ฉบับที่ 222 ปักษ์แรก1-15 มกราคม 2547 |
สิ่งที่เกิดขึ้นในงาน
|
อัตตาสาม ที่พาให้เราทุกข์ในชุมชนบุญนิยม เหตุการณ์ที่มักจะเกิดให้เห็นบ่อยๆ คือ นั่นของฉัน! นี่ของฉัน! ใครจะมาหยิบมาฉวยไปเป็นได้เรื่อง กระทะของฉัน เตาประจำของฉัน ตะหลิวอันนี้เหมาะมือของฉัน จอบ เสียม รถเข็น และฯลฯ อีกมากมายสารพัด ที่เป็นของฉัน แต่จริงๆแล้ว เราเป็นเพียงผู้อาศัยสิ่งเหล่านี้ทำงานที่เป็นกุศล เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณสู่กุศล แต่ทำไมใจเราจึงเกิดอกุศล เกิดความทุกข์ได้ ทำไมล่ะ? เคยถามตัวเองมั้ย แล้วอยากพ้นทุกข์มั้ย ไม่ยากเลย..จริง จริ๊ง เรื่องเหล่านี้พ่อท่านได้อธิบายขยายความไว้ชัดเจน (๘ ต.ค.๔๖ ราชธานีฯ) "....โอฬาริกอัตตา ตั้งแต่วัตถุหยาบ ของนอกตัว เห็นชัดๆเป็นรูปธรรม เราก็เรียนรู้ อย่าไปยึดมาเป็นเราของเราเลย มันไม่ใช่หรอก ตายไปแล้วมันก็หายไป ตายไปแล้วก็พราก อย่างวัตถุ อย่างรูปธรรม โอฬาริกอัตตา ไม่มี เป็นลูก เป็นพ่อ เป็นแม่ ก็ต้องตายจากกัน ตายจากชาตินี้แล้วไป ไปไหนๆ แล้วจะมาเกิดเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่กันอีกหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แล้วมันไม่ได้มาเกิดกันง่าย แล้วมันก็น้อย ที่จะมาเกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกกันอีก น้อย! ส่วนมากก็ไม่เกิด ไปแย่งกันไป มันไม่ใช่ลูกของเรา มันไม่ใช่หลานของเรา ติดยึดกันมันก็ไม่จริง เป็นแต่เพียงว่าเราเกิดมา มันมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ก็ทำตามหน้าที่ นี่มันมามีลูก ก็ต้องเลี้ยงลูก เป็นหน้าที่ ไม่เลี้ยงก็ไม่ได้ ลูกเรา โดยสมมุติสัจจะมันก็เป็นลูกเรา แต่โดยปรมัตถ์เราก็เข้าใจ เรียนรู้ปรมัตถ์ไปด้วย เราก็ทำหน้าที่ ไม่ทำหน้าที่ก็ไม่ดี เราต้องรับผิดชอบ เพราะเราเองเป็นตัวก่อ เราเป็นตัวสร้าง เราเป็นตัวให้มันเป็นไป ให้มันเกิดมาอะไรก็แล้วแต่ มโนมยอัตตาไปสร้างรูปสร้างร่างสร้างอะไรในภพในจิตเอง ไปสร้างสารพัดสาระเพ สร้างวิมาน สร้างสวรรค์ สร้างไอ้โน่นไอ้นี่ อยากได้อย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้ อยากมีรูปอย่างนั้น อยากมีรสอย่างนี้ อะไรก็แล้วแต่ อยากยิ่งใหญ่ อยากจะวิเศษอย่างนี้ อยากจะดีจะงามจะเลิศจะเลอ เป็นวิมานในฝัน เป็นวิมานลมๆแล้งๆ แต่ก็ยึดจริงๆจังๆ ยึดเอาเป็นเอาตายอะไรก็แล้วแต่ ทุกข์นะ หรือไม่ก็ไปปั้นเป็นตัวเป็นตนเลยนะ เป็นรูปสวรรค์ เป็นรูปเทวดา เป็นรูปที่สร้างขึ้นมาโดยจิต มโนมยอัตตา ปั้นขึ้นมาเป็นจิต ตามจิตของเรา รูปที่สำเร็จด้วยจิต จิตใจปั้น ยึดเป็นเรา เป็นของเรา เพ้อฝันไปอะไรต่ออะไร ถ้าว่าจริงๆแล้ว มันไม่ได้เป็นแท่งเป็นก้อน มันเป็นจิต เป็นอันยิ่งกว่า แต่มันยึดติดได้จริงๆเหมือนกัน ยึดได้มากมาย เป็นเรา เป็นของเรา ได้มากมายเหมือนกัน ก็เรียนรู้ แต่พวกเราส่วนมากมโนมยอัตตา ก็อีกแบบหนึ่ง ไม่เหมือนกับพวกไปนั่งหลับตาสมาธิ สะกดจิตแล้ว ไปปั้นรูปปั้นร่าง อย่างธรรมกาย ปั้นพระพุทธเจ้า ปั้นเมืองนิพพาน ปั้นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ปั้นเป็นรูปหมดเลย แล้วก็ไม่เรียนรู้ มโนมยอัตตา ซึ่งเป็นอัตตาชนิดหนึ่ง มันไม่จริง ไม่เที่ยง เขาก็ติดยึดกันไป จนกระทั่งบอกว่าเมืองนิพพาน สุดยอดเลย เมืองนิพพานถือว่า สุดยอดเลย เที่ยงแท้ ไม่มีสูญด้วย ไปกันใหญ่ ส่วนอรูปอัตตาก็ติดไป ยิ่งลมๆแล้งๆ ใหญ่เลย ติดความเห็นของเรา ติดความเชื่อถือของเรา ติดความรู้ของเรา ติดความเก่งของกู ติดศักดิ์ศรีของกู จะเอาแต่ใจตัวเอง จะเอาตามใจข้า เป็นอรูปอัตตาทั้งนั้น ไม่มีรูปไม่มีร่าง ไม่มีตัว ไม่มีตนเลย แต่ก็เป็น มีของตัวเองสร้างขึ้นไป โลกมันจะมอมเมา โลกมันจะก่อจะสร้าง โลกมันจะกำหนดขึ้นมา กำหนด จริงๆ แล้วก็ไปหลงไปตามเขา ดีไม่ดีก็คิดเอาเองใหม่ สร้างใหม่เอาเอง จะเอาอย่างโน้น จะเอาอย่างนี้ ทุกข์เอง บ้าๆบอๆเอง เราต้องเรียนรู้ แม้แต่เป็นความรู้ แม้จะเป็นความเชื่อถือ เราก็จะต้องรู้ว่า โอ๊...เราไปยึดมั่นถือมั่น ไปเอาตามใจตัว จะเอาให้ได้อย่างนี้ๆๆๆ ทั้งๆที่มันเกิดความไม่ดีแล้วนะ เกิดการทะเลาะวิวาท เกิดทำลาย เกิดแตกแยก เกิดไม่ดีไม่งามอะไรขึ้นมาแล้ว เราก็ยังยึดเอาเป็นเอาตาย จะเอาให้ได้ จะแตกจะพังจะฉิบหายวายป่วง ช่างมัน กูจะต้องเอาให้ได้ โลกมันเป็นอย่างนี้ ถ้าคนจะยึดเอาอย่างนี้ บรรลัยกันอยู่ในโลกนี้ แย่งชิงกัน ตีรันฟันแทงฆ่าแกงกัน วุ่นไปหมด อัตตาสามนี่ อาตมาบอกได้ว่า ถ้าอาตมาไม่เกิด ไม่มีใครหยิบขึ้นมาอธิบายหรอก ไม่มีหรอก ลืมหมดแล้ว ไม่รู้จักหมดแล้ว ในวงการพุทธศาสนา เหลืออยู่ในพระไตรปิฎก มี อาตมาก็เจอในพระไตรปิฎก ที่เอามาพูดนี่ รู้แล้วใช่ไหม? อัตตาที่พาให้เราทุกข์นั้น คือตัวไหน พยายามพิจารณาทบทวน
ละล้าง ขยันทำโจทย์อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง แล้วความหลุดพ้นจะค่อยๆปรากฏแก่เรา
ตามความพากเพียรของเราเอง ได้แต่รู้ไม่พากเพียร ไฉนเลยจะพ้นทุกข์ได้เล่า
ลงมือเลย! |
- สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ -มหกรรมบุญนิยมจากปัจจุบัน...สู่อนาคตงานปีใหม่เพิ่งจะผ่านไปหมาดๆ สำหรับชาวอโศกแล้วถือว่ายิ่งใหญ่มาก ทั้งทุนรอน...แรงงานกำลังคน...และเวลา รวมถึงสติปัญญา ที่ใช้จ่ายไปกับงานนี้ ถ้าคิดอย่างทุนนิยมถือว่าขาดทุนมโหฬาร แต่สำหรับชาวบุญนิยมแล้วถือว่ากำไรมหาศาล จากการประชุมสรุปงานปีใหม่ (๓ ม.ค.) ฝ่ายบัญชีแจ้งว่างานนี้รวมกำไรอาริยะ ๔,๑๗๐,๑๖๙ บาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมงาน ๙๙๗,๙๘๖ บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อและขายสินค้า ๒๖๔,๐๒๐ บาท สินค้าทั้งหมดซื้อมาเป็นเงิน ๑๕,๙๑๕,๖๖๕ บาท ขายไปเป็นเงิน ๑๓,๐๐๗,๕๐๒ บาท เพราะฉะนั้นถ้าคิดอย่างทุนนิยมขายขาดทุนเป็นเงิน ๒,๙๐๘,๑๖๓ บาท สินค้าที่มียอดเงินขายได้เป็นอันดับหนึ่งคือของใช้ครัวเรือน เป็นเงิน ๖,๙๖๐,๘๓๙ บาท อันดับสองได้แก่เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม ๓,๓๒๔,๑๒๕ บาท อันดับสามประเภทเครื่องจักสาน ๘๙๖,๔๘๗ บาท อันดับสี่คือผักผลไม้และพืชไร่ ๗๑๗,๔๒๗ บาท อันดับห้าอาหารแห้ง ๔๔๖,๒๑๐ บาท อันดับหกเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนอโศกและสมุนไพร ๒๙๐,๒๗๐ บาท อันดับเจ็ดคืออาหารสด ๒๓๙,๖๑๕ บาท อันดับแปดหนังสือและสื่อธรรมะ ๑๐๙,๑๕๔ บาท สุดท้ายเป็นประเภทของเบ็ดเตล็ด ๒๓,๓๗๕ บาท นี่ถ้าในอนาคตสินค้าประเภทหนังสือและสื่อธรรมะขายได้เป็นอันดับหนึ่ง สังคมในยุคนั้นจะเป็นอย่างไร?
น่าจะอบอุ่น สงบเย็น การแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเกื้อกูลจะมีมากกว่านี้แน่ แต่มันจะเป็นไปได้หรือ?
ที่พ่อท่านว่าอีก ๕๐๐ ปีบุญนิยมจะอุดมสมบูรณ์ ระบบสาธารณโภคี จะไปได้ไกลและกว้างกว่านี้
ในขณะที่ข่าวความรุนแรง ความหยาบร้ายวิปริตต่างๆในสังคมมีมากขึ้นเรื่อยๆ
คงต้องไปเกิดในยุคนั้น เพื่อพิสูจน์กันดูแล้ว... ! ! ! ? ? ? ขอต่อด้วยเรื่องตัวเลขและการเงิน อีกสักนิด งานปีใหม่นี้มียอดเงินบริจาค ๓๖๙,๖๙๓ บาท ถ้าคิดเปรียบเทียบกับรายจ่ายต่างๆแล้ว ยังห่างไกลกันมาก แต่ก็ต้องถือว่าเป็นบุญบริสุทธิ์ขาวสะอาดมาก เป็นบุญเต็มๆ เป็นบุญซ้อนบุญ เนื่องด้วยไม่มีใครได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ตอบแทนจากกิจกรรมนี้เลยสักคน ไม่มีการเรี่ยไร ไม่มีการประกาศเกียรติคุณ ไม่มีการ ค้าขายดอกไม้ธูปเทียน,เหรียญ, รูปหล่อ รูปเหมือน, ตะกรุด, พระเครื่อง ฯลฯ ไม่มีการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาชีวิต ไม่มีเล่ห์กล ใดๆที่แอบแฝงเอาบุญมาล่อหลอก ไม่มีอบายมุขใดๆ ย้อมใจให้คนมาร่วมงาน ยิ่งถ้ามองเรื่องเรี่ยวแรง เวลา และสติปัญญาที่จ่ายไปกับงานนี้ถือว่ากำไรมหาศาลมาก มีการประชุมกลุ่มใหญ่ กลุ่มเล็ก กลุ่มย่อย กันหลายต่อหลายครั้ง คนนับพันที่ได้ช่วยกันจัดเตรียมงานทั้ง ขุด.. ลาก..ดึง..ขน..แบก..ปีน..เช็ด..ปัด..กวาด..ล้าง.. ถู ฯลฯ มีตั้งแต่เด็กเล็กๆ ไปจนถึงแก่เฒ่า ไม่เว้นแม้แต่พ่อท่าน โดยเฉพาะงานจัดแต่ง หินทรายก้อนใหญ่ๆไว้ในมุมในที่ให้ดูดี อย่างลานหินหงส์ ที่เกิดขึ้นจาก การเห็นหินก้อนโค้ง วางอยู่ข้างทาง พ่อท่านก็ให้นำมาจัดทำ เมื่อเสร็จแล้วก็ดูสวยดี มีผู้ทักว่าดูคล้ายหงส์ พ่อท่านจึงให้ชื่อว่าลานหินหงส์ ต่อมาพ่อท่านจึงได้ไปจัดทำหน้าเวที ปีใหม่ และเวทีชาวบ้านในตลาดอาหารด้วย เมื่ออยู่กับงานจัดแต่งหินอย่างนี้ ต้องเจอแดดจัดมาก ตั้งแต่เช้าจรดเย็น (เว้นช่วงฉันอาหาร) ทำให้ผิวสีเข้มขึ้นมาก สมณะดงดิน สุนทโร ผู้อยู่กับงานขนหินมาก่อน เห็นพ่อท่านมาช่วยทำอย่างนี้ จึงเกิดความรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง ถึงขั้นจับปากกา เขียนบรรยายความรู้สึกที่มีต่อพ่อท่านถึงสองหน้ากระดาษส่งมาให้ผู้เขียนได้อ่าน ผู้เขียนขอนำบางส่วนมาถ่ายทอด ในที่นี้ดังนี้อายุพ่อ ๗๐ ปีย่าง วัยที่ควรพักผ่อนตามกาลและสังขาร แต่พ่อลงมาทำงานด้วยตัวของพ่อท่านเอง พ่อท่านเป็นบุคคลที่ง่ายๆ ปรับตัวตลอดทุกเวลา รับผิดชอบในงานทุกกรณี แม้อายุปานนี้แล้ว พ่อยังมาทำงานหนักๆกับก้อนหินอย่างไม่ย่อท้อต่อสังขาร ความคล่องตัวและแววไว ปฏิกิริยาการเคลื่อนไหวของพ่อท่านยังเหมือนกับคนวัย ๔๐ ปี ก้อนหินหนักๆ ประมาณ ๗-๘ พันกิโลฯ ดูพ่อท่านยังไม่กลัวและเหนื่อย ตลอดวันยังค่ำหลังจากพ่อท่านฉันข้าวเสร็จ ออกจากกุฏิที่พัก ลงพื้นที่ลุยทำงานกับลูกๆ จนถึงเย็นจึงกลับที่พัก... คุณแก่นฟ้า แสนเมือง ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เขียนบรรยายความรู้สึกที่เห็นพ่อท่านทำงานหินๆนี้ โดยเขียนคำบรรยาย ประกอบภาพผ่านโปรแกรม Power Point เป็นตัวอย่างให้ผู้เขียนได้ศึกษาการใช้งานในลักษณะนี้ จากบางส่วนดังนี้...ไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำ พ่อท่านลุยงานหิน เพื่อฉลอง ตลาดอาริยะ ๒๕๔๗ กลับจากร้อยเอ็ด ถึงบ้านราชฯเมืองเรือ พ่อท่านไม่รอช้า รีบตรงไปที่หน้าเฮือนศูนย์สูญ เพื่อเร่งงานหินที่หน้าเวทีปีใหม่... พ่อท่านได้กำกับอย่างใกล้ชิด ทำการ เลือกหิน ด้วยการกระโดดจากหินก้อนนั้นมาก้อนนี้ เหมือนวัยรุ่นทั้งๆที่พ่อท่านอายุเกือบ ๗๐ ปี ลูกๆที่ทำงานอยู่ด้วยต่างแย่งงานพ่อท่านทำด้วยความเป็นห่วง ไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำ พ่อท่านทำ ให้ดูเป็นตัวอย่าง ตกค่ำอากาศเริ่มเย็น พ่อท่านยังไม่ยอมหยุด ลูกๆส่วนใหญ่แรงเริ่มตก แต่น้ำหนักหิน ไม่ยอมตกตามไปด้วย จนกระทั่งเกือบค่ำมืดพ่อท่านจึงหยุดงาน... ที่ร้อยเอ็ดอโศก (๑๙ ธ.ค.) ก่อนจำวัดพ่อท่านเปรยถึงความคิดเรื่องตลาดอาริยะ ปีต่อไปอาจจะมีรถยนต์ป้ายแดงมาขาย ในตลาดอาริยะ สิ่งนี้แสดงถึงทิศทางการเติบโตของงานตลาดอาริยะที่พ่อท่านประสงค์จะให้เป็น ไม่ใช่แค่การขายอาหาร ผลไม้ ผักพืช เกลือ น้ำตาล หม้อ ฯลฯ หรือ สินค้าที่จำเป็นของชาวบ้านเท่านั้น แต่ความก้าวหน้าของตลาดอาริยะจะไปถึงระดับสากล สังคมวงกว้างขึ้น ไปสู่ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงในสังคมด้วย นั่นหมายความว่าในอนาคตงานตลาดอาริยะจะมีรถแทรกเตอร์...หรืออุปกรณ์การเกษตรต่างๆ...รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์...เครื่องเสียง...ฯลฯ หรือสินค้า หรูหราราคาแพงที่ชนชั้นสูงนิยม เมื่อเป็นเช่นนั้นวงเงินของการหมุน เวียนค้าขาย อาจจะไปถึง ๑๐๐ ล้านบาทขึ้น ไม่ใช่ ๑๐ กว่าล้านบาทอย่างทุกวันนี้ ถ้ามองย้อนกลับไปที่งานปีใหม่แรกเริ่มที่สันติอโศก ร้านค้าที่มาออกร้าน ทำ กันเหมือนเด็กๆเล่นขายของ เอาใบไม้มาแลกซื้อขนมครกบ้าง ก๋วยเตี๋ยวบ้าง... ฯลฯ หลายปีที่ผ่านมาร้านค้างานปีใหม่ หรือที่เราเรียกว่าตลาดอาริยะ เป็นเหมือนตลาดนัดขนาดใหญ่ของชาวบ้าน ถ้าเปรียบเทียบ ปีแรกกับปีนี้ ก็ถือว่ามีอัตราก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดมาก ผู้เขียนรวมถึงหลายคนในยุคแรกนั้น คงไม่มีใครคาดว่า จะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ เมื่อใช้ตรรกะมองงานปีใหม่หรือตลาดอาริยะในอนาคต จึงเป็นไปได้ที่ความใหญ่โต ทั้งคนและปริมาณ รวมถึงประเภทของสินค้า จะมากกว่าที่เป็นอยู่นี้แน่ๆ บางทีอาจจะไปถึงขั้นน้องๆ XPO หรือ OTOP ที่เรียกเป็นภาษาไทยว่า หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ พ่อท่านใช้คำล้อเลียนว่าของเราเป็น ATOP คือ Asoke Tradition One Product ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็น่าดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่สังคมมีคนที่กล้าลดละเสียสละมากขึ้นอย่างมโหฬารได้จริงๆ งานปีใหม่ที่ผ่านมานี้มีสิ่งแปลกกว่าทุกปี ตรงที่วันแรกและวันที่สองชาวบ้าน มาซื้อสินค้ากันไม่มากอย่างปีที่ผ่านมา ทำเอาบรรดาพ่อให้แม่ให้ ใจไม่ดีคิดว่าคงต้องขนของกลับ คนมามากเอาวันสุดท้าย สินค้าที่กองอยู่จำนวนมากหมดเกลี้ยง ไม่เหลือ ขนาดหม้อแกงหม้อนึ่ง ไม่มีฝา คือฝาหาย ก็ยังขอซื้อ เพราะไหนๆก็มาแล้ว ที่เหลือคือร้านค้ากระติกน้ำแข็ง ไม่ใช่ไม่มีคนซื้อแต่คนขายบอกยอมแพ้หมดแรงแล้ว มีเกร็ดเล็กๆที่ชาวบ้านที่มาซื้อสินค้าเล่าให้ฟังว่า พ่อค้าแม่ค้าที่ร้านค้าในงานกาชาดที่ทุ่งศรีเมืองของจังหวัดอุบลฯ บอกกับชาวบ้านว่า ร้านค้าที่บ้านราชฯ ปีนี้ไม่มีขายอะไร สิ่งนี้จะเป็นเหตุให้คนน้อยในสองวันแรกหรือไม่ ก็ไม่อาจจะกล่าวเช่นนั้นได้เต็มร้อยทีเดียว แต่ก็เป็นข้อมูลหนึ่ง ที่อาจเป็นไปได้ อีกเหตุหนึ่งอาจจะเป็นที่ชาวบ้านเข็ดกับการรอคอยเป็นเวลานานแถมแดดร้อนจัดหรือเปล่า ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมมีคนมารอตั้งแต่ตีสามตีห้าก็มี รวมถึงวันสุดท้ายทำไมจึงมากันมากกว่าวันแรกๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่กลับกันกับปีที่ผ่านๆมา จะอย่างไรก็ชั่งเถอะ ผู้ที่มาต้องถือว่า เป็นอโศกพันธุ์แท้จริงๆ สิ่งที่ประทับใจเป็นอย่างยิ่งไม่มีเรื่องใดจะกินใจได้เท่าการลากเรือใหญ่ที่มีน้ำหนัก ๘๐ ตันหรือ ๘๐,๐๐๐ กก. โดยมีชาวอโศกนับพัน ทั้งเด็กฟันหลอ ไปจนถึงผู้เฒ่าฟันหลุด ช่วยๆกัน เป็นภาพการผนึกรวมที่ยิ่งใหญ่มากสุดจะบรรยายได้หมด เสียดาย อย่างยิ่งก็คือ พื้นที่หน้ากระดาษ ใกล้หมดแล้ว ฝากสุดท้ายคำขวัญวันเด็กปีนี้พ่อท่านให้ว่า...ทั้งเด็กทั้งคนแก่ ถ้ามีแต่ความรักความเกื้อกูล ย่อมสมบูรณ์ด้วยความสุข... นับเป็นคำขวัญที่เด็กเอง ก็ต้องสำนึก คนแก่เอง ก็ต้องสำเหนียก |
อย.เสนอแยก 'ยาสมุนไพร' ออกจาก พ.ร.บ.ยาแผนปัจจุบันพ.ร.บ.ยาฉบับใหม่คลอดกลางปี ๒๕๔๗ อย.เสนอแยก พ.ร.บ.ออกเป็นสองส่วน ยาสมุนไพรและยาแผนปัจจุบัน เพื่อให้ส่งเสริมการผลิตยาสมุนไพรได้ดีขึ้นน.พ.ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ เลขาธิการสำนักงาน คณะกรรมการอาหาร และยา(อย.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ยา พ.ศ... ซึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับใหม่ว่า ขณะนี้ อยู่ระหว่างการให้สมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เช่น แพทย์ พยาบาล เภสัชกรรม ประชุมหารือกันเพื่อทำให้ความขัดแย้งระหว่างกันหมดไป และได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด ซึ่งสมาคมวิชาชีพก็ได้หารือกันมาหลายครั้ง ดังนั้นจึงคาดว่าจะสามารถเสนอร่าง พ.ร.บ.ยาให้กับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้ภายในช่วงกลางปี ๒๕๔๗ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของความล่าช้า แต่เนื่องจาก พ.ร.บ.นี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนจึงต้องทำให้รอบคอบที่สุด น.พ.ศุภชัยกล่าวว่า สำหรับการถกเถียง กันเรื่อง จะให้แพทย์สามารถสั่งยาให้กับคนไข้ได้หรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาหลักแล้ว เพราะในเบื้องต้น สมาคมวิชาชีพได้เสนอว่าควรจะให้แพทย์จ่ายยาให้กับคนไข้ของตนได้ แต่ต้องเป็นยาที่ใช้ทั่วๆไป แต่ยาบางประเภทที่ต้องมีการควบคุม เป็นพิเศษ เพราะอาจจะเกิดปัญหาผลเสียกับสุขภาพร่างกายของคนไข้ เช่น ยาที่ทำเสพติดได้ วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ซึ่งต้องให้เภสัชกร ช่วยควบคุมการจ่ายยา โดยขณะนี้มีรายละเอียดเพียงเล็กน้อยที่ยังอยู่ระหว่างการตกลงกัน เช่น ข้อความในกฎหมาย และบัญชียา ที่จะให้แพทย์สั่งจ่ายได้เอง แต่คาดว่าคงใช้เวลาไม่นานนัก "ประเด็นที่เป็นปัญหาหลักมากที่สุดในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้คือการควบคุมยาแผนโบราณ สมุนไพร ด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งจะเกิดปัญหาได้ ดังนั้น จึงควรจะแยก พ.ร.บ.ยาออกเป็น ๒ ส่วน คือ พ.ร.บ.ที่ควบคุมยาแผนปัจจุบัน และ พ.ร.บ.ที่ใช้ควบคุมยาสมุนไพร ซึ่งจะรวมไปถึง เครื่องสำอาง สมุนไพร อาหารเสริมสมุนไพรด้วย เนื่องจากจะทำให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ เนื่องจาก ตลาดสมุนไพรมีมูลค่าสูง แต่หากจะต้องทำตามหลักยาแผนปัจจุบันที่ต้องผ่านการพิสูจน์ทดลองทางวิทยาศาสตร์หลายขั้นตอน อาจจะช้า ทำให้แข่งขันไม่ได้ ซึ่งขณะนี้ อย.ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อดูแลด้านสมุนไพรโดยตรงแล้ว" น.พ.ศุภชัยกล่าว น.พ.ศุภชัยกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับการจัดทำ พ.ร.บ.ยาฉบับใหม่นั้น ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนสำคัญอะไรนัก ซึ่งได้ให้ความเห็น กับทางฝ่ายการเมือง ไปแล้วว่าหากสมาคมวิชาชีพไม่สามารถ ตกลงกันได้ก็ขอให้ใช้ พ.ร.บ.ยาฉบับเก่าไปก่อน เพราะ พ.ร.บ.ฉบับเดิม ก็ยังสามารถใช้ได้ ไม่มีปัญหาอะไรมากจนถึงกับต้องเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน.. (จาก น.ส.พ.มติชน ฉบับวันเสาร์ที่ ๓ มกราคม ๒๕๔๗) |
จากบิ๊ก
ดีทูบี ถึงเกษตรเอื้อสุขภาพ
|
นิสิต
ม.วช.และนร.ม.๔ เข้าค่ายบูรณาการที่บ้านราชฯ
|
ตลาดอาริยะปีใหม่'๔๗
|
คุณเป็นโรค"ลำไส้หงุดหงิด"หรือเปล่า?มีการวิจัยพบว่า ชาวอเมริกันกว่า ๓๕ ล้านคน กำลังถูกคุกคามด้วยโรค IBS (Irritable Boel Syndrome) หรือที่คนไทยเรียกว่า ลำไส้แปรปรวน หรือ ลำไส้หงุดหงิด โรคนี้ฟังดูแปลก เหมือนของใหม่ แท้จริงมีมานานแล้ว และพบว่า ประชากรทั่วโลก รวมทั้งคนไทย เป็นกันมากขึ้น จึงอดไม่ได้ที่จะมาเล่าสู่กันฟัง โรคลำไส้หงุดหงิดนี้ เป็นกลุ่มอาการของโรคทางเดินอาหารที่ผิดปกติเรื้อรังที่รักษาได้ เช่น ปวดท้อง ท้องอืด การขับถ่ายผิดปกติ บางคน ท้องเสียเรื้อรัง บางคนท้องผูกเรื้อรัง บางคนเป็นทั้งสองอย่างสลับกันไป โดยอาจมีท้องผูกอยู่หลายสัปดาห์ ก่อนจะมีอาการ ท้องเสีย สลับสัก ๒-๓ วัน บางคนเหมือนขับถ่ายไม่สุด หรือกลั้นอุจจาระไม่อยู่ บางคนปวดท้องตอนบ่ายๆ ทั้งที่เมื่อเช้ายังดีอยู่ บางคนไม่ปวดท้อง มาหลายวัน อยู่ๆ ก็ปวดท้องขึ้นมาตลอดวัน จุดที่ปวดสลับเปลี่ยนไป ไม่เหมือนคนเป็นโรคกระเพาะ บางครั้งอาจมีอาการท้องอืด ท้องโตร่วมด้วย อาการเหล่านี้มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของลำไส้เล็กหรือลำไส้ใหญ่ที่มีความไวต่อสิ่งกระตุ้นเกินไป ต้นเหตุของการเกิดจริงๆ ยังไม่ทราบ แต่สิ่งส่งเสริม ที่ทำให้เป็นบ่อยคือ ความเครียด ความกดดัน ความวิตกกังวล และการแพ้อาหารบางชนิด ซึ่งไม่สามารถรักษา หรือปัองกัน โรคนี้ได้ถึง ๑๐๐ % เพราะร่างกายของผู้ป่วยเกิดมาเป็นเช่นนี้เอง แต่สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ด้วยการออกกำลังกาย การพักผ่อนอย่างพอเพียง ไม่เครียด ระวังเรื่องอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวาน ควรรับประทานอาหาร ที่มีไขมันน้อย ไม่ควรดื่มนม การรักษาของแพทย์จะรักษาตามอาการที่เกิด ค่ะ แม้ว่าลำไส้หงุดหงิด เราต้องรักษาใจไม่ให้หงุดหงิดด้วยธรรมโอสถ หรือปฏิบัติตามหลัก ๗ อ. ให้ได้ จะทำให้ไม่หงุดหงิดทั้งกายและใจ. - กิ่งธรรม - |
๑๐ อันดับข่าวดังในรอบปี ๒๕๔๖ ของชาวอโศกอันดับ ๑ ๖-๑๒ เม.ย. งานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๗ เกิดโครงการ "ร่วมปฐพีพระวิหารพันปีบรมสารีริกธาตุ" ญาติธรรมสละทรัพย์ ซื้อที่ดิน หน้าพุทธสถานสันติอโศก ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งๆที่ชาวเราเป็นคนจน อันดับ ๒ ๓-๕ พ.ค. งานคืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ สัมมาสิกขา ครั้งที่ ๑ ที่ราชธานีอโศก เป็นการพบปะศิษย์เก่า สัมมาสิกขา ตั้งแต่รุ่นแรก จนถึงรุ่นปัจจุบัน โดยพ่อท่านได้เขียน จ.ม.ถึง นร.สัมมาสิกขาของชาวอโศกทุกคนที่จบไปแล้ว และอนุญาตเป็นพิเศษ สำหรับนักเรียน ที่ถูกทัณฑ์ สามารถมาร่วมงานได้ นร.ที่จบ ม.๖ จากสัมมาสิกขาทุกแห่งที่มาร่วมงาน ได้รับล็อกเก็ตผสมทองแท้รูปใบโพธิ์ และภาพพ่อท่าน จากพ่อท่านในงานนี้ด้วย โดยมี นร.ที่จบ ม.๖ มาร่วมงาน ๒๕๘ คน อันดับ ๓ ชมร.เชียงใหม่ เริ่มบริการอาหารฟรีเดือนละครั้ง ตั้งแต่ ๒๙ มี.ค.๔๕ และเริ่มมีผู้มาเหมาร้านเพื่อแจกฟรีตั้งแต่วันที่ ๕ ธ.ค.๔๕ ไม่ต่ำกว่า ๕ เดือน ต่อเนื่องกันไป ส่วนรายย่อยเหมาแจกเฉพาะแผนกนั้นมีตลอดถึงปัจจุบัน
อันดับ ๔ ๒๔-๒๗ ธ.ค.๔๕ เรือเอื้อมจุ้น ๔ ลำ เดินทางสู่บ้านราชฯ ๑ ใน ๔ ลำ ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กว้างประมาณ ๙ เมตร หนัก ๘๐ ตัน ชื่อโคกใต้ดิน ถูกลากมาหน้าเวทีธรรมชาติของบ้านราชฯ โดยชาวอโศกนับพันร่วมแรงลาก เมื่อ ๒๔ ธ.ค.๒๔๔๖ อันดับ ๕ ๒๐ มิ.ย. สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นิมนต์พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ร่วม "เสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในมุมมองสถานการณ์ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" ณ สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชั้นที่ ๒๗ อาคาร พญาไทพลาซ่า พญาไท เขตราชเทวี กทม. อันดับ ๖ ๑๐ มี.ค. ตัวแทนองค์การต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ประชุมเพื่อจัดตั้งสภาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติที่สันติอโศก พ่อท่านให้โอวาท จะเป็นกสิกร ต้องเสียสละ ตั้งใจผลิตของดี ขายราคาถูก มีความขยัน มีสมรรถนะ มีความมัธยัสถ์ ไม่ฟุ่มเฟือย อันดับ ๗ ๒๖-๒๗ ก.พ. กระทรวงศึกษาธิการจัดประชุมโรงเรียนวิถีพุทธที่โรงแรมแกรนด์เดอวิลล์ วังบูรพา กทม. เป็นครั้งแรก โดยเชิญครูชาวอโศกร่วมวางแนวทาง อันดับ ๘ ๒๙ ก.ค. ชาวบุญนิยมจากชุมชนอโศกประมาณ ๓๕๐ คน ร่วมเดินขบวนถือป้ายไปยังทำเนียบรัฐบาล มอบดอกไม้แด่ ฯพณฯ รองนายกรัฐมนตรี จาตุรนต์ ฉายแสง สนับสนุนให้รัฐบาลออกมาตรการ "งดโฆษณาเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทางโทรทัศน์" ตั้งแต่เวลา ๐๕.๐๐-๒๒.๐๐ น. อันดับ ๙ ๒๒-๒๔ ส.ค. ร.ร.สัมมาสิกขาสันติอโศก ร่วมจัดนิทรรศการ "การศึกษา ทางเลือกสายศาสนาธรรม" ณ ศูนย์ประชุม อิมแพค เมืองทองธานี นนทบุรี คุรุแก่นฟ้า แสนเมือง และคุรุขวัญดิน สิงห์คำ ได้รับคัดเลือกเป็นครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ ๓ ด้าน กสิกรรมไร้สารพิษ และด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามลำดับ พร้อมรับเข็มเชิดชูเกียรติ จากหน่วยงาน สกศ. สำนักงานนายกฯ อันดับ ๑๐ ๑๖-๑๘
พ.ค. งานเพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ ๑๐ ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก โดยความร่วมมือของเครือข่าย
กสิกรรมไร้สารพิษ แห่งประเทศไทย (คกร.), สถาบันเพื่อพัฒนาการเกษตรและชนบท
จำเนียร สารนาค (สจส.), ธกส. และชาวอโศก โดยมี รมช.คลัง นายวราเทพ รัตนากร
เป็นประธานเปิดงาน มีการถ่ายทอดสดพิธีเปิดไปทั่วประเทศ (จากแบบสอบถาม ๕๐๐ แผ่น มีผู้ออกความคิดเห็น ๑๙๗ ราย แบบสอบถามเสีย ๑๘ ราย) |
หน้าปัดชาวหินฟ้า เจริญธรรม สำนึกดี เบิกฟ้าศักราชใหม่กับ นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๒๒(๒๔๔) ปักษ์แรก ๑-๑๕ ม.ค.๒๕๔๗ ขอขึ้นต้นด้วยคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ปี๔๗ ของ ฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร "รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน" ส่วนคำขวัญวันเด็กที่พ่อท่านได้กรุณาให้ในปีนี้ คือ "ทั้งเด็ก ทั้งคนแก่ ให้มีความรักและความเกื้อกูล ย่อมสมบูรณ์ด้วยความสุข" สำหรับบรรยากาศงานวันเด็กที่ชุมชนชาวอโศกได้จัดขึ้น จะนำเสนอในฉบับหน้า ตลาดอาริยะปีใหม่'๔๗... ก่อนงานพ่อท่านพาลูกๆนับพันแสดงพลังมหัศจรรย์ของมนุษย์ ด้วยการลากเรือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ (จิ้งหรีด ได้ยินมาอย่างนี้ ใครไม่เชื่อไปพิสูจน์ได้ที่บ้านราชฯเมืองเรือ) เป็นเรือที่ทำด้วยไม้ ซึ่งพ่อท่าน ตั้งชื่อให้ว่า "โคกใต้ดิน" (แต่ถ้าใครเกิดไปเจอเรือ ที่ใหญ่กว่านี้ ก็ช่วยบอกจิ้งหรีดด้วยล่ะกัน) ภาพการลากเรือของชาวเราในวันนั้น ได้รับการบันทึกภาพวิดีโอ และได้ตัดต่อนำมาฉาย ในรายการสุดท้ายของคืนวันอังคารที่ ๓๐ ธ.ค.๔๖ หลายคนเห็นแล้วรู้สึกประทับใจ น้ำตาซึมกันไปหลายหน่วย บางคนที่ไม่รู้ว่ามีเรื่องดีๆอย่างนี้ ก็บอกว่าถ้ารู้ก่อน จะรีบมาช่วยรวมพลัง ลากเรือด้วยคน พวกเราลากเรือลำนี้มาไว้หน้าเวทีธรรมชาติ ซึ่งต่อไปจะได้ใช้เป็นอาคารเรียน เป็นห้องประชุมสัมมนาเพราะใหญ่โตกว้างขวาง... และแล้ว พญาแร้งตัวแรกของชาวอโศก ก็ได้มาติดตั้งที่บ้านราชฯเมื่อวันอังคารที่ ๓ ธ.ค.๔๖ โดยทางสันติอโศกไปจ้างหล่อมาในราคา ๘๐,๐๐๐ บาท โดยมีแง่คิดว่า ลักษณะของแร้งจะไม่รังแกสัตว์อื่น (มีแต่จะถูกรังแก) แร้งนั้นจะกินซากศพสัตว์(หรือกินเนื้อบังสุกุล) แต่มีความสามารถ เหนือพญาอินทรีย์ (อินทรีย์ขาวเป็นสัญญลักษณ์ของอเมริกา) คือ บินได้สูงถึง ๑๑ ก.ม. ถือได้ว่าเป็นนกที่บินได้สูงที่สุด สายตาก็ดีกว่า แม้ไม่เป็นพิษ เป็นภัยต่อสัตว์ทั้งหลาย แต่คนเราก็จะรังเกียจ ไม่อยากเข้าใกล้ ซึ่งพ่อท่านเคยเปรียบชาวเราเหมือนว่าเป็นนกแร้ง รู้อย่างนี้แล้ว คงตอบข้อสงสัยในใจบางคนได้ว่า ทำไมถึงต้องเป็นอีแร้งด้วย...พ่อท่านได้พูดถึงตลาดอาริยะว่า ปีต่อไปจะเปิดตลาด สู่ระดับอินเตอร์ มากขึ้น โดยจะเอาสินค้าประเภทอุตสาหกรรม ที่คนทางโลกนิยมใช้และมีราคาแพง มาขายต่ำกว่าทุน เช่น รถป้ายแดง เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น แต่คงต้องดูรายละเอียดอีกที ซึ่งถ้านำมาขาย พวกเราก็ ไม่เอากำไร แถมขายแบบขาดทุนด้วย... วันพุธ ที่ ๓๑ ธ.ค.๔๖ รอง ผวจ.อุบลราชธานี มาช่วย เป็นประธานเปิดงานตลาดอาริยะปีใหม่'๔๗ ซึ่งท่านออกตัวแทนท่าน ผวจ.อุบลฯ ว่าติดภารกิจ ต้องไปรายงานยุทธศาสตร์ในการพัฒนา จ.อุบลฯ ให้คณะรัฐมนตรีฟัง จึงให้ท่านรองฯ มาช่วยเปิดงานแทน และเมื่อท่าน ได้มาสัมผัสงานนี้แล้ว ได้แสดงความประทับใจและกล่าวชื่นชมกิจกรรมต่างๆของชาวเรา ทั้งยังกล่าวอีกว่า ถ้าปฏิบัติตามราชธานีอโศกได้ จะต้องพ้นจากความยากจน...พูดถึงความยากจน พ่อท่านได้ถามพวกเราในช่วงทำวัตรเช้าวันหนึ่งว่า เราจัดอยู่ในกลุ่มคนผู้ยากจนหรือไม่ และจะต้องไปแจ้งต่อรัฐบาลที่กำลังสำรวจคนในประเทศว่า ใครยากจนบ้าง ตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ที่จะขจัดความยากจน ให้ประชาชน ทั่วประเทศ เริ่มที่ ๘ จังหวัดนำร่อง ก็มีพวกเราบอกว่า ลักษณะคนจนเขามีเขียนไว้หลายลักษณะ พวกเราคงเข้าลักษณะข้อสุดท้าย คือข้อที่ ๘ ที่แบบกรอกข้อความคนจน เขียนไว้ว่า "อื่นๆ" เพื่อเว้นที่ไว้เผื่อคนจนที่ไม่อยู่ใน ๗ ข้อแรก จิ้งหรีดคิดว่าชาวอโศก น่าจะเป็นคนจนลักษณะที่ ๘ เพราะเป็นคนจน ที่ไม่ต้องให้ใครมาช่วยเหลือ เพราะสามารถพึ่งตนเองได้ ถ้ามีมาก ก็แจกจ่าย ให้คนอื่นโดยไม่ต้องหอบหวงไว้ ไม่สะสมกักตุน ตามหลักมรรคมีองค์ ๘ (๘ เหมือนกัน) ดั่งที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำเป็นแบบอย่าง และสอนคนให้รู้แนวทางเป็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่เช่นพระพุทธองค์...ในช่วง ก่อนฉัน ในวันแรกของงานตลาดอาริยะปีนี้ คุณนิติภูมิ ตกเครื่องบิน เลยเดินทางมาปาฐกถาไม่ได้ตามกำหนด คณะกรรมการจัดงานจึงเชิญ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ดร.จำลอง ศรีเมือง ขึ้นปาฐกถาแทน ครั้งนี้ชาวเราก็เลยได้รู้ว่า พล.ต.จำลอง นั้น เป็นด็อกเตอร์กิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ของเกาหลีใต้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ก็ได้ปฏิเสธไม่รับมาแล้ว แต่ครั้งนี้เพราะคุณศิริลักษณ์ ศรีเมือง แนะให้รับเพราะเขาให้ด้วยสาเหตุที่คุณจำลอง เป็นนักการเมือง ที่ได้คะแนนเสียง จากประชาชนอย่างบริสุทธิ์ ไม่มีการซื้อเสียง... บรรยากาศงานตลาดอาริยะปีใหม่ครั้งนี้ ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากเครือข่ายกสิกรรม ไร้สารพิษแห่งประเทศไทย (คกร.) จากสำนักงาน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมีชาวอโศกเป็นแกนนำในการจัดงานนี้...ปีนี้มีชาวบ้านมาค้างคืน เตรียมซื้อสินค้า ตั้งแต่วันแรก และปีนี้จัดสถานที่ได้กว้างขวางขึ้น ไม่คับแคบเหมือนทุกปีที่ผ่านมา แถมคนที่มาซื้อสินค้าก็ทยอยมาเรื่อยๆ ต่างจากทุกปี ที่วันแรกคนจะแน่นมาก วันต่อมาคนจะน้อยลง แต่ครั้งนี้วันแรกเปิดตลาดคนยังไม่ค่อยแน่น วันต่อมาคนกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสินค้าปีนี้ก็มากกว่าทุกปี แต่ก็ขายได้เกือบหมด ลูกค้าบางคนก็มาวันแรก (๓๑ ม.ค.๔๖) แล้วก็มาอีก ในวันสุดท้าย บางคนก็บอกว่า เกือบไม่ได้มา เพราะได้ข่าวที่งานกาชาด ในเมืองอุบลฯ ทำนองว่า ปีนี้ไม่มีตลาดอาริยะฯที่บ้านราชฯ บางคนก็บอกว่า มาตามวันเวลา ที่เคยมาในปีที่แล้ว (๓๐ ธ.ค.) ก็ปรากฏว่ายังไม่ขาย แต่เริ่มขายวันที่ ๓๑ ธ.ค. คนซื้อจึงสับสนอยู่บ้าง... ฝ่ายขยะ ซึ่งอาดินดอนดูแลอยู่ บอกว่าปีนี้ราบรื่นดีขึ้น แถมฝากขอบคุณอาหลอมเหลา
ที่มาช่วยอย่างแข็งขันแถมชมอีกว่าติดดินดี...ทางหน่วย รปภ. ก็ดีมีคนเก่าที่รู้งาน
มาช่วย อย่างเช่น ม.วช.ดุลย์ จากศีรษะอโศก ก็มาช่วยจัดระบบจราจรแบบวันเวย์อย่างแข็งขัน
ช่วยให้รถไม่ติดขัด เช่นปีที่แล้ว ที่รถติดยาวถึงบ้านคำกลางเป็นชั่วโมงๆ
แถมฝ่ายรปภ.ยังช่วยบอกให้รถขายไอศกรีมที่จะมาขาย ให้ออกนอกบริเวณงาน ยกเว้น
ถ้าคนขายพร้อมจะขายต่ำกว่าทุนก็ให้ขายได้ จิ้งหรีดได้ฟังเรื่องตลาดอาริยะปีนี้ ที่มี พ่อค้าแม่ค้าจากภายนอกเข้ามากันมากขึ้น ซึ่งทาง รปภ.ของเราก็ต้องทำหน้าที่ แบบเทศกิจแล้ว ก็รู้สึกเห็นใจ เพราะลำพังงานจราจรและประสานงานด้านอื่นๆ ก็มีมากมายอักโขอยู่แล้ว จิ้งหรีดเลยเกิดความคิดอยากจะนำเสนอว่า ถ้าเราจะจัดโซน นอกเขตตลาดอาริยะให้สักที่หนึ่ง พออะลุ้มอล่วยให้ขายได้จะดีหรือไม่? แต่ขอให้เป็นอาหารมังสวิรัติ หรือเป็นสินค้า ที่มิใช่มิจฉาวณิชชา คือให้ขายได้แต่มีข้อแม้ หรืออาจมีเงื่อนไขที่เหมาะสม เช่น ให้ขายต่ำกว่าราคาปกติ เป็นต้น หรือมีแนวทางใดๆ ที่จะรองรับ ปัญหาเหล่านี้ เพื่อที่ฝ่าย รปภ.จะได้ปฏิบัติงานได้ง่ายขึ้น นี่...จิ้งหรีดก็คิดเองเล่นๆ จะถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควร ก็คงต้องฟังผู้หลักผู้ใหญ่ท่านพิจารณากันต่อไป...จิ้งหรีดไปงานที่บ้านราชฯ คราวนี้ เห็นพ่อท่านดูเข้ม และหนุ่มขึ้นเป็นกอง ก็ลองสอบถามท่านแน่วแน่ (ปัจฉาสมณะ) เลยได้รู้ว่า พ่อท่านไปช่วยงานทั้งยกทั้งแบกทั้งหาม (โดยเฉพาะหิน) ตากแดดตากลม ไม่ได้นั่งเขียนหนังสือทั้งวันหรือใช้สมองเหมือนอยู่ที่สันติฯ ก็อาจมีผลทำให้ดูหนุ่มขึ้น นี่ถ้าเราแบ่งเบางาน ของพ่อท่านได้มากขึ้น ก็คงช่วยให้ พ่อท่านอายุยืนขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย ยิ่งจิ้งหรีด ได้มีโอกาสดูการแสดงของชาวสันติอโศก ที่ติดต่อกับ ชาวอโศก ในอนาคตอีกหลายร้อยปีข้างหน้า ก็รู้สึกซาบซึ้งกับการแสดงชุดนี้ เห็นหลายคนที่ดู ก็รู้สึกจะน้ำตาซึมเหมือนกัน เพราะยุคโน้น จะได้รู้จักพ่อท่าน แต่เพียงรูปภาพ มิใช่มีเลือดเนื้อวิญญาณจริงๆ เช่นชาวเราในยุคนี้ แล้วก็ทำให้นึกถึงโศลกธรรมปีใหม่ ที่พ่อท่านให้ลูกๆ ในปีนี้ว่า "ไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำด้วยวิชชา" สาธุ...จี๊ดๆๆๆ ยายงดได้กำไร...บริเวณเต็นท์ขายสินค้าของชุมชนศาลีอโศกในตลาดอาริยะ มีชาว ต่างชาติ ๒ คน พร้อมล่ามอีกคน เข้ามาเอ่ยถามราคาผ้าห่ม "ยายซื้อมาผืนละ ๑๕๐ บาท แต่มาเอากำไรอาริยะขาย ๑๓๐ บาทค่ะ" ยายตอบ พลันชาวต่างชาติควักเงิน ๑๕๐ บาทยื่นให้ยาย ยายรับเงินแล้วควานหาเงินทอนอยู่นานก็ไม่มี เตรียมจะไปยืมเงินทอนจากญาติธรรมอีกคน ชาวต่างชาติเห็นดังนั้น รีบพูดผ่านล่ามขึ้นมาว่า "ผมซื้อยายในราคา ๑๕๐ บาทก็แล้วกัน" พอยายได้ยินเช่นนั้น ก็อุทานขึ้นมาว่า "อ้าว! แบบนี้ยายก็ขาดทุนนะซิ" จิ้งหรีดได้ยินก็นึกว่ายายพูดผิด แต่พอได้อ่านป้าย "ที่นี่ตลาดอาริยะ" เท่านั้นก็หายสงสัยทันที...สาธุ...จี๊ดๆๆๆ ไม่คิดค่าบริการ... รถตู้กองทัพธรรมเดินทางกลับจากตลาดอาริยะเพื่อกลับศาลีอโศก เกิดมีปัญหาเรื่องยางล้อหลัง พนักงานขับรถแวะร้าน ก.การช่าง (บริเวณสี่แยกเข้าตัวเมืองอุบลฯ) ปรากฏว่า พนักงานของร้านหยุดช่วงปีใหม่ มีเพียงเจ้าของร้าน ที่รีบขมีขมัน มาตรวจสภาพรถ ที่มีปัญหาให้ สักครู่ใหญ่ยางล้อหลังของรถตู้ก็สามารถใช้งานได้ พอพนักงานขับรถชาวเราถามถึงค่าบริการ เจ้าของร้านตอบว่า "ผมไม่คิดค่าบริการหรอกครับ ร่วมทำบุญฉลองปีใหม่ครับ" จิ้งหรีดเกาะอยู่ แถวเบาะคนขับได้ยินแล้วก็ซึ้ง โอหนอ! กำไรอาริยะใช่จะมีเฉพาะที่ตลาดอาริยะเท่านั้น นอกเขตเทศบาล อ.วารินฯ ก็มีเหมือนกันฮะ สาธุๆ...จี๊ดๆๆๆ ย้ายสถานที่...แจ้งข่าวกันสักหน่อยว่า ตั้งแต่วันที่ ๑ ม.ค.๔๗ ศูนย์อาหารมังสวิรัติกำแพงเพชร ได้ย้ายสถานที่ตั้งไปอยู่ที่ อ.สลกบาตร ริมถนนสายเอเชีย เลยตัวอำเภอสลกบาตรไปเล็กน้อย โดยร้านตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม โรงแรมสลกบาตร ฝั่งขาขึ้นภาคเหนือ หากผู้ใด ต้องการทราบ รายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ ผู้ใหญ่เชย (น้องชายสมณะก้อนหิน) โทร. ๐-๑๒๘๐-๖๗๒๕ ...จี๊ดๆๆๆ ก่อนจากฉบับนี้ขอฝากพรปีใหม่๔๗ จากสมณะอรณชีโว ดังนี้ "วันเวลา ๑ ปีที่กำลังผ่านไป หมายถึงอายุที่เราได้มา และอายุที่เราได้เพิ่มอีก ๑ ปี จึงคือชีวิตที่เราท่านทั้งหลายได้สูญเสียไป ดังนั้น การฉลองปีใหม่ อย่างสัมมาทิฏฐิ คือการฉลองศีลสมโภชน์ หรือการสืบทอดอายุของศีลธรรมให้ยาวนานที่สุด เพราะอายุ ของศีลธรรมยาว ชีวิตคนก็ยืนยาว อายุของคน-ดินฟ้าอากาศ (ฤดูกาล) ขึ้นอยู่ที่ 'ศีลธรรม' และผู้รู้ได้ฝากข้อเตือนใจว่า เมื่อดวงศีลดี-ดวงกรรมก็ดี-เมื่อดวงกรรมดี-ดวงคนก็ดี-เมื่อดวงคนดี-ดวงบ้านดวงเมืองก็ดี" สวัสดีปีใหม่ พบกันใหม่ในฉบับหน้านะฮะ จิ้งหรีด - |
ค่ายจริยธรรมหนุ่มสาว กลุ่มรามบูชาธรรมในระหว่างวันที่ ๑๕-๑๘ ธ.ค.๔๖ น.ศ.กลุ่มรามบูชาธรรม มหาวิทยาลัยรามคำแหง จำนวน ๑๙ คน ได้จัดกิจกรรมเข้าค่ายจริยธรรมหนุ่มสาว ขึ้นที่ ชุมชนวังสวนฟ้า จ.สระแก้ว (โดยก่อนหน้านี้ ระหว่างวันที่ ๘-๑๒ ธ.ค.๔๖ ทางชุมชนได้จัดหลักสูตร อบรมสุขภาพ ๗ อ. โดยมีผู้เข้าอบรม ประมาณ ๕๐ กว่าคน) ก่อนที่จะมีงานค่ายครั้งนี้ ทางทีมทำงานได้ประชุมปรึกษาหารือกัน เพื่อกำหนดรูปแบบของงาน เพื่อให้ได้สาระและประโยชน์มากที่สุด และ มีแนวความคิดว่า ต้องการ จะนำคอร์สมหัศจรรย์มาใช้ในงานครั้งนี้ด้วย จึงได้เรียนปรึกษากับสมณะลานบุญ วชิโร ซึ่งท่านได้กรุณา ให้คำแนะนำ และได้มาร่วมงานค่ายในครั้งนี้ด้วย กิจกรรมในแต่ละวัน เริ่มตั้งแต่เวลา ๐๔.๓๐ น. มีการทำวัตรเช้า ออกกำลังกาย เดินตามสมณะบิณฑบาต ลงฐานงาน ซ่อมแซม ปรับปรุง บ้านนักศึกษา ตีข้าว เผาข้าวหลาม และล้างอุปาทานสำหรับผู้ที่กลัวผี ซึ่งทุกกิจกรรมที่ทำจะเน้นขบวนการกลุ่ม มีการพูดคุย แสดงความรู้สึก หลังจากที่ได้ทำกิจกรรมเสร็จแล้ว ทำให้เพิ่มความเข้าใจและความสามัคคีในหมู่กลุ่มมากขึ้น แต่ละคนก็ได้ให้เวลากัน ให้ความเข้าใจ ให้อภัยไม่ถือสากัน และไม่ทำอะไรตามใจตามภพของตนเอง ซึ่งเป็นหัวใจหลัก ๔ ข้อ ของคอร์สมหัศจรรย์ ที่สมณะลานบุญ วชิโร ได้นำพาทำ ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ ๓ ที่นักศึกษาได้มีโอกาสมาจัดกิจกรรมที่ชุมชนวังสวนฟ้า
โดยทุกครั้งที่มาก็พบเห็นการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง แต่มีสิ่งหนึ่ง ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือ
น้ำใจและความเอื้ออาทรของชาวชุมชนที่มีให้กับนักศึกษาเสมอมา และความเมตตาของสมณะแก่นเมือง
เกตุมาลโก ที่คอยดูแลนักศึกษาทุกครั้งที่มาจัดกิจกรรมที่นี่ นอกจากนี้ยังมีสมณะนึกนบ
ฉันทโส และสม.มาบรรจบ เถระวงศ์ ที่พอทราบข่าว ก็มีเมตตาเดินทางมาร่วมงาน
และได้มาเทศน์ให้แง่คิดที่มีประโยชน์มากทีเดียว ถึงแม้ว่าทั้ง ๒ ท่านจะอยู่ร่วมงานได้เพียงวันเดียวก็มาก น.ส.พรรณพิลาศ รัตนมณี "รู้สึกประทับใจ ได้รับน้ำใจจากพี่ๆ เพราะตัวเองไม่สบาย พี่ๆก็เป็นห่วง มางานค่ายครั้งนี้ ทำให้กล้าพูด ในสิ่งที่คิดมากขึ้น มีความมั่นใจกล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้นค่ะ" น.ส.ลัดดา รัตนชัย "การจัดงานครั้งนี้ รู้สึกประทับใจกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา มีความรู้สึกว่าตัวเองได้เป็นเจ้าของงานร่วมกับเพื่อนๆพี่ๆทุกคน รู้สึกสนิทสนมกันมากขึ้น มีความสามัคคีมากขึ้น ก่อนจะทำอะไรทุกคนก็ได้ปรึกษาหารือกัน และตกลงทำตามมติที่ประชุม ที่ได้อย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะคอร์สมหัศจรรย์ ที่ท่านลานบุญ พาทำก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นงานค่ายจริยธรรมหนุ่มสาวของกลุ่ม ก็อยากให้จัดออกมา ในรูปแบบนี้ค่ะ" กลุ่มรามบูชาธรรม รายงาน - |
ชาวอโศกรวมพลังสร้างประวัติศาสตร์
|
กิจกรรมสร้างสุขภาพ
๗ อ.
|
ค่าย ยอส.ครั้งที่ ๗ เป็นห้องเรียนใหญ่ ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๘ ธ.ค. เป็นการเข้าค่ายของ น.ร.สัมมาสิกขาของชาวอโศกตั้งแต่ชั้น ม.๑ - ม.๖ ทั้ง ๑๑ สถาบัน คือ ปฐมฯ, ศีรษะฯ, สันติฯ, ศาลีฯ, สีมาฯ, ราชธานีฯ, ภูผาฯ, หินผาฯ, ดินหนองฯ, เชียงรายฯ, จำนวน ๖๒๗ คน เพื่อร่วมเตรียมงานตลาดอาริยะปีใหม่'๔๗ ณ ชุมชน ราชธานีอโศก ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๗ ๑๙.๐๐ น. เปิดเพลงรวมพลสัมมาสิกขา เริ่มกิจกรรมสลายพฤติกรรม.หน้าเฮือนศูนย์สูญ ท่ามกลางความมืด พี่ม.วช.ถือคบเพลิงนำทาง และร่วมกันเข็นเรือธรรมจักร เรือใหญ่-เล็กตามลำดับ ภายใต้คำขวัญประจำค่าย "ผนึกวิญญาณ ประสานสัมพันธ์ สถาบันอโศก" ไม่แบ่งแยก ผ้าพันคอ ว่าสีใด ขอเพียงใจเราเป็นหนึ่งเดียว แบ่งกลุ่มแต่ละชั้นของแต่ละพุทธสถานมาอยู่รวมกัน รวม ๑๖ กลุ่ม จบด้วยโอวาท จากสมณะฟ้าไท สมชาติโก ถ้าแต่ละคนถือศีล ๕ ก็จะอยู่กันอย่างเป็นสุข ตลอด ค่ายนี้เป็นการบูรณาการ การเรียนการสอน ของสัมมาสิกขา มิใช่เพียงแค่มาใช้แรงงานเท่านั้น ๒๔ ธ.ค. รวมตัวกันสร้างประวัติศาสตร์ให้กับชีวิต ผนึกกำลังกับทุกฐานะลากเรือโคกใต้ดิน เรือเอี๊ยมจุ๊นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และ ในบ้านราชฯ น้ำหนัก ๘๐ ตัน ไปยังหน้าเฮือนศูนย์ ระยะทาง ๒๐๐ เมตร ภาคค่ำพบพ่อท่านที่ลานหินหงส์ กล่าวย้ำว่า ภูมิใจที่พวกเรา จบไปแล้ว นำศีลไปประพฤติปฏิบัติ ๒๕ ธ.ค. ไม่มีธรรมะรับอรุณ ลงปฏิบัติงาน ภาคค่ำฟังชีวิตของหมอก้องและหมอแก้ง หมอหนุ่ม ทั้ง ๒ ที่เห็นว่าอาชีพที่สูงสุด ที่ควรไขว่คว้า คืออาชีพนักบวช ๒๖ ธ.ค.ธรรมะรับอรุณ โดยสมณะมือมั่น ปูรณกโร และสมณะกล้าตาย ปพโล ประวัติศาสตร์ชีวิตของเรา ต้องสร้างด้วยตัวของเราเอง จะดีเลว ยิ่งใหญ่ ไม่เข้าท่าก็อยู่ที่ฝีมือของเราเอง ภาคค่ำใกล้ชิดชีวิตเพื่อน พบสมณะ-สิกขมาตุ ๒๗ ธ.ค.ธรรมะรับอรุณ โดยสมณะเห็นทุกข์ ยตินทริโย และสมณะถักบุญ อาจิตปุญโญ ดำเนินรายการโดยสมณะแก่นหล้า วัฑฒโน เรื่องราวชีวิตของสมณะนวกะ ที่กว่าจะได้มาบวชเป็นสมณะนั้นต้องพบกับกับดักมากมาย แต่สุดท้ายก็คว้าชัย ยอส. อาจจะแปลว่า ยืนหยัดอดทน สู้ให้ได้ ภาคค่ำ ม่วนซื่นโฮแซว การแสดงรอบกองไฟของแต่ละกลุ่มใช้เวลา ๕ นาที ๒๘ ธ.ค. ๑๔.๐๐ น. รับขวัญธรรม จากพ่อท่านที่ให้โอวาทว่า ผู้ปกครองคนใดที่ให้เงินลูกใช้ขณะที่เป็น น.ร.สัมมาสิกขา ถือว่าผิดกฎระเบียบ ของ ร.ร. และการศึกษาที่นี่นำทางชีวิตสู่โลกุตระ ในค่ายนี้ได้แบ่ง น.ร.เข้าประจำการปฏิบัติงาน ตามฐานงานต่างๆ และได้สิ้นสุดการปฏิบัติงานในเวลา ๑๔.๐๐ น. ของวันที่ ๓ ธ.ค. ๔๗ |
ชื่อ
นายนิยม นาประโคน ในงานประจำปีต่างๆของชาวอโศก หลายท่านอาจจะเคยเห็นญาติธรรมชายที่พิการทางดวงตา ร่วมนั่งฟังธรรมและบางครั้ง ต้องอาศัยผู้อื่น ช่วยนำทาง ท่านชื่ออาจารย์นิยม ไปคุยกับท่านกันเลยค่ะ *** ลูกกำพรอย ปี ๒๕๒๐ เจอพ่อท่านขณะจาริกฯที่ อ.ประโคนชัย ได้นิมนต์พ่อท่านไปปักกลดแสดงธรรม ๗ วัน ๗ คืน แล้วผมก็เริ่มปฏิบัติธรรม เป็นครูที่ประโคนชัย ๑๘ ปี ลาออกไปทำงานเป็นครูที่สิงคโปร์ ๑ ปี ไปทำงาน ที่ซาอุดิอาระเบีย เป็นล่ามให้กับบริษัท ขุดเจาะน้ำมันหลายแห่ง ทั้งของฝรั่งเศส, อเมริกา, เยอรมัน มีชีวิตอยู่ระหว่างทะเลทราย-ทะเลอยู่ ๖ ปี คิดว่าพอแล้ว ออกมาทำงานแปล ต้องอยู่กับต้นฉบับ จนเริ่มปวดตา ไปหาหมอหลายแห่งก็ไม่หาย *** ทยอยใช้หนี้ *** ที่ดี..ด้วยยุติกรรม เคยท้อบ้างตอนแรกๆ แต่คิดว่าเป็นการชดใช้กรรม เราเป็นลูกหนี้ เราต้องใช้ ไม่ชาตินี้หรือชาติหน้า เมื่อเขาเป็นเจ้าหนี้ เราเป็นลูกหนี้ เราก็ต้องรีบใช้ จะได้ยุติธรรม มิฉะนั้นกฎแห่งกรรมก็ใช้ไม่ได้ เรามีหน้าที่ ชดใช้อย่างเดียว ใช้เร็วเท่าไรก็หมดเร็วเท่านั้น *** ตาบอดไม่ใช่อุปสรรค ถ้าเชื่อกฎแห่งกรรม ทุกอย่างจะหมดปัญหา ลงตัว มิฉะนั้นจะปรับลำบาก อะไรจะเกิดขึ้นขอให้เรามีสติ ทุกอย่างมาแต่เหตุ ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า ควบคุมกรรม ๓ ให้ดี สร้างกรรม ๓ ให้บริสุทธิ์ ลดอกุศลลง แล้วจะรอด *** ฝากให้คิด - บุญนำพา รายงาน -
|
บุฟเฟ่ต์บุญนิยมระดับ
๓
|