้เลือกเรียนรู้และฝึกทำเองได้ ซึ่งเด็กให้ความสนใจดี ช่วงเช้าและเย็นให้เด็กฝึกทำอาหารทานเอง ตอนเช้าใส่บาตรทุกวัน เด็กปีนี้สงบและเรียบร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ปัญหาเด็กร้องไห้ อยากกลับบ้าน ลดน้อยลง หรือ แทบไม่มี เพราะปีนี้ให้ เด็กหญิงนอนตึกนวล ส่วนชายนอนชั้น ๔ ตึกสัมมาสิกขา ปัญหาเรื่อง ยุงกัด แบบปีที่ผ่านมา เลยหมดไป เด็กส่วนใหญ่ ก็ประทับใจ ในการเข้าค่ายครั้งนี้ ความสัมพันธ์ ระหว่างครู พี่เลี้ยง และเด็กๆก็ ดีมาก สรุปงานเข้าค่ายฯที่สันติอโศกปีนี้ลงตัวมากขึ้น ได้รับความร่วมมือจากหลายๆฝ่าย ทั้งสมณะ สิกขมาตุ คนวัด ชาวชุมชน รวมถึง กลุ่มศิษย์เก่า สส.สอ. หลายคน มาช่วยทำกิจกรรม ในช่วงวันแรก และกลุ่มศิษย์เก่า พุทธธรรม รวมถึง กลุ่มศูนย์เดิม ก็มาช่วยงานร่วม ๒๐ คน ทำให้งานคล่องตัว และคึกคักยิ่งขึ้น และงานนี้พ่อท่านยังกรุณา เทศน์ให้เด็กฟัง และร่วมบิณฑบาต โปรดเด็กด้วย ชุมชนภูผาฟ้าน้ำ
จ.เชียงใหม่ (เด็กยุวพุทธทายาท ที่ชุมชนภูผาฟ้าน้ำ จ.เชียงใหม่ ๑๘-๒๒ เม.ย.๔๖)
เชียงรายอโศก
ดินหนองแดนเหนือ ช่วงพิธีอำลาทั้งฝนทั้งลมกระหน่ำ จนต้องหยุดทำพิธีชั่วคราว รอจนลมและฝนหยุด จึงจัดพิธีต่อ เด็กๆน้ำตาไหล ซาบซึ้ง ประทับใจ กับพี่ๆสัมมาสิกขาสีมาอโศก และชาวชุมชน ถึงขนาดเด็ก จากบ้านอุดรฯ ๖ คน ขออยู่ฝึกฝนตัวเองต่อ ร้อยเอ็ดอโศก เด็กๆสนุกสนานกับกิจกรรมต่างๆ ได้ฟังธรรมอย่างจุใจจากสมณะ ๔ รูป ทั้งทำวัตรเช้าและก่อนฉัน สนุกกับ การเข้าฝึกฐาน งานอาชีพต่างๆ มากมาย ได้สนุกกับการเหยียบดินเหนียวกับแกลบ เพื่อทำอิฐสร้างบ้านดิน และยังมีการเดินป่า ในช่วงเช้าตรู่ เพื่อออก กำลังกาย และสร้างจิตสำนึกด้วย เด็กๆคนไหน ที่ทานอาหารเหลือ พี่เลี้ยงจะให้ออกมา กล่าวขอโทษ ชาวนา และ พ่อครัวแม่ครัวด้วย สรุปงานนี้เด็กๆประทับใจกันถ้วนหน้า ปฐมอโศก ในงานนี้มีเทศน์ทำวัตรเช้าและก่อนฉัน โดยสมณะและสิกขมาตุ บางท่านมีวิดีโอประกอบการเทศน์ด้วย ทำให้เด็กสนใจ มากขึ้น นอกนั้น ยังมีรายการสัมภาษณ์ พี่แซ็ค (กำพล ปานพุ่ม) นักร้องนำวง I-ZAX ซึ่งเป็นศิษย์เก่า สส.ฐ.ด้วย เรียกความสนใจ จากเด็กๆได้มาก ทั้งสนุกสนาน และได้สาระ และ สัมภาษณ์ พี่ดาว (ศศิธร จเร) พี่สยาม คนึงสัตย์ธรรม ซึ่งทั้งสอง เคยมาร่วมงาน ค่ายยุวพุทธฯหลายครั้ง ลีลาของทั้งสอง สร้างความครึกครื้นเฮฮา ได้ตลอดเวลา นอกจากนั้น ยังมีฐานงานอาชีพ ให้เด็กๆได้เลือกฝึกฝน ตามความสนใจ สรุปงานครั้งนี้ สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีจากความร่วมมือ ของหลายๆฝ่าย โดยเฉพาะพี่กลุ่มศูนย์ พี่เลี้ยง ซึ่งได้แก่ นร.สส.ฐ. ม.๕ และ ม.๖ รวมทั้งอาสาสมัคร ที่มาช่วยในกลุ่มนี้ ที่ได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจเต็มที่ เพื่อให้น้องๆ ประทับใจ บนเส้นทางนี้ (ยุวพุทธทายาท
ที่พุทธสถานปฐมอโศก เด็กอายุ ๑๐-๑๕ ปี จำนวน ๑๗๐ คน เข้าค่ายสนุกสนาน รื่นเริงกันเต็มที่ ทักษิณอโศก (ทักษิณอโศก) ราชธานีอโศก มีเด็กทั้งหมด ๒๐๖ คน ส่วนใหญ่มาจาก จ.อุบลราชธานี และน้องๆอายุต่ำกว่า ๑๐ ขวบร่วมขบวนอีก ๑๐ กว่าคน จึงรวมเป็น กลุ่มเข็มหมุด ร่วมกิจกรรม แล้วกลับไปนอน กับพ่อแม่ในชุมชน ๑๕ เม.ย. ฟ้าฝนเป็นใจมาก ตกลงมาเพื่อคลายร้อน ให้ความชุ่มช่ำ ถึงกระนั้นบางโรงเรียน ก็เหมารถมา พอเวลาล่วงเลยไป เด็กๆ ก็ค่อยทยอยมา บรรยากาศเริ่มคึกคัก ด้วยกิจกรรม สลายพฤติกรรม ทุกคนสนุกสนานร่าเริง แล้วฟังปฐมนิเทศ จาก สมณะฟ้าไท สมชาติโก เสร็จแล้วเข้าที่พัก ช่วงเย็นระดมสมอง แล้วสวดมนต์ นั่งสมาธิ แยกย้ายไปพักผ่อน ๑๖ เม.ย. เด็กๆตื่นมาทำวัตร ช่วงบ่ายสาธิตทำจุลินทรีย์ น้ำยาอเนกประสงค์ เด็กๆชอบมาก เพราะได้ลงมือปฏิบัติจริง ได้ทั้งความรู้ และความบันเทิง ภาคค่ำ เป็นรายการสัมภาษณ์ เด็กมหัศจรรย์ ดำเนินรายการโดย สมณะฟ้าไท สมชาติโก ๑๗ เม.ย. ช่วงบ่ายสาธิตการทำขนม ๖ ชนิด คือ ครองแครง ขนมต้ม บัวลอย ถั่วแปบ วุ้น ซาละเปา และลาบ เด็กๆ ชอบมาก เพราะได้ชิมกัน จนอิ่มแปล้ สาธิตทำขนมชอบจริงๆ ๑๘ เม.ย. ช่วงกิจกรรมสาระบันเทิง เด็กๆสนุกสนานมาก จากนั้นแต่ละกลุ่มแยกย้าย ไปซ้อมละคร ภาคค่ำ รายการ ม่วนชื่นโฮแซว แต่ละกลุ่ม แสดงละครได้ดีมาก มีสาระ กล้าแสดงออก ในช่วงสุดท้าย พี่เลี้ยงเสนอละคร แนวตื่นเต้น มอบแด่น้องๆ ทุกคน ๑๙ เม.ย. วันสุดท้าย เด็กๆได้ตื่นตี ๕ ออกกำลังกายด้วยการวิ่งไปริมมูล และล่องนาวาบุญนิยม ๒ ลำ บางคน ก็ร้องเพลง กับพี่เลี้ยง บางคนก็ดูวิว ทิวทัศน์สองฝั่งแม่มูล เสร็จแล้วก็กตัญญูสถานที่ ด้วยการซักผ้าห่ม ซักมุ้ง ซื้อของที่หมายตาไว้ ทำบุญ ใส่บาตรร่วมกัน รับพรก่อนจาก แต่ละกลุ่มส่งตัวแทน มาเปิดใจ ว่าได้ประโยชน์เรื่องการทำเกษตร และ น้ำยาอเนกประสงค์ แล้วถึงพิธีอำลา เด็กๆร้องไห้ขี้มูกโป่ง ปีหน้ากลับมาพบกันใหม่นะ. (ราชธานีอโศก) |
ปลุกกระแสชาตินิยมอโศก กระแสชาตินิยมมาแรง ในการประชุม ต.อ.ในงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๑๗ เมื่อวันที่ ๑๐ เม.ย.๔๖ กล่าวคือ เน้นสินค้าชุมชนชาวอโศก
และสินค้าในประเทศ
๒ ใน ๕ ข้อของ "หลักการคัดกรองสินค้า ร้านค้าชุมชนชาวอโศก"
หันกลับมาช่วยกันใช้ขวดพลาสติกจากโรงงานของสีมาอโศก ดังนั้นจึงขอเชิญชวนญาติธรรมและผู้ผลิตรายย่อย ร่วมสนับสนุนส่งเสริมการใช้ขวดของชุมชน โดยชุมชน และ เพื่อชุมชน ของเรา จับชีพจร ร้านค้าชุมชน แอบได้ยินร้านค้าชุมชนซุบซิบกันว่า จะสนับสนุนการจำหน่ายสินค้า ชุมชนอโศกก่อน และ ถ้าผู้ผลิต รายใด ยังไม่ยอมใช้ขวด จากโรงงานของชุมชนสีมาอโศก ร้านค้าชุมชนทุกแห่ง จะร่วมกันบอยคอต ไม่รับสินค้านั้นๆ มาขายให้นะ จะบอกให้ สมกับที่การประชุมครั้งนี้ตั้งหัวข้อไว้ว่า ร้านค้าเป็นหัวใจ ของการตรวจสอบและพัฒนาคุณภาพผลผลิต ของชาวอโศก ด้วยสโลแกน ที่ว่า
- ต.อ.กลาง รายงาน - |
กสิกรรมไร้สารพิษช่วยปลดหนี้ (ตอนจบ) ฉบับนี้เรื่องราวของคุณประทิน รุ่งเรือง ชาวสิงห์บุรี วัย ๔๙ ปี ซึ่งได้ไปอบรมหลักสูตรสัจธรรมชีวิต ที่ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน อินทร์บุรี และได้นำมาปฏิบัติจนกระทั่งรอดพ้นจากการเป็นหนี้สินหลักแสน ได้มาถึงตอนสุดท้ายแล้ว ก็ขอเชิญท่าน ที่สนใจ ติดตามอ่านได้ ดังต่อไปนี้ค่ะ พอเพียงแล้ว
จึงนำไปจำหน่าย ดิฉันขายถูกกว่าที่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมีครึ่งหนึ่ง อย่างมะพร้าวน้ำหอมเราก็ขายแค่ลูกละ ๓ บาททุกขนาด รายได้ตอนนี้ เก็บในสวน รวมๆแล้ว ไม่รวมของโชห่วยในร้าน ตกประมาณ ๔-๕๐๐ บาทต่อหนึ่งวัน ทุกวันนี้หนี้แสนกว่าบาทหมดไปแล้วก่อนจะสิ้นปี ชีวิตใหม่ปลอดหนี้ แล้วพวกเครื่องสำอางก็ไม่แตะต้องเลย แต่ก่อนใช้ครีมทาหน้า หน้าจะขึ้นฝ้ามาก หน้าจะดำ ยิ่งใช้หน้ายิ่งดำ พอหันมากินเจ เลิกใช้ ครีม ทาหน้า หันมาใช้น้ำหมักชีวภาพ ที่เราทำเอง เอามะเฟืองไปหมัก ใช้เอง หน้าก็หายดำ ตอนที่ได้ความรู้วันสุดท้าย ก็ปฏิญาณว่า ได้ความรู้อะไรไป จะไปทำให้หมด เพราะช่วงที่วิทยากรสอนก็ลงมือทำตลอด ก็จดจำ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง เอาไปทำให้หมด แล้วคุณประทินก็พบกับสัจธรรมชีวิต ตามหลักสูตรที่ได้อบรมมา ใครที่ยังไม่ได้ทำจงรีบทำ ใครที่ทำแล้วก็จงทำให้เจริญ ยิ่งขึ้นๆ -
ทีมข่าวสัญจร - |
- สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร - ฉบับนี้มาฟังข่าวคราว พร้อมข้อคิดจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นของ สมณะเดินดิน ติกขวีโร และ ความสำคัญ ของงาน เพื่อฟ้าดิน ที่ญาติธรรมควรไปร่วมงานอย่างยิ่ง ได้ข่าวว่าตัวท่านเองก็ป่วย และโยมพ่อก็ป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน ตอนนี้อาการเป็นอย่างไรบ้างคะ อาตมาเองป่วยเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ทำให้มีเส้นเลือดแตกในกระเพาะปัสสาวะ เวลาปัสสาวะออกมา ก็ทำให้ มีเลือด ปนออกมาด้วย ตอนนี้หมอก็ให้ยามาควบคุมอาการทั้งหมด สภาพร่างกาย ก็เกือบๆอยู่ในภาวะ ปกติเรียบร้อย ส่วนสาเหตุที่ป่วย ก็น่าจะเกิดจากภาวะความไม่สมดุล ในวิถีชีวิตของเรา โดยเฉพาะในวันหนึ่ง ค่อนข้าง จะนั่งนานมาก อาจจะเกิด ภาวะเลือดลม ไหลเวียนไม่ดี ในแต่ละวัน มีเหงื่อออกน้อยมาก คงจะเข้าตำรา ที่ว่าเหงื่อออกมาก น้ำตาออกน้อย แต่ถ้าเหงื่อ ออกน้อย ทั้งเลือดทั้งน้ำตา จะไหลตามออกมาด้วย อาตมาคงจะต้องพยายาม ให้ในวันหนึ่งๆ ให้มีการเคลื่อนไหว มีเหงื่อออกมา ให้มากขึ้น เพื่อที่ไต จะได้ทำงานไม่หนัก กระเพาะปัสสาวะ ก็จะได้ไม่ต้องเป่งบวม หรือเกิดการอักเสบได้ง่าย ประเมินว่า นี้น่าจะเป็นสาเหตุส่วนหนึ่ง ในวิถีชีวิต ที่เกิดความไม่สมดุล
ท่านได้ข้อคิดอะไรบ้างจากการเจ็บป่วยในครั้งนี้คะ ดังนั้นบางทีจะรีบทำบุญ ก็ทำไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้เร็วกว่านั้นก็คือ การทำใจของเรา พ่อท่านเอง เวลาไปโปรดคนป่วย ในวาระ สุดท้าย กี่คนๆ ท่านก็จะย้ำอยู่ประโยคนี้แหละว่า ทำใจของเราให้ดี ทำใจของเรา ให้สบายที่สุด ใจที่ดี ใจที่สบาย ใจที่เป็นกุศล นี่แหละ จะเป็นสิ่งที่ติดตัวเราไป ที่จะต้องเดินทางไปกับเรา ในโลกหน้า ท่านได้ให้สติ กับคนที่เผชิญกับ วาระสุดท้าย ของชีวิต แต่จริงๆ แล้ว พวกเราเอง ยังไม่อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต เรายังแข็งแรง เรายังดีอยู่ ความจริง เราน่าจะทำได้ดีกว่า คนที่ถูก ความเจ็บ ความป่วย ความทุกข์ทรมานครอบงำ ดังนั้น เราไม่ควรจะปล่อยโอกาสทองนี้ ให้ผ่านไป แต่ละคน ควรจะได้ตั้งใจ ทำจิตของเรา ให้เป็นกุศล ให้ได้มากที่สุด ให้สามารถเจริญ ไตรลักษณ์ เห็นความไม่เที่ยง ความทุกข์ของกิเลส ได้ลดน้อยลงไป หรือความหมด ในความเป็นตัวตน ของกิเลสไ ด้หมดลงไป ให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ แต่ละผัสสะ ที่ได้เกิดขึ้น ตรงนี้จะเป็นบุญ ที่สูงสุด และทำได้ทันที โดยไม่ต้องเตรียม ข้าวของเงินทอง เพียงเตรียมใจ อย่างเดียว ถ้าเราทำพวกนี้ได้มากๆ เราคงจะหนีตาย กันได้ทัน แต่ถ้าเรามัวประมาทอยู่ พ่อท่านก็เตือน ในงานปลุกเสกฯ ที่ผ่านมาว่า อกุศลวิบาก มันคอยจ้อง เล่นงานเรา ตลอดเวลา เหมือนหมาไล่เนื้อ เหมือนหมาที่ไปรุมขย้ำเด็ก ที่กทม.นั่นแหละ มันพร้อมที่จะมา รุมขย้ำเรา อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมัน จะเร็วกว่า กุศลวิบาก พ่อท่านอธิบายว่า คนเราจะทำความดี จะรอเวลานั้น รอเวลานี้ แต่เวลาทำความชั่ว มันจะทำทันที อกุศลวิบาก เหมือนกัน เหมือนหมาไล่เนื้อ พร้อมที่จะขย้ำไล่งับเราได้ ตลอดเวลา ตอนนี้อกุศลวิบาก ยังไม่ทันขย้ำ หรืองับเรา เรายังมีน่อง ที่แข็งแรงอยู่ เราควรจะก้าวเดิน ให้เข้ามรรคมีองค์ ๘ ให้ เข้าทาง ที่ทำให้พ้นทุกข์ได้ เราจะได้พากัน หนีตายได้ทัน อาตมาก็ย้ำ ทั้งโยมพ่อโยมแม่ อ้าว...ตอนนี้ก็เตรียมตัวได้แล้ว มีข้าว มีของอะไร จะได้ทำบุญทำทาน ก็เตรียมออกมา ให้หมด เหมือนกับว่า เขามาเตือนว่า ตายแน่ๆ ทำอย่างไร ก่อนที่จะตาย เราถึงจะปล่อย ถึงจะวาง ได้หมด ก็ต้องขอบคุณ กับเหตุการณ์นี้ เหมือนกันว่า เออ...ยังโชคดีนะ ที่เขาให้เราได้มีโอกาส กลับมาทำใจก่อน กลับมา เตรียมใจก่อน พอถึง วันนั้นแล้ว เราก็จะได้สบาย เพราะเราได้เตรียมตัวตาย ไว้ก่อนตาย ซึ่งญาติธรรมหลายๆคน ก็ได้ขอบคุณ พ่อท่าน ที่ได้เปิดโครงการ "ร่วมปฐพีพุทธวิหาร พันปีพระบรมสารีริกธาตุ" เพราะเหมือนกับ การช่วยปลดเปลื้องบาป ออกจากพวกเรา มิเช่นนั้น สมบัติบาปทั้งหลาย (โลกียสมบัติ) ก็จะแบกทับ จิตวิญญาณ ของพวกเราได้ ไม่สามารถ ปลดปล่อยไปสู่โลกุตระ และปรโลกได้ ส่วนใครปลดปล่อย ออกมาได้ จิตวิญญาณ คนนั้น ก็เบาสบาย และในพระไตรปิฎก กล่าวไว้ว่า สมบัติทั้งหลายย่อมถูกไฟ คือความตาย ความพลัดพราก เผาไหม้ เป็นธรรมดา สมบัติใด ที่เราขน ออกมาได้ สมบัตินั้นย่อมเป็นของเรา ในกลางเดือนพฤษภาคม จะมีงานเพื่อฟ้าดินครั้งที่ ๑๐ ท่านจะฝากอะไรถึงญาติธรรมบ้างคะ งานเพื่อฟ้าดินในครั้งนี้ น่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ที่สำคัญอีกหน้าหนึ่ง ของการเข็นกงล้อธรรมจักร ของชาวอโศก ญาติธรรม ที่เคยได้ไปร่วมงาน สวนลุมพินีที่ กทม. ซึ่งรัฐบาลได้ให้การสนับสนุน จัดกันในปี พ.ศ.๒๕๒๕ เราจะเห็นได้ว่า การจัดงาน วันวิสาขบูชา ที่สวนลุมพินี ในปีนั้น ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์สำคัญ ในหน้าหนึ่ง ของชาวอโศกอย่างไร? งานเพื่อฟ้าดิน ที่จะจัดที่ราชธานีอโศก ในกลางเดือน พฤษภาคมนี้ อาตมาคิดว่า ก็น่าจะมีความสำคัญ ไม่แพ้กัน แล้วงานวิสาขบูชา เมื่อ ๒๐ กว่าปีที่แล้ว จริงๆก็ยังเป็นงาน ที่เรายังไม่ได้ คัดคนมาเท่าไหร่ เป็นเรื่องของรัฐบาล ประชาสัมพันธ์ ออกไปในวงกว้าง คนก็เฮละโล โฮละเลกันมา ถึงขนาด ไม่ได้คัดคนเรา ก็ยังได้ญาติธรรมเพิ่มขึ้น เกือบเท่าตัวทีเดียว แต่งานเพื่อฟ้าดิน ในครั้งนี้ จะเป็นงาน ได้คัดสรรบุคคล ที่ผ่านการอบรม คุณภาพชีวิต มีความศรัทธา ต่อชาวอโศก ในระดับหนึ่ง มาแล้ว ถ้าเปรียบเป็น ต้นไม้ ก็เป็นต้นกล้า ที่กำลังเติบโตขึ้นมา เพื่อรับแสงแดด รับอาหาร ที่จะทำให้เป็นต้นกล้า ที่แข็งแรง ให้เป็นประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคม ในอนาคตได้อีก ดังนั้น งานนี้ ถ้ามีญาติธรรมมาร่วมงาน กันเยอะๆ ก็จะได้ มาช่วยกัน เพาะบ่มกล้าไม้ ให้เติบโต แข็งแรง เป็นต้นไม้ใหญ่ ที่จะเป็นที่พึ่ง ให้กับสังคม ในอนาคตได้ งานนี้ต้องถือว่า เป็นงานใหญ่ ของพวกเราทีเดียว เพราะว่า จะมีคนร่วมๆ ๒,๐๐๐ มากินอยู่กับเรา ตลอดอย่างน้อย ๓ วัน ๓ คืน ซึ่งตรงนี้ จะต้องอาศัย พลังมวลของ ญาติธรรม ที่จะเข้ามา ช่วยกัน เพาะบ่มจิต วิญญาณ ของผู้มีศรัทธาเหล่านี้ ให้เขากล้าแข็ง มีอินทรีย์พละ ที่แข็งแรงกันต่อไป นอกจากนี้ก็ยังเป็นการเปิดเผยยุทธศาสตร์ในการกอบกู้ชาติ ด้วยการแก้ปัญหาระดับรากหญ้าให้ชัดเจนขึ้น ทุกวันนี้ ยุทธศาสตร์ แห่งชาติ เขาพยายามทำ ให้คนรวยขึ้นๆ โดยคิดว่า จะเป็นการแก้ปัญหา ของสังคมได้ แต่เราจะใช้ยุทธศาสตร์ ของพระพุทธเจ้า ในระบบ บุญนิยมนี่แหละ ให้เขาเห็นได้ชัดๆว่า ต้องพากันมาจนนี่แหละ ถึงจะแก้ปัญหาสังคมได้ เราจะได้ นำเสนอ การแก้ปัญหา ระดับรากหญ้า ที่กำลังแสวงหากันอยู่ว่า อะไรน่าจะเป็นยุทธศาสตร์ ที่แก้ปัญหาสังคม ได้ยั่งยืนถาวร คิดว่า ถ้างานนี้ มีองค์ประกอบ ของคุณธรรม และจิตวิญญาณ ของญาติธรรม ได้มากพอ ก็น่าจะเป็นการ เปิดเผยบุญนิยม เปิดเผย ยุทธศาสตร์ สำคัญของพุทธศาสนา ได้ชัดเจนอีก ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ก็จะมีองค์ความรู้ หรือตลาดความรู้ ที่ได้คัดสรร จากศูนย์อบรม ต่างๆ มาให้พวกเรา ได้ศึกษาเรียนรู้ เพื่อต่อยอด ทั้งกสิกร ที่มาเข้าร่วมการอบรม ทั้งต่อยอด ให้กับญาติธรรม ที่เป็น พี่เลี้ยงอยู่ ตามศูนย์ต่างๆ สามารถที่จะเอาไป ขยายความรู้ พานำพาทำ เพื่อช่วยกัน ปลูกผักให้งามขึ้น โดยไม่เอาแต่พูด ให้ผักงามเท่านั้น ๗ อ.นี่แหละ จะทำให้มีอายุยืนยาวพร้อมสุขภาพที่แข็งแรง หวังว่าทุกท่านคงเห็นความสำคัญ และมาร่วมบุญ สร้าง ประวัติศาสตร์ ชาวอโศกกันอีกครั้ง ในงานเพื่อฟ้าดิน ๑๖-๑๘ พ.ค.๔๖ ที่ราชธานีอโศกนะคะ. * ทีมข่าวพิเศษ * |
ครูไม่รับเงินเดือน กรณี ๓ % ที่เป็นปัญหากับสำนักงานคณะ-กรรมการการศึกษาเอกชนกระทรวงศึกษาธิการนั้น ร.ร.สัมมาสิกขาสันติอโศก เป็นตัวอย่างหนึ่งของกลไกด้านการศึกษา ที่พยายามจัดการศึกษา ให้แก่เด็กในสังคมพุทธและให้แก่ผู้ใหญ่ที่เป็นครูทุกท่าน ไม่ว่าจะได้วุฒิระดับปริญญาหรือประถมศึกษา มีโอกาสทำงานเสียสละ โดยไม่หวังผลตอบแทนหรือเงินเดือนใดๆ แต่ด้วยต้นเหตุเพียงเพราะ "ครูไม่ขอรับเงินเดือน" นี้เอง ได้กลายเป็นที่มาของเรื่องราว กรณี ๓ % มาจนถึง ๘ ปี และมาทุกวันนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชนได้นำเรื่อง ดังกล่าว เสนอรัฐมนตรีว่า การกระทรวงศึกษาธิการ พิจารณา และ ได้อนุญาต ผ่อนผัน ให้โรงเรียนสัมมาสิกขา สันติอโศก ไม่ต้องนำส่งเงินสมทบ ๓ % เข้า กองทุนสงเคราะห์ ครูใหญ่ และ ครูโรงเรียน เอกชนได้ ตามระเบียบ กระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการจัดการ กองทุนสงเคราะห์ครูใหญ่ และ ครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.๒๕๔๓ หมวด ๓ การส่งเงินสมทบ ของโรงเรียนเอกชน ข้อ ๒๑ วรรคสอง ดังหนังสือ จากสำนักงาน คณะกรรมการ การศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อ ๒๔ ก.พ.๒๕๔๖ เรื่องขอยกเว้น ไม่นำเงินส่ง สมทบกองทุน สงเคราะห์ ดังนี้ ที่ศธ ๑๒๐๔/๑๖๘๙ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน
๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ เรื่อง
ขอยกเว้นไม่นำเงินส่งสมทบกองทุนสงเคราะห์ ตามหนังสือที่อ้างถึง (๑) โรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก ได้ขอผ่อนผันให้ผู้รับใบอนุญาต ครูใหญ่และครู ไม่ต้องนำเงิน ๓% ของเงินเดือน ส่งสมทบกองทุนสงเคราะห์ เป็นกรณีพิเศษ โดยครูใหญ่และครู ได้ยินยอม ไม่รับสวัสดิการต่างๆ ที่พึงได้ จากกองทุนสงเคราะห์ พร้อมกับได้ทำหนังสือ ยืนยันว่า ครูใหญ่ ครู พ่อแม่และทายาท มีความพอใจ ในสวัสดิการ ที่ทางโรงเรียน จัดให้ และยินยอม ไม่รับสวัสดิการต่างๆ จากกองทุนสงเคราะห์ และสวัสดิการ หากมีการเรียกร้อง การใช้สิทธิ ดังกล่าว ทางโรงเรียน ยินดีที่จะรับผิดชอบ โดยไม่รบกวน กองทุนสงเคราะห์และสวัสดิการ ของกระทรวงศึกษาธิการ ตามหนังสือ ที่อ้างถึง (๒) นั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ พิจารณา และ ได้รับอนุญาต ผ่อนผัน ให้โรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก ไม่ต้องนำส่งเงินสมทบ ๓% เข้ากองทุนสงเคราะห์ครูใหญ่ และ ครูโรงเรียนเอกชนได้ ตามระเบียบ กระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการจัดการ กองทุนสงเคราะห์ครูใหญ่ และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.๒๕๔๓ หมวด ๓ การส่งเงินสมทบของโรงเรียนเอกชน ข้อ ๒๑ วรรคสอง จึงเรียนมาเพื่อทราบ ขอแสดงความนับถือ (นายอนุสรณ์
ไทยเดชา) กองกองทุนและสวัสดิการ |
มาสร้างสุขภาพด้วยความคิดเชิงบวก เถอะค่ะ คุณเชื่อไหมคะว่า...ความคิด ของคุณนั่นแหละเป็นสิ่งสำคัญที่สุดประการแรกในการสร้างภูมิต้านทานของคุณให้แข็งแรง สิ่งประกอบอื่นๆ นั้นยังเป็นรองความคิดของคุณ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบคิดแต่ในเชิงลบๆ ท้อแท้ ห่อเหี่ยว หมดกำลังใจ ชอบจมปลัก อยู่กับความหลัง อันเจ็บปวด หรือพะวง ถึงแต่อนาคต ที่ยังมาไม่ถึง เห็นใครได้ดีเกินหน้า มักเกิดอาการหมั่นไส้ ริษยา อะไรไม่ถูกใจหน่อย ก็หงุดหงิด โมโห นั่นแหละคุณกำลังบั่นทอน ภูมิต้านทาน ของคุณเอง นะคะ ทหารที่ต่อต้าน โรคภัยไข้เจ็บ ของคุณ จะอ่อนแอ เป็นบ่อเกิดแห่งโรคภัย ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณชอบคิดในเชิงบวก คือคิดแต่ในสิ่งดีๆ ไม่ว่าเหตุการณ์อะไร จะเกิดขึ้นกับคุณ คุณต้องเอาประโยชน์ แก่จิตใจ ของคุณให้ได้ คือคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับคุณ เห็นใครได้ดีกว่า ก็ยินดีกับเขา คุณหมออารีย์ หนุ่มน้อย แห่งไร่มะขามเปรี้ยว ได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า การบำบัดรักษาใดๆ จะเกิด ขึ้นไม่ได้ ถ้าปราศจาก การเริ่มต้นด้วย "ความคิดเชิงบวก" เพราะความคิด เชิงบวกนี้ มีฤทธิ์มีแรง ไปกระตุ้นต่อมใต้สมองของคุณ ให้หลั่งฮอร์โมน ที่เป็นตัวกลไก ทำให้ภูมิ ชีวิตของเรา เริ่มทำงานจนครบวงจร ตั้งแต่ระบบการกิน การย่อย การดูดซึมอาหาร ตลอดจน การขับพิษ ออกจาก ร่างกาย ต่อมต่างๆจะสร้างทหารหรือเม็ดเลือดขาว อย่างมีประสิทธิภาพ ในการที่จะรบกับโรคต่างๆได้อย่างดี ถ้าคุณสามารถคิดเชิงบวกได้ตลอดไป รู้จักการทำจิตใจให้สงบ มีสมาธิ กินอาหารถูกต้อง ออกกำลังกายเหมาะสม พักผ่อน เพียงพอ รู้จักเอาพิษออกจากร่างกาย คุณก็จะมีภูมิต้านทานดียิ่งขึ้น อายุจะยืนยาว เพราะความคิดเชิงบวก จะช่วยดูแล รักษาคุณ เหมือนกับ "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม" หรือ "ประพฤติธรรมย่อมนำสุขมาให้" ยังไงยังงั้น น่าทำจริงๆ ยิ่งกว่า ลองทำนะคะ. |
สวนส่างฝันจัดค่ายมหัศจรรย์
เนื่องจากเป็นช่วงว่างเว้นจากการประกอบกิจกรรมการอบรมต่างๆ จึงได้อบรมเอื้อไออุ่นในหมู่ปฏิบัติกรและ ญาติธรรม กลุ่มบุญค้ำบุญคูณ (ญาติธรรมที่รวมกัน ๔ จังหวัด คือ อำนาจเจริญ, ยโสธร, มุกดาหาร, นครพนม) โดยได้จัด ค่ายมหัศจรรย์ขึ้น ที่สวน"ส่างฝัน" จ.อำนาจเจริญ ค่ายมหัศจรรย์ครั้งนี้ทางกลุ่มบุญค้ำบุญคูณได้กราบนิมนต์สมณะจากภูผาฟ้าน้ำ มาเป็นผู้ดำเนินการค่ายอบรม วันที่ ๑๕ เม.ย.๔๖ สมณะได้เดินทางมาถึงสวนส่างฝันเวลาบ่ายโมง มีสมณะจากภูผาฯ ๒ รูป คือ สมณะหินเพชร, สมณะพอจริง ในวันเปิดค่าย สมณะดินไท และสมณะชุ่มบุญ ได้มาร่วมเปิดค่ายมหัศจรรย์ และเป็นกำลังใจ พร้อมทั้งร่วม สังเกตการณ์ ตลอดสองวันแรก ของงาน การเข้าค่ายครั้งนี้ วันแรกเป็นบรรยากาศแบบกันเองง่ายๆ ส่วนวันต่อๆมาเป็นเรื่องของการรู้จักมองตนเอง-มองผู้อื่น กิจกรรม เป็นกระบวนการ พร้อม ฟังธรรมจากสมณะทั้งเช้า-กลางวัน-เย็น การเข้าค่ายครั้งนี้จะเน้นเรื่อง อธิศีลข้อ ๑ โดยให้นำไป สู่การปฏิบัติจริง อย่างเป็น รูปธรรม ยังผลให้ผู้ที่เข้าค่ายมีปีติในศีล รักศีลและศรัทธาในศีลเพิ่มขึ้น อานิสงส์ของการปฏิบัติครั้งนี้ ทำให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี เป็นพี่เป็นน้องในหมู่กลุ่มทำให้เกิด ความอบอุ่นยิ่งขึ้น ญาติธรรม ที่เคยมีความขัดแย้ง ไม่เข้าใจในบางเรื่อง ก็ได้ปรับทิฐิเข้าหากัน อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ยังผลให้เกิด สันติภาพ กลับสู่ชุมชน สวนส่างฝัน อย่างน่าอัศจรรย์ โดยค่ายมหัศจรรย์ครั้งนี้ สมณะบินบน ถิรจิตโต ได้กรุณาให้ชื่อค่ายนี้ว่า "คืนสู่ สันติภาพ" (สวนส่างฝัน...บรรยากาศในการเข้าค่ายมหัศจรรย์
ของหมู่กลุ่มสวนส่างฝัน อบอุ่น เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลกัน สำหรับความรู้สึกของผู้เข้าค่ายครั้งนี้มีดังนี้ นางสำลี ขุมแก้ว
"ยินดีที่ได้เข้าคอร์สมหัศจรรย์อย่างมาก ประโยชน์ที่ได้คือ
นายศรีวิชัย สท้านภพ "ประโยชน์ที่ได้รับมีค่ามหาศาลทั้งต่อตนเองและหมู่กลุ่ม ที่ได้คือ ได้เห็นตัวเองมากขึ้นในปม ที่ไม่พัฒนา ปมที่ไม่คลาย ได้เผยใจให้คนอื่นทราบ แรงจูงใจที่ทำให้คลาย และกล้าที่จะแก้ปมนั้นๆ คือ ได้เกิดศรัทธา และ สร้างพลัง ศรัทธา ให้เกิดขึ้นได้ ในงานนี้ กระบวนการทั้งหมด ที่ท่านสมณะ ได้หยิบยกขึ้นมาใช้ ล้วนทำให้เกิดพลังแรงกล้า ที่จะเคารพธรรม เคารพศีลมากขึ้น ไว้ใจหมู่กลุ่มมากขึ้น เมื่อเศษอัตตามานะ ได้หลุดบ้าง จิตใจก็แจ่มใส ไร้ขุ่นมัว ยิ่งมีพลัง ที่จะรักษาศีล รักษาพรหมจรรย์ ให้สะอาดบริสุทธิ์ มีกำลังใจต่อสู้อุปสรรค เพื่อยังประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น และ หมู่กลุ่มด้วย" น.ส.รัศมี สินชู "ทำให้เห็นแนวทางในการปรับปรุงตัวเองมากขึ้น รู้ทางที่จะเดิน รู้จิตใจตัวเองมากขึ้น มีความกระตือรือร้น ที่จะพัฒนาตัวมาก และตอนนี้รู้สึกสนุก กับการตามจิตใจ กับการคุมจิตใจ สนุกกับการถือศีลปฏิบัติธรรม ความทุกข์ ก็ลดลงบ้าง ส่วนเรื่องเด็ดของงานก็คือ การกลับมาคืนดีกัน ของญาติธรรม ที่ตกค้างมา นานนับปี ทำให้บรรยากาศ ดูอบอุ่น เป็นกันเอง เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลกัน บรรยากาศ มีแต่ความรัก ความเข้าใจ ความเห็นใจ ทำให้ครอบครัวใหญ่ อย่างสวนส่างฝัน น่าอยู่ขึ้นมาก ก็ขอขอบพระคุณ สมณะเป็นอย่างสูง ที่มาช่วยประสาน ตรงจุดนี้" นางสุบรรณ ผิวทอง "ถ้าไม่ได้เข้าค่ายนี้จะเสียใจมาก แม้ว่าทีแรกคิดว่าไม่อยากมา คิดกลัวไม่กล้า แต่ก็ตัดสินใจ ลองดูก็พบ และ สัมผัสได้ว่าดีมาก และได้พัฒนาจิตใจ ขึ้นกว่าเดิม อยากให้สมณะ เปิดคอร์สนี้ ต่อไปเรื่อยๆ ได้ฟังการเปิดเผยความในใจของแต่ละคนแล้วรู้สึกดี มีความปลื้มปีติมาก ทุกคนสามารถเข้ากันได้ และขออนุโมทนา กับทุกคนด้วย". |
เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ "หน้าปัดชาวหินฟ้า" ประจำ นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๐๕(๒๒๗) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๐ เม.ย.๔๖ ฉบับนี้จิ้งหรีดมีข่าวในแวดวงชาวเรามาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้ เชื่อหรือไม่...ญาติธรรมมาร่วมงานปลุกเสกฯนับพัน แน่นอนก็ต้องกินต้องใช้ แต่เชื่อหรือไม่ว่า แต่ละคน มีค่าใช้จ่าย เฉพาะค่าอาหาร ตกคนละ ๑๕ บาทต่อวัน นี่ถ้ากลับไปบ้านฝึกกินอาหารวันละ ๑๕ บาท ได้ รับรองว่า มีเงินร่วมปฐพีฯ แก่ชาวพุทธ ไม่น้อย จริงไหมฮะ นี่แหละอานิสงส์ของการถือศีลที่ว่า สีเลนโภคสัมปทา ไงล่ะ...จี๊ดๆๆๆ ..... พึ่งเจ็บ...การอาพาธของท่านเดินดินติกขวีโร จากอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบครั้งล่าสุดนี้ ทำให้เห็นถึงความศรัทธา ของชาวเรา ที่มีต่อสมณะ เป็นอย่างยิ่ง ญาติธรรม ที่ทราบข่าวต่าง ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เช่น คุณอารมณ์ มหาปิยศิลป์ ก็ช่วยขับรถ บริการคุณหมอพจน์ และคุณใบร่ม มาจากนครปฐม ถึงรพ.ศิริราช อย่างปลอดภัย ทั้งๆที่มีนัด ต้องดูแลร้าน ก็ยังอุตส่าห์ แบ่งเวลา มาร่วมบุญ จนเสร็จภารกิจ ส่งคุณหมอพจน์กลับบ้าน ในช่วงบ่าย คุณประเสริฐ และ คุณสายพิณ พยาบาล ที่ทำงาน ประจำอยู่ที่ รพ.ศิริราช ก็ช่วยเดินเรื่อ งเตรียมเอกสาร ประสานงาน และอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้อย่างดี และ ด้วยความเต็มใจ ฝ่ายคุณมีดี รัศมิทัต ผู้มีความชำนาญ ด้านการดูแลอาหารผู้ป่วย ประจำสันติอโศก และ คุณแดนดิน โชเฟอร์มืออาชีพ (บุญนิยม) ก็ขันแข็ง บริการส่งอาหาร ถวายท่าน ที่โรงพยาบาล ทุกวัน (แม้ว่าทางโรงพยาบาล จะมีจัดเตรียม ไว้ให้ตามระเบียบ แล้วก็ตาม) รวมถึงชาวเรา อีกหลายๆท่าน ที่คอยรอฟังข่าว และให้ความช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง ที่ไม่ได้ เอ่ยนามมา ณ ที่นี้ ...นี่ก็เป็นอีก ตัวอย่างหนึ่ง ที่ทำให้จิ้งหรีด ยิ่งชัดกว่าชัดว่า "สังคมนี้พึ่งเจ็บ" กันได้จริงๆ สาธุ...จี๊ดๆๆๆ .. ข่าวล่าสุด... มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ขยับตัวอีกระลอกเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเผยแพร่ธรรมโอสถ โดยเวลา ประมาณ ๑๓.๐๐ น.ของวันที่ ๓๑ มี.ค.ที่ผ่านมาได้มีการประชุม เกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ (www.prajan.com และ Asoke.info) เป็นภาษา อังกฤษ รวมไปถึงการโต้ตอบ ปัญหาทางธรรม เป็นภาษาอังกฤษด้วย ขณะนี้ก็กำลังทำโครงการเทศน์ออกทางเว็บไซต์อินเตอร์เน็ต และจะมีการปรับปรุง ความหลากหลาย ให้มีมากขึ้น เพื่อเปิดรับ สมาชิก ที่มีจำนวนมากขึ้น ในรูปแบบใหม่เร็วๆนี้ และหากมีข้อมูลเพิ่มเติม จิ้งหรีดจะหามาคุยให้ฟัง ในโอกาสต่อไป แต่ตอนนี้ ขออนุโมทนา กับมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน ไปพลางๆก่อน ฮะแฮ้ม!...โครงการนี้เสร็จเมื่อไร ไม่สงวนสิทธิ์เฉพาะคนต่างชาติหรอกนะฮะ ใครที่ภาษาอังกฤษแข็งแรง ไม่อ่อนกำลัง อย่างจิ้งหรีด จะลองเข้าไปศึกษ าในเว็บนี้บ้าง ก็ไม่ผิดกติกานะฮะ...จี๊ดๆๆๆ ..... เรียนวินัยแต่น่าหวาดเสียว...ที่ภูผาฟ้าน้ำ ใครๆก็คงรู้ว่า เป็นที่ร่ำเรียนพระธรรมวินัย ของสมณะนวกะ แต่เชื่อหรือไม่ ถ้าจิ้งหรีด จะบอกว่า ท่านอาจารย์ ๒ สอนวินัยสมณะบวชใหม่ อย่างขยันขันแข็ง ไม่มีบ่นเลย แต่แล้ววันหนึ่ง ก็มีงูตัวเบ้อเริ่ม เลื้อยมาบริเวณ ที่พระอาจารย์ ๒ กำลังสอนพระวินัย แก่สมณะนวกะ ใต้ต้นบ๊วย ข้างศาลาบรรพชน มันเลื้อยตรงขาเก้าอี้ ที่อาจารย์ ๒ นั่งอยู่ แล้วเลื้อยไปหา สมณะนวกะ ท่านเมฆฟ้า คงจะโชคดีกว่าเพื่อน เพราะงูเลื้อยไปดมๆ ที่เท้าของท่าน แล้วมันก็เลื้อยออกไป สำหรับจิ้งหรีด แค่เห็นก็หวาดเสียวแล้ว ส่วนสมณะนวกะ จะหวาดเสียวหรือเปล่าไม่รู้ แต่ดูท่านทั้งหลาย ก็สงบดี และ ไม่มีรูปไหน นั่งหลับเลย นี่แหละจิ้งหรีดจึงคิดว่า การเรียนพระวินัยที่ไหน ก็คงไม่หวาดเสียวเท่าที่ภูผาฯ จริงมั้ยฮะ...จี๊ดๆๆๆ ..... ใส่บาตร...เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ สม.มาลินี โภคาพันธ์ เดินบิณฑบาตด้วยอาการอันสำรวมอยู่นั้น ก็มีโยมคนหนึ่ง ได้นิมนต์ท่าน เพื่อขอใส่บาตร เป็นครั้งแรก ด้วยท่าทีเต็มไปด้วย ความปีติยินดียิ่ง ของที่ถือมาใส่บาตร ก็คือ น้ำแข็งก้อนใหญ่ เบ้อเริ่ม ๑ ก้อน เมื่อสิกขมาตุเดินกลับมาถึงวัด น้ำแข็ง ก้อนนั้น ก็ละลาย กลายเป็นน้ำอ่อน เอ๊ย! น้ำเย็นเจี๊ยบพอดี จิ้งหรีดสงสัยว่า ช่วงนี้อากาศกำลังเพิ่มดีกรีความร้อนขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง กระมัง โยมเขาจึงเอาน้ำแข็ง มาทำบุญ ใส่บาตร เพื่อบรรเทา ความร้อนไงฮะ... จี๊ดๆๆๆ ..... เลื่อนฐาน...หลังจากเป็นอาคันตุกะจรแล้วเลื่อนขั้นมาเป็นอาคันตุกะประจำ จนมาถึงวันนี้ได้พิสูจน์ตัวเองมา จนมั่นใจแล้ว ม.วช. เต็มบาท ทัศโน (อดีตศิษย์เก่า สส.สอ.) ก็ไม่รอช้า ขอหมู่สงฆ์เลื่อนฐานะตัวเองเป็น "อารามิกดูตัว" ซะเลย จิ้งหรีดเห็นแล้วก็ขออนุโมทนาสาธุอย่างสุดใจเลยฮะ นึกไม่ถึงจริงๆว่า หนุ่มน้อย คนนี้จะกล้าหาญชาญชัย ถึงเพียงนี้... ส่วนอีกหนุ่มก็ตามมาติดๆอย่างไม่ลดละ (ความตั้งใจ) หลังจากเป็นอาคันตุกะจร มานานพอควรแล้ว ก็ขอเลื่อนฐานะ เป็นอาคันตุกะ ประจำ อย่างไม่ลังเลสงสัย เขาคนนั่นคือ คุณเฟย (ตำนานศิลป์ ณรงค์ชัย) ศิษย์เก่าพุทธธรรม สันติอโศก อนุโมทนาด้วยฮะ ฝ่ายคุณฝนไท ชาวหินฟ้า หรือ "อาปอ" ของเด็กๆสัมมาสิกขา ศีรษะอโศก หลังจากทำงาน ให้หมู่กลุ่มมานมนาน โดยเฉพาะ งานด้าน การศึกษา จนเป็นที่ยอมรับ ของหมู่คุรุชาวอโศก และเป็นที่เคารพรัก ของเด็กๆแล้ว ตอนหลัง ไปซุ่มฝึกตนเป็นพิเศษ ที่ภูผาฟ้าน้ำ เป็นเวลาพอสมควร ตอนนี้ได้ยินแว่วๆว่า จะสมัครเป็นอารามิก ดูตัวที่สันติอโศก เพื่อจะก้าวสู่เพศนักบวช ในโอกาส ต่อไป และจะยังช่วยงาน ด้านการศึกษา ที่สันติอโศกด้วย โอ! พระพุทธองค์...จิ้งหรีดได้ยินข่าวแล้ว ก็เป็นปลื้มปีติและอนุโมทนากับท่านทั้งสาม เป็นอย่างยิ่ง... จี๊ดๆๆๆ ..... สยบพยศ...คุณนวพร มีชูเวท ญาติธรรมรุ่นลายครามอีกท่านหนึ่ง ส่งข่าวมาว่า ขณะนี้กำลังพยายามฆ่าจิตพยศ ของตัวเองอยู่ ด้วยหวังว่า จะช่วยตัวเอง ให้รอดได้ แต่ก็ไม่สำเร็จเสียที พลันเมื่อหลายเดือนก่อน ลูกสาวของ เพื่อนคุณพ่อ ของเธอ อยากไป สันติอโศก และขอร้อง ให้ช่วยไปเป็นเพื่อน สักหน่อย ทำให้เธอต้องปลีกเวลาไป เพราะอยากจะช่วยเขา ทั้งๆที่มีภาระ ต้องดูแลคุณแม่ ซึ่งป่วยเป็นอัมพาต พอมาที่สันติฯแล้ว ก็ได้พบกับ สม.ปราณี ธาตุหินฟ้า ทำให้การมาวันนั้น เรียกได้ว่า คุ้มแสนคุ้ม เพราะตอนนี้ เธอทานมังสวิรัติ บริสุทธิ์ ได้กว่า ๒ เดือนแล้ว จิ้งหรีดได้ข่าวแล้ว รู้สึกยินดีกับเธอจริงๆ เพราะเริ่มต้นแค่จิตที่ต้องการช่วยเหลือผู้อื่นแท้ๆ เธอยังได้อานิสงส์ ขนาดนี้ "มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์" นะฮะ อย่าลืมว่า เรามีหมู่กลุ่มที่แข็งแรง และพร้อมจะยืนหยัดช่วยเหลือ ประคับประคอง กันและกัน บนเส้นทางสายธรรมนี้ ซึ่งสามารถ ช่วยเสริมพลัง แห่งธัมมาวุธ ในการปราบพยศ ของเจ้ากิเลส ได้อย่างดี พยายาม จัดสรรเวลา ว่าง แล้วแวะเวียน มาพบ สัตบุรุษนะฮะ ... ยังรอ "ผู้มีหัวใจอโศก" คืนถิ่นเสมอฮะ... จี๊ดๆๆๆ ..... รร.วิถีพุทธ...อ่านพบข่าวในหน้า นสพ. ว่า ดร.กมล รอดคล้าย ประธานอนุกรรมการ จัดการศึกษาวิถีพุทธ เปิดเผยว่า ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีดำริว่า สังคมไทยน่าจะมีรูปแบบ โรงเรียนแบบใหม่ๆ เกิดขึ้น เพื่อสนอง ความต้องการ ของประชาชนนั้น ทางกระทรวงศึกษาธิการ จึงได้กำหนดจัดการศึกษา รูปแบบใหม่ขึ้น ๕ แบบ ซึ่งหนึ่งใน ๕ แบบ ได้แก่ การจัดการศึกษา โรงเรียนวิถีพุทธ โดยอนุกรรมการฯ ได้กำหนดหลักการว่า จะต้องเป็นโรงเรียน ระบบปกติทั่วไป ที่นำหลักธรรม พระพุทธศาสนามาใช้ เน้นการพัฒนา ตามหลักไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) อย่าง บูรณาการ ซึ่งผู้เรียน จะได้เรียนรู้ ได้พัฒนาการ กิน อยู่ ดู ฟังให้เป็น มีปัญญารู้เท่าทัน โดยผ่านกระบวนการ ทางวัฒนธรรม แสวงปัญญา และ มีวัฒนธรรมเมตตา ในฐานการดำเนินชีวิต โดยโรงเรียนที่จะเข้าร่วมจัดการศึกษาในรูปแบบนี้มี ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มโรงเรียนแกนนำ กลุ่มเครือข่าย และ กลุ่มทั่วไป ซึ่งในกลุ่ม โรงเรียนแกนนำ มีโรงเรียน ที่มีความพร้อมดำเนินการ จำนวน ๑๖ โรง ที่มีคุณสมบัติตรงตามที่ คณะอนุกรรมการฯ กำหนด คือ ๑ โรงเรียนต้องมีระบบดูแล ๑ วัด หรือ ๑ มหาวิทยาลัยสงฆ์ หรือ ๑ พระเถระผู้ใหญ่ เป็นองค์อุปถัมภ์ ทั้งในเชิง วิชาการ และงบประมาณ มีสภาพร่มรื่น มีพระพุทธรูปประจำโรงเรียน มีห้องสมุดพุทธศาสนา รวมถึง การจัดตั้ง ชมรมพระพุทธศาสนา ทั้งของนักเรียน ครูและผู้ปกครอง เป็นต้น โดยจะเริ่มเปิดสอน ในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๔๖ นี้ ส่วนกลุ่มเครือข่าย ซึ่งมีคุณสมบัติ ไม่พร้อม และอยู่ในระหว่างปรับปรุง คาดว่าจะดำเนินการได้ ในภาคเรียนที่ ๒ ในขณะที่กลุ่มทั่วไป เป็นโรงเรียนต่างๆ น่าจะเริ่มดำเนินการได้ ปีการศึกษาหน้า ส่วนรายชื่อของ รร.แกนนำ มี รร.สัมมาสิกขาลัย จ.อุบลราชธานี เป็น ๑ ใน ๑๖ โรงที่ได้รับการเสนอชื่อให้ ดร.สิริกร มณีรินทร์ รมช.ศธ. ได้พิจารณาด้วย สาธุ... จี๊ดๆๆๆ ..... หัวหมุน...แหม! แค่งานในตำแหน่งของผู้จัดการและส่วนอื่นๆ ที่รับผิดชอบอยู่ก็มาก พอแล้ว แต่เมื่อมีโครงการ ร่วมปฐพีฯ เกิดขึ้นอีก ท่านผู้จัดการแซมดิน ก็ยังมีความ รับผิดชอบร่วม โดยการเสนอไอเดียดีๆ ออกมาใช้ เพื่อที่จะให้ได้เงินครบ ตามจำนวนที่ต้องชำระ แก่เจ้าของที่ดิน จิ้งหรีดฟังแล้ว ก็อดที่จะอนุโมทนาด้วยไม่ได้ ญาติธรรมท่านใด ที่ตกข่าว หรือ ยังไม่ทราบ เกี่ยวกับ "โครงการร่วมปฐพีพระวิหารพันปีฯ" สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ท่านผู้จัดการ แซมดิน เลิศบุศย์ แห่ง บจ.ฟ้าอภัย แฮะๆ... แต่ก็มีผู้ใกล้ชิดแอบได้ยินท่านผู้จัดการคนเก่งของเรา รำพึงอย่างติดตลกว่า "ปฏิบัติธรรมแบบไหนหนอ หัวหมุน ไปหมดเลย" ถ้าเรื่องแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยหรอกฮะ เป็นลูกของพ่อท่าน ก็แบบนี้แหละ แม้แต่จิ้งหรีดเอง ก็รู้สึกภูมิใจกับอาการ แบบท่านผู้จัดการ ที่มีงานบุญ ถาโถมเข้ามา จนต้องหมุนศีรษะ หยิบหมวกใบนั้นใบนี้ ใส่ให้ทันการ แบบชนิดที่ เราต้องฝึก ปล่อยวาง และ ลดละ กิเลสไปด้วย ส่วนเรื่องเงินๆทองๆที่หายากแสนยาก ก็ไม่แปลกอีกเหมือนกัน เพราะพ่อของเราไม่สอนให้ไปกอบโกย มาจากสังคมเขา ฉะนั้น เมื่อถึงเวลา จำเป็น จึงเกิดเป็นการผนึกกำลัง ของบรรดาลูกปู นั่นเองสาธุ... จี๊ดๆๆๆ ..... ฉบับนี้ลากันด้วยคติธรรม-คำสอนของพ่อท่าน
ที่ว่า พบกันใหม่ฉบับหน้า |
เก็บเบี้ยใต้ถุนวัด - สายศีล - ขอพรอยากรวย ในงานร่วมใจประสานการศึกษาและวัฒนธรรมไทย-เวียดนาม ณ บ้านแด่แผ่นดิน ของดร.นิติภูมิ เมื่อวันที่ ๒๓ มี.ค.๔๖ มีหญิงสาว หน้าตาดี แต่งตัวสวยงาม ๓ คน ก่อนกลับ ได้มากราบลาพ่อท่าน พร้อมแนะนำตัวเองว่า พวกเธอเป็นคนไทย เชื้อสาย เวียดนาม จะขอความกรุณา จากพ่อท่าน ช่วยให้พร ให้พวกเธอร่ำรวยขึ้นหน่อย แล้วก็ได้ยินพ่อท่าน ให้พร ให้ร่ำรวยขึ้นหน่อย ดังที่พวกเธอประสงค์ พ่อท่าน "อยากร่ำรวยขึ้น ต้องลดความสวย ลดการแต่งตัว แต่งกายให้เรียบๆง่ายๆ เหมือนพวกเราซิ แล้วจะรวยขึ้น" หญิงสาว "ถ้าลดความสวย แฟนหนูก็ไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยสิคะ แล้วหนูจะทำยังไง" พ่อท่าน "ก็ให้เขาไปเลย เราก็อยู่ของเราไป" หญิงสาว "แล้วลูกล่ะคะ" พ่อท่าน "ก็เลี้ยงเองซิ" แล้วพ่อท่านก็พูดแนะนำเพิ่มเติมอีกพอควร จบแล้วพวกเธอก็ยังขอให้พ่อท่านให้พร ให้ร่ำรวยอีก เป็นคำรบสอง พ่อท่านก็บอกว่า "เอ้า! ก็ให้ไปแล้วเมื้อกี้" หญิงสาว "แหม! พรของพ่อท่านดีจังเลย" พวกเธอยังแสดงจิตศรัทธา ต้องการบริจาคเงินทำบุญ ซึ่งพ่อท่านก็ได้อธิบาย ถึงระเบียบการรับบริจาค ของชาวอโศก เช่น จะต้องเคยอ่าน หนังสือของชาวอโศก อย่างน้อย ๗ เล่ม หรือ เคยไป พุทธสถานของเรา อย่างน้อย ๗ ครั้ง เป็นต้น จึงจะรับ บริจาคได้ พวกเธอก็บอกว่า จะหาโอกาสไป แล้วก็ชวนกันกราบลาพ่อท่าน สักพักหนึ่ง พวกเธอก็เดินผ่านมาอีก และยกมือไหว้พ่อท่าน พร้อมกับพูดยิ้มๆว่า "แหม! พรของพ่อท่านดีจริงๆ" นักข่าวเองเห็นแรงศรัทธา ของพวกเธอแล้ว ก็รู้สึกประทับใจ ก็ขอให้เธอทั้งสาม ได้สัมฤทธิ์ผล จากพรที่ได้รับไปเถิด. |
รู้เขารู้เรา ไบโอดีเซล-จากงานวิจัย
ในขณะที่สถานการณ์โลกกำลังตึงเครียดกับราคาน้ำมันที่พุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ในเวลานี้ คงไม่มีอะไรน่าพูดถึง ไปกว่า การหาพลังงาน ทดแทนอย่างแน่นอน "ไบโอ-ดีเซล" เป็นโครงการสืบเนื่องจากแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงริเริ่มให้ศึกษาแนวทาง การใช้ น้ำมันพืช ทดแทนน้ำมันดีเซล ในห้วงภาวะราคา น้ำมันดีเซลราคาสูง เป็นโครงการที่ได้รับความสนใจ อย่างยิ่ง โดยเฉพาะ เมื่อทรงยื่นจดสิทธิบัตร และได้รับการถวายรางวัล ในระดับนานาชาติ รัฐบาลโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ดำเนินการศึกษาโครงการไบโอ-ดีเซล ตามพระราชกระแสรับสั่ง ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ปี'๔๓ และได้รับอนุมัติหลักการในการพัฒนาโครงการ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ ๑๐ ก.ค.๔๔ ว่าไปแล้วโครงการนี้มีหลายหน่วยงานเข้าไปศึกษาด้วยกัน นอกจาก ปตท.ที่ทำเรื่องนี้แล้ว ยังมีภาคเอกชนอีกราย ที่ซุ่มศึกษา อยู่เงียบๆ มาหลายปี จนประสบความสำเร็จ และจัดสร้างโรงงานนำร่อง ผลิตน้ำมันไบโอ-ดีเซล เพื่อขายในเชิงพาณิชย์ เอกชนที่พูดถึง นี้ก็คือ บริษัทราชาไบโอ-ดีเซล จำกัด นั่นเอง นายวราวุธ ดำรงรัตน์ ประธานที่ปรึกษา บจ.ราชาไบโอดีเซล เล่าปูมหลังโครงการ ก่อนจะมาตั้งโรงงานผลิต ไบโอ-ดีเซล อยู่ที่ อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี ว่าสืบเนื่อง จากน้ำมันดีเซล ที่มีราคาสูงขึ้น ติดต่อกันมา จนถึงระดับกว่า ๑๖ บาท/ลิตร เมื่อช่วง ปลายปี ๒๕๔๓-๔๔ บริษัทราชาเฟอร์รี่ จำกัด จึงได้ร่วมมือกับมูลนิธิ สถาบันพลังงานทดแทน เอธานอล-ไบโอ-ดีเซล ทดลอง ใช้น้ำมันมะพร้าว ทดแทน ดีเซลต้นปี'๔๔ ปรากฏว่าได้ผลดี และยังคงทดลองใช้มา เป็นระยะเวลา ๑๒ เดือน รวมการใช้ น้ำมันมะพร้าวกว่า ๗ ล้านลิตร ดร.สมัย ใจอินทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานทดแทนเล่าว่า ประสบการณ์ที่ได้จากการใช้น้ำมันมะพร้าว ทดแทนดีเซล เป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนา โครงการน้ำมันเชื้อเพลิงทดแทน สำหรับเครื่องยนต์เรือขนาดใหญ่ และ สามารถยืนยันได้ว่า น้ำมันมะพร้าว สามารถใช้ทดแทนดีเซลในเรือ ที่มีเครื่องยนต์ดีเซล ความเร็วรอบต่ำ ปานกลางได้ แต่ทั้งนี้ ต้องอุ่นน้ำมัน และระวัง การเจือปนของน้ำ ในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงเท่านั้น หลังจากที่ได้ทดลองใช้น้ำมันมะพร้าวทดแทนดีเซลแล้ว ราชาไบโอ-ดีเซล ได้ ลงนามความร่วมมือ กับมูลนิธิฯ พัฒนาโครงกา รผสมไบโอ-ดีเซล ประเภทเมทิลเอสเตอร์ หรือเอททิลเอสเตอร์ โดยใช้น้ำมันพืช หรือน้ำมันใช้แล้ว มาแปรรูป เป็นไบโอ-ดีเซล ในรูปเมททิลเอสเตอร์ ตามมาตรฐานสากล เพื่อปรับคุณสมบัติ ให้เหมาะสมที่จะใช้ในเครื่องยนต์ ความเร็วสูงได้ และ ธันวาคม'๔๔ ได้สร้างโรงงานขนาดกำลังการผลิต ๒ หมื่นลิตรต่อวันขึ้น นับเป็นโครงการ ขนาดใหญ่ที่สุด ในทวีปเอเชีย และผ่าน การทดลองใช้ ในเรือเฟอร์รี่ รถบรรทุกและรถปิกอัพ เป็นจำนวนมากกว่า ๑ ล้านลิตร อนาคต เตรียมที่จะขยาย การผลิต ให้ได้ ๑ แสนลิตร อย่างไรก็ตาม แม้ราคาวัตถุดิบจะถีบตัวสูงขึ้น แต่ราชาไบโอ-ดีเซลก็พยายามหาแนวทางความเป็นไปได้ จากที่เคยคิดว่า จะแข่งขันกับโซล่า ก็มามองในเรื่องประโยชน์ ที่ช่วยกำจัดน้ำมันใช้แล้ว ออกไปจากระบบ ลดควันดำ ช่วยเกื้อกูล วงการปาล์ม พึ่งพา พลังงาน ภายในประเทศ แบบยั่งยืน จนมาถึงแนวทางที่ ๓ นำใช้ในอุตสาหกรรมเคมี และแนวทางสุดท้าย คือการนำ ไปใช้กับ CNG หรือ แก๊สธรรมชาติ ซึ่งมีราคาถูกประมาณครึ่งหนึ่ง ของโซล่า แนวทางนี้ มีโอกาสเป็นไปได้สูง จากแนวทางที่มีความเป็นไปได้น้อยมาสู่แนวทางที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด จะเห็นว่าโครงการนำร่อง ไบโอ-ดีเซล ยังมีอนาคต ไม่หมดหวัง อย่างที่ใครคิด !!! - ดวงแก้ว
ผุงเพิ่มตระกูล - |
ชื่อ
นายเสงี่ยม วิจบ คุณลุงเสงี่ยม เป็นญาติธรรมเก่าแก่ของไพศาลี ปลูกบ้านอยู่ที่ชุมชนแห่งนี้กับแม่บ้าน ลุงเป็นคนขยัน ไม่อยู่เฉย ทำโน่นทำนี่ อยู่ตลอดเวลา ปัดกวาด ทำความสะอาดโรงสี ทำปุ้งเต้า มีอะไรที่ลุงพอจะทำได้ลุงก็ทำ ไปรู้จักกับลุงกันเลยนะคะ ชีวิตลำบาก อายุ ๒๕ ปี ไปทำไร่ แล้วเจอกับแม่บ้าน เขาเป็นคนชัยภูมิ ตอนนั้นอายุขนาดนี้ เขาถือว่าอายุมากแล้ว เขาให้แต่งก็แต่ง แม่บ้าน อายุ ๒๔ ปี แต่งงานแล้วไม่มีลูก จึงไปเอาหลาน ของแม่บ้าน มาเลี้ยงเป็น บุตรบุญธรรมตั้งแต่อายุ ๒ ขวบ ก็ช่วยกัน ทำไร่ทำนา ลุงก็ซ่อมบำรุงโรงสีบ้าง เจออโศก ทุกวันขึ้น ๘ ค่ำและขึ้น ๑๕ ค่ำ ลุงก็นั่งรถจากวังพิกุลมาค้างที่ศาลีฯ มาถืออุโบสถ ก็ไปๆมาๆ ระหว่างวัดกับบ้าน วิบากกรรม เมื่อก่อนเป็นหวัดบ่อยนะ ฟังท่านมุทุกันโต บอกว่าท่านแกว่งแขน ลุงก็แกว่ง บ้าง วันละ ๒,๐๐๐ ครั้ง เดี๋ยวนี้ ไม่เป็นหวัดเลย ทุกวันนี้ โอ๊ย ! ไม่กลัวตายหรอก แต่ยังห่วงหลาน อยู่ที่นี่ก็ช่วยเขาปัดกวาดโรงสีให้สะอาด เมื่อก่อนก็ช่วยบำรุงโรงสี แต่ตอนนี้ ทำงานหนัก ไม่ได้ ก็ช่วยแกะกระสอบข้าวให้เขาสี ช่วยเย็บกระสอบข้าว กินข้าวได้ แต่ฟันไม่ค่อยดี ลุงเสงี่ยมมีความสุข พอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ อะไรที่พอจะช่วยได้ลุงก็ไม่ละเลย ทำให้นึกถึงข้อคิดที่ว่า อย่านึกว่า บุญเล็กน้อย จักไม่ให้ผล อย่านึกว่าบาปเพียงนิดจะไม่มีวิบาก หันกลับมามองตัวเรา วันนี้ได้ทำอะไร ที่เป็นประโยชน์ ให้กับส่วนรวมบ้าง หรือเปล่า?. - บุญนำพา รายงาน - |