ฉบับที่ 210 ปักษ์แรก1-15 กรกฎาคม 2546

[01] บทนำข่าวอโศก:เขาจะรู้ไหม
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "สิ่งที่ยากที่สุดคือตรงนี้... "
[03] บันทึกปัจฉาสมณะ: พรรษาแห่งการเอื้ออาทร เพื่อพัฒนาตน...เราจะละอะไร
[04] ญาติธรรมโรงสีขอนแก่นขอเข้าคอร์สมหัศจรรย์ ได้พลังรวมของกลุ่มคืน
[05] สัจธรรมชีวิต นำชีวิตที่ดีกว่า ลุงตุ้ม ศรีทอง เกษตรกรคนเก่ง
[06] คกร.ร่วมสัมมนา GMOS กับกลุ่มกรีนพีซ ผลกระทบต่อระบบนิเวศและปนเปื้อน มะละกอจีเอ็มโอ
[07] รมว.สธ.ผลักดัน 'วันเข้าพรรษา' เป็น 'วันงดดื่มสุราแห่งชาติ' ปี'๔๗
[08] ศูนย์สุขภาพ :ไขมันที่เป็นมิตรกับสุขภาพ
[09] ความรู้เรื่อง ไม้กฤษณา ของผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:ฉบับที่ ๒๑๐ (๒๓๒) ปักษ์แรก ๑ - ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๖
[11] เคเบิ้ลทีวีช่อง ๑๑ จ.อุบลฯ ถ่ายทำความเป็นมาของบ้านราชฯ
[12] นางงามรายปักษ์ น.ส.นวล ชุมใหญ่



เขาจะรู้ไหม

ใครจะเป็นคนบอกผู้นำระดับมหาอำนาจบางคนในโลกลูกนี้ได้ล่ะว่า การใช้กำลังอาวุธปราบปราม ทำลายล้างชีวิตผู้เป็นศัตรู จะทำให้ศัตรูมีเพิ่มมากขึ้นทุกทิศ ประชาชนในประเทศของตนจะมีทุกข์มากขึ้นมากกว่ามีสุข

เขาจะเชื่อไหมว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ใครจะเป็นคนบอกผู้บริหารประเทศไทยบางคนได้ล่ะว่า การส่งเสริมสนับสนุนอบายมุข เช่น ให้ประชาชนผลิตสุรา สาโท รัฐบาลเปิดบ่อนการพนันเป็นเจ้ามือหวยเสียเอง ยกอาชีพโสเภณีให้ถูกกฎหมาย เป็นต้น เป็นหนทางที่จะนำประเทศสู่หายนะ

เขาจะเชื่อไหมว่า อบายมุขเป็นหัวหน้านรก เป็นหนทางสู่ความฉิบหาย ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

และใครจะเป็นคนบอกชาวอโศกบางคนได้ล่ะว่า เวลาเจอปัญหาอย่าเพิ่งรีบโทษคนอื่น โยนความผิดให้ผู้อื่น แต่ให้รู้จักโทษ ตัวเอง รู้จักมองตน มิฉะนั้น ชาวอโศกจะหลงตัวว่า ตัวเองดี ตัวเองถูก และเกิดการแตกแยก ไม่อบอุ่น ไม่สร้างสรร ไม่พัฒนาตน

เขาจะเชื่อไหมว่า อะไรที่เกิดขึ้นกับตน ล้วนแล้วแต่มาจากการกระทำ(กรรม)ของตนทั้งสิ้น (กัมมัสสกตาศรัทธา) ตามที่พระพุทธเจ้า ทรงสอนไว้ว่า ชาวพุทธ พึงมีความเชื่อ ๔ อย่าง.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


จับประเด็นจากหนังสือคนคืออะไร ?
สิ่งที่ยากที่สุดคือตรงนี้...

สัญญาเวทยิตนิโรธอย่างวิปัสสนาภาวนา คือ สภาพดับกิเลสหมดสิ้นจากจิต อย่างเห็นกระจ่างชัด ด้วยปัญญาญาณ ถ้วนรอบบริบูรณ์ ของการจบกิจสิ้นอวิชชา เห็นเองด้วยตนอย่างพ้นสงสัย เสร็จสรรพเป็นนิพพาน อันเรียกว่า.. ."สอุปาทิเสสนิพพาน" เป็นพระอรหันต์ผู้หลุดพ้น ห้วงแห่งทุกข์แล้ว

*** นิพพานสุดยอดปรารถนาของคนมีลักษณะอย่างไร?...
นิพพาน เป็นสภาวะประเสริฐสุดยอดของพุทธศาสนา มิใช่จะมีความหมายเพียงแค่ ตาย-ดับกิเลส หรือ พ้นทุกข์ หากยังมีความหมาย อันเป็นคัมภีรภาพยิ่งไปกว่านั้น

โลกียนิพพาน...คือสภาพที่ดับกิเลสได้ประเดี๋ยวประด๋าว ไม่เป็นโล้เป็นพาย ต้องข่มใจฝืนสู้กิเลส อย่างมาก ทิฏฐิยังไม่สัมมา สักเท่าใด ภูมิธรรมไม่ถึงขั้นอาริยชน ยังไม่ถึงภาวะของโสดาบัน

ส่วนผู้ปฏิบัติผิดๆอย่างโลกียธรรม หลงทิศทางพุทธเป็นมิจฉาวิมุติไปโน่น ไม่ใช่นิพพานพุทธแน่

โลกุตระนิพพาน... คือผู้สามารถดับกิเลสได้ถึงขั้นเข้าสู่กระแสเป็น อาริยะ ตามลำดับขั้น กระทั่งกิเลสสิ้นเกลี้ยง เป็นวิมุติ หลุดพ้นจริงๆ นับเนื่องแต่เป็น โสดาบันขึ้นไป

สอุปาทิเสสนิพพาน... คือ สภาพนิพพานของพระอรหันต์ ซึ่งกระทำดับกิเลสจบกิจบริบูรณ์ทั้งยังมีชีวิตอยู่บนโลก และช่วยเหลือ ปวงชนเป็นพระโพธิสัตว์

*** จะช่วยพุทธศาสนาได้ดีต้องมีนิพพาน...
ท่านผู้เป็นพระอรหันต์ ย่อมช่วยสืบสานพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี เพราะมีปัญญาที่ถ้วนรอบในสัจจะ ไม่ทำศาสนา ให้เสื่อมแน่ และท่าน ยังแกล้วกล้า อาจหาญ สรรสร้าง ความดี ไม่กลัวโดนตำหนิ หรือถูกด่าว่าให้ร้ายใดๆ เพราะไม่มีแล้ว ซึ่งมานะ ถือดีเป็น อัตตา

ท่านไม่มีความเห็นแก่ตัว จึงทำประโยชน์ให้กับสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขยันขันแข็งอุตสาหะ ทำดีเพื่อมวล มนุษยชนอยู่

ใครที่พูดว่า พระอรหันต์ ตายแล้วสูญ คือพวกมิจฉาทิฏฐิจริง หรือ?...

พระอรหันต์เป็นผู้อยู่เหนือวงวัฏฏะมีอมตธาตุ-อมตธรรม ท่านจะดับภพจบชาติ หรือจะบำเพ็ญบารมีต่อไป เป็นการตัดสินใจ ของท่านเอง สุดวิสัยที่ใคร จะไปกำหนด หรือด้นเดา

สภาพการตายของพระอรหันต์จำแนกได้ ๓ ลักษณะ

๑. สอุปาทิเสสนิพพาน คือ กิเลสตายดับสูญสนิทจากจิตวิญญาณ ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ทำกิจทำงาน ช่วยพัฒนา ศาสนา และกูลเกื้อ ความดีงาม ให้แก่โลก ตราบจนวันสิ้นอายุขัย

๒. อนุปาทิเสสนิพพาน คือ การตายอย่างสิ้นลมหายใจของพระอรหันต์ เป็นการตายเฉพาะธาตุกายขันธ์ หากจิตท่าน ปรารถนา บำเพ็ญเพียร เป็นพระโพธิสัตว์ ต่อภูมิธรรมสูงขึ้นไปอีก ก็สามารถกลับมาเกิดได้ ตามแต่ท่านจะเลือก

๓. ปรินิพพาน คือ การตายอย่างสูญสลายสิ้นไม่เกิดอีก เป็นการดับภพภายในจิตสูญสนิทก่อนสิ้นลมหายใจ ไม่กลับมา เวียนวน วัฏสงสารอีกแล้ว...ดังเช่น พระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานในระหว่าง รูปฌานกับอรูปฌาน เป็นสภาพขาดสูญสนิท

ด้วยเหตุดัง ๓ ประการนี้ จะกล่าวว่าพระอรหันต์ตายแล้วสูญเสียทีเดียวไม่ได้ ต้องรู้เสียก่อนว่า ท่านตายอย่างไหน?

ส่วนผู้ยังไม่เป็นพระอรหันต์ เหลือเชื้อกิเลสอยู่ ยังต้องเวียนวนวัฏสงสารไปตามยถากรรม.

- พุทธบุตร ลูกหม้ออโศก -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


- สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ

พรรษาแห่งการเอื้ออาทร
เพื่อพัฒนาตน...เราจะละอะไร

เข้าพรรษาปีนี้เป็นพรรษาที่ ๓๓ ของพ่อท่าน ก่อนรายชื่อจำพรรษาจะออก สมณะเดินดิน ติกขวีโร ซึ่งรับหน้าที่จัดรายชื่อ การจำพรรษา ของสมณะและ สิกขมาตุแทนพ่อท่านมา ๒-๓ พรรษาแล้ว ได้ฝากเรียนถาม..พ่อท่านจะจำพรรษาที่ไหน? เหมือนเปิดโอกาส ให้พ่อท่านเลือกจำพรรษาที่อื่นก็ได้ อาจเป็น เพราะเห็นว่า งานที่ราชธานีอโศกนิ่งแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่พ่อท่านเห็นว่า ราชธานีอโศก ยังมีหลายสิ่งที่ยังต้องดู จึงยังคงจำพรรษา ที่ราชธานีอโศกต่อ

การเข้าพรรษา ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมที่ผู้ปฏิบัติธรรมนิยมตั้ง "ตบะ" หรือตั้งสัจจาธิษฐาน เพื่อลดละเลิก ในสิ่งที่ตน ติดยึด ตามแต่ที่แต่ละคน จะมีอินทรีย์พละ หรือเท่าที่ตนจะมีศรัทธา และปัญญาที่จะทำ

ได้ยินว่าพรรษานี้มีผู้เสนอให้นายกฯและครม.เขียนปฏิญาณตนร่วมโครงการรณรงค์ "งดเหล้าเข้าพรรษา" เพื่อเป็นตัวอย่างนำ ในการปลุก กระแสสังคม ให้มีการลดละลงมาบ้าง ขณะเขียนต้นฉบับนี้ยังไม่ทราบผลว่านายกฯ และครม.จะตอบรับแค่ไหน ถ้าตอบรับ ๑๐๐ % ก็ต้องสาธุการอย่างยิ่ง ด้วยยังไม่เคยมีรัฐบาลไหนคิดและทำเช่นนี้มาก่อน ไม่ว่าผล จะเป็นเช่นใด ก็นับเป็น นิมิตที่ดี ของสังคม

สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ พูดถึงการตั้ง "ตบะ"ของท่านว่า..ในขณะเทศน์จะไม่เอามือเกาในที่ส่วนไหนๆ ของร่างกาย ถ้าเผลอเกา จะลงโทษตนเอง ด้วยการฉันข้าวเปล่า

สมณะกล้าตาย ปพโล เทศน์ (๗ ก.ค.) ให้นักเรียน สส.สอ.ได้รู้ถึงการตั้ง "ตบะ" และแนะนำ..บางคนอาจจะตั้งว่า จะกินอาหาร ให้หมด ไม่เหลือทิ้ง หรือไม่กินจุบจิบ หรือมองตน ไม่เพ่งโทษใคร..ฯ

สมณะสยาม สัจจญาโณ ที่เพิ่งจะบวช (๗ ก.ค.) กล่าวถึงถ้อยคำและ บทกวีต่างๆที่ท่านได้นำมาใช้ในชีวิต เช่นถ้อยคำ ที่พ่อท่านใช้ ขณะเทศน์ว่า "ใครเขาจะว่าเราถูกเราผิด เราไม่มีสิทธิ์ โกรธเขา" คำกล่าวนี้ ถ้าใครจะนำมาใช้ เป็นกรรมฐาน หรือตั้งเป็น "ตบะ" เตือนใจตน ก็ได้เหมือนกัน

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เคยพูดถึงความติดของตน...มะพร้าวน้ำหอมและทุเรียน จึงงดกิน จากคำกล่าวนี้ ส่งผลให้ผู้เขียน ได้ตั้ง "ตบะ" ทุเรียน.. ไอศกรีม.. ขนมเค้ก..นมวัว.. ขอเวรมณีตลอดชีวิต

การตั้ง "ตบะ" ของแต่ละคนจึงมีจุดของแรงบันดาลใจที่ต่างๆกันไป บางคนก็เกิดจากการฟัง.. บ้างก็เกิดจากการอ่าน.. บ้างก็เกิดจากการเห็นพฤติกรรม หรือเหตุการณ์ หรือคำความใด แล้วทำให้เกิดความคิด ที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม.. เปลี่ยนแปลง จิตวิญญาณตนเอง การตั้ง "ตบะ" จึงเกิดขึ้น

"ตบะ" จากกรณีไม้กฤษณา จากการที่มีการปลุกกระแสปลูกไม้กฤษณา เผยแพร่ไปยังเครือข่ายชาวอโศก และเกษตรกร ที่มาอบรม ด้วยเหตุผลว่า ได้ราคาดี ตลาดต่างประเทศกำลังต้องการ อีกทั้งเป็นการปลูกป่า ทำให้พ่อท่าน ต้องเรียกประชุม เพื่อหาข้อสรุป แล้วรีบเทศน์ (๒๕ พ.ค.) เพื่อส่งข่าวไปยังเครือข่ายต่างๆ..ขอให้ระงับ การแพร่กระจาย ในหมู่ชาวอโศกไว้ก่อน ส่วนชาวอโศก ที่ปลุกกระแสในเรื่องนี้ จะทำต่อกับชาวบ้านทั่วๆไป ก็แล้วแต่ เท่าที่ฟังถึงเหตุผลที่ให้ระงับ ก็พอสรุปความได้ว่า

๑) การ "เห็นเงินตาโต" ถือเป็นโรคซาร์สของชาวอโศก ขัดต่อหลักการบุญนิยม
๒) คุณสมบัติของไม้กฤษณา ที่ถูกนำไปใช้ในการกระตุ้นอารมณ์เพศ เป็นสิ่งที่ขัดกับหลักคำสอน ของพระพุทธศาสนา *
๓) การปลุกกระแส เผยแพร่เรื่องนี้ ยังเป็นที่เคลือบแคลงในความบริสุทธิ์ใจ ผลที่คาดว่าจะได้นั้น จริงหรือไม่? ผลประโยชน์ ที่เกิดขึ้น จะเป็นของประชาชน ประเทศชาติจริงหรือ? หรือเป็นกลุ่ม ทุนนิยม แอบแฝงมา ในรูปผลประโยชน์ ของประชาชน และ ประเทศชาติ

พ่อท่านให้น้ำหนักที่ข้อ ๑ มากที่สุด แค่ข้อนี้ข้อเดียวก็สมควรระงับ ข้อ๒ ยังรองลงมา ส่วนข้อ ๓ นั้นพวกเราช่วย กันมองเอง พ่อท่านไม่เกี่ยว และยังไม่ได้สรุปว่า จะเป็นกลุ่มทุนนิยมแอบแฝงจริงๆ

สิ่งที่น่าจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ที่จะนำมาสัมพันธ์กับ "ตบะ" เข้าพรรษา ก็คือ

๑. กิจกรรมการงานใดที่ทำแล้วเข้าข่าย "เห็นเงินตาโต" ก็น่าจะลดๆละๆ ถือเป็นน้องๆโรคซาร์ส ของชาวอโศก (เสริมนิดหนึ่ง... ๓๐มิ.ย.ที่ผ่านมามีการประชุมพาณิชย์บุญนิยม เพื่อหาข้อสรุป ในการพิมพ์ราคาส่ง ไม่เกิน...บาท ลงบนฉลาก ของผลิตภัณฑ์ ชาวอโศก เพื่อเป็น การคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ให้ถูกเอาเปรียบ จากพ่อค้ามากเกินไป แม้ยอดจำหน่าย อาจลดลง ด้วยพ่อค้า หันไปซื้อผลิตภัณฑ์ จากแหล่งอื่น ที่ไม่ปิดกั้น การตั้งราคาขาย ของเขา นี้ถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ ที่ยังไม่เคยมี ผู้ผลิตรายใด ระบุราคาส่งไม่เกิน...? ลงบนฉลากผลิตภัณฑ์ของตน... นับเป็นตัวอย่างหนึ่ง ของการลดละ การ"เห็นเงินตาโต")

๒. กลิ่นหอมใดๆ พรรษานี้จะเวรมณี คืองดเว้น ลดละเลิกให้ได้

๓. ลดละเลิกพฤติกรรมที่แอบแฝงมีเล่ห์เหลี่ยมทุกชนิด

ทั้งสามข้อข้างต้นนี้ หลายคนอาจจะปฏิบัติอยู่แล้วเป็นปกติก็ข้ามผ่านไปตั้ง "ตบะ" ในเรื่องอื่นๆแทน ให้เหมาะสมกับ สักกาย และอินทรีย์พละ ของตน

หลายคนอาจจะไม่คิดตั้ง "ตบะ" ใดๆ แต่ก็อยากจะมีจิตใจเจริญในกุศลธรรมเหมือนกัน แล้วจะทำอย่างไรดี ถ้าไม่รู้.. จะบอกให้ ... ทำวัตรเช้าวันเสาร์ ๕ ก.ค. ที่ผ่านมา พ่อท่านได้นำเอาพระสูตรมาอ่านอธิบาย... อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ที่ทำให้ จิตของเรา ไม่แล่นไป... พิจารณาให้มาก จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้จิตของเราแล่นไป รายละเอียด คงต้องไปหาเท็ป ฟังกันเอง โดยสรุปก็คือ เมื่อเราไม่คิดจะตั้ง "ตบะ" แต่ก็อยากจะเจริญ ก็ต้องพิจารณาให้มากๆ ในข้อปฏิบัติต่างๆ ที่ต้องทำอยู่แล้ว

นอกจากนี้การแสดงธรรมก่อนฉันวันอาทิตย์ ๖ ก.ค. ช่วงท้ายมีผู้ถามถึงการพิจารณาอาหารทำอย่างไร? พ่อท่าน อธิบายคร่าวๆว่า
๑.ให้พิจารณาถึงความเป็นธรรมดาของ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
๒.ให้พิจารณาถึงความเป็นธรรมดาโดยความเป็นธาตุ
๓.ให้พิจารณาถึงความเป็นธรรมดาในอนุพยัญชนะ
๔.ให้พิจารณาในหลักโภชเนมัตตัญญุตากินแต่น้อย ให้ท้องพร่องไว้
- ผู้สนใจรายละเอียดหาเท็ปฟังได้

๒ ก.ค.ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปร่วมงานเผาศพโยมพ่อของสมณะเด็ดขาด จิตตสันโต ที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ พระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อปัญญาฯ) ได้มาเป็นประธานประชุมเพลิง พ่อท่าน ได้มีโอกาสนมัสการ และ นั่งสนทนาด้วย

ก่อนจะกลับ พ่อท่านได้นมัสการลา หลวงพ่อปัญญาฯ ประณมมือรับนมัสการ แล้วบอก... เอาไว้ว่างๆ จะไปเยี่ยม...

พ่อท่าน...แหม ยินดีเลยครับ นับเป็นความกรุณา จะไปที่ไหน? ปฐมอโศกหรือสันติอโศก จะไปเมื่อไหร่ จะได้มารับครับ...

ขณะพ่อท่านขยับตัวจะกลับ หลวงพ่อปัญญาฯ กล่าวอนุโมทนาสุดท้ายก่อนจาก...ได้อ่านหนังสือที่ส่งมา อนุโมทนาด้วย ในกิจกรรมต่างๆที่ได้ทำ

คำว่า "เอาไว้ว่างๆจะไปเยี่ยม" ที่หลวงพ่อปัญญาฯพูดนั้น ฟังแล้วดูดี ดูเป็นการพูดอย่างมีไมตรี ญาติดี มีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ให้ความรู้สึก อบอุ่น สนิทสนม ตอนแรก ผู้เขียนเข้าใจว่า เป็นการพูดที่บอกถึงใจที่ดีต่อกันเท่านั้น จริงๆแล้ว หลวงพ่อปัญญาฯ คงไปไหน ไม่ไหวหรอก ก็ขนาดจากกุฏิมาเมรุ ยังต้อง นั่งรถให้พระที่ดูแลช่วยเข็นมาให้เลย จะเดินก็ต้องคอยประคอง จะวางดอกไม้จันทน์ มือก็สั่นๆ แต่ตาหูยังดีไม่ต้อง ใส่แว่น ทั้งๆที่อายุ ๙๒ ปีแล้ว

มาทราบภายหลังจากท่านจันทร์ว่า หลวงพ่อปัญญาฯ และท่านจันทร์จะไปเทศน์ ที่วัดป่าธรรมดา นครราชสีมา ๘ ก.ค.นี้ เนื่องในวัน พุทธทาสรำลึก นี้ก็แสดงว่า หลวงพ่อปัญญาฯ ยังคงไปไหนๆได้ ไม่ถึงกับลำบาก อย่างที่ผู้เขียนคาด ถ้าอย่างนั้น คำกล่าวที่ว่า "เอาไว้ว่างๆจะไปเยี่ยม" มีโอกาสเป็นจริงได้

"เอาไว้ว่างๆจะไปเยี่ยม" ถือเป็นถ้อยคำมงคลที่บ่งบอกถึงความรัก..ระลึกถึงกัน..เอื้ออาทรต่อกัน ใครคิดไม่ออกว่าจะตั้ง "ตบะ" อะไรดี จะนำถ้อยคำ นี้เอาไปเป็น "ตบะ" ก็ได้ ถ้าใช้กับผู้มีบุญคุณ..ผู้ที่เราศรัทธา..ผู้ที่เราคุ้นเคยสนิทสนม ก็นับว่ามี "น้ำใจ" ยิ่งแล้ว แต่ถ้าสามารถนำไปใช้กับ ผู้ที่เราไม่ชอบหน้า หรือกับผู้ที่เขาไม่ชอบหน้าเรา ก็นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งกว่า... ผู้เขียน ก็จะพยายาม

สุดท้ายนี้สำหรับผู้ที่ "ตบะ" ใดๆ ก็ไม่คิดจะตั้ง...พิจารณาให้มาก ก็ไม่สน... ไม่มีแม้เพียงความคิด ที่จะพัฒนาตนใดๆ ไม่ว่าจะพรรษานี้ หรือพรรษาไหนๆ ระวัง !..จะเป็น "เศษสวะของวัฏสงสาร".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ญาติธรรมโรงสีขอนแก่นขอเข้าคอร์สมหัศจรรย์
ได้พลังรวมของกลุ่มคืน

ได้ชื่อรุ่นสลายอัตตาพัฒนาแก่น
รู้วิธีทำงานอย่างไม่หลงงาน

ค่ายมหัศจรรย์ รุ่นที่ ๙๐ ณ เมืองดอกคูณเสียงแคน กลุ่มแก่นอโศก เมื่อวันที่ ๒๗-๒๙ มิ.ย.๔๖

แม้ว่าระยะเวลาจะสั้นมาก แต่ ค่ายมหัศจรรย์ก็ยังคงความมหัศจรรย์อยู่เช่นเดิม

ค่ายมหัศจรรย์รุ่นที่ ๙๐ ซึ่งได้ชื่อรุ่นว่า สลายอัตตา พัฒนาแก่น เริ่มขึ้นในเย็นวันที่ ๒๗ มิ.ย.๔๖ ณ ศูนย์ฝึกอบรม กสิกรรม ไร้สารพิษ แห่งประเทศไทย สาขาขอนแก่น โดยมีญาติธรรมในกลุ่มแก่นอโศกเข้าร่วม ๒๕ คน ผู้สังเกตการณ์ ๓ คน โดยมี สมณะ ๕ รูป เป็นประธานจัดการอบรม คือ สมณะโพธิสิทธิ์ โพธิสิทโธ สมณะหินเพชร ธัมมธีโร สมณะแก่นหล้า วัฑฒโน สมณะธาตุดิน ปฐวีรโส และสมณะปองสูญ โฆสิตธัมโม

หลักการของหลักสูตรนี้ง่ายๆ มี ๔ ประการ คือ

๑. ให้เวลากัน ๒. เข้าใจกัน ๓. ไม่ถือสากัน ๔. ไม่ทำอะไรตามภพของตัวเอง

ซึ่งหัวใจของหลักสูตรนี้คือ การมองตน

สำหรับหลักปฏิบัติเบื้องต้น ดังนี้

๑. สร้างจิตยินดีเสมอๆ
๒.ระลึกถึงศีลเสมอๆ พยายามทำขณะให้ต่อเนื่องทุกขณะจิต และให้ระวังสังวร ทำอธิศีลของศีลข้อ ๔ อย่างเคร่งครัด อีก ๗ ข้อ ซึ่งการปฏิบัติตามหลักการ ของหลักสูตรนี้ ตลอด ๓ วัน ยังผลให้เกิดบรรยากาศที่อบอุ่น ราบรื่น เรียบร้อย ให้หมู่ญาติธรรม ฟื้นฟูพลังรวม ของหมู่กลุ่ม ได้เป็นอย่างดี

สำหรับหลักอธิศีลของศีลข้อ ๔ มีดังนี้
๑. ไม่แนะนำสั่งสอนใคร ยกเว้นเขาปรารถนาให้โอกาสหรือขออนุญาต
๒. ไม่พูดความไม่ดีของผู้อื่น ยกเว้นความไม่ดีของตัวเอง
๓. ไม่พูดความดีของตัวเอง อย่าด่วนชี้แจง
๔. ไม่รีบด่วนปฏิเสธ แต่รับไว้พิจารณาก่อน
๕. ไม่ถกเถียง เอาชนะคะคานใคร สงบเสงี่ยมเจียมตน
๖. ไม่ด่วนสรุปกิเลสของผู้อื่น ยกเว้นกิเลสของตัวเอง
๗. ไม่พูดประชดประชัน กระแทกแดกดันใคร

ส่วนบรรยากาศของค่าย เต็มไปด้วยความอบอุ่น การช่วยเหลือเกื้อกูล ชื่นมื่น ปีติยินดี ยิ้มแย้มแจ่มใส เข้าอกเข้าใจกัน บรรลุเป้าหมาย ของหลักสูตร เป็นอย่างดี

ญาติธรรมในกลุ่มทุกคนที่เข้าร่วมการอบรม ต่างก็ตั้งจิตปวารณา ที่จะแก้ไขข้อบกพร่อง ของตัวเอง เพื่อความเจริญ ของหมู่กลุ่ม ด้วยความเข้าใจชัดเจน ในหลักการปฏิบัติธรรม อย่างแท้จริง และตั้งใจที่จะทำให้ต่อเนื่อง ภายในกลุ่ม ตลอดไป

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ๑ สมณะบินบน ถิรจิตโต ที่กรุณาอนุญาตให้เกิด ค่ายมหัศจรรย์ ครั้งที่ ๙๐ นี้ กราบขอบพระคุณ สมณะนวกะ ทั้ง ๕ รูป ที่สละเวลา และเอาภาระ อำนวยการอบรม ตลอดการอบรม

การอบรมบ่มเพาะจิตวิญญาณตามหลักการของค่ายนี้นับว่า ทรงคุณค่าต่อพัฒนาจิตวิญญาณ เป็นอย่างยิ่ง และเชื่อมั่น เหลือเกินว่า หลักสูตรนี้จะเป็นคำตอบ ให้กับญาติธรรมชาวอโศกทุกๆท่านที่กำลังประสบปัญหา ในการปฏิบัติธรรม หรือปัญหา ภายในหมู่กลุ่ม ที่เป็นอยู่

ผู้เข้ารับการอบรม ได้กล่าวถึงประโยชน์ ที่ได้รับจากคอร์สนี้ว่า

นางอภัย(แก่นอภัย) ภักดี "ได้เข้าใจหมู่กลุ่มและไม่ถือสา ได้ความยินดี ระลึกถึงศีล ลมหายใจ และปีติมากขึ้น รู้จักมองทุกอย่าง เป็นธรรมและในแง่บวก คิดให้เป็นสุข ไม่หาทุกข์มาทับถมตนเอง ได้วิชากระโดดเชือก วิชาแม่เหล็ก วิชาเติมเต็ม และ บ้านแสนสุข เข้าใจการปฏิบัติตนให้ช้า สุขุม อ่อนโยน เบิกบาน รู้จักว่าทำดีแล้ว จะต้องไม่คาดหวัง ขอให้ทำให้ดีที่สุด แต่ต้องรู้พัก -รู้เพียร ได้ เข้าใจถึงความสำคัญของการเป็นผู้นำ ผู้ตามและผู้เป็นประธาน และได้ทราบวิธีเติมเต็มศีล ให้กับตัวเอง"

น.ส.แก่นเกื้อ นาวาบุญนิยม "ค่ายมหัศจรรย์ครั้งนี้ นับเป็นความมหัศจรรย์จริงๆ ที่สามารถหล่อหลอม จิตวิญญาณ ของญาติธรรม ในกลุ่ม ได้อย่างดียิ่ง เพราะหลักการ ๔ ข้ออันศักดิ์สิทธิ์ และหลักปฏิบัติเบื้องต้น ที่ฝึกสติ อยู่ตลอดเวลา พาให้เกิดพลังปีติ อย่างมหาศาล ก่อให้เกิดความเข้าอกเข้าใจ ซึ่งกันและกัน ด้วยความเมตตากรุณา ของหมู่สมณะ ทุกรูป

ดิฉันรู้สึกมั่นใจในการที่จะฝึกสติ ปัฏฐานให้ต่อเนื่อง และยินดีที่จะปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง ให้ถึงที่สุด ในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะ พื้นฐาน ของการปฏิบัติธรรม หลักอปัณกธรรม ๓ กิน-อยู่-หลับนอน และ หลักสัมมาอริยมรรคมีองค์ ๘

อธิศีลของศีลข้อ ๔ ทั้ง ๗ ข้อนั้น ช่วยให้บรรยากาศของการอยู่ร่วมกันของญาติธรรมนั้นราบรื่น เรียบร้อย ชื่นมื่น ดีเหลือเกิน พลังรวม ของกลุ่มที่หายไปนั้น กลับคืนมาแล้ว ณ วันนี้

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ๑ และสมณะทุกรูป ที่ได้ช่วยเมตตา สละเวลาให้ญาติโยม ในครั้งนี้"

นางเสงี่ยม ศรีบุญโฮม "ได้เข้าใจศีล อธิศีล สมาธิ และความหมายของคำว่า 'ฌาน' มีความยินดีและตั้งใจ ที่จะปฏิบัติ ตลอดไป และยังได้รับการชี้ขุมทรัพย์ จากหมู่กลุ่ม ในเรื่องการพูดไม่เพราะ และการทำงานมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ เสียสุขภาพ ได้ทราบสภาวะการยึดดีถือดี และได้แนวทางลดกิเลสด้วย ได้ข้อคิด ที่จะอยู่ร่วมหมู่กลุ่ม และได้ทราบชัด ในการทำบุญ เป็นอย่างไร"

น.ส.อุมาพร (แก่นนวล) อีศาสตร์ "ได้ฝึกเพ่งเพียรเกี่ยวกับพฤติกรรมของตนเอง ในฐานะนักปฏิบัติธรรม ได้รู้จัก เพื่อนที่แสนดี ว่าเป็น ผีร้าย นั่นก็คือ ตัวอัตตามานะ ตัวยึดดี รักศักดิ์ศรี และได้สติเริ่มต้นที่จะ 'จัดการ' มันซะด้วย ตัวยอม ตัวเมตตา และ การเพิ่มอธิศีล นอกจากนี้ ยังได้เพ่งเพียรศีลข้อ ๔ โดยการ คิดก่อนพูด ตั้งใจตั้งสติ ก่อนจะเปล่งเสียง เพื่อให้สำนวน และน้ำเสียงไพเราะ เหมาะควรกับกาละเทศะ ที่โลกสมมุติ และยังได้ชื่นชมบารมี ของสมณะ ที่เอาภาระ ทุกๆท่าน และยินดีที่ตนเอง ได้สะสมบุญกุศล เพิ่มขึ้นด้วย".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สัจธรรมชีวิต นำชีวิตที่ดีกว่า
ลุงตุ้ม ศรีทอง เกษตรกรคนเก่ง

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

ลุงตุ้ม ทำนา ๒๐ ไร่ ปลูกมันสำปะหลัง ๓๐ ไร่ และข้าวโพด ๑๐ ไร่ โดยอาศัยแรงงานจากสมาชิกในครอบครัว ซึ่งในปีนี้ ได้ผลผลิต มากกว่าทุกปี ทั้งนี้ ลุงตุ้มบอกว่า ได้สมัครเข้าอบรม โครงการสัจธรรมชีวิต ของ ธ.ก.ส. ซึ่งจัดอบรมที่ ชุมชน สีมาอโศก อ.เมือง จ.นครราชสีมา รุ่นที่ ๑๒

เมื่ออบรมเสร็จสามารถนำมาปฏิบัติตาม จนเกิดประโยชน์ได้ผลจริง คือ การลด ต้นทุนการผลิต โดยใช้พืชจากธรรมชาติ รอบตัว ที่มีอยู่ นำมาหมักทำเป็นน้ำหมักชีวภาพ ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพ คือใช้ปรับปรุงโครงสร้างดิน เป็นหัวเชื้อ ทำปุ๋ยหมัก เร่งให้พืชเจริญเติบโตแข็งแรง ออกดอก ให้ผลสมบูรณ์ ต้านทานโรคและแมลง ทำให้ไม่ต้องพึ่งปุ๋ยเคมีอีกต่อไป ซึ่งน้ำหมัก ชีวภาพนี้ จะมี ๒ ชนิดคือ น้ำหวานหมักจากพืชสดสีเขียว ซึ่งเรียกว่า "น้ำแม่" และน้ำหวานหมักจากผลไม้ ซึ่งเรียกว่า "น้ำพ่อ" เพื่อประโยชน์สูงสุด จะต้องใช้น้ำแม่และน้ำพ่อ ผสมรวมกัน เพราะน้ำหวานหมักทั้ง ๒ ชนิดให้ผลดีต่างกัน สำหรับขั้นตอน การทำน้ำหวานหมัก จากพืชสดสีเขียว เริ่มจากเตรียมส่วนประกอบคือ ผักบุ้ง ๒ กิโลกรัม หน่อไม้ ๒ กิโลกรัม หน่อกล้วย ๒ กิโลกรัม และน้ำตาลทรายอ้อย หรือกากน้ำตาล ๓ กิโลกรัม จากนั้น นำผักบุ้ง หน่อไม้ และหน่อกล้วย ที่ไม่ต้องล้างน้ำ มาหั่นให้ได้ขนาด ๓-๕ เซนติเมตร นำไปคลุกเคล้า ให้เข้ากันกับน้ำตาลทรายอ้อย ในกะละมัง แล้วนำไปบรรจุ ในถังพลาสติก เติมน้ำลงไป ๕ ส่วน ระวังอย่าให้เต็มถัง ควรต่ำกว่าฝาถัง ๑ ฝ่ามือ ปิดปากถังให้สนิท หมักทิ้งไว้ในร่ม อย่าให้ถูกแดด เป็นเวลา ๗-๑๕ วัน เวลาจะใช้ ให้นำน้ำหวาน หมัก ๓ ช้อนแกงต่อน้ำ ๑ ปี๊บ (๒๐ ลิตร) ฉีดรดพืชที่ปลูก ประโยชน์ของ น้ำหวานหมัก ชนิดนี้ จะช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน ใช้บำบัดน้ำเสีย เป็นหัวเชื้อทำปุ๋ยหมัก เร่งให้พืช เจริญเติบโต แข็งแรง ต้านทานโรค และแมลง อีกทั้งยังช่วยสร้างสีเขียว ให้กับพืชที่ปลูกด้วย

สำหรับวันนี้คงเล่าได้เฉพาะขั้นตอนการทำน้ำหวานหมักจากพืชสดเท่านั้น ส่วนขั้นตอนการทำน้ำหวานหมัก จากผลไม้ หรือ น้ำพ่อ มีขั้นตอนการทำ วิธีใช้และมีประโยชน์อย่างไร คงต้องรบกวนให้คุณผู้อ่านติดต่อสอบถามกับลุงตุ้มเอง ที่ ๑๒๕ หมู่ ๕ บ้าน สระพัง ต.บ้านเก่า อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ๓๐๒๑๐ โทรศัพท์ ๐-๙๘๑๙-๓๔๕๖ เพราะหน้ากระดาษ ไม่เอื้ออำนวย.

(จาก น.ส.พ.เดลินิวส์ ๒๐ เม.ย. ๔๖)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษแห่งประเทศไทย (คกร.)
ร่วมสัมมนา GMOS กับกลุ่มกรีนพีซ
ผลกระทบต่อระบบนิเวศและปนเปื้อน มะละกอจีเอ็มโอ

บทเรียนจากฮาวายสู่เกษตรกรไทย

เกษตรกรฮาวายแฉ มะละกอจีเอ็มโอเป็นหายนะของฮาวาย ทำให้เกษตรกรสูญเสียตลาด เกิดการปนเปื้อน ไปทั่วทั้งเกาะ และเก็บรักษา เมล็ดพันธุ์ไว้ไม่ได้ เตือนไทยอย่าหลงเชื่อคำโฆษณา ที่เคยหลอกคนฮาวายมาแล้ว พร้อมแนะ การเกษตร แบบผสมผสาน เป็นทางเลือกที่ยั่งยืน และแก้ปัญหา ไวรัสจุดด่างวงแหวน ได้ชะงัด นักวิทยาศาสตร์กรีนพีซเสริม มะละกอ จีเอ็มโอ อาจทำให้ไวรัส เปลี่ยนแปลงไป เกิดความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๖ เวลา ๑๐.๓๐ - ๑๒.๔๕ น. กลุ่มกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดการสัมมนา เรื่อง "มะละกอจีเอ็มโอ บทเรียนจากฮาวายสู่เกษตรกรไทย" ขึ้นที่ห้องประชุมชั้น ๒ สถาบันวิจัย และพัฒนาอัญมณี และเครื่องประดับ แห่งชาติ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับวิทยากรรับเชิญ ที่มาบรรยาย มีทั้งหมด ๓ ท่าน คือ ดร.เจเน็ต คอตเตอร์ นักวิทยาศาสตร์กรีนพีซ จากมหาวิทยาลัยเอ็กซีเตอร์ อังกฤษ คุณเมลานี บอนเดอรา เกษตรกร ที่ทำการเกษตรยั่งยืน และสมาชิกเครือข่าย รณรงค์ต่อต้านจีเอ็มโอของฮาวาย (ไฮ-ยีน) และคุณจอน บิลูน เกษตรกรฮาวาย โดยมี คุณวรุณวาร สว่างโสภากุล เจ้าหน้าที่รณรงค์กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำหน้าที่ล่าม

ผู้เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้มีมากกว่า ๕๐ ท่าน โดยมีคุณธำรงค์ แสงสุริยจันทร์ และคุณวิศิษฏ์ จิตตนุปัสน์ ร่วมสัมมนา ในฐานะตัวแทน เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษแห่งประเทศไทย (คกร.) รวมอยู่ด้วย จีเอ็มโอ หรือ GMOs ย่อมาจากคำว่า Genetically Modified Organisms หมายถึงสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ที่เกิดจากการตัดเอายีน ของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง มายิงเข้าไปในยีน ของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งปกติไม่เคยผสมพันธุ์กันได้ในธรรมชาติ เพื่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ที่มีคุณลักษณะ ตามต้องการ ดร.เจเน็ต ได้ให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับความเสี่ยง ต่อระบบนิเวศวิทยา และสุขภาพของ มะละกอจีเอ็มโอว่า "ข้อเท็จจริงก็คือ จีเอ็มโอ เป็นเทคโนโลยี ที่ไม่ผ่านการพิสูจน์ ทางวิทยาศาสตร์ อาจส่งผลกระทบ ที่ไม่สามารถ คาดการณ์ได้ว่า สามารถต้านทานไวรัสจุดด่างวงแหวนได้อย่างไร มีผลกระทบระยะยาวหรือไม่ ในด้านสุขภาพ มะละกอจีเอ็มโอ อาจก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ ชนิดใหม่ๆ หรือ การดื้อยาปฏิชีวนะได้"

นอกจากนั้นยังกล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่มีมะละกอจีเอ็มโอก็เนื่องจาก โรคไวรัสจุดด่างวงแหวน (PRSV) ส่งผลกระทบ ต่อสวนมะละกอ ในฮาวาย ฟลอริดา ทวีปอเมริกาใต้ ฯลฯ จึงเกิดการตัดต่อยีน เพื่อให้สามารถต้านทานโรคได้

ฮาวายปลูกมะละกอจีเอ็มโอมา ๔-๕ ปีแล้ว และมีผู้แนะนำว่า ประเทศไทยควรปลูก มะละกอจีเอ็มโอ ไม่สามารถ คาดการณ์ ล่วงหน้าได้ เนื่องจากประเทศไทย มีไวรัสจุดด่างวงแหวน หลากหลายสายพันธุ์ การพัฒนามีขึ้นในประเทศไทย ที่ห้องปฏิบัติการ ที่แยกเฉพาะ ต่างกับมะละกอในฮาวาย ดังนั้นจึงไม่สามารถรับรอง ความปลอดภัยต่างๆ กับมะละกอจีเอ็มโอ ในประเทศไทย อาจทำให้เกิด ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือ อาจมีปฏิสัมพันธ์กับ ไวรัสอื่นๆ จนทำให้เกิด ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆขึ้นมา หรือ เปลี่ยนแปลง สำคัญๆ อาจน่ากลัวกว่าฮาวาย เนื่องจากนิยมรับประทานส้มตำ และมะละกอ ซึ่งปลูกได้ทุกหนทุกแห่ง

ด้านเมลานี บอนเดอรา เกษตรกรที่ทำการเกษตรยั่งยืนและสมาชิกเครือข่ายรณรงค์ต่อต้านจีเอ็มโอ ของฮาวาย (ไฮ-ยีน) เล่าถึง สถานการณ์ ปลูกมะละกอจีเอ็มโอ ในหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกว่า "ตอนที่เริ่มมีมะละกอจีเอ็มโอ ในฮาวาย เมื่อ ๕ ปีก่อน เขาโฆษณาว่า เป็น วิธีแก้ปัญหาไวรัสจุดด่าง แต่กลับสร้างปัญหา ทางเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม หลังจากมะละกอจีเอ็มโอ ออกสู่ท้องตลาดครั้งแรก เมื่อปี ๒๕๔๒ ตลาดหลายประเทศ ปฏิเสธการรับซื้อมะละกอจีเอ็มโอ ทำให้ประสบปัญหา อย่างมาก ราคาต่ำกว่าท้องตลาด ๓๐-๔๐ % ต่างกับมะละกออินทรีย์ และไม่ใช้สารเคมีถึง ๖๐๐ % นอกจากนั้น ยังพบว่า มะละกอ จีเอ็มโอ ของฮาวาย ที่ได้ชื่อว่า พันธุ์ซันอัพ ติดเชื้อราและโรคอื่นๆ เช่น เชื้อราจุดดำ ได้ง่ายกว่า ซึ่งการค้นพบนี้ เกิดขึ้น ๕ ปี หลังจากมะละกอจีเอ็มโอ ได้รับอนุมัติให้ปลูก เพื่อการค้าแล้ว ปัจจุบันเกษตรกรต้องฉีดยาสารเคมีทุกๆ ๑๐ วัน เพื่อกำจัด เชื้อรา ให้มะละกอจีเอ็มโอ

เมลานีบรรยายต่อว่า เกษตรกรที่ทำการเกษตรอินทรีย์รู้สึกโกรธ และไม่พอใจ ที่พวกเขาต้องถูกบังคับ ให้ตัดต้นมะละกอ ทิ้งทั้งหมด เพราะมีมะละกอจีเอ็มโอ ปะปนอยู่ และอาจมีการผสมข้ามพันธุ์เกิดขึ้น ทั้งๆที่พวกเขา ไม่เคยต้องการ ปลูกมะละกอ จีเอ็มโอเลย เมล็ดพันธุ์มะละกอจีเอ็มโอ แแพร่กระจาย ไปผสมปนเป กับเมล็ดพันธุ์ปกติ จนไม่รู้อะไรเป็นอะไร อีกทั้งการผสม เกสรข้ามพันธุ์ ที่เกิดขึ้น อย่างกว้างขวาง ทำให้ผลผลิต ของมะละกอ ปลอดจีเอ็มโอ กลายเป็นจีเอ็มโอโดยไม่รู้ตัว"

ส่วน จอน บิลูน เกษตรกรฮาวายอีกท่านหนึ่ง ที่เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ ให้ความรู้ว่า "ตลอดเวลา ๓๐ กว่าปี ที่ผมทำเกษตร แบบยั่งยืน ในเกาะบิ๊กส์ไอส์แลนด์ ผมไม่เคยเห็นว่า เราจำเป็นต้องพึ่ง มะละกอจีเอ็มโอเลย" และยังมีวิธีจัดการกับ ไวรัสจุดด่างวงแหวน จอนพัฒนาระบบเกษตรอินทรีย์ขึ้นมา ด้วยวิธีการที่ยั่งยืนนี้ ในไร่ของเขา มีมะละกอ อายุ ๘ ปี ยังอุดมสมบูรณ์ และให้ผลผลิตดีอยู่ สามารถปลูกรุ่นใหม่ๆ ลงในที่เดิม โดยไม่ต้องย้ายที่ปลูก นอกจากนั้น ยังได้แนะนำ เกษตรกร ให้ทำการเกษตรแบบ ยั่งยืนอีกด้วย

"นักวิจัยบอกว่า ทำมะละกอพันธุ์ไทยๆสำเร็จ และพร้อมปลูกเพื่อการค้า ขณะนี้ทำการทดลอง ในระดับไร่นา ที่เปิดโล่งอยู่ แต่ประสบการณ์ จากฮาวาย แสดงให้เห็นว่า จีเอ็มโอ ส่งผลกระทบ ต่อระบบนิเวศ และปนเปื้อน โดยไม่มีทางรู้ และ ไม่มีทางควบคุม หายนะเกิดขึ้นในฮาวาย ประเทศไทยจึงไม่ควรเลียนแบบ เพราะเป็นพื้นที่เปิด และควบคุมไม่ได้ ส่งผลเสีย ต่อการเกษตร สิ่งแวดล้อม และระบบเศรษฐกิจ ถ้าหลุดไปอยู่ในส้มตำ ผู้บริโภค จะไม่มีวันได้รู้ เพราะกฎการติดฉลาก ไม่มีการครอบคลุม มะละกอจีเอ็มโอ ถึงเวลาแล้ว ที่เกษตรก รและผู้บริโภค ชาวไทย ควรออกมาแสดงสิทธิ์ ที่จะปฏิเสธ มะละกอจีเอ็มโอ ก่อนที่จะสายเกินไป" วรุณวาร กล่าวทิ้งท้าย

การสัมมนาดำเนินไป จนกระทั่งเวลา ๑๒.๓๐ น. จึงได้ยุติ และพักรับประทานอาหารกลางวัน ที่จัดไว้ที่ชั้น ๑ โดยมี อาหารมังสวิรัติ สำหรับเลี้ยงผู้ร่วมสัมมนา ที่ต้องการบริโภคโดยเฉพาะ ด้านคุณจอน บิลูน ซึ่งบริโภคอาหารมังสวิรัติ และเจ้าหน้าที่ กรีนพีซบางท่าน ได้ร่วม รับประทานอาหารกับ ผู้ร่วมสัมมนา จากสันติอโศกด้วย.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ผลักดัน 'วันเข้าพรรษา' เป็น 'วันงดดื่มสุราแห่งชาติ' ปี'๔๗

นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข น.พ.จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต จากเสถียรธรรมสถาน และผู้บริหารห้างสรรพสินค้า เซเว่น-อีเลฟเว่น เทสโก้ โลตัส บิ๊กซี คาร์ฟูร์ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต และแม็คโคร รวมทั้งศิลปิน-ดารา จากค่ายแกรมมี่ และอาร์เอส.โปรโมชั่น ร่วมกันแถลงข่าว เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อรณรงค์วันเข้าพรรษา เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ใน โครงการ "งดเหล้าเข้าพรรษา" ระหว่างวันที่ ๑๔ กรกฎาคม-๑๐ ตุลาคมนี้

นางสุดารัตน์กล่าวว่าปี ๒๕๔๗ จะผลักดันให้วันเข้าพรรษา เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ โดยจะเปิดรับฟัง ความคิดเห็น ทำประชามติ ผ่านทางสายด่วนอัตโนมัติ ๑๙๐๐-๕๕๕-๕๑๓ ทางโทรศัพท์บ้าน และ ๑๙๐๐-๕๕๕-๕๑๕ ทางโทรศัพท์มือถือ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง และจัดทำบัตรสำรวจ ความคิดเห็นประชาชน ติดตั้งกล่องรับบัตร ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทั่วประเทศ เป็นเวลา ๓ เดือน ก่อนสรุปผลเข้า ครม. เพื่อประกาศใช้ในปี ๒๕๔๗ และห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ ๖ ห้าง พร้อมใจกัน งดจำหน่าย เครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เป็นเวลา ๑ วัน ในวันที่ ๑๔ กรกฎาคมนี้.

(จาก นสพ.มติชนรายวัน วันศุกร์ที่ ๑๑ ก.ค.๔๖)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ไขมันที่เป็นมิตรกับสุขภาพ

ขึ้นชื่อว่า ไขมัน หลายคนคงคิดว่าเป็นศัตรูตัวร้ายที่ทำให้ร่างกายของเราอ้วนฉุ ลงพุง เป็นสาเหตุของไขมัน อุดตันเส้นเลือด ความดันโลหิตสูง แต่ยังมีไขมันบางชนิด ที่เป็นมิตรกับร่างกาย ของเรานะคะ เรามารู้จักไขมัน ทั้งที่เป็นมิตร และเป็นศัตรู กับร่างกายของเรา เลยนะคะ

ไขมันมี ๒ ชนิดคือ ไขมันอิ่มตัว และไขมันไม่อิ่มตัว

ไขมันอิ่มตัว เป็นไขมันชนิดที่ร่างกายของเราสร้างเองได้ ถ้ารับประทานมากเกินไปจะทำให้เกิดคลอเรสเตอรอล ในเลือดสูง เกิดการอุดตันของเส้นเลือด เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ

ไขมันไม่อิ่มตัว มีทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว และกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง

กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว ได้แก่ กรดโอเลอิก เป็นกรดไขมัน ที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ ถ้ารับประทานเข้าไปมาก ก็ไม่ทำให้เกิด โรคหัวใจ มีแนวโน้มที่จะช่วยลดไขมัน ในเลือดได้ เช่น น้ำมันมะกอก ยังเป็นแหล่งที่ดี ของวิตามินอี ซึ่งเป็นสาร ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดมะเร็ง และโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน

ส่วนกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง เป็นกรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหาร

ไขมันที่สำคัญคือ โอเมก้า ๓ และโอเมก้า ๖ ในถั่วนัท ได้แก่ ถั่วอัลมอนด์ วอลนัท พีนัท พีแคน จะมีไขมันไม่อิ่มตัว ตำแหน่งเดียวมาก และในถั่ววอลนัท มีปริมาณโอเมก้า ๓ สูง จะช่วยลดไขมันชนิดเลวได้ และเป็นข่าวร้าย ที่นักวิจัยพบว่า น้ำมันพืช ชนิดที่เรานิยมใช้ ในปัจจุบัน คือ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเมล็ดฝ้าย มีโอเมก้า ๖ มากกว่า โอเมก้า ๓ ซึ่งโอเมก้า ๖ นี้ แม้จะมีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่ถ้ามากเกินไป ก็เป็นต้นเหตุ ของความดันสูง ทำให้เลือด แข็งตัวง่าย ทำให้หัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงเฉียบพลันได้ง่าย และทำให้ร่างกายบวมน้ำ

ค่ะ ถึงแม้เราจำเป็นต้องใช้ไขมันปรุงอาหาร ก็ควรเลือกให้เหมาะสมและพอดี ทางที่ดีเรามาลดอาหารประเภท ผัดๆ ทอดๆ หันมาทานอาหาร ประเภทต้มๆนึ่งๆ แกงส้ม แกงเลียง น้ำพริก ผักสด ผลไม้กันดีกว่านะคะ เพื่อรักษาหลอดเลือด และ หัวใจของเรา.

- กิ่งธรรม รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

รายงานพิเศษ

ความรู้เรื่อง ไม้กฤษณา ของผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม

ความรู้เรื่องไม้กฤษณาผมมีไม่มาก มันเป็นไม้ที่คนพูดถึงมานาน ผมเกิดมาก็ได้ยินคนรุ่นก่อนๆ พูดให้ฟัง แต่เรื่องความรู้ ที่มากถึงขั้น การจัดการกับกฤษณา อาจไม่รู้มากนัก

ความจริงเมืองไทยจะให้ความสำคัญเรื่องการเรียนรู้ในด้านทรัพยากรน้อยไป ถ้าเราจะรู้ด้านที่เป็นเทคโนโลยี ก็เป็นกลุ่มวิชาการ ที่จะทำให้เกิด เป็นธุรกิจ เป็นการเข้าไปผูกขาด เข้าไปคุมมัน เพื่อการให้ได้ประโยชน์ ผมคิดว่ากฤษณา เป็นไม้ที่น่าสนใจ ถ้าดูโดยเนื้อหา ไม้กฤษณา เป็นไม้ที่ต่างจากไม้อื่นตรงที่ มันไม่ได้เป็นแท่งไม้ใหญ่ เหมือนไม้ประดู่ เพราะกฤษณา เป็นไม้ เนื้ออ่อน ถ้าไม่ผุมันจะกลายเป็นแก่น เมื่อมีสารบางชนิดมันลงแก่น เป็นเหมือนการสะสมของหินปูนแข็งขึ้น เป็นสีน้ำตาล จะเป็นตามช่องว่าง จึงเป็นแก่นในลักษณะที่อาจจะคด หรือเป็นกิ่งแขนงไปทั่วหมด ภายในลำต้น

เมื่อเวลาเราเพาะเอาเนื้อไม้ที่แห้ง หรือผุออกไป ก็จะเห็นแก่น และเมื่อเอาไฟจุด จะมีกลิ่นหอม เป็นไม้ที่มีน้ำมันมาก เมื่อกลั่น น้ำมันออกมา น้ำมันนี้จะมีคุณสมบัติพิเศษ นอกจากมีกลิ่นหอมที่ทนมาก มันมีสารที่เรียกว่า สารจับติด ทาตรงไหน ก็จะมีกลิ่นหอม ติดตรงนั้น สารจับติด มีคุณสมบัติพิเศษ กับสิ่งต่างๆ ไม่กี่อย่าง เช่น ที่เรารู้จักเรื่อง สารจับติด จะมีอยู่ ๒ ตัว ที่สำคัญ ก็คือ ตัวอำพันทอง ซึ่งมันได้จากสัตว์ คือ ปลาวาฬ มันเป็นฮอร์โมนตัวหนึ่ง ที่ได้จากการผสมพันธุ์ ของปลาวาฬ อยู่แถบทะเล ขั้วโลกเหนือ จะมีลักษณะสีทอง กลิ่นหอมคาวๆ จะมีคนไปเก็บมา แบบรังนกนางแอ่น ตัวอำพันทองนี้ ราคาแพงมาก ใกล้เคียงทองคำ คุณสมบัติของมัน คือ เป็นสารจับติด มีกลิ่นหอมทน กฤษณาก็คล้ายๆกัน และ มีชื่อเรียกไปเรื่อยๆ กำยานบ้าง ความจริงกำยานก็คือ กำยาน แต่กฤษณามีแก่นระดับหนึ่ง เรียกว่า กำยานบ้าง อำพันทองบ้าง ดังนั้น กฤษณาพอสูงสุด ถึงขั้นอำพันทอง ซึ่งแพงมาก ราคาตอนนี้ กิโลกรัมละ ประมาณ ๔-๕ หมื่นบาท เพราะฉะนั้น คุณสมบัติพิเศษคือ มีกลิ่นหอมและสารจับติด

ทีนี้ทำไมถึงแพง เพราะกลิ่นกำยานก็ดี กลิ่นอำพันทองก็ดี มันเป็นกลิ่นที่สามารถนำไปผสมกับ น้ำมันหอมระเหย ได้ทุกชนิด และทำให้ คุณสมบัติพิเศษของ น้ำมันหอมระเหย ที่ระเหยไวมาก มันจับติดทน จะเห็นว่ากลิ่นอะไรติด ทั้งหลายแหล่ มันต้องการ ให้หอมนาน ธรรมดาแค่เปิดขวด ก็ระเหยไป แต่ถ้าผสมตัวนี้ลงไป จะทาติดอยู่นาน หลายชั่วโมง ซึ่งประเทศ ที่ต้องการ คือ ฝรั่งเศส เพราะฝรั่งเศสเข้ายึดครองประเทศ ที่มีไม้หอมมาก เช่น ลาว ญวน เขมร ไทยบางส่วน ที่ข้ามแม่น้ำโขง จนทะเลาะกัน แล้วเอาจันทบุรี เป็นเครื่องต่อรอง เพราะแถบนี้คือ แถบไม้หมดเลย นั่นคือสิ่งที่เกิดมาจากโบราณ ฝรั่งเศส รู้เรื่องนี้มานาน และก็ใช้เครื่องมือเหล่านี้ ไปพัฒนาน้ำหอม จนน้ำหอมของ ฝรั่งเศสแพงมาก นั่นคือสิ่งที่เราทราบกัน

การเกิดขึ้นของกฤษณา มันคือความยาก ไม่ใช่ของง่าย เพราะใน ๑๐๐ ต้น เราพบในป่า บางทีไม่เจอแก่นเลย สักต้นเดียว หรือ อาจจะหลายร้อยต้น จะเจอสักหนึ่งต้น และในหนึ่งต้น จะได้สักกิโล สองกิโล เราก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น กฤษณาในป่า ที่ถูกโค่นลงมา จำนวนมาก เมื่อหาแก่นไม่ได้ ก็ทิ้งไปเลยเป็นไม้ผุ และ ประมาณปีเดียวก็ผุหมด

*** ถ้าจะมีคนคิดปลูกกฤษณาเพื่อเป็นธุรกิจ จะเป็นไปได้ไหม?

วันนี้พูดถึงกฤษณาที่เป็นไม้ปลูก เพราะมันจะต่างจากกฤษณาที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งเราเห็นว่า ๑๐๐ ต้น บางที ในพื้นที่ ของมัน ตั้ง ๓๐-๔๐ ตารางกิโลเมตร มันไม่ได้ขึ้น อยู่ในตารางกิโลเมตรเดียวกัน

มันอยู่ท่ามกลางป่าที่มีความหลากหลายสูงมาก มีอุณหภูมิที่ต่างกัน ในแต่ละต้นๆ ชื้นทั้งดิน ความร้อนของอากาศ ความแห้งแล้ง มันจะต่างกันหมด ในแต่ละต้นที่ขึ้นอยู่ เพราะมันไม่ได้อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ใน ๑๐๐ ต้น หรือกี่ร้อยต้น แต่บางที ๑๐๐ ต้น มันอาจจะตั้งแต่ บ้านผมถึงอำเภอ เพราะฉะนั้น ปัญหาอุณหภูมิจะต่างกัน

ความหลากหลายที่อยู่ท่ามกลางต้นไม้อีกกี่ร้อยกี่พันชนิดเราไม่ทราบ มันจึงเป็นไม้ที่อยู่กับความหลากหลายสูง นี่คือ ธรรมชาติ เพราะฉะนั้น การที่เรานำมาปลูก ๑๐๐ ต้นในเนื้อที่แค่ ๔๐๐ ตารางเมตร คือ ๑ งาน หรือจะปลูกให้ห่างหน่อยก็ได้ ๑๖๐๐ ตารางเมตร เท่ากับ ๑ ไร่ ปลูก ๑๐๐ ต้น ซึ่งก็แน่นแล้ว ถ้าเราปลูก ๑๐๐ ต้นใน ๑ ไร่ ถามว่า ต้นไม้อย่างเดียว เราปลูกให้โตขึ้น เหมือนมันสำปะหลัง มันจะสร้างความชื้น ให้เกิดขึ้น เพื่อจะให้ต้นมันสามารถ ไปทำปฏิกิริยา กับความชื้น ให้เกิดเชื้อรา ได้ไหม เราไม่มีความรู้ แต่ผมรู้ ไม้ที่ปลูกที่เดียวกัน สิ่งที่จะเกิดคือ ขาดสารอาหาร เพราะมันกินที่ดินมีจำกัดอยู่กัน อย่างเดียวก็หมด ถ้าเราจะช่วยมันได้ก็คือ ต้องเอาสารเคมี พ่นใส่เข้าไป เอาปุ๋ย NPK ใส่เข้าไปอีก ซึ่งมันก็ไม่ต่างกับ ปลูกข้าวโพด เพราะต้นไม้ ต้องการสารอาหาร ไม่ใช่กินแค่ NPK คนที่กินข้าว ไม่ใช่กินแค่แป้ง ต้องการสารอาหารในข้าว ๑๐ กว่าชนิด นี่คือ เราจะเห็นว่า ถ้าปลูกเป็นไร่ โดยปลูกพืชอย่างเดียว มันอาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ และอาจทำให้คิดว่า เกิดคุณสมบัติพิเศษ ในการสร้างแก่น สร้างอะไรขึ้นมา มันไม่น่าจะเป็น ไม่น่าจะใช่ ผมพูดจากความรู้สึก เพราะรู้ว่า กฤษณาเป็นพืชที่ขึ้นได้ดี และเติบโต ในที่มีความหลากหลายสูง และจำนวนหลายต้น กว่าจะเจอแก่นสักต้น และยิ่งมาปลูกทีเดียว ก็ยังมีเรื่อง ขาดสารอาหาร บางคนอาจบอกว่า ใส่ปุ๋ยเข้าไปแทน เอาสารเคมีพ่นเข้าไป ถ้ามีแมลงมากวน เพราะธรรมชาติเขาคิดว่า ยิ่งมีแมลงมากวน จะเป็นแก่นง่ายขึ้น ถ้าเกิดให้ความชื้น ให้น้ำไปเป็นเชื้อรา จะสร้างแก่น ก็ว่าไป ผมไม่รู้ และถ้ามาบอกว่า กี่ปีเป็นด้วย ผมยิ่งไม่รู้ เพราะสิ่งที่ผมไม่แน่ใจ คือไม้ที่ขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งมีความชื้นสูง ถ้าเราปลูกในที่เดียวกัน จะมีความชื้นไม่พอ เพราะแย่งใช้น้ำ อย่างเดียวกันหมดแล้ว แม้จะพ่นน้ำ การพ่นน้ำกับการที่รากไม้ ดูดน้ำมาใช้ ต้นไม้ดูดน้ำได้ยิ่งกว่าเราพ่น กี่สิบเท่าไม่รู้ การใช้เครื่องพ่นน้ำใน ๕ นาที ที่เรายืนอยู่ได้ จะได้น้ำไม่กี่ปี๊บ แต่ต้นไม้ที่ดูดน้ำจากธรรมชาติ จะเป็นร้อยๆลิตร เพราะท่อลำเลียง มันต้องส่งน้ำตลอด เพราะเป็นการคลายความชื้น ซึ่งมันจะสูงกว่า เราไปใช้เครื่องจักรกลไปจัดการ ซึ่งเราจัดการได้ ไม่เท่าธรรมชาติมันมี พูดถึงตรงนี้ โดยเหตุผลความเข้าใจของผม ผมจึงไม่ค่อยเชื่อว่า การปลูกกฤษณา และจะเกิดผล อย่างที่เราต้องการ จะเกิดแก่นจากการปลูก เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่ค่อยเห็นด้วย ถ้ามีการพูดถึง การปลูกกฤษณา เพื่อธุรกิจ และก็ไม่เชื่อ ในความรู้สึกส่วนตัว

แต่ถ้าจะหวังผลเพื่อให้เรามีไม้กฤษณากลับมา มันน่าจะไปปลูกในป่าที่เป็นธรรมชาติ และหยุดตัดไม้ทำลายป่า ลงเสีย เพื่อให้มี ความหลากหลาย และไม้กฤษณาที่มีอยู่แล้ว ตามธรรมชาติ ควรปล่อยให้มันเติบโต เพราะมันจะได้มีเมล็ดพันธุ์ขยาย ในพื้นที่ป่า มากขึ้น เพราะในนี้ เราไปตัดมันลงหมด เมล็ดมันก็หมดไปด้วย เพราะฉะนั้น วันนี้ถ้าเราไม่กลับไปทำต้นพันธุ์ ที่อยู่ในป่า ให้ฟื้นกลับขึ้นมา แต่เรากลับไปใช้วิธีไม่ธรรมชาติ เท่าที่ผมทราบ มีคนพยายามบอกว่า เราใช้ เนื้อเยื่อสิ จะเอาสัก กี่ล้านต้นก็ได้ เรื่องเนื้อเยื่อจริงๆแล้ว เราพยายามพูดว่า

๑. การตัดต่อเนื้อเยื่อ GMOs ซึ่งมองว่า อาจเป็นปัญหาอยู่

๒. เนื้อเยื่อที่เรามาเลี้ยง แล้วนำไปปลูกต่อ เราพูดถึงสิ่งที่มันเป็นเรื่องผิดศีลธรรม ผิดธรรมชาติ คือโคลนนิ่ง ผมไม่รู้ล่ะ จะเป็นโคลนนิ่ง หรือ GMOs ซึ่งผมไม่เห็นด้วย ทั้งการเพาะเนื้อเยื่อ เพื่อให้ได้จำนวนมาก ผมว่ามันอาจกลายเป็น ประโยชน์ ของนักธุรกิจ ที่ได้ประโยชน์ ฝ่ายเดียวหรือเปล่า?.

- ทีมข่าวพิเศษ -
(ตัดตอนจากบางส่วนของบทสัมภาษณ์ ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม ที่วนเกษตร จ.ฉะเชิงเทรา ในคอลัมน์สีสันชีวิต)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

หน้าปัดชาวหินฟ้า

นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๑๐ (๒๓๒) ปักษ์แรก ๑ - ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๖

พบกันอีกครั้งกับรายงานข่าว และกิจกรรมภายในแวดวงชาวอโศก จะเข้าพรรษาแล้ว หวังว่าคงตั้งหลัก มีตบะหรรษา อยู่ในใจกันแล้วกระมัง อย่าลืมเล่าสู่กันฟังบ้างนะฮะ

อนุโมทนา...สามเณรสยาม ที่มีกำหนดว่า จะอยู่จำพรรษาที่พุทธสถานปฐมอโศก แต่ยังไม่ถึงวันเข้าพรรษา ก็ได้บวช เป็นสมณะ เมื่อวันจันทร์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ฉายา สัจจญาโณ (ผู้รู้ความจริง) ซะแล้ว จึงต้องไปจำพรรษาที่ พุทธสถาน ภูผาฟ้าน้ำ เพื่อฝึกฝนตนเอง ตามครรลอง ของสมณะนวกะ ส่วนสิกขมาตุบุญจริง ก็ย้ายไปจำพรรษาที่ปฐมอโศก แทนสันติอโศก เพราะยังมีภารกิจ ที่จะต้องสานต่อ สาธุ...จี๊ดๆๆๆ .....

นักบวชตื่นตัว...จิ้งหรีดสังเกตดูฝ่ายฆราวาส -คนวัดมีการตื่นตัว ในการพัฒนาตัวเอง ไม่ติดแช่ภพ เหมือนแต่เก่าก่อน ดูมีการพัฒนา ที่น่าประทับใจ เป็นผลให้ฝ่ายนักบวชก็ต้อง รพม.เหมือนกัน มิฉะนั้น เข้าพรรษานี้ อาจจะตามฆราวาสไม่ทัน นี่จิ้งหรีด คิดเอาเอง ตามประสา คนแก่วัด

เพราะเห็นท่านเดินดิน กับท่านอาจารย์ ๑ จากภูผาฯ เดินสายประชุมหมู่สงฆ์ ตั้งแต่บ้านราชฯ ศีรษะฯ หินผาฯ และศาลีฯ เป็นที่สุดท้าย เพื่อพบปะพูดคุย ถึงการดูแลสมณะ นวกะที่มาจำพรรษา รวมทั้งนโยบายของสงฆ์ ในแต่ละแห่ง ก่อนเข้าพรรษา

จิ้งหรีดเห็นคุณแผ่นผา ขับรถซีป๋าว ไปตามพุทธสถาน สังฆสถาน ก็รู้สึกประทับใจ เพราะยินดีขับรถบริการ อย่างไม่บ่น ไม่ท้อ อาหลอมเหลา หรือ อามะกรูด ที่ชาวเราส่วนใหญ่รู้จัก ก็ติดตามไปกับสมณะด้วย ก็แข็งขันเอาใจใส่ในเรื่องต่างๆเป็นอย่างดี แม้จะถูกต่อที่สังฆสถานหินผาฟ้าน้ำต่อยเอา ก็ยังลุกขึ้นมาทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง (หลังจากนอนพักแล้วลุกมาได้) ทั้งนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้ยาสมุนไพรที่ท่านปองสูญพก ติดตัวคือ พญาว่าน ที่สามารถทา ได้ทันท่วงที จนบรรเทา อย่างรวดเร็ว ใครสนใจสอบถามหารายละเอียดได้จากท่านปองสูญ ซึ่งปีนี้จำพรรษาที่ปฐมอโศก

ที่น่าประทับใจอีกประการคือ การเปิดป้ายโรงเรียนสัมมาสิกขาหินผาฟ้าน้ำ สมณะเดินดิน ติกขวีโร บอกกับจิ้งหรีดว่า ก็เพิ่งเป็นครั้งแรก ที่เป็นประธานพิธี เปิดแพรคลุมป้าย โดยระบบไฟฟ้า คือพอกดสวิตช์ ที่อยู่หน้าป้าย แพรคลุมป้าย ก็เปิดออกทันที จิ้งหรีดนึกถึงคำว่า โบราณนวทัศน์ ขึ้นมาทันที เพราะที่หินผาฯ กินข้าวที่ตำเองด้วยมือ มีบ้านดิน แต่เปิดป้าย แบบทันสมัย ไฮเทคจริงๆ

การเดินสายครั้งนี้ อาจารย์ ๑ เริ่มเป็นไข้ ตั้งแต่ศีรษะอโศก สุดท้าย มาพักฟื้นที่ปฐมอโศก และต่อที่สันติอโศก จนทุเลา จึงขึ้นดอย ไปจำพรรษาที่ ภูผาฯ โน้น...จี๊ดๆๆๆ .....

พี่เยี่ยมน้อง...หลังจากที่จิ้งหรีดพักฟื้นสุขภาพมาเกือบ ๖ เดือน งานแรกที่ออกนอกพื้นที่คือ ติดตามอุปัชฌาย์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร และอาจารย์ ๑ สมณะบินบน ถิรจิตโต สัญจรพบปะกับสมณะ ในพื้นที่ต่างๆ เป็นลักษณะ พี่เยี่ยมเยือนน้อง จิ้งหรีดขอเล่าบรรยากาศต่างๆ ที่พอระลึกได้ ดังนี้

๒ ก.ค.๔๖ ราชธานีอโศกเป็นพุทธสถานแรกที่ได้ไปเยือน จิ้งหรีดรู้สึกประทับใจ ในการทำขบวนการกลุ่มของ ม.วช. มาก เพราะเปิดเทอมมาแล้ว สิ่งแรกที่ให้ทำคือ ให้นิสิตบอกสักกายะของตนเองว่า คืออะไร แล้วให้เพื่อนนิสิต วิจารณ์ว่า ตรงหรือไม่ จากนั้น ก็ให้นิสิต ผู้แจ้งสักกายะ บอกวิธีแก้สักกายะของตนเอง จิ้งหรีดที่บ้านราชฯ รายงานเพิ่มเติมว่า นิสิตบางคน ถึงกับตาค้าง ส่วนจะตื่นเต้น หรือตื้นตัน หรือจุกตัน ก็คงต้องสอบถามกันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ คือเป็นวิธีผ่าทางตัน ของชีวิตนักปฏิบัติธรรม ที่น่าสนใจ ส่วนในหมู่ของสมณะเอง ก็จะทบทวน เรียนพระธรรมวินัย ทุกวันพุธ ไม่ให้เสียชื่อ ศากยบุตร

๓ ก.ค.๔๖ ศีรษะอโศกเป็นพุทธสถานที่ ๒ ประทับใจภาพที่ได้เห็นเป็นรูปธรรม ของภันเตใหญ่ (หลวงพ่ออนุตตโร) ที่เก็บกวาด เช็ดถูโบสถ์ศาลา ด้วยตนเอง เป็นการแสดงให้เห็นถึง ความเป็นผู้ยิ่งใหญ่คือ ผู้ยิ่งเล็กได้อย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆที่งาน ของศีรษะอโศก เป็นงานกว้าง มีภารกิจที่ต้องทำ ในระดับชาติหลายงาน แต่งานเก็บรายละเอียด ในพื้นที่ของตน ก็ไม่ถูกปล่อยปละละเลย โดยเฉพาะ ภันเตใหญ่สุดที่นี่ และจากข่าวทางหมู่สงฆ์ราชธานีอโศก จะทบทวน พระธรรมวินัย ในวันพุธ ทำให้สมณะศีรษะอโศก เกิดฉันทะ ที่จะร่วมเดินทาง ไปเรียนร่วมกัน ที่บ้านราชฯ เมืองเรือด้วย จิ้งหรีดที่ศีรษะฯ หลายตัว ร้องด้วยเสียงสดใสว่า อยากเอาอย่างบ้างฮะ ก็คิดว่าเพื่อความเป็นเอกภาพ ท่านคงไม่สงวนลิขสิทธิ์

๔ ก.ค.๔๖ สีมาอโศก เป็นพุทธสถานที่ ๓ ประทับใจที่ภันเตใหญ่ที่นี่ ถึงแม้ว่าจะเป็นสมณะอาพาธ แต่ก็พยายาม ขวนขวาย เอาภาระดูแลน้องๆ และสิ่งที่น่าประทับใจ เป็นรูปธรรมคือ กรณีหลวงพ่อนานุ่ม ที่อาพาธ ความดันสูงถึง ๒๐๐ แต่ก็ดูไม่เหมือน ภิกษุอาพาธ หมอบอกว่า เป็นเพราะจิตใจของท่าน ที่มีเมตตา และปล่อยวางได้ โรคภัยจึงไม่ส่งผลมาก สำหรับผู้ที่มีจิต ที่ฝึกมาดีแล้ว (จิตเป็นประธานสิ่งทั้งปวง)

๕ ก.ค. ๔๖ สังฆสถานหินผาฟ้าน้ำ เป็นจุดที่ ๔ ที่ได้เยือน ถึงแม้ว่าจะมีสมณะลงอาราม เข้าพรรษาเพียง ๖ รูป แต่ภารกิจ ที่รับผิดชอบ มีมากมายเหลือเกิน จิ้งหรีดประทับใจบ้านดินที่นี่ เพราะดูเรียบง่าย ใช้ทุนก่อสร้างต่ำ ทำให้ผู้ที่ได้เข้าพักอาศัย สัมผัสได ้ถึงความสบาย ทั้งกายเย็นทั้งใจ จากกรณีเหตุการณ์น่าตื่นเต้น ที่ผู้ดูแลจิ้งหรีด (อามะกรูด) ถูกฝูงต่อ รุมต่อยที่ศีรษะ ไม่ต่ำกว่า ๑๐ ตัว แต่พิษของต่อ ไม่สามารถทำอะไรได้ กลับมีรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ญาติโยมที่หินผาฯ ต่างก็เอาภาระ ในการปฐมพยาบาล ดูแลดีขนาดนี้ พิษต่อถึงจะรุนแรงปานใด ก็พ่ายแพ้ความอบอุ่น ที่ได้รับฮะ

หลังจากประชุมสงฆ์เสร็จสิ้น ในเวลา ๑๘.๐๐ น. อุปัชฌาย์เดินดิน หมู่สงฆ์หินผาฯ และที่ร่วมเดินทางได้ร่วมพิธี เปิดป้าย รร. สัมมาสิกขาหินผาฟ้าน้ำ งานนี้จัดได้ยิ่งใหญ่มาก ถึงขั้นปิดถนนเปิดงานกันเลยทีเดียว (ถนนลูกรัง หน้าชุมชน ซึ่งนานๆ จะมีรถ ผ่านมาสักคัน)

๖ ก.ค.๔๖ ศาลีอโศก เป็นพุทธสถานที่ ๕ ที่ได้เยือน ประทับใจการเอาภาระของสมณะ ผู้ใหญ่อย่างหลวงปู่ชินธโร เข้าพรรษาปีนี้ ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนพระธรรมวินัยให้แก่ สมณะนวกะ ที่ไปฝึกตนเอง ที่ศาลีอโศก และหมู่สงฆ์ศาลีอโศก มีดำริว่า ในช่วงเข้าพรรษา จะจัดให้มีการนั่งเจโตสมถะ ของหมู่สมณะด้วย เสร็จจากการพูดคุยกัน สมณะ ๑๒ รูป สามเณร ๑ รูป สิกขมาตุ ๑ รูป โยมอีก ๙ คน ร่วมเดินทางไปเยี่ยมโยมพ่อ ของอุปัชฌาย์เดินดินที่บ้าน จากนั้นอาจารย์ ๑ สมณะบินบน และสมณะผู้ติดตาม ได้เดินทางเข้าปฐมอโศก เพื่อเข้าร่วมพิธีบวช สามเณรสยาม บุญเหมาะ ขึ้นเป็นสมณะสัจจญาโณ

จากการที่จิ้งหรีดได้ติดตาม ครูบาอาจารย์ในครั้งนี้ ได้เห็นการทำงานของสมณะผู้ใหญ่ ที่เอื้อต่อสมณะผู้น้อย ในพื้นที่ต่างๆ ทำให้สมณะ และญาติโยมในพื้นที่ เกิดปีติเป็นอย่างยิ่ง นโยบาย หลักของการเดินทางครั้งนี้ คือให้สมณะในพื้นที่ ดูแลน้องๆ สมณะนวกะ ที่จะลงมาอยู่ด้วย ในช่วงเข้าพรรษา ทำหน้าที่เป็นทั้งอาจารย์และพี่ ในเวลาเดียวกัน ส่งผลให้เกิด ความอบอุ่นใจ กับสมณะนวกะ เป็นอย่างยิ่ง

และที่สำคัญก็คือในพรรษานี้ หมู่สมณะที่ร่วมเข้าพรรษาด้วยกัน จะเทความคิดของตนเองลงกลางหมู่สงฆ์ และทำตาม มติกลาง ของหมู่สงฆ์เท่านั้น เรียกกันว่า พรรษานี้น่าจะมีการสลายภพครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลถึง การเคลื่อนตัว ของทุกๆฝ่าย ในพุทธสถานด้วย...

แค่หลับตา จิ้งหรีดก็เห็นภาพความผาสุกเกิดขึ้นแล้ว สาธุ...จี๊ดๆๆๆ .....

น่าทึ่ง...หลังจากคนวัดสมัครเป็นนิสิต ม.วช. กันมากหน้าหลายตา บางคนก็สอบผ่าน บางคนก็สอบไม่ผ่าน ไม่เป็นไรนะฮะ วันพระ ไม่ได้มีหนเดียว โอกาสหน้ายังไปสมัครได้อีก ข้อสำคัญต้องรู้จุดอ่อนด้านคุณธรรมของตนให้ชัด ถ้าขจัดได้มาก โอกาส จะสอบผ่าน ก็มีสูง

พอคนวัดมาได้เป็นนิสิต ม.วช.ก็ไม่มีโอกาสทำอะไรตามใจตัวเองเหมือนก่อน คล้ายสมณะนวกะเลยนะฮะ ทำให้เกิด พลังรวม ตื่นตัว คึกคักในการสลายอัตตาไม่ว่าจะเป็นที่สันติฯ ราชธานีฯ ปฐมฯ โดยเฉพาะที่บ้านราชฯ ปีนี้เห็นความเจริญของนิสิต ได้ชัดมาก คือ แต่ก่อนหาคนไปช่วยงาน อุทยานบุญนิยมได้ยาก แต่พอคนวัดผันตัวเอง มาเป็นนิสิต ม.วช. ฝ่ายบริหาร ก็สามารถ ได้คนไปช่วยงาน ที่อุทยานบุญนิยมถึง ๔ คณะ โอโฮ! น่าทึ่งไหมฮะ ใครไม่ทึ่ง จิ้งหรีดก็ไม่ว่าอะไร แต่จิ้งหรีด ทึ่งจริงๆ นะฮะ เป็นไปได้อย่างไร กับความเปลี่ยนแปลงขนาดนี้

การสลายอัตตา ไม่ทำอะไรตามภพตัวเอง แต่ทำตามหมู่ตามครูบาอาจารย์ ย่อมเกิดพลังเช่นนี้เอง นี่แสดงว่า ชาวเราที่ว่า มีศักยภาพอยู่แล้ว พอได้สลายภพ สยบอัตตา ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพตนเอง และหมู่คณะให้สูงขึ้นไปอีก

จิ้งหรีดที่ปฐมอโศกก็รายงานมาว่า ที่ มร.ฐ.ก็มีนิสิต ม.วช.หมุนเวียนไปช่วยกันอย่างคึกคัก มีทั้งรายชั่วโมง รายวัน

นี่เพราะชาวเราเชื่อพ่อท่านสมัครเป็นม.วช. จึงได้ฉลาดกันทันตาเห็นทั่วหน้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แต่ก็อาจยังมี ม.วช. บางคน นะฮะ ไม่ยอมเชื่อฟังคุรุ ไม่ร่วมขบวนการกลุ่ม อันนี้ก็ต้องพิจารณานะฮะว่า จะให้สอบผ่านหรือเปล่า

ถ้าสอบผ่าน ม.วช.ก็คงไม่ฉลาดดังที่พ่อท่านหมายนะสิฮะ จิ้งหรีดว่าจริงมั้ย...จี๊ดๆๆๆ .....

ชาวนาเมืองกรุง...ช่วงนี้หลายชุมชนใน ต่างจังหวัดของชาวอโศก ต่างลงมือปักดำทำนากันถ้วนหน้าทีเดียว เพราะการทำนา เป็นอาชีพหลักอย่างหนึ่ง ของชาวอโศกไปแล้ว ที่สันติอโศกถิ่นเมืองกรุง ก็ไม่น้อยหน้า มีการ ลงแขกปักดำทำนา กะเขา เหมือนกัน เมื่อวันจันทร์ที่ ๗ ก.ค.ที่ผ่านมา นำโดยนิสิต ม.วช. และคนวัดส่วนหนึ่ง เห็นว่าสั่งกล้าข้าว มาจากบ้านราชฯ เลยทีเดียว ค่าต้นกล้า บวกค่ารถ ร่วม ๕,๐๐๐ บาท ปักดำในเนื้อที่ ๒ ไร่ ที่สวน ๑๐ ไร่ ซอยสุวรรณประสิทธิ์ ท่านเดินดิน แซวว่า เป็นการทำนาที่ ลงทุนมากทีเดียว แต่ ไม่แน่นะ ต่อไปสันติอโศก อาจจะส่งข้าวไปให้ชาวบ้านราชฯ ก็ได้นะ และวันนั้น เห็นนิสิต ธาตุบุญ ข่าทิพย์พาที เดินตัวเปียกปอน เปื้อนโคลนตม เข้ามาในวัด จิ้งหรีดเห็นแล้ว อดชื่นชมไม่ได้ฮะ ที่สำคัญคือ ได้ลงแขก ทำกิจกรรมร่วมกัน แค่นี้ก็ถือว่า สำเร็จแล้ว ขอให้กำลังใจชาวนาเมืองกรุง ที่ให้ความสำคัญ ของอาชีพชาวนา...จี๊ดๆๆๆ

คอร์สสลายอัตตา...ที่ขอนแก่นอโศกจัด คอร์สมหัศจรรย์ รุ่นที่ ๙๐ ได้ชื่อรุ่นว่า สลายอัตตา พัฒนาแก่น เมื่อวันที่ ๒๗ - ๒๙ มิ.ย.๔๖ ส่วนวันที่ ๑ - ๓ ก.ค.๔๖ ไปจัดคอร์สอบรมธรรมะ ที่ชุมชนเมฆาอโศก ได้ชื่อรุ่นว่า เมฆาสลายอัตตาพาชุ่มชื่น

จิ้งหรีดได้ยินสมณะที่ประชุมรายงานการทำงานให้อาจารย์ ๑ ฟังที่สีมาอโศก สรุปว่า ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ขึ้นอยู่กับ ความต่อเนื่อง และการเข้าถึงธรรมะ ของผู้นำแต่ละแห่งว่า จะสามารถปรับเปลี่ยน ได้ยืนนาน แน่นลึก ขนาดไหน โดยเฉพาะ ในเรื่องเป็นแบบอย่าง ของการสลายอัตตา...จี๊ดๆ

ก่อนจากขอฝากคติธรรม-คำสอนของพ่อท่านที่ว่า โรคยึดกับโรคโง่ สองโรคนี้ใหญ่มาก
(จากหนังสือ พ่อท่านสอนว่า ฉบับ...คำคม ๑)

พบกันใหม่ฉบับหน้า.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เคเบิ้ลทีวีช่อง ๑๑ จ.อุบลฯ
ถ่ายทำความเป็นมาของบ้านราชฯ

เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๔๖ รายการเปิดบ้าน-เปิดใจ ของโสภณเคเบิ้ลทีวี ช่อง ๑ จ.อุบลราชธานี มาถ่ายทำ กิจกรรมต่างๆ ที่ราชธานีอโศก ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐-๑๘.๐๐ น. เริ่มถ่ายทำ โดยการสัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร ถึงความเป็นมา ของราชธานีอโศก วิถีชีวิตของบ้านราชฯเมืองเรือ กิจกรรมบางส่วน ตั้งแต่ตอนเช้า จนเลิกเรียน ของนักเรียน ระดับประถมศึกษา (กลุ่มสมุนพระราม) โรงสี บ้านสุขภาพ และสวนไวพลัง

รูปแบบรายการจะเป็นการสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ ไปเปิดตามบ้าน ไปดูชีวิตส่วนตัว ว่าชีวิตที่ประสบความสำเร็จกับ ชีวิตส่วนตัว เขาเป็นอย่างไร ในหลากหลายอาชีพ เช่น นักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองระดับท้องถิ่น ข้าราชการ ศิลปิน ผู้กำกับการแสดง ที่เป็นคนอุบลฯ เช่น สุรสีห์ ผาธรรม คุณพ่อคงศักดิ์ จันทรุขา นักแต่งเพลง ไปจนถึงอาจารย์ธรรมดา ที่มีส่วนน่าสนใจ ในการอบรมลูก

รายการเปิดบ้าน-เปิดใจ ออกอากาศ ตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา ๐๗.๔๕-๐๘.๐๐ น. และออกซ้ำอีกครั้ง ในเวลา ๑๒.๔๕-๑๓.๐๐ น. ผู้ที่ชมก็จะเป็นสมาชิกโสภณเคเบิ้ลทีวี ในเขตเทศบาลนครอุบลฯ และเขตเทศบาลเมืองวารินฯบางส่วน มีสมาชิก ประมาณ ๓,๗๐๐ ครอบครัว และจะไปเปิดให้ชมฟรี ตามสถานที่ต่างๆ เช่น โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ฯลฯ มีคนชม ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน รายการนี้เริ่มมาตั้งแต่ เดือนเมษายน ๒๕๔๖ สำหรับการถ่ายทำวันนี้ จะออกอากาศ ในสัปดาห์หน้า
ผู้สื่อข่าว ได้สัมภาษณ์ ความรู้สึกของทีมงานถ่ายทำในครั้งนี้ ดังนี้

นายสุชัย เจริญมุขยนันท์ "วันนี้เป็นการเปิดราชธานีอโศก ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ปรัชญาของที่นี่คืออะไร ที่นี่ทำอะไรบ้าง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ต่อคนอื่นข้างนอก ที่อาจจะไม่เคยรู้จัก หรือรู้จักผิวเผิน ปกติมาก็จะไม่ได้มีโอกาส ไปลงลึก ในที่ต่างๆ วันนี้มาถ่ายทำ ก็มีโอกาส ได้ไปลงลึก ในสถานที่ต่างๆ ความรู้สึกจากจุดเดิม ที่มีความชื่นชม กับชาวอโศก อยู่แล้วนะครับ ก็ยิ่งมีมากขึ้น ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น พัฒนาไปจากเมื่อหลายๆปีก่อนมากเลยทีเดียว และเป็นทางเลือกหนึ่ง ของประชาชน จะเรียกว่า ในยุคนี้คนบางคน ที่มาที่นี่ อาจจะนึกไม่ถึงว่า คนแบบนี้ยังมีอยู่บนโลกนี้ด้วย หรือรู้สึกดีใจ ที่ได้มีโอกาสมา ชื่นชมสิ่งต่างๆ ที่ได้สัมผัส โดยเฉพาะเป็นสิ่งที่ต่างจากที่คนข้างนอกเขาพูด แต่เขาไม่ได้ทำ เช่น เรื่องของนมกล่อง เรื่องของ น้ำตาล แต่ที่นี่ไม่ได้เน้นพูด แต่ว่าเน้นทำ ก็เป็นส่วนที่ประทับใจมากครับ"

นายอนุชิต สายสวาท "มาเป็นครั้งที่ ๒ ครับ ครั้งแรกมาดูวิทยุชุมชน ก็ประทับใจแล้วครับ ครั้งนี้ได้ตระเวนไปทั่ว ดูกิจกรรมต่างๆ โดยรอบของสถานที่ ถือว่าเป็นศูนย์ที่สามารถยึดเหนี่ยว จิตใจของประชาชน มีความรู้สึกดีมากๆเลย อยากจะทำตัวเอง ให้ดีที่สุด เมื่อเข้ามาตรงนี้"

คุณจีระกมล ผลแก้ว "ประทับใจในความเป็นอยู่ วิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่ที่นี่ และจะนำความรู้ที่ได้รับในวันนี้ กลับไปประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจำวันค่ะ".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อเดิม น.ส.นวล ชุมใหญ่
เกิด วันอังคาร ปีมะโรง พ.ศ.๒๔๗๐
อายุ ๗๖ ปี
ภูมิลำเนา อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานีสูง ๑๔๕ ซ.ม.
น้ำหนัก ๓๖ กก.

คุณยายนวล เป็นพนักงานของบริษัท แด่ชีวิต จำกัด อยู่แผนกคัดสินค้า ใครที่เดินผ่านไปผ่านมา หน้าโกดังใหญ่ ของบจ. แด่ชีวิต ก็มักจะเห็นและคุ้นเคย กับคุณยายนวล ร่างเล็กๆ นั่งคัดถั่วอยู่แถวหน้าโกดัง เป็นประจำ จนเสมือนหนึ่ง เป็นญาติ ผู้ใหญ่ ของพวกเขา เพราะคุณยายจะทักทาย และเจริญธรรมกับลูกๆหลานๆ (ทางธรรม) ที่เดินผ่านไปมา ด้วยใบหน้า ยิ้มแย้มแจ่มใส จนอดที่จะเข้าไปพูดคุย ไถ่ถามคุณยายไม่ได้ ลองมาฟังเรื่องราวกัน

*** คุณยายเกิดที่ จ.อุบลฯ แล้วทำไมจึงมาอยู่ที่นี่ได้คะ?
ยายเกิดที่ อ.พิบูลฯ จ.อุบลฯ แต่ก็ย้ายไปหลายที่ ตามพ่อไป พ่อรับจ้างทำนา ก็ย้ายไปเรื่อยๆ จนได้มาบวชชี ที่วัดหนองป่าพง บวชอยู่ ๒๐ กว่าปี หลาน (คุณบุญมี ชุมใหญ่ ซึ่งมาทำงานอยู่ที่ บจก.แด่ชีวิต ตั้งแต่ปี ๒๕๓๗) ก็ชวนมาอยู่ด้วยกันที่นี่ (บจ.แด่ชีวิต) หลานคนนี้ เป็นลูกของน้องชาย ยายมีพี่น้อง ๑๐ คน ยายเป็นคนโต เรียนหนังสือจบ ป.๔ มีอาชีพทำนา เลี้ยงน้อง ทำนา เคียงคู่กับน้องชาย ทำโน่นทำนี่ไป น้องๆโตไป จนมีครอบครัว ยายก็ขอไปบวชชี น้องๆเขาก็อนุโมทนา สาธุนะ

พอหลาน(คุณบุญมี) ชวนมาอยู่ที่แด่ชีวิต ก็มาเลย ตอนนั้นปี ๒๕๔๒ อยู่จนกระทั่ง ทุกวันนี้

*** แล้วคุณยายไม่คิดแต่งงานหรือคะ?
จิตมันไม่ไป เห็นครอบครัวน้องๆ มีปัญหา ขอเลี้ยงหลานดีกว่า เคยมีคนมาทาบทาม ตั้งแต่สาวๆ แต่ยายไม่เอาด้วย ยุ่งยาก ไม่เอา ปวารณาไว้ว่า จะเลี้ยงหลานๆ หลานคนนี้ (คุณบุญมี) เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ

*** ไม่เสียดายหรือคะ บวชชีมาตั้ง ๒๐ กว่าปี ?
ไม่เสียดาย ไม่เสียใจ อยู่ที่นี่ทำงานเสียสละ เอาบุญ

*** อยู่ที่นี่มีความสุขอย่างไรคะ?
เวลาเจ็บไข้ก็มาไถ่ถาม อบอุ่น ไม่อยากไปตายที่บ้านอุบลฯ หลานเคยพากลับบ้าน ยายไม่ไป ญาติธรรมเอาใจใส่ ดูแลอบอุ่น ขอมอบตัว มอบกายไว้ ขออยู่กับหลาน สบายดี

*** สุขภาพเป็นอย่างไรบ้างคะ?
แข็งแรง ทำวัตรไม่ขาดดอก ตาสว่าง ทำงานได้ เป็นแต่พวกเส้นเอ็น

*** ทุกวันนี้คุณยายห่วงอะไรไหมคะ?
ไม่ห่วงอะไร จิตใจของยายโล่งสว่าง (คุณยายกางมือประกอบด้วย ทำให้เห็นว่าโล่งสว่างจริงๆ)

ชีวิตโสดพ่อท่านว่า เป็นบัณฑิต ผู้ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง
ถึงคุณยายไม่แต่งงาน แต่คุณยายก็มีความสุข แวดล้อมด้วยลูกหลานทางธรรม อย่างมากมาย
แล้วท่านล่ะ... จะเลือกเส้นทางใด ?

- ทีมข่าวเอื้ออาทร -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
๖๗/๑ ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ โทร.๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ ๑,๕๐๐ ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]