ฉบับที่ 232 ปักษ์แรก 1-15 มิถุนายน 2547

[01] บทนำข่าวอโศก:อย่าบั่นทอนพ่อ ด้วยความสำเร็จของงาน
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "ทานแบบพุทธ รู้ง่าย ทำก็ง่าย แต่คนไม่พยายามหัดทำนั้น คืออะไรเอ่ย ?"
[03] บันทึกปัจฉาสมณะ: อาราธนาพ่อท่าน...อยู่เพื่อลูกๆทุกคน
[04] โฮมไทวังที่บ้านราชฯ กับอายุพ่อท่านครบ ๗๐ ปี เน้นการจัดสมดุลของชีวิต
[05] แก่นฟ้า แสนเมือง ปรมาจารย์เกษตรไร้สารพิษ (ตอน ๑)
[06] พ่อท่านนำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
[07] นายกฯทักษิณ ยอมลดทิฐิ แสดงภาวะผู้นำที่พร้อมถอย เมื่อได้รับการทักท้วงเรื่องหวยลิเวอร์พูล
[08] การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา (๒)
[09] อบรมครูวิถีพุทธ ๘๑ ร.ร.หายสงสัยว่า ทำไมจึงมาบ้านราชฯ
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] โครงการรวบรวมองค์ความรู้และพัฒนาผลผลิต จากสารธรรมชาติทดแทนสารเคมี ในผลิตภัณฑ์สุขภาพ
[12] นาโนเทค (NANOTECH) เทคโนโลยีปฏิวัติโลกการตลาด
[13] ชายงามรายปักษ์ นายเสมอ แสนจันแดง



อย่าบั่นทอนพ่อ ด้วยความสำเร็จของงาน

ในหน่วยงานภายในทุกวันนี้ เวลามีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการพูดคุย หรือประชุมเพื่อแก้ปัญหา ส่วนใหญ่ที่แก้ปัญหาไม่ได้ ก็เพราะมีคนที่ไม่มุ่งปฏิบัติธรรม แต่มุ่งความสำเร็จของงาน (ผลงาน) มากกว่าจิตวิญญาณ

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเหล่านั้นที่สร้างปัญหาให้หมู่กลุ่มได้ระลึกถึงคำสอนของพ่อท่านที่ว่า

"ระวังอารมณ์ก่อนงาน" หรือไม่?

เรามาศรัทธาพ่อท่านด้วยการปฏิบัติตามคำสอนกันดีกว่า คือทำงานโดยไม่ขี้เกียจพัฒนาจิตวิญญาณควบคู่ กันไป

จะได้ช่วยให้พ่อท่านอายุยืนยิ่งๆขึ้น

มิฉะนั้นเราก็อาจกลายเป็นผู้ที่บั่นทอนสุขภาพของพ่อท่านให้แย่ลงโดยมิรู้ตัว เพราะเรามิได้ปฏิบัติธรรม

จึงมิได้ให้ความสำคัญต่อจิตวิญญาณในขณะทำงาน.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ทานแบบพุทธ
รู้ง่าย ทำก็ง่าย แต่คนไม่พยายามหัดทำนั้น คืออะไรเอ่ย ?

คงจะไม่มีใครที่จะไม่เข้าใจคำว่า "ทำบุญ" หรือ "ทาน" โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนแม้จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่

และท่านเชื่อไหมว่า จุดใหญ่ใจความของ "พุทธศาสนา" นั้น อยู่ตรงนี้เท่านั้นเอง อยู่ตรงนี้และเท่านี้จริงๆ

"ทำบุญ" หรือ "ทาน" นั้น ก็คือ "การให้" การปฏิบัติธรรมของพุทธ จึงเริ่ม ด้วย "ทาน" แล้วก็ ศีล-สมาธิ-ปัญญา และแท้ๆจริงๆ แม้จะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาก็ตาม ก็คือการหากฎหาวิธีมาบีบบังคับหรือทำการแวดล้อมให้กระทำ "บุญ" นั้น หรือทำ "ทาน" นั้นให้ได้ อย่างแท้อย่างจริง จนคนผู้นั้นกลายเป็นคนใจบุญสุนทานจริงๆ กระทั่งไม่เกิดอารมณ์เกาะเกี่ยว หวงแหน หรือเสียดายอะไรใน "การให้" นั้นๆเลย ไม่ว่าในกรณีใดๆ และทุกครั้งที่ทำแม้จะเป็นการให้ที่เล็กน้อยที่สุด หรือจะเป็นการให้ ที่มากที่สุด

"ทำ" ในที่นี้ หมายถึงต้อง "ทำ" จริงๆ และทำให้มากๆ มิใช่เอาแต่พูดเอาแต่รู้เท่านั้น ข้อใหญ่ใจความก็คือต้อง "ทำ" ให้ได้ "ทำบุญ" ให้จริง "ทำทาน" ให้จริง และ "ให้" ก็ต้องให้ไปโดยบริสุทธิ์ใจ มิใช่ให้แล้วยังหวังผลตอบแทน

"การให้" ในที่นี้ก็คือ "ให้ทุกๆสิ่ง" หมายความว่า "ไม่เอาไว้เป็นของเรา" ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น จะเป็นข้าวของเงินทอง หรือ วัตถุธรรมใดๆ ไปตราบกระทั่ง แม้อารมณ์โลภ-รัก-โกรธ-ชัง อันใดก็ไม่เอาไว้เป็นของเราเลยจริงๆ เราก็จะกลายเป็นผู้ไม่มีสมบัติอะไรเลย ไม่มีโลภ ไม่มีรัก ไม่มีโกรธ และไม่มีชัง คนผู้นี้แหละคือผู้ถึง "ที่สุดแห่งทุกข์"

ถ้าใครอยากพ้นทุกข์จริงๆ ก็ให้เริ่มหัดทำบุญ และทำทาน เสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด อย่ามัวคิดผัดผ่อน หรือที่พระพุทธองค์ ทรงกล่าวไว้ว่า "อย่ามัวประมาทกันอยู่เลย"

มีความจริงแท้อยู่ว่า ถ้าผู้ใดยังไม่เคยควักเงินจำนวนเล็กน้อยออกให้แก่ผู้อื่นเลย เขาก็จะไม่กล้าควักเงินจำนวนมาก ให้แก่ใคร เป็นอันขาด เพราะเขา กลัวเงินของเขาจะพร่องไป และโดยนัยนี้เอง ถ้าผู้ใดไม่เคยควักเงินก้อนสุดท้ายที่มีในชีวิตของเขาจริงๆ ให้แก่คนอื่นไป โดยไม่เกิด ความกลัว แต่อย่างใดเลย คนผู้นั้นก็จะไม่กล้าประจัญหน้ากับคำว่า "ไม่โลภ" เพราะเขากลัวจะอดตาย แล้วเขาจะได้ เป็นผู้หมดสิ้น สูญสลาย ถึงภาวะแห่งความว่างเปล่า เบา สบาย อันเรียกว่า "สุญญตา" หรือเป็น "นิพพาน" นั้นไม่ได้เลย.

- สมณะโพธิรักษ์ -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


- สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ -

อาราธนาพ่อท่าน...อยู่เพื่อลูกๆทุกคน

"อโศกรำลึก" ปีนี้ชุ่มช่ำด้วยฝนในช่วงปลาย สภาพของชุมชนสันติอโศกที่เล็กแคบอยู่แล้วก็ยิ่งดูเล็กแคบยิ่งขึ้น สภาพแออัดน้องๆ slum เกิดขึ้นโดยทั่วทุกฐานะ ไม่เว้นแม้แต่สมณะ ที่หลับที่นอนต้องไปอาศัยราวตากผ้าบนตึกสัปปายะ กว่าสิบรูป เป็นเช่นนี้ มาหลายปีแล้ว ดีที่ได้รับการสั่งสอน ฝึกหัด ขัดเกลา ให้กินง่ายอยู่ง่าย ทำให้ไม่มีท่านใดเรียกร้องเอาอะไร จากใครๆ ช่างสมกับ ความหมายของ วันอโศกรำลึกจริงๆ ที่เป็น วันอด อบอุ่น ฯลฯ

"อโศกรำลึก" เดิมพ่อท่านให้ใช้ชื่อนี้แทนวันเกิดของพ่อท่านที่ญาติโยมมาทำบุญ เมื่อถูกกล่าวหาต่างๆนานา จากสงฆ์ กระแสหลัก ว่าประพฤติผิด สอนผิด ทำให้ต้องลาออกจากการปกครอง และต้องเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงต้องเปลี่ยน คำนำหน้าจาก "พระ" เป็น "สมณะ" ตั้งแต่นั้นมา (๒๕๓๒) วัน "อโศกรำลึก" จึงถือเป็นวันเกิดสมณะ แต่ดูเหมือนว่ากิจกรรมและบทบาท แทบจะไม่มีอะไร ส่อให้เห็น เป็นสำคัญตามความหมายนั้น

ถ้าพูดถึงงาน "อโศกรำลึก" จุดเด่นที่เข้าใจกันโดยทั่วก็คือการมาคารวะบูชาเจดีย์ ซึ่งบรรจุพระสารีริกธาตุ ขณะที่กิจกรรม ของวัน อโศกรำลึกเอง ไม่มีอะไรที่แน่นอน ซ้ำมิหนำเป็นวันที่หลายคนเร่งๆรีบๆจะกลับ หลายคนฟังธรรมทำวัตรเช้า เสร็จแล้วก็กลับ หลายคน ประชุมพรรค เพื่อฟ้าดินเสร็จแล้วก็กลับ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเห็นใจกับผู้มีถิ่นฐานไกล

"อโศกรำลึก" จึงเป็นที่เข้าใจกันโดยอัตโนมัติว่า เป็นการมาคารวะบูชาพระธาตุ เป็นสำคัญกว่ากิจกรรมอื่นๆ ถึงวันนี้ แทบไม่มีใคร พูดถึง วันเกิดพ่อท่านเท่าไรแล้ว นับเป็นความสำเร็จของพ่อท่านที่สามารถทำให้ชาวอโศกไม่ได้จัดงานฉลองใหญ่ ในวันเกิด ของพ่อท่าน อีกทั้งชาวอโศกส่วนใน ก็เข้าใจ และสนองตอบเจตนารมณ์ของพ่อท่าน

วันเกิดของพ่อท่าน (๕มิ.ย.) ถึงวันนี้จึงกลายเป็นงานทำบุญหมู่บ้านราชธานีอโศก วันเกิดสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต วันโฮมไทวัง ซึ่งก็ยังเป็น งานเล็กๆ กิจกรรมไม่ได้โดดเด่นหรือดึงดูดชาวอโศกส่วนใหญ่ให้มาร่วมงาน

อายุ ๗๐ ปีในวันนี้แทบไม่น่าเชื่อว่าอายุขัยจะเพียง ๗๒ ปี เท่านั้น จากบุคลิกและสุขภาพโดยรวมน่าจะอยู่ได้อีกนาน เป็นสิบปีขึ้น แต่ความจริง ที่จะต้องเป็นกับความอยากที่จะให้เป็น หลายครั้งมันไม่ได้สอดคล้องไปด้วยกัน

"อโศกรำลึก" ในหลายปีที่ผ่านมา นักเรียน สส.ฐ.จะมาร้องเพลงประจำ สู่เส้นทางนิพพาน ซึ่งเนื้อร้องท่อนหนึ่งจะมีว่า อาราธนา พ่อท่าน อยู่เพื่อลูกๆ ทุกคน เป็นถ้อยคำที่ชาวอโศกล้วนต้องการให้เป็นเช่นนั้นเช่นกัน

ขณะที่กระแสความยอมรับทั้งในและนอกประเทศมีมากขึ้น กิจกรรมมากขึ้น งานมากขึ้นตาม แต่ความจัดจ้านของโลกีย์ กลับมากขึ้นยิ่งกว่า มากถึงขนาดที่พ่อท่านต้องเขียนจดหมายปิดผนึกไปถึงผู้นำประเทศ ตามที่เป็นข่าวในสื่อต่างๆ กรณีที่รัฐ จะออกหวย เพื่อนำเงิน ไปซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอลในอังกฤษ

"...คราครั้งนี้อาตมารู้สึกว่ามันหนักหนาสาหัสเหลือเกิน..." เป็นสำนวนหนึ่งที่พ่อท่านใช้ในจดหมายดังกล่าว

แม้ท่านผู้นำประเทศจะให้ข่าวว่าเลิกการออกหวย เพื่อซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอลแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงเดินหน้าที่จะซื้อหุ้นฯ ในวิธีการอื่นต่อไป

ซึ่งในจดหมายที่พ่อท่านเขียนนั้นมีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า "...ขออภัยที่อาตมากล่าวตรงๆว่า "กีฬา" เป็นอบายมุข เพราะมัน เป็นแค่ "การเล่น" เท่านั้น เป็นอบายมุขแท้ๆ การเล่นคือการเล่น (ภาษาบาลีว่า กีฬา) ซึ่งคนอาศัยมันบ้างเพียงเพื่อพักผ่อน คลายอารมณ์ แต่ถ้าใคร หลงยกฐานะของ "การเล่น" (กีฬา) ขึ้นเป็นการเป็นงานชอบ(สัมมากัมมันตะ) เป็นอาชีพชอบ (สัมมาอาชีวะ) เมื่อใด เมื่อนั้น มันคือ "อบายมุข" เพราะมันมิใช่ทางแห่งความเจริญ พระพุทธเจ้าทรงระบุว่าเป็น "ทางแห่งความเสื่อม" โดยแท้..."

ข่าวล่าสุดการพ่ายแพ้ของนักฟุตบอลทีมชาติไทยต่อเกาหลีเหนือ ท่านผู้นำประเทศก็ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า ต้องการจะ พัฒนา ให้เป็นอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคง จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการหาเงินเลี้ยงครอบครัว ซึ่งก็จะทำให้มีเวลาฝึกซ้อมได้ทั้งวัน

ขนาดการพนันที่เป็นเรื่องหยาบๆ เป็นรูปธรรมที่เห็นกันมาช้านานแล้วว่า "อบายมุข" เป็นความเสื่อม ปัญญาชนทั้งหลาย ก็ยังไม่เห็น กันได้ง่ายๆ ยังไม่เชื่อในญาณตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ความพยายามที่จะตั้งบ่อนคาสิโน และความคิด ในการออกหวย ซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอลจึงเกิดขึ้นอย่างขาดหิริโอตตัปปะ ประสาอะไรกับเรื่องกีฬา ที่ชนทั้งหลาย ต่างมองเห็น แต่ประโยชน์ จะมีสักกี่คน ที่จะเห็นเป็นโทษอย่างที่พ่อท่านพยายามจะบอก

เมื่อวาน ๑๐ มิ.ย.นักข่าวของไทยโพสต์และบางกอกโพสต์ ได้มาสัมภาษณ์ มีคำถามหนึ่งถามว่าถ้าท่านนายกฯ ยังคงเดินหน้า ซื้อหุ้น สโมสรฟุตบอลท่านจะทำอย่างไรต่อไป พ่อท่านตอบว่าอาตมาจะไปทำอะไรได้ เราก็ทำงานของเราไปตามปกติ แต่จะให้ไป บอกอะไร ท่านอีกก็คงไม่แล้ว แค่ที่เขียนไปนั่นก็ถือว่า บังอาจสอนหนังสือสังฆราชมากแล้วนะ

กรณีพืชตัดแต่งพันธุ์กรรมหรือที่เรียกเป็นภาษาสากลว่า GMO ก็เช่นกัน จะมีสักกี่คนที่รู้และเห็นโทษภัยอันตราย ของสิ่งที่จะ นำเข้ามา ในสังคมไทยนี้ ก็ขนาดการพนันที่น่าจะเห็นง่ายกว่าก็ยังยาก แล้วเรื่องพืช GMO ที่ยังดูใหม่กับชาวบ้าน ในสังคม ก็ยากยิ่งกว่า แต่จากการฟัง ผู้รู้ทั้งหลายที่พยายามบอกถึงอันตรายและความวิบัติที่จะเกิดขึ้นในสังคม คือ พืชพรรณ พื้นถิ่น จะมลายสิ้น จะเกิดการผูกขาดในพืชพรรณ โดยกลุ่มธุรกิจข้ามชาติ สิ่งแวดล้อมในระยะยาวจะเสื่อมเสียอย่างรุนแรง จะทำให ้มีการใช้สารเคมีมากขึ้นเพราะ GMO ต้านทานแมลง และวัชพืช สุขภาพของคนในสังคมจะเสื่อมทรุดรวมถึงคนจะตายเร็วขึ้น

งาน "อโศกรำลึก" ปีนี้จึงมีเรื่องของ GMO เป็นเอก เป็นการเริ่มให้ข้อมูลกับชาวอโศกก่อน ด้วยหวังจะขยายผล ไปสู่ชาวบ้าน ระดับ รากหญ้าต่อไป แต่ปัญหาที่น่าเป็นห่วงยิ่ง ก็คือฝ่ายที่มีผลประโยชน์ในเรื่องพืชพรรณ GMO นี้จากต่างประเทศ กำลังประสาน เชื่อมเข้ามา สู่กลุ่มธุรกิจพืชพรรณในประเทศ และกำลังพยายามคืบคลานเข้าหานักการเมืองที่มีอำนาจ บรรดาผู้รู้ถึงโทษภัยของ GMO เห็นว่า กลุ่มชาวอโศก จะมีพลังในการต้านวิบัติภัยของสังคมนี้ได้

วันนี้ (๑๑ มิ.ย.) ได้รับโทรศัพท์จากผู้ที่มีความห่วงใยบ้านเมือง แจ้งว่ามีเรื่องยิ่งใหญ่กว่า GMO คือเรื่อง FTA เขตการค้าเสรี ทำกันอยู่ สองสามประเทศ ซึ่ง GMO เป็นเพียงส่วนหนึ่งใน FTA และ FTA ร้ายแรงยิ่งกว่ากฎหมาย ๑๑ ฉบับ เขตการค้าเสรี ฟังดูก็ เพราะดี แต่แก่นแท้แล้ว เขาจะมาเอาเปรียบเราทุกอย่าง เพราะเราไม่แข็งแรงเลยสักอย่าง แล้วเขาก็จะเอาส่วนที่เขาแข็งแรง มาเรียกร้อง ให้เราเปิด เสรีกับเขา ซึ่งจุดแข็งของเขาจะมากลืนกินเราทั้งหมด FTA ไม่ใช่แค่พืช GMO อย่างเดียว มันจะคลุมไปถึง เรื่องอื่นๆ ด้วย อย่างเรื่องสิทธิบัตรยา ถ้ามีการทำสัญญา FTA แล้ว ต่อไปไทยจะผลิตยาเองไม่ได้ จะต้องไปขออนุญาต และจ่ายเงิน ให้กับประเทศ ที่ทำเรื่องยาตัวนั้นมาก่อน หรืออย่างเรื่องหอมกระเทียม หลังจากที่ทำสัญญา FTA กับจีนแล้ว จีนส่ง หอมกระเทียม ซึ่งผลิตได้ถูกกว่า เข้ามาขายในไทย ต่อไปเกษตรกรที่เคยปลูก ต้องหันไปทำอย่างอื่น ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป อาชีพต่างๆ จะเหลือทำกันน้อยลง ในระยะยาว ความหลากหลาย ทางชีวภาพจะหายไป ซึ่งเรื่อง FTA นี้รัฐได้ทำสัญญากับ หลายประเทศแล้ว และกำลังจะทำสัญญา เพิ่มอย่างเงียบๆ ในเร็ววันนี้ พรุ่งนี้จะมีผู้รู้ที่มีชื่อเสียงในสังคม มาให้ข้อมูล เรื่อง FTA นี้ก็เช่นกัน ต่างก็เห็นว่าชาวอโศก จะมีพลังในการต้านหายนภัย ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้

มีเสียงที่พูดกันหนาหูขึ้นเรื่อยๆว่า ผู้มีอำนาจกำลังหลงอำนาจ ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องที่เป็นกลุ่มทุนใหม่ แทนที่ จะให้กับชาติ และ ประชาชน จึงมีความพยายามจากนักวิชาการและกลุ่มทุนเก่าที่จะคิดตั้งพรรคการเมืองทางเลือก ที่สาม โดยติดต่อ ให้ชาวอโศก ส่วนหนึ่งเข้าร่วมเพื่อชาติ ขณะเดียวกันข่าวไฟใต้ที่ไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ง่ายๆ ชาวอโศกก็ได้รับ การติดต่อ ให้ไปช่วยดับไฟใต้ด้วย ซึ่งพ่อท่าน ก็ปฏิเสธอย่างนิ่มๆว่า มันเกินแรงเรา

เมื่อวาน ๑๐ มิ.ย. Phra Jingxiang จิ้งเซี่ยงฝ่าซือ หรืออดีตสมณะสมณลักขโณได้นำชาวจีนพุทธในมาเลเซียมาสนทนา กับพ่อท่าน เขาสนใจ อยากจะตั้งกลุ่มชุมชนชาวพุทธในมาเลเซีย อย่างที่ชาวอโศกทำ พ่อท่านตอบข้อซักถามอยู่ชั่วโมงกว่า ไม่ทันไร นักข่าวของ ไทยโพสต์ และบางกอกโพสต์ได้มาขอสัมภาษณ์ต่อ ตลอดบ่ายจรดค่ำเป็นเวลากว่า ๔ ชั่วโมง แต่เสียงไม่ตก และไม่ไอ เช่นก่อนๆ สุขภาพของพ่อท่านวันนี้ยังดูดี แต่วันหน้าไม่รู้ ไม่มีใครบอกได้

ขณะที่กระแสจากภายนอกให้การยอมรับมากขึ้น อีกทั้งฝากความหวังในการฟื้นฟูช่วยเหลือสังคมในหลายๆด้าน มากขึ้นเรื่อยๆ ผู้เขียน อยากจะขอนำบางส่วนที่พ่อท่านแสดงธรรมในโอกาสเปิดร้านหนึ่งน้ำใจที่ศีรษะอโศก ๒ เม.ย. มาให้ชาวอโศก ได้ทบทวนคือ

ทุกวันนี้
๑.ค่าของความนิยมของสังคมข้างนอก นิยมในตัวพวกเรามีอัตราการก้าวหน้าสูง
๒.แต่การก้าวหน้าของ สมรรถนะความสามารถของพวกเรา แม้แต่ธรรมะคุณธรรม ด้วยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า
๓.และอัตราการก้าวหน้าของมวลชาวอโศกที่จะมาเป็นแก่นเป็นแกน ร่วมหัวจมท้ายด้วยยิ่งน้อยใหญ่เลย
เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เราจะต้องงดหรือหยุด การอ้าขาผวาปีกรับงานนอกมากเกินแรงเรา อย่าไปหลงเห่อกับความนิยม จากภายนอก แล้วมาเร่งพัฒนาใน เก็บกวาดบ้านของเราให้สะอาด แม้วันนี้ก็ยังจำเป็นที่เราจะต้อง เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง

คำอาราธนาพ่อท่านให้มีชีวิตที่ยืนยาว ตามที่หลายคน กล่าวและเสียงเพลงที่เด็กๆร้องนั้น จะเป็นผลที่ดีได้ ก็ต่อเมื่อ ชาวอโศก ทำตาม ที่พ่อท่านกล่าวมาข้างต้นนี้ ให้ได้มากที่สุด เพิ่มคุณธรรม เพิ่มสมรรถนะของตน ขยับเข้ามาช่วยงานภายใน ให้มากขึ้น อย่าได้เที่ยว ไปขยายงานนอกมากเกิน ที่สำคัญญาติธรรมผู้ใหญ่ๆ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ต่างก็โตๆ และใกล้ตายกันอยู่ ทุกขณะแล้ว ขอร้องล่ะ ผนึกรวมกัน เข้ามาเป็นเอกีภาวะกันดีกว่า อย่าให้พ่อท่านต้องเหนื่อยและลำบากใจ เมื่อจะทำกิจนี้ ก็ติดคนนั้น จะทำกิจนั้นก็ติดคนนี้ แต่ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าก็คือญาติธรรมที่ฟังธรรมมาก็หลายปี แล้วยังไม่ได้ละลดอะไรเลย ไม่คิดที่จะช่วยงานภายใน ให้เป็นชิ้นเป็นอัน ขึ้นมาบ้าง ได้แต่หาอยู่หากินและขวนขวายแต่โลกีย์กุศล กันอย่างไม่รู้หยุด ไม่รู้สิ้น ระวังเถ้อะ จะเสียเวลากันไปอีกชาติหนึ่ง โดยเปล่าประโยชน์นะ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

โฮมไทวังที่บ้านราชฯ
กับอายุพ่อท่านครบ ๗๐ ปี
เน้นการจัดสมดุลของชีวิต

งานโฮมไทวังระหว่างวันที่ ๒-๕ มิ.ย. ๒๕๔๗ ณ ชุมชนราชธานีอโศก กิจกรรมในแต่ละวันมีดังนี้

๒ มิ.ย. นิสิตแต่ละวิชชาเขต (ปฐมฯ, ศีรษะฯ, สันติฯ, ศาลีฯ และสีมาฯ) ทยอยเข้าพื้นที่ ภาคค่ำร่วมฟังธรรมเนื่องในวัน วิสาขบูชา บริเวณ ลานหินหงส์

๓ มิ.ย. ทำวัตรเช้า ออกกำลังกาย แบ่งกลุ่มทำงาน เข้าครัว-เก็บผัก (นิสิตวัยกลางคน-อายุยาว) และปลูกต้นไทร (นิสิตวัยรุ่น) สำหรับ ผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพก็ไปใช้บริการที่บ้านสุขภาพ

ภาคบ่าย นิสิตฯฝึกฝนเรียนรู้ภาคปฏิบัติการปรับอิริยาบถ การบริหารคลายเส้นตั้งแต่กล้ามเนื้อใบหน้าจนถึงเท้า โดยนัก กายภาพบำบัด คุณพรเพ็ญ รัศมีวิเชียรทอง สำหรับคุรุสมณะ-สิกขมาตุและคุรุแต่ละ วิชชาเขต ๒๒ ท่านร่วมสัมมนา ที่เรือเหลือง

ภาคค่ำ ฝึกพลังจิตพิชิตโรค เดินจงกรมบริเวณลานโคกใต้ดินและสรุปสภาวะที่เฮือนศูนย์

๔ มิ.ย. เป็นวันสำคัญของชาวสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต ว่าที่นิสิตฯ ๔๗ คนเข้าสอบสัมภาษณ์ จาก ๖ วิชชาเขต ปรากฏว่า สอบผ่าน ทั้งหมด เขตราชธานีฯ ๕ คน, เขตปฐมฯ ๒๑ คน, เขตศาลีฯ ๓ คน, เขตสีมาฯ ๓ คน, เขตศีรษะฯ ๕ คน และเขตสันติฯ ๑๐ คน คณะกรรมการ สอบสัมภาษณ์ประกอบด้วย สมณะ-สิกขมาตุ และคุรุ รวมทั้งหมด ๒๓ ท่าน พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ วิชชาบดี สัมมาสิกขาลัย วังชีวิต เป็นประธาน ใช้สถานที่บริเวณชั้น ๓ เฮือนศูนย์สูญ เริ่มสอบสัมภาษณ์ตั้งแต่เวลา ๐๕.๐๐ -๐๙.๓๐ น. สำหรับคุรุใหม่มี ๓ คน ๑.คุรุเพียรงาม เถาสุวรรณ์ วิชชาเขตศีรษะฯ, ๒.คุรุฟ้านวล นาวาบุญนิยม วิชชาเขตสันติฯ และ ๓.คุรุอำไพ พัวพิพัฒน์พงษ์ วิชชาเขต ศาลีฯ

ก่อนรับประทานอาหารคุณหมอใจเพชร มีทรัพย์ ให้ความรู้เรื่องอาหารธรรมชาติปรับสมดุลของร่างกาย ภาคบ่ายฟังบรรยาย เรื่องแนวทาง การรักษาสุขภาพแบบองค์รวม โดย น.พ.สมนึก ศิริพานทอง ภาคค่ำ นิสิตแต่ละวิชชาเขต ร่วมระดมสมอง และนำเสนอ "๗๐ ปี เพิ่มบารมี เพื่อพ่อท่าน"

๕ มิ.ย. นับเป็นวันที่สำคัญอีกวันหนึ่ง เพราะนอกจากจะเป็นวันคล้ายวันเกิดของพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ที่มีอายุครบ ๗๐ ปี ยังเป็นวัน ฉลองวันเกิดหมู่บ้านราชธานีอโศก และเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ในภาคเช้าร่วมฟังธรรมจากพ่อท่าน ๐๗.๐๐ น. นิสิตใหม่ ซ้อมรับเข็ม ๐๘.๐๐ น. พิธีรับเข็มคุรุใหม่และนิสิตใหม่รับเข็มพร้อมบัตรประจำตัวนิสิต จากพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ หลังจากนั้น พ่อท่านให้โอวาทนิสิตใหม่ ถ่ายรูปร่วมกับพ่อท่าน รับประทานอาหาร พร้อมกับชมการแสดงสาระบันเทิง เสร็จแล้ว แยกย้ายกันกลับ

ปีการศึกษา ๒๕๔๗ สัมมาสิกขาลัยวังชีวิตมี ๖ วิชชาเขต คุรุ ๒๗ คน นิสิต ๑๘๐ คน แยกตามวิชชาเขตดังนี้
๑. ราชธานีฯ, มีคุรุ ๖ คน, นิสิต ๕๑ คน
๒. ปฐมฯ, มีคุรุ ๗ คน, นิสิต ๔๕ คน
๓. ศีรษะฯ, มีคุรุ ๗ คน, นิสิต ๓๖ คน
๔. สันติฯ, มีคุรุ ๒ คน, นิสิต ๑๘ คน
๕. ศาลีฯ, มีคุรุ ๒ คน, นิสิต ๑๔ คน
๖. สีมาฯ, มีคุรุ ๓ คน, นิสิต ๑๖ คน

สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต เดิมชื่อมหาลัยวังชีวิต ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ มี.ค. ๒๕๓๙ มีสัญลักษณ์เข็มเครื่องหมาย เส้นสองเส้น ตัดกันเป็นรูปกากบาท เส้นขวางสั้นหมายถึงแนวระนาบ ความกว้าง เส้นตั้งยาวหมายถึง แนวดิ่ง แนวลึก แสดงให้เห็นว่า แนวดิ่ง สำคัญกว่าแนวระนาบ (เนื่องจากสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต ให้ความสำคัญต่อการพัฒนา คุณลักษณะ อันละเอียดลึกซึ้ง ในจิตใจ มนุษย์ มากกว่าปริมาณ ดังเช่นมีคำกล่าวไว้ว่า เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่น ให้แน่นกว่ากว้าง

เส้นโค้งเชื่อมเส้นขวางกับเส้นตั้ง หมายถึง ความประสาน ความเกี่ยวเนื่อง สัมพันธ์ที่มีอาการอนุโลมปฏิโลม ยืดหยุ่นอย่างมี สติปัญญา มีระเบียบ มีระบบ มีความสวยงาม เป็นความโค้งที่มีทิศทาง มีหลักเกณฑ์ มีรูปร่าง เป็นการโค้งเข้าหาแก่นเสมอ และวงกลม ตรงกลาง หมายถึง ศูนย์อันเป็นที่รวมของความเต็มสมบูรณ์ รวมพลังรวมความสามัคคี รวมกลุ่มคนหมดกิเลส รวมกุศล รวมความหมดกิเลส

สีประจำสถาบันคือ สีน้ำตาลและสีขาว สีน้ำตาลหมายถึงแผ่นดิน สีขาวหมายถึงศาสนา ปรัชญาการศึกษา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา มีเป้าหมายเพื่อ พัฒนาคนให้มีวรรณะ ๙ พึ่งตนและช่วยผู้อื่นได้ด้วย, ให้อยู่เหนืออำนาจกิเลส ตัณหา อุปาทาน (มีโลกุตระ), ให้รอบรู้ การดำรงชีวิตอย่างมีอิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ (มีโลกวิทู) และสามารถ อนุเคราะห์สังคมโลกได้ เพราะตนเอง พึ่งตนเองได้แล้ว (มีโลกานุกัมปา)

การศึกษาของนิสิตสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต เป็นขบวนการกลุ่มที่พัฒนาตนเอง ไปพร้อมๆกับร่วมสร้างชุมชนบุญนิยม ให้เข้มแข็ง และ พัฒนายิ่งๆขึ้น เป็นประวัติศาสตร์ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา

สำหรับนิสิตได้ให้สัมภาษณ์ดังนี้

นิสิตรวงข้าว ชาวหินฟ้า อายุ ๕๑ ปี เขตสันติฯปีที่ ๑ "อยากเป็นนิสิตเพื่อความเป็นเอกีภาวะ ตามความประสงค์ ของพ่อท่าน ที่อยากให้ พวกเราพัฒนา และชัดเจนเลยว่าเราพัฒนาขึ้นแน่นอน การมาอยู่กับคนหมู่มาก จะต้องเอาใจใส่ว่า พี่น้องเรา เป็นอย่างไร ก็ได้ลด ตัวตน ออกไป เห็นว่ามีแต่ความเจริญทั้งนั้น ประทับใจรุ่นพี่ก่อนเข้าสอบสัมภาษณ์ มาให้กำลังใจ และเป็น ความศักดิ์สิทธิ์ ที่พ่อท่าน มาสอบสัมภาษณ์เอง และมีคณะคุรุช่วยดูเราด้วย"

นิสิตจริงจัง ศิริผล อายุ ๔๕ ปี เขตปฐมฯปีที่ ๑ "ตัวเองทำอะไรจะเป็นผู้นำและทำตามคนอื่นไม่ค่อยเป็น เลยอยากพัฒนา ในจุดนี้ โดยเข้าขบวนการกลุ่ม ซึ่งที่ปฐมฯรุ่งโรจน์มากในเรื่องขบวนการกลุ่ม ทุกคนมีความสุขที่ได้มาเป็นนิสิต"

นิสิตฟ้าธารธรรม อยู่เย็น อายุ ๑๙ ปี เขตราชธานีฯปีที่ ๑ "ออกไปเรียนข้างนอก สิ่งที่เราคิดไว้ วาดไว้ มันไม่ตรงกับ ความเป็นจริง คิดว่า เข้ามาอยู่วัดดีกว่า คิดว่าการเป็นนิสิตได้พัฒนาแน่นอน ได้ออกมาสู่ส่วนกลาง มีคนคอยดูแล เพื่อนที่จบ ม.๖ สมัคร นิสิต ๒ คน"

นิสิตตำนานเพชร สิมละคร อายุ ๒๑ ปี เขตศีรษะฯปีที่ ๓ "ตนเองเหมือนห่างเหินการฟังธรรม ได้ฟังธรรมจากพ่อท่าน ทุกรายการ ประทับใจมาก เหมือนได้ยาถูกขนาน เรื่องสุขภาพดีมากแต่จะเฟ้อไปหรือเปล่า อัดๆกันเรื่องนี้ เน้นการใช้จริงๆหรือเปล่า หรือ มีแต่ฟัง อยากเสนอแนะให้ปีหน้าจัดโปรแกรมนิสิตเก่าให้เป็นตารางเฉพาะ ให้มีอะไรต่อเนื่อง เกิดความหลากหลายขึ้น กิจกรรม ครั้งนี้ จะเน้นผู้อายุยาว แต่ไม่มีสำหรับวัยรุ่น"

นิสิตพลังใจ ชาติบุญนิยม อายุ ๓๒ ปี เขตสีมาฯ ปีที่ ๑ "นโยบายพ่อท่านอยากให้คนวัดมาเป็นนิสิต ถ้าเราไม่เป็น ก็คงจะเป็น แกะดำ ไม่มีขบวนการกลุ่มกับเขา เห็นความสำคัญของนโยบายนี้"

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


แก่นฟ้า แสนเมือง
ปรมาจารย์เกษตรไร้สารพิษ (ตอน ๑)

เป็นชาวอโศกอีกคนที่ได้รับแต่งตั้งเป็นครูภูมิปัญญาไทย ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) ด้านเกษตรกรรม (กสิกรรม ไร้สารพิษ) รุ่น ๓ ปี ๒๕๔๖ รุ่นเดียวกับแกนนำอโศกคนสำคัญ "น.ส.ขวัญดิน สิงห์คำ" ครูภูมิปัญญาไทย ด้านการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งสอง ทำงานเสียสละเพื่อส่วนรวมอยู่ที่ชุมชนศีรษะอโศก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

ภาพชาวอโศกที่เราๆท่านๆคุ้นกันคือ สวมชุดม่อฮ่อม ในวันสนทนากับครูแก่นฟ้าที่ศีรษะอโศกก็เช่นกัน โดย กำลังยืนสอน นักเรียน อยู่ด้วยท่าทางทะมัดทะแมงในบรรยากาศสบายๆเป็นกันเอง ใช้ใต้ถุนบ้านพักเป็นห้องเรียน ขณะที่นักเรียนฟังครูสอน อย่างตั้งอก ตั้งใจ พวกเรา จากกทม.รอจนครูแก่นฟ้าสอนเสร็จ

ในวันนั้นเราคุยกันอย่างออกรสออกชาติ เพราะครูแก่นฟ้าเสียงดังฟังชัด มีวิญญาณครูอยู่เต็มเปี่ยม เวลาถามอะไรไป มักอธิบาย อย่างละเอียด พร้อมมีตัวอย่างประกอบ รวมทั้งเอกสารอ้างอิง

ฟังประวัติการเรียน ของครูวัย ๔๗ ปี ท่านนี้แล้ว พวกเราต่างทึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าคนจบปริญญาตรีวิศวะไฟฟ้า จากสถาบัน เทคโนโลยี พระจอมเกล้า พระนครเหนือ จะหันมาสนใจเกษตรกรรมอย่างเอาจริงเอาจัง กระทั่งเกิดความเชี่ยวชาญ นั่นเป็นเพราะความรู้ สั่งสมที่ได้ จากการปฏิบัติมา อย่างยาวนาน และมีโอกาสไปศึกษาดูงานในต่างประเทศหลายแห่ง

ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นเขาอุทิศตนเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เหล่านั้นให้กับนักเรียนนักศึกษา เกษตรกร และผู้สนใจทั่วไป สอนผู้ที่อยู่ ในระบบ โรงเรียน และนอกโรงเรียน ด้วยจุดประสงค์ให้เพื่อนร่วมโลกได้บริโภคอาหารปลอดสารพิษทุกขั้นตอน อยู่ร่วมกับ ธรรมชาติ อย่างรู้คุณค่า ซึ่งผลแห่งความเสียสละนี้สะท้อนให้เห็นจากจำนวนผู้สนใจเข้าร่วม อบรมมากขึ้นเรื่อยๆ

ครูแก่นฟ้าเล่าถึงงานที่ทำอยู่ว่า "เป็นงานพัฒนาชุมชนเพื่อบูรณาการโดยองค์รวม ซึ่งเป็นงานที่หลากหลาย เป็นเรื่อง การอยู่รอด ของชุมชน เป็นเรื่อง ชุมชนเข้มแข็ง ที่ต้องพึ่งตัวเองให้ได้ ซึ่งต้องมีตัวชี้ชัด ๑๔ ตัว เช่น มีความเสียสละ มีคุณธรรม จริยธรรม การพัฒนา องค์ความรู้ คือ การพัฒนาให้ พึ่งตนเองให้ได้ ตั้งแต่เรื่องอาหารการกิน การกสิกรรมไร้สารพิษ เรื่องของปุ๋ย เรื่องการแปรรูปทุกๆอย่าง

ผมทำครบทุกอย่างเริ่มต้นจากการทำปุ๋ย แล้วนำมาทดลองในแปลง จากนั้นถ่ายทอดความรู้ออกไปให้อนุชนรุ่นหลัง โดยอบรม ให้ชาวบ้าน ในหมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งทั่วประเทศเรามี ๒๕ ศูนย์ อบรมเน้นในเรื่องของหลักสูตรสัจธรรมชีวิต มีการทำโปสเตอร์ เผยแพร่ความรู้ ทำวิดีโอ วีซีดี เราถ่ายทอดความรู้โดยใช้ทุกสื่อที่มีอยู่ แม้กระทั่งรายการวิทยุเรามีวิทยุชุมชน นอกจากจะมีที่ ศีรษะอโศกแล้ว ยังมีวิทยุชุมชนอีก ๑๒ เครือข่าย รายการเพื่อนช่วยเพื่อน ถ่ายทอดไปตามเครือข่ายทั่วประเทศ นอกจากวิทยุแล้ว ยังมีรายการทีวี เช่น ไททีวี ติดต่อ ให้ออกเวลา ทุ่มครึ่งถึง สองทุ่มครึ่ง รวมถึงการเผยแพร่ในรูปโปสเตอร์ ซึ่งทำไปแล้ว ๓๐ ชุด พิมพ์ไป ประมาณ ๖๐,๐๐๐ แผ่น พิมพ์กระจายไปทั่ว ตามศูนย์การเรียนรู้ของเรา ๒๕ ศูนย์"

ครูแก่นฟ้าเคยไปดูงานปุ๋ยชีวภาพ ที่ประเทศจีนมาแล้ว ซึ่งจีนใช้เทคนิคสูงกว่าไทย แต่สำหรับประสิทธิภาพแล้ว ครูแก่นฟ้า ยืนยัน "ที่เขาสู้เราไม่ได้ อาจเป็นขีดจำกัดด้านอากาศ เรื่องของความหลากหลายจากจุลินทรีย์ คือ จีนใช้จุลินทรีย์ตัวเดียว แต่ของเรา ใช้กลุ่ม จุลินทรีย์ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์หลายตัวมารวมกัน มีกลุ่มย่อยไขมันย่อยกลูโคส ฯลฯ".

(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จาก นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๑๔ พ.ค.๔๗)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


พ่อท่านนำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
ม.๕ สัมมาสิกขา มาศึกษาแบบบูรณาการ
ข่าวเด่นอโศกก้าวทันโลก

น.พ.เสม พริ้งพวงแก้ว ร่วมงานอโศกรำลึก
ชี้ให้เห็นคุณค่าของมนุษย์ กับภัยจีเอ็มโอ

งานอโศกรำลึก บูชาพระบรมสารีริกธาตุ ครั้งที่ ๒๓ ณ พุทธสถานสันติอโศก ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ มิ.ย. ๒๕๔๗

๗ มิ.ย. นร.ชั้น ม.๕ จากสัมมาสิกขาอโศก เข้าพื้นที่

๘ มิ.ย.ซึ่งเป็นวันสุกดิบของงาน นร.ชั้น ม.๕ ทำวัตรเช้า เข้าฐานต่างๆเพื่อช่วยกันเตรียมงาน กางเต็นท์ซอยนวมินทร์ ๔๔ (เทียมพร) ตั้งแต่ บริเวณหน้าบ้านคุณป้าสำอางค์ไปจนถึงตะวันงาย ๑ และบริเวณลานทรายหน้าตึกแดง บางส่วนช่วยกันขัด พระวิหารพันปีฯ เตรียมสถานที่ ตอนเย็นพลังบุญเป็นเจ้าภาพ เลี้ยงอาหารแก่เด็กๆ พิเศษสุดมี ก๋วยเตี๋ยวน้ำลูกชิ้นมังฯ ๖ หม้อ เบอร์ ๕๐

ภาคค่ำ ทีมแสงสีเสียงทดลองฉาย วีซีดี ประวัติการสร้างพระวิหารพันปีฯ

๙ มิ.ย.วันบูชาพระบรมสารีริกธาตุ กับการมอบสิ่งดีๆแก่ชีวิตด้วยการฟังทำวัตรเช้าจากพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ที่ยิ่งฟัง ก็ยิ่งซาบซึ้ง หลังจากนั้น บรรยากาศของโรงบุญฯ ที่มาร่วมแจกอาหารฟรีก็เริ่มคึกคัก มากมายถึง ๖๗ ร้าน บางคนก็ปฏิบัติธรรม ด้วยการมัธยัสถ์ (งดเว้นอาหาร)

๐๙.๐๐-๑๐.๑๕ น. คุยกันวันอโศกรำลึก โดย ๒ มหาเถระสมณะอโศก สมณะเดินดิน ติกขวีโร และสมณะบินบน ถิรจิตโต ขณะเดียวกัน สำนักงานใหญ่ พรรคเพื่อฟ้าดิน สัมมนาผู้แทนสาขาพรรคและตัวแทนศูนย์ประสานงาน บนโบสถ์เรื่องการจัด สำนักงาน และการเมืองไทย ปัจจุบัน

๑๑.๐๐ น. นร.สัมมาสิกขาปฐมอโศกและนิสิต ม.วช. สัมมาสิกขาลัยปฐมอโศก ร่วมร้องเพลงก้าวตามพ่อ หลังจากนั้น เป็นรายการ ตอบปัญหา อโศกพันธุ์แท้ ตอน...หนังสือ "คนคืออะไรฯ" ผู้เข้าแข่งขันมาจากผู้ชนะการแข่งขันอโศกพันธุ์แท้ หนังสือของพ่อท่าน เมื่อคราว งานมหาปวารณาปี ๒๕๔๖ ที่ผ่านมา ในครั้งนี้มีด้วยกัน ๗ ทีม โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น ๒ ทีม ๒ รอบ รอบแรก คัดทีมชนะเลิศ ของแต่ละทีม รอบที่สองผู้ชนะเลิศของทีมเอ และบี มาแข่งขันอีกครั้งเพื่อชิงชนะเลิศ ทีมเอ ประกอบด้วย ทีมบ้านราชฯ, รักษ์รักป่า (ภูผาฯ), หลานปู่สู้ตาย(หินผาฯ) ส่วนทีมบี ประกอบด้วย ดาวทองธรรม (ภูผาฯ), หลานปู่สู้ตาย(หินผาฯ), สันติอโศก, คมดาว (บ้านราชฯ) ปรากฏว่า ทีมบ้านราชฯ ชนะเลิศรางวัลที่ ๑ สำหรับรางวัลที่แจก ในวันนี้ พ่อท่านบอกว่ายังไม่มีใครเคยได้ เพิ่งจะเกิด ในรายการนี้ เป็นครั้งแรก คือโปสเตอร์พ่อท่านขนาด ๒๔ x ๓๕ นิ้ว อภินันทนาการ จากบ.ฟ้าอภัยจำกัด และในงานมหาปวารณา จะมีการแข่งขัน ตอบปัญหา อโศกพันธุ์แท้ ประวัติของชาวอโศก จากหนังสือ สองเล่ม คือสัจจะพระโพธิรักษ์และชีวิตในผ้าสีหม่น ผู้ใดสนใจ จะเข้าตอบปัญหา สมัครได้ที่ ดร.รินธรรม อโศกตระกูล และ คุณสู่เสรี ศรีประเสริฐ พุทธสถานสันติอโศก ครั้งนี้จะแข่งขัน แบ่งเป็นประเภททีม นร.สัมมาสิกขาและทีมผู้ใหญ่

๑๓.๓๐ น. ฟังอภิปรายเรื่อง "รู้ทันจีเอ็มโอ" โดย น.พ.เสม พริ้งพวงแก้ว, นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์, ลุงทองเหมาะ แจ่มแจ้ง, คุณวรุณวาร จากกรีนพีช ดำเนินรายการโดย คุณจุฬารัตน์ นิรัติศยกุล ระหว่างการอภิปราย มีนักวิชาการหลายท่านร่วม แสดงความคิดเห็น อาทิเช่น คุณวิวัฒน์ ศัลยกำธร, คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, คุณวิทูรย์ เลี่ยนจำรูญ, คุณพีระพล ติยาเกษม เป็นเรื่องที่นักมังสวิรัติ ควรทราบ และ เป็นเรื่องที่ ชาวอโศกควรสนใจ ทราบหรือไม่ว่าผลร้ายของการบริโภคพืชผัก ที่ผ่านการ ตัดต่อพันธุกรรมนั้น จะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต ภายในระยะเวลา ๒๐ ปี โดยเฉพาะถั่วเหลืองจีเอ็มโอได้ระบาดเข้ามา ในเมืองไทยนานถึง ๖ ปีแล้ว ท่านจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ จากถั่วเหลืองที่ท่านได้รับประทานเข้าไปนั้น จะให้อันตราย แก่ตัวของท่านเอง วันนี้ควรบริโภคแต่ถั่วเหลืองไร้สารพิษเท่านั้น ที่ผลิตจากเครือข่ายชาวอโศก

 

๑๘.๐๐ น. พิธีอันยิ่งใหญ่ของงานครั้งนี้ก็เริ่มขึ้น พ่อท่านนำหมู่สมณะ-สามเณร-สิกขมาตุ ขึ้นบนพระวิหารพันปีฯ ทำพิธีบูชา พระบรมสารีริกธาตุ อัฐิของพระอรหันต์เจ้าที่มรณภาพไปแล้ว เหลือแต่คุณงามความดีของโลกุตระ ให้พวกเราสืบทอดต่อไป เพื่อสู่ความพ้นทุกข์

 

๒๐.๐๐ น. ชมวิดิทัศน์ "ข่าวเด่นในรอบปี ๔๖ - มิ.ย.๔๗" สลับกับรายการโฆษณาจากปฐมอโศกที่ทำได้ระดับมืออาชีพ ทีเดียว และ ตัวอย่างภาพยนตร์ เรื่องแรกของชาวอโศก ที่คาดว่าจะฉายในงานมหาปวารณา ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึง

๑๐ มิ.ย. เป็นความโชคดีอีกวันหนึ่งที่ได้ฟังสัจธรรมจากพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ในช่วงทำวัตรเช้า หลังจากนั้น พ่อท่านนำหมู่ สมณะบิณฑบาต พร้อมกับโรงบุญฯที่ยังคงให้และให้ด้วยรอยยิ้มของความอิ่มบุญ

๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. ประชุมองค์กรบุญนิยม แล้ว แยกย้ายกันกลับ

บรรยากาศทั่วไปของงาน ชุมชนสันติอโศกเป็นที่ทราบ กันดีว่าที่พักค่อนข้างจะคับแคบ หากจะรับรองเรื่องที่พักคน เป็นจำนวนพัน จึงได้รับความร่วมมือจากองค์กรต่างๆ ใช้เป็นที่พัก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทฟ้าอภัยทั้งตึกเก่าและใหม่, บ.แด่ชีวิตจำกัด

ภายในงานบริเวณหน้าห้องสื่อธรรมะและห้องการเงินมีการจำหน่ายเสื้อสัญลักษณ์พญาแร้งจำหน่ายในราคาบุญนิยม มากหมาย หลายชนิด ทั้งเสื้อยืดคอกลม คอปก เสื้อยืดเด็ก และเสื้อผ้าฝ้ายสไตล์คนวัด จากศิษย์เก่า กลุ่มรามบูชาธรรม ซึ่งรายได้ทั้งหมด นำสมทบทุน ร่วมสร้างโรงพลาภิบาลปฐมอโศก มีญาติธรรมสนใจให้การสนับสนุนจนขายหมดในวันที่ ๑๐ มิ.ย.

ในวันที่ ๙ มิ.ย. ดร.สาวิตรี เทียนชัย นักวิชาการสาธารณสุข ๘ หัวหน้างานพัฒนาวิชาการ กองการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนา การแพทย์ไทย และการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือจากญาติธรรมชาวอโศก ที่ดื่มน้ำปัสสาวะ และ ไม่ดื่ม น้ำปัสสาวะ ตั้งแต่ ๖ เดือนขึ้นไปจำนวน ๒๐๐ คน ร่วมโครงการวิจัย การศึกษาการใช้น้ำมูตร บำบัดในเครือข่ายชาวอโศก โดยมีวัตถุ ประสงค์ ของการวิจัย เพื่อทราบถึงแหล่งข้อมูลความรู้เกี่ยวกับปัสสาวะบำบัดของผู้ใช้, วิธีในการใช้ปัสสาวะบำบัด, เหตุผล ที่ใช้ปัสสาวะบำบัด และระยะเวลาในการใช้ และอาการไม่พึงประสงค์ของการใช้ปัสสาวะบำบัด ซึ่งโครงการนี้พ่อท่าน ได้กล่าวว่า เป็นบุญกุศล ที่เราจะได้ร่วมตรวจสอบว่า พระพุทธเจ้านำพาผู้มาบวชในพุทธศาสนาถือนิสัย ๔ ในการฉันน้ำมูตรเน่า เป็นยา รักษาโรค ซึ่งบันทึกเป็นหลักฐาน มานานกว่า ๒,๕๐๐ กว่าปี

โรงบุญฯปีนี้ มีผลไม้ไร้สารพิษมากมายมาร่วมบริการ ไม่ว่าจะเป็นแตงโม ๗ ตัน แตงไทย ๔ ตัน จากญาติธรรมกลุ่ม ภูพานอโศก จ.อุดรฯ ลองกอง เงาะ จากศิษย์เก่ากลุ่มรามบูชาธรรม จ.ระยอง

สำหรับผู้มาร่วมงานได้ให้สัมภาษณ์ดังนี้

คุณวรุณวาร สว่างโสภากุล จากกรีนพีชเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "การต่อต้านจีเอ็มโอในประเทศไทย ไม่ประสบความสำเร็จ คิดว่ามาจาก อิทธิพล ภายนอกด้วย ดังที่วิทยากรได้พูดไปแล้ว ทางรัฐบาลเองก็มองจีเอ็มโอ ในแง่ของเทคโนโลยี คิดว่าจีเอ็มโอ จะสร้าง ผลประโยชน์ ผลกำไรให้

อาจเป็นความไม่รู้ของคนไทยเอง อย่างในยุโรปประชาชนรู้จักจีเอ็มโอ แล้วเกิดความตื่นตัวแล้วต่อต้าน ไม่กินจีเอ็มโอ ก็ทำให้ บริษัท ที่ปลูกจีเอ็มโอในอเมริกา ก็หันมาหาตลาดใหม่ในเอเชีย คือประเทศไทยตรงที่คนไม่รู้ แล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ให้ความรู้ ในด้านลบ เกี่ยวกับจีเอ็มโอเลย

เราก็พยายามสร้างองค์ความรู้เผยแพร่ออกไปให้กว้างขึ้น เราพบว่าทำงานมา ๓ ปี คนรู้จักจีเอ็มโอแล้ว ไม่เอาจีเอ็มโอมากขึ้น แต่ยังอยู่ ในวงจำกัด ประชากรไทย ๖๐ กว่าล้านคนคงต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือที่จะเผยแพร่ ตรงนี้ออกไป

อโศกเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง มีสมาชิกมากก็สามารถช่วยกันเผยแพร่ความรู้ตรงนี้กระจายออกไปได้ นับเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่มีการพูดคุย กันเรื่องจีเอ็มโอ

มาที่นี่แล้วรู้สึกว่าเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง มีพลัง ถ้าร่วมกันขับเคลื่อนหรือรวมพลังทำอะไรก็น่าจะส่งผลในวงกว้างได้ แล้วศรัทธา ในพ่อท่านด้วย"

อาจารย์วิวัฒน์(พลังเพชร) ศัลยกำธร "อุปสรรคที่ทำให้เราหยุดจีเอ็มโอไม่ให้เข้ามาในบ้านเราน่าจะมี ๒ ด้าน ด้านที่ ๑ ในกลุ่ม เราเอง ถ้าในคนที่ต่อต้าน เกิดความโกรธ ใช้อารมณ์ขึ้นมา แพ้ การจะหยุดยั้งสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในบ้านเรา ต้องทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยเมตตาจิต จริงๆ ด้านที่ ๒ มาจากภายนอก มันต้องประเมินกำลัง ความโลภของคนที่เอาเข้ามา เพราะเขาเอาเข้ามา ด้วยความโลภ เพราะเขาเจตนามาค้าขาย อยากร่ำอยากรวย เห็นคนไทยเป็นตลาด เป็นเหยื่อที่เขาจะเอาของมาขาย สูบกินได้ ตลอด เพราะคนไทยเป็นลูกค้าชั้นดีอยู่แล้ว

ผมรู้สึกว่าคนเริ่มสนใจปัญหาของชาติ ของสังคม เพิ่มขึ้น คนในสังคมต้องเห็นความสำคัญ แล้วถ้าคนในสังคม ไม่เห็น ความสำคัญ มีผู้รู้ทำไม่กี่คน ไม่กระจายทั่วถึงกัน เขาไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา ทั้งที่การตัดสินใจรับเรื่องนี้เข้ามาเป็นของประชาชน ประชาชน ต้องรับรู้ด้วยว่า เขาจะได้หรือเสียอะไร ถ้าเขาไม่สนใจ ไม่รู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับเขาว่าเขาได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ ไม่สนใจเลย ใครจะมาทำอะไร กับประเทศไทย ถ้าเขารู้เรื่องแล้วให้ความสนใจ ความจริงต่างๆจะค่อยๆปรากฏแล้วเขาจะต้องสู้ สุดท้าย คนเราก็ต้องปกป้องชีวิตตัวเอง ปกป้องอาหารการกินของตัวเอง ปกป้องแผ่นดินของตัวเอง"

นิสิตดาวเพ็ญ นาวาบุญนิยม ราชธานีฯ ชนะเลิศ ที่ ๑ หนังสือคนคืออะไร "เตรียมตัวไม่นาน อ่านทุกเวลาทุกที่ที่ว่างแม้ ๕ นาที ก็อ่าน เช่น ขณะประชุม มีเรื่องที่เราเข้าใจแล้ว เราไม่ต้องฟังก็ได้ ก็มาอ่าน หรือขณะนั่งรถ ขณะสาธิตที่มีช่วงว่าง ก็จะหยิบ มาอ่าน ได้อ่านตอนเช้า บางวัน

รู้สึกมีกำลังใจว่าเราต้องขยันอ่านให้มากกว่าเดิม ที่ผ่านมาอ่านยังไม่มากพอ ได้กำลังใจที่จะเรียนรู้หนังสือเล่มอื่น เกิดความรู้ อย่างอื่น ไม่มีเวลาใด ที่ไม่สมควรอ่าน การอ่านจะได้ดีมากกว่าการฟัง เพราะได้โยนิโสมากกว่า"

คุณทรายคำ(สุคนธ์) กิจบำรุง ศิษย์เก่ากลุ่มรามบูชาธรรม ทำเสื้อพญาแร้ง "มาจากความคิดของพี่คู่ฟ้าและพี่ทองแก้ว รุ่นพี่เก่าแก่ ของรามบูชาฯ แล้วก็สานงานกันมาเรื่อยๆ รูปพญาแร้งเป็นฝีมือของคุณบุญเลิศ (มือฉมัง) อยู่ที่ดอยรายปลายฟ้า เชียงราย ส่วนดิฉันรับปัก พ่อท่านก็ชมว่าสวยด้วย วันที่ ๙ ขายดีที่สุด

พ่อท่านพูดถึงพญาแร้งได้ไม่นานก็มีเสื้อพญาแร้งออกมา คิดว่าเป็นประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง พ่อท่านเป็นพญาแร้งที่เสียสละ แต่คนรังเกียจ ชาวอโศก จะเข้าใจคำว่าพญาแร้งดี คิดว่าจะมีผลต่อสังคม ไม่มีใครคิดเอานกแร้งมาทำเป็นเสื้อ แต่เราหยิบเอา สิ่งที่คนไม่เห็นด้วยมาทำ เหมือนชาวอโศก ทำในสิ่งที่คนไม่ทำ

ญาติธรรมตอบรับดีมาก เป้าหมายรองนำส่วนเกินไปร่วมสร้างพลาภิบาล ปฐมอโศก เป้าหมายหลัก ต้องการให้ชาวอโศก เข้าใจความหมาย ของคำว่าพญาแร้งมากขึ้น เป็นนกที่เสียสละ จากกระแสในวันนี้คิดว่าอาจจะมีต่อไป ก็รู้สึกดีใจได้มีส่วนร่วม ขอขอบคุณทุกคน ที่ให้ความร่วมมือ".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


นายกฯทักษิณ ยอมลดทิฐิ
แสดงภาวะผู้นำที่พร้อมถอย
เมื่อได้รับการทักท้วงเรื่องหวยลิเวอร์พูล

เมื่อวันที่ ๑ มิ.ย. ๒๕๔๗ มีข่าวออกทางหน้าหนังสือพิมพ์หนังสือพิมพ์รายวันเกือบทุกฉบับ พาดหัวข่าว จำลอง โพธิรักษ์ ออกโรง ต้านหวยหงส์

กรณีพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์และพล.ต.จำลอง ศรีเมือง เขียนจดหมายปิดผนึก ถึงนายกฯ ค้านกรณีจะซื้อหุ้นหงส์แดง ลิเวอร์พูล โดยออกเป็นหวยพนัน ที่ถูกกฎหมาย ราคา ๑,๐๐๐ บาท โดยมีรางวัลที่ ๑ จะได้รับเงินสด ๒๐๐ ล้านบาทล่อใจ กรณีดังกล่าว ทำให้ผู้สื่อข่าว ทีวี-วิทยุได้ติดต่อขอสัมภาษณ์สดพ่อท่าน ถึงกรณีดังกล่าว เช่น

รายการรักความเป็นไทย ส่งอินเตอร์เน็ตไปทั่วโลกและดาวเทียมไปทั่วประเทศไทย ได้กราบนิมนต์พ่อท่าน พบกับท่านผู้ฟัง กันทั่วโลก และ ทั่วประเทศ ถึงเรื่อง การจะสู้กันทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอบายมุขกำลังไหลท่วมประเทศไทย ท่านในฐานะเป็นผู้นำ ทางจิตวิญญาณ ทางพุทธศาสนาจะทำเป็นประการใด จะมีทัศนคติต่อปัญหานี้อย่างไรบ้าง

และในช่วงท้ายของรายการอีก ๑ นาที ขอให้พ่อท่านพูดกับท่านนายกฯถึงกรณีดังกล่าว ซึ่งพ่อท่านได้กล่าวว่า "อาตมาขอร้อง ท่านนายกฯ ก็แล้วกัน ช่วยอาตมาหน่อยเถิดท่านนายกฯ ช่วยอาตมาด้วยท่านนายกฯ เท่านี้แหละอาตมาขอเท่านี้แหละ ช่วยอาตมาด้วย อาตมาหนั้กหนัก เท่านั้นเอง หนัก แล้วอาตมาก็ช่วยมนุษย์ ท่านนายกฯ ก็ช่วยมนุษย์ เพราะฉะนั้น ท่านนายกฯ ท่านเหลียวแล อาตมาบ้าง ช่วยส่งเสริม หรือช่วยเห็น ท่านมีปัญญา นอกจากมีปัญญาแล้วท่านเป็นคนมีบารมีด้วย ท่านเป็นคน ที่มีบารมีอย่างแท้จริงเลย ท่านมี charismatic power อย่างแท้จริงเลย เพราะฉะนั้นถ้าหาก ท่านช่วยอาตมาพูด ท่านจะมีอิทธิพล ในสังคมอย่างมาก ที่จะทำให้คนฟัง หรือคนเชื่อ หรือคนตาม อาตมาพูดก็ไม่ค่อยมีคนฟัง หรือคนเชื่อ ไม่ค่อยมีคนตาม อาตมาพูดอยู่ทุกวันนี้ ไม่ค่อยมีคนฟัง มีคนเชื่อ เพราะอาตมาไม่มี power ก็เท่านี้แหละ"

๐๙.๑๓ น.ช่วงสุดท้ายของข่าวยามเช้า สถานีวิทยุ โดยคุณธนกร ศรีสุกใส และคุณอวัสดา ปกมนตรี โทร.สัมภาษณ์ ความคิดเห็น ของพ่อท่าน เรื่องการจะซื้อทีมหงส์แดงลิเวอร์พูล และจะออกหวยหุ้น

คุณอัญชลี ไพรีรัก จากรายการวิทยุ "จับชีพจรข่าว" โทร.ถามถึงจุดผลักดันที่ทำให้พ่อท่านต่อต้านเรื่องนี้อย่างชัดเจน และ ถามเรื่อง พรรคเพื่อฟ้าดิน เป็นพรรคทางเลือกที่ ๓ ที่ตั้งขึ้นมาสนับสนุนคุณปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ พ่อท่านได้อธิบายความเป็นมา ของพรรค อย่างคร่าวๆ และอุดมการณ์ของพรรคการเมืองบุญนิยม พร้อมจะสนับสนุนคุณปุระชัย หากจะทำการเมือง เสียงของสันติอโศก สามารถที่จะก่อให้เกิดความพลิกผันได้ ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้กทม.หรือส.ส.ในพื้นที่ มีผลกระทบอะไร กับสันติอโศก ในเช้าวันนี้หรือไม่ และเล่าเบื้องหลัง ในการเขียนจดหมายถึงท่านนายกฯ ในหนังสือเราคิดอะไร ฉบับเดือน มิ.ย. มีคนถามหาหนังสือ เราคิดอะไร ที่จะออกในเดือนนี้

ทีวีผู้จัดการ ได้มาสัมภาษณ์พ่อท่านถึงเหตุผลที่ไม่สนับสนุนซื้อหุ้นลิเวอร์พูล

และสุดท้าย คุณสุชัย มุขยนันท์ จากวิทยุชุมชนทุ่งศรีเมือง จ.อุบลฯ สัมภาษณ์ถึงที่มาของจดหมายปิดผนึกถึงท่านนายกฯ กรณี ซื้อหุ้น ลิเวอร์พูล พ่อท่านได้ให้สัมภาษณ์ว่าได้ฝากจดหมายนี้ไปกับคุณสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ คุณจำลอง ศรีเมือง ได้ขอสำเนา เพื่อไปเขียนลง หนังสือพิมพ์ รายเดือนเราคิดอะไร โดยคุณอำภา จากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เห็นเข้าได้มาขอสำเนา จากคุณจำลอง

จดหมายดังกล่าว พ่อท่านได้เขียนลงวันที่ ๒๗ มิ.ย. ๒๕๔๗ และส่งไปวันที่ ๒๘ มิ.ย.

โอกาสนี้ผู้สื่อข่าวอโศกรายปักษ์ได้ขอสัมภาษณ์คุณศิริพร ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ผู้สื่อข่าว ทีวีผู้จัดการทาง UBC 19 และช่อง ดาวเทียม ช่องที่ ๗๗ ถึงความรู้สึกส่วนตัว กับกรณีหวยหุ้นลิเวอร์พูล มาจากทีวีผู้จัดการทาง UBC 19 และช่องดาวเทียม ช่องที่ ๗๗ สถานีจะออกอากาศทั่วโลก ออกอากาศวันนี้ (๑ มิ.ย. ๒๕๔๗) เวลาหนึ่งทุ่ม "ในส่วนตัวแล้วจะบอกว่าเห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย ด้วยตัวเอง เพราะว่าตัวเองเป็นนักข่าว เป็นคนกลาง ถ้าหากว่าซื้อหุ้นลิเวอร์พูลจริงๆ ก็อาจจะมีผลกระทบ อย่างที่ทราบๆ แล้วว่า การเล่นพนันบอล ก็จะถูกมาเป็นอบายมุข หรือเป็นการพนันที่ถูกกฎหมายมากขึ้น และอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เงินจำนวนมหาศาล ของประเทศไทย ที่จะต้อง ถูกเสียออกไป ซึ่งเราไม่ทราบว่าเราจะได้อะไรตรงนี้กลับมาบ้าง นี่พูดในฐานะ ประชาชน ที่มองไปแล้วไม่ทราบว่า เราจะได้อะไร กลับมาบ้าง และจะได้ในลักษณะไหน จะได้ไปนานแค่ไหน สัญญาหรืออะไร เขาก็ยังไม่ได้ระบุตายตัว แล้วบอกว่า จะมีผลิตภัณฑ์ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ของเรา ไปเป็นของขวัญ หรือของที่ระลึก ของลิเวอร์พูล เราก็ไม่ทราบว่าจะเป็นอะไร เพราะว่าทางลิเวอร์พูล เขาบอกว่า เขาจะต้องเลือกก่อน ว่าจะเป็นอะไร ซึ่งตรงนี้ มันอาจจะได้บ้าง อาจจะเสียบ้าง ซึ่งได้กับเสียก็ไม่รู้ว่า อันไหนจะมากกว่ากัน เพราะยังไม่ชัดเจน"

* และเมื่อเช้าวันที่ ๕ มิ.ย. ๒๕๔๗ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการนายกฯทักษิณ คุยกับประชาชน ตอนหนึ่งว่า สัปดาห์นี้ ได้มีโอกาสทำบุญหลายครั้ง ก็ทำให้จิตใจสบาย การทำบุญทำให้เรามีจิตใจสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราได้นั่งนิ่งสงบ ได้ฟังพระเทศน์ ทำให้จิตใจสบายขึ้น ยิ่งมาเจอเรื่องของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม สมณะโพธิรักษ์ สำนักสันติอโศก น.พ.เสม พริ้งพวงแก้ว น.พ.ประเวศ วะสี นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีต ผอ. ธนาคารออมสิน ออกมาพูดเรื่อง การออก ล็อตเตอรี่ เพื่อระดมทุนไปซื้อหุ้นสโมสรลิเวอร์พูล ตนฟังแล้วได้สติ

"ผมได้สติครับว่า อ้อ ถ้าเราตั้งรางวัลไว้สูงมากๆมันเย้ายวน ทำให้คนจนเกิดกิเลสได้ เงินไม่มีก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเขามาซื้อ มันก็ไม่ดี ผมตั้งใจแต่เดิม ที่จะขายใบละ ๑ พันบาทเนี่ย กะให้คนมีสตางค์ ซื้อ เพราะตั้งไว้แพง ไม่ต้องการให้คนไม่มีสตางค์ มาซื้อ แต่พอ มีผลสะท้อน ผมก็เห็นว่า ไอ้ ๑ พันบาทเนี่ย มันก็แพง แต่พอรางวัลเป็นพันล้านเนี่ย คนตกอกตกใจกัน อยากจะได้ ก็เกิดกิเลส เกินความพอดี ก็อาจต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ผมเห็นตรงนี้ ผมเข้าใจเลยทันทีว่า เอ้อ มันเป็นไปได้นะ เมื่อเป็นไปได้เนี่ย ผมก็ต้องยุติครับ" นายกฯกล่าว

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณยังบอกว่า วิธีการระดมทุนมีหลายวิธี แต่วิธีนี้ไม่ดีเกิดผลเสียต้องไม่ทำ สิ่งที่รัฐบาลทำนี่ ทำเพราะหวัง ให้เกิดผลดี เพียงแต่คิด ไม่รอบคอบ มันมีสิ่งที่เป็นผลเสียเกิดขึ้น มันก็ต้องถอย "ผมเองเป็นคนที่ต้องกราบเรียน พี่น้อง ประชาชนว่า ผมไม่ได้ติด เรื่องหน้าตาเลยนะ และที่สื่อมวลชนเขียนไปว่า มหาจำลองทำบันไดให้ผมลง ไม่ใช่ ผมไม่ต้องการ มีบันไดลง ผมไม่อาย ผมลงได้ทุกเวลา เพราะฉะนั้น อันนี้หน้าตาไม่มีครับ มีอย่างเดียวว่า อะไรที่ทำแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อคนส่วนใหญ่ในประเทศเถอะ ถ้าไม่เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นโทษต่อประชาชนด้วยเนี่ย ยิ่งไม่ทำเลยครับ อันนี้ต้อง ขอให้เข้าใจด้วยว่า สิ่งที่ผมถอยนี่ก็เพราะว่า มีผู้หลัก ผู้ใหญ่ ที่ปรารถนาดีต่อผมและบ้านเมือง ได้ให้ข้อคิดที่ฟังแล้ว มีเหตุผลมาก และเราก็ถือว่าเหตุผลเหล่านี้ เมื่อพูดเหตุผลมาแล้ว เราฟังแล้วจริง เพราะท่านมีความจริงใจอยู่แล้ว ผมก็ต้องถอย" นายกฯ ระบุ*.

(*จาก นสพ.ไทยโพสต์ ๖ มิ.ย. ๒๕๔๗)


สำหรับจดหมายที่พ่อท่านเขียนถึงท่านนายกฯ มีดังนี้

พุทธสถานสันติอโศก ๖๕/๑ ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐
๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๗
เจริญธรรม ท่านนายกรัฐมนตรี

อาตมาสมณะโพธิรักษ์ ต้องขออภัยอย่างมากที่รบกวนเวลาอันมีค่าของท่าน จริงๆแล้วเกรงใจท่านนายกฯอย่างยิ่ง เพราะรู้ว่า ท่านมีงานมาก ไม่อยากจะรบกวนเลย แต่คราครั้งนี้อาตมารู้สึกว่ามันหนักหนาสาหัสเหลือเกิน เป็นความรู้สึกของอาตมาเอง ที่ต้องขออภัย ท่านนายกฯจริงๆที่จะต้องระบายความหนักอกหนักใจนี้ ก็เกี่ยวกับเรื่องหุ้นหงส์แดง ที่ท่านนายกฯ กำลังดำเนินการอยู่

อาตมาทำงานศาสนามากว่า ๓๔-๓๕ ปี ขอเรียนท่านนายกฯว่าหนักมาก ที่จะต้องกอบกู้การติดยึดในอบายมุขของคน ในสังคมไทย และ ลดความจัดจ้าน ในเรื่องกามคุณ ๕ อันเป็นการบริโภครูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ที่ครีเอทีฟทั้งหลาย ปรุงแต่งขึ้นมามอมเมากัน สุดฤทธิ์สุดเดช ลดอารมร์รุนแรง ในโทสมูลโมหมูล ซึ่งนับวันรุนแรงร้ายกาจอำมหิตยิ่งๆขึ้น ลดอัตตามานะที่คนติดยึดจนมืดอวิชชาดิ่งลึก แต่ก็ยังมีกำลังใจ ที่จะทำงานต่อไป จนกว่าชีวิตจะดับ เพราะธรรมะของ พระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรมแท้ แม้ยุคนี้โลกธรรมจะจัดจ้าน ร้ายกาจขนาดนี้ ก็ยังเป็น อกาลิโกยิ่ง เห็นได้ว่าธรรมของ พระพุทธเจ้านำยุคล้ำยุคอยู่ตลอดเวลาและเป็นเอหิปัสสิโกสามารถท้าทาย ต่อการพิสูจน์ ได้จริงๆ

๓๐ กว่าปีที่ผ่านมา อาตมาเห็นธรรมของพระพุทธเจ้าปรากฏผลแม้ในยุคนี้ ยุคที่ผู้คนแสนจะไร้ศีลไร้ธรรมกันจนจะ กลียุคแล้ว หันมา มีศีลธรรม ถึงขั้นก่อเกิดเป็นชุมชนหมู่บ้านแห่งพุทธบริษัท ที่ไร้อบายมุขกันจริงๆ และพากันลดกามคุณ ๕ ลดโลภะ ลดโทสะโมหะ ได้ทั้งคุณภาพ และทั้งปริมาณตามฐานะที่ดีขึ้นมาเรื่อยๆ มีตั้งแต่เด็กเล็ก วัยรุ่น หนุ่มสาว ผู้ใหญ่ มีอัตรา การก้าวหน้า ไปตามลำดับ ตามกาละมา จนถึงวันนี้ กว่าจะถึงวันนี้ และก่อเกิดมาได้แค่นี้ก็มีคนช่วยกันเลือดตาแทบกระเด็น

แต่มาบัดนี้ "อบายมุข" ที่ท่านนายกฯกำลังจะสนับสนุนนี้ มันหนักหนาสาหัสยิ่งนักสำหรับอาตมาและคณะทำงาน ขออภัยที่ อาตมา กล่าวตรงๆว่า "กีฬา" เป็นอบายมุข เพราะมันเป็นแค่ "การเล่น" เท่านั้น เป็นอบายมุขแท้ๆ การเล่นคือการเล่น (ภาษาบาลีว่า กีฬา) ซึ่งคนอาศัยมันบ้าง เพียงเพื่อพักผ่อนคลายอารมณ์ แต่ถ้าใครหลงยกฐานะของ "การเล่น" (กีฬา)ขึ้นเป็นการเป็นงานชอบ (สัมมากัมมันตะ) เป็นอาชีพชอบ (สัมมาอาชีวะ) เมื่อใด เมื่อนั้นมันคือ"อบายมุข" เพราะมันมิใช่ทางแห่งความเจริญ พระพุทธเจ้า ทรงระบุว่า เป็น "ทางแห่งความเสื่อม" โดยแท้ คนในสังคมโลกทุกวันนี้ ยังไม่มีญาณหยั่งรู้ถึงความลึกซึ้ง ในความเป็น "ทางแห่งความเสื่อม" แท้ๆของ "อบายมุข" ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และทรงประกาศชัดเจน เพราะยังไม่มีความรู้ขั้นโลกุตระ จึงหลงนิยม ส่งเสริมกัน เป็นงานเป็นการ (กัมมันตะ) เป็นอาชีพ(อาชีวะ) ขึ้นหน้าขึ้นตา จนรุ่งเรืองเฟื่องฟู พากันหลงติด กันไปทั่วโลก ซึ่งผิดไปจากสัจธรรมที่ชื่อว่า "การเล่น" (กีฬา) ชนิดกู่ไม่กลับ เตลิดเปิดเปิงแล้ว

อาตมาขอรบกวนเวลาอันมีค่าของท่านนายกฯแค่ระบายความเห็นแง่เชิงเดียว [แง่เชิงอื่นๆก็มีท่านผู้รู้หลากหลาย วิจัยวิจารณ์ กันแล้ว] คือ ถ้าท่านนายกฯ ออกหวย (ก็คืออบายมุขแท้ๆ) เพื่อให้คนไทยซื้อหุ้นตามที่มีข่าวรางวัลที่ ๑ สูงตั้ง ๑,๐๐๐ ล้าน หรือ สูงยิ่งกว่านั้น และ รางวัลอื่นๆ รวมแล้ว ๔,๐๐๐ ล้าน ซึ่งมันล่อใจคนอย่างสุดๆขนาดนี้ คนในประเทศไทยตั้งแต่ "ขอทาน" ไปจนถึง มหาเศรษฐี ต้องแห่ซื้อ กันแน่ๆ ก็แค่หวยที่ออกอยู่ประจำ รางวัลแค่ไม่กี่ล้าน คนไทยในประเทศยังติดกันงอมแงมแล้ว คนรวยซื้อก็ช่างเขาเถอะ แต่คนจนนี่สิ! คนที่ไม่มีเงิน ก็จะขายไร่ขายนาสมบัติชิ้นสุดท้าย หาไม่ก็กู้เงินมาซื้อกันอย่างท่วมท้น กว่าครึ่งค่อนประเทศ เพราะโอกาสจะรวยทางลัดอภิมหาศาลอย่างนี้ มีครั้งเดียว และในเวลาจำกัดด้วย โดยสัจจะนั้น คนจนคนรวย ที่ยังมีกิเลสอยากได้เงินกันทุกคน จึงต้องซื้อหวยนี้ เพื่อเสี่ยง เป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย กระแส ค่านิยมแห่งอบายมุข ทั้งในหวย และทั้งในการเล่นฟุตบอล จะพุ่งขึ้นสูงสุดขีด ซึ่งอาตมา และคณะก็สุดจะหนัก กะอักเลือด ไปด้วย นั่นก็เป็นสัมภาระวิบาก

จากนั้น..ผลก็คือ คนรวยก็แค่คนๆเดียว ถูกรางวัลที่ ๑ (อาจจะเป็นคนรวยอยู่แล้วด้วยซ้ำที่ถูก) ได้เงิน ๑,๐๐๐ ล้าน และคนได้รับ รางวัลอื่นๆ อีก ๑๑,๓๑๕ รางวัล ก็แบ่งกันไปตามส่วนเท่านั้น คนนอกนั้นถูกกินเรียบหมดเนื้อหมดตัว ก็ต้องมาก อาจจะเป็น ล้านๆ คนกี่ล้านไม่รู้ เพราะหวยออกถึง ๑๐ ล้านใบ ผู้ถูกรางวัลมีเพียง ๐.๐๑๑๓๑๖% แม้จะถือว่าเขาได้สิทธิเป็นหุ้นก็ตาม ท่านก็รู้ว่า หุ้นสโมสรลิเวอร์พูล ยังงดการจ่ายปันผลไปอีกหลายปี คนไทยในประเทศ ตั้งแต่ขอทานและคนจนทั้งหลาย "เงิน" ของเราก็หมดไปแล้ว "หนี้" ก็เป็นแล้ว ดอกเบี้ยก็ต้องหาให้เขาต่อ ไหนจะกอบกู้ความจนกันอีกหนักหนาสาหัสแค่ไหน สำหรับ คนรวยที่เขาเสียหวย เขาก็จะต้องรีบขูดรีดเอาคืนจากสังคม ซึ่งก็คือภาวะเชิงหนักขึ้น

สรุปก็คือ จะมีคนจนเพิ่มขึ้นในประเทศอีกหลายล้านคน สวนทางกับที่ท่านนายกฯกำลังจะกอบกู้ อย่างชัดเจนที่สุด คนจน ไม่รู้เรื่อง หุ้นหรอก และเขาไม่ได้ซื้อหวย เพราะจะได้หุ้น แต่เขางมงายเรื่องหวยกันทั่วประเทศ ท่านนายกฯก็คงจะทราบดีอยู่

อาตมาเชื่อว่าอบายมุขเป็นทางเสื่อมจริงๆ ถ้าได้แก้ไขช่วยให้คนพ้นจากอบายมุขอย่างเป็นโลกุตระ จะยั่งยืนถาวรได้แท้ คนก็จะ ไม่มีรูรั่ว หากเสริม งานอาชีพให้เขา เขาจะพ้นความจนได้ ยิ่งบรรลุโลกุตรธรรมด้วย เขาก็จะเป็นคนมีวรรณะ ๙ ตามที่ พระพุทธเจ้า ทรงสอน จะเป็นคนขยันทำงานและมีจิตใจมักน้อย (หายจนถึงขั้นกล้าจนหรือเป็นคนจนมหัศจรรย์ได้) สันโดษ ช่วยเหลือเกื้อกูลโลก (โลกานุกัมปา) ทีเดียว

ขออภัยอย่างมากที่รบกวนเวลาท่านนายกฯ มาจนถึงขณะนี้ อาตมาเห็นในความตั้งใจจริงของท่านนายกฯ ที่จะช่วยเหลือ ผู้คน และ ประเทศชาติ อาตมาเอาใจช่วยท่านอยู่อย่างมากเสมอมา และท่านก็เป็นผู้ที่มี charismatic power ในยุคนี้จริงๆ ที่คำพูด มีอิทธิพล ต่อสังคมอย่างยิ่งยวด

ก็ต้องขออภัยอีกครั้งเถิด อาตมาขอรบกวนเพียงเท่านี้แหละ

เจริญธรรม และนับถือยิ่ง

(สมณะโพธิรักษ์)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา ()

ฉบับที่แล้วได้เล่าถึงระบบภูมิคุ้มกันต่างๆของร่างกายไปแล้วว่า มีอะไรบ้างอย่างคร่าวๆ คราวนี้เรามาเรียนรู้เกี่ยวกับ การทำงาน ของระบบ ภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย ว่าทหารของเราทำงานเป็นระบบอย่างไรถึงได้เก่งขนาดนี้กันนะคะ

ทหารหลักที่รับผิดชอบในการคุ้มครองร่างกาย หรือคอยกำจัดศัตรู คือ เม็ดเลือดขาว ซึ่งจะทำหน้าที่เดินทาง ตระเวนไปเรื่อยๆ ในระบบน้ำเหลือง คอยสอดส่องศัตรูที่แปลกปลอมเข้ามา ทหารหรือเม็ดเลือดขาวของเรามีความสามารถพิเศษคือ สามารถ จำแนกมิตร และศัตรูของเราได้อย่างแม่นยำ ถ้าพบศัตรูไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคเซลล์มะเร็ง หรือสิ่งแปลกปลอมผิดปกติในร่างกาย มันจะส่งสัญญาณ เรียกทหารทั้งหลาย มารวมพลังต่อสู้กับศัตรูทันที เม็ดเลือดขาวของเรามีหลายชนิด หรือหลายเหล่าทัพ แต่ที่ออกรบแบบ โดดเด่นที่สุดคือ ทีเซลล์ และ บีเซลล์ โดยที่ทีเซลล์ออกรบแบบประจัญหน้ากับศัตรูโดยตรง เรียกว่าทั้งตะปบ ขย้ำ ชกต่อย ตบตีพัลวันก็ว่าได้

ส่วน บีเซลล์ เป็นทหารที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงขึ้นมาหน่อย คือจะปล่อยอาวุธ หรือ สารเคมีชนิดหนึ่งออกมาทำลายศัตรู เรียกว่า แอนตี้บอดี้ ซึ่งจะสามารถทำลายศัตรูได้มากกว่า

บีเซลล์ยังสามารถแบ่งตัวได้มากมายและรวดเร็วเพื่อทำลายศัตรู เมื่อเรามีการติดเชื้อในร่างกาย ถ้าเจาะเลือดดูจะพบว่า เม็ดเลือดขาว ของเราเพิ่มขึ้น นั่นคือร่างกายของเรากำลังผลิตเม็ดเลือดขาวต่อสู้กับเชื้อโรคอยู่ ถ้าการรบแต่ละครั้ง ทหารของเราชนะ เราก็จะไม่เป็นอะไร หรือ ถ้าเป็นก็จะหายได้ แต่ถ้าทหารของเราพ่ายแพ้นี่ซิ... เราก็จะเป็นโรคนั้นๆ

นี่แหละคะ ร่างกายอันแสนอัศจรรย์ของเรา มีระบบการทำงานและการทำงานอย่างนี้เอง เพื่อต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ให้เรา ถ้าเราหมั่นฝึก ทหารของเราให้เข้มแข็ง ร่างกายเราจะแข็งแรง และใจของเราเองก็ต้องการการฝึกให้เข้มแข็งเช่นเดียวกัน การฝึกใจ ก็คงไม่พ้น ใช้หลักธรรมและหมู่กัลยาณมิตร ช่วยกัน

ค่ะ...ถ้าเราแข็งแรงทั้งกายและใจแล้วล่ะก็ ความสุขก็อยู่ตรงนี้เองค่ะ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


อบรมครูวิถีพุทธ ๘๑ ร.ร.หายสงสัยว่า ทำไมจึงมาบ้านราชฯ

ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ พ.ค. ๒๕๔๗ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา อุบลราชธานี เขต ๕ ร่วมกับชุมชนราชธานีอโศก จัดอบรม บุคลากรแกนนำโรงเรียนวิถีพุทธ

ผู้เข้าอบรมประกอบด้วย ผู้บริหาร โรงเรียน ครูผู้รับผิดชอบโครงการ ประธานกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และทีมทำงาน สำนักงาน จำนวน ๒๐๙ คน ชาย ๑๘๙ คน หญิง ๒๐ คน จาก ๘๑ โรงเรียน ๖ อำเภอ (อ.เดชอุดม, อ.บุณฑริก, อ.น้ำยืน, อ.นาจรวย, อ.ทุ่งศรีอุดม และ กิ่งอ.น้ำขุ่น) เป้าหมายเพื่อเป็นแกนนำในการขยายผลโรงเรียนวิถีพุทธ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
๑.ให้รู้และเข้าใจกรอบความคิดและแนวทางการดำเนินการโรงเรียนวิถีพุทธ
๒.ได้รับประสบการณ์ตรงในการจัดการศึกษา
๓.สามารถวิเคราะห์วางแผนและปรับแผนการดำเนินงานของโรงเรียน ให้สอดคล้องกับแนวการดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ

๒๐ พ.ค. ประธานในพิธี นายประวิทย์ อุดมศรี รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลฯ เขต ๕ กล่าวเปิดการอบรม อจ.เสนอ สร้างสุข ผช.ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่ฯ เขต ๕ บรรยายเรื่องกรอบและแนวคิดโรงเรียนวิถีพุทธ หลังจากนั้นแบ่งกลุ่ม ๘ กลุ่ม เพื่อศึกษา ดูงานวิถีชีวิตชุมชน

บ่ายโมง สมณะฟ้าไท สมชาติโก ปฐมนิเทศและบรรยายเรื่องการสร้างโรงเรียนวิถีพุทธ ประสบการณ์ โรงเรียนวิถีพุทธ ต่อด้วยรายการ ฮู้จักมักจี่ เข้าบ้านพัก

ภาคค่ำ คุณขวัญดิน สิงห์คำ บรรยายเรื่อง "การพัฒนาตนเองสู่ครู วิถีพุทธ"

๒๑ พ.ค. ธรรมะรับอรุณ โดยสมณะเดินดิน ติกขวีโร และชมวีซีดีประวัติพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์และนายกฯทักษิณ พบพ่อท่าน ที่ศีรษะอโศก บริหารร่างกาย คณะทำงานและผู้บริหาร ๒ ท่านขึ้นสัมภาษณ์สด ออกอากาศวิทยุชุมชนบัวกลางมูล

ภาคเช้า ปฏิบัติวิทยาวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง แบ่ง ๒ กลุ่มหมุนเวียนทำปุ๋ยและจุลินทรีย์ ช่วงรับประทานอาหารชม วีซีดีลากเรือ โคกใต้ดิน ต่อด้วย รายการเพื่อสุขภาพที่ดีกว่า ชมวีซีดี เรื่องผ่าตัดปอด, การประหารชีวิตนักโทษค้ายาบ้า ซึ่ง ผู้เข้าอบรม สนใจ อยากซื้อวีซีดีชุดนี้ เป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นเป็นกิจกรรม ๕ ส.แบ่งกลุ่มกตัญญูสถานที่ ทำความสะอาดชั้น ๑, ๒, ๓ เฮือนศูนย์สูญ ขัดห้องน้ำ และ ขนเต็นท์ ไปสวนไวพลัง

ภาคบ่าย แบ่ง ๔ กลุ่มหมุนเวียน ๔ ฐานงาน ๑.กวนมะตูมผง ๒.ปาท่องโก๋-น้ำเต้าหู้ ๓.แชมพู-น้ำยาซักผ้า-ล้างจาน- น้ำยา อเนกประสงค์ ๔.สบู่ก้อนสมุนไพร -ขี้ผึ้งน้ำมันไพล -ยาหม่องน้ำ

ภาคค่ำ สัมภาษณ์ปฏิบัติกร นร.วิถีพุทธ สัมมาสิกขาราชธานีอโศก ชั้น ม.๖ ,ครอบครัววิถีพุทธของพันโทบุญเลิศ - อาจารย์ เกษแก้ว -น.พ.ณรงค์ศักดิ์ เข็มเพชร ที่ลาออกจากราชการมาใช้ชีวิตพอเพียงอย่าง มีความสุขด้วยกสิกรรมธรรมชาติ จนผู้เข้าอบรม ขอไปชมบ้าน ซึ่งอยู่นอกชุมชน และกฎแห่งกรรม ของนิสิตกล้าธรรม มารยาท

๒๒ พ.ค. ธรรมะรับอรุณ โดยสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน อโศกตระกูล บริหารร่างกาย กิจกรรมปลุกจิตสำนึก ระดมสมอง แบ่งกลุ่ม พบสมณะ ช่วงรับประทานอาหาร ชมวีซีดีของมาร์ติน วิลเลอร์ ประเมินผล ของฝากจากเพื่อนครู พรก่อนจาก และพิธีอำลา

ก่อนการอบรมมีกระแสคัดค้านจากครูบางส่วนว่าทำไมต้องมาที่อโศก แล้วอโศกเป็นพุทธหรือไม่ บางคนเตรียมชุดขาวมา เพื่อนั่งสมาธิ แต่หลัง ใช้ชีวิตร่วมกัน ๒ คืน ๓ วัน ปรากฏว่าทุกคนให้ความร่วมมือทุกกิจกรรมและอยู่ครบจนถึงวันสุดท้าย และที่ประทับใจ คือกิจกรรม ๕ ส. ล้างห้องน้ำ ที่คณะครูระดับผู้บริหารกล้า เอามือล้างคอห่าน และมีผู้สนใจซื้อวีซีดี โรงเรียนวิถีพุทธ, กสิกรรมฯ, ธรรมะต่างๆ และ กากน้ำตาล เป็นจำนวนมาก

ผู้เข้าอบรมได้ให้สัมภาษณ์ดังนี้

นายประวิทย์ อุดมศรี รองผอ. สำนักงานเขตฯ อุบลฯ เขต ๕ "โครงการวิถีพุทธ เป็นโครงการของสำนักงานพัฒนา นวัตกรรม ของสำนักงาน การศึกษาขั้นพื้นฐาน นโยบายให้โรงเรียนสมัครใจเข้าโครงการ ในเบื้องต้นเกิดความไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่ไป อบรมในวัดพุทธ แล้วสันติอโศก เป็นพุทธหรือเปล่า ผมเองก็สงสัยว่าเป็นอย่างไร แต่พอมาสัมผัสและอยู่ ปัญหาของความคิดนี้ ก็หายไป

เมื่ออบรมแล้วพอใจ กระแสตอบรับดี และจะนำไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะนำไปใช้ในการเรียนการสอน ให้เกิดประโยชน์ แก่เด็กและชุมชนต่อไป"

นายเสนอ สร้างสุข ผู้ช่วยผอ. สำนักงานเขตฯ อุบลฯ เขต ๕ (เจ้าของโครงการ) "ผมมีความตั้งใจที่จะให้โครงการนี้สำเร็จ แม้มีอุปสรรค ก็ไม่หวั่น แม้จะไม่ค่อยได้รับความสนับสนุนด้านงบประมาณ ในเบื้องต้น มีแนวคิดที่แตกต่างในบางคน ที่ไม่เข้าใจ สำหรับคนที่เข้าใจ มีความคิดที่เป็นสากล จะคิดว่าที่นี่ทำได้ถูกต้องแล้ว การต้อนรับดีมาก ชื่นชมในความสง่างาม งดงามของ ราชธานีอโศก และการเป็นผู้ให้ ของชาวบุญนิยม"

นายเฉลิมพล วิทยารักษ์ ผอ.ร.ร.บ้านหนองโพด อ.น้ำยืน "ประทับใจในการปฏิบัติช่วยเหลือ เอื้ออาทร เห็นการช่วยเหลือ ทำงานต่างๆ ในชุมชนอย่างเป็นระบบ แต่ละคน มีความรับผิดชอบ สำนึกดี เรื่องปุ๋ยชอบใจมาก คงนำไปบอกต่อ และพาเด็ก ปฏิบัติ เพื่อให้เด็กเห็นคุณค่า ของกสิกรรมไร้สารพิษ ที่ประหยัดและปลอดภัย ดีหลายๆอย่าง ต้องพาเพื่อนมาดู"

นางบงการ สายเนตร ผอ.ร.ร. บ้านเปือย อ.น้ำยืน "ประทับใจในอุดมการณ์ทำงานที่สามารถทำได้ตามที่คิด และนำสิ่งที่คิด สื่อให้คนอื่น ได้รับรู้ หากคนที่เป็นบัวพ้นน้ำจะสามารถรับสิ่งที่ดีได้ทั้งหมด"

นายวีระพันธ์ ปทุมมา อจ.๒ ระดับ ๗ ร.ร.เมืองเดช อ.เดชอุดม "เคยนำแนวทางนี้ไปดำเนินการสู่นักเรียน แต่ขาดความร่วมมือ อาจเป็นเพราะ เขาขาดความเข้าใจ กลับไปจะกระทำตัวให้เป็นตัวอย่าง และนำเสนอผู้บริหารต่อไป ลูกสาวผม เคยมาเข้าค่ายที่นี่ แล้วไปเล่าให้ฟัง ผมเคยซื้อเท็ป หนังสือที่อุทยานฯ และเคยไปที่ศีรษะอโศก ๒ คืน ๓ วันที่อบรมรู้สึกเวลาสั้นมาก ถ้ามีเวลา จะมาอีก"

นายประสิทธิ์ ทองบ่อ อจ.๒ ระดับ ๗ ร.ร.บ้านหมากแน่ง กิ่งอ.น้ำขุ่น "ผมไม่เห็นด้วยเรื่องมังสวิรัติ กินอาหารแบบนี้ผมคิดว่า ร่างกายจะไม่แข็งแรง กินแล้วไม่อิ่ม สถานที่ร่มรื่นดี ผมสงสัยว่าเอางบประมาณและเครื่องมือมาจากไหน น่าจะเลี้ยงสัตว์บ้าง เพื่อเรียนรู้ชีวิตสัตว์ เมตตาสัตว์ ไม่กินแต่ก็น่าจะเลี้ยงได้ คิดว่าจะฝึกถือศีล ๕ อาจจะไม่ครบ ๑๐๐ % แต่ก็ดีกว่าไม่ทำเลย ที่นี่เป็นชุมชน ที่เข้มแข็งกว่าข้างนอกมาก"

นางหนูสัน รอบโลก คณะกรรมการสถานศึกษา อ.บุณฑริก "เคยพากลุ่มแม่บ้านมาดูงานที่นี่ และยังคงดำเนินกิจกรรม กลุ่มตามแนวทาง เศรษฐกิจพอเพียง มาครั้งนี้ได้ประโยชน์มาก ได้รู้จักชาวอโศกเพิ่มขึ้น จะนำแนวทางถือศีล ๕ ไปปรับใช้ที่บ้าน"

น.ส.สุภาภรณ์ คำแก้ว อจ.๒ ระดับ ๖ กิ่งน้ำ อ.น้ำขุ่น "เคยแวะมาชมที่นี่ มาครั้งนี้ถือว่าเป็นบุญ การปฏิบัติธรรมที่นี่สามารถ นำไปใช้ ในชีวิตประจำวัน เป็นการปฏิบัติธรรมที่ไม่ได้แยกส่วน ปกติถือศีล ๕ กลับไปจะฝึกฝนถือศีล ๘ สิ่งที่จะนำไปทำ คือ การพึ่งตน และอยากทำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง"

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

หัวข้อข่าว

หน้าปัดชาวหินฟ้า

เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๓๒(๒๕๔) ปักษ์แรก ๑-๑๕ มิ.ย.๔๗

สำหรับข่าวความเคลื่อนไหวในรอบปักษ์ที่ผ่านมา เก็บมาฝากกันมีดังนี้

อโศกรำลึก...ก่อนงานอโศกรำลึก ที่สันติอโศกก็เริ่มคึกคัก สิกขมาตุบุญจริง นำทีมปลูกต้นไม้บริเวณน้ำตก ใต้พระวิหารพันปีฯ คุณตุ๋ย จากภูผาฯ ซึ่งมาถึงก่อนงานก็เลยได้บุญช่วยขนดินปลูกต้นไม้ไปด้วย ข้างฝ่ายกางเต็นท์ ก็ระดมพลจาก นร.สัมมาสิกขา ชั้น ม.๕ ของแต่ละชุมชน มาช่วยกัน แต่ยังขาดประสบการณ์ คุณกร(ตายจริง) จึงยกโทรโข่งให้อาร์ต ซึ่งเพิ่งจบ ม.๖ จากศีรษะฯ มาหมาดๆ ช่วยถ่ายทอดประสบการณ์ให้น้องๆ ผลก็ปรากฏว่า ประสบการณ์ของรุ่นพี่ ถ้ามีระบบให้รุ่นน้องได้รับการถ่ายทอด ประสบการณ์ งานก็จะดำเนินไปได้ดี การสูญเสียเวลา ทรัพย์สิน เครื่องไม้เครื่องมือ ก็จะลดลง...

ภาพยนตร์ "ฝากฟ้าแด่ดิน" ทำท่าจะฉายงานนั้นงานนี้ ตอนนี้ใครต้องการชมก็ควรรอไปก่อน เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะ ยังไม่เสร็จไง หากเสร็จ สมบูรณ์เมื่อไร ก็คงได้ดูกันแน่ๆ (มีข่าวแว่วมาว่า น่าจะไม่เกินเดือน พ.ย.นี้นะฮะ)

จิ้งหรีดเห็นแฟชั่น พญาแร้งคึกคักในงานอโศกรำลึก ก็เสื้อพญาแร้งไง แต่งานนี้เขา ขายนะ ไม่ได้แจกฟรี ส่วนรายได้นำเข้า เป็นกองทุน สร้างพลาภิบาล ที่ปฐมอโศก ผลบุญแห่งกรรมดีของฝ่ายจัดทำ ส่งผลให้ขายแทบไม่ทัน จิ้งหรีดเผลอมัวแต่เดินชม บรรยากาศ ของงานหน่อยเดียว ปรากฏว่า ทั้งแบบและขนาดเสื้อที่หมายตาไว้ ไม่มีให้ซื้อซะแล้ว แต่จิ้งหรีดซะอย่าง ไม่มีเบอร์ L ก็ซื้อเบอร์ใหญ่ XL ไม่มีคอโบโล ก็ซื้อคอกลมมาใส่ก็ได้ แถมสายตาก็เหลือบไปเห็นคุณประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ เลือกซื้อเสื้อ พญาแร้งกับเขาด้วยเหมือนกัน สาธุ...

ช่วง ทวช.(ทำวัตรเช้า) วันที่ ๙ มิ.ย. พ่อท่านเล่าให้ลูกๆฟังว่า กำลังรักษาสุขภาพกับหมอจีน เป็นวิธีต้มยาให้เดือด แล้วสูบควัน ทางปาก แล้วตัวยา จะไปขับพิษบริเวณส่วนบนของร่างกาย...

ฝ่ายหนังสือโครงการหิ่งห้อย ได้นำหนังสือโครงการหิ่งห้อย อันดับ ๕ กับ ๖ และหนังสือตอบฝรั่งเรื่องสังคมพุทธ เล่ม ๑ มาถวาย สมณะ และจำหน่ายให้ญาติโยม จิ้งหรีดเห็นหนังสือแล้วก็รู้สึกชื่นชมในความวิริยะอุตสาหะของคณะทำงานยุคนี้...

เก็บไว้ในประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง เมื่อ "พญาแร้งเผือก" ได้ติดตั้งที่พระวิหารพันปีฯ เมื่อวันอังคารที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗ สาธุ...

ส่วนโรงบุญงานอโศกรำลึกปีนี้ แม้วันงานจะไม่ตรงกับวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แต่ก็คึกคักไม่แพ้ปีก่อนๆ พ่อให้แม่ให้ สนุกสนาน มีความสุข อิ่มบุญโดยทั่วหน้า บรรยากาศการให้ของชาวเรานับวันจะอบอุ่น ประณีตและง่ายงามอย่างน่าชื่นชม คงเพราะ ต่างฝ่าย ต่างเข้าใจ อุดมการณ์บุญนิยม รวมทั้งผู้ให้และผู้รับต่างเข้าใจความสำคัญของอีกฝ่าย สาธุ...

ระวัง ระวัง! คงต้องช่วยกันระมัดระวังและสอดส่องดูแลกันและกัน เพราะขโม้ย ขโมยชุกชุมเหลือเกิน แถมเดี๋ยวนี้ ระบาดเข้ามา ในงานประจำปี ของชาวเรากันแล้ว อย่างล่าสุดมากันเป็นทีมประมาณ ๔-๕ คน เข้ามาคอยล้วงกระเป๋าญาติธรรม ในงาน อโศกรำลึก ที่ผ่านมา เฮ้อ! คนเดี๋ยวนี้ไม่กลัวบาปกลัวกรรมกันเลย...จี๊ดๆๆๆ...

จวนได้ยล...ใกล้ได้เห็นได้อ่านหนังสือ "สัจจะชีวิตของสมณะโพธิรักษ์" ที่ทีมงานใช้เวลาและความอุตสาหะ ในการทำต้นฉบับ ไม่น้อยกว่า ๒ ปี เพื่อรวบรวมประวัติของพ่อท่านตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน รูปและเรื่องจึงสมบูรณ์มากๆ จิ้งหรีดนั้นได้เห็น ต้นฉบับแล้ว ยังทึ่ง และรู้สึกอนุโมทนากับคณะผู้จัดทำ ในหนังสือเล่มนี้จะได้พบทั้งเรื่องราวและรูปภาพในอดีต จนถึงปัจจุบัน ของพ่อท่าน ที่หาดูหาอ่านได้ยาก นี่ก็ได้ข่าวล่าสุดว่า ต้นฉบับเสร็จแล้วและหากพิมพ์ทั้งหมด หนังสือนั้นจะเล่มใหญ่ และ หนักมาก คณะจัดทำจึงเห็นควรว่า ต้องแบ่งพิมพ์ออกมาเป็น ๔ ภาค(เล่ม) โดยภาคที่ ๑ "ชีวิตโลกียะ" ซึ่งกะว่าจะให้ออก ประมาณ เดือน พ.ย.๔๗ ภาคที่ ๒ ตอน "โลกียะ"สู่"โลกุตระ" ออกประมาณ เดือนมิ.ย.๔๘ ภาคที่ ๓ "ชาวอโศก" เพื่อมวลมนุษยชาติ ออกประมาณ พ.ย.๔๘ และภาคสุดท้าย ภาคที่ ๔ "โพธิรักษ์" กับ "โพธิกิจ" ซึ่งทีมงานตั้งใจอย่างยิ่ง ที่จะออก ให้ทันวันครบรอบอายุ ๗๒ ปี ของพ่อท่านในเดือน มิ.ย.๔๙ ผู้สนใจคงต้องติดตามต่อว่า จะเปิดให้จองหนังสือได้เมื่อไร ฝ่ายจิ้งหรีด ก็จะคอยถามความคืบหน้าจาก คุณเบญจวรรณ เจริญวงษ์ หนึ่งในคณะผู้จัดทำ ที่ทุ่มเททำหนังสือเล่มนี้ อย่างเต็มที่ มาบอกกันอีกที....จี๊ดๆๆๆ...

ปฏิเสธเส้น...ท่านถักบุญ อยู่บ้านราชฯ เล่าให้อาจารย์ ๑ ฟังว่า รู้สึกลำบากใจที่ได้ปฏิเสธเส้น แต่ขออภัยนะฮะ เรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับ เส้นก๋วยเตี๋ยว แต่มีพนักงานไฟฟ้าแห่งหนึ่ง นำลูกชายมาฝากท่านถักบุญ เข้าทำงานการไฟฟ้าเช่นตนให้ที เพราะรู้สึกว่า ท่านถักบุญ คงรู้จักคุ้นเคยกับผู้หลักผู้ใหญ่ในการไฟฟ้าฯ

ท่านถักบุญ ก็เลยรู้สึกลำบากใจที่มีโยมมาคาดหวังท่านในเรื่องนี้ ท่านจึงค่อยๆอธิบายให้โยมฟังว่า ท่านไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกับ ผู้ใหญ่ ในการไฟฟ้า ตามที่โยมคนนี้รู้สึก แม้กระนั้นวัฒนธรรมของชาวเราก็ไม่ทำในลักษณะนี้ เว้นแต่ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จากข้าราชการบางคน แต่ท่านถักบุญก็หาทางออกให้โยมที่มาฝากลูกชายว่า ถ้าโยมจะฝากลูกชายเข้าวัดละก็ แล้วเขาก็สมัครใจ ท่านก็พอ จะช่วยได้ เพราะเส้นทางธรรมนี้ก็พอจะถูกเส้นกับท่านซะมากกว่า....จี๊ดๆๆๆ...

ทากเผือก...ขณะที่ ท่านอาจารย์ ๑ สนทนาธรรมกับคนวัดที่ศาลา ก็รู้สึกมีอาการแสบๆ ที่บริเวณตาตุ่มข้างขวา จึงเอามือขวา ไปจับดู บริเวณดังกล่าว พอจับปั๊บก็สัมผัสได้ตัวถึงตัวอะไรยาวๆ ก็คาดเดาได้เลยว่า น่าจะเป็นทากมาเกาะดูดเลือดบริเวณตาตุ่ม จึงรีบจับตัวมันดึง ซึ่งขณะจับตัวมันดึง ก็ยิ่งรู้สึกแสบ ก็ยิ่งชัดเจนว่า มันคงเกาะดูดเลือดเข้าให้แล้ว อาจารย์ ๑ คาดเดาในใจ อีกว่า เลือดคงไหลเปรอะนิ้ว ที่จับแน่ แต่ยังไงๆก็ต้องรีบดึงตัวมันออกจากตาตุ่มซะก่อน คิดได้ดังนั้น จึงรีบจับแล้วกระตุกมัน ออกจากตาตุ่ม ให้เร็วที่สุด พอกระตุกตัวมัน ซึ่งมีลักษณะนิ่มๆยาวๆ ก็เกิดแสบแปล้บมากขึ้น แต่ก็เอาตัวมันติดมือขึ้นมาดูว่า ตัวมันจะอ้วน เพราะดูดเลือดหรือยัง

อาจารย์ ๑ รู้สึกสงสัยเมื่อเห็นตัวมัน ก็พูดกับคนวัดว่า "เอ๊ะ! ทากเผือก" เพราะตัวมันยาวๆใสๆ แต่พอจับบริเวณที่มันเกาะ ดูดเลือด ก็ไม่เห็นมีเลือดออก ตามธรรมดาของผู้ถูกทากดูดเลือด

สักครู่ อาจารย์ ๑ ก็ได้คำตอบว่า ที่แท้ทากเผือก ก็คือหนังของอาจารย์ ๑ นั่นเอง ที่ถูกรองเท้าที่ใส่ไปทำงานปรับถนนที่ภูผาฯ เมื่อเช้านี้นี่เอง กัดหนังที่ตาตุ่ม จนถลอกออกมา จนรู้สึกแสบๆทั้งสองเท้า รองเท้าที่ใส่ก็เป็นบู๊ทสีขาว ดังนั้นอาจารย์ ๑ ก็เข้าใจ ถูกแล้วล่ะว่า ถูกทากเผือกกัด ดูดเลือด เพราะทากเผือกที่ว่าก็คือรองเท้าบู๊ทสีขาวนั่นเอง มิใช่ทากดูดเลือดตามที่อาจารย์ ๑ เข้าใจผิด เรื่องนี้ก็ขำกันใหญ่ ทั้งอาจารย์ และญาติโยม อีกทั้งได้ค้นพบทากเผือกที่ภูผาฯ ก็ครั้งนี้นี่แหละ....จี๊ดๆๆๆ...

อนิจจัง...ช่วงนี้คุณแรงรุ่งกำลังมุ่งจะสอบวิชาแพทย์แผนไทยให้ผ่านตามคำแนะนำของ ท.ญ.ฟากฟ้าหนึ่ง ข้อเขียน สอบผ่านแล้ว เหลือแต่ภาคปฏิบัติ นี่สิถือว่า หินพอสมควร คุณต้นแก้ว คุณผาหิน และคุณบัวดาว ก็ผ่านข้อเขียนแล้ว เหลือแต่ ภาคปฏิบัติ ที่ทำข้อสอบจากของจริงเช่นกัน

ห่วงอีกอย่างของคุณแรงรุ่งคือ แม่วัย ๘๗ ปี ที่เวลาเดินก็หน้าเกือบติดพื้น ดังนั้นถ้าใครไม่เห็นคุณแรงรุ่ง ก็ไม่ต้องสงสัยนะฮะ ก็เพราะไปช่วยดูแลคุณแม่นั่นเอง

ส่วนด้านนักบวช จิ้งหรีดที่ปฐมฯก็รายงาน มาว่า วันที่ ๑๕ มิ.ย.นี้ สิกขมาตุมณทิพย์ ก็จะรับการผ่าตัด หมอนรองกระดูกที่คอ ที่มีปัญหา ทำให้ร่างกายเนื้อตัวปวดไปหมด ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวิบากที่เคยเป็นแม่ค้าขายกุนเชียงในสมัยฆราวาสหรือเปล่า ใครสงสัย ก็ไปสอบถาม ท่านได้นะฮะ...

นี่ก็อนิจจังอีกรายคือ คุณอารมณ์ เถ้าแก่เนี้ยร้านเฟอร์นิเจอร์ ตอนนี้ทรัพย์สินปัจจุบันมีค่ามากกว่าหนี้ และเป็นลูกค้าชั้นดี ที่ทางธนาคาร ยินดีให้กู้ แต่เจ๊อารมณ์บอกว่า เข็ดกับการเป็นหนี้แล้ว จิ้งหรีดได้พบคุณอารมณ์ที่ปฐมอโศก ก็ให้นึกสงสัยว่า เหตุใดจึงดูสาว ดูเพรียวขึ้น อย่างผิดหูผิดตา เจ๊อารมณ์บอกว่า ก็ฝึกออกกำลังกายด้วยสูตรไม้พลอง อดอาหารเย็น ทำให้น้ำหนัก ลดลงถึง ๙ กก. โอ้โฮ! เรียกว่า ลดลง จนเจ้าตัวยังสงสัย ต้องไปให้หมอตรวจว่าเป็นมะเร็งหรือเปล่า ก็ปรากฏว่าไม่มีโรคอะไรฮะ สุขภาพแข็งแรงดี ใครอยากหุ่นดีแบบด่วน อย่างน่าพิศวง ก็ติดต่อเจ๊อารมณ์ได้ นะฮะ....จี๊ดๆๆๆ...

สนามบุญ...ที่ ชมร.เชียงใหม่ ตั้งแต่มีลูกค้ามาเหมาแจกอาหารฟรีให้ลูกค้าตั้งแต่ ปลายปี'๔๕ จนถึงเกือบกลางปี'๔๖ นับตั้งแต่นั้น ก็มีลูกค้า มาเหมาทั้งทุกแผนก และบางแผนกมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีขาดสาย ก็ถือว่าเป็นร้านค้าที่เปิดโอกาส ให้นักบุญ ได้ลงสนามบุญ ฝึกทำบุญ ให้ชำนาญหรือแข่งให้ชนะความโลภ เมื่อวันก่อน (อา.๒๕ พ.ค.๔๗) ก็ได้เจอคุณดาบบุญ ผรช.ชมร.หน้าสันติอโศก ก็บอก กับสมณะว่า สัปดาห์หน้ามีลูกค้าเหมาอาหารแจกฟรี ในบางแผนกทุกวัน โดยเฉพาะเท่าที่ ผ่านมา แม้ในครั้งนี้ผู้เหมา มักจะเหมาแผนกก๋วยเตี๋ยวแจกฟรี ส่วนที่ ชมร.เชียงใหม่ก็มีเหมาอาหารธรรมชาติแจกอยู่ในบางคราว ถ้าแจกวันไหน อาหารธรรมชาติ ก็จะหมดไวกว่า วันที่ไม่ได้แจก ดังนั้นญาติธรรมคนไหน สนใจทำบุญต่ออายุสัตว์ จิ้งหรีดว่าวิธีนี้เจ๋งจริงๆ นะฮะ....จี๊ดๆๆๆ...

สังคมอบอุ่น...คบคุ้น ดูแล เกิดแก่เจ็บตาย ทุกเช้าวันใหม่ของทุกวัน ในช่วงนี้จิ้งหรีดได้เห็นคุณเพ็ญเพียรธรรม ต้มยาจีน ถวายสมณะ อาพาธ อยู่ที่หน้าศาลาสุขภาพเป็นประจำ แม้จิ้งหรีดเองเจ็บป่วย คุณเพ็ญเพียรธรรม ก็ช่วยประสาน ติดต่อให้คำแนะนำ พร้อมบริการ ด้วยอารมณ์ดี รู้สึกขอบคุณอนุโมทนา พ่อท่านบอกว่า เราชาวอโศกช่วยกันดูแลเด็ก คนเจ็บป่วย คนแก่ สังคมเรา ก็จะไปได้ด้วยดี.... จี๊ดๆๆๆ...

ไกด์จำเป็น...เมื่อวันพุธที่ ๑๙ พ.ค.ที่ผ่านมา มีพระจากไต้หวัน ๒ รูป มาขอชมสันติอโศก ฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็ติดต่อมา ให้จิ้งหรีด พาชมหน่อย จิ้งหรีดนำเดินไปที่ลานทรายหน้าน้ำตก พอดีคุณปีกฟ้าได้เดินสวนมา พระไต้หวันรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นคนไทย จึงทักว่า คนนี้ เคยไปไต้หวัน ทำให้จิ้งหรีดได้รู้ไปด้วย พอเห็นคุณปีกฟ้าก็ทำให้นึกถึงศูนย์มังสวิรัติ จิ้งหรีดจึงถามว่า ท่านฉัน หรือยัง? ท่านก็ตอบว่า ยัง ซึ่งขณะนั้น ๑๑ โมงครึ่งแล้ว จึงได้นิมนต์ท่านฉันก่อน นี่หากไม่พบคุณปีกฟ้า วันนั้นท่านคงไม่ได้ฉัน จากนั้นจิ้งหรีดได้พาชม พระวิหารพันปีฯ ทำให้จิ้งหรีดได้รู้ว่า ตัวเองยังไม่รู้เรื่องราวในสันติฯ อีกหลายต่อหลายเรื่อง อย่างน้อย วันนี้ก็ได้รู้แล้วว่า ระฆัง บนพระวิหารพันปีฯ ๔ ลูกนั้น เป็นระฆังจากที่ไหนบ้าง แต่ถ้าถามคนสันติฯ แล้วยังไม่รู้อีก ก็ถามหา ท่านโพธิสิทธิ์ได้นะฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

คติธรรม-คำสอนประจำฉบับ
ข้าพเจ้าจะโกรธไม่ได้เป็นอันขาด เมื่อข้าพเจ้าทำงาน"เพื่อศาสนา เพื่อความอยู่รอดของ มวลมนุษย์"
เพราะถ้าข้าพเจ้าโกรธ นั่นแสดงว่าข้าพเจ้าทำงาน "เพื่อตัวตน"และแสดงว่า ข้าพเจ้ามีกิเลสมากเต็มที
ไม่เหมาะสมจะทำงานเพื่อศาสนาเลย. (๑๖ ก.พ.๒๑)

(จากหนังสือโศลกธรรม สมณะโพธิรักษ์ หน้า ๔๙)

พบกันใหม่ฉบับหน้า

- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


โครงการรวบรวมองค์ความรู้และพัฒนาผลผลิต จากสารธรรมชาติทดแทนสารเคมีในผลิตภัณฑ์สุขภาพ

*** วัตถุประสงค์โครงการ
เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากผลผลิตจากสารธรรมชาติทดแทนสารเคมีใน ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ ทั้งด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด โดย

๑. รวบรวมองค์ความรู้ที่ได้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น ประสบการณ์การใช้จริง และการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ทั้งจากในประเทศ และต่างประเทศ
๒. ส่งเสริมการศึกษา วิจัย และพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ ให้ได้องค์ความรู้ใหม่หรือผลผลิตใหม่ นำสูตรที่ได้ไปทดลอง ใช้ในชุมชน หรือ พัฒนาผลิตภัณฑ์ ร่วมกับนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญ
๓. เผยแพร่การใช้ประโยชน์ สรุปบทเรียนเพื่อพัฒนาให้เป็นผลผลิตที่มีประสิทธิภาพ และได้มาตรฐานต่อไป

ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดที่มีสารเคมีสังเคราะห์ คือ
๑. สารปรุงแต่งรสอาหาร ได้แก่ ผงชูรส สารกันบูด ซีอิ๊ว สีผสมอาหาร สารกรุบกรอบ
๒. สารไล่แมลง / กันยุง
๓. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ได้แก่ แชมพูสระผม ครีมนวดผม สบู่ สารให้ความหอม ฯลฯ

เมื่อวันที่ ๘ - ๙ เมษายน ๒๕๔๗ ในงานปลุกเสกฯ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก ได้มีการประชุมรวบรวมองค์ความรู้จาก ญาติธรรม ชาวอโศก มีผู้เข้าร่วมประชุมการประชุม ๔๕ คน ได้องค์ความรู้ดังนี้

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

๒.น้ำส้มสายชูหมักจากธรรมชาติ
สูตรที่ ๑ (สูตร IMO)
ส่วนผสม
ผลไม้เปรี้ยว (เน้นผลไม้ตามฤดูกาล ได้แก่ สมอ มะขามป้อม มะดัน ฯลฯ) ๖ ส่วน
น้ำตาลทรายแดง ๒ ส่วน
เกลือสินเธาว์ ๑ ส่วน

วิธีทำ
นำผลไม้เปรี้ยวผสมกับส่วนผสมที่เตรียมไว้(ห้ามเติมน้ำเพราะจะเสียรสชาติ) จะมีน้ำออกมาเอง หมักไว้ยิ่งนาน ยิ่งอร่อย

๓. สูตรซีอิ๊วหมักหรือใช้สารธรรมชาติปรุงรสแทนผงชูรส

สูตรที่ ๑
ส่วนผสม
ผลมะนาว ๖ ส่วน
น้ำตาลทรายแดง ๒ ส่วน
เกลือสินเธาว์ ๑ ส่วน
ซีอิ๊ว (สูตร ๕)

วิธีทำ
หมักผลมะนาวตามสูตร IMO เมื่อหมักไว้นานๆ มะนาวจะแห้งไปหมด นำน้ำที่ได้จากการหมักไปปรุงกับซีอิ๊ว (สูตร ๕) จะได้เป็น ซีอิ๊ว สูตร ๑ ซึ่งมีรสชาติดี สำหรับปรุงอาหาร รับประทานแล้วท้องไม่อืด เฟ้อ อึดอัดแน่นท้อง

สูตรที่ ๒ (จากจังหวัดเลย)
ส่วนผสม ใบสาทอน เกลือ ข่าแก่วิธีทำ ()
นำใบสาทอนที่ไม่แก่หรือไม่อ่อนเกินไป(ใบเพสลาด) ไปผึ่งแดดให้แห้ง หมักในโอ่งมังกร ใส่น้ำให้ท่วมพลิกกลับทุกวัน ถึง ๓ วัน หรือ มากกว่านี้ จะได้กลิ่นคล้ายปลาร้า ตักเอาแต่น้ำ เคี่ยวให้เหลือครึ่งหนึ่ง ผสมเกลือ ข่าแก่ช่วยให้หอม และเค็มพอดี

วิธีทำ ()
นำใบสาทอนสด ตำให้ละเอียด (ให้สารออกมามากๆ) แช่น้ำให้ท่วม ๓-๕ วัน ตักเอาแต่น้ำ เคี่ยวให้เหลือครึ่งหนึ่ง ผสมเกลือ ข่าแก่ ช่วยให้หอม และเค็มพอดีเช่นกัน.

(อ่านต่อฉบับหน้า)

มายเหตุ
องค์ความรู้ข้างต้นนี้ยังต้องการ
๑. ข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านสูตร เทคนิค วิธีปฏิบัติ ฯลฯ รวมถึงแหล่งที่มาของข้อมูล
๒. การนำไปทดลองทำ ทดลองใช้เพื่อพัฒนาให้มีคุณภาพดียิ่งๆ ขึ้น
๓. ข้อมูลสูตรตำรับ เทคนิค และวิธีการอื่นๆ ที่สามารถใช้สารธรรมชาติทดแทนสารเคมีในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆโปรดแจ้งข้อมูลมายัง สำนักงานต.อ.กลาง พุทธสถาน สันติอโศก โทรศัพท์/โทรสาร ๐๒-๓๗๔๙๕๗๐

- ต.อ.กลาง รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


รู้เขา รู้เรา

นาโนเทค (NANOTECH) เทคโนโลยีปฏิวัติโลกการตลาด

แม้ว่า"นาโนเทคโนโลยี" (nanotechnology) จะไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในโลก แต่ ณ วันนี้ เรื่องดังกล่าว ได้รับการกล่าวถึง อย่างหนาหู มากขึ้น... มากขึ้น ประกายส่วนหนึ่งอาจเกิดขึ้นมาจากข่าวใหญ่ที่จีนส่งดาวเทียมขนาดจิ๋วขึ้นไปบนอวกาศ ด้วยการใช้ นาโนเทคโนโลยี เมื่อไม่นานมานี้ กระตุ้นให้นักการตลาดหันมาสนใจกล่าวถึง นาโนเทคโนโลยีกันอีกครั้ง

ขณะที่เมืองไทย "นาโน" กำลังเป็นเทคโนโลยีที่ภาครัฐเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนัก ดังกล่าวก็คือ การเปิด รับสมัคร ผู้อำนวยการศูนย์นาโนและเทคโนโลยีแห่งชาติขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ตลอดจนการจัดเสวนา นาโนเทค บิสซิเนส ฟอรัมขึ้น ในวันที่ ๑๑ พ.ค. ที่ผ่านมา เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของการรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะเกิดขึ้น อันเนื่องจาก การเข้ามาของ "นาโนเทคโนโลยี"

*** นาโนเทคโนโลยีคืออะไร
นาโนเทคโนโลยี เริ่มกลายเป็นคำคุ้นหูของผู้บริโภคและนักการตลาดในโลกตะวันตกมากขึ้นทุกวัน คำว่า "นาโน" เป็นคำ ที่นำมาเรียก เป็นชื่อสั้นๆ ของนาโนเทคโนโลยี หรือ นาโนเมตร หรือสิ่งที่มีขนาดเล็กจิ๋วมากๆ โดยมีขนาดเท่ากับ ๑ ใน ๑,๐๐๐ ล้านของเมตร หรือ วัดขนาดคร่าวๆ ได้เท่ากับ ๑/๑๐๐,๐๐๐ ของขนาดปกติของเส้นผมของมนุษย์นาโนเทคโนโลยี เป็นศิลปะ ของการจัดโครงสร้าง ของสิ่งที่มีขนาดจิ๋วมาก เป็นการปรับในระดับของอะตอมหรือโมเลกุล เมื่อจัดวางโมเลกุล หรืออะตอม ในรูปแบบใหม่ แล้วคุณสมบัติ ของสิ่งของ ที่ใช้นาโนเทคโนโลยี จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อย่างมากมาย

นาโนมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกแปลว่าคนแคระ แต่ในเชิงวิทยาศาสตร์จะมีความหมายถึงเศษหนึ่งส่วนพันล้าน เช่น ๑ นาโนเมตร เท่ากับ ๑ ส่วนพันล้านเมตร ดังนั้นถ้าจะนิยาม นาโนเทคโนโลยี ก็จะหมายถึงเทคโนโลยีที่มีขนาดเล็กมากในระดับ พันล้านส่วน หรือเล็กเท่ากับอะตอม โดยบทบาทของนาโนเทคโนโลยีมีความสำคัญต่อศาสตร์ ๓ แขนงใหญ่คือ วัสดุนาโน นาโนอิเล็กทรอนิกส์ และ นาโนชีวภาพ

- วัสดุนาโน (Nano Material) เป็นการจัดเรียงอะตอมในรูปแบบต่างๆทำให้ได้วัสดุที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างออกไป เช่น ท่อนาโน คาร์บอน ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ไม่กี่นาโนเมตร แต่สามารถสร้างให้เป็นท่อที่ความแข็งแรง แกร่งกว่าเหล็ก ๖ เท่า แต่มีน้ำหนัก เบากว่า ๑๐๐ เท่า สามารถนำไฟฟ้า หรือกลายเป็นฉนวนก็ได้ขึ้นอยู่กับการจัดเรียงอะตอม ให้มีการยึดเกาะในโครงสร้าง ที่แตกต่างกัน ซึ่งเราสามารถนำมาประยุกต์ ทำเป็นสายไฟ ที่มีขนาดเล็ก ใช้ผลิตแบตเตอรี่ ที่มีอายุงานนานนับสิบปี ใช้ผลิต เส้นใยนาโน ทำเป็นเสื้อผ้า ที่มีคุณสมบัติไม่ยับง่าย ฝุ่นละอองเหงื่อไคลเกาะติดผ้ายาก ใช้อนุภาคนาโนทำสีทาบ้าน ที่สามารถ ทำลายมลภาวะในอากาศ รวมถึงกำจัดเชื้อโรค ซึ่งทำงานโดยได้รับการกระตุ้นจากแสงอัลตราไวโอเลต แต่จะหมดอายุการใช้งาน เมื่อไททาเนียมไดออกไซด์ ที่เป็นส่วนประกอบของสีชนิดนี้หลุดออกมา นอกจากนี้ยังใช้ทำครีมบำรุงผิว ที่สามารถซึมซับ สู่ผิวได้เร็ว และลดรอยเหี่ยวย่นได้ดีกว่าครีม ที่เราใช้กันอยู่ ในปัจจุบัน หรือจะใช้ในการผลิตฟิล์มให้บางเฉียบก็ได้ แต่มีความไว ต่อแสงมากกว่าฟิล์มปกติ

- นาโน อิเล็กทรอนิกส์ (Nano Electronics) ช่วยทำให้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีขนาดเล็กลง ใช้พื้นที่น้อย มีความไวมากขึ้น กินไฟต่ำ ราคาถูกลง เช่น การผลิตไมโครโปรเซสเซอร์ให้มีขนาดเล็กลง ทำให้คอมพิวเตอร์ มีขนาดเล็กลง หรืออาจใช้พื้นที่ที่ว่าง เพิ่มวงจร อื่นๆ เข้าไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือใช้กับการผลิตจอซีอาร์ที จอแอลซีดี จอพลาสม่า ให้มีความละเอียดคมชัด และ มีแสงสว่าง มากขึ้น อีกทั้งยังสามารถลดแสงสะท้อนที่มากระทบหน้าจอได้

- นาโนชีวภาพ (Nano Biotechnology) เป็นการใช้เทคโนโลยีนาโนกับสิ่งมีชีวิต เช่น วงการแพทย์และยา การผลิตเนื้อเยื่อ เพื่อสร้าง อวัยวะใหม่ แทนอวัยวะเดิมที่เสื่อมสภาพ การผลิตยาที่ลดผลข้างเคียงและรักษาได้ตรงจุดอย่าง ไบโอเซ็นเตอร์ ที่สามารถ ตรวจวัด ปริมาณสารต่างๆในร่างกาย ในเส้นเลือด ในปัสสาวะ รวมถึงตรวจหาเชื้อโรค และฆ่าเซลล์มะเร็งในร่างกาย ได้โดย ไม่ทำลาย เนื้อเยื่อส่วนอื่น เหมือนกับการฉายรังสีเพื่อรักษาโรคมะเร็ง

*** ประเทศไทยกับนาโนเทคโนโลยี
ประเทศไทยได้มีการตั้ง ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๓ ส.ค.๔๖ ภายใต้การดูแลของสำนักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อผลักดันให้เกิดการวิจัยและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยใช้นาโนเทคโนโลยี ซึ่งมีความสำคัญอย่างมาก ทั้งในภาคการผลิตและอุตสาหกรรมหลักของประเทศ

ทั้งนี้ประเทศไทยตั้งเป้าที่จะทำนาโนเทคโนโลยีให้เป็นรูปธรรมภายใน ๑๐ ปี (๒๕๔๗-๒๕๕๖) มีผลิตภัณฑ์ที่พัฒนา มาจากนาโน คิดเป็น มูลค่า ๑.๓ แสนล้านบาท หรือเท่ากับ ๑% ของจีดีพี พร้อมกันนี้ยังหวังว่า ประเทศไทยจะสามารถเป็นศูนย์กลางนาโน ในภูมิภาคอาเซียนได้...".

(บางส่วนจาก นสพ.ผู้จัดการรายสัปดาห์ ฉบับที่ ๙๑๐ วันที่ ๑๐-๑๖ พ.ค.๔๗)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ นายเสมอ แสนจันแดง
เกิด ๘ เม.ย. ๒๔๘๒ อายุ ๖๕ ปี
ภูมิลำเนา อ.โกสุม จ.มหาสารคาม
การศึกษา ม.๖
สถานภาพ แต่งงานแล้ว บุตร ๓ คน
ส่วนสูง ๑๖๑ ซ.ม.
น้ำหนัก ๖๕ กก.

คุณลุงเสมอเป็นญาติธรรมรุ่นบุกเบิกก่อตั้งกลุ่มขอนแก่นอโศก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ ได้รับการยอมรับว่าเข้มแข็งกลุ่มหนึ่ง แล้วลุง ก็มีอันต้องห่างหมู่กลุ่มไป แต่ ณ วันนี้ลุงกลับมาอีกครั้ง เมื่อพ่อท่านเรียกกลับบ้าน ลุงได้ประสบการณ์ดีๆมาเล่าให้ฟังค่ะ

*** ถูกหลอก-หนี
มีพี่น้อง ๘ คน ผมเป็นคนที่ ๕ พ่อแม่บุกเบิกไร่นา เห็นความลำบากในการทำมาหากิน จึงส่งให้เรียน และผมก็ชอบเรียนด้วย ผมไปอยู่วัด เรียนจบ ม.๖ จาก ร.ร.ศิริศาสตร์ศึกษา จ.ขอนแก่น (เป็น ร.ร. เอกชน ปัจจุบันเลิกกิจการแล้ว)

จบแล้วมีคนหลอกผมและเพื่อนไป ทำงานว่าจะได้เงิน-ตำแหน่งดีที่ จ.ศรีราชา แต่ไปถึงจริงๆกลับให้ผมและเพื่อนไป ตัดไม้ มาทำฟืน ใส่หัวรถจักรรถไฟ และเข้าโรงงานอุตสาหกรรม สมัยก่อนรถไฟยังใช้หัวรถจักรไอน้ำ ผมได้เห็นการทำลายป่า ต้นไม้ใหญ่ๆ ขนาด ๓ คนโอบ ถูกใบเลื่อยใหญ่ ตัดเรียบหมดเลย แล้วเป็นเหมือนค่ายนรก ลำบากมาก มีไข้ป่าด้วย

ผมอยู่ได้อาทิตย์เดียวก็หนีออกมากับเพื่อน เพราะเขาไม่ให้ออก มีเงินติดตัว ๑๐ กว่าบาท กับปากกาหมึกซึมยี่ห้อ Pilot ๑ ด้ามราคา ๒๕ บาท สมัยนั้นนับว่าแพงแล้ว ใช้วิธีโบกรถบ้าง ขอให้ตำรวจฝากรถให้บ้าง ก็มาถึงแค่วังน้อย อยุธยา แล้วเดินเท้า ไปถึงดอนเมือง โบกรถต่อไปถึง โคราช เงินหมด ผมจึงขายปากกาได้ ๑๐ บาท เป็นค่ารถไฟกลับบ้านได้คนเดียว ส่วนเพื่อน ที่ไปด้วยกัน ก็คอยหลบ อยู่ในห้องน้ำรถไฟ จนเขาจับได้ถูกไล่ลง แล้วไม่ได้เจอกันอีกเลย

*** ชีวิตนายไปรษณีย์
ผมแต่งงานตอนอายุ ๒๒ ปี แม่บ้านอ่อนกว่าผม ๕ ปี ช่วยกันทำมาหากิน ใหม่ๆชีวิตก็ลำบาก ผมไปเป็นครู ร.ร.ราษฎร์ แล้วถูก โกงเงินเดือน ไปสอบเข้า หน่วยมาเลเรีย สุดท้ายไปสอบเป็นบุรุษไปรษณีย์ เริ่มจากเงิน ๔๕๐ สอบเลื่อนขั้น จนปลดเกษียณ เป็นนายไปรษณีย์ ระดับ ๖ เงินเดือน ๓๘,๐๐๐ บาท

*** กลับบ้านเถิดลูก
ช่วงทำงานไปรษณีย์ที่ขอนแก่น ผมได้ไปกินอาหารมังสวิรัติที่ศาลา '๔๖ ได้รู้จักญาติธรรม และลูกสาว ที่เรียนอยู่รามคำแหง ได้ไปร่วมงานของกลุ่มรามฯ ได้หนังสือของอโศก ก็เอาไปให้ผมอ่าน

พ.ศ.๒๕๓๒ ผมไปร่วมงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๑๓ เริ่มปฏิบัติธรรม เริ่มเกาะกลุ่มกัน ตั้งแต่บุกเบิกบ้านสวน โรงสี แต่เนื่องจาก พวกเรา ที่รวมกลุ่มกันส่วนมาก เป็นข้าราชการ อยู่ๆไปก็แยกย้ายกันไป กลุ่มขอนแก่นก็ค่อยๆเล็กลง ส่วนผมก็ห่างหมู่กลุ่มไป จิตตก จากที่เคยกิน มื้อเดียวได้ สมัยตั้งกลุ่ม ก็หลงไปตามค่านิยมของโลก สุขภาพก็ไม่ดี

จนมีโอกาสได้ไปร่วมงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๘ อีกครั้ง (พ.ศ.๒๕๔๗) พ่อท่านเรียกกลับบ้าน จึงได้คิด พ่อท่านอายุมากขนาดนี้ เราจะมา เสียเวลาอยู่ทำไม หากมัวไปหลงอยู่กับโลกีย์ก็เหมือนกับตกนรกหมกไหม้ เพราะได้เห็นตัวอย่างจากคนที่ไม่สนใจธรรมะ ตอนนี้ก็เทียวไป เทียวมา ระหว่างบ้านกับกลุ่มขอนแก่น

*** บทเรียนชีวิต
ตอนนั้นแม้จะออกไปจากหมู่กลุ่มแต่ใจก็คิดถึงอโศกอยู่เสมอ แต่พละอินทรีย์สู้โลกไม่ไหว หลงไปกับค่านิยมที่เขาหลอกๆกัน ไม่มีความสุข ข้างนอก มีแต่ความหวาดระแวงกัน ไม่มีมิตรดี สหายดี คอยตักเตือน คนเราตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ยิ่งคนที่ไม่มี ธรรมะ ชีวิตไร้ทิศทาง เป็นภาระให้ผู้อื่น ผมขอกลับมาอยู่ร่วมกันกับมิตรดี สหายดี ช่วยดำรงสังคมให้ดี เป็นตัวอย่างแก่ลูกหลาน สืบไป กลับสู่ชีวิตพออยู่ พอกิน ทำกสิกรรมธรรมชาติ ทำสวนมะม่วง ตอนนี้หมู่กลุ่มเริ่มทยอยกลับกันมา ๑๐ กว่าคน แล้ว ช่วงนี้ ก็ช่วยงานอบรมไป

พระพุทธองค์ตรัสว่า "มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์" ขอต้อนรับการกลับมา ของคุณลุง เสมอ แสนจันแดง หวังว่าญาติธรรม ที่มีอันต้องพลัดพรากออกจากอโศกไป คงจะได้กลับมาร่วมกันรวมพลังสร้างสังคมบุญนิยม ให้คงอยู่สืบไป.

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,500 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]