ฉบับที่ 206 ปักษ์แรก1-15 พฤษภาคม 2546

[01] บทนำข่าวอโศก:อย่าเผากันเอง
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "จับประเด็นจากหนังสือคนคืออะไร? คนในนรกวันนี้..."
[03] บันทึกปัจฉาสมณะ : วิญญาณสัมพันธ์.....บทพิสูจน์อโศกพันธุ์แท้ ?
[04] "คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำฯ" พ่อท่านเอื้อทายาททางธรรม พิสูจน์ "อโศกพันธุ์แท้ !"
[05] กสิกรรมธรรมชาติ วิธีปลูกแตงโมโดยไม่ต้องรดน้ำ
[06] เรียนรู้การทำเกษตรไร้สารพิษ ปลุกไฟชีวิตของคนหนุ่มสาว
[07] ให้น้ำใจจะไร้น้ำตา เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ต่างปีติและรื่นเริงในธรรม
[08] ศูนย์สุขภาพ: สู้กับไข้หวัดมรณะอย่างไรดี
[09] บุญญาวุธ หมายเลข ๔ ปฏิบัติการนำร่องค่ายที่ ๒ "ส่งเสริมสุขภาพ ๗ อ."
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] งานกสิกรรมไร้สารพิษเพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ ๑๐ ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
[12] ๗ อ. กับหน่วยผลิต
[13] ห่วงคนไทยชาตินิยมจาง 'จำลอง' ลุ้นช่วยบางจาก
[14] ชายงามรายปักษ์ นายที ปลอดตะโคก


อย่าเผากันเอง

เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ เม.ย. ๒๕๔๖ ในรายการ "นายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน" ทางสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย

ถือว่าเป็นครั้งแรกที่คนระดับนายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือและชี้ทางสัมมาให้กับประชาชนโดยเฉพาะชาวไร่ ชาวนาว่า ซังข้าว ที่อยู่ในนา เป็นปุ๋ยอย่างดี ถ้าไถกลบ

ท่านนายกฯจึงขอร้องให้เกษตรกรอย่าเผานาตัวเอง เพราะเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย แถมยังก่อมลภาวะ ก่อความร้อน ให้กับบรรยากาศ ของโลกมากขึ้น

ในวันที่ ๑๖-๑๘ พ.ค. ๒๕๔๖ นี้ จะมีงานเพื่อฟ้าดิน ที่บ้านราชฯ ก็หวังว่าเกษตรกรจะได้ความรู้ต่างๆ ที่เคยเข้าใจผิด กลับเป็น ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง

โดยเฉพาะเรื่องการเผาไร่นา หรือเผาวัชพืช คงจะงดเว้นได้เด็ดขาด อันจะช่วยให้โลก ร่มเย็นขึ้น

อย่างน้อยๆชาวเราก็อย่าได้ฉลาดน้อย จนถึงขั้นจุดไฟเผากันเองเหมือนชาวบ้านเขา มันจะได้ไม่คุ้มเสีย ดั่งที่ท่าน นายกรัฐมนตรี ท่านได้พูดไว้

ชาวเราต้องนำทำเป็นแบบอย่างให้ชัดเจน

ซึ่งก็ต้องขอชื่นชมว่า ชาวเราทำได้แล้ว จนถึงขั้นนำขยะสดและแห้งมาทำเป็นปุ๋ยสะอาด สร้างดินให้อุดมสมบูรณ์ ขึ้นมาได้.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

จับประเด็นจากหนังสือคนคืออะไร?

คนในนรกวันนี้...คนที่มีใจเร่าร้อนด้วยกิเลสตัณหา ดิ้นรนกระวนกระวายอยู่กับโลกีย์ นี้เป็นอาการของสัตว์นรกโดยแท้

ส่วนคนมีจิตวิญญาณเป็นเสมือนสัตว์เดรัจฉาน จะงี่เง่าในทางดี ฉลาดในทางเลว ทางชั่ว ทางบัดสี ทั้งปวง มากไปด้วยราคะ โทสะ และ สุดยอดของโมหะ เป็นบัว ใต้ตมหมดสิทธิ์โผล่ขึ้นมาเห็นแสงแห่งธรรม

คนมีจิตวิญญาณเสมือนเปรต... มากตัณหา ราคะจัดจ้าน โลภอยากไม่รู้จักพออย่างกุฎุมพีทั้งหลาย ส่วนสตรี ที่มีราคะจัด มักแต่งกาย วาบหวาม แทบเปลือยเปล่า แสดงกิริยาหิวกระหายในราคะ นี่ล่ะเปรตในร่างคน

คนมีจิตวิญญาณเสมือน อสุรกาย...คือผู้มีใจอ่อนแอหวาดกลัว กลัวต้องสูญเสียลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเสพสม ทั้งหลาย ไม่กล้าทำดี แต่กล้าทำชั่วดีนัก นี่แหละ อสุรกายตัวฉกาจ หรือกล้าอย่าง บ้าเลือดนั้น เป็นมารร้าย มิใช่ธรรมะ

การเกิดเป็นสัตว์นรกดังกล่าวมานี้ ถือเป็นการเกิดทางจิตวิญญาณ โดยการสั่งสมกรรม เรียกว่าการเกิดอย่าง "โอปปาติกกำเนิด" สามารถเกิดได้ ทั้งดีและชั่ว ขึ้นอยู่กับชนิดของกรรม อันคนเราสั่งสม ว่าเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม

ยอด "ตัณหา" ต่างระดับ...
วิภวตัณหา...คือความปรารถนาทำดีเพื่อหลุดพ้น เพื่อผู้อื่น นับเนื่องว่าเป็นภพอย่างหนึ่งซึ่งละเอียดยิบยิ่ง ทว่าเป็นภพ ที่มิได้มีเ พื่อเสพกาม สนองอัตตาตนแต่อย่างใด เป็นภพของภูมิ ระดับขั้นพระอาริยะ ที่พ้นระดับ รูปภพขึ้นไป พ้นโลกธรรม ๘ กอปรกรรมดี เพื่อปวงชน อย่างไม่หวังผลจริงๆ ทำด้วยใจบริสุทธิ์สะอาด.

- พุทธบุตร ลูกหม้ออโศก -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สดจากปัจฉาสมณะ
- สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ -

วิญญาณสัมพันธ์.....บทพิสูจน์อโศกพันธุ์แท้ ?
งาน " คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ สัมมาสิกขา" เพิ่งจะผ่านไปอุ่นๆ สถิติจากยอดศิษย์เก่าที่มาลงทะเบียน ๔๑๗ คน เป็นผู้ที่จบ ม.๖ จำนวน ๒๕๘ คน และผู้ที่ผ่านการเรียนในชั้นอื่นๆจำนวน ๑๕๙ คน นอกนั้นเป็นสมณะ สิกขมาตุ และคุรุ รวมถึงญาติธรรม อีกประมาณ ๑๕๐ คน

คณะเตรียมงานประเมินว่าศิษย์เก่าที่ผ่านการเรียนในชั้นต่างๆของทุกโรงเรียน สัมมาสิกขาประมาณ ๘๐๐ คน ศิษย์เก่า ที่ไม่ได้มาร่วมงาน ผู้เขียนเข้าใจว่าส่วนใหญ่ไม่ทราบข่าวว่ามีงาน ด้วย ที่อยู่ปัจจุบันกับที่แจ้งไว้ ตอนเรียนเปลี่ยนไป จึงติดต่อ ส่งข่าวกันไม่ได้ อีกส่วนหนึ่ง อาจจะติดธุระ ติดสอบ หรือมีภาระที่ต้องดูแล ญาติผู้ชรา อีกส่วนหนึ่ง ผู้บังคับบัญชา หรือ "ฝามี" ไม่อนุญาต (นี่แหละ เป็นกรรมเวร ของคนมี "ฝา" กรรมนี้มีผลเห็นทันตา) อีกส่วนหนึ่ง อาจจะขี้เกียจมา... ทำงานหาเงิน ดีกว่า

"ลมเย็น" (เอก) ศิษย์เก่า สส.ฐ. บอกเล่าถึง สิ่งที่ตนมุ่งมั่นตั้งใจ และเห็นความสำคัญ ของงานนี้ว่า เนื่องจาก ตนติด เกณฑ์ทหาร ต้องไปอยู่ที่ สุราษฎร์ธานี ตอนแรก ผู้บังคับบัญชา ไม่ยอมให้มา ด้วยหวังดีว่า งานศิษย์เก่า จากประสบการณ์ ของผู้บังคับบัญชา ที่จบโรงเรียน นายร้อย จ.ป.ร.มา เห็นว่าไม่มีอะไรสำคัญ มีแต่กินเหล้า ร้องรำทำเพลง.. "คิดดูสิ มึงจะต้อง นั่งรถ จากสุราษฎร์ฯ ไปอุบลฯ แล้วนั่งรถกลับอีก เสียเงินเสียเวลา เมื่อยเปล่าๆ ไม่คุ้มหรอก เชื่อกูเถอะ มึงอย่าไปเลย" เป็นความหวังดี แกมบังคับ ที่ยากจะหาเหตุผล มาหักล้าง จริงทีเดียว งานศิษย์เก่าทั่วๆไป คงเป็นเช่นนั้น แต่งานของเรา ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ทำให้ "ลมเย็น" ไม่ละความพยายาม ทั้งออดอ้อน.. ทำเสียงเศร้าๆเครือๆ.. บีบน้ำตาสารพัด "มายาชาย ๕,๐๐๐ เล่มเกวียน ที่ผมไม่เคยใช้ ผมเอามาใช้หมด แต่เจ้านายก็ไม่ยอม สุดท้าย ผมเอาจดหมาย แจ้งข่าวงาน ให้เจ้านายดู โดยเอาแผ่น ที่พ่อท่าน เขียนด้วยลายมือ เชิญชวน ให้ไปร่วมงาน วางเอาไว้บนสุด หลังจากที่เจ้านายอ่านจบ เจ้านาย ก็บอกผมว่า.. "มึงจะไปงานบุญ มึงก็ไม่บอกกู ถ้ายังงั้น มึงไปได้" นาย"ลมเย็น" บอกเล่า แล้วเผย "ไพ่ใบสุดท้าย" หรือ "ไม้ตาย" หากสุดท้ายจริงๆ เจ้านายยืนยัน ไม่อนุญาต "ผมคิดจะหนีเจ้านาย มาร่วมงานให้ได้ แม้จะต้อง กลับไปถูกขังคุกทหาร ผมก็จะมา" น้ำเสียงจริงจัง หนักแน่น อย่างกับจะล้อเลียนพ่อท่าน "แม้จะจับอาตมา ไปขังคุก อาตมาก็ไม่สึก ออกจากคุกมา อาตมาก็ยืนยัน จะทำอย่างนี้ เหมือนเดิม นั่นแหละ"

"ตำนานฟ้า" (ยา) ศิษย์เก่า สส.ฐ. อีกคนที่จบ ม.๖ แล้วอยู่ช่วยงาน ที่ชุมชนปฐมอโศก เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ที่สำคัญ ของงานนี้ ตั้งแต่ พ่อท่านเปรย จะจัดงานรวมศิษย์เก่า "ตำนานฟ้า" ก็ขยับ ติดต่อประสานก่อนใคร.. สอบถามวันเวลา ที่เหมาะกับ ส่วนใหญ่.. จัดทำของที่ระลึกตัวอย่าง มานำเสนอ.. ลงทุนลงแรง ไปเรียนการทำกรอบภาพ ของที่ระลึก จากเจ้าของร้าน ในนครปฐม ที่ยินดีสอนให้ฟรี เพื่อจะได้ มาทำกันเอง เป็นการประหยัด ค่าใช้จ่าย จากราคา กรอบละ ๓๐-๔๐บาท เมื่อทำกันเอง ทุนวัสดุ อยู่ที่กรอบละ ๑๐ กว่าบาท.. ที่สำคัญ ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ ยังชักชวนเพื่อนๆ และน้องๆ ทำอาหารไปขาย ที่หน้าร้าน มรฐ. ทุกวันจันทร์ ที่ร้านหยุด แล้วนำเงินรายได้ ๑๐,๐๐๐ กว่าบาทนั้น มาช่วยเป็นค่ารถ เดินทาง ให้เพื่อนๆ ศิษย์เก่า ที่จะไป ร่วมงาน

ทั้ง "ลมเย็น" และ "ตำนานฟ้า" เป็น เพียงตุ๊กตาตัวอย่างเล็กๆของ "วิญญาณสัมพันธ์" ที่ชาวอโศกทุกท่าน ก็ควรจะมีการเห็น ความสำคัญของ "กิจกรรม" ที่สำคัญ ใน "กาละ"ที่สำคัญ ผู้นั้นจัดว่า เป็นคนสำคัญ ที่รู้ความสำคัญ ในสิ่งที่ควรสำคัญ

การเอาภาระรับผิดชอบ ช่วยทุกอย่าง เท่าที่จะช่วยได้ ทั้งคิด-พูด-ทำเพื่อให้ส่วนกลางเบาภาระ ทั้งเงินทอง และแรงงาน ในทุกๆ งาน ทุกๆ กิจกรรม ของชาวอโศก นี้น่าจะจัดเป็น คุณลักษณะหนึ่งของ "อโศกพันธุ์แท้"

ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากงานนี้ เป็นค่าอาหาร และของที่ระลึก ประมาณ ๑๒๐,๐๐๐ บาทเศษ เป็นค่าหนังสือ ที่ระลึก ซึ่งมีคำพร ของสมณะ, สิกขมาต ุและ คุรุอีกประมาณ ๒๖,๐๐๐ บาท รวมอย่างคร่าวๆ ประมาณ ๑๔๐,๐๐๐-๑๕๐,๐๐๐ บาท พ่อท่านบอกว่า พิธีกรรม หรือกิจกรรมใดๆ ถ้ามีผลทางจิตวิญญาณ ที่ดีเกิด แม้จะต้องลงทุน เป็นแสน เป็นล้านๆ ก็ต้องลงทุน

"จี้เงิน" รูปใบโพธิ์ ที่พ่อท่านมอบให้ศิษย์เก่าที่จบ ม.๖ และตั้งใจว่า จะมอบให้นักเรียนที่จบ ม.๖ ปีต่อๆไปด้วยนั้น ไม่ใช่แค่ ของที่ระลึก ธรรมดาๆ แม้โดยราคา จะไม่สูงมาก แต่ในอนาคต สิ่งนี้จะเป็น สัญลักษณ์แทน บอกถึงความเป็น "ธรรมทายาท" ชาวอโศก ดุจดั่ง "ป้ายหยก" ที่บอกถึงการสืบสาย "วงศ์ตระกูล"

ดังนั้น การลงทุนเงินทองอย่างนี้ ถือว่า คุ้มมากกับผล ทางจิตวิญญาณที่เกิด และเป็นไปได้ว่า "วิญญาณสัมพันธ์" ที่ยิ่งกว่า "ลมเย็น" และ "ตำนานฟ้า" เกิดมีได้แน่ๆ

แม้รายการต่างๆของงาน "คืนสู่เหย้าฯ" ที่ผ่านมา ในความเห็น ของผู้เขียน ค่อนข้าง จะ..จื้ด..จืด สำหรับคนวัย หนุ่มสาว อย่างนั้น (ไม่เห็นมีสิ่งใด ที่ชวนใฝ่หา..เล้ย ย..จริงๆ) แม้แต่ วงดนตรีดัง I-ZAX ก็เหอะ เท่าที่สังเกตดู ก็ไม่เห็นหนุ่มสาว ศิษย์สัมมาสิกขา จะ...จี๊ด..จ๊าด กันเท่าไหร่นัก รายการบันเทิง ภาคค่ำ ที่ศิษย์เก่า แต่ละแห่ง มาแสดงกันเอง ยังจะดูครึกครื้น น่าสนใจกว่า ยิ่งรายการ ล่องเรือ "เอื้อไออุ่น" นั้นก็ยิ่งจืด ซึ่งพ่อท่าน ก็อุตส่าห์ปรุง พูดคุยบอกเล่า เรื่องโน้นเรื่องนี้ รวมถึง ตอบคำถาม ต่างๆ อย่างมีฉันทะ ลำพังให้มา ล่องเรือเฉยๆ คาดว่า คงไม่มีใคร อยากมาหร้อก นี่ถ้าผู้เขียน ไม่ติดว่า ต้องเก็บ ข้อมูลต่างๆ ของพ่อท่าน เพื่อเขียนแล้ว ขอไม่ไปล่องเรือ จะดีกว่า

ที่เขียนเรื่องรายการต่างๆ จื้ด ด..จืด เพื่อที่จะสรุปเป็นข้อสังเกตว่า งานนี้ทุกคน มาด้วย "ศรัทธา" ไม่ได้สนใจว่า รายการ จะเป็นอย่างไร? มีอะไรน่าตื่นเต้น สนุกสนาน หรือเปล่า หรือมาแล้ว ฉันจะได้อะไร อร่อยๆ เพียงแต่ขอให้บอกว่า มีงาน ฉันก็จะมา... แม้กลับไปติดคุก!!!.. ฉันก็จะมา

ใจถึงขนาดนี้ ถ้าไม่ให้ เป็น"อโศกพันธุ์แท้" ก็ไม่รู้จะไปให้หมู-หมาที่ไหน ได้แล้ว

บรรดาศิษย์เก่าที่มาร่วมงาน เมื่อมองผ่านๆ หลายคนดูจะกำลังหลงระเริงโลกีย์อยู่มาก นี้เป็นประเภทที่หนึ่ง ที่น่าเสียดาย เวลา และโอกาส ที่เขา หรือ เธอเหล่านั้น เคยได้เรียน ได้อยู่ ในสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ แต่กลับไม่เห็นค่า ทิ้งสิ่ง "ดีๆ" ไปเอา "โลกีย์" หวังว่า งานนี้ คงมีส่วนช่วย ให้เขาหรือเธอนั้นๆ..ลดๆ..หยุดๆ..ลงมาบ้างนะ พ่อท่านอุตส่าห์ ใช้อุบายวิธี จัดงาน เพื่อฉุดรั้งเธอ อย่างนี้แล้ว หากกู่ไม่กลับเลย ซ้ำมิหนำ จะหนักหน้า "โลกีย์" มากขึ้นเรื่อยๆ จนชีวาวาย ตำแหน่ง "โมฆะ" บุรุษ หรือที่พ่อท่าน แปลเป็นไทย อย่างถึงๆว่า...ชิง...เกิด คงเป็นของเธ อเหล่านั้นจริงๆ

ศิษย์เก่าประเภทที่สองคือผู้ที่กำลัง ลังเลสองจิตสองใจ ใจหนึ่งก็อยากจะกลับเข้ามาในชุมชนอีก แต่อีกใจหนึ่ง ก็ยังยินดีกับ "โลกีย์" อยากจะหาเงิน ให้เยอะๆก่อน แต่งงาน มีครอบครัว แล้วค่อยมา ตอนมีอายุ มากกว่านี้หน่อยก็ได้ ดูซิ! ขนาดเป็นสมณะ ยังสึกออกมา มีครอบครัวเลย ขอลองให้หาย สงสัยก่อนน่าาา... คิดน่ะคิดได้ แต่จะทำได้ อย่างที่คิดหรือเปล่า อันนี้ก็น่าคิด เหมือนกันนะ ถ้าทำได้ก็เสียเวลา หรือถ้าทำไม่ได้ ก็ยิ่งจะเสียเวลาใช่ไหม ผู้เขียนขอเดาได้เลย กับผู้ที่คิด ให้น้ำหนักมาทาง "โลกีย์" อย่างหลังนี้ อนาคต คงไม่แคล้ว น้องๆศิษย์เก่า ประเภทที่หนึ่ง...อย่าคิดนะว่า เธอจะฉลาด และแข็งแรงกว่า "โลกีย์"

ส่วนผู้ที่ลังเลมาทางเข้ามาในชุมชน ขอส่งแรงใจช่วยเธอเต็ม ๑๐๐ ให้เธอฉลาดคิด...ก็ขนาดเป็นถึง สมณะยัง "ตกม้าตาย" พ่ายแพ้ "โลกีย" ได้ ประสาอะไร กับคนบารมีน้อย เช่นเรา เป็นโชคดีของเราแล้วหนอ ที่ยังไม่มี "ฝาครอบ" ไม่มีภาระอื่นใด ผูกมัด เรายังหนุ่มสาว แข็งแรง ควรรีบๆเข้ามาช่วยงานเสีย ในตอนนี้แหละ ดีแล้ว ก่อน ที่ "โลกีย" จะดึงเรา จนกู่ไม่กลับ ต้อง แปดเปื้อน เสียหาย มากไปกว่านี้

ศิษย์เก่าประเภทที่สามคือผู้ที่กำลังชดใช้ หนี้เวรหนี้กรรม บางรายต้องคดีค้ายาบ้า ไปรับผิดแทนญาติผู้ใหญ่ ทั้งๆที่ตน ไม่ได้ทำ บางราย ต้องไปทำงาน หาเงินใช้หนี้ แทนผู้มีพระคุณ บางรายต้องรับผิดชอบ ดูแลผู้ชรา และหาเงิน เลี้ยงน้องๆ บางราย กำลัง ช้ำเลือด ช้ำหนอง กับความรักสีชมพู ที่แปรเปลี่ยนไป ไม่สดใส ดังเก่าก่อน เป็นกรรมเวรจริงๆ ของคนที่มี "ฝาครอบ" และ อีกนานา สารพัด หนี้วิบาก ที่มีอยู่จริงในโลก น่าเห็นใจจริงๆ ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ได้แต่เอาใจช่วย ให้หมดหนี้ เวรกรรมเร็วๆ ก่อนที่ พ่อท่าน จะแก่และเหี่ยว มากไปกว่านี้

ศิษย์เก่าประเภทที่สี่คือผู้ที่กำลังช่วยงานในชุมชนชาวอโศก ซึ่งยังมีอยู่น้อยนิด จะถึง ๕ % หรือเปล่าก็ไม่รู้ได้ เอาใจช่วย ทุกคนเกิน ๑๐๐ เลยล่ะ เป็นลาภ ของเธอ ทั้งหลายแล้วหนอ ที่ไม่ต้องไป แปดเปื้อน ไม่ต้องมี "ฝาครอบ" เช่นเพื่อนๆ ถ้าผู้เขียน มีฤทธิ์ และเสกได้ ก็อยากจะเสก ให้เธอทุกคน แข็งแรง ทั้งกายและใจ จะได้ช่วยงาน สืบสาน พระศาสนาต่อไป จนกว่าชีวิต จะม้วยมรณ์

งาน "เพื่อฟ้าดิน" (๑๖-๑๘ พ.ค.) ที่บ้านราชฯ ก็เป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งของ "อโศกพันธุ์แท้" ด้วยงานนี้ จะมีพี่น้อง เกษตรกร ที่ผ่าน การอบรม กับเราแล้ว มาร่วม ๓,๐๐๐ คน มี ธ.ก.ส. ๖๐๐ คน ชาวอโศกอีก ๑,๕๐๐-๒,๐๐๐ คน เรื่องอาหารน่ะ ไม่มีปัญหาเลย แต่ที่พักและห้องน้ำ ที่จะรองรับคนร่วม ๕,๐๐๐ คน นี่สิหนักใจ แทนจริงๆ ดังนั้น ชาวอโศก ที่จะไปร่วม ต้องพร้อม ที่จะเสียสละให้ "แขก" ในทุกๆเรื่อง และควรเป็นคนแข็งแรง สำนวนของทหารเขาว่า.. ดีหนึ่งประเภทหนึ่ง คนป่วย หรือ คนแก่ ที่ไม่แข็งแรงพอ ไม่ควรไปเลย จะดีกว่า

บทสรุปถ้า "อโศกพันธุ์แท้" อย่างเข้มๆ คือผู้มีวิชชาและจรณะสัมปันโน สำหรับงานนี้ ขอแค่ไม่ทำตนเป็น "แขก" ไม่อยู่ "ยอดตาล" ไม่มี "กระดอง" ติดมา หวังใจว่า "วิญญาณสัมพันธ์" ที่ยิ่งกว่าตุ๊กตาตัวน้อยๆ ที่ยกมาข้างต้นนั้น งานนี้คงได้เห็นกัน โดยถ้วนทั่ว.

- ทีมข่าวพิเศษ -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


"คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำฯ"
พ่อท่านเอื้อทายาททางธรรม

พิสูจน์ "อโศกพันธุ์แท้ !"

ชีวิตนี้สั้นนัก จากพ่อถึงลูก
วันที่ ๒๓ ก.พ. ๒๕๔๖ พ่อท่านเขียน จ.ม. "จากพ่อถึงลูกสัมมาสิกขา" ส่งถึงสัมมาสิกขาทุกคน ที่จบจากสัมมาสิกขา ตั้งแต่รุ่นแรก ถึงรุ่นปัจจุบัน ให้กลับมาพบหน้ากันในงาน "คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ สัมมาสิกขา"

ระหว่างวันที่ ๓-๕ พ.ค. ๔๖ ที่ราชธานีอโศก นับเป็นจ.ม.ฉบับแรกที่พ่อท่านเขียนถึงนร.สัมมาสิกขาฯที่จบออกไปแล้ว ซึ่งหลายคน อ่านแล้วซาบซึ้ง ประทับใจจนน้ำตาไหล ในสายใยแห่งความผูกพันระหว่างพ่อ-ลูกทางธรรม

ในส่วนของการเตรียมงาน มีการประชุมแต่งตั้งศิษย์เก่าสัมมาสิกขาจากพุทธสถานต่างๆ เป็นคณะทำงาน ซึ่งได้รับ ความร่วมมือ เป็นอย่างดี จากศิษย์เก่าฯ ทุกๆท่าน

พ่อท่านพร้อมปัจฉาฯได้เดินทางมาเพื่อร่วมงาน ตั้งแต่วันที่ ๒ พ.ค. และมีศิษย์เก่าฯทยอยเข้าพื้นที่ ตั้งแต่วันนี้ เช่นกัน หลายคน ก็อุ้มลูก มาร่วมงาน และขอให้พ่อท่านตั้งชื่อให้ลูกด้วย บางคนไม่สามารถมาได้จริงๆ ก็โทร.มาบอกเล่า เหตุแห่งวิบากนั้นๆ บรรยากาศ อบอุ่นยิ่งนัก เหมือนลูกๆแต่ละคน กลับมาเยี่ยมบ้านเก่าของเขา บางคนอาจมีการ ตัดสินใจบางอย่าง ที่ดีเกิดขึ้น และ อีกหลายคน ก็ยิ่งมั่นใจ ในครอบครัวใหญ่ ที่แสนจะอบอุ่น ในบ้านหลังนี้

๓ พ.ค. ๔๖ เริ่มลงทะเบียนตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ - ๐๙.๐๐ น. โดยแยกเป็นพุทธสถานต่างๆ คือ ศีรษะฯ, ปฐมฯ, สันติฯ, สีมาฯ, ศาลีฯ, ราชธานีฯ โดยก่อนจะลงทะเบียน จะมีการลอดซุ้ม หลังจากนั้น จะได้รับแจกโบว์เล็กๆ ตามสีของผ้าพันคอ ของแต่ละ พุทธสถาน สำหรับติดหน้าอก เพื่อจะได้รู้ว่าจบจากที่ไหน พร้อมป้ายชื่อห้อยคอ และ มีหนังสือ คืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ สัมมาสิกขา ซึ่งเป็นความในใจ จากสมณะ-สิกขมาตุ และคุรุ เขียนเตือนใจ สัมมาสิกขาทุกคน พร้อมกับรับหนังสือ จากศิษย์เก่าฯ ท่านหนึ่ง อีก ๒ เล่ม เสร็จแล้ว แต่ละพุทธสถาน ก็แยกย้ายไป รำลึกถึงความหลัง ครั้งที่ประทับใจ ตามซุ้มต่างๆ เช่น ในอดีตของศีรษะฯ ต้องแบ่ง กล้วยน้ำว้า ๑ ผลออกเป็น ๔ ชิ้น เพื่อจะกินกันได้ทั่วถึง

๙ โมงเช้ากลับมารวมตัวกันที่เฮือนศูนย์ฯ เพื่อฟังเทศน์ปฐมฤกษ์จากพ่อท่าน เสร็จแล้ว รับประทานอาหาร ในครั้งนี้ มียอด สัมมาสิกขา มารวมงาน ทั้งหมด ๔๑๓ คน และ เป็นโอกาสเดียว ที่พ่อท่าน อนุญาต ให้ นร. ที่ได้รับทัณฑ์ต่างๆ ห้ามเข้า พุทธสถาน สามารถมา ร่วมงานครั้งนี้ได้ นอกจากนี้ ลูกๆแซงแซว จากศีรษะอโศก ก็มาร่วมงานด้วย เช่นกัน

บ่ายโมงพบกันอีกครั้ง ด้วยกีฬาอาริยะ ๓ ประเภท คือ กางเต็นท์เตรียมงาน พฟด., ขนกระเบื้อง มุงเฮือนศูนย์ฯ ลงจากชั้น ๓ และ ขนย้าย ทำความสะอาด โรงครัวเก่า ซึ่งเป็นงานในร่มทั้งสิ้น เพื่อให้แต่ละคน ที่จากกันไปนาน ได้มีโอกาส พูดคุย และสั่งสมบุญ ไปพร้อมกัน ๕ โมงเย็นรับประทานอาหารร่วมกัน พร้อมกับชม การแสดงดนตรี จากวง I-SAX ซึ่งหัวหน้าวง เป็นศิษย์เก่า รุ่นแรก จากปฐมอโศก วงฆราวาส และ ศิษย์จากพุทธสถานต่างๆ จนถึงห้าทุ่ม โดยผู้ชมทยอยไปพักผ่อน ตั้งแต่ ๒ ทุ่ม จนถึงการแสดง ของวงสุดท้าย

๔ พ.ค. ฟังธรรมะรับอรุณจากพ่อท่าน ตั้งแต่ ๐๔.๐๐-๐๖.๐๐ น. ดื่มน้ำเต้าหู้รองท้อง แล้วเตรียมตัว ล่องนาวาบุญนิยม พร้อมเอื้อไออุ่น ใช้เรือ ๔ ลำ บรรยากาศ อบอุ่น สนุกสนาน พร้อมได้ชมวิวทิวทัศน์ และไปจอดพูดคุย ความหลัง ในอดีต และ ความก้าวหน้า ของการทำงาน ของชาวอโศก ที่มีทั้งงาน การเมืองบุญนิยม และ โครงการร่วมปฐพีฯ บริเวณท่าขึ้นเรือ สวนไวพลัง

๑๐.๓๐ น. กลับมารับประทานอาหาร ๑๓.๐๐ น. ประชุมเพื่อจัดตั้งชมรมศิษย์เก่า สัมมาสิกขา และเลือกคณะทำงาน โดยมี น.ส.อุ่นเอื้อ สิงห์คำ ศิษย์เก่าฯ จากศีรษะอโศก ได้รับเลือกเป็นประธาน นอกจากนี้ ได้เปิดคอลัมน์ เพื่อเป็นสื่อกลาง และ ส่งข่าวคราว ถึงศิษย์เก่าฯ ในนสพ. ข่าวอโศก และได้กำหนด จัดงานคืนสู่เหย้าฯ เป็นประจำปี ของชาวอโศก ระหว่าง วันที่ ๑๒-๑๔ พ.ค. ที่ราชธานีอโศก ศิษย์เก่าฯ ทุกท่านที่ติดภารกิจ เตรียมวันลา ล่วงหน้าได้เลย หากใครไม่ได้มา ขอบอกว่า น่าเสียดาย มากๆ เพราะงานนี้ พ่อท่านจัดเพื่อลูกๆ สัมมาสิกขาทุกคน

กลางคืนชมการแสดงจากพุทธสถาน ต่างๆ สลับกับการสัมภาษณ์คุรุ รุ่นเก่าๆ แก่ๆ มีภาพน่ารัก ของลูกบางคน ร้องหาแม่ ที่กำลังแสดง อยู่กับเพื่อนศิษย์เก่า บนเวที และ รายการสุดท้าย ชมภาพยนตร์ เรื่องสั้นจริงๆ เพราะมีความยาว ประมาณ ๑๐ นาที จากปฐมอโศก สนุกและมีสาระ

๕ พ.ค. ในช่วงเช้าเป็นรายการเปิดใจ ของตัวแทนคุรุจากที่ต่างๆ ต่อด้วยสิกขมาตุ และสมณะ เสร็จแล้ว ทำบุญตักบาตร ร่วมกัน ถ่ายรูปกับพ่อท่าน สมณะ - สิกขมาตุ และคุรุ แล้วแต่ละพุทธสถาน เข้าแถว รับของที่ระลึก จากพ่อท่าน สำหรับ ผู้ที่เรียนจบ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ จากสัมมาสิกขาฯ ต่างๆ เป็นล็อกเก็ต ผสมทองแท้ รูปใบโพธิ์ และภาพพ่อท่านโดยมี จ.ม.ของพ่อท่าน รวมอยู่ด้วย ในกรอบรูป ขนาดกะทัดรัดสวยงาม สำหรับผู้ที่จบ ต่ำกว่า มัธยมศึกษาปีที่ ๖ ก็จะได้รับแจก เพียงภาพพ่อท่านฯ เท่านั้น และพิเศษสุด แจกสำหรับ ผู้มาร่วมงานเท่านั้น สำหรับผู้ที่จบ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ แต่ไม่สามารถ มาร่วมงานได้ ก็สามารถมาขอรับได้ ในปีหน้า

และรับพรก่อนจาก จากพ่อท่าน ซึ่งเน้นให้ฟังอีกครั้งว่าพ่อท่านสร้างทุกๆสิ่งทุกๆอย่างไว้เพื่อเป็นโลกุตรสมบัติ มอบแก่ลูกๆ ทุกคน แล้วรับประทาน อาหารร่วมกัน โดยมีเมนูเด็ด ผัดผักบุ้งไฟแดงร้อนๆ หอมกรุ่นจากเตา เรียกน้ำย่อย อยู่บริเวณ ใต้เฮือนศูนย์ฯ งานนี้ ผัดแทบไม่ทันเชียวนะ

๑๒.๐๐-๑๔.๐๐ น. พิธีอำลาก็มาถึง แต่ละพุทธสถานส่งตัวแทนมาพูดความในใจ สิกขมาตุ กล้าข้ามฝัน ชี้ทางเลือก ที่มีคุณค่า และ ปลอดภัย แก่ศิษย์เก่าทุกคน แล้วพ่อท่านอวยพร ก่อนจะแยกย้ายกันไปว่า ชีวิตเป็นของเรา อย่าปล่อยชีวิต เป็นเช่นสวะ ทุกขณะ ควรพัฒนาตัวเอง ให้ดีขึ้น แล้วชีวิตจะมีหลักประกัน ที่มั่นคง อย่าลืมว่า ชีวิตนี้สั้นนัก เสร็จแล้ว กราบลาพ่อท่าน สมณะ-สิกขมาตุ และ กราบลาคุรุ

อย่าลืมว่าทุกปีของวันที่ ๑๒-๑๔ พ.ค. จะเป็นวันคืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ สัมมาสิกขา ของลูกๆ สัมมาสิกขาทุกคน พ่อท่าน รอลูกๆ ทุกคน อยู่ที่ราชธานีอโศก

สำหรับสมณะ-คุรุ-ศิษย์เก่า ที่มาร่วมงาน ได้ให้สัมภาษณ์ดังนี้

น.ส.ลำภู ปลั่งกระโทก "อยากมาเจอพี่ๆน้องๆ เจอคณะครู สมณะ-สิกขมาตุ บรรยากาศเก่าๆกลับมา ดีใจที่ได้มา มาแล้วอบอุ่น ได้รู้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหนบ้าง จัดทุกปีดีมากเลย ใจตัวเอง ก็อยากให้จัดที่ปฐมอโศก คือจัดตาม พุทธสถาน จะอบอุ่นดี เพราะรู้จักกัน แต่ที่นี่จะหลากหลาย ไม่ค่อยอบอุ่น แต่ก็ได้รู้จักเพื่อนเพิ่มขึ้น เพิ่งมาครั้งแรก และนั่งเรือเป็นครั้งแรก"

นายกึกก้อง เลิศเอี่ยม "อยากมาเจอเพื่อนๆ คณะครู คิดว่าอีกหลายๆคนคงมีความรู้สึกเหมือนๆกัน

คุรุกลั่นกรอง ปริกัมศีล "บรรยากาศดีนะ งานนี้พ่อท่านเอื้อมาก เอ็นดูพวกศิษย์เก่าเหมือนเขาเป็นส่วนหนึ่ง ของชาวอโศก ซึ่งมีผล ต่อผู้ใหญ่ ที่จะสัมพันธ์กับเด็กมากขึ้น มองพวกเขาเป็นลูกๆหลานๆเพิ่มขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่เข้มข้น เหมือนชาวอโศก แต่จะทำให้ พวกเขากล้า ที่จะมาอยู่ ในหมู่เรามากขึ้น แม้บางคน จะกลับกินเนื้อสัตว์ก็ตาม ทีลูกค้า ธ.ก.ส. เรายังเอื้อเขาเลย แล้วนี่เด็ก อยู่กับเรา ตั้งนาน และรู้แนวทาง ลึกกว่าอีกด้วย จะตกหล่นบ้าง ก็ช่วยๆกันไป"

สมณะร่มเมือง ยุทธวโร "ดีใจที่ได้เห็นเด็กๆ หลายๆคนหน้าตาเปลี่ยนไป เขาเคยอยู่กับเรามาก่อน ตั้งแต่ตัวเล็กๆ ตอนนี้ เขาเป็นผู้ใหญ่ บางคนก็อุ้มลูกมา ดูแต่ละคนก็สดชื่น ได้มาบ้านเก่า อยากจะให้กำลังใจ ให้เขามีพลัง ที่จะออกไป สู้กับชีวิต ในความจริง ทั้งด้านการงาน และจิตใจ จนกว่าเขาจะเป็น ผู้ใหญ่มากกว่านี้ คิดว่าคงจะมีกำลังใจ มีศีลมีธรรม กลับไป ดำเนินชีวิต ต่อสู้ชีวิต

อยากฝากว่าชีวิตต้องมีเพื่อน โดยเฉพาะเพื่อนที่มีธรรมะเป็นแกนกลาง อย่าโดดเดี่ยวตัวเอง เราต้องยอมสูญเสีย รายได้ เวลา แต่คำว่า เพื่อนนี้ยิ่งใหญ่ จะทำให้เรา ไม่ช้ำระบมเกินไป เพราะการเดินทางคนเดียว มีโอกาสพลาด มากมาย

สำหรับคนที่ไม่ได้มา ก็เห็นใจ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะบอกว่า ถ้าเรากล้าเสียสละมา สิ่งที่ได้อาจจะไม่ใช่เงินทอง สิ่งที่สูญเสีย อาจเป็นเงินทอง แต่เราจะได้จิต ที่มีพลัง มีปัญญา จะทำให้เรา เข้มแข็งไปอีกนาน"

คุรุขวัญดิน สิงห์คำ "ศีรษะอโศกมา ๑๗๒ คนจาก ๒๑๐ คน ก็จบกันมาหลายสาขา มีหมออย่างเดียว ที่ยังไม่มีใครจบ อยู่วัดก็เยอะ เมื่อเขามาแล้ว ได้มาฟังธรรมะ ถือว่าคุ้มแล้วค่ะ ใจจริงไม่อยากให้ใคร ออกจากวัดไปเลย แต่ชีวิตจริง เป็นไปไม่ได้เลย เมื่อเขาได้กลับมา เหมือนได้ชาร์ต แบตเตอรี่ เขาจะได้สติ ได้คิดกลับไป

เราจัดการศึกษาก็ไม่ได้ดึงเด็กไว้ คิดว่าเมื่อเขาได้เรียนรู้ข้างนอกที่เขาต้องการ วันหนึ่งเขาต้องกลับมา และ เขาก็จะสมบูรณ์ ถ้าเรา ดึงเขาไว้ เขาก็ยังสงสัย เมื่อเขาไปแล้ว กลับมารอบใหม่ เขาจะเข้าใจชีวิตว่า ควรจะเป็นอย่างไร เพราะเขาได้เรียน ทั้งโลกวิทู โลกุตระ ต่อไปก็คือ โลกานุกัมปายะ กลับไปเกื้อกูล อีกครั้งหนึ่ง

ก็มีอีกหลายคนที่ไม่ออกไปเลย เขาก็ทำได้ทั้ง ๒ แบบ คือถ้าเด็กชัดเจน ไม่ต้องออกไป จะทำได้ดี ไม่เสียเวลา ตรงประเด็น ที่สุด คิดว่า เขาก็คงจะสั่งสม บารมีมาด้วย

สำหรับคนที่ไม่ได้มาอยากบอกว่า อายุพ่อท่านก็น้อยแล้ว เหลือไม่มาก ไม่อยากให้ช้า ที่พ่อท่าน จะต่ออิทธิบาท ไม่ทราบว่า จะทำได้แค่ไหน กลัวเด็กจะเสียโอกาส ที่ได้พบพระโพธิสัตว์ เราอยู่ใกล้ท่าน ในแต่ละวัน เหมือนเรามีบุญ เราได้รับรู้อะไร ที่เป็นประโยชน์ คิดถึงลูกหลาน ที่เขาพลาดโอกาสเหล่านี้ อยากให้เขามา ได้รับฟัง ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ไม่ได้ถูกใจเขา ในวันนี้ แต่ในวันหน้า จะเป็นประโยชน์ ต่อเขามาก คือวันนี้ เขายังไม่เชื่อ แต่เราเชื่อแล้ว อยากให้เขาได้เห็น ก็ เข้าใจว่า มันไม่ง่าย ต้องใช้เวลา".


[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


วิธีปลูกแตงโมโดยไม่ต้องรดน้ำ

ปลายเดือน มี.ค. ปีนี้ ชาวบ้านราชฯ มีโอกาสลิ้มลองแตงโมไร้สารพิษ จากสวนไวเกินฝัน (สวนทหาร ๒๐๐ ไร่) อย่างอิ่มหนำ สำราญกันถ้วนหน้า แล้วยังเหลือแจกจ่าย แบ่งปันไปยังพี่ๆน้องๆ ของเราได้ชิมกันอีก แม้จะไม่หวานม..า..ก.. เหมือนที่เขา ขายกัน แต่ปลอดภัย ๑๐๐ % ใครอยากปลูกแตงโมทานเอง มาทางนี้ ทีมข่าวสัญจร จะนำท่าน ไปพบกับ คุณปะดาวบุญ ชาวหินฟ้า ผู้ปลูกแตงโม คนแรก ของบ้านราชฯ

***ปลูกทั้งหมดกี่ไร่ และเริ่มปลูกเมื่อไหร่คะ
/// ไม่ถึง ๑ ไร่ ประมาณ ๑๕๐ หลุม ตรงที่ปลูกเป็นที่นาเก่า ไม่มีสารอาหาร ไม่มีปุ๋ย แต่มีความชื้น เป็นดินทราย ตอนแรก ก็ไม่ค่อยมั่นใจ เพราะไม่เคยปลูก ไม่มีประสบการณ์ด้วย แต่อยากทดลองดู เพราะว่าในชุมชนบ้านราชฯ เคยปลูกผักอย่างอื่น ได้ผลผลิต สมบูรณ์ คิดว่าแค่มีลูกออกมาให้เห็น แม้ไม่ได้กิน ก็พอใจแล้ว อาศัยคำแนะนำ จากญาติธรรม ที่เคยปลูก และ คอยดูการเจริญเติบโต ของแตงโมด้วย จัดว่าเป็นพืช ที่ค่อนข้างอ่อนแอ ถ้าดูแลไม่เป็น จะเสียหายได้เร็วมาก ช่วงที่ แตงโม ให้ผลผลิต ประมาณ ๖๕-๗๐ วัน เริ่มปลูกปลายมกราคม - ปลายมีนาคม

# วิธีการปลูก-บำรุง
ได้ทดลอง ๒ แบบ
แบบที่ ๑ ขุดหลุมสี่เหลี่ยมลึกประมาณ ๑ ฟุต กว้างประมาณ ๕๐ ซ.ม. ผสมปุ๋ยชีวภาพ คลุกเคล้ากับดินในหลุม ครึ่งหลุม (ปุ๋ยชีวภาพ ประกอบด้วยรำ หน้าดิน แกลบดำ พืชสด) แล้วลงมือปลูก

แบบที่ ๒ ขุดหลุมลึกประมาณ ๑ คืบ แต่บริเวณกว้างกว่าแบบที่ ๑ เคล้า หน้าดินกับปุ๋ยชีวภาพผสมกัน ให้ละเอียด ใส่ในหลุม จะรดน้ำ ครั้งแรกตอน หยอดเมล็ด พอต้นกล้าขึ้นมาก็เตรียมฉีดจุลินทรีย์ไล่แมลง อาทิตย์ละ ๒ ครั้ง ในตอนเย็น เพราะมิฉะนั้น จะโดนแมลงกัด

# ลักษณะการเจริญเติบโต
แบบที่ ๑ รากแตงโมจะเลื้อยไปไนแนวกว้าง ไม่ลงลึก พอโตประมาณ ๑ เดือน ต้นใบจะหงิก เพราะรากหาอาหาร ไม่สะดวก ไปชนกับดิน ที่ไม่ได้ผสมปุ๋ยไว้ ความเจริญเติบโตจะชะงัก

แบบที่ ๒ รากแตงโมหาอาหารได้สะดวก ต้นจะงาม เพราะหลุมไม่ลึก แต่มีบริเวณกว้าง

หลังจากปลูกได้ประมาณ ๑ เดือน ถ้าต้นเจริญเติบโตกำลังจะล้มเครือ ยังไม่ออกลูก ต้องใส่ปุ๋ยครั้งที่ ๒ ให้ห่างจากโคน ประมาณ ๒ คืบ กะปริมาณให้พอ หากใส่ปุ๋ยมากไปใบจะหงิก ตรงนี้ต้องอาศัยการสังเกต

หลังจากนั้น ฉีดจุลินทรีย์ ไม่ต้องรดน้ำ เพราะแตงโมไม่กินน้ำมาก ต้องการความชุ่มชื้น ต้องการหมอก ไม่ชอบแฉะ ช่วงที่ติดดอก ต้องเปลี่ยนเป็น จุลินทรีย์เร่งดอกเร่งผล และจุลินทรีย์ไล่แมลง ผสมรวมกัน อัตราส่วน ๔ ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ ๒๐ ลิตร (ปกติจะใช้ ๒-๓ ช้อนโต๊ะ เนื่องจากใช้ถังฉีดฝอย จึงสามารถใช้เข้มข้นกว่า วิธีใช้บัวรดน้ำ) โดยฉีด ๓ วันต่อครั้ง จนกว่า ลูกแตงโมจะโต พอโตแล้ว ก็คอยสังเกตดูว่า ลูกแตงโม ที่เราปลูกติดกับดิน ที่มีความชื้นหรือไม่ ต้องหาไม้ ที่ไม่ซับน้ำมารอง เช่น แผ่นไม้หนา ๑ นิ้ว เพื่อป้องกัน เสี้ยนดิน เจาะลูกแตงโม มิฉะนั้น แตงโมงจะเสียทันที หากรองด้วยพลาสติก เกรงว่าจะร้อน ระบายอากาศ ได้ไม่ดี

# ผลผลิต
แบบที่ ๑ ได้ผลผลิตน้อยกว่า ลูกเล็กกว่า เพราะต้นของแตงโมเจริญเติบโตไม่มาก
แบบที่ ๒ ได้ผลผลิตมากกว่า ลูกโตกว่า เพราะว่าระบบราก ระบบต้น แข็งแรงกว่า

# ฤดูกาลผลิต
ดูตามความเหมาะสม หลังหมดฝน ดินที่เหมาะสำหรับปลูกแตงโม เป็นดินร่วนปนทราย ไม่อุ้มน้ำ มีความชื้น สามารถ ระบายน้ำได้

# เมล็ดพันธุ์ที่ปลูก
ซื้อจากร้านค้า เป็นพันธุ์ธรรมดา คิดว่าอยู่ที่การดูแลรักษามากกว่า

ได้ผลผลิตทั้งหมด ประมาณ ๒๐๐ กว่าลูก ลูกใหญ่ที่สุดหนัก ๖.๘ กก. ไม่หวานมาก หวานปานกลาง ระดับนักปฏิบัติธรรม พอดี

# ความรู้สึกของผู้ปลูก
เกินคาด ไม่คิดว่าจะได้ผลขนาดนี้ เพราะไม่เคยปลูก ได้ประสบการณ์ จะหาข้อดีข้อเสียในการปลูกแตงโม เพื่อเป็นประโยชน์ สำหรับงานที่จะทำต่อไป

คงไม่ยากเกินไปใช่ไหมคะ อย่างนั้นลงมือปลูกกันเลยก่อนที่ฝนจะมา ถือเป็นการซ้อมมือไปเรื่อยๆ อีกหน่อย อาจจะมีการจัด ประกวดแตงโม ไร้สารพิษในงาน พฟด.ก็ได้นะ ฮะแฮ่ม...แตงโมออกลูกแล้วส่งมาให้ชิมกันบ้างเด้อ....

- ทีมข่าวสัญจร -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เรียนรู้การทำเกษตรไร้สารพิษ
ปลุกไฟชีวิตของคนหนุ่มสาว

ราชธานีอโศก จัดอบรมพุทธทายาท เมื่อวันที่ ๒๓-๒๗ เม.ย.๔๖ มีหนุ่มสาวร่วมเข้าค่ายครั้งนี้ทั้งหมด ๕๙ คน มาจาก จังหวัดอุบลราชธานี มากที่สุด มีบางส่วนที่มาเข้าค่ายยุวพุทธฯที่นี่ แล้วอยู่รอเพื่อเข้าค่ายพุทธทายาทอีกครั้ง

๒๓ เม.ย.เวลา ๑๓.๐๐ น. โดยประมาณ หลังจากลงทะเบียนแล้ว ก็เริ่มกิจกรรมสันทนาการ สลายพฤติกรรม เพื่อสร้าง ความรู้จักกัน ให้มากยิ่งขึ้น แล้วฟังปฐมนิเทศ โดยสมณะฟ้าไท สมชาติโก อธิบายศีล ๕ อย่างละเอียด แล้วแบ่งกลุ่ม เรียนรู้เรื่อง ๕ ส.เข้า บ้านพัก

ภาคค่ำ รายการแด่คนหนุ่มสาว โดย คุรุดาวเพ็ญ นาวาบุญนิยม และคณะ เป็นการปลุกไฟชีวิตของคนหนุ่มสาว ให้หันมา เปลี่ยนแปลงตนเอง แล้วสิ่งดีงามก็จะตามมา

๒๔ เม.ย. ฟังธรรมะรับอรุณ โดยสมณะ ๒ รูป ชี้ให้เห็นผีที่แท้จริงที่อยู่ในตัวของเรา และคนที่สำคัญที่สุดคือคนที่อยู่ใกล้ตัวเรา

หลังจากนั้นออกกำลังกาย ลงฐานงาน ภาคบ่ายเรียนรู้การทำจุลินทรีย์ ภาคค่ำ สัมภาษณ์ มนุษย์มหัศจรรย์ คนหนุ่มสาว ที่กล้าเปลี่ยนแปลง ชีวิตตนเอง ดำเนินรายการโดย สมณะฟ้าไท สมชาติโก

๒๕ เม.ย. ธรรมะรับอรุณ โดย สมณะ-สิกขมาตุ ชี้ให้เห็นความโชคดีของชีวิต และเราสามารถเลือกชีวิตที่ดี แก่ตัวเราเอง ได้ ขอเพียงเรา มีเป้าหมาย และพากเพียรไปให้ถึง ภาคบ่าย รู้จักกับเพชฌฆาต ตัวน้อย ที่พิษร้ายถึงตาย (บุหรี่) เรียนรู้เรื่อง การทำแชมพู หม่องค้าผง ปุ๋ยสะอาด และเห็ด ภาคค่ำชมวิดีโอการฆ่าสัตว์ พบสมณะ-สิกขมาตุประจำกลุ่ม

๒๖ เม.ย. ธรรมะรับอรุณ โดย สมณะ-สิกขมาตุ เล่าเรื่องน้ำใจของ ผู้คนในสมัยก่อนและสวยอย่างมีศีล ไม่ต้องพึ่งพา เครื่องสำอาง ภาคบ่าย ระดมสมอง ความตั้งใจที่จะกลับไปทำ สาธิตการทำอาหาร เช่น ปาท่องโก้ ซาละเปา บัวลอย แล้วแยกย้ายกัน ไปซ้อมละคร เพื่อกลับมาร่วมแสดงใน รายการม่วนชื่นโฮแซว ซึ่งแต่ละกลุ่มแสดงได้ดี

๒๗ เม.ย. วันสุดท้ายก็มาถึง เช้าวิ่งออกกำลังกายไปยังริมมูล ล่องนาวาบุญนิยม กตัญญูสถานที่ ทำบุญตักบาตร รับพรก่อนจาก เปิดใจ และพิธีอำลา แล้วแยกย้ายกันกลับไปเปลี่ยนแปลง ตัวเอง หนุ่มสาวพุทธทายาทได้ให้สัมภาษณ์ ดังนี้

นายปริยัติ แก่นอาสา อายุ ๒๐ ปี จ.อุบลราชธานี "มาครั้งแรก ประทับใจทุกกิจกรรม แล้วจะนำไปปฏิบัติตามให้ได้ ถ้าไม่ฝืน กำลังตัวเองเกินไป"

นายพนัส แก่นอาสา อายุ ๑๘ ปี จ.อุบลราชธานี "เพิ่งมาครั้งแรกครับ ตอนแรกรู้สึกว่างานหนักนะครับ แต่พออดทน ก็เริ่มชิน คุยกันสนุกสนาน เฮฮา ได้รับประโยชน์หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสามัคคี ในหมู่เพื่อน ความอดทนในการทำงาน"

นายทศพล บึงโบก อายุ ๒๐ ปี จ.อุบลราชธานี "มาเป็นครั้งที่ ๒ แล้วครับ อยากมาทำอะไรให้เป็นประโยชน์ ครั้งที่แล้ว ได้ความรู้เรื่อง การทำเกษตร ไร้สารพิษ ครั้งนี้ได้ความรู้เรื่องการทำอาหาร ปุ๋ย จุลินทรีย์ ประทับใจทุกอย่าง เพื่อนๆก็ช่วยกันทำดี"

นายวิไล ธานี จ.อุบลราชธานี "เพิ่งมาครั้งแรก มีเพื่อนชวนมา มาแล้วทำให้เราได้ความรู้ใหม่ๆ ประทับใจ เห็นเพื่อนๆ เวลาทำงาน ร่วมมือกันทำ อย่างดีมาก ไม่มีใครอู้ ล่องเรือสนุกมาก เพิ่งได้สัมผัสเป็นครั้งแรก"

น.ส.ปัทมนันท์ ปุญเศรษฐ ลิ้มพิพัฒน์ อายุ ๒๑ ปี กทม. "มาครั้งแรก สนุกค่ะ ได้ฝึกฝนตนเอง ให้เป็นคนอดทน ทำอะไรได้ หลายอย่างมากขึ้น ประทับใจคนที่นี่ ขยันมีน้ำใจ อดทน ทำได้ทุกอย่าง แรกๆก็ลำบาก ตั้งแต่ตื่นนอน การถอดรองเท้า แต่ก็ปรับตัวได้ อาหารทานได้สบายมาก กับข้าวอร่อย เข้าค่ายครั้งนี้ ประทับใจพี่เลี้ยง ทุกคนทุ่มเทเต็มที่ กิจกรรม ในแต่ละวัน วางเป็นระบบดี สิ่งที่จะเอากลับไปปฏิบัติคือ การรักษาศีล การทำแชมพู น้ำยาซักผ้า ปุ๋ยจุลินทรีย์ นอกจากช่วย ลดขยะแล้ว ยังประหยัด ให้ที่บ้านอีกด้วย"

ส่วนงานพุทธทายาทของชุมชนปฐมอโศก ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘ เม.ย.- ๒ พ.ค.๔๖ มีผู้เข้าค่ายครั้งนี้ ๓๐ กว่าคน ซึ่งเป็น บุตรหลานของ ญาติธรรมหรือเกษตรกรที่เคยผ่านโครงการ "สัจธรรมชีวิต" โดยมี ม.วช.ปฐมอโศก เป็นพี่เลี้ยง งานประสบ ผลสำเร็จ เพราะจำนวน ผู้เข้าอบรมไม่มาก ทำให้ดูแลได้ทั่วถึง.

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ให้น้ำใจจะไร้น้ำตา
เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ต่างปีติและรื่นเริงในธรรม

เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๘ เม.ย.- ๑ พ.ค.๔๖ สมณะ ๔ รูป นำโดยสมณะโพธิสิทธิ์ โพธิสิทโธ เดินทางมาที่ โครงการส่งเสริม กสิกรรมไร้สารพิษ วังน้ำเขียว เพื่อเปิดการอบรม คอร์สมหัศจรรย์ ที่ห้องประชุม ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนา ของชาวบ้าน อันเนื่องมาจาก พระราชดำริ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา มีผู้มาเข้าคอร์สทั้งสิ้น ๒๘ คน แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม โดยกลุ่มแรก เป็นชาววังน้ำเขียว จำนวน ๑๗ คน มีสมณะโพธิสิทธิ์ โพธิสิทโธ และ สมณะธาตุดิน ปฐวีรโส เป็นผู้รับผิดชอบ นับเป็นคอร์ส มหัศจรรย์รุ่นที่ ๗๗ (ชื่อรุ่น ฟ้าอนุโมทนา)

ส่วนกลุ่มที่สอง เป็นคนวัดชาวสีมาอโศก จำนวน ๑๑ คน ชื่อรุ่น ศีลดับไฟ (คอร์ส มหัศจรรย์ รุ่นที่ ๗๖) มีสมณะแก่นหล้า วัฒฑโน และ สมณะปองสูญ โฆสิตธัมโม รับหน้าที่อบรม

สำหรับบรรยากาศ ของทั้งสองคอร์ส เป็นไปด้วยดี ผู้เข้าคอร์สต่างมีศรัทธา รื่นเริงและมีปีติในธรรม

สำหรับความรู้สึกของผู้เกี่ยวข้อง มีดังนี้

สมณะโพธิสิทธิ์ โพธิสิทโธ "มาวังน้ำเขียวครั้งนี้รู้สึกว่า ด้านสถานที่เปลี่ยนแปลงไปมาก มีฝายน้ำล้น อาคาร ที่ประชุม ที่พักชาย -หญิง กุฏิสมณะ ที่สำคัญคือ ผู้ที่อยู่ที่นี่ มีศรัทธาดี ตั้งใจฟังธรรม

ญาติโยมของรุ่นฟ้าอนุโมทนานี้ สนใจฟังธรรมกันมาก บางวันนั่งฟังธรรมกว่า ๑๐ ช.ม. อย่างเบิกบานและมีปีติในธรรม

ชาววังน้ำเขียวจะเดินหน้าไปได้ด้วยดี หากเข้าคอร์สนี้แล้ว ได้พยายามปฏิบัติให้ต่อเนื่องเอาจริงเอาจัง อย่างสม่ำเสมอ

อย่าลืมว่า ควรให้เวลากัน ให้ความเข้าใจกัน ไม่ถือสากัน ไม่ทำอะไรตามภพ จะทำอะไรให้หมั่นปรึกษาพูดคุยกัน การให้ น้ำใจ จะไร้น้ำตา การให้เวลาปัญหาคลี่คลาย

การระลึกถึงความยินดี การระลึกถึงศีล การระลึกถึงลมหายใจ การระลึกถึงอธิศีล ๖ ข้อของศีลข้อที่ ๔ การหมั่น ปวารณา ต่อกัน หากมีความคิดเชิงลบ ก็ให้ปรับเป็นความคิดเชิงบวก พวกเราก็จะดำเนินไปด้วยดี ขอฝากแง่คิดว่า หากเราอยากได้อะไรที่สมบูรณ์ เราต้องหมั่นบำเพ็ญบารมีร่วมกัน การปฏิบัติธรรมคือ การมีสติ อ่านอารมณ์ สั่งสมความยินดี มีวิธีคิด

เมื่อเป็นชาวพุทธ ควรหยุดบูดบึ้ง ให้หมั่นทบทวนเป้าหมายของเราอันคือ พระนิพพาน

การเบิกบานหนึ่งครั้งจะได้พลังเป็นร้อย เมื่อร่างกายมีอาการครบ ๓๒ ไม่ควรใช้สมองอย่างเดียว จะทำให้สุขภาพไม่ดี จงจับ ความรู้สึก ที่ดีที่สุด แล้วรักษาไว้ จงเอาการงาน ประสานความสุข สนุกกับการเบิกบานในศีล"

สมณะแก่นหล้า วัฑฒโน "การเข้า คอร์สอบรมครั้งนี้ สมณะทั้ง ๔ รูป ร่วมกันประเมินผลการอบรม ให้คะแนน ๓.๕, ๓.๕, ๔.๐, ๔.๐ ซึ่งถือว่า ประสบความสำเร็จอย่างสูง ในการอบรม แต่จะขาดความต่อเนื่องไม่ได้ เมื่อสมณะกลับไปแล้ว ทางกลุ่มทั้งสอง จะต้องปรึกษาหารือ ในการทำหลักสูตรนี้กันเอง ตามที่ได้แนะนำไปแล้ว

ประทับใจหลายประการ คือ บรรยากาศ ภูมิประเทศ สะอาด สดชื่น มองไปทางไหนก็สบายตา คนที่นี่ก็มีอุดมการณ์ และมีคุณธรรม ทั้งลงมือทำจริง แม้มีกำลังไม่มาก แต่รวมตัวกันได้ดี มีพลังที่จะกอบกู้ ให้เกษตรกร หันมาทำ กสิกรรม ไร้สารพิษ ซึ่งทราบมาว่า ต้องต่อสู้ด้วยความยากลำบาก แต่ด้วยความมุ่งมั่น และความมีวิสัยทัศน์ ของผู้นำ ความจริงใจ อ่อนน้อม พยายามประสานกับ ทุกๆฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จึงยืนหยัดมาได้ และมีโอกาสจะก้าวหน้า ต่อไปอีก

ประทับใจที่จัดอบรมหลักสูตรมหัศจรรย์ แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญในการเอาภาระคนภายในที่ทำงาน เพื่อพัฒนา จิตวิญญาณ ให้สูงขึ้น และก่อให้เกิด ความเข้าใจกันและกัน

ความนึกคิดขณะนี้คือ อยากให้มี โครงการคืนต้นไม้ให้ภูเขา แม้รู้ว่าต้องลงทุน ลงแรงสูง เห็นภูเขาป่าไม้ ที่ถูกทำลายแล้ว หากได้ช่วยกันฟื้นฟู เป็นแบบอย่างใน ขอบเขตที่สามารถจะทำได้ อาจจะส่งผลถึงส่วนรวมได้

ฝากสุดท้าย คือ ขอฝากปลา ๙ ตัวให้ชาววังน้ำเขียวนำไปเลี้ยงให้เจริญเติบโต อันเป็นหลักในการทำงาน คือ
๑. ประณต มีความอ่อนน้อม มีสัมมาคารวะ
๒. ประณีต มีศิลปะรอบคอบ
๓. ปรึกษา มีอะไรปรึกษาหารือกัน หารือผู้รู้ ผู้รัตตัญญู
๔. ประสาน คือ ประสานงานคือทำเรื่องยากให้ง่าย
๕. ประชุม สำคัญมาก
๖. ประมาณ ใช้หลักสัปปุริสธรรม ๗
๗. ประเมิน ทำงานต้องมีการประเมินผล
๘. ปรับปรุง เพื่อให้ดียิ่งขึ้น
๙. เปลี่ยนแปลง เพื่อให้เกิดผลที่ดีกว่า"

สมณะปองสูญ โฆสิตธัมโม "เจ้าภาพเป็นกันเองต้อนรับดี ดูแลอุปถัมภ์ดีมาก แต่ละกลุ่มประทับใจ ในชื่อรุ่น ของตัวเอง จนมีผู้ซาบซึ้ง เอาไปตั้งชื่อบ้านว่า ฟ้าอนุโมทนา ให้เป็นทานเพื่อคนในบ้านได้ร่มเย็น และเป็นที่มา ของการรวมกัน ทั้งสีมาฯ และ วังน้ำเขียว สมณะ ก็ขออนุโมทนาด้วย"

น.ส.ธีรภรณ์ ไชยอรรจนาภรณ์ กลุ่มฟ้าอนุโมทนา "คิดว่าตัวเองได้สติ ได้ปัญญา ได้วิชาจับเสือ จับงู ไม่ด่วนสรุปคนอื่น ให้หัดมอง ข้อดีของเขา นำด้านลบของเขา มาสอนตัวเอง ดิฉันมีตัวอสุรกาย ความไม่กล้าเป็นพื้นฐาน เข้าคอร์สแล้ว ได้ฝึกให้กล้าพูด

ประทับใจเรื่อง อธิศีลทั้ง ๖ ข้อของศีลข้อ ๔ ได้เรียนรู้ความหมายที่กว้างและครอบคลุม ถ้าตัวเองสามารถปฏิบัติ ในอธิศีล ทั้ง ๖ ข้อนี้ได้ ตนเองก็จะมีสติ อยู่ทุกเมื่อ"

นายสมคิด ศรเพชรนรินทร์ กลุ่มฟ้าอนุโมทนา "ได้ฝึกควบคุมสติพร้อมกับการเดินมรรค โดยการใช้เคล็ดวิชาต่างๆ ที่ได้เรียน ในคอร์สนี้ ได้ฝึกตรวจสอบอารมณ์ จากแบบฝึกหัด ที่ท่านสมณะ ได้ให้บทฝึกไป ทำให้จิตมีความแววไว ในการควบคุมกรรม ทั้ง ๓ ได้ดีขึ้น

ได้ออกจากภพของตัวเองที่ไม่ชอบพูดคุยกับสมาชิกหมู่กลุ่ม โดยปรับเปลี่ยนเป็นการคบคุ้นเสวนา และได้ฝึก ความอดทน ฟังผู้อื่นพูด

รู้สึกประทับใจความเอื้ออาทรที่สมณะมาจัดคอร์ส ให้มวลสมาชิก ก็มีความเพียร ในการฝึก และประทับใจ ในรูปแบบ วิธีการทำคอร์ส นับเป็นคอร์สที่ดีมาก"

น.ส.เย็นใส สุธรรมเกษม กลุ่มศีลดับไฟ "ได้แนวทางลดละกิเลสใหญ่ของตัวเอง คือโทสะ ได้มองเห็นปัญหา ที่ควรแก้ไข ของสีมาอโศก ได้รู้อธิศีลของศีลข้อ ๔

สำหรับข้อเสนอแนะ คือ ควรมีเสียงเท็ปธรรมะ ในช่วงรับประทานอาหาร, ควรมีชั่วโมงเรียนนอกห้องเรียน และอยากให้ มีการอบรม บ่อยๆ หรืออย่างน้อยปีละครั้ง"

นางเอื้ออภัย อินทนนท์ กลุ่มศีลดับไฟ "บรรยากาศของหลักสูตรนี้ดีมาก เป็นธรรมะง่ายๆ ที่ใช้กับชีวิต ประจำวัน ฟังแล้วสนุก มีการคิด การปรุงร่วม คอยซักถาม เหมือนการพูดคุย ไม่เหมือนกับการฟังเทศน์ ที่เราเป็นเพียงผู้ฟัง

ได้เข้าใจเพื่อนๆ ในหลักสูตรนี้เรามีการบ้านที่ท่านอาจารย์ให้ในแต่ละวัน ที่ต้องมาพูดคุย และคอยระวัง เรื่องอธิศีล บวกกับการสร้าง จิตยินดี ให้ได้ตลอดเวลา

ข้อเสนอแนะ คือ ระยะเวลาของหลักสูตรสั้นไปค่ะ".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สู้กับไข้หวัดมรณะอย่างไรดี

ถ้าไม่เขียนถึงเรื่อง "ไข้หวัดมรณะ" เลยก็คงจะเชยไปหน่อย เพราะเป็นที่ ตื่นเต้นกลัวกันระดับโลก ผู้เขียนเอง ก็ต้องงดเดินทาง ไปไต้หวัน อย่างไม่มีกำหนด

โรค "ไข้หวัดมรณะ" หรือ โรค ทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS) องค์การอนามัยโลกถือเป็นโรคระบาดชนิดใหม่ เนื่องจาก เป็นโรคใหม่ ที่ไม่รู้จักมาก่อน ตามหลักฐานปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา ที่แพร่กระจายอยู่ ในละอองฝอย ที่กระเด็น จากปากผู้ป่วยที่พูด ไอ หรือจามออกมา แล้วมีผู้อื่นมาสัมผัส โดยสูดเข้าทาง ระบบหายใจ หรือ เข้าทางอวัยวะอื่นๆ ซึ่งผู้ได้รับบางราย อาจไม่ป่วย บางรายป่วยเล็กน้อย บางรายป่วยหนัก บางรายเสียชีวิต ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทาน ของบุคคล เป็นสำคัญ

อาการที่เกิดขึ้นคือ มีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดกล้ามเนื้อมาก หนาวสั่น ไอแห้งๆ ถ้าเอกซ์เรย์จะพบเงาปอดอักเสบ และทะลุลาม เพิ่มขึ้นภายใน ๒-๓ วันต่อมา ถ้าร่างกายเรามีภูมิต้านทานพอ จะทุเลาลงในวันที่ ๖-๗ หลังเริ่มป่วย ถ้าภูมิต้านทานไม่ดี อาการ จะทรุดหนัก ปอดจะถูกทำลายไปเรื่อยๆ หายใจลำบากมาก จนไม่อยากหายใจ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น?

ถ้าลองทบทวนดูให้ดี จะเหมือนที่คุณหมออารีย์พูดไว้ไม่ผิดคือ เราจะไปเอาชนะเชื้อโรคตัวเล็กๆด้วยการทำลายมัน ไม่ได้เลย เพราะมันมีวิวัฒนาการ ขึ้นทุกวัน เราไม่มีวันตามมันทัน จะเห็นว่าเดี๋ยวนี้ โรคดื้อยามาก เชื้อโรคบางอย่าง ไม่สามารถมียา ทำลายเชื้อมันได้ อย่างไวรัส เป็นต้น

สิ่งที่ถูกต้องที่สุดที่จะเอาชนะและป้องกันโรคได้คือ รักษาภูมิต้านทาน ของเราให้แข็งแรง เพราะร่างกายของเรา มีทหาร ที่เข้มแข็ง ป้องกันข้าศึกคือโรคร้ายอยู่แล้ว

เราจะเป็นที่ให้เชื้อโรคอยู่อาศัย กับเราได้ อยู่ด้วยกันอย่างที่เชื้อโรคทำอันตรายเราไม่ได้ ก็ต่อเมื่อร่างกายของเราแข็งแรง เราจะอยู่ด้วยกัน อย่างผาสุก คงเทียบได้กับการปฏิบัติธรรมคือ ให้เราระวังรักษาใจของตัวเองให้ดี ธรรมจะคุ้มครองใจ ให้เป็นสุข ถ้ามัวแต่จะไปจัดการ กิเลสคนอื่น เรานั่นแหละจะไม่เป็นสุข พลอยพาเพื่อนทุกข์ไปด้วย ดังนั้น จะมีสุขภาพที่ดี ต้องอย่าลืม ออกกำลังกาย ฝึกฝนกำลังใจ ปฏิบัติตามหลัก ๗ อ. ถ้าวิบากไม่มากจนเกินไป จะห่างไกลจาก "ไข้หวัดมรณะ" ค่ะ.

- กิ่งธรรม รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


บุญญาวุธ หมายเลข ๔
ปฏิบัติการนำร่องค่ายที่ ๒
"ส่งเสริมสุขภาพ ๗ อ."

ส่งเสริมสุขภาพ ๗ อ. เริ่มขึ้นอีกที่ศูนย์ฝึกอบรมกสิกรรมไร้สารพิษ สาขาขอนแก่น โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ญาติธรรม กลุ่มแก่นอโศก

เมื่อวันที่ ๑-๕ พ.ค.๔๖ ญาติธรรมกลุ่มแก่นอโศกได้ร่วมกันจัดอบรมสุขภาพบุญนิยม ตามแนวนโยบายบุญญาวุธหมายเลข ๔ สุขภาพบุญนิยม

ในงานนี้มีญาติธรรมกลุ่มแก่นอโศก ๒๕ คน สมาชิกสมทบจากที่อื่นๆ ๗ คน รวมทั้งสิ้น ๓๒ คน โดยมีผู้เชี่ยวชาญ ด้านสุขภาพ คือ คุณน้อมบูชา นาวาบุญนิยม และคุณหมอเขียว (ใจเพชร) มีทรัพย์ จากหน่วยพลาภิบาลชาวอโศก เป็นผู้ดูแลคอร์ส และ มีอาสาสมัคร บุญนิยม (อสบ.) จากพุทธสถานสีมาอโศก ๖ คน ร่วมด้วย

บรรยากาศของการจัดค่ายครั้งนี้เต็ม ไปด้วยความรื่นเริงสนุกสนานตามแบบ ชาวอโศก พี่น้องผองเพื่อนได้ร่วม กิจกรรม กิน อยู่ หลับนอน ตามหลัก ๗ อ. นับเป็นช่วงเวลาแห่งการพักฟื้นสุขภาพ อย่างแท้จริง ตามโปรแกรม การอบรมสุขภาพ ๗ อ. ซึ่งมีดังนี้

เวลา ๐๕.๐๐-๐๖.๐๐ น. ออกกำลังกาย ตามธาตุ
๐๖.๐๐-๐๙.๐๐ น. ขจัดพิษออกจาก ร่างกายชุดใหญ่ ดื่มน้ำผลไม้ไร้สารพิษ น้ำธัญพืชไร้สารพิษ
๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. รับประทานอาหารตามธาตุ โดยมีพืชผักไร้สารพิษเป็นหลัก
๑๒.๐๐-๑๕.๐๐ น. พักผ่อน
๑๕.๐๐-๑๗.๐๐ น. จัดกระดูกซ่อมแซมและปรับโครงสร้างของร่างกายที่มีปัญหา
๑๗.๐๐-๑๙.๐๐ น. ขจัดพิษออกจาก ร่างกายชุดเล็ก
๑๙.๐๐-๒๐.๐๐ น. ฟังบรรยาย รับความรู้ การเป็นหมอให้ตนเอง
๒๐.๐๐ น. แยกย้ายไปพักผ่อน

ความพิเศษของค่ายนี้อยู่ที่การเก็บผักและพืชสมุนไพรจากสวน จากป่ามาประกอบอาหาร เป็นพืชผักธรรมชาติ แทบทั้งสิ้น มีทั้งผักป่า และผักพื้นบ้าน หลากหลาย ชนิดและหลากรส มีทั้งขม ฝาด เฝื่อน เผ็ด มัน เปรี้ยว หวาน โดยใช้เทคนิค การรับประทาน คือ ใช้แผ่นเมี่ยงญวนห่อผัก ทุกรสเข้าในห่อเดียวกัน รับประทาน เคี้ยวละเอียด ทำให้รับประทานผัก ได้มาก เป็นพิเศษ เพราะความกลมกล่อม ของรสอาหารธรรมชาติ จะเรียกน้ำย่อยในปาก ให้หลั่งออกมา อย่างมากมาย ตลอดเวลา รับประทานอาหาร อย่างมีความสุข มีสารเอ็นโดฟีน (สารสุข) หลั่งตลอดเวลา มีทั้งเสียงหัวเราะ และรอยยิ้ม ตลอดวัน

ผลจากการจัดค่ายครั้งนี้ มีญาติธรรม และสมาชิกในคอร์สแสดงความคิดเห็น ดังต่อไปนี้

น.ส.แก่นเกื้อ นาวาบุญนิยม ในฐานะผู้ริเริ่มโครงการภายในกลุ่มและแม่ครัว "เป็นบรรยากาศ ที่ประทับใจมาก ที่ได้เห็น พี่น้อง มาอยู่ร่วมกัน ได้ดูแลช่วยเหลือ เกื้อกูล กันอย่างแท้จริง ให้ผลทางจิตวิญญาณ มากระดับหนึ่ง รองจาก ค่ายมหัศจรรย์ ที่สำคัญคือ ได้พัฒนาการปฏิบัติธรรม ไปพร้อมๆกัน แต่ละคน ได้ตรวจดู อุจจาระของตัวเอง ตลอดจน ช่วยดูของผู้อื่น เนื่องจาก เมื่อฝึกตรวจดูแล้ว ก็จะทราบว่า ลักษณะของอุจจาระ แบบใด ที่กำลังเข้าขีดอันตราย และแบบไหน ที่พ้นขีดอันตราย หายป่วย ฝึกจนกระทั่ง หายจากอุปาทาน รังเกียจ สิ่งปฏิกูล ของตัวเอง ซึ่งนับเป็นการเลื่อนฐานจิต ลดกามคุณ ๕ ไปในตัว เสียดายกับ ญาติธรรม ภายในกลุ่มส่วนหนึ่ง ที่พลาดโอกาส ไม่ได้มาร่วม ก็จะต้องรอคอย ไปอีกหลายเดือน กับการที่จะได้รับ สิ่งใหม่ๆ หลายคนฝากถึง ญาติธรรมทุกๆ ท่านว่า ค่าย ๗ อ. นี้ เซอร์ไพร้สมาก ได้อะไรมากมาย เกินกว่าที่คาดคิด อย่างประมาณ ไม่ได้ มั่นใจว่า เราจะมีอายุยืนยาว จากการปฏิบัติตัว ตามหลัก ๗ อ. อย่างแน่นอน

ขอเชิญชวนทุกๆท่าน ร่วมพิสูจน์ความมหัศจรรย์เล็กๆ ของค่ายสุขภาพ ๗ อ. นี้ด้วยกันค่ะ นี่คือการพัฒนาไปสู่ การพึ่งตนเอง อย่างสมบูรณ์แบบ จนกระทั่ง เป็นที่พึ่ง ของสังคมได้ มาช่วยกัน ทำให้บุญญาวุธ หมายเลข ๔ ผงาด สง่างาม อย่างเข้มข้น ทนทาน ยืนนาน แน่นลึก นึกนบ นะคะ"

นางทองใบ ราศรี อายุ ๖๗ ปี จ.ขอนแก่น "เป็นโรคเบาหวานมาก่อน มาวันแรกทำดีท็อกซ์เอาพิษออก จากร่างกาย มีพิษ ออกมามาก จากการทำอย่างจริงจัง อาการหูตึงดีขึ้น หยุดกินยาหมอ มั่นใจมากว่า สุขภาพจะดีขึ้น จะปฏิบัติตัว ตามหลัก ๗ อ. ไปเรื่อยๆ จนกว่าโรคจะหาย ประทับใจ คุณหมอทั้ง ๒ ท่าน ที่มาช่วยชุบชีวิต ให้ดีขึ้น เกิดมาไม่เคยเห็น ไปตาม โรงพยาบาล ไหนๆ ก็ไม่เคยเห็น หมอแบบนี้เลย ถ้าไม่ใช่ชาวอโศก ก็คงไม่มีบุญ ได้เจอหมอดีๆแบบนี้ ขอบพระคุณ คุณน้อมบูชา และ คุณหมอเขียว เป็นอย่างมากค่ะ"

นายสำอางค์ ป้องนาม อายุ ๕๘ ปี จ.ขอนแก่น "เป็นเบาหวาน ปวดขาทั้ง สองข้างและปวดทั้งตัว แม้ว่าจะมา ไม่เต็ม หลักสูตร แต่ก็ได้ร่วม กิจกรรม เป็นบางส่วน ก็ยังรู้สึก ถึงการเปลี่ยนแปลงดีขึ้น อาการที่เห็นชัดคือ หายปวดขา ตาที่ฝ้าฟาง เริ่มมองเห็น ชัดเจนขึ้น หน้าตาสดใสขึ้น จากวันแรกที่มา หน้าหมองคล้ำ สมองปลอดโปร่งขึ้น เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ (เหมือนได้ ชีวิตใหม่) มีแต่ความสดชื่น แจ่มใส มั่นใจว่า อายุจะยืนยาว อย่างแน่นอนครับ ทั้งๆที่ตอนแรก ไม่มีความเชื่อถือเลยว่า จะได้ผลดีขึ้น ภายใน ๒-๓ วัน ที่มาร่วม ก็เพราะเกรงใจ หมู่กลุ่มเท่านั้น ไม่นึกว่า จะมหัศจรรย์ เหมือนที่ได้รับฟังมา ขอบคุณครับ"

นายวสันต์ ประเภโส อายุ ๕๙ ปี จ.ขอนแก่น "ก่อนมาเป็นโรคเบาหวาน น้ำหนักตัวมาก และเป็นโรคปวดหลัง

หลังจากทำดีท็อกซ์ อบไอน้ำวันที่ ๒ ผ่านไป ก็ยังไม่มั่นใจว่า จะได้ผล อย่างที่ได้ยินมา แต่พอวันที่ ๗ หลังทำดีท็อกซ์ อบไอน้ำ สมุนไพร และรับบริการ จัดกระดูกแล้ว ปรากฏว่า อาการปวดหลังดีขึ้น ลำไส้สะอาดขึ้น อีกทั้งตามปกติแล้ว เวลานอนทุกคืน ต้องปัสสาวะ อย่างน้อย ๔-๖ ครั้ง แต่คืนวันที่ ๓ ปรากฏว่า ไม่ได้ลุกมาเข้าห้องน้ำ ตลอดคืนเลย

การทำดีท็อกซ์ วันที่ ๔ เช้าทำถึง ๑๖ ครั้ง (ชุดใหญ่) ลำไส้ใหญ่จึงสะอาด สิ่งสกปรก หลุดออกมา รู้สึกมีความยินดีมาก และ วันนั้น หลังจากทำดีท็อกซ์แล้ว ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงครึ่ง ไม่ได้รับประทานอาหารอะไรเลย แต่ก็ไม่มีอาการหิวใดๆ มีอ่อนเพลีย บ้างเล็กน้อย

มีความมั่นใจว่า เมื่อจบการอบรมครั้งนี้แล้ว หากสามารถปฏิบัติตามหลัก ๗ อ. ได้อย่างต่อเนื่อง และ สามารถ ควบคุมอาหาร ตามอย่าง ในหลักสูตรกำหนด ก็จะหายจากโรค ที่เป็นอยู่ได้ อย่างแน่นอน

ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ญาติธรรมทุกๆท่าน ได้เข้ารับการฝึกอบรมในคอร์สดังกล่าวโดย ทั่วหน้า จะเกิดประโยชน์มากทีเดียว"

นายจินดา อนุพันธ์ อายุ ๕๑ ปี ผอ.ศูนย์ฝึกอบรม คกร.ขอนแก่น "นอกจากการฝึก ทำดีท็อกซ์แล้ว คอร์สนี้ ยังให้ความรู้ เรื่องการปรับ การรับประทานอาหาร ตามธาตุหลัก ของแต่ละคนด้วย เมื่อลงมือล้างพิษชุดใหญ่ ประมาณครั้งที่ ๔-๕ เห็นได้ชัดว่า มีความกระปรี้กระเปร่ากว่า วิธีดูแลสุขภาพ ที่เคยทำมาก่อน แม้ร่างกาย จะอ่อนเพลีย จากการตรากตรำ ทำงาน มาก่อนหน้านี้ กลับได้รับความสดชื่น ส่งผลถึงสภาพอารมณ์ และจิตใจที่เบิกบาน แจ่มใส อย่างมาก แม้จะทานอาหาร ประเภทแป้ง น้อยกว่าปกติ ก็ไม่ทำให้อ่อนเพลีย หรือรู้สึกหิว

ประทับใจการบริการจัดกระดูกปรับโครงร่างของร่างกาย ที่แตกต่างจากที่เคยใช้บริการ ของหมอแผนไทยทั่วไป ที่ได้แค่ คลายความปวดเมื่อย ได้ชั่วคราว แต่การจัดกระดูกครั้งนี้ เหมือนได้ยกเครื่องใหม่ แถมเพิ่มความคล่องแคล่ว ปราดเปรียว ด้วยการล้างพิษ อีกด้วย จึงมั่นใจว่า การดูแลสุขภาพตนเอง แบบแผนไทย ภายใต้ความร่วมมือ จากกลุ่มญาติธรรม ด้วยกัน จะทำให้ได้สุขภาพ อย่างยั่งยืน แบบองค์รวม อย่างแน่นอน"

นางยุภาพร สายแสนทอง "ไม่คิดว่าตัวเอง จะทำดีท็อกซ์ได้ มาวันแรกเห็น คุณน้อมบูชา ตรวจอุจจาระ ทั้งจับทั้งดม อุจจาระ ของญาติธรรม ในใจก็คิดว่า แปลกมาก มายืนดูอยู่นาน คิดว่าจะกลับบ้านดีกว่า แต่ก็ตัดสินใจอยู่

สำหรับตัวเองเพิ่งผ่าตัดเนื้องอกใน มดลูกได้ ๒ เดือน ไม่คิดว่าจะทำดีท็อกซ์ได้ แต่คุณหมอก็แนะนำ การทำที่ถูกต้องให้ พอทำแล้ว ก็รู้สึกว่าสบายตัว และไม่มีปัญหา กับแผลผ่าตัด ที่เห็นได้ชัดคือ ผิวพรรณดีขึ้น น้ำหนักตัวลดลง ทำให้เบาสบาย อารมณ์แจ่มใส"

น.ส.สุภินทร์ ศรีจันทร์ อายุ ๓๕ ปี จ.นครราชสีมา "มาอบรมครั้งนี้รู้สึกว่า สามารถทำดีท็อกซ์ ล้างพิษได้ดีกว่า ที่เคยทำเอง ที่บ้าน (ทำดีท็อกซ์ มาปีกว่าแล้ว) อาการปวดศีรษะข้างขวา และการเดิน สมดุลดีขึ้น หลังจากได้รับ การจัดกระดูก จากคุณ หมอเขียว ไม่น่าเชื่อว่า การทำดีท็อกซ์ หลายๆรอบ แบบนี้ จะไม่รู้สึกเพลียเลย และกินผักพื้นบ้าน ที่มีล้นเหลือ จะอร่อยได้ขนาดนี้ ต้องขอบคุณมากๆค่ะ"

นายมานิตย์ เสตารุณ อายุ ๔๐ ปี จ.มหาสารคาม "ส่วนตัวมีปัญหาเรื่องท้อง ถ่ายเสร็จแล้ว ก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ นอกจากนี้ ยังปวดหลัง อยู่เป็นประจำ และขี้หนาว พอได้รับความรู้ เรื่องธาตุประจำตัว และ รับประทานอาหาร ที่เหมาะสมกับธาตุ ของเราแล้ว ปรากฏว่า ไม่รู้สึกหนาวง่าย เหมือนเมื่อก่อน ส่วนท้อง ก็รู้สึกโล่งสบาย หายอึดอัด ส่วนเรื่องปวดหลัง หลังจาก ดูดเลือดเสียออก และ จัดกระดูก ก็รู้สึกดีขึ้น ประมาณ ๖๐-๗๐ %"

คุณแรงอารีย์ เกษมณี กทม. "เป็นคนขี้โรคมาตั้งแต่เกิด มีสารพัดโรค ที่ต้องดูแล ตอนนี้มีเนื้องอก (ที่ยังไม่เป็นเนื้อร้าย) ในมดลูก แต่ไม่ต้องการผ่าตัด และโรคไวรัสตับอักเสบบี รักษาก็มากครั้ง มากวิธี แต่การตัดสินใจ ละงานด่วน และสำคัญ ไปเข้าค่ายครั้งนี้ ถือเป็นการตัดสินใจ ที่คุ้มค่าที่สุด ได้รับรู้ การดูแลรักษาตัวเอง ได้สมบูรณ์แบบที่สุด ทำให้มั่นใจว่า บุญญาวุธ หมายเลข ๔ ของพ่อท่าน จะยิ่งใหญ่ อยากให้ชาวอโศก ได้เรียนรู้ และดูแลตัวเอง ให้แข็งแรงก่อน แล้วทุกคน จะเป็นหมอ ให้ตัวเอง และดูแล ผู้อื่นต่อไปได้ด้วย

การรักษาก็เรียบง่าย ไม่แพง รู้จักการนำเข้าและเอาออกอย่างถูกวิธี ทำให้ร่างกายแข็งแรง".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

 

เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๐๖(๒๒๘) ปักษ์แรก ๑-๑๕ พ.ค.๒๕๔๖ สำหรับสารพันข่าว ความเคลื่อนไหว ภายในหมู่กลุ่ม นำมาฝากกัน ดังนี้

รุ่นนี้มาแรง...วันที่ ๒๔ เม.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณทุ่มครึ่งถึงสองทุ่ม มีพายุที่ จ.นครปฐม รวมทั้งที่ ปฐมอโศกด้วย คืนนั้น ฝนตกหนัก และมีฟ้าผ่า ที่ "บ้านสวน ๙ ไร่ พายุพัดสิ่งของเปียก ลอยไปกับน้ำ หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ที่น่าจะได้ตำแหน่ง "อดทน" สุดๆ คือ ผู้ที่มาเข้าคอร์สสุขภาพ และ คอร์สเรียนเป็นหมอ รุ่นที่ ๘ โดยมี คุณน้อมบูชา และ คุณหมอเขียว เป็นผู้ ถ่ายทอดวิชาให้ ทุกคนแทบจะไม่ได้นอน เพราะบ้านถูกฝนสาด เปียกไปทุกตารางนิ้ว ทั้งชั้นบน และชั้นล่าง จนมีบางคน ต้องอพยพ เข้าไปนอนในวัดบ้าง ที่โรงปุ๋ยใหญ่ ที่กำลังก่อสร้างบ้าง บางส่วน ยังปักหลัก อยู่ที่บ้านสวน ๙ ไร่ แต่ขยับไปนอน รวมกัน ที่กลางบ้าน กึ่งนั่งกึ่งนอน ครึ่งหลับครึ่งตื่น บางคนปลงใจ ยอมปล่อยวาง ไม่ห่วงทรัพย์สมบัติ ที่นำติดตัวมาด้วย จะห่วง ก็แต่สมุด จดวิชา ที่เพิ่งจะร่ำเรียนมาในคอร์ส ซึ่งโดนฝนสาด จนกระดาษ ฉ่ำพองไปหมด จิ้งหรีดได้ยิน คุณน้อมบูชา บอกว่า ตั้งแต่เกิดมา จนอายุ ๕๑ ปีเข้าแล้ว ยังไม่เคยเจอพายุ ที่รุนแรง แถมด้วยลูกเห็บ ขนาดนี้เลย

เอ!...ฟังๆเรื่องแล้ว น่าจะให้ชื่อคอร์สเรียน (เป็นหมอ) รุ่นนี้ว่า "รุ่นพายุโซนร้อน" ดีมั้ยฮะ?...จี๊ดๆๆๆ .....

อุปสรรค... อีกเรื่องเกี่ยวเนื่องกับคืน พายุฝนกระหน่ำที่ปฐมอโศก ญาติธรรมท่านหนึ่งเดินทางมาไกล จากต่างจังหวัด ตั้งใจ แข็งขันว่า จะไปทำวัตรเช้า (ตั้งแต่ก่อนคืนฝนตก) ปรากฏว่าถึงเวลาเข้าจริงๆ บรรยากาศ ค่อนข้างจะเปลี่ยวๆ ไม่ใช่คน ในพื้นที่ ก็เลยชักขยาด แถมมาเจอ เพื่อนผู้หวังดี บอกว่า "แถวนี้น่ะเปลี่ยวที่สุด ในนครปฐมเลยนะเธอ" เลยยิ่งหวั่น เข้าไปใหญ่ เช้านั้นเลย ไม่ได้ไปทำวัตร อย่างที่ตั้งใจไว้ แต่พอตกเย็น ก็พลันคิดได้ว่า เป็นไงก็เป็นกัน พรุ่งนี้ ต้องไปฟังธรรมะ ขึ้นกระดานดำ ของท่านยุทธวโรให้ได้ คราวนี้ตั้งใจเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นมาก แต่พอตกดึก พายุฝน ก็เทกระหน่ำ ตื่นเช้าได้เวลา ไปเรียนพระธรรม ก็ยังสู้อุตส่าห์ ฝ่าความมืดตึ๊ดตื๋อ ลุยถนนเจิ่งน้ำ ไปที่วัด ปรากฏว่า ที่วัดไฟดับ ท่านยุทธฯ งดสอน ญาติธรรมท่านนั้น ก็เลย "แป่ว...ว...ว" อดเรียนพระธรรม ตอนเช้า เป็นคำรบสอง

ไม่เป็นไรนะฮะคราวหน้ายังมีอีก... อุปสรรคทั้งหลายมีไว้ให้ทดสอบความเพียรฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

ควันหลง...ในช่วงงานปลุกเสกฯ ที่ ผ่านมา จิ้งหรีดเกาะติดธรรมะขึ้นกระดานดำ ก็ได้เห็นความกระตือรือร้น ของญาติธรรม ในการที่จะศึกษาเรียนรู้ ขณะที่ฝ่ายสมณะและสิกขมาตุ ก็ตั้งใจและทุ่มเท ทั้งแรงกายแรงใจ ที่จะอัดพลังธรรมะ ให้พวกเรา อย่างไม่อั้น เช่นกัน

วันหนึ่งหลังจบธรรมะขึ้นกระดานดำของท่านร่มเมือง ยุทธวโร ญาติธรรมต้องนิมนต์ให้ท่านไปสรงน้ำ เพราะสบง และเนื้อตัว ของท่าน มีแต่ฝุ่นชอล์ค ติดอยู่เป็นละอองสีขาว เต็มไปหมด (อย่างนี้เรียกว่า "อัดพุทธคุณ จนชอล์คกระจาย" ได้หรือเปล่าฮะ?)

วันนั้นท่านสอนเรื่องไตรลักษณ์ ระหว่างรอนักเรียน ที่ค่อยๆทยอยเดินเข้ามา ท่านยุทธฯ ปฏิสันถาร กับนักเรียน ที่มาถึงแล้ว ไปพลางๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า "วันนี้พวกเราได้กินมะม่วงหรือเปล่า?"

นักเรียน "ไม่เห็นมีนี่คะ ตักอาหารวันนี้ไม่เห็นมีมะม่วงเลย" ท่านยุทธฯ "อ้าวเหรอ...แต่ของสมณะมีนะ นี่ไงเห็นไหม อยากได้ อะไรดีๆ ต้องทำยังไงรู้รึเปล่า?" นักเรียนทำท่างง "ทำยังไงคะ?" ท่านยุทธฯ "ก็ต้องมาบวชสิ!"

โอ้โฮ!...จิ้งหรีดฟังแล้วก็ขำ เด็กๆ โดนมุขเด็ดของท่านยุทธฯ ไปโดยถ้วนหน้า แหม! เข้าใจถามนำ แถมจบเข้าทางธรรม ด้วยกลยุทธ์ สมฉายา ของท่านเลยนะฮะ ...จี๊ดๆๆๆ .....

คุณครูคนใหม่... เปิดเทอมใหม่ของนร.พุทธธรรมวันอาทิตย์ ที่สันติอโศกคราวนี้ เด็กๆจะได้พบกับ คุณครูคนใหม่ ที่เป็น ญาติธรรมเก่า (แต่ยังไม่แก่) มานานปี ตัดสินใจ มาเป็นคุณครูครั้งนี้ เธอบอกว่า จะได้เลื่อนฐาน ของตัวเอง อีกขั้นหนึ่ง

จิ้งหรีดได้ยินแล้วก็ต้องร้องว่า "ขออนุโมทนาด้วยนะฮะ" แล้วก็ขอขอบคุณ แทนเด็กๆ ที่คุณแหม่ม (น้อมยอม) หรือ "ป้าแหม่ม" ของลูกๆ หลานๆ (หรือที่รู้จักกันดีก่อนหน้านี้ ในนาม คุณแหม่มเสาวรส) ยอมสละเวลา มาเป็นแม่พิมพ์ ให้แก่เจ้าตัวน้อยๆ... จี๊ดๆๆๆ .....

ทำสถิติ...น่าอนุโมทนาจริงๆและขอบันทึกไว้ใน หน้าปัดชาวหินฟ้า ว่า คอร์ส มหัศจรรย์ รุ่นฟ้าอนุโมทนา (รุ่นที่ ๗๗) ชาววังน้ำเขียว ได้ทำสถิติ ฟังธรรมรวม ๑๐ ช.ม.กว่า/วัน อย่างรื่นเริงในธรรมกันดี ส่วนที่ไหนๆ ของชาวเรา หากมีสถิติ ที่เด่นกว่านี้ ฝากส่งข่าวมาด้วย จะได้ร่วมอนุโมทนา ตามไป เรื่องดีๆ เป็นกุศลแบบนี้ จิ้งหรีดชอบ (สอด) รู้ฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

คืนสู่เหย้าฯ...คึกคัก มีความสุขกันถ้วนหน้า ที่ได้เห็นศิษย์เก่าฯ จำนวนเกือบ ๒๐๐ คนมาร่วมงาน บางคน จิ้งหรีดเห็นแล้ว ก็นึกขำ (ปนเอ็นดู) บ้างก็ผมแดง จนต้องเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงจำกันได้ บ้างก็พาครอบครัว -พาลูกจูงหลาน มีไม่เว้น แม้กระทั่ง พาลูกในท้อง มาเยี่ยมเยียนกัน ศิษย์เก่าฯ ที่มีทัณฑ์ พ่อท่านก็เมตตา ให้มาได้ บรรยากาศวันนั้น จึงอบอุ่น เต็มไปด้วย ความเมตตา เอื้ออาทร และความระลึกถึงกัน อย่างยาก จะบรรยาย

จิ้งหรีดเห็นความเมตตากรุณาที่พ่อท่าน มีต่อบรรดาศิษย์เก่าฯ อยู่ดูการแสดงของพวกเขา วันแรก ๓ ทุ่ม วันที่สอง ๔ ทุ่ม วันที่สาม กว่าจะจบ ก็ ๕ ทุ่ม เรียกว่า ท่านให้ เวลามาก เห็นแล้ว ก็ปลื้มแทนศิษย์เก่าจริงๆ

ส่วนช่วงกิจกรรมพาล่องเรือ จิ้งหรีดได้ยิน "แจ็ค" ลูกชายคุณปฏิพนธ์ ประกาศก้องว่า "ขอฟังธรรมะ จากพ่อท่าน ให้ดื่มด่ำ อย่างจุใจก่อน ห้ามใครกวน เรื่องคุยไว้ทีหลัง"

งานนี้นอกจากจะได้พบปะและร่วมกิจกรรมของงานแล้ว ศิษย์เก่าฯยังได้ช่วยลงแขกตั้งเต็นท์เตรียมงาน พ.ฟ.ด.ที่จะถึง (๑๖-๑๘ พ.ค.๔๖) ด้วย ก็รู้สึกว่า ช่วยงานได้มากทีเดียว เพราะแต่ละคน เข้าขั้นมืออาชีพทั้งนั้น

อ้อ! งานนี้เขามีของที่ระลึกแจกด้วยล่ะ ศิษย์เก่าฯที่ไม่ได้ไปร่วมงาน ก็ไม่ต้องเสียดาย นะฮะ สามารถขอรับภายหลังได้ (แต่ต้องเป็น ปีหน้านะฮะ...ฮา)...จี๊ดๆๆๆ .....

ตั้งชมรม...ศิษย์เก่าฯ ได้รวมตัวตั้งชมรม "ศิษย์เก่าสัมมาสิกขา" มีคุณอุ่นเอื้อ สิงห์คำ เป็น ผรช. ส่วน รอง ผรช. คือ คุณคะทาชร สูตรชัย (จากสันติฯ) ส่วนทีมงานเลขา ทางศิษย์เก่าฯ ที่ปฐมอโศก รับหน้าที่ ก็มีพี่กบ พี่ยา อยู่ในทีมนี้ด้วย สาธุ...จี๊ดๆๆๆ .....

ประทับใจ...ฟังคุณแรงอารีย์ เกษมณี เผยความประทับใจ ที่ได้เข้าค่ายสุขภาพ บุญนิยม ๗ อ. ที่ศูนย์ฝึกอบรม กสิกรรม ไร้สารพิษ สาขาขอนแก่น ว่า "...ความฝันของพ่อท่าน เรื่องโรงพยาบาล ได้เกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดขึ้น ทั่วประเทศ ในไม่ช้า เป็นโรงพยาบาล ที่ไร้รูปแบบ คนไข้จะกลายเป็นหมอ ที่ดูแลตัวเอง และผู้อื่นได้ต่อไป ยาก็อยู่รอบๆบ้าน ไม่จำเป็น ต้องซื้อยา ราคาแพง

ประทับใจผู้เข้าค่าย เบิกบานแจ่มใส อารมณ์ดี ดูแลซึ่งกันและกัน หัวเราะได้โดยไม่ต้องเตรียม เรื่องตลกมาเล่า รื่นเริงกันได้ โดยไม่ต้อง มีการร้องรำ ทำเพลง กินอาหารรอบบ้าน แม้บางอย่าง ไม่เคยรู้ว่า กินได้ อย่างมีรสชาติ โดยไม่ต้อง ปรุงแต่งรส จากที่ ไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะอายุยืนได้ ตอนนี้ มั่นใจ ขอขอบพระคุณ และขอเป็นกำลังใจ ให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคน"... สาธุ...จี๊ดๆๆๆ ...

ช่วยด้วย...ใครอยากได้บุญ (มากเพราะขาดแคลนคนทำ) เชิญทางนี้ จิ้งหรีดมีงานบุญมาบอก เพราะวันก่อน บินไปแถวๆ ห้องน้ำ ของสันติฯ เห็นคุณกรักตรงธรรม ก้มหน้าก้มตา รับงานขัดห้องน้ำ ต่อจาก คุณปะบัวบุญ ทั้งๆที่ตัวคุณปะ ตรงธรรม ก็ไม่ค่อยสบาย เห็นแล้ว น่าเห็นใจจริงๆ (ก็ห้องน้ำที่นี่ มีน้อยเสียเมื่อไรล่ะ) ด้วยเหตุผล ประการทั้งปวงข้างต้น หากญาติธรรม ท่านใด พอมีเวลา อยากจะช่วยเอาบุญ (ใส่ตน) สามารถไปสมัครงาน ที่คุณกรักได้ รับรองว่า ได้บุญหลาย... จี๊ดๆๆๆ .....

หนักก็สู้... วันก่อนไปแถวชมร.หน้าสันติฯ เห็นคุณดาบบุญ ขยันทำงาน ยกถังหนักๆ หลายต่อหลายถัง คนเดียว อย่างขยัน ขันแข็ง เอ!... แข็งแรงอย่างนี้ สงสัยกิเลสหนักๆ ก็คงยกออกไปได้ จริงมั้ยฮะ เอ้า...ลุยเลย จิ้งหรีดเอาใจช่วย นึกว่าเหมือนถัง ก็แล้วกันนะฮะ... จี๊ดๆๆๆ .....

ขอยืมตัว...จิ้งหรีดที่สีมาฯ แจ้งข่าวมาว่า ขณะนี้ทางสีมาฯ ขาดสมณะที่ดูแล ด้านการศึกษา เพราะมีงานหลายด้าน ที่จะต้องรับผิดชอบ ทั้งงานจากเครือข่าย ก็หลายแห่ง สมณะที่ต้องลงอาราม ก็ต้องออกพื้นที่บ่อย และต่อเนื่อง ทำให้ ไม่ค่อยมีเวลา ดูแลเรื่องงาน และจิตวิญญาณ ภายในพุทธสถานเท่าที่ควร

ส่วนสมณะที่อยู่ในอาราม ก็อาพาธหรือสูงอายุ ด้วยความจำเป็นดังกล่าว คณะทำงานบริหาร ชุมชนสีมาอโศก จึงทำหนังสือ ขอสมณะ จากภูผาฯ ไปช่วยดูแล และแก้ไขปัญหา ที่กำลังประสบอยู่ ตามแต่จะเห็นสมควร ซึ่งเรื่องนี้ หมู่สมณะ ที่สีมาฯ ก็เห็นด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่า ทางภูผาฯ จะช่วยส่ง สมณะมาช่วยได้หรือไม่

นี่จิ้งหรีดก็ได้ยินท่านอาจารย์ ๑ เปรยๆ กับปัจฉาฯ เมื่อวันที่ได้รับหนังสือ ขอสมณะ จากสีมาอโศกแล้วว่า จะให้ไปช่วยบริหาร ด้านการศึกษา จริงๆหรือ...แน่ใจหรือ? จิ้งหรีดฟังแล้ว ก็ต้องเงี่ยหูฟัง ท่านขยายเหตุผลต่อว่า งานด้านการศึกษานั้น หากสมณะ ทางภูผาฯ เข้าไปดูแล และแก้ไข อย่างที่ขอมา ทางชุมชนและคณะครู ต้องเข้าใจ และมีนโยบาย ไปในทิศทาง เดียวกันด้วย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะ นโยบายด้านการศึกษา ของทางภูผาฯ จะเน้นสร้างคน มากกว่าสร้างงาน ก็ไม่รู้ จะทำใจ ได้หรือเปล่า! เรื่องอย่างนี้ คงต้องไปถาม ท่านเด็ดขาด จิตตสันโต อีกรูป ก็จิ้งหรีดที่ภูผาฯ เล่าให้ฟังว่า ท่านเด็ดขาด เคยมีหนังสือ มาก่อนหน้า นี้แล้ว แต่สมณะนวกะ ยังมีไม่พอ ที่จะส่งลงไปช่วย เพราะมีหลายแห่ง ขอมาเหมือนกัน จึงต้องดู ตามคิวประกอบด้วย

ยังไงๆ สีมาอโศกก็คงต้องเตรียมใจไว้ก่อนนะฮะ ก็ไม่รู้ว่า จะได้สมณะ ไปช่วยหรือเปล่า?...จี๊ดๆๆๆ .....

ก่อนจากขอฝากคำสอนของพ่อท่านที่ว่า
"ศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตรธรรม ที่ปฏิบัติแล้ว จะบรรลุมรรคผล และ ตั้งแต่ โสดาบันขึ้นไป จึงถือว่า เป็นสงฆ์ของ พระพุทธเจ้า เรียกว่า สาวกสังโฆ ผู้นั้นก็เป็นผู้มีที่พึ่ง พ้นทุกข์ ไปตามลำดับ ยิ่งลดกิเลส ลดอัตตา มากเท่าไร ยิ่งเป็นที่พึ่ง ให้ตัวเอง มากเท่านั้น ซึ่งจะเกิดได้ เพราะกรรม คือการประพฤติปฏิบัติ ตั้งแต่ศีล จนเกิดสมาธิ-ปัญญา และวิมุติ ในที่สุด พระพุทธเจ้าเป็นคนจน สอนคนให้มาจน คนมาจน คือคนประเสริฐ คนร่ำรวย คือ คนทำลายสังคม ทำลายตนเอง บุญนิยม คือการเสียสละ ที่จะช่วยสังคมได้"
(บางส่วนจากการบรรยายธรรมเรื่อง "พึ่งตนพ้นทุกข์"
ในงาน "วันข้าวอินทรีย์ไทย" วันที่ ๒๗ ธ.ค.๔๕)

พบกันใหม่ฉบับหน้า

- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


งานกสิกรรมไร้สารพิษเพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ ๑๐
ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก

วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๔๖ (วิสาขฤกษ์)
วิสาขบูชาปีนี้มีความหมาย...??
หลายร้อยหลายพันดวงใจในครรภธาตุมณฑล
กำลังรอการ
ประสูติ (เกิดใหม่) - ตรัสรู้ (รู้แจ้ง,เห็นจริง) - ปรินิพพาน (การดับสนิทของกิเลส)
เพื่อเป็นพุทธน้อยๆ เจริญรอยตามพระพุทธองค์
วันวิสาขบูชาที่ราชธานีอโศก
จะมีการแสดงธรรมกัณฑ์พิเศษ ตั้งแต่ ๐๓.๓๐ น.

๐๓.๓๐-๐๕.๓๐ น. การแสดงธรรมกัณฑ์พิเศษ
๑๑.๐๐-๒๐.๐๐ น. กสิกร, พนักงาน ธ.ก.ส. และผู้เข้าร่วมงานถึงราชธานีอโศก และลงทะเบียน
๑๘.๓๐-๒๐.๓๐ น. รายการเวียนธรรมในภาคค่ำ (SAMANA ON STAGE - สมณะขึ้นแท่น)

วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๖
๐๘.๐๐-๐๙.๐๐ น. สัญญาณระฆังเข้าศาลา แนะนำ ปฐมนิเทศ
๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ น. พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ แสดงธรรม
๑๐.๐๐-๑๐.๓๐ น. พิธีเปิดงาน โดยประธานกรรมการ ธ.ก.ส. รัฐมนตรี-ช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายวราเทพ รัตนากร และ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวรายงาน
๑๐.๓๐-๑๑.๓๐ น. เวทีชาวบ้าน เสวนาเรื่อง "ทิศทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตกสิกรอย่างยั่งยืน และกรณีศึกษา การเปลี่ยนแปลง ชุมชน" นำเสวนาโดย รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงการคลัง, ผู้จัดการ ธ.ก.ส. (นายพิทยาพล นาถธราดล) และ ตัวแทนกสิกร ๔ ภาค
๑๓.๐๐-๑๖.๐๐ น. พี่เลี้ยงนำเยี่ยมชมฐานวิชาการ
๑๗.๐๐-๑๘.๐๐ น. ขบวนแห่ "เพื่อฟ้าดิน"
๑๘.๐๐-๒๐.๓๐ น. รายการภาคค่ำ "คำตอบอยู่ที่ทุ่งนา...!"

วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๖
๐๔.๐๐-๐๖.๐๐ น. ธรรมะรับอรุณ โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
๐๖.๐๐-๐๗.๐๐ น. ออกกำลังกาย โดยทีมงาน ๗ อ.
๐๘.๐๐-๐๙.๐๐ น. สัญญาณระฆังเข้าศาลา นันทนาการ ชี้แจงการเลือกฐานงาน
เปิดประเด็นศรัทธาร่วม "พลิกทุ่ง สร้างทุน ฟื้นไท" โดย นายวิวัฒน์ ศัลยกำธรและคุณแก่นฟ้า แสนเมือง
๐๙.๐๐-๑๒.๓๐ น. และ ๑๓.๐๐-๑๖.๐๐ น. แบ่งกลุ่มสัมมนาย่อย และศึกษาวิชาการตามฐานงานต่างๆ
๑๘.๐๐-๒๐.๓๐ น. รายการภาคค่ำ สัมภาษณ์ปฏิบัติกร ชุด "ป๊าดติโธ่ !"

วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๖
๐๔.๐๐-๐๖.๐๐ น. ธรรมะรับอรุณ โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
๐๖.๐๐-๐๗.๓๐ น. เก็บของ ทำบุญตักบาตร
๐๘.๓๐-๑๐.๐๐ น. สัญญาณระฆังเข้าศาลา สรุปผลการประชุมสัมมนา
๑๐.๐๐-๑๒.๐๐ น. พรก่อนจาก โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ และปิดงาน

* หมายเหตุ : ญาติธรรมที่มีเต็นท์กันฝนได้ ให้ช่วยนำมาด้วยทุกคน เผื่อฝนตกจะได้ไม่บำเพ็ญ หนักเกินไป และ ภาชนะ เครื่องใช้ ส่วนตัว ขอให้นำมา ให้ครบพร้อม เพื่อที่จะลุย สู่สมรภูมิ "พึ่งตน - คนกู้ดินฟ้า".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


๗ อ. กับหน่วยผลิต

พวกเราชาวหน่วยผลิตอโศก ท่านยังมีทุกขนิสัยเหล่านี้หรือไม่ ?
(ถ้าไม่มีหรือมีน้อยก็จะเป็นทั้งประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน อันถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท)

ทุกขนิสัย ๗ อ.
หน่ายงาน (ถูกบังคับทำ)
พาลเฉื่อย (ทำไปเรื่อย ๆ )
เรื่อยเจื้อย (ใจลอย)
ละเลย (ไม่สรุปบทเรียน)
ฉันทะ
วิริยะ      อ.อิทธิบาท
จิตตะ
วิมังสา
อารมณ์ บูด เน่า เสีย เป็นอาจิณ
(กับหลายคนและหลายสถานการณ์)
อ.อารมณ์ดี
อาหารตามใจปาก ตามใจความอยาก
(เพราะฉันเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว)
อ.อาหารดี
ไม่เคยทำ 5 ส.สถานที่ผลิต
ชีวิตจึงสูดดมฝุ่นละออง ความอับชื้น
(และสารเคมี) ตลอดเวลา
อ.อากาศดี
นั่งมุงานทั้งวัน ไม่ขยับกายย้ายอิริยาบถ อ.ออกกำลังกายเสมอ
อ.อิริยาบถดี
ขยันเกินเหตุ
(ไฟลุกโชนตลอด)
อ.เอนกายพักผ่อน
"ไม่มีเวลา"
(ข้ออ้างสากล)
อ.เอาพิษออก
ใครที่ยังไม่ได้ใช้บุญญาวุธหมายเลข ๔ เป็นอาวุธพัฒนาสุขภาพกายและสุขภาพจิต ของตนเอง แล้วล่ะก็ ความหวัง ที่จะนำพา ให้เกิดผลผลิต ที่มีคุณภาพ ประณีต และปลอดภัยได้อย่างยั่งยืน ก็จะเป็นไปได้ยาก (เพราะคนผลิต "ไป" ซะก่อนน่ะซิคะ)

- ต.อ.กลาง รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


รู้เขารู้เรา
- เศษเหล็ก -

ห่วงคนไทยชาตินิยมจาง
'จำลอง' ลุ้นช่วยบางจาก

กรุงเทพฯ... "จำลอง" ห่วงภาคประชาชนยังขาดความเข้มแข็ง อ่อนชาตินิยม รณรงค์ช่วยคนไทย เติมปั๊มน้ำมันบางจาก ระบุ รัฐบาล เตรียมเพิ่มทุนให้แล้ว

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม ในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเมือง ภาคประชาชน ปัจจุบันว่า ต้องยอมรับว่าไม่ค่อยกระเตื้องขึ้น ชุมชนส่วนใหญ่ ยังไม่เข้มแข็ง จากสาเหตุ และหลายปัจจัย โดยเฉพาะ คนไทย ทุกวันนี้ ก็ยังเฉยๆ ขาดความกระตือรือร้น ในความเป็นไทย นิยมไทย และปฏิบัติ อย่างแท้จริง ถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่สำคัญมาก ซึ่งในอนาคต จะมีปัญหาอย่างแน่นอน

พล.ต.จำลองกล่าวด้วยว่า ในฐานะประธานส่งเสริมบางจากเพื่อชุมชน ที่ผ่านมาได้ทำจดหมาย ๒ ล้านฉบับ ถึงประชาชน เรื่องโรงกลั่น น้ำมันของบางจาก เพื่อบอกความจริง ให้ประชาชน รับทราบว่า เรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นแล้ว จากการที่ รัฐบาลชุดก่อน นำเงิน ๒๘,๓๐๐ ล้านบาท ไปเพิ่มทุน ให้โรงกลั่น น้ำมันของต่างประเทศ แต่โรงกลั่น น้ำมันของรัฐ อย่างของ บางจาก กลับไม่มี การช่วยเหลือ ทั้งที่เป็นโรงกลั่น น้ำมันแห่งเดียว ของคนไทย ขณะที่ในปี ๒๕๓๙ ได้มีโรงกลั่น จากต่างชาติ เพิ่มขึ้นอีก จำนวนหลายโรง จนน้ำมัน ล้นตลาด ส่งผลให้โรงกลั่น น้ำมันบางจาก ลดกำลังผลิตน้ำมันลง เหลือครึ่งหนึ่ง

"จึงขอให้เติมน้ำมันของบางจาก หากมีโอกาสแวะเข้าปั๊มบางจาก เพื่อติดสติกเกอร์ เราคนไทยใช้บางจาก ขอเพียงเท่านั้น ถ้าเรื่องนี้ มีคนสนใจกันมาก ก็ค่อยมีความหวังบ้าง ที่คนไทย จะนิยมไทยมากขึ้น แต่ถ้าเรื่องนี้ คนไทยไม่สนใจ กันเท่าไร ก็น่าเป็นห่วง เพราะไม่มีสินค้าไหน ที่จะจำเป็นใช้กัน ตลอดทุกวัน มีเหตุการณ์ต่างๆ บีบคั้น กิจการคนไทย ถึงขนาดนี้ คนไทย ยังอยู่เฉยๆ ก็จบ และได้ข่าวมาว่า รัฐบาลกำลังจะเพิ่มทุน ให้บางจาก" พล.ต.จำลองกล่าว

เมื่อซักต่อว่า ที่ผ่านมาองค์กรประชาชนได้พยายามรวมกันในระดับหนึ่ง แต่ผู้นำรัฐบาลมักออกมาระบุว่า ไม่ควรออกมา ทำบ้าๆ บอๆ หรือ มาต่อต้าน จะเป็นการบั่นทอน การดำเนินการหรือไม่ พล.ต.จำลองกล่าวว่า อาจจะมีส่วนจริงบ้าง เป็นเรื่องของ รายบุคคล แต่ละองค์กร ซึ่งหากเรื่องใด ที่เป็นเรื่องดี ต่อส่วนรวมแล้ว หากรัฐบาลไม่เห็นด้วย ก็เสียหาย ดังนั้น จะต้องพิจารณา เป็นกรณี เป็นรายๆ ที่มีบางองค์กร ที่ได้รับการช่วยเหลือ จากองค์กรอื่นๆ นั้นก็มี

ต่อคำถามที่ว่า เมื่อรัฐบาลมีความเข้มแข็ง ทางการเมืองมากที่สุด แต่ภาคประชาชน กลับอ่อนแอ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ไม่ใช่ภาคประชาชน เพิ่งอ่อนแอ แต่อ่อนแอมา หลายปีแล้ว องค์กรภาคประชาชน ก็มีเรื่องผลประโยชน์ มาเกี่ยวข้อง ถ้าตัดเรื่องนี้ ออกไปได้ จะมีความเข้มแข็ง เหนียวแน่นกว่านี้.

(จาก นสพ. มติชน ฉบับวันอังคารที่ ๑๕ เม.ย. ๒๕๔๖)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ นายที ปลอดตะโคก
เกิด พ.ศ.๒๔๖๒ อายุ ๘๔ ปี
ภูมิลำเนา อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา
การศึกษา ป.๔
สถานภาพ แต่งงาน บุตร ๙ คน
ส่วนสูง ๑๖๕ ซ.ม.
น้ำหนัก ๕๐ กก.

คุณตาที เป็นโยมพ่อของท่านสมณะพอแล้ว สมาหิโต ปัจจุบันพักอยู่ในชุมชนศาลีอโศก แม้อายุจะยืนยาว ขนาดนี้ แต่ร่างกาย ก็ยังแข็งแรง เจอกันวันนั้นเห็นคุณตากำลังสอนญาติธรรมสานพัดอยู่ ไปคุยกับคุณตากันเลยนะคะ

# ออกศึกนึกแต่รบ
มีพี่น้อง ๕ คน ตาเป็นคนที่ ๓ ตอนนี้ทั้งพี่ทั้งน้องตายหมดแล้ว ที่บ้านพ่อแม่ทำไร่ทำนา จบป.๔ แล้วช่วยทางบ้าน พออายุ ๒๑ ปีก็เป็นทหาร อยู่ที่ ร.พัน ๑๙ กองทัพบกนครราชสีมา สมัยสงครามโลก ครั้งที่ ๒ สงครามอินโดจีน ก็รบกับฝรั่งเศส แถวเชียงตุง ไทยใหญ่ ก็ไปรบมาแล้ว

# จบศึกก็พบรัก
ปี ๒๔๘๗ สงครามเลิก ก็บวช ๑ พรรษา อายุได้ ๒๕ ปี ก็แต่งงาน แม่บ้านเป็นคนบ้านเดียวกัน เขาอ่อนกว่าตา ๘ ปี แต่งงานแล้ว ก็ช่วยกัน ทำมาหากิน ทำไร่ทำนา หาปูหาปลา ตอนนั้น ยังหลงทางอยู่ ยังไม่เจอพ่อท่าน

# พบธรรมะ
ตอนนั้นครูอุดม (โยมพ่อของสมณะเดินดิน) จ้างท่านพอแล้วมาทำกุฏิ ที่ศาลีอโศก เห็นท่านเปลี่ยนไป เลิกดื่มเหล้า อ่านหนังสือ คนคืออะไร ตาก็เริ่มสนใจ เพราะตอนนั้น ท่านไม่มีแวว จะเลิกดื่มเหล้าเลย

ตาก็เริ่มปฏิบัติมาเรื่อยๆ ปี ๒๕๓๙ ก็เลิกกินเนื้อสัตว์ เคยไปอยู่ปฐมอโศก ช่วยสานตะกร้า สานพัด อยู่กับตาวันนา (ปัจจุบัน เสียชีวิตแล้ว) ปี ๒๕๔๐ ก็ย้ายมาอยู่ศาลีอโศก จนถึงทุกวันนี้

# พบความสุข
ก็ช่วยทำเรื่องจักสาน สานพัด สานตะกร้า ทำไม้กวาด ใครสนใจ เขาก็มาขอให้สอนให้ ตาก็สอน

ตาก็ดีใจนะที่ท่านมาบวช ท่านก็เคยชวนให้มาปฏิบัติธรรม แต่ตอนนั้นยังมีวิบาก ตอนนี้มาได้แล้ว ตอนนี้แม่บ้าน ก็มาอยู่ที่นี่ด้วย ชีวิตมีความสุข ใจเบิกบาน ใครจะว่าอะไร เราก็ทำใจได้

# พรก่อนจาก
ในพงศาวดารเขาเล่าว่าจะมีพระอาริยะมาโปรดสัตว์โลก ตาว่าพ่อท่านนี่แหละ คือพระอาริยะ ที่เขากล่าวไว้ ในพงศาวดาร
คุณตามีความสุข อยู่ในสังคม บุญนิยม ใครจะว่าอะไร ก็ทำใจได้

แล้วท่านล่ะ... เคย บ้างไหมเมื่อมีผู้มาชี้ขุมทรัพย์ แต่เรากลับตกอยู่ในขุมนรกแทน ไม่สามารถมองเห็น ขุมทรัพย์ใดๆได้เลย.

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
๖๗/๑ ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ โทร.๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ ๑,๗๐๐ ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]