ฉบับที่ 225 ปักษ์แรก 16-29 กุมภาพันธ์ 2547 |
ปัญหาประการหนึ่งของมูลนิธิชาวเรา ที่รับที่ดินที่ญาติธรรมบริจาคให้ แม้ว่าพ่อท่านได้ให้นโยบายอย่างชัดเจนในการรับบริจาคที่ดินว่า เมื่อบริจาคที่ดินให้มูลนิธิแล้ว มูลนิธิจะใช้ประโยชน์หรือจะขาย เพื่อนำเงินมาใช้ประโยชน์ทางศาสนา ก็เป็นสิทธิ์ของมูลนิธิ ซึ่งเจ้าของที่ดินจะต้องยอมรับในจุดนี้ด้วยศรัทธาเป็นเบื้องต้น แต่ปรากฏว่า ยังมีเจ้าของ ที่ดินบางแห่ง เมื่อบริจาคแล้ว ยังถือสิทธิ์ในที่ดินของตัวเองอยู่ จนเป็นปัญหาอยู่จนกระทั่งในปัจจุบัน ฉะนั้นจึงเป็นแง่คิดแก่คณะกรรมการมูลนิธิที่จะรับที่ดินเป็นของมูลนิธิ จะต้องกลั่นกรองและทำความเข้าใจต่อผู้บริจาคให้ชัดเจน ว่าเมื่อบริจาคแล้ว จะต้องไม่ยึดติดในที่ดินของตัวเองที่บริจาคแล้ว และอาจมีใบสัญญายินยอมให้มูลนิธิสามารถนำไปขายได้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร หากไม่ยินยอม ทางมูลนิธิก็สามารถคืนเป็นที่ส่วนตัวของเจ้าของได้เพื่อความเหมาะสม. |
ถือศีล ๘ แล้วร้องเพลงได้ไหม? เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยมานาน มีงานรื่นเริงทีไรเห็นนิสิตบางคนร้องเพลง เป็นประจำ ก็ในเมื่อนิสิตคนนั้นถือศีล ๘ แล้วทำไมยังร้องเพลงได้ แล้วตกลงว่าร้องเพลงได้หรือไม่ได้กันเนี่ย! หรือ บางคนไม่ร้องเพลง แต่กิริยาท่าทางไม่สำรวมเอาเสียเลย ชมดชม้อยชายตาอยู่เรื่อย ลองมาฟังพ่อท่านอธิบายความหมายของนัจจะ คีตะ วาทิตะ ว่ามีความลึกซึ้งขนาดไหน (ภูผาฯงานฉลองหนาว ๒๔ ม.ค.๔๗) "...เรามีร้องมีรำมีเต้นอะไรพวกนี้ มันมี แต่เป็นศิลปะ เป็นเครื่องจรรโลงใจ เป็นมงคลอันอุดม เราร้องเรารำก็เป็นการสื่อเพื่อที่จะให้เกิดจิตวิญญาณรับรสรับรู้ ประทับใจ เป็นเรื่องพัฒนา ไม่ใช่เรื่องมอมเมา ไม่ใช่เรื่องพาให้ไปดูดดึง เรื่องที่จะตกต่ำ ในเรื่องที่จะไปหลงใหลในเรื่องอบายมุข ไม่ใช่ ถึงจะเป็นร้องเป็นรำอะไรต่างๆนานาที่เป็นศิลปะ อันนี้ต้องเข้าใจอย่าพาซื่อ ถือศีล ๘ ร้องเพลงก็ไม่ได้ ร้องเพลงที่มีคุณค่ามีประโยชน์ สำหรับตนก็เอามาท่องมาทวน เอามาร้องแล้วทำให้เรานี้สำนึกลดละกิเลสได้ เพลงอย่างนี้เป็นศิลปะ เป็นมงคลอันอุดม ไม่ได้อาบัติ ไม่ได้บาป ไม่ได้เสียอะไรต้องเข้าใจให้ลึกซึ้ง แต่ในขั้นตอนคน แยกไม่เป็น เพลงอย่างไรเป็นเพลงที่เกิดคุณค่าเป็นมงคลอันอุดม เป็นศิลปะ เพลงอย่างใดเป็นอนาจาร เป็นสิ่งมอมเมา ทำให้คนยิ่งเลวลง กิเลสยิ่งหนาขึ้น แยกไม่ออก เมื่อแยกไม่ออกก็ตัดทิ้งก่อนเพลงอะไรก็ไม่เอาทั้งนั้น อย่างนี้เป็นต้น นั่นเป็นขั้นต้น เหมือนอย่างเราเรียนคณิตศาสตร์ขั้นต้นศูนย์ (๐) ไม่มีค่า แต่คณิตศาสตร์ขั้นสูง ศูนย์มีค่า พอขั้นสูงมาแล้วก็ต้องแยกเป็น เพลงการก็ดี กลอนโคลงก็ดี คีตะวาทิตะ วาทิตะก็คือโคลงคือกลอน คีตะก็คือสำเนียงเสียง สุ่มเสียงต่างๆ นัจจะก็คือท่าทางลีลาต่างๆ ต้นๆก็เอาแค่ฟ้อนรำ พอสูงขึ้นนัจจะแปลว่าท่าที ลีลา แสดงท่าทีลีลาความโลภ แสดง ท่าทีลีลาราคะ ไอ้หนุ่มบ้างคนแก่เฒ่าหัวงูบ้างแสดงท่าทีลีลาราคะ ผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม ยิ่งผู้หญิงเซ็กซ่งเซ็กซี่ลีลาราคะทั้งนั้นแล้วหลงว่าเก่ง นั่นน่ะแสดงว่าไม่เข้าใจอะไรในโลก แล้วก็มอมเมาปรุงแต่งกันเต็มไปหมดในสังคม เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักนัจจะคีตะวาทิตะพวกนี้ แล้วเราก็รู้จักการลดการละ แก้ไข อย่าให้มันเกิด ฟังแล้วคงกระจ่างใจว่าขอบเขตของนัจจะคีตะวาทตะนั้น หมายถึงมงคลอันอุดม ที่เป็นไปเพื่อการลดละกิเลส มิใช่มอมเมากิเลสทั้งของตนและผู้อื่น ร้องได้เพื่อเป็นการทบทวน เหมือนการท่องมนต์ แต่อย่าไปหลงเสียงตัวเองเข้าล่ะ เพราะนั่นคือเป็นการสะสมกิเลสให้กับ ตัวเองชัดๆ. - เด็กวัด -
|
ทำให้เด็กวัยรุ่นรู้จักพึ่งตนเอง ฝึกดูแลสุขภาพให้ดี ทีมงานสาธารณสุขบ้านราชฯ ร่วมกันจัดค่าย ๗ อ. ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ ก.พ.๔๗ ให้กับ นร.สัมมาสิกขาราชธานีอโศก ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน ๒๘ คน โดยมีเป้าหมายของการเข้าค่าย คือ สนุก ผ่อนคลาย อิ่มอร่อยเพื่อสุขภาพ มีสาระและอบอุ่น สำหรับกิจกรรมมีทั้งอาหารกายและอาหารใจ อาทิ ธรรมะรับอรุณ การออกกำลังกายทั้งโยคะและแอโรบิก ในแต่ละวันเด็กๆได้ช่วยกันเก็บผักมาทำอาหารรับประทาน หลังอาหารแล้วมีกิจกรรมช่วยย่อยอาหาร โดยให้ช่วยกัน พัฒนาชุมชนด้วยการทำกิจกรรม ๕ ส. แล้วผ่อนคลายด้วยการงีบซักนิดจิตแจ่มใส นอกจากนี้ยังได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเบื้องต้นและการดูแลแบบผสมผสาน มีการนวด อบสมุนไพร ประคบสมุนไพร แช่เท้า ขูดมือ ขูดตัว รักษาโรค จัดสมดุลโครงสร้างร่างกาย สำหรับผลจากการประเมินสุขภาพ เบื้องต้นของผู้เข้าค่าย มีดังนี้ ประเมินผลทางกาย ปัญหาที่พบ คือ ปวดหัว ปวดหลัง ปากคอแห้ง กระเพาะอาหาร ท้องผูก ประเมินสมดุลการกิน พบว่า กินอาหารรสจัด ชอบกินขนมหวาน ดื่มน้ำน้อย กินผักสดน้อย ส่วนความรู้สึกของผู้เข้าค่าย มีดังนี้ นายเอกชัย วะลิวงศ์ นร.ชั้น ม.๖ "ได้ทำสิ่งดีๆให้กับตัวเอง และได้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพ ตัวเอง น้ำหนักขึ้น ๒ กก. สิ่งที่ได้จะนำไปปฏิบัติ พยายามทำจิตใจเบิกบานและทำ ๗ อ.ให้ดี" น.ส.ปานชีวัน ไวยพัฒน์ นร.ชั้น ม.๕ "ประทับใจผู้นำทำค่ายที่ให้ความดูแลเอาใจใส่ แม้ว่าพวกเราจะดื้อบ้าง เข้าค่ายมาถึงวันสุดท้าย รู้สึกร่างกายประปรี้กระเปร่าขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่เราก็เต็มที่กับทุกขั้นตอน ทำให้เห็นผลว่า สุขภาพเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ ถ้านำไปปฏิบัติให้ต่อเนื่อง จะพยายามทานผักสดให้มากขึ้น ทานอาหารที่เป็นโทษให้น้อยลง ปรับอารมณ์ให้เบิกบานตลอดเวลา". - นิสิตแพรทิพย์ บุญมูล รายงาน - |
น้ำผึ้งตกผลึกเป็นการเปลี่ยนแปลง คุณสมบัติทางกายภาพของน้ำผึ้งอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผู้พบเห็นน้ำผึ้งตกผลึกแล้ว คิดไปได้ว่า น้ำผึ้งผิดปกติ และอาจทำให้คิดว่าเป็นน้ำผึ้งปลอมปนไปเลย ผู้เขียนจึงใคร่ขอทำความเข้าใจให้ท่านทราบเสียก่อนว่า ทำไมน้ำผึ้งบางชนิดจึงตกผลึกทั้งๆที่เป็นน้ำผึ้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าน้ำผึ้งปลอมปนจะตกผลึกไม่ได้ การตกผลึกของน้ำผึ้งเกิดมาจาก ๒ สาเหตุใหญ่ๆคือ ชนิดของสารความหวาน โดยวัดออกมาเป็นอัตราส่วน ระหว่างสารความหวานกับปริมาณน้ำหรือความชื้น ที่จะต้องผสมอยู่ในน้ำผึ้ง ถ้าไม่ใช่น้ำผึ้งที่ถูกทำเป็นผง (ฟรีซไคร์) และการที่เราเก็บน้ำผึ้งไว้ในอุณหภูมิที่พอเหมาะ จะชักนำให้เกิดการตกผลึกได้ นอกจากนั้นยังมีสารชักนำอื่นๆ ที่อยู่ในน้ำผึ้งสามารถทำให้น้ำผึ้งตกผลึกได้เช่นกัน ได้แก่ ละอองเกสรที่แขวนลอยอยู่ในน้ำผึ้ง แต่รูปร่างของผลึก จะแตกต่างกันไปตามชนิดของสารชักนำที่ทำให้เกิดการตกผลึก ในน้ำผึ้ง กล่าวคือ ถ้าตกผลึกมีสาเหตุมาจาก ชนิดของสาร ความหวานกับสัดส่วนของน้ำหรือความชื้น จะทำให้ผลึกมีรูปร่างเป็นรูปเรขาคณิต เราเรียกเป็น ขบวนการตกผลึกแบบ คริสตัลไลเซซั่น (Crystallization) และถ้าน้ำผึ้งตกผลึกที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่เกิดจากความหวาน เราเรียกว่า แกรนมูเลชั่น (Granulation) ผลึกที่ได้จากแกรนนูเลชั่นนั้นไม่แน่นอน ไม่มีรูปทรง เรขาคณิต อันเกิดมาเนื่องจาก ความเป็นของผสมผสานชนิด หรือเป็นไปตามรูปร่างของตัวล่อ (Nuclci) เช่น เป็นรูปกลมรี ฯลฯ ตามรูปร่างของละอองเกสร เป็นต้น ฉะนั้น อย่าด่วนตัดสินใจว่า น้ำผึ้งที่ตกผลึกในขบวนการคริสตัลไลเซซั่น หรือแกรนนูเลชั่นนั้นจะเป็นน้ำผึ้ง ปลอมปน หรือไม่แท้ น้ำผึ้งบางชนิด ตกผลึกง่าย เช่น น้ำผึ้งงา (ดอกไม้ป่า) สาบเสือ ทานตะวัน น้ำผึ้งที่ตกผลึกยาก เช่น น้ำผึ้งนุ่น ลำไย เป็นต้น ถ้าน้ำผึ้งตกผลึก เก็บไว้ในตู้เย็นหรือเก็บไว้ภายนอกตู้เย็นก็แล้วแต่ ถ้าท่านจะบริโภคน้ำผึ้งเหลว ก็นำน้ำผึ้งขวดนั้น ไปอุ่นในน้ำร้อน หรืออบที่อุณหภูมิ ๖๐ องศาเซลเซียส น้ำผึ้งที่ตกผนึกก็จะคืนสภาพเป็นของเหลวเหมือนเดิม ดร.สมนึก
บุญเกิด จากคอลัมน์ "หามาให้รู้" นสพ.มติชนรายวัน วันพุธที่ ๓๐ ก.ค.๔๐
|
ปุ๋ยจุลินทรีย์ชาวนา อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ประชากรในภาคอีสาน ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาเป็นหลัก แต่ทุกหมู่บ้านประสบปัญหามีหนี้สิน กันแทบทั้งนั้น เนื่องจากต้นทุนสูง ไม่ว่าจะเป็นค่าพันธุ์ข้าว ปุ๋ยเคมี ยา ฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืช ค่าเชื้อเพลิง แต่ปัญหาที่สำคัญเห็นจะเป็นปุ๋ยเคมี ที่มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ และในระยะยาวก็มีปัญหาเรื่องดินเสื่อมสภาพ ตลอดจนยาฆ่าแมลงก็เป็นอันตรายต่อเกษตรกรเอง เกษตรกรใน ต.ไก่คำ อ.เมืองอำนาจเจริญ จึงได้พยายามรวมกลุ่มกันต่อต้านการใช้ปุ๋ยเคมี โดยการหมักปุ๋ยจุลินทรีย์ขึ้นเพื่อแจกจ่ายกันในกลุ่ม และจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ ทำให้ตลอดระยะเวลา ๖ ปีที่ผ่านมา มีผู้หันมาใช้ปุ๋ยหมักจุลินทรีย์แทนการใช้ปุ๋ยเคมีกันมากขึ้น นายอำคา เหล่าศรี อายุ ๔๕ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๔๘ หมู่ ๑ ต.ไก่คำ อ.เมืองอำนาจเจริญ ประธานกลุ่มเกษตรกรปลอดสารพิษ ทำปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ เล่าว่า มีการรวมกลุ่มกันเมื่อปี ๒๕๔๐ โดยเริ่มแรกมีสมาชิก ๑๐ คน โดยสำนักงานเกษตร จ.อำนาจเจริญ คนเป็น พี่เลี้ยงคอยแนะนำและฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้ปุ๋ยและการทำนาปลูกข้าวอย่างถูกวิธีให้ เมื่อได้ผลผลิตมากขึ้น ทำให้มีผู้หันมาใช้ปุ๋ยจุลินทรีย์กันมากขึ้น จนมีการผลิตจำหน่าย มีเกษตรกรใน จ.อุบลราชธานี ยโสธร มุกดาหาร และร้อยเอ็ด ให้ความสนใจมาซื้อ ไปใช้กันมาก โดยเฉพาะในเดือน สิงหาคมที่ผ่านมาจำหน่ายได้ถึง ๔ พันถุง ส่วนราคาก็จะมี ๒ ชนิด คือ ชนิดเม็ดขนาด ๕๐ ก.ก. ถุงละ ๒๒๐ บาท ชนิดผงขนาด ๕๐ ก.ก. ถุงละ ๖๐ บาท เงินที่ได้จากการจำหน่ายจะนำเข้ากองทุนเพื่อให้สมาชิกได้กู้ยืมในยามฉุกเฉินโดยไม่คิดดอกเบี้ย จนขณะนี้ มีเงินทุนหมุนเวียน ๒๖๒,๓๔๐ บาท ปัจจุบันมีสมาชิกถึง ๑๐๓ คน สำหรับการทำปุ๋ยหมักจุลินทรีย์และการนำไปใช้ นั้น นายอำคากล่าวว่า นำเอามูลสัตว์ รำข้าว แกลบ หรือมันสำปะหลังบด หรือใบไม้แห้ง มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน นำน้ำ ๑ ปี๊บใส่สารอีเอ็มลงไป ๒ ช้อน พร้อมกากน้ำตาล ๒ ช้อน ผสมให้เข้ากัน คลุกเคล้า ทั้งหมดให้มีความชื้นพอหมาดๆ บรรจุกระสอบที่อากาศ ผ่านได้ ทิ้งไว้ประมาณ ๕ วัน ก็นำไปใช้ได้ การนำปุ๋ยชนิดนี้ไปใช้กับนาข้าว ก็จะเริ่มจากการเตรียมดินหลังเก็บเกี่ยวแล้วในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม แล้วหว่านปุ๋ยจุลินทรีย์ลงไปในอัตรา ๑๐๐ ก.ก. ต่อไร่แล้วไถกลบ ถ้าไม่หว่านปุ๋ยในช่วงหลังเก็บเกี่ยวข้าว ก็ให้หว่านในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. เพื่อบำรุงดินและกระตุ้นให้เมล็ดหญ้างอกในอัตรา ๑๕๐ ก.ก.ต่อไร่ จากนั้นเดือน มิ.ย.-ก.ค. ก็ฉีดพ่นจุลินทรีย์ ขยายโดย ใช้น้ำ ๔ ปี๊บ เติมจุลินทรีย์ปี๊บละ ๒ ช้อน กากน้ำตาล ๒ ช้อน ฉีดพ่นใส่ต้นหญ้าที่ขึ้นในนาแล้วไถกลบ การเตรียมกล้า ก็แช่เมล็ดพันธุ์ข้าวในอัตรา ๘๐ ก.ก.ต่อไร่ แล้วขยายจุลินทรีย์โดยใช้น้ำ ๑ ปี๊บ เติมจุลินทรีย์ ๒ ช้อน กากน้ำตาล ๒ ช้อน แช่พันธุ์ข้าวไว้ ๓๐ นาที แล้วนำไปหว่านในแปลงที่เตรียมไว้ เมื่อต้นกล้าอายุได้ ๕ วัน ก็ใส่ปุ๋ยจุลินทรีย์อีกไร่ละ ๒๐ ก.ก. แล้วฉีดด้วยน้ำจุลินทรีย์อีก ๔ ปี๊บ เมื่อกล้าอายุได้ ๒๐ วัน ก็ให้หว่านปุ๋ยจุลินทรีย์อีกครั้งหนึ่งในอัตรา ๒๐ ก.ก.ต่อไร่ และดูน้ำในแปลงอย่าให้สูงมาก พอ ต้นกล้าอายุได้ ๒๕ วันก็นำไปปักดำได้ การขยายปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ ๒๔ ชั่วโมง วัสดุประกอบด้วยปุ๋ยหมักจุลินทรีย์ ๑ ปี๊บ รำละเอียดหรือมันสำปะหลังบดครึ่งปี๊บ ฟาง ใบไม้ หญ้าแห้ง นำเอาน้ำ ๑ ปี๊บ มาผสมสารอีเอ็ม ๒ ช้อน กากน้ำตาล ๒ ช้อน คนให้เข้ากัน เอารำละเอียดหรือมันสำปะหลังบดลงไปผสม แล้วรดด้วยน้ำขยายจุลินทรีย์ประมาณ ๒ ลิตร นำฟางไปจุ่มน้ำที่ขยายจุลินทรีย์แล้วกระจายคลุมให้มีความหนาประมาณ ๑๐ ซ.ม. หรือ ๑ ฝ่ามือ เอาส่วนผสมของเชื้อปุ๋ยหมักจุลินทรีย์และรำโรยลงไปตารางเมตรละ ๔-๖ กำมือ กองปุ๋ยให้สูงประมาณ ๑ ศอก คลุมด้วยฟางแห้งหรือกระสอบ เมื่อครบ ๒๔ ชั่วโมงก็นำไปหว่าน ในแปลงหรือเก็บไว้ในที่ร่ม ผลที่ได้จากการใช้ปุ๋ยหมักจุลินทรีย์คือ ทำให้ดินร่วนซุย โดยใช้ติดต่อกัน ๔ ปี และหยุดใช้ ๑ ปีและ ปีต่อไปก็ให้ลดปริมาณลงตามความเหมาะสม ทำให้กบ เขียด กุ้ง หอย ปู ปลา กลับคืนสู่สภาพปกติ ปัญหาเรื่องโรคของต้นข้าวหมดไป ลดค่าใช้จ่าย ได้ผลผลิตเพิ่ม และปลอดภัยต่อผู้ใช้เองด้วย นายประดิษฐ์ สุคนธสวัสดิ์ นายอำเภอเมืองอำนาจเจริญกล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่เกษตรกรในพื้นที่อื่น ควรเอาเป็นตัวอย่าง การรวมกลุ่มของเกษตรกร ต.ไก่คำ เป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างได้ผล เป็นการปลุกจิตสำนึกให้รู้จักใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีในท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์ ซึ่งจะได้รณรงค์ส่งเสริมให้ครบ ทุกหมู่บ้านต่อไปในอนาคต. (จาก นสพ.ไทยโพสต์ เอ็กซ์ ไซท์ วันที่ ๑-๒ พ.ย.๔๖ สนธยา ทิพย์อุตร์ รายงาน)
|
สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร บุญญาวุธหมายเลข ๔ สุขภาพบุญนิยมมาพร้อมๆกับกระแสแพทย์ทางเลือกมากมายหลายวิธี แบบไหนที่จะเหมาะสมกับตัวเรามาก ที่สุด แล้วกุศลโลกุตระที่แท้จริงเป็นเช่นไร พบกับคำให้สัมภาษณ์ของสมณะเดินดิน ติกขวีโร ได้ ณ บัดนี้ *** ได้ข่าวว่าช่วงงานฉลองหนาวท่านป่วยจนต้องไปพักฟื้นที่ภูผาฟ้าน้ำ ปัจจุบันสุขภาพท่านเป็นอย่างไรบ้างคะ ได้ไปพักที่ภูผาฟ้าน้ำอาทิตย์กว่าๆ พักอย่าง สนิทจริงๆ รู้สึกสุขภาพดีขึ้นมาก ที่ภูผาฟ้าน้ำน่าจะเป็นสถานที่ที่พักฟื้นที่ดีที่สุดของพวกเราชาวอโศก เพราะว่าอากาศก็บริสุทธิ์ อาหาร ก็เป็นธรรมชาติที่สดๆ ไม่มีเสียงประกาศเข้ามา รบกวน สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ การเจ็บป่วยในครั้งนี้ก็ได้ทบทวน เพราะที่ผ่านมาแทบจะเป็นการป่วยเรื้อรัง เมื่อปีที่แล้ว จะปัสสาวะออกมาเป็นเลือดทุกๆ ๒ เดือน สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่เราป่วยแต่ละครั้งไม่มีช่วงเวลาให้ร่างกายพักฟื้น ส่วนใหญ่ออกจากโรงพยาบาลก็ต้องลุยงานต่อ ร่างกายเลยไม่มีเวลาจัดสรรความสมดุลให้หายสนิท เมื่อร่างกายไม่พร้อม ทำงานก็ถูลู่ถูกังสังขาร ไปๆมาๆก็กลับเข้ามาล็อคเดิมอยู่ตลอดเวลา อีกสาเหตุหนึ่งมีผู้รู้ทางด้านอาหารให้คำแนะนำมาว่า ในส่วนตัวของอาตมา อาหารที่ฉันส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่เย็นค่อนข้างจะมาก ซึ่งรู้สึกเหมือนกันว่าเรากินอาหารที่ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วๆไปเท่าไหร่ ในแวดวงของพวกเราจะมีผลไม้กินกันทั้งปีและยังมีน้ำผลไม้มาตบท้าย อีกค่อนข้างจะมาก กับข้าวก็หลายอย่าง ซึ่งออกไปทางด้านเย็นเสียส่วนใหญ่ แล้วกว่าจะได้ฉันก็เย็นสนิทอีกต่างหาก แล้วที่สำคัญคือว่า กินเข้าไปแล้วก็ไม่ได้เคลื่อนไหว ส่วนใหญ่ก็จะนั่งตั้งแต่เช้ายันเย็น รู้สึกว่าในส่วนนี้ทำให้ความสมดุลของสุขภาพส่วนตัวเสียความสมดุล ไป ได้รับคำแนะนำมาว่าให้พยายามเพิ่มอาหารที่มีความร้อนหรือที่มีธาตุร้อน พวกเครื่องเทศ พริกไทย ขิง ข่า ตะไคร้ ที่ให้ความร้อนกับ ร่างกาย แล้วตื่นเช้ามาควรจะดื่มน้ำอุ่นประมาณสัก ๖ แก้ว เพื่อชำระล้างสิ่งที่ตกค้างในร่างกายออกไป ซึ่งทดแทนการทำดีท็อกซ์ได้เหมือนกัน ใช้น้ำอุ่นดื่มเข้าไปจะเป็นระบบที่เป็นธรรมชาติมากกว่า ส่วนอาหารพวกเย็น ที่เป็นผักสดผลไม้ ตอนนี้ก็ให้งดไปก่อนเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ผลไม้ที่ฉันได้อย่างเดียวคือกล้วยน้ำว้าย่างเพื่อให้ความร้อนเพิ่มขึ้น แล้วพยายามดื่มน้ำอุ่นให้ได้มากๆ วันหนึ่งประมาณ ๒-๓ ลิตรได้ก็ดี แต่ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาส่วนตัว ซึ่งสุขภาพ ของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน อาตมาเป็นคนธาตุไฟแต่วิถีชีวิตที่ผ่านมาจะกินอาหารไม่ปรุงแต่ง กินอาหารธรรมชาติ สะสมอาหารเย็นมานาน แล้วอิริยาบถออกกำลังกายก็น้อย ก็เสียความสมดุลไปในด้านนี้ ตอนนี้ต้องเพิ่มปรับทางด้านเรื่องอาหาร ด้านอิริยาบถ แล้วก็ค่อยๆสังเกตดูตัวเองเอาความรู้จากผู้รู้ต่างๆมาปรับใช้สภาพร่างกายของเราให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสูตรนี้จะใช้เหมาะสมกับทุกคน อยากให้แต่ละคนใช้วิจารณญาณ ใช้ปัญญาของตัวเองสังเกตดูว่าเรากินอะไรไปแล้วร่างกายเราสบาย เราทำอะไรไปแล้วร่างกายเราสบายขึ้น ดีขึ้น แต่ละคน สามารถเป็นหมอของตัวเองได้จะดีที่สุด อย่างอาตมาเป็นคนธาตุไฟ ขึ้นไปพักที่ ภูผาฯ รู้สึกว่าร่างกายสบาย สดชื่นตลอด แต่สมณะบางรูปเจอความเย็นของภูผาฯ อาหารไม่ย่อยเลย ต้องรีบลงทันที อาตมาได้ข้อสรุปว่า สูตรในการดูแลรักษาสุขภาพคงจะไม่มีสูตรไหน ใช้ได้หมดทุกคน แต่ละคนก็มีชีวเคมีทางร่างกาย แตกต่างกัน มีการทำงานที่แตกต่างกัน มีธาตุของ ร่างกายที่แตกต่างกัน ฉะนั้นสิ่งที่จะเหมาะสมกับตัวเรามากที่สุดก็คือ แต่ละคนจะต้องคอยสังเกตตัวเราเองและให้ความสนใจในสุขภาพของตัวเอง *** ในช่วงงานปีใหม่พ่อท่านให้นโยบายว่า ทุกวันนี้เรามีแพทย์ทางเลือกเข้ามามากมาย ชาวอโศกน่าจะหยุดการแสวงหาแพทย์ทางเลือกกันได้แล้ว ท่านมีความเห็นอย่างไร คะในเรื่องนี้คงต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้กระแสสุขภาพหรือบุญญาวุธหมายเลข ๔ ค่อนข้างจะมาแรง ได้รับความตื่นตัวและความสนใจ ทั้งในสังคมภายนอกและสังคมภายในของพวกเรากันเอง ยิ่งสังคมภายในของพวกเรารู้สึกมีความสนใจค่อนข้างจะสูงทีเดียว ดังนั้นถ้ามีกระแสอะไรมาใหม่ๆ พวกเราจะขานรับกันอย่างรวดเร็วจนต้องวิ่งไปหากันถึงไต้หวัน อินเดีย แล้วยังไม่แน่ใจว่าตลอดเวลาที่เราวิ่งกันผ่านมาจะมีข้อยุติ ข้อจบสิ้นกันอยู่ตรงไหน จะต้องวิ่งกันไปอยู่อย่างนี้ตลอดตายหรือเปล่า ถ้าเทียบกับการปฏิบัติธรรม ทุกวันนี้มีการ ปฏิบัติธรรมหลากหลายมากมายร้อยแปดวิธี ของธิเบตก็อย่างหนึ่ง ของมหายานก็อย่างหนึ่ง ของเถรวาทก็อย่างหนึ่ง แม้แต่ในเถรวาทก็มีกระบวนท่าลีลาลดละกิเลสมากมายสารพัด แต่ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิมีความเข้าใจชัดเจนแล้ว ถ้าจะต้องวิ่งหาทุกสำนักทุกนิกายเราก็คงจะตายก่อน พวกเราศึกษาธรรมะมาถึงขั้นนี้ก็คงต้องจับหลัก การถือศีล การปฏิบัติโพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ เพื่อให้เข้าถึงอริยสัจ ๔ ตรงนี้ เราก็จะเข้าใจทิศทางได้ชัดเจน จะไม่ไปสงสัยว่าจะเพ่งลูกแก้วหรือจะภาวนาพุทโธ หรือจะยกมือยกขา อันไหนน่าจะถูก ถ้าเราวิ่งไปแสวงหาอย่างนี้ เราคงจะตายก่อนจะได้พ้นทุกข์ ในทำนองเดียวกันกับเรื่องของการดูแลสุขภาพ มีอะไรใหม่ๆเราก็วิ่งไปตลอด เราคงจะตายก่อนที่เราจะหายป่วยเหมือนกัน ทุกวันนี้พวกเราเองก็ประมวลการดูแลรักษาสุขภาพแบบองค์รวม โดยใช้ ๗ อ.เป็นหลักเกณฑ์หลักการที่ชาวอโศกน่าจะได้ข้อยุติกันแล้ว เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าบอกว่าปฏิบัติธรรมใช้มรรค ๘ โพชฌงค์ ๗ มาเป็นหลัก เรื่องการดูแลรักษาสุขภาพ เราก็ประมวลกันมาแล้วว่าไม่น่าจะออกไปจาก ๗ อ.นี้อีกแล้ว แต่เมื่อเราเกิดความเจ็บป่วยขึ้นมา ก็คงจะต้องหันมาพิจารณาว่า ๗ อ.ของเราสมบูรณ์ไหม อย่างตัวอาตมาเองป่วย ก็ได้ทบทวนว่า อ. ออกกำลังกายหรืออิริยาบถของเราไม่สมดุล ก็ต้องพยายามมีความเคลื่อนไหวให้มากขึ้น แต่มันจะไปสุดโต่งก็ไม่ได้ พอเน้นว่าต้องออกกำลังกาย อาตมาก็ไม่ค่อยประมาณตัวเองเท่าไหร่ ที่เลือดออกเพราะไปช่วยเขาแบกเขายกเขาหาม ซึ่งเห็นความสำคัญว่าต้องออกกำลังกาย แต่ว่าเกินแรงของเราไปก็ไม่ได้อีกนั่นแหละ พอไปยกไปแบกปุ๊บเลือดจะออกทุกครั้ง พอเห็นความสำคัญแล้วก็จะลุยไปแบบคนปกติเลย ก็ต้องประมาณอีกที่จะไม่ให้สุดโต่ง ในเรื่องของอาหารก็ฉันอาหารส่วนใหญ่ ที่มีแต่ของเย็นมากไป โดยที่พยายามเน้นเรื่องธรรมชาติ แต่ว่าธรรมชาติของชาวอโศกก็คือผักสดผลไม้สด ซึ่งก็เป็นความไม่สมดุลของเรื่องหยินหยาง ก็พยายามมาศึกษาเพิ่มขึ้น ป่วยครั้งนี้มีหมอแนะนำว่ายาที่ต้องใช้รักษา อาตมาจะต้องใช้เนื้อหมูที่มีไขมันประกอบด้วย ทำให้แก้โรคโดยเฉพาะ ซึ่งตรงนี้ก็ได้ปฏิเสธไป เพราะคิดว่ายานี้ไม่น่าจะเป็นส่วนสำคัญที่เป็นหัวใจหลักในการรักษาโรคของเรา เพราะโรคของเราไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตที่เราทำ ๗ อ.ไม่สมบูรณ์ ต้องมาแก้ไขเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย อารมณ์ การใช้ชีวิตให้สอดคล้องสมบูรณ์ใน ๗ อ.เป็นหลัก สรุปว่า นโยบายของพ่อท่านคงจะให้พวกเราหยุดวิ่งแสวงหาว่าน่าจะมีหมอวิเศษที่ไหนดีๆ มีสูตรยาวิเศษที่ไหนเจ๋งๆ มีกรรมวิธี รักษาอะไรที่ได้ผลชะงัด ตรงนี้น่าจะได้ข้อยุติกันได้แล้วว่า สูตรที่ดีที่สุด ยาที่วิเศษที่สุด คือการที่เราแต่ละคนมาศึกษาตัวเอง มาเป็นหมอที่จะดูแลสุขภาพของตัวเอง โดยการเอาหลักการ ๗ อ.มาสำรวจเพื่อจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตัวเอง ไม่ต้องไปคอยหวังว่าจะมีหมอเทวดา ยาวิเศษ การรักษาที่แปลกประหลาดอะไรมาช่วยจัดการให้เราหายได้โดยเร็วพลัน ถ้าตราบใดที่เราไม่คิด จะมาเปลี่ยนแปลงแก้ไขพฤติกรรมของตัวเรา บางคนป่วยเพราะชอบนอนดึก บางคนป่วยเพราะอารมณ์ไม่ค่อยดี มีความคิดเรื่องโกรธเรื่องเพ่งโทสอยู่มาก บางคนป่วยเป็นเด็กเส้น ชอบกินข้าวขาว ชอบกินอาหารขยะ ถ้าไม่คิดมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง หมอที่ไหนก็คิดว่าแก้พวกเราไม่ได้ ดังนั้นนโยบายนี้น่าจะเป็นนโยบาย ที่ให้เราหันมาเน้นเรื่องการปรับเปลี่ยนพื้นฐานของชีวิต สำรวจตรวจดู ๗ อ.ว่าเราทำได้สมบูรณ์ไหม ก็คงจะทำให้ชาวอโศกไม่ตื่นกระแส ไม่ตื่นหมอ มีคนบอกเหมือนกันว่าพวกเราค่อนข้างจะใช้หมอเปลือง หมอแต่ละคนๆ มาหาชาวอโศกมีอันเป็นไปทั้งนั้นเลย เพราะว่ากระแสสุขภาพทางเลือกของเราจะมาแรง มาทีไรปุ๊บชาวอโศกก็จะแตกตื่นกันจนหมอมีอันเป็นไปกันทุกคน ก็อยากจะให้พวกเรามาฝึก เป็นหมอเพื่อดูแลสุขภาพของตัวเองกันดีกว่า *** สุดท้ายนี้ท่านจะฝากข้อคิดอะไรให้กับชาวอโศกบ้างคะ เมื่อเร็วๆนี้ได้ไปร่วมงานเผาศพญาติธรรมท่านหนึ่งซึ่งอดีตเป็นพยาบาล คือคุณกราบดิน เคยช่วยงานที่บ้านราชฯมาก่อน พ่อท่านไปเป็นประธานในพิธีประชุมเพลิงที่ปฐมอโศก ได้เน้นย้ำกับพวกเราว่า สิ่งที่พวกเราจะได้ติดตัวไปก็คือกุศล และกุศลที่ได้ขอให้เป็นกุศลโลกุตระ คุณกราบดินเป็นญาติธรรมที่ได้เสียชีวิตไปอย่างน่าภาคภูมิใจในความเป็นนักปฏิบัติธรรม วาระสุดท้ายของชีวิตเขาได้บริจาคทุกสิ่งทุกอย่าง ให้กับส่วนกลางอย่างหมดเนื้อหมดตัว ได้บอกกับคนใกล้ชิดว่าชีวิตฉันไม่มีอะไรแล้ว เมื่อทำบุญจนหมดเกลี้ยงแล้วเขาก็ตายไปด้วยความสงบ โดยที่ไม่ทุกข์ทรมานกับโรคมะเร็งร้ายที่เข้ามาครอบงำ แต่สิ่งที่อาตมาประทับใจก็คือว่า ถ้าเปรียบเป็นนักรบก็เป็นนักรบที่เรียกว่ามีวีรกรรม ที่น่านับถือมาก ตายอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แม้วาระสุดท้าย พวกเราต้องนำเขาส่งโรงพยาบาล เขาก็สั่งเสียไว้เลยว่า ไม่ต้องเอาเครื่องมือทางการแพทย์ใดๆมาใส่ในร่างกายของเขาเลย เขาพร้อมที่จะตาย และจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีอะไรติดตัว อาตมารู้สึกว่าความไม่มีอะไรคือกุศล โลกุตระที่สุดยอดของชีวิตมนุษย์ รู้สึกอนุโมทนา กับญาติธรรมบางคน ที่เขาบริจาคที่ดินให้กับส่วนกลาง แล้วส่วนกลางจะเอาไปขายหรือจะเอาไปทำประโยชน์อะไรที่เห็นสมควรเขาก็ไม่ติดใจ ไม่ใช่ฉันบริจาคไปแล้วก็ต้องทำอย่างที่ฉันต้องการนะ อันนี้ก็เรียกว่าให้ไปแล้วก็ยังมีความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอยู่ การได้ให้เป็นกุศลเหมือนกันแต่ไม่เป็นโลกุตระ ที่ให้ไปแล้ว ไม่ปล่อยใจวางใจ ถ้าหากหมู่กลุ่มเขาจะเอาไปทำอะไรก็ยอมได้ ถ้าได้อย่างนี้ ไม่มีอะไรอย่างนี้ (ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะใดๆ) ก็จะเป็นกุศลโลกุตระที่สมบูรณ์มากทีเดียว แล้วก็ประทับใจญาติธรรมบางท่าน ทำความดีช่วยเหลือสมณะเยอะแยะ ก็ถูกมองว่าเอ๊ะ...จะมาติดพันสมณะหรือเปล่า ตอนแรกก็เกิดอารมณ์ไม่ชอบใจพุ่งขึ้นมา แต่พอรู้ตัวเขาก็พยายามเก็บอารมณ์นั้นแล้วมาวิปัสสนาล้างจิตของตัวเองให้เห็นว่า เราทำดีแล้วไม่ติดดี ไม่ยึดดี การไม่ติดดีไม่ยึดดีนี้มันก็เป็นภาษาที่เราฟังมาชินหู แต่ข้อปฏิบัติจริงๆคือว่าเราทำดีไปแล้วมีคนมาว่า เราก็ไม่ถือสาเขา เข้าใจเขา แล้วเราก็ตรวจดูตัวเราว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แล้วใจเราก็วางได้สงบได้ อันนี้คือกุศลโลกุตระที่ทำดีแล้วเราไม่ติดดีไม่ยึดดีไม่ถือสาเขา เห็นใจ เขาเข้าใจเขา ถ้าแก้ไขที่เราได้ ก็ควรแก้ไขให้เขาสบายใจขึ้น ก่อนเผาศพโยมกราบดิน พ่อท่านก็เน้นว่า พวกเราทำกุศลแล้วขอให้เป็นกุศลโลกุตระ ทำดีแล้วไม่ยึดดี ไม่ถือดี สามารถที่จะมีใจที่ปล่อยวางได้ดังนี้แล... พ่อท่านนับเป็นบุคคลตัวอย่างของผู้ที่ดูแล สุขภาพด้วย ๗ อ. มีผู้กล่าวไว้ว่า เรือรั่วไม่สามารถข้ามฝั่งพระนิพพานได้ หันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตัวเองอย่างจริงจังกันเถอะ จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อสั่งสมกุศลโลกุตระให้กับตัวเอง. - ทีมข่าวพิเศษ - |
รองผู้ว่าฯกล่าวชื่นชม
ชาวอำนาจฯ เริ่มเเข้าใจมากขึ้น เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ พ่อท่านแสดงธรรม ในวันครบรอบ ๖ ปี สวนส่างฝัน อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ ซึ่งกำลังอบรม "มหกรรมกู้ดินฟ้า ประชาเป็นสุข" ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๕ ก.พ. ๔๗ มีสมณะ ญาติธรรมกลุ่มต่างๆเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีมากมายหลายจังหวัด เวลาประมาณ ๘ นาฬิกาเศษ พ่อท่านพร้อมปัจฉาฯ เดินทางจากบ้านราชฯถึงสวนส่างฝัน แวะโอภาปราศรัย กับชาวสวนส่างฝันและผู้มาร่วมงานที่บ้านดินหลังที่สองของที่นี่ ๙ นาฬิกา นร.สัมมาสิกขาราชธานีอโศกชั้นประถมฯ (กลุ่มสมุนพระราม) แสดงรีวิวเพชฌฆาตผู้ลอยนวล ต้อนรับท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ (มาแทนผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งติดธุระ) นายธีรเดช วงษ์ราช อาจารย์นักบุญ จันทพันธ์ กล่าวรายงานกิจกรรมของสวนส่างฝัน หลังจากนั้นรองผู้ว่าฯเป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดการอบรม ท่านกล่าวชื่นชมกับกิจกรรมของสวนส่างฝันที่ได้กระทำมายกย่องอาชีพชาวนาว่าเป็นอาชีพที่มีความสำคัญ และตนเองก็เป็นลูกชาวนาที่ทำนาเป็นและไม่สูบบุหรี่ หลังจากนั้นเข้ารับของที่ระลึกจากพ่อท่าน เสร็จแล้วพ่อท่านแสดงธรรมเรื่องคุณลักษณะของชุมชนเข้มแข็ง ๑๔ ข้อ หลังจากนั้นชมการแสดงเซิ้งอีสานบ้านเฮา จากกลุ่มสมุนพระรามอีกครั้ง แล้ว รับประทานอาหารร่วมกัน วันนี้นอกจากจะมีพี่น้องญาติธรรมจากชุมชนต่างๆ มาร่วมแสดงความยินดีแล้ว ยังมีพี่น้องจากจังหวัดอำนาจเจริญเดินทางมาเที่ยวชมงานด้วย หลังภัตตาหาร ลูกๆจากชุมชนต่างๆ ที่มาร่วมงานเข้าไปพูดคุยและขอชื่อจากพ่อท่าน แล้วพ่อท่านเดินทางกลับบ้านราชฯ สวนส่างฝันเป็นศูนย์ฝึกอบรมคุณธรรม กสิกรรมไร้สารพิษ ตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ บนเนื้อที่ ๙ ไร่ ก่อตั้งมาแล้ว ๖ ปีเศษ อบรมเกษตรกร นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปผ่านไปแล้ว ๘๓ รุ่น โดยได้รับงบประมาณช่วยเหลือจาก กองทุนเพื่อสังคม, ธ.ก.ส., สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ(สสส.) ประกอบด้วย ๑๑ ฐานงาน คือ ๑. ปุ๋ย ๒. แชมพู ๓. แปรรูป ๔. จุลินทรีย์ ๕. บ้านดิน ๖. น้ำส้มไม้ ๗. เห็ด ๘. โรงสีครกมองไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ใช้เท้าหรือมือก็ได้ ๙. แตงโม ๑๐. เพาะชำต้นไม้ ๑๑. กสิกรรมไร้สารพิษ ทำนา-ปลูกผัก ต่อไปจะเน้นผักพื้นบ้าน มีบ้านดิน ๒ หลัง มีบ้านในชุมชน ๔ หลัง มีผู้อยู่ประจำ ๙ คน มาช่วยงานจรประมาณ ๒๐ คน ในวาระครบรอบ ๖ ปี บางส่วนของ ผู้บุกเบิกสวนส่างฝันได้ให้สัมภาษณ์ดังนี้ นายแห่งไท กมลรัตน์ "ปีที่ ๖ มีพี่น้องมากขึ้น ดินก็อุดมสมบูรณ์ขึ้น เครือข่ายก็เริ่มเข้ามาหาเรา ที่นี่สร้างตัวเอง โดยมองไปที่แดนอโศก ซึ่งเริ่มจากพ่อท่านรูปเดียว แล้วค่อยๆมีคนที่หนึ่งที่สองที่สามตามมา โชคดีเคยไปอยู่วัดได้ฟังเรื่องราวของแดนอโศกว่าลำบากอย่างไร ตรงนั้นแหละที่ค่อยๆสร้างทีละคน สองคน ที่นี่เราไม่เน้นปริมาณ เน้นว่าขอของจริง น้อยไม่เป็นไร ปีที่แล้วอบรมเดือนละ ๓ รุ่น แต่ปีนี้จะลดลงเหลือเดือนละ ๒ รุ่น แล้วจะให้ตัวแทนค่อยๆเชื่อมเครือข่าย (มียโสธร มุกดาหาร นครพนมบางส่วน) ตอนนี้จะทำงานแคบลงเหลืออำนาจเจริญ ปีนี้ปลูกแตงโมประมาณ ๕ ไร่ พ่อท่านเรียกแตงโมที่นี่ว่าปลูกถิ่ม คือไหนๆจะต้องไถกลบฟางแล้ว ก็มองว่าปลูกอะไรพอได้กินบ้าง เลยลองปลูกแตงโม ปีที่แล้วได้ผลเกินคาด ๖๐ % ปีนี้ก็เลยปลูกอีกปลูกทิ้งไปเลยเพราะ ลงทุนไม่กี่ตังค์ ที่แน่ๆเราได้ปุ๋ยอยู่แล้ว ไม่ต้องรดน้ำเพราะทำให้ดินแน่น แตงโม เดินรากไม่ได้ คือเวลาจะปลูกเราจะต้องไถหลายๆรอบ เพื่อให้ดินซุย รากแตงโม อ่อน จะแตกตัวไปได้ เดือนกว่าๆขึ้นไปถึงจะเริ่มมีสีสรร ตรงเดือนแรกนี่แหละที่ชาวบ้านทำใจไม่ได้ เพราะเหมือนจะไม่ได้กินจริงๆ ตอนนี้เราเริ่มส่งเสริมให้เครือข่ายที่มาอบรมกลับไปปลูกกัน เหลือกินแล้วเราจะรับซื้อ-เป็นตลาดให้ อบรมที่นี่จะมีชั่วโมงย่ำดินเพื่อสร้างบ้านดินด้วย เป้าหมายเพื่อให้คนที่ไม่มีตังค์ หรือออกครอบครัวใหม่ไม่ต้องใช้ทุนมาก บ้านดินเป็นเรื่องของสุขภาพ คนป่วยกระเสาะกระแสะถ้าเหยียบดินนี่แล้วได้บ้านสักหลังหนึ่งบางทีหายป่วยเลย เพราะดินจะดูดสารพิษออกจากร่างกาย แล้วเวลาอยู่ในบ้านดิน บ้านดินนี้อากาศจะถ่ายเทได้ดีกว่าบ้านปูน มีความคงทน เป็นศิลปะที่น่าสนใจ เป็นความแข็งแรง เป็นความวิริยะอุตสาหะ แล้วลงทุนน้อย ปีนี้ ส.ว.ท.อำนาจเจริญช่วยทำสปอตโฆษณางานครบรอบ ๖ ปีให้ เพราะทางเจ้าหน้าที่เห็นด้วยกับวิธีการที่นี่ เรามีรายการของท่านจันทร์เปิดทุกวันจันทร์-ศุกร์ ทำให้คนเข้าใจสวนส่างฝันขึ้นเยอะ ๖ ปีกับการสร้างสวนส่างฝัน บางทีก็เหนื่อย บางทีก็สนุก บางทีก็มีความสุข บางทีก็ทุกข์ มันระคนกันอยู่ มาถึงวันนี้ค่อนข้างอบอุ่น ปีนี้พี่น้องแต่ละชุมชนมาให้กำลังใจกันเยอะขึ้น แล้วพี่น้องที่อำนาจเจริญเปิดรับเรามากขึ้น ไม่เหมือนกับแรกๆเขามองเห็นเราเหมือนตัวประหลาด แต่วันนี้ไปที่ไหนถึงไม่ใส่ รองเท้าก็ยินดีต้อนรับ อบอุ่นขึ้น" อาจารย์นักบุญ จันทพันธ์ "รู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงไปเยอะ เราได้ฝึกต่อสู้ ฝึกพัฒนาคุณภาพของตัวเอง แต่ก่อน ลาออกจากครูนึกว่าเก่งแล้ว ไม่ใช่ สู้ชาวบ้านไม่ได้ เราต้องมาเรียนรู้ฝึกหัดความขยันใหม่ เราเป็นครูเราเคยสอน แต่ปาก ไม่ใช่ มันต้องสร้างตัวอย่าง ตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน เรามาเห็นตรงนี้ แต่ก่อนคิดว่าตัวเองแน่แล้ว รางวัลอะไรก็ได้หมดอยู่ในโรงเรียน ข้าราชการพลเรือนดีเด่นระดับชาติ ครูจริยธรรมดีเด่นของกระทรวง แต่มาตรงนี้ ไม่ใช่ อันนั้นมันจัดฉากเท่านั้นเอง บางสิ่งมันก็ไม่จริง มาเปรียบเทียบกับชาวอโศกแล้ว มันเทียบกันไม่ติด การรวมกลุ่มกันอันแรกต้องคนมีศีลมีธรรม ก่อนจะอบรมเขาต้องพัฒนาตัวเองก่อน แล้วมีสมณะช่วยแนะ จากศูนย์ฝึกอบรมก็ตั้งเป็นชุมชนบุญนิยม ต้องทำเป็นตัวอย่าง สอนเขาเฉยๆไม่ได้แล้ว พ่อท่านบอกว่าถ้าจะเป็นชุมชนเข้มแข็งต้องอยู่ด้วยกัน พวกเราจะมั่นคง จริง ต้องตั้งเป็นชุมชนหมู่บ้าน ต่อไป ไม่ต้องไปอบรมอะไรมาก เข้าสู่วิถีชีวิต อบรมสัก ๕ วันมันก็ซึมซับซาบเข้ากระแสจิตระบบบุญนิยมของเรา ความหวังสูงสุดคือตั้งเป็นชุมชน แล้วผู้เข้าอบรมพักตามบ้าน บ้านแต่ละหลังก็มีฐานงาน ก็คิดว่าเรียนโดยไม่ต้องเรียน วันนี้รู้สึกดีใจที่พี่น้องมาให้ความ อบอุ่น เป็นครั้งแรกที่จัดงานใหญ่อย่างนี้ เตรียมงานกันหนักเหมือนกัน" |
เด็กขี้โมโห เสี่ยงกับโรคหัวใจ ฉบับนี้มีเรื่องราวมาฝากเด็กอโศกของเราทุกคนค่ะ ก่อนอื่นต้องขอเท้าความย้อนไปเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว มีนักวิจัยหลายต่อหลายคน ได้ทำการวิจัยบุคลิกภาพของคน ที่สัมพันธ์กับโรคหัวใจ โดยได้ทดลองว่า คนที่รีบเร่ง ทำงานแข่งกับเวลามุ่งเอาแต่ความสำเร็จ ทำอะไรต้องสมบูรณ์แบบและก้าวร้าว มีผลเชื่อมโยงต่อการเป็นโรคหัวใจ หรือไม่ ผลการทดลองในเวลาต่อมาพบว่า ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ ในคนกลุ่มนี้เหลือเพียงปัจจัยเดียว คือ ความก้าวร้าว ปัจจุบันมีการทดลองทำนองนี้ในเด็กบ้าง โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัย South Florida ได้ทดลองในเด็กอายุ ๘-๑๐ ปี และ ๑๕-๑๗ ปี จำนวน ๑๓๔ คน เป็นเวลา ๓ ปี พบว่าผลเลือด ทางห้องปฏิบัติการของเด็กที่มีความก้าวร้าวสูงมีการเผาผลาญสารอาหารต่างๆในร่างกายผิดปกติ มีระบบการทำงานและการพัฒนาของเซลล์ผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งโรคอ้วน ความดันสูง เบาหวานและโรคหัวใจ การวิจัยได้บ่งชี้ชัดว่า แม้แต่ในเด็กหากมีความก้าวร้าวสูง จะมีกระบวนการพัฒนาของการเป็นโรคหัวใจได้เช่นกัน นักวิจัยบอกว่า คนที่ก้าวร้าว มักใช้ชีวิต ที่สุขภาพจิตไม่ค่อยดีนัก ทำให้มีการหลั่งของฮอร์โมนคอร์ติโซล ซึ่งเป็น ต้นเหตุของการพัฒนาไปสู่โรคเบาหวาน จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่คลุกคลีดูแลผู้ป่วยเด็กมานาน สังเกตพบได้บ่อยๆว่า เด็กอ้วนส่วนมากอารมณ์หงุดหงิด ก้าวร้าว ทนต่อความเจ็บปวดได้น้อย รับประทานจุและชอบของหวานมาก ซึ่งเป็นพฤติกรรมในทางที่ส่อให้เป็นโรคเบาหวานและหัวใจได้จริงๆ เด็กอโศกของเราทั้งหลาย คงไม่ใช่เด็กขี้โมโห ไม่ชอบรับประทานหวาน แต่ขวนขวายในการทำงานให้มากใช่ไหมคะ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราก็จะรอดพ้นจากการเป็นโรคหัวใจล้มเหลวและเราจะเป็นเด็กที่งดงามน้ำใจ รู้จักให้อภัยแก่กันและกัน ซึ่งก็จะพาให้เราเป็นโลกหัวใจเหมือนกันแต่เป็นโลกของคนที่มีหัวใจ แข็งแกร่ง ไม่เป็นโรค หัวใจอ่อนแอ เหมือนเด็กขี้โมโหไงคะ นะคะเด็กๆ. - กิ่งธรรม - |
เมื่อวันที่ ๑๑ ม.ค. ที่ห้องประชุมตึกอเนกประสงค์ชั้น ๔ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธ- ศาสนาและสังคมไทย จุดเสวนาหัวข้อ "๒๕๔๗ อบายมุข ครองเมือง" โดยผู้เสวนาทั้งหมดต่างไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเกี่ยวกับนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอบายมุขทุกชนิด พระศรีปริยัติโมลี รองอธิการบดี ฝ่ายกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวว่า เคยนำเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือศูนย์บันเทิงครบวงจร ไปให้ความคิดเห็นกับคณะวิจัยของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาแล้ว ซึ่งมีผลสรุปถึงรัฐบาลว่าไม่ควรจะเปิดบ่อนเสรี แต่รัฐบาลกลับไม่หยุดความพยายาม "เรื่องนี้ถึงขนาดนายกรัฐมนตรีลงมาเล่นเอง เพราะเคยให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องบ่อนเสรีจะขอประชามติจากประชาชน อาตมาเห็นว่าคำว่าเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ คงไม่ใช่ศูนย์บันเทิงครบวงจรแน่ แต่มันคือศูนย์อบายมุขครบวงจร ศูนย์หายนะแบบบูรณาการ และศูนย์พินาศล้างผลาญอย่างไร้ขีดจำกัด เพราะ มันจะเป็นตัวทำลายสังคม เยาวชน บ้านเมือง เราย่อยยับ" พระศรีปริยัติโมลี กล่าว ด้านนายมนตรี สินทวิชัย ส.ว.สมุทรสงคราม กล่าวว่า ปัจจุบันหวย ๒ ตัว ๓ ตัว ได้มอมเมาประชาชนอย่างมาก แม้แต่พระสงฆ์ก็สามารถซื้อได้ง่ายดายโดยถูกกฎหมาย ซึ่งการทำอบายมุขเช่นนี้ให้ถูกกฎหมายนี้ รัฐมักจะใช้ข้ออ้างว่าเป็นการนำรายได้ส่วนหนึ่ง ไปให้ทุนการศึกษากับเด็กที่ขาดโอกาส ทำให้ประชาชนมองว่าเป็นเรื่องดี แล้วในขณะนี้รัฐบาลกำลังมีแนวคิดเรื่อง เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และการพนันบอลถูกกฎหมาย ซึ่งมีแนวโน้ม ว่ารัฐก็จะใช้การให้ทุนเป็นข้ออ้างอีก "ผมเห็นว่ารัฐบาลไม่ควรใช้ข้ออ้างว่าจะนำเงินที่ได้ไปให้ทุนแก่เด็ก เพราะการให้ทุนเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องส่งเสริมอยู่แล้ว และไม่ควรให้เด็กเข้าใจว่าถ้าประเทศนี้ไม่มีหวย เด็กก็จะไม่มีทุนเรียนหนังสือ" นายมนตรีกล่าว. (จาก นสพ.มติชน ฉบับวันจันทร์ที่ ๑๒ ม.ค.๔๗) |
หน้าปัดชาวหินฟ้า นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๒๕ (๒๔๗) ปักษ์หลัง ๑๖ - ๒๙ ก.พ.๔๗ เจริญธรรม สำนึกดี เวียนมาพบกับสารพันข่าวภายในแวดวงชาวอโศกกันอีกเช่นเคย ฉบับนี้มีดังนี้ ปลื้มใจแทน...จิ้งหรีดล่ะเก็บไม่อยู่ เพราะปลื้มใจออกนอกหน้าแทนเหล่า นร.สัมมาสิกขาที่จบชั้น ม.๖ ทุกๆคน เมื่อ นร.สัมมาสิกขาราชธานีอโศก ขอความกรุณาจากพ่อท่านขอโอวาทในโอกาสที่จะเรียนจบ ซึ่งพ่อท่านก็เมตตาเขียนให้ด้วยลายมือของพ่อท่านเองถึง ๒ ฉบับ (ซึ่งปรากฏในฉบับนี้แล้ว) ฉบับหนึ่งไว้อ่านเตือนใจ ส่วนอีกฉบับไว้ทำติด พวงกุญแจ จิ้งหรีดได้รู้ได้เห็นแล้ว ทำให้สำนึกถึงความเมตตาและความรักอันบริสุทธิ์ที่พ่อท่านมีให้ลูกๆทุกฐานะ นับว่าพวกเรานั้นโชคดีจริงๆที่ได้มาอยู่ใต้ร่มอโศกนี้ ก็หวังว่าสิ่งที่พ่อท่านได้มอบให้ ณ โอกาสนี้ ทุกคนจะได้น้อมนำไว้ในใจตลอดไป สาธุ...จี๊ดๆๆๆ พักผ่อน...หลังจากท่านซาบซึ้ง สิริเตโช ซึ่งมีอาการอาพาธหนัก ญาติโยมก็นิมนต์ท่านไปตรวจรักษาที่สถาบันเวชศาสตร์เขตร้อน ตอนไข้ขึ้น ท่านจะมีอาการหนาวสั่นมาก ในที่สุดหมอก็พบเชื้อโรคบริเวณขั้วหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำ ให้ท่านอาพาธหนัก เมื่อหาสาเหตุเจอ หมอก็สามารถจัดยารักษาได้ถูก ช่วยให้อาการดีขึ้นเป็นลำดับ ก็มีพวกเราช่วยดูแล ที่โรงพยาบาล จิ้งหรีดก็ขออนุโมทนากับเอก(เต็มบาท), เณรสู่สูญ (ซึ่งรายหลังนี้จะได้เป็นสมณะในวันที่ ๒๓ ก.พ.นี้), คุณหมอไฟเพชรและหมอแสนดิน, คุณเปา(น้องชายของคุณสวยใส) และล่าสุด ก็ท่านธรรมทาบฟ้า ที่ลงจากดอยแพงค่ามาช่วยเป็นปัจฉาฯโดยตรง รวมทั้งผู้อื่นที่มีส่วนร่วมที่จิ้งหรีดมิได้กล่าวนาม หลายคนก็ได้เยี่ยมท่านทางทีวีวงจรปิด ที่พวกเราไปบันทึกภาพมาจากโรงพยาบาลในวันที่ ๑๗ ก.พ. ที่ผ่านมา ก็ถือว่าเป็นความทันสมัย ที่ผู้ชมได้เห็นทั้งภาพและได้ยินเสียงที่ท่านเล่าอาการเจ็บป่วยให้ฟัง ซึ่งก็คงช่วยให้คลายความ เป็นห่วงของเหล่าญาติโยมไปได้บ้าง ส่วนท่านเดินดิน ได้เดินทางขึ้นดอยแพงค่าไปพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งในช่วงที่ท่านอยู่บนดอย หมู่สมณะ ที่นั่นก็ได้ตกลงกันว่า จะเทศน์หลังฉัน เพื่อจะได้ฉันอาหารร้อนๆ อันจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของทุกๆคนที่อยู่ภูผาฯ เพราะที่นี่อากาศหนาวมาก หลังฉันท่านเดินดินก็เทศน์ให้ชาวดอยแพงค่าฟังทุกวัน นับว่าเป็นบุญของชาวดอยจริงๆ ที่น่าทึ่งอีกอย่างก็คือ คุณครูอุดม (โยมพ่อของท่านเดินดิน) อุตส่าห์เดินทางขึ้นดอยพร้อมลูกหลาน เพื่อเยี่ยมเยียน สมณะลูกชาย แถมยังอยู่พักค้างคืนตั้ง ๑ คืน พร้อมอาบน้ำแร่ที่โป่งเดือด จิ้งหรีด ก็ได้เข้าใจชัดขึ้นว่า การที่เราทำดี ก็มีผลนำความสุขมาให้บุพการี เป็นการขึ้นสวรรค์จริงๆตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งเห็นภาพพ่ออุดมนั่งอาบน้ำแร่ที่โป่งเดือดในบรรยากาศธรรมชาติ มีควันลอยโขมงก็ยิ่งดูเหมือนสวรรค์วิมานแมนตามจินตนาการของคนทั่วไปจริงๆ ท่านเดินดินเดินทางไปพร้อมโยมพ่อ เพื่อแวะเยี่ยมเยียนชาวศาลีฯ แล้วต่อไปร่วมงานเผาศพนายสมบุญ บุญพัดส่ง โยมพ่อของท่านเมืองแก้ว ติสสวโร ซึ่งตั้งศพอยู่ที่สันติอโศก แล้วเคลื่อนศพไปเผาที่วัดบางเตย กทม. (ทางโรงเรียนสมณะนวกะก็ได้จัดส่งท่านเห็นทุกข์ ลงมาเป็นปัจฉาสมณะดูแลท่านเดินดินในช่วงนี้ด้วย) ในวันเผาที่วัดบางเตย ทางวัดเร่งเผาศพเวลาบ่าย ๓ โมง จิ้งหรีดก็เห็นท่านกรรมกร กุสโลกับท่านอาจารย์ ๑ นิมนต์ให้พูดหน้าศพก่อนเผาแทนพ่อท่าน ไปก่อน ในขณะที่พ่อท่านกำลังเดินทางมา เมื่อท่านเดินดินพูดจบแล้ว พ่อท่าน ยังเดินทางมาไม่ถึง จึงเสนอให้ตั้งแถวรอพ่อท่านมาเป็นประธานนำฌาปนกิจศพ พอตั้งแถวเสร็จสักครู่ พ่อท่านก็เดินทางมาถึงพอดี เหลือเวลาอีก ๕ นาที ก่อนกำหนดเผา จิ้งหรีดจึงได้ข้อคิดในงานศพว่า หากมีการกำหนดว่า เผาบ่าย ๓ โมง จะต้องนิมนต์พ่อท่านหรือสมณะที่มาเป็นประธานพิธีเผาก่อนเวลา เพราะถ้าหากมีศพรายอื่นจ่อคิวรอเผาอยู่ ก็ต้องเผาตามกำหนดเวลา ไม่สามารถเกินเวลาศพอื่นที่รอเผาอยู่ได้ งานศพที่วัดบางเตยครั้งนี้ หลายคนบอกว่า ดูเหมือนจะมีผู้มาร่วมงานศพมากที่สุด จิ้งหรีดเองคะเนจากสายตาแล้วก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน เห็นผู้มาร่วมงานนั่งเต็มศาลาหน้าเมรุหลังใหม่ โดยเฉพาะสมณะมาร่วมงานมากเป็นพิเศษ โยมสมบุญ ขณะมีชีวิตอยู่ได้ช่วยรักษาดวงให้ชาวเราดีขึ้นกันหลายท่าน หลายคน โดยเฉพาะท่านซาบซึ้งอยู่รักษานับเดือน จนท่านรู้สึกว่า หลุดแล้ว (ที่ว่าหลุดแล้วก็คือ ริดสีดวงนั่นเอง) ก็คงจะเพราะเหตุนี้กระมัง นอกจาก จะเป็นโยมพ่อของมหาเถรสมณะแล้ว ก็ยังช่วยทำให้พวกเราดวงดีขึ้นกันหลายผู้หลายคนอย่างไม่คิดค่ารักษาเลย โยมสมบุญ ก็ได้เวลาพักผ่อนไปตลอดกาล เหลือแต่คุณงามความดีพร้อมดวงดีให้ชาวเราได้ระลึกถึง สาธุ... จี๊ดๆๆๆ ดาราหนังแผ่น...เมื่อวันโหวตเณรสู่สูญ ขึ้นเป็นสมณะ คุณใจแก้วนำรูป ลูกสาว(แอน) มาอวดจิ้งหรีด ด้วยความ ภูมิใจว่า ลูกสาวได้ไปเป็นนักแสดงหนังแผ่นเรื่อง พระเวสสันดร ได้ข่าวว่ามีทุนญาติธรรมบางท่านหนุนการสร้างหนังเรื่องนี้ คุณใจแก้ว เล่าให้จิ้งหรีดฟังต่อว่า พอดีลูกสาวมีหน้าตาไปทางแขก จึงได้รับการทาบทามให้แสดง และได้กำชับลูกสาวไปว่า ให้เลือกภาพยนตร์ที่จะแสดงให้เหมาะสม เป็นแนวสรรสร้าง ถ้าเป็นพวกโป๊เปลือยก็ให้งดเด็ดขาด มิฉะนั้นจะเสียยี่ห้ออดีตเด็กพุทธธรรมที่สันติฯ อ้าว! หนูแอนคงมั่นคงอยู่ในแนวทางธรรม สรรสร้างโลกนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ ศิษย์ก้าวไปกว่าครู...ในอดีตถ้าใครรู้จัก ด.ช.สากล เผอิญดี ก็คงนึกไม่ถึงว่าจะเรียนจบ ม.๖ สัมมาสิกขาสันติอโศก (รุ่น กศน.)ได้ เพราะท่าทางยียวนกวนๆ ยังไงพิกล แต่มาเมื่อ ๑๗ ก.พ.๔๗ ที่ผ่านมา หมู่สมณะก็ได้มีมติให้เลื่อนฐานะเป็นสมณะได้ โดยได้ทำพิธีบวชในวันจันทร์ที่ ๒๓ ก.พ.๒๕๔๗ ที่ผ่านมา มีฉายาว่า สุญญคโต งานบวชมีเพื่อนร่วมรุ่นมาร่วมอนุโมทนานักๆ นับว่าเป็นความภาคภูมิใจของครูบาอาจารย์ที่ ร.ร.สัมมาสิกขาสันติอโศก สามารถสร้างนักเรียนขึ้นมาเป็นครูของครูได้ดุจอภิชาต บุตร สาธุ...จี๊ดๆๆๆ นี่ก็ศิษย์พัฒนา...ก็อะไรเสียอีกล่ะ ถ้ามิใช่ศิษย์พัฒนา แล้วจะเรียกว่าอะไร กบ ชะวา พอล่า ไหม โมมิ ศิษย์เก่า สัมมาสิกขาช่วยกันเตรียมงานพุทธาฯ ตั้งแต่เนิ่นๆ อุตส่าห์ทำบันทึกรายงาน จิ้งหรีดเห็นแล้วเกือบหนาว ดีว่าเอาไปให้ จิ้งหรีดบนดอยที่หนาวอยู่แล้วเลยพอมีภูมิต้านทาน ก็รายงานแต่ละชุดที่ส่งมาให้ นั้นหนาถึง ๒๒ หน้า บรือ!นี่แค่เบาะๆ ชุดเดียวนะ ภายในรายงานได้ระบุถึงงานที่บกพร่องเมื่องานปีที่แล้ว จิ้งหรีดอ่านแล้ว ก็สรุปได้ว่า เพราะขาดคนทำงาน จึงทำให้งานเกิดข้อบกพร่อง แต่ความบกพร่องที่เกิดขึ้น หลายคนที่ไปร่วมงานพุทธาฯเมื่อปีที่แล้ว อาจจะไม่รู้สึก หรือรู้สึกบ้างก็อาจลืมไปแล้วและไม่ได้ทำให้ความรู้สึกอยากมาบำเพ็ญบุญลดน้อยลง ดังนั้นในงานพุทธาฯ ที่ศาลีอโศกในปีนี้ ใครจะช่วยเสริมเติมเต็มในงานจุดใดที่ยังพร่องอยู่ ก็สามารถสอบถามลูกหลานชาวเราที่เป็นแม่งานอยู่ศาลีฯ เพื่อช่วยกันสรรสร้างงานบุญให้เกิดความสมบูรณ์ลงตัวมากยิ่งๆขึ้น นี่จิ้งหรีดก็แอบ ไปรู้มาว่า ที่ภูผาฯเขาซุ่มฝึกวรยุทธ์เพื่อจะมาช่วยงานนี้โดยเฉพาะถึง ๓ ทีม ทั้งนักบวชและฆราวาส เพื่อเป็นการนึกนบให้กับงานดีๆที่ช่วยให้เราได้ดีมาทุกๆปี สาธุ...จี๊ดๆๆๆ ไร้สารพิษ...เชื่อหรือไม่ ว่าที่สันติอโศกแม้จะเป็นสังคมเมือง แต่ก็มีที่ดินทำกสิกรรมไร้สารพิษ นอกจากจะมีที่สวนสามวาแล้ว ขณะนี้ก็มีนา ๑๐ ไร่อยู่ใน ซ.สุวรรณฯจิ้งหรีดขึ้นศาลาวันก่อน ได้เห็นถาดผักไร้สารพิษ ซึ่งท่านเมืองแก้ว รีบโฆษณาที่มาของพืชผักในถาดนั้นว่า มาจากนา ๑๐ ไร่นั่นเอง ก็รู้สึกประทับใจในอุตสาหกรรมของชาวเมือง ที่พยายามปลูกพืชผักไร้สารพิษไว้รับประทานเอง แถมยังมีร้านกู้ดินฟ้าเพื่อบริการพืชผักไร้สารพิษให้กับชาวเมืองที่ขาดที่ปลูกพืชผัก นอกจากนั้นที่สันติอโศกยังมีการทำปุ๋ยพลังขวัญดิน ซึ่งเป็นปุ๋ยที่ทำจากขยะพืชสดที่มีอยู่ในชุมชน จนสามารถผลิตออกจำหน่ายได้ ใครสนใจก็รีบติดต่อได้เลย เพราะผ่านการทดลองแล้วว่าปลูกพืชงาม และราคาไม่แพงเช่นปุ๋ยเคมี นี่จิ้งหรีดก็สงสัยเหมือนกันว่า ชุมชน ชาวอโศกแต่ละแห่ง มีสักกี่ชุมชนที่ไม่ต้อง พึ่งพาผักในตลาดเลย ใครรู้ช่วยบอกจิ้งหรีดด้วยนะฮะ เพราะจะได้ช่วยกันเผยแพร่ว่า ทำได้อย่างไร ที่มีพืชผักไร้สารพิษกินกันอย่างพอเพียงในชุมชน... จี๊ดๆๆๆ มรณัสสติ นายไสว ภมรพล (คุณลุงของคุณเคียงดิน บุตรประเสริฐ) อายุ ๘๖ ปี เสียชีวิตด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๑๘ ก.พ.๔๗ ฌาปนกิจศพเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๑ ก.พ.๔๗ ที่วัดบางเตย กทม. ก่อนจบขอฝากคติธรรม-คำสอนของพ่อท่านที่ว่า พบกันใหม่ฉบับหน้า |
ประชุมสมณะมหาเถระ ณ พุทธสถานศาลีอโศก วันที่ ๒๘ ก.พ.๔๗ เวลา ๐๕.๐๐ น. งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ ๒๘ ณ พุทธสถานศาลีอโศก อาทิตย์ที่ ๒๙ ก.พ. - เสาร์ที่ ๖ มี.ค.๔๗ งานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๘ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก อาทิตย์ที่ ๔ - เสาร์ที่ ๑๐ เม.ย.๔๗ |
ทำศพแบบอนุรักษ์ธรรมชาติ ป่นให้เป็นผงใช้เป็นปุ๋ยปลูกพืช บริษัทจัดงานศพของสวีเดนแจ้งว่า ได้คิดวิธีจัดการศพ โดยไม่ให้กระทบกับ สิ่งแวดล้อมเสียหายเลย โดยจะใช้วิธีแช่ศพ ให้เย็นจัด จนแข็งด้วยก๊าซไนโตรเจนเหลวก่อน หลังจากนั้นจะเอาไปบดให้ป่นเป็นผงด้วยคลื่นเสียง แล้วจึงนำกลับไปคืนสู่ดิน เอาคืนกลับเข้าไปในห่วงโซ่ของระบบทางนิเวศวิทยา นางซูซาน วิลลกเมสัก นักชีววิทยาผู้เป็นเจ้าของบริษัทโปรเมสซา ออร์แกนิก อ้างว่า ได้คิดวิธีจัดการกับศพวิธีใหม่ขึ้น เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติ และทำให้ผู้คนตระหนักถึงความจำเป็นของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย วิธีการของเรา จะช่วยสงวนทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ เช่น น้ำ ดิน และอากาศ เอาไว้ได้อย่างดีที่สุด และช่วยให้เรามีความรู้ ในห่วงโซ่ของระบบนิเวศวิทยาได้อย่างลึกซึ้งขึ้นอีกด้วย บริษัทจะพร้อมเปิดรับบริการได้ภายในเวลาสองปีข้างหน้านี้ นางกล่าวต่อไปว่า ศพที่ผ่านขบวนการจนกลายเป็นผงละเอียดแล้ว จะถูกบรรจุในโลงทำด้วยแป้งข้าวโพด แล้วนำไปฝัง ลงในหลุมตื้นๆ "ภายหลังจากนั้น ทั้งโลงและผงกระดูกข้างในจะถูกแปลงให้เป็นปุ๋ยไปด้วยกัน ภายในระยะเวลาแค่ ๖ เดือน ซึ่งสามารถใช้ปลูกพืชได้ แถมต้นไม้ยังจะงอกขึ้นเป็นตัวแทนของคนคนนั้น ทำให้เราจะรู้ว่าเขาไม่ได้หายไปไหนอีกด้วย" (ข้อมูลจาก นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๑๒ ก.พ.๔๗) พบน้ำพุร้อนมีเชื้อโรคทางเดินหายใจ แม่ฮ่องสอน - นายวัฒนพงศ์ วุทธา กองชันสูตรปรสิต สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข เผยว่าจากการตรวจสอบตัวอย่างน้ำจากแหล่งน้ำพุร้อนใน ๔ จังหวัด ภาคเหนือ คือ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง จำนวน ๑๘ บ่อ เพื่อค้นหาเชื้อจุลชีพก่อโรค เก็บน้ำจุดที่ร้อนที่สุด มีปุดน้ำเดือดและมีไอน้ำลอยขึ้นมาตรวจ จากการตรวจสอบ ไม่พบเชื้ออะมีบา แต่พบว่ามีเชื้อลีจิโอเนลลา นิวโมฟิลา จากบ่อน้ำร้อนแม่สะงา อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่มี อุณหภูมิประมาณ ๕๕ องศาเซลเซียส และน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ราชบุรี ก็พบเชื้อลีจิโอเนลลา นิวโมฟิลา นายวัฒนพงศ์ กล่าวอีกว่าเชื้อลีจิโอเนลลา เป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจ หากอาการไม่รุนแรง จะมีลักษณะอาการ คล้ายไข้หวัดใหญ่ เชื้อจะมีระยะฟักตัวสั้น มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาการไม่รุนแรง แต่หากรุนแรงจะเรียกว่าโรคลีเจียนแนร์ อาการคล้ายปอดอักเสบ มีระยะฟักตัวยาวกว่าแบบแรก มีไข้สูง ไอ หนาวสั่นปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย มีการติดเชื้อในปอด อาการรุนแรงถึงแก่ชีวิต. (ข้อมูลจาก นสพ.ข่าวสด ฉบับวันที่ ๘ ก.พ.๔๗) |
ชื่อเดิม
นางสาวฉะอ้อน หาญสาริกิจ คุณป้าคำเรียงเป็นญาติธรรมอีกคนหนึ่ง ของศาลีอโศก มีเรื่องราวการปฏิบัติธรรม ที่น่าสนใจ วันนี้ยังสามารถครองความเป็นโสดไว้ได้ หากไม่บอกอายุจะไม่รู้เลยว่าจะ ๗๐ ปีแล้วนะนี่ หน้าคุณป้าอ่อนกว่าวัยจริงๆ *** วัยเด็ก *** คนมีบุญ อายุ ๓๐ ปี พ่อเสียชีวิตแล้ว พี่สาวเป็นห่วง ญาติผู้ใหญ่บอกให้แต่งงานจะได้หมดห่วง มีคนมาขอก็ปฏิเสธไม่แต่งอีก เขาก็กลับมาขออีกเป็นครั้งที่ ๒ ญาติผู้ใหญ่ ชอบ ก็ตกลงรับหมั้นให้ เอ้า!... ตกลงก็ รับหมั้นไว้หนึ่งปี เขาทำงานอยู่กรุงเทพฯอาชีพตัดผม อายุ ๓๐ กว่าๆ ปีหนึ่งเจอกัน ๓ ครั้ง ใจรู้สึกเป็นภาระ ก็คิดนะว่าขนาดเป็นคู่หมั้นยังทุกข์ขนาดนี้ ถ้าแต่งงานกันจะทุกข์ขนาดไหน จนถึงอีก ๑๕ วันจะแต่งงาน ใจไม่ดีเลย ร้องไห้ พี่สาวบอกว่าคนจะแต่งงานเขาดีใจกัน แต่นี่มานั่งร้องไห้ คิดมาก ไม่สบายใจ เขาไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ใจรู้สึกทุกข์ เลยขอถอนหมั้น ตอนนั้นทองหมั้น ๖ บาท พี่สาว ก็ไม่ว่า พอคืนของหมั้นแล้วฝ่ายชายต่อว่า หากมีพ่อแม่เขาปรับเท่าตัว แล้วเขาก็ไปบวช หลังจากนั้นก็เข้าวัดปฏิบัติธรรมเรื่อยมา ไปสายนั่งสมาธิหลับตา สายฤาษี ฟังพ่อท่านเทศน์เดี๋ยวเป็นพรหมลูกฟัก ก็เลยรีบออก ฟังพ่อท่านเข้าใจดี ปฏิบัติด้วยความเข้าใจ อยู่ด้วยความเข้าใจ เลยไม่ไปที่ไหนอีกเลย *** เจอพญามารกว่าจะพบอโศก ต่อมาก็ชักลังเล คิดว่าวัดไหนก็ได้ ไม่ต้องวัดอโศกก็ได้ ใจไม่อยากไปแล้ว ตอนไปก็ไม่เต็มใจ ได้ร่วมทำวัตรเย็น ตอนนั้นท่านมนาโปเป็นสมภาร ท่านเทศน์ฟังแล้ว เข้าใจ ติดใจธรรมะ เลยอยู่ต่อ ๖ วัน *** เริ่มจากค่อยๆฝึก
ทุกวันนี้ช่วยงานทั่วไป ที่ไหนขาดคนก็ไปช่วย เข้าครัว สมุนไพร แชมพู เต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว งานอบรม ธ.ก.ส.ช่วยกวาดสถานที่ให้เขาใส่บาตร ทำสวนหลังบ้าน ไม่มีงานประจำ *** จิตในจิต *** ตอนแก่...ตอนตาย *** ฝากสุดท้าย เวลาเจอผัสสะป้าจะติตัวเอง ไม่ไปว่าเขา สมกับเป็นนักปฏิบัติธรรมจริงๆ ส่วนใครที่ยังชินกับการไปโทษคนนั้น คนนี้อยู่ ยังไม่ตรงทางนะ คิดใหม่ แก้กรรมใหม่ จะได้พบทางสว่างเสียที - บุญนำพา รายงาน - |