ฉบับที่ 233 ปักษ์หลัง16-30 มิถุนายน 2547

[01] พ่ออยู่เหมือนไม่อยู่
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "คนพันธุ์ใหม่"
[03] นร.บดินทร์เดชาฝึกใช้ชีวิตติดดิน สละความสุขที่เคยนอนห้องแอร์
[04] โรงเรียนดินที่หินผาฟ้าน้ำ
[05] แก่นฟ้า แสนเมือง ปรมาจารย์เกษตรไร้สารพิษ ตอน ๒
[06] สกู๊ปพิเศษ:สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร
[07] สัมมนา คกร.คึกคัก
[08] อาหารเค็มจัดอันตราย
[09] มหกรรมกู้ดินฟ้าของชุมชน ดอยรายปลายฟ้า
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] ขายตรง จ่ายแพงกว่าทำไม
[12] โครงการรวบรวมองค์ความรู้และพัฒนาผลผลิตจากสารธรรมชาติทดแทนสารเคมี
[13] นางงามรายปักษ์ นางเงิน ดำเดินงาน



พ่ออยู่เหมือนไม่อยู่

ในงานอโศกรำลึก ครั้งที่ ๒๓ มีญาติโยมสงสัยว่า ถ้าพ่อท่านไม่อยู่ จะอยู่อย่างไรต่อไป

พ่อท่านก็ให้แง่คิดว่า เราก็ปฏิบัติตามหมู่ตามกลุ่มไปตามปกติ

ดังนั้นถ้าทุกวันนี้ ใครที่ไม่ปฏิบัติตามหมู่กลุ่มที่มีศีล แม้พ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ เราก็ยังทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่นอบน้อมต่อหมู่กลุ่ม ไม่มีขบวนการกลุ่ม แบบที่พ่อท่านพยายามทำและพานำ

คนอย่างนี้ ก็คือ ผู้ที่ตายจากพ่อท่านไปแล้วตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ แม้พ่อท่านจะมีชีวิตอยู่ก็หาได้มีคุณค่าต่อคนเช่นนี้ไม่

จริงหรือไม่? ก็พึงพิจารณาให้แยบคาย.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


คนพันธุ์ใหม่

สุปฏิปันโน แปลว่า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

พ่อท่านได้อธิบายว่ามิได้หมายความเฉพาะผู้เป็นนักบวชเท่านั้น แต่หมายถึงผู้ปฏิบัติธรรมจนสามารถแยกจิต เจตสิก รูป นิพพานในตัวเองได้ เอ๊ะ...แล้วการปฏิบัติธรรมของเราถึงคำว่าสุปฏิปันโนหรือไม่ ติดตามได้ในการแสดงธรรมของพ่อท่าน ได้ในงานอโศกรำลึก ช่วงทำวัตรเช้า ตอนท้ายของการแสดงธรรม พ่อท่านได้กล่าวสรุปว่า

"...การเทศน์วันนี้ ผู้ใดตั้งใจดีๆก็จะได้ปัญญา ว่าเราปฏิบัติธรรมะมานี้ เราได้มรรคได้ผลจริง ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก ปฏิบัติได้ทุกยุคทุกสมัย ถ้ามีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่ได้หมายความมาบวช โกนหัว นุ่งจีวรเท่านี้คือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คุณทุกคน ฆราวาสทุกคน อุบาสก อุบาสิกา นักบวชหญิงนักบวชชาย เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ทุกคน เป็นสมณะได้ทุกคน ถ้าทำได้ถึง มีสิทธิ์ ไม่ได้มาโกนหัวนุ่งจีวรก็มีสิทธิ์ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตรงตามธรรมของพระพุทธเจ้า ได้มรรคได้ผลของพระพุทธเจ้า นั่นคือผู้เป็น สุปฏิปันโน เป็นสัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เป็นผู้ที่ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติควร เป็นผู้ที่ได้รับธรรมะที่ชอบที่ควร

เมื่อได้แล้วเราก็เป็นประโยชน์ตน ได้เป็นประโยชน์ท่าน เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นประโยชน์ต่อสังคม โลกนี้ต้องการธรรมะ ขาดแคลนมาก ดีมานด์สูงมาก อุปสงค์ทั่วโลก ไม่ใช่แต่ในประเทศไทย ประเทศไทยมีธรรมะลักษณะนี้ ยิ่งต้องรู้ให้ดีว่า ประเทศไทยนี่แหละ รู้ทฤษฎีของ พระพุทธเจ้าอยู่แล้ว พระไตรปิฎกก็มีอยู่แล้วชัดเจน แล้วก็ปฏิบัติให้ได้ผล

จะบอกว่าธรรมะพระพุทธเจ้าได้แต่โลกียะ มันมีอยู่ด้วยโลกียธรรมของพระพุทธเจ้า มีอยู่ด้วย มันมีพิเศษ ธรรมะของพระพุทธเจ้า มีโลกุตรธรรม พิเศษ แล้วโลกุตรธรรมนี่แหละอยู่ในอโศกจึงเรียกอาริยะ หรือที่สำนวนเก่าเขาเรียกอริยะ แปลว่าประเสริฐ

เพราะฉะนั้นหากไม่ถึงขั้นอริยะ แค่กัลยาณชน ไม่เป็นอริยชนหรืออาริยชน อาตมามาขอใช้คำว่าอาริยชน มันไม่เข้าขีดเข้าขั้นคุณภาพ ของพระพุทธเจ้า คนที่เป็นกัลยาณธรรม เป็นคนดี ทุกศาสนาก็มีอยู่แล้ว แต่ไม่ถึงขั้นปรมัตถ์ ไม่ถึงขั้นโลกุตระ ของพระพุทธเจ้า ท่านอยู่อย่าง โลกุตระ ถึงขั้นเป็นอาริยะ ถึงต้องยืนยันเนื้อแท้ ของพระพุทธเจ้าที่ท่านค้นพบนี้ ค้นพบปฏิบัติละชั่ว ประพฤติดี ธรรมอันเป็นโลกีย์ หมุนเวียนไม่สิ้น วัฏสงสาร อาจจะเลิกอบายมุขมาได้ แต่ว่ากาม โลกธรรม คือโลกียะไม่รู้ อาจจะทำได้ไม่แย่ง ลาภยศสรรเสริญ ไม่แย่ง แต่วิธีกดข่มไม่รู้แจ้งรู้จริง ไม่รู้ละเอียดลออหมดถึงจิตเจตสิกอย่างละเอียดจับตัวจับตนมันได้ อย่างละเอียด ฆ่ามันได้เหมือนพุทธ

พุทธนี่เรียนปรมัตถ์ เรียนละเอียด เป็นอภิธรรม ศาสนาอื่นไม่ได้เป็นอภิธรรมอย่างนี้ เพราะฉะนั้นท่านถึงตราโลกุตระของท่าน เข้าเขต โลกุตระคืออ่านจิตเจตสิกออก แยกจิตเจตสิกมีรูปมีนิพพาน เพราะฉะนั้นเรารู้จักนิพพานน้อยๆ นิพพานบุหรี่ นิพพานเหล้า นิพพานยา นิพพานอะไรก็แล้วแต่ นิพพานเครื่องใช้เครื่องกินอะไร นิพพานลาภยศสรรเสริญ คุณอ่านออกจริงๆว่ามีนิพพาน นั่นแหละคือจิต เจตสิก รูป นิพพาน

เพราะฉะนั้นเรามาพิสูจน์ความจริงอันนี้กันเถอะ เราต้องการสิ่งเหล่านี้ คนชนิดนี้ เป็นคนพันธุ์ใหม่ เป็นคนพันธุ์พระพุทธเจ้านั่นแหละ คนพันธุ์นี้คนพันธุ์อย่างนี้ต้องการเยอะ ต้องการมวล แต่ละชุมชน....".

- เด็กวัด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


นร.บดินทรเดชาฝึกใช้ชีวิตติดดิน
สละความสุขที่เคยนอนห้องแอร์
ในค่ายเยาวชนคนสร้างชาติที่สันติอโศก

เรียนรู้เคมีชีวภาพที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน

กลับจากสัมมนาที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ศูนย์อบรมชุมชนสันติอโศกก็อบรมค่ายเยาวชนคนสร้างชาติ รุ่นที่ ๓ โครงการพลังกู้ดินฟ้า ประชา เป็นสุข โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๙ มิ.ย. ๒๕๔๗ เป็นนักเรียน ชั้น ม.๔/๑๔ จากโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) กรุงเทพฯ จำนวน ๑๐๓ คนเป็นนักเรียนหญิง ๗๐ คนและนักเรียนชาย ๓๓ คน โดยได้รับเกียรติ จากคุณสุนัย เศรษฐบุญสร้าง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงานและบรรยายพิเศษ

กิจวัตรในแต่ละวัน เวลา ๐๔.๓๐-๐๕.๓๐ น. ฟังการแสดงธรรมจากสมณะ-สิกขมาตุหมุนเวียนไปในแต่ละวัน ออกกำลังกาย รับประทาน อาหารเบาๆ กิจกรรมกลุ่มเยาวชนสัมพันธ์ ทำความสะอาดห้องน้ำ กวาดศาลา และมีการย่ำดินเพื่อสร้างบ้านดิน ก่อนรับประทานอาหาร ฟังบรรยายพิเศษจากผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ อาทิ พลตรีจำลอง ศรีเมือง, อจ.วิวัฒน์ ศัลยกำธร, ผศ.รัศมี กฤษมิษ, พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ สำหรับรายการนี้แม้จะหมดเวลา ถึงเวลารับประทานอาหารแล้วก็ตาม ก็ยังมีกลุ่มที่สนใจขึ้นไปสนทนาธรรมต่อกับท่านอาจารย์หนึ่ง สมณะบินบน ถิรจิตโต ที่ตึกฟ้าอภัย ชั้น ๕ โดยพี่เลี้ยงจัดอาหารไว้ให้ต่างหาก

ภาคบ่าย วันแรกเป็นการปฐมนิเทศและกิจกรรม ฝั้นเกลียวใจ, WALK RALLY ส่วนวันถัดมาเป็นกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ ฟังบรรยายต่างๆ จากผู้ทรงคุณวุฒิ เช่นกัน เช่น คุณหมอแสนดิน ทญ.ฟ้ารัก ทิพยธรรม คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และฝึกปฏิบัติการทำสบู่เหลวธรรมชาติ, การทำน้ำยาซักผ้า-ล้างจาน, เรียนรู้จุลินทรีย์ชีวภาพเพื่อการบำบัดน้ำเสีย

ภาคค่ำ เป็นรายการต่างๆ เช่น ฟังการแสดงธรรมโดยสมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ (ท่านจันทร์) ฟังสัมภาษณ์ปฏิบัติกรต่างๆ และสัมภาษณ์ พระจากประเทศอังกฤษที่มาอยู่ร่วมปฏิบัติธรรมที่สันติอโศก และพบสมณะ-สิกขมาตุประจำกลุ่ม สำหรับคืนวันที่ ๑๘ มิ.ย. เป็นการแสดง ละครของกลุ่มต่างๆ ซึ่งจะเป็นละครคติสอนใจที่ได้จากการเข้าค่ายครั้งนี้

สำหรับนักเรียนที่มาเข้าค่ายได้ให้สัมภาษณ์ดังนี้

นายสิทธิกร ปรีชาวุฒิเดช อายุ ๑๕ ปี "ไม่เคยมา คิดว่าเป็นสถานที่กว้างๆไม่มีธรรมะมาเกี่ยวข้อง คล้ายๆเป็นบ้าน หรือโรงอะไรสักอย่าง หรือหอประชุม แล้วก็นอนในนั้น สถานที่เป็นธรรมชาติ ร่มรื่น เหมือนไม่ใช่มาเข้าค่าย แต่มาเรียนรู้การใช้ชีวิตของชาวอโศก ดูแล้วน่าปลื้มใจ ที่เขามีวิถีชีวิตที่ดีมาก การพูดจา กิริยา ชอบมาก การเดินเท้าเปล่า ผมคิดว่าดีนะครับ เพราะเราไม่ต้องไปพะวงว่ารองเท้าเราไปวางที่ไหน ได้สัมผัสธรรมชาติโดยตรงด้วยครับ พยายาม ตั้งใจฟังทุกรายการ ชอบรายการที่ให้ความรู้ เรื่องอาหาร การกิน เรื่องสุขภาพฟัน

ธรรมะช่วงเช้า คำสอนก็คล้ายๆกัน ปกติศาสนานี้อยู่ที่เหตุผล คล้ายๆผมก็สะสมให้เต็มที่ ผมก็ทราบว่าทำอย่างนี้ แต่เขามาซ้ำ ย้ำเตือนเรา ให้เราร้อยเปอร์เซ็นต์ เต็มส่วน

ผมอยากให้คนที่ไม่เคยมา มาสัมผัสชีวิตที่นี่ จะได้รู้โลกของทางธรรม เพราะโลกของที่เขาอยู่ทางโลกย์ เดี๋ยวนี้สังคมก็เริ่มแย่ อยากให้เอา ทางโลกย์กับทางธรรมมาประสานเข้าด้วยกัน"


น.ส.กุลธิดา ลุสวัสดิ์ "หนูก็เป็นคนต่างจังหวัด แต่ไม่เคยเจอเหมือนกันที่ต้องถอดรองเท้าเดิน แล้วหนูไม่เคยทานมังสวิรัติด้วย แต่มาทาน แล้วก็ดีค่ะ เพื่อนก็บอกว่าที่นี่ทานมังสวิรัติ คิดว่าต้องมีพิธีสวดคล้ายๆโรงเจ เป็นที่โทรมๆ แล้วคงไม่ค่อยสะอาด เพราะมีต้นไม้ มีทราย มีป่า เยอะแยะ

คนที่นี่เป็นคนที่รักความสะอาดมากทีเดียว ละเอียดทุกขั้นตอน เช่นการล้างจาน ต้องเช็ดเศษอาหารออกก่อนถึงจะไปล้างใส่น้ำ การขัด ห้องน้ำ ก็ต้องขัดทุกซอกทุกมุมเลย แปรงสีฟันที่ไม่ใช้แล้วก็เอามาขัดส้วม แสดงว่าต้องสะอาดมากๆ หนูคิดว่าเป็นห้องน้ำ ที่สะอาดที่สุด

ปกตินอนห้องแอร์ แต่ที่นี่ไม่ร้อนนะคะ คิดว่าเย็นกว่าข้างนอกที่ในเมือง อากาศดี มีป่า เลยทำให้ไม่ร้อนมาก ฟังคุณลุงจำลอง ทำให้เรารู้ว่า เราต้องทำตัวยังไง ถึงจะออกมาแล้วประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง อย่างเดียวต้องเพื่อผู้อื่นด้วย

ชอบที่คุณหมอฟันมาอธิบายว่า เราไม่ควรกินน้ำมฤตยูดำ รู้ว่าทานอะไรบ้างทำให้ร่างกายเราแข็งแรง หนูว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดี เอาไปทำได้เลย

แต่ก่อนตื่นเช้าล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปโรงเรียนเลย กลับไปจะตื่นเช้าขึ้น ออกกำลังกายก่อนถึงจะไปโรงเรียน รู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่า

น่าจะปรับปรุงเรื่อง การนั่งฟังวิทยากร อยากให้มีกิจกรรมอย่างอื่นคั่นบ้าง เพราะนั่งฟังเป็นชั่วโมงแล้วเมื่อย อาจจะทำให้เด็กไม่ตั้งใจฟัง แล้วประโยชน์ที่ควรได้ก็จะไม่ได้ เพราะเราจะง่วง แล้วไม่มีสมาธิ แล้ววิทยากรก็จะ ไม่มีกำลังใจพูดด้วย

อาบน้ำวันละครั้งก็ดี แต่ช่วงเช้าที่ออกกำลังกายเหงื่อออกก็อยากจะอาบเหมือนกันเพราะมันจะเหม็น เพราะ ทั้งวันเลย รู้สึกอึดอัด ไม่มีสมาธิทำอย่างอื่นด้วย

ได้ใช้แป้งอย่างเดียว อย่างอื่นที่เคยใช้ก็ไม่ได้ใช้ ถ้า ในระยะสั้นก็คงไม่เป็นไร ถ้ากินผักเยอะผิวก็คงชุ่มชื้นเองไม่ต้องใช้โลชั่น กลับไปคิดว่า จะกินผักเยอะๆ จะพยายามทานมังสวิรัติเพิ่มขึ้น เพราะทำให้การขับถ่ายสะดวกขึ้น หนูมีปัญหาด้านนี้อยู่แล้ว แล้วยังทำให้ผิวพรรณ ดีขึ้นนะคะ อยู่ที่นี่ได้ส่องกระจกครั้งเดียวเพราะว่าไม่มีเวลา

แม้ว่าเราต้องออกไปอยู่ข้างนอกที่แก่งแย่งกัน หนูคิดว่าใจเราก็สามารถสงบ ปล่อยวางได้มากขึ้นเพราะได้หลักการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายของที่นี่

พี่เลี้ยงดีมากๆเลย คอยถามอยู่ตลอดเวลา ดูแลดี มากๆ

 

พี่พิธีกร น่าจะไปทำตลกคาเฟ่มีมุขปล่อยมาตลอด แต่เมื่อถึงเวลาจริงจังก็จริงจัง มีสาระ ไม่ตลกมากจนเกินไปและไม่เครียดจนเกินไป

มีโอกาสอยากจะพาคุณพ่อคุณแม่มา เพราะท่านทำงานค่อนข้างหนัก แล้วไม่ค่อยได้กินอาหารที่เป็นมังสวิรัติ อยากให้ท่านมาลอง กินดู เพื่อท่านจะติดใจ และดีต่อสุขภาพ มากๆด้วย

ก็คิดถึงบ้านบ้างตอนที่เหนื่อยมากๆ แต่ส่วนใหญ่ได้อยู่กับเพื่อนๆแล้วได้ทำกิจกรรมสายตัวแทบขาด ยุ่งตลอดเวลา เลยไม่ค่อยได้คิดถึง เป็นการได้ฝึกความอดทนด้วยค่ะ"


ด.ญ.รงรอง เจียเจริญ "ก่อนมาเข้าค่ายคุณแม่บอกว่าที่นี่ใส่ชุดเข้มๆ ให้เตรียมมาใส่ ปกติคุณแม่จะให้ไปเข้าค่ายเยอะมาก

ประทับใจคนที่นี่เขาจะออกลักษณะเป็นไทยๆ ใส่ผ้าถุง เดินกับพื้นดิน ซึ่งคนไทยสมัยก่อนเขาก็ไม่ได้ใส่รองเท้ากัน และมีการรักษาสุขภาพ ด้วยการฝึกหายใจ ฟังธรรม มีอะไรที่ดีมาก เพราะมีหลายๆอย่างผสมกัน

เมื่อก่อนหนูนอนห้องแอร์ แต่ไม่ดีต่อสุขภาพก็เลยนอนพัดลม มาที่นี่ก็ไม่เป็นไร คุณแม่เคยซื้อมังสวิรัติมาให้รับประทาน หนูคิดว่า รับประทานทุกวัน คงไม่เป็นไร เพราะเรารับประทานเพื่ออยู่เท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องอะไรมากเลย ขอให้ประทังชีวิตได้

หนูขึ้นไปชั้น ๕ ได้ข้อคิดที่สมณะสอน เมื่อก่อนหนูไม่ค่อยสนใจช่วยคุณพ่อคุณแม่เท่าไหร่ แต่คราวนี้หนูจะไปช่วยให้มากขึ้น ไปเอาใจใส่ท่าน ดูแลท่านให้ดีๆ

ชอบสร้างบ้านดิน ไปนั่งปั้น สนุกดี หนูไม่เคยได้ยินเรื่องบ้านดินมาก่อน ทำแล้วรู้สึกมหัศจรรย์ดี คือประเทศไทย เป็นเกษตรกรรม เราสามารถ เอาวัสดุเหลือใช้จากเกษตรกรรม คือฟางมาทำให้เป็นบ้านได้ ซึ่งไม่ต้องไปใช้ปูน และเหมาะสมกับสภาพของคนไทย ไปเหยียบดิน แล้วสนุก ย่ำดิน ปั้นบ้านดิน ขนดิน หนูทำหมดทุกอย่าง และกวาดศาลา ใต้โบสถ์

ถ้ามีโอกาสจะชวนคุณพ่อคุณแม่มาด้วย อยากกลับมาอีกรอบหนึ่ง เพราะที่นี่เน้นปฏิบัติ ไม่หรูหรา สมถะเป็นไทยๆ หนูชอบตรงที่ถอดรองเท้า เพราะมันเป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากคนไทยสมัยก่อน เพราะคนไทยสมัยก่อนก็ไม่ได้ใส่รองเท้า หนูก็สงสัยว่าทำไมยุคนี้ต้องมีรองเท้า เข้ามาด้วย จริงๆพื้นดิน พื้นทรายเราก็น่าจะเดินได้เหมือนที่ใครๆว่าสมัยก่อนเขาเป็นกัน

หนูไม่ใช่เด็กไฮโซฯ จะเป็นสายลุยๆมากกว่า อาหารหนูทานได้ ไม่ได้สนใจรสชาติ ขอให้อยู่ได้ ไม่เป็นโรคกระเพาะไม่เป็นอะไรแค่นี้ก็พอแล้ว หนูได้รู้ว่าอาหารมังสวิรัติไม่เบียดเบียนสัตว์ จริงๆเรื่องการฆ่าสัตว์คุณแม่ก็เคยเล่าให้ฟัง แต่ว่าบ้านหนูก็ยังไม่เริ่มกินมังสวิรัติ เพราะหาซื้อ ยาก ทำเองก็ลำบาก กลับไปมีโอกาสก็จะกินมังสวิรัติ

พระจะห่มผ้าจีวรสีน้ำตาลหรือไม่โกนคิ้วไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าใจท่านเป็นพระ ท่านก็คือพระ สีไม่ใช่เรื่องสำคัญ คิ้วจริงๆมันมีประโยชน์ ช่วยบังเหงื่อได้

หนูได้ธรรมะได้ข้อคิดเยอะ ปกติวันธรรมดาครอบครัวหนูก็ฟังธรรมะทุกเช้าอยู่แล้ว แต่พอมาที่นี่คล้ายๆมาเสริมต่อจากฐานเดิมขึ้นไป ทำให้ได้คิดมากขึ้น

การแต่งตัวของวัยรุ่นสมัยนี้เป็นวัฒนธรรมที่ไม่ดี ฟุ่มเฟือย พวกสายเดี่ยว แขนกุดหนูไม่เคยใส่ เพราะดูไม่สุภาพ การแต่งตัวจริงๆแล้ว เป็นเพียงการปกปิดร่างกาย ไม่จำเป็นต้องสวยมาก หนูจะแต่งตามกาลเทศะแบบเรียบร้อยหน่อย เขาว่าเชย หนูไม่กลัว คือหนูตั้งใจจะแต่ง แบบนี้แล้ว ใครจะว่าหนูก็ไม่เปลี่ยน

หนูเป็นอาสาสมัครทำเชื้อจุลินทรีย์ รับผิดชอบขยายหัวเชื้อของโรงเรียน ไม่เคยทำมาก่อน ตั้งใจจะเอาไปบำบัดน้ำเสียที่คลองข้างๆโรงเรียน เพราะทำให้อากาศไม่ดี สุขภาพก็ไม่ดี จริงๆหนูอยากทำให้หมดเลย หนูอยากทำให้คุณภาพชีวิตของทุกๆคนดีที่สุด หนูก็ได้ความสุขค่ะ ที่เห็นคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี

เมื่อก่อนหนูเห็นน้ำมันเน่าก็กลุ้มใจเหมือนกัน เพราะอากาศก็ไม่ดี น้ำก็ไม่ดี คิดว่าจะทำยังไงดี คือหนูอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ และตั้งใจ จะวิจัยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น หนูมั่นใจว่ามันจะแก้ได้ ก็ทดลองดูก่อน หากไม่ได้ก็คงต้องปรับปรุงแก้ไข หนูเห็นวิทยากรมาพูดเมื่อวาน ว่าสามารถแก้ได้

มาค่ายแล้วโทร.กลับไปหาคุณแม่จะโดนว่า เพราะท่านอยากให้ร่วมกิจกรรมค่ายให้เต็มที่ไม่ต้องห่วงทางบ้าน ทำกิจกรรมให้สนุก ไม่ต้อง คิดถึงอะไร ก็เลยไม่โทร.ก็ไม่เหงา เพราะถูกฝึกมาอย่างนี้อยู่แล้วค่ะ".


[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


โรงเรียนดินที่หินผาฟ้าน้ำ

สิ่งจำเป็นที่สุดของมนุษย์ก็คือ ปัจจัยสี่ ซึ่งได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคและที่อยู่อาศัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราอยู่ได้ อย่างสะดวก สบาย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่ละคน ซึ่งมีความแตกต่างกันบ้าง

ที่ชุมชนหินผาฟ้าน้ำ จะมีการสร้างบ้านด้วยไม้บ้าง ดินบ้าง และบ้านดินนี้ก็รู้สึกว่าจะเป็นปัจจัยที่เรากำลังทำกัน เพราะเห็นว่าไม่เปลือง ไม่ทำลายต้นไม้ ประหยัด ได้ออกกำลังกาย เป็นการบริหารส่วนต่างๆ ทำได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก รวมไปถึงสมณะ บ้านดินที่หินผาฯ เกิดขึ้นแล้ว เป็นหลังที่ ๑๐ และห้องน้ำดินอีก ๓ หลัง และยังต่อคิวกันอยู่อีกไปเรื่อยๆ นอกจากนั้นก็ยังสร้างโรงเรียนดินขึ้นอีก ซึ่งเป็นโรงเรียนดิน หลังแรกในประเทศไทยก็ว่าได้

บ้านดินนี้ไม่ใช่ของแปลกใหม่เลย มนุษย์ในโลกจะอยู่บ้านดินกันเป็นเศษหนึ่งส่วนสามของโลกทีเดียว เพราะบ้านดินนี้จะอยู่ได้สุขสบาย ทุกฤดูกาล หน้าร้อนก็เย็น หน้าหนาวก็อุ่นสบาย ผู้อยู่บ้านดินไม่ค่อยเจ็บป่วย แม้เกิดวาตภัยก็ไม่พังไม่สะทกสะท้าน แม้เกิดแผ่นดินไหว ก็ไม่กระเทือน แม้เกิดอัคคีภัยก็ยิ่งแข็งแรง จึงเห็นว่าน่าจะช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ดินในประเทศไทยทุกภาคทำบ้านดิน ได้ทั้งนั้น จึงควรช่วยกัน อนุรักษ์โดยการทำบ้านดินเป็นที่อยู่อาศัย

โรงเรียนดินหินผาฟ้าน้ำเริ่มสร้างเมื่อวันที่ ๘ มี.ค.๔๗ โดยพวกเด็กๆได้เตรียมก้อนดินไว้ก่อนนั้นแล้ว โดยแบ่งกลุ่มกันแข่งขันกันว่า กลุ่มไหน จะทำได้มากกว่า เด็กๆย่ำดินกันตัวมอมแมมไปด้วยโคลน แต่ก็ไม่รังเกียจ ทำกันอย่างเพลิดเพลินตั้งแต่เช้า ถึงเวลากินข้าว ก็ยังไม่อยากหยุด

การผสมก้อนบล็อกซ์ดินก็ใช้แกลบหรือฟางข้าวด้วยก็ได้ ๕ ส่วนกับดิน ๗ ส่วน แช่ดินไว้ ๑ คืน เช้าขึ้นก็ย่ำได้สบาย เนียนเข้ากันดีแล้ว ก็เทใส่ในแบบพิมพ์ ซึ่งตีเป็นคอกสี่เหลี่ยมผืนฟ้า จะหนาบางก็อยู่ที่แบบพิมพ์ หากใหญ่ก็จะหนักไปหน่อย แต่เวลานำไปก่อกำแพง ก็จะเร็ว ถ้าเล็กก็จะเบาหน่อยก็ใช้ได้เช่นกัน สำหรับก้อนบล็อกซ์ของเด็นหินผาฯ จะหนักประมาณ ๔-๕ กก. แล้วนำมาวางตากแดด ถ้าแดดดี ก็ประมาณ ๒ วันหรือ ๓ วันก็ใช้ได้ เมื่อได้ก้อนพอแล้วก็นำมาก่อเป็นกำแพงเหมือนอิฐบล็อกซ์ โดยใช้ดินที่ย่ำเนียนดีแล้วมาเป็น ตัวเชื่อม ระหว่างก้อนต่อกันไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็ได้เยอะและช่วงนี้ก็มีนักศึกษาจาก ม.เชียงใหม่ ม.ขอนแก่นและชาวฝรั่งก็มาช่วยด้วย

๓ วันก็ได้รูปร่างเป็นอาคารดินขึ้นมา

บางส่วนเราก็ใช้ขวดแก้วที่ใช้แล้ว เช่น ขวดซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว ขวดแบรนด์เก่าๆ เราก็นำมาทำความสะอาดผสมทำลวดลาย เพื่อให้มีแสงโปร่ง จะทำเป็นรูปอะไรก็แล้วแต่ศิลปะของผู้ทำ เหลือช่วงประตูหน้าต่างไว้ให้ลมพัดได้สะดวกไม่ถึง ๑๐ วัน ก็เป็นอาคารที่พอเหมาะ จะใช้ประโยชน์ แต่ก็ต้องเก็บรายละเอียดอีกมาก

เมื่อดินเชื่อมกันดีแล้วก็ฉาบโดยใช้ดินที่ย่ำดีแล้วเช่นกันฉาบผนังโดยใช้มือลูบโคลนดินให้ปิดช่วงเรียบและไม่เรียบร้อยให้เรียบดีแล้ว ก็ใช้ดินสี ซึ่งหาได้ไม่ยาก เช่น ดินแดงเราก็นำมาร่อนให้ละเอียด ผสมด้วยแป้งเปียกให้พอเหมาะแล้วฉาบทาอีกชั้นหนึ่ง ก็เป็นสีธรรมชาติ ที่สวยงาม เด็กๆและผู้ใหญ่ก็ทำกันได้ทั้งหมด ส่วนหลังคานั้นจะใช้หญ้าแฝกมุงหรือใช้กระเบื้องก็ได้ พวกเราใช้กระเบื้องมุงไว้ก่อน แล้วก็เหลือปูกระเบื้อง อันนี้เรามีญาติธรรมช่วยเป็นเจ้าภาพออกค่ากระเบื้องปูพื้นให้ เราจึงทำได้สบาย กระเบื้องดินเผาของเราจะปูเอง ก็ต้องรีบทำงานอื่น จึงให้ช่างข้างนอกมาช่วยทำก็ไม่เรียบร้อยนัก จนวันที่ ๑๖ พ.ย.๔๗ ก็ได้ รร.ดินที่เกือบจะสมบูรณ์

ส่วนต้นเสา เด็กๆของเราก็ช่วยกันปั้นเป็นต้นไม้แล้วแต่ใครมีความสามารถ โรงเรียนดินหินผาฯ จึงเป็นที่รวมพลังกายและพลังจิต ของทุกคน ในชุมชน แม้บางคนไม่ได้ลงย่ำดินก็เตรียมน้ำเตรียมอาหารไว้คอยบริการ ส่วนความสวยสง่า ละเอียดปราณีตนั้นถ้าผู้ไม่ชอบบ้านดิน ก็คงจะเห็นไปอีกอย่างก็ได้ แต่พวกเราก็พอใจ ภูมิใจที่พลังแห่งความสามัคคีก็ได้กอร์ปก่อเป็นรูปร่างขึ้นมาเป็นโรงเรียนดิน ทุกคนเป็นเจ้าของ ที่ต้องช่วยกันดูแลรักษาและใช้ประโยชน์ร่วมกันจนรุ่นต่อๆไปชั่วลูกชั่วหลาน งานเช่นนี้หากไม่ใช่หลังมดช่วยกันก็คงเป็นไปได้ยาก ถึงแม้ จะไม่สวยงามเหมือนช่างอาชีพ ทุกคนเป็นช่างจำเป็นคอยติดตามชมให้กำลังใจกันไปจนเป็นผลสำเร็จว่า นี่คือโรงเรียนของเรา สิ่งที่เราคิดว่า สวยที่สุดคือ การได้ผนึกจิตวิญญาณร่วมกันนี่สำคัญกว่าวัตถุ

ที่เรียนมานี้ มิใช่จะโอ้อวดหรือเบ่งข่มใคร แต่อยากจะให้ทราบว่า เรามีโรงเรียนดินเกิดขึ้นจริงๆ โดยวิศวกรตัวเล็กๆ สมณะและญาติธรรม ของชาวชุมชนหินผาฟ้าน้ำ และก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์ หากใครจะนำไปทำตามหรือเลียนแบบก็ได้สบายมาก จะได้ช่วยกันสร้างปัจจัยสี่ ได้ครบ สมบูรณ์ ดั่งที่พ่อท่านคอยเตือนให้พวกเราสร้างปัจจัยสี่ได้ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งได้อนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นบุญนิยมและเข้ากับเพลงอาริยะ หมายเลข ๑ ที่ว่า "ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด" อาคารเรียนของเราขนาด ๕ ห้องเรียน ให้ช่างอาชีพเขาประเมิน เขาว่าหลายล้านบาท จึงจะเสร็จ แต่ของเราหมดไปเรือนหมื่นหรือเรือนแสนเท่านั้น แต่ถ้าจะตีราคาของพลังสามัคคีแล้วก็ต้องบอกว่า หาค่าบ่มิได้

แต่จนบัดนี้โรงเรียนดินของเราก็ยังมีส่วนไม่สมบูรณ์ อีกเล็กน้อย ซึ่งจะต้องทำไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้พอประมาณ ถ้าผู้อ่าน อยากจะไปชมก็คงไม่ผิดหวังหรอกค่ะ.

- เจือบุญ รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


แก่นฟ้า แสนเมือง
ปรมาจารย์เกษตรไร้สารพิษ

(ตอน ๒)

ในช่วงเวลาอยู่ที่ศีรษะอโศกไม่กี่ชั่วโมง นอกจากจะได้ทานอาหารมื้อบ่ายแก่ๆ ที่ปรุงจากผักปลอดสารพิษฝีมือการปลูกของสมาชิกอโศก ซึ่งมีรสชาติหวานและกรอบ อย่างส้มตำรสแซบแล้ว ยังมีเวลาเดินดูแปลงผักที่ใช้ปุ๋ยชีวภาพด้วย ซึ่งแต่ละชนิดต้นใหญ่ใบงาม เหมือนผัก ที่ปลูกในพื้นที่เมืองหนาวอย่างไรอย่างนั้น

ครูแก่นฟ้าแจกแจงให้ฟังว่า กว่าจะมีความรอบรู้เรื่องปุ๋ยชีวภาพเช่นทุกวันนี้ได้ ชาวศีรษะอโศกต่างทุ่มพลังกาย และศึกษาหาความรู้ อย่างเต็มที่

"ผักที่ปลูกทุกอย่างต้องไร้สารพิษ เพราะเราถือศีล ๕ ข้อ ๑ ห้ามฆ่าสัตว์ เราก็ฉีดยาฆ่าแมลงไม่ได้ ใส่ปุ๋ยเคมีเราก็ไม่มีเงินซื้อ ช่วงแรกของ การมาตั้งรกรากที่นี่เพื่อให้ได้อาหารเร็วที่สุด ๓ วัน ก็ปลูกถั่วเขียวพอได้มาก็ทำถั่วงอก ๓ วันได้กิน แล้วปลูกเห็ดฟาง ซึ่งสามารถปลูกผัก บนกองเห็ดฟางได้อีกด้วย เมื่อได้ผลดี จากเมื่อก่อนเราไม่รู้เรื่องจุลินทรีย์ ไม่รู้เรื่องอะไร กระทั่งเราได้ศึกษาเพิ่มขึ้นรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เทคนิคในการทำเกษตรไร้สารพิษมีอะไรบ้าง จากที่ได้ศึกษากับคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง จนทำให้วิทยาการเข้ามาชุมชนนี้เร็วมาก โลกรู้อะไร เรารู้ทันทีเลย เพราะคนที่เข้ามาอยู่เป็นระดับมันสมอง มีความรู้จะมาค้นคว้าต่อ"

หลังจากประสบความสำเร็จ ชาวบ้านเห็นเป็นรูปธรรมก็เข้ามาเรียนรู้ทั้งในเรื่องการเพาะเห็ด และการปลูกผักปลูกข้าวไร้สารพิษ จากนั้น ทางศีรษะอโศกจึงรับซื้อผลผลิตจากชาวบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านขายได้ในราคายุติธรรม อย่างไรก็ตาม เกษตรกรยังมีปัญหาปุ๋ยเคมี อีกทั้ง ทางราชการยังแจกปุ๋ยเคมีอยู่ตลอด กระทั่งครูแก่นฟ้าถึงกับออกปากว่า ถ้าจะให้เกษตรกรที่ปลูกพืชผักไร้สารพิษ อยู่รอด ต้องยุบกระทรวง เกษตรฯทิ้ง เพราะเป็นแหล่งผลประโยชน์มหาศาล ของนักการเมือง มีการคอร์รัปชั่นกัน มากมาย อย่างที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ อาทิ กรณีปุ๋ยปลอม

"เกษตรกรติดปัญหาปุ๋ยเคมี ผมจึงต้องผลิตเครื่องจักรขึ้นมาเพื่อทำให้เป็นปุ๋ยเคมี ตอนนี้ผมทำได้แล้วเป็นเม็ดสวย ใส่กระสอบ ใช้ตรา ดอกลำดวน พอมีตัวนี้คนเริ่มหันมาสนใจ ผมเลยให้ความรู้ถอยหลัง หมายถึงบอกเลยว่า วัสดุที่ใช้ทำปุ๋ยมีอะไรบ้าง กี่เปอร์เซ็นต์ ที่ผสม อยู่ในปุ๋ยจุลินทรีย์ เริ่มทำอย่างไร แร่ธาตุ แหล่งอินทรีย์วัตถุเอามาจากไหน แล้วผสมให้เขาดู ผสมเสร็จใช้ได้เลย กระสอบหนึ่งตกประมาณ ๕๐ บาท หรือไม่เกิน แต่ถ้าไม่เคยชินไม่ใช้ ไม่เหมือนปุ๋ยเคมีก็ไม่เป็นไรเพิ่มประมาณ ๒๕๐ บาท ผ่านกระบวนการผลิตเม็ด แต่ต้องจ่ายเงิน เพิ่มตันละ ๗๐๐ บาท ในกระบวนการผลิตเม็ด เพราะต้องเอามาผลิตย่อยเป็นค่าไฟฟ้าที่เสียไป บดย่อยแล้วเอามาปั้นเม็ด ทำไมต้อง เสียเพิ่ม ตันละ ๗๐๐ บาท ทั้งที่เงิน ๗๐๐ บาท สามารถซื้อได้ตั้ง ๒-๓ ตัน หลังจากให้ความรู้ถอยหลัง ทำให้เกษตรกรเริ่มฉลาดขึ้นมากว่า ไปทำเม็ดทำไม แพงกว่า ตอนนี้ปุ๋ยเม็ดเราก็ทำ ปุ๋ยผงเราก็ทำ ปุ๋ยเม็ดสำหรับขายคนขี้เกียจ".

(จาก นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๑๔ พ.ค.๔๗)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร

งานอโศกรำลึกที่เพิ่งจะผ่านไปมีอะไรที่จะต้องรำลึกทบทวนกันบ้าง งานสัมมานาศูนย์อบรมต่างๆทั่วประเทศได้ข้อสรุปอะไรกันบ้าง และ ข้อคิด ของฝากประจำฉบับสำหรับทุกท่าน พบกับคำให้สัมภาษณ์ของสมณะเดินดิน ติกขวีโร ได้แล้วค่ะ

# งานอโศกรำลึกที่ผ่านมา พวกเราน่าจะได้รำลึกหรือทบทวนอะไรกันบ้างคะ

*** ก็คงต้องทบทวนกันว่า การที่ชาวอโศกเติบโตมาถึงทุกวันนี้ได้ ด้วยการถอดถอนตัวตน ไม่ว่าจะเป็นโอฬาริก อัตตา พ่อท่านนำพาเรา มาสู่ระบบสาธารณโภคี ข้าวของส่วนตัวก็ค่อยๆปลดเปลื้องกันมาเป็นของกลางหรือมาเป็นของสงฆ์ หรือแม้แต่อรูปอัตตา การยึดทิฐิ ความเห็นของตน เราก็พัฒนากันมา จากทิฐิส่วนตัวเป็นทิฐิสามัญญตาจนเป็นมติส่วนรวมออกมา หรือแม้แต่การให้ความสำคัญกับอัตตา ของตนเอง พ่อท่านจะเป็นตัวอย่างในการถอดถอนตัวตนอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างวันอโศกรำลึกเปลี่ยนจากวันที่ ๕ มิ.ย.มาเป็นวันที่ ๑๐ มิ.ย. เพื่อเอาเป็น วันเกิดของสมณะทั้งหมดเป็นใหญ่ ไม่ใช่เอาวันเกิดของพ่อท่านมาเป็นหลัก

การพยายามที่จะถอดถอนตัวตนในรูปแบบต่างๆ ก็ทำให้เรามีความเจริญก้าวหน้ามาได้ด้วยดี จนกระทั่งพ่อท่าน เอาพญาแร้งมาเป็น สัญลักษณ์ของชาวอโศกเลยก็ได้ เพื่อที่เราจะได้เจียมเนื้อเจียมตัว อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่หลงสำคัญตัวตนของเรา ยิ่งเราสามารถละลาย ตัวตนเพื่อมรรคผลที่สูงยิ่งๆขึ้นไปได้ ก็ยิ่งดีไปกว่านั้นอีก

การละลายตัวตนนั้น สามารถทำได้ ๒ วิธี คือ

๑. พยายามจะเพ่งมองตน เพ่งเผากิเลสของตนเมื่อไรก็เกิดฌานเมื่อนั้น แต่ถ้าเราไปเพ่งเผาเพ่งโทสคนอื่นก็เป็นการเพิ่มอาสวะกิเลส ทำให้กิเลสเรามากขึ้นไปเท่านั้น ถ้าเราพยายามอบรมบ่มว่าตัวเราเองอยู่บ่อยๆ เมื่อมีคนอื่นมาว่าเราก็จะได้ไม่เจ็บใจเท่าไหร่ แต่ถ้าเรา ไม่เคยอบรมไม่เคยเพ่งมองตัวเอง ไม่คิดแก้ไขตัวเองให้มาก พอคนอื่นมาว่าเราก็จะไม่สามารถรับขุมทรัพย์ทั้งหลายได้

๒. พยายามที่จะน้อมรับฟังคำตำหนิติเตียน คำว่ากล่าวจากผู้อื่น เราเก็บเอามาใช้ประโยชน์ให้ได้อยู่เสมอๆ ถ้ามีคนมาตำหนิว่ากล่าวเรา เมื่อไหร่ เราพยายามที่จะไม่โต้แย้ง ไม่แสดงเหตุผลอะไรมากมายของเรา ถ้าให้ดีสามารถขอบคุณเขาให้ได้ทุกๆครั้ง ก็เป็นความวิเศษ อย่างมากเลย ถ้าเราพิจารณาให้ดีๆจะเห็นว่า คำตำหนิติเตียน คำว่ากล่าว ในหมู่กลุ่มของพวกเราไม่มีใครมุ่งประสงค์ร้าย หรือจะให้เรา เลวร้ายลงไปแต่อย่างใด ถ้าเราสามารถทำอย่างที่เขาบอกกล่าวได้ จะทำให้เราบรรลุธรรม หรือสามารถทำให้เราเป็นคนดี เป็นคนวิเศษ ทั้งนั้น ดังนั้นถ้าเราสามารถเป็นพนักงานของบริษัทขอบคุณโลกุตระได้ ก็คงจะเกิดความเจริญก้าวหน้าและเป็นการละลายตัวตน เพื่อมรรคผลที่ยิ่งๆขึ้นไป หมู่กลุ่มของชาวอโศกก็คงมีแต่ความเจริญถ่ายเดียว เราก็จะเป็นลูกพญาแร้งที่ว่าง่าย สอนง่าย มีความอ่อนน้อม ถ่อมตนอยู่เสมอๆ ไม่ได้ผงาด อหังการ มมังการเป็นพญาอินทรีที่ในวันหนึ่ง ก็ต้องถูกจับเด็ดปีก ตกลงสู่ความเสื่อมต่ำในที่สุด

# หลังงานอโศกรำลึก มีการสัมมนาศูนย์อบรมต่างๆทั่วประเทศที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ท่านได้ข้อสรุปอะไรบ้างคะ

*** ในการสัมมนาได้พูดถึงจุดยืนของพวกเราในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งแต่ละพุทธสถานค่อนข้างมีปัญหา เพราะว่าสมณะแทบจะไม่มีเวลา อยู่วัดกัน เนื่องจากงานอบรมของแต่ละศูนย์ค่อนข้างจะมาก นอกจากจะต้องเดินสายไปตามศูนย์ต่างๆแล้ว สมณะที่เป็นตัวหลักๆ ก็อาพาธ กันไปเป็นแถบๆ ทางภูผาฟ้าน้ำก็ต้องส่งสมณะนวกะลงมาบริหารงานหลักๆแทน ซึ่งไปๆมาๆทั้งโรงเรียนนวกะก็ต้องกระจัดกระจาย ส่วนพุทธสถานหลักๆ ภายในขาดความอบอุ่น ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนสัมมาสิกขา นิสิตมว.ช. ทั้งคนในชุมชน ก็ขาดสมณะ สิกขมาตุ ที่จะมาช่วย ดูแลงานภายในให้เกิดความอบอุ่น

เราก็เลยประเมินกันว่า ถ้าสถานการณ์เป็นไปอย่างนี้ ศูนย์แม่ข่ายทรุด ศูนย์ลูกข่ายก็จะไปไม่รอดด้วยเหมือนกัน ก็มีแนวคิดเสนอกันมาว่า แต่ละแห่ง เราคงจะต้องเน้นเรื่องการพึ่งตนเป็นหลัก ถ้าสมณะขาดฆราวาสคงจะต้องพัฒนาตัวเอง ด้วยการเพิ่มอธิศีล ขึ้นมาเป็น สมณะที่หนึ่ง สมณะที่สอง เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี มาทำงานบริหาร แทน ส่วนสมณะก็คงจะต้องเน้นเรื่องทำงานในพุทธสถาน ที่รับผิดชอบเป็นหลัก เพื่อสร้างเมืองในฝันให้เกิด ส่วนฆราวาสตามศูนย์อบรมต่างๆก็ไปช่วยกันสร้างสวรรค์บนดิน ให้โต ซึ่งทุกวันนี้ ศูนย์อบรมของเราค่อนข้างเกิดกันเร็วมาก มีการอบรมอย่างเดียว แต่ไม่มีคนอยู่ประจำศูนย์ ไม่มีคนทำ ๓ อาชีพกู้ชาติ หรือสร้างสวรรค์ บนดินขึ้นมา ถ้ามีองค์ประกอบที่สมบูรณ์แล้ว จะไม่ต้องเปลืองแรงสมณะมาก ญาติธรรมของเราเองก็สามารถอบรมคนใหม่ๆ ได้เหมือนกับ ระดับประถม พอในขั้นสูงระดับมัธยมค่อยมานิมนต์สมณะให้ไปเพิ่มภูมิเขาต่อได้ เหมือนอย่างโรงเรียนผู้นำ ที่อบรมมาเป็นสิบๆปี ไม่ต้องใช้ สมณะเลยก็ได้ผลดีมาตลอด

ทุกวันนี้ญาติธรรมค่อนข้างจะดึงสมณะออกมากันมาก จนไม่ได้อยู่ประจำวัด ต้องไปช่วยงานตามศูนย์ต่างๆ แต่ช่วยเท่าไหร่ๆ ญาติธรรม ก็ไม่ออกจากบ้าน ให้สมณะออกจากวัดมาอย่างเดียว ไปๆมาๆวัดก็ทรุด แต่ญาติธรรมก็อยู่ติดบ้านอย่างเก่า ในระยะยาวก็คงไปกัน ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ ญาติธรรมที่เปิดศูนย์คงจะต้องออกจากบ้านบ้าง มาสร้างศูนย์ให้เป็นสวรรค์บนดินจริงๆ ถึงตอนนั้น ก็คงจะไม่ต้อง เปลืองแรงสมณะมาก แล้วสมณะก็จะได้มีเวลาไปพัฒนาพุทธสถานที่รับผิดชอบให้เป็นเมืองในฝัน มีความสมบูรณ์อยู่ภายใน จะได้มีแรง ส่งสวรรค์บนดินพัฒนาต่อไป

ในงานนี้จึงได้กำหนดมาตรฐานของศูนย์อบรมว่า ต้องมีคนอยู่ประจำ มีฐานงานสามอาชีพกู้ชาติเป็นหลักเห็นได้ มีที่เป็นส่วนกลาง ซึ่งแต่เดิม กว่าจะเป็นศูนย์อบรมได้ เริ่มจากญาติธรรมมารวมตัวกันสร้างชุมชน สร้างวิถีชีวิตและวัฒนธรรมชุมชนให้เกิดขึ้นก่อน จนเป็นชุมชน ที่พึ่งตนได้ จึงค่อยๆเปิดตัวเปิดการอบรมกันขึ้นมา แต่ทุกวันนี้ศูนย์ใหม่ๆแทบจะหาคนอยู่ไม่ได้เลย เปิดศูนย์แล้ว สุดท้าย ก็ให้สมณะ มาช่วยอุ้ม ไปๆมาๆเมืองในฝันก็ทรุด สวรรค์ บนดินก็พัง

สถานการณ์ตอนนี้พวกเราต้องมาช่วยกันเร่งรัดพัฒนาตัวเองให้เจริญในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา พยายามพัฒนากิจกรรมให้เจริญรุ่งเรือง เป็นกิจการ ถ้าเราพุ่งไปกับกระแสของกิจกรรม แต่การพัฒนากิจการงานภายใน ทั้งการพัฒนาตัวบุคคลให้เจริญในมรรคผล การพัฒนา ฐานงานต่างๆให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน หรือแม้แต่อาคารสถานที่มีระบบ ๕ ส. ดูดีดูงามเป็นตัวอย่างได้ ซึ่งถ้าเราพุ่งออกไปหากิจกรรม ที่ทำกับคนภายนอกกันมาก กิจการงานภายในจะเสื่อมทรุดไปเรื่อยๆ

# ท่านจะฝากอะไรให้กับญาติธรรมบ้างคะ

*** ในยุคที่อโศกกำลังได้รับการยอมรับ ทุกๆด้านมีการ เติบโตอย่างรวดเร็ว พ่อท่านเคยให้ข้อคิดไว้ว่า เราจะต้องไม่อ้าขาผวาปีก เพราะว่า งานจะเข้ามามากมายแต่การเจริญเติบโตของพวกเราจะไม่ทัน เราจะต้องมาผนึกกำลังกัน เน้นเรื่องขบวนการกลุ่ม ขบวนการสงฆ์ให้เกิด ความแข็งแรง ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างคิด ต่างคนก็ว่ากันไปคนละทิศคนละทาง ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่รอดแน่ ยิ่งขยายงานออกไป มากเท่าไหร่ แต่แกนในไม่แน่น โครงสร้างที่ขยายออกไปมันจะพังทลายล้มมาทับเราบี้แบน

เราจะต้องเน้นเข้ามารวมตัวกัน ให้ความสำคัญกับ องค์รวม มองอะไรก็ไม่มองดิ่งแบบไม่สดับ เอาแต่แนวความคิด เอาแต่ความสำคัญ ของเราเพียงจุดเดียว เมื่อเร็วๆนี้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น สมณะถนอมคูณป่วยเป็นโรคไต หมอใหญ่ๆหลายโรงพยาบาล เช่น ร.พ.จ.อุบลฯ, ร.พ.ธนบุรีกรุงเทพฯ ต่างลงความเห็นกันว่า ไตไม่ทำงานแล้ว จะต้องล้างไตอย่างถาวร สัปดาห์ละสองครั้ง แล้วก็ล้างไปเรื่อยๆ จนกว่า จะตาย เท่านั้นเอง ท่านถนอมคูณเอง ก็ปรารภว่าถ้าจะต้องล้างอย่างนี้ ก็ขอขึ้นไปตายที่ภูผาฟ้าน้ำดีกว่า แต่ส่วนหนึ่งก็รู้สึกว่า ยังไงๆ ก็ขอให้ได้พบหมอที่ศิริราช ซึ่งรักษากันมานานแล้ว ท่านถนอมคูณมีความศรัทธาต่อหมออยู่ และหมอเองก็ธรรมะธัมโม จิตใจกว้าง เมื่อได้พบหมอ พวกเราไปต่อรองว่า จะใช้การรักษาแบบแพทย์แผนจีนช่วยด้วยได้ไหม เพราะหมอจีนที่มาช่วยรักษาพวกเราที่สันติอโศก มีความเห็น ต่างจากหมอปัจจุบันว่า แม้ไตไม่ทำงานแล้ว แต่ก็น่าจะรักษาให้ฟื้นคืนมาได้ หมอแผนปัจจุบันก็ใจกว้างมากเลย บอกว่า ก็ลองรักษา ผสมผสานกันไปทั้งแผนจีนด้วยและแผนปัจจุบันด้วย ซึ่งปาฏิหาริย์กลับเกิดขึ้นแบบไม่น่าเชื่อ ไตที่ไม่ทำงานแล้ว กลับฟื้นคืนมา ทำงานได้ อาตมาก็ถามพยาบาลของพวกเราที่ดูแลอยู่ว่า เป็นเพราะฝีมือของหมอจีนหรือเปล่า ที่ทำให้ไตที่ไม่ทำงานไปแล้ว กลับมา ทำงานได้ พวกเราก็ให้ความรู้ว่า มันเป็นการผสมผสานที่ลงตัว ทั้งเป็นความลงตัวที่เอาแพทย์แผนจีน แพทย์แผนปัจจุบัน มารักษา ควบคู่กันไป กำลังใจของคนป่วยที่ศรัทธาต่อหมอก็มีส่วนสำคัญมีส่วนช่วย ร่างกายที่แข็งแรงของคนป่วยก็มีส่วนช่วย องค์ประกอบ หลายๆอย่าง ที่เข้ามาช่วยกัน ก็ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้

ตรงนี้ก็อยากฝากเป็นข้อคิดว่าสุดยอดปาฏิหาริย์ หรือความสำเร็จต่างๆก็เกิดจากองค์รวม เกิดจากความผสมผสาน ในความหลากหลาย ให้มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ปัญหาทุกวันนี้ถ้าต่างคนต่างแน่ ต่างคนก็ยึดในความคิดของตน ไม่พยายามที่จะเอาเข้ามาให้มาเป็นองค์รวม ไม่เป็นสาธารณโภคีทางความคิด ก็จะทำให้เกิดความไม่อบอุ่น เกิดความแตกแยก แต่ถ้าเราสามารถลดความเอาแต่ใจของเรา ลดความเห็น ที่จะยึดแต่ของเรา มาเป็นสาธารณโภคีทางความคิด พยายามรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่หลงยึดแต่อรูปอัตตาของเรา ที่ไปหลงว่ามันเป็นโคตรเพชรวิเศษจนลืมเม็ดทราย ที่เราเหยียบย่ำบนดิน มันก็จะเป็นปัญหา บางที ความคิดวิเศษที่เราหลงว่า เป็นโคตรเพชร จริงๆแล้วมันไม่มีอยู่ในโลกหรอก แต่สิ่งที่เป็นของจริงคือเม็ดทรายที่เราเหยียบอยู่บนแผ่นดินผืนนี้ แม้จะเป็นเม็ดทราย แต่เราก็ได้อาศัย เหยียบย่ำ อาศัยอยู่ทุกวัน

ดังนั้น ถ้าเราไม่หลงยึดไปกับความคิดอันวิเศษของเรา มาเห็นความสำคัญของเพื่อน ของพี่น้องของเราที่อยู่ในปัจจุบัน แล้วพยายาม ผสมผสานความคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สุดยอดปาฏิหาริย์หรือสิ่งวิเศษก็จะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

อยากจะฝากพวกเราว่า ทำอย่างไรที่เราจะทำให้ขบวนการกลุ่ม หรือว่าขบวนการสงฆ์ ขบวนการสมณะที่หนึ่งที่สองของเรา เกิดความเข้มแข็ง แข็งแรง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เพราะมีการพูดคุยกัน ปรึกษาหารือกัน บอกกล่าวกันได้ ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างทำ ถ้าขบวนการกลุ่ม ขบวนการสงฆ์เกิดความแข็งแรงอย่างนี้ งานจะเข้ามาเท่าไหร่ๆก็ไม่มีปัญหา จะแก้ปัญหางานที่กำลังทะลักล้นเข้ามาได้ อย่างสบายทีเดียว

เมืองในฝันจะเกิด สวรรค์บนดินจะโต ก็ด้วยการหลอมละลายอรูปอัตตาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ขบวนการกลุ่มที่เข้มแข็ง แข็งแรง อบอุ่น จะเกิดขึ้นมา อย่างแน่นอน แต่....อ้าว...ทำไมคุณยังทำอะไรไม่ปรึกษาผู้ร่วมงานอยู่เหมือนเดิมล่ะ???

- ทีมข่าวพิเศษ -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สัมมนา คกร.ครั้งที่สอง คึกคัก
กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของศูนย์ฝึกอบรม มี ๑๔ ข้อ เข้มข้น เน้นพึ่งตนเองได

วันที่ ๑๑-๑๓ มิ.ย. ๒๕๔๗ เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษแห่งประเทศไทย(คกร.)สัมมนา ผู้ปฏิบัติงานศูนย์ฝึกอบรมเรื่องศูนย์ฝึกอบรมเรื่อง "สร้างสมดุลงานภายในกับงานภายนอก" ณ ศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มีผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งหมด ๓๐๒ คน ชาย ๑๔๐ คน หญิง ๑๖๒ คน สมณะ ๓๐ รูป สิกขมาตุ ๘ รูป (สัมมนาครั้งแรกที่หอประชุมชาวบ้าน ปฐมอโศก ในงานมหาปวารณา ปี ๒๕๔๖)

๒๗ ศูนย์ที่เข้าสัมมนาครั้งนี้ มีดังนี้ ปฐมอโศก, ศีรษะอโศก, ราชธานีอโศก, สีมาอโศก, ศาลีอโศก, สันติอโศก, ทักษิณอโศก, หินผาฟ้าน้ำ, สวนส่างฝัน, วังน้ำเขียว, ดินหนองแดนเหนือ, เมฆาอโศก, ศรีโคตรบูรณ์, เลไลย์อโศก, แก่นอโศก, ร้อยเอ็ดอโศก, ภูพานอโศก, สุรินทร์อโศก, บูรพาอโศก, สถาบันฝึกอบรมผู้นำ, เพื่อนช่วยเพื่อน, วังสวนฟ้า, ดอยรายปลายฟ้า, ฮอมบุญอโศก, แม่ฮ่องสอนอโศก, สายฝันปั๋นบุญ, ธรรมชาติ อโศก

๑๑ มิ.ย. ประมาณ ๕ นาฬิกาออกเดินทางจากสันติอโศกโดยรถบัส ๗ คัน ถึงที่พัก รับประทานอาหาร รวมตัวที่ หอประชุม เริ่มกิจกรรม ประสานสัมพันธ์ มีข้อตกลงร่วมกันว่า ผู้เข้าร่วมสัมมนาจากศูนย์ใดเข้าห้องประชุมสาย ศูนย์นั้นจะต้องถูกปรับ ๕๐๐ บาท นำสมทบ สร้างโรงพลา ภิบาลปฐมอโศก หลังจากนั้นตัวแทนศูนย์ละ ๒ คน ร่วมปรึกษากำหนดทิศทางสัมมนา

บ่ายโมง คุณธำรงค์ แสงสุริยจันทร์และคณะ ปฐมนิเทศ ชี้แจงวัตถุประสงค์การสัมมนา
๑.เรียนรู้และแก้ไขตัวเองเพื่อเป็นพี่เลี้ยงและปฏิบัติกรที่ดี
๒.ถ่ายทอดประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
๓.ยกระดับมาตรฐานของศูนย์ฝึกอบรม โดยเน้น ๓ อาชีพกู้ชาติ กสิกรรมไร้สารพิษ ปุ๋ยสะอาด ขยะวิทยา
๔.บทบาทของศูนย์ฝึกอบรมเพื่อพัฒนาไปสู่วงกว้างในอนาคต

และแนะนำเจ้าหน้าที่ ๔ องค์กรที่ร่วมทำงานกับคกร. ประกอบด้วย
๑. สสส.
๒.ทีมงดเหล้าเข้าพรรษา
๓.ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาแผ่นดิน
๔. ธ.ก.ส.

หลังจากนั้น แบ่งกลุ่มสัมมนา ๓ กลุ่ม ในประเด็น "เรากำลังยืนอยู่จุดไหน" สำหรับสมณะ-สิกขมาตุ เข้ากลุ่มที่สนใจ

กลุ่มที่ ๑ ปฏิบัติกรด้านการฝึกอบรม
กลุ่มที่ ๒ ปฏิบัติกรด้านการติดตามสร้างเครือข่ายและตลาดกสิกรรมไร้พิษ
กลุ่มที่ ๓ ผู้ประสานงานกลุ่ม การเงิน ระบบรายงานและการประเมินผล

ภาคค่ำ ตัวแทนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการสัมมนากลุ่มละ ๑๐ นาที

๑๒ มิ.ย. ทำวัตรเช้า "การเก็บกวาดงานภายใน" โดยสิกขมาตุมาบรรจบ เถระวงศ์และสมณะ ๙ รูป แล้วออกกำลังกายตามอัธยาศัย

ภาคเช้า แบ่งกลุ่มสัมมนา ประเด็น "เราจะไปทางไหนเพื่อให้เกิดสมดุลของงานภายในและงานภายนอก?" ตามแม่ข่าย-ลูกข่ายศูนย์ฝึกอบรมฯ ๙ กลุ่ม
๑.แม่ข่ายศีรษะอโศก และลูกข่าย สุรินทร์อโศก, ร้อยเอ็ดอโศก, ศรีโคตรบูรณ์, สกลนคร
๒.แม่ข่ายสันติอโศก และลูกข่าย ศรีบูรพา, วังสวนฟ้า
๓.แม่ข่ายหินผาฟ้าน้ำ และลูกข่าย แก่นอโศก,เลไลย์อโศก, ดินหนองแดนเหนือ
๔.แม่ข่ายปฐมอโศก และลูกข่าย เพื่อนช่วยเพื่อนอินทร์บุรี
๕.แม่ข่ายศาลีอโศก
๖แม่ข่ายราชธานีอโศก และลูกข่าย สวนส่างฝัน
๗.แม่ข่ายสีมาอโศก และลูกข่าย วังน้ำเขียว, เมฆาอโศก
๘.แม่ข่ายทักษิณอโศก และลูกข่ายธรรมชาติอโศก
๙.แม่ข่ายดอยรายปลายฟ้า และลูกข่าย สานฝันปันบุญ , ฮอมบุญ , แม่ฮ่องสอน

เที่ยง สัมมนาต่อจากภาคเช้า

บ่าย ๓ โมง ทัศนศึกษา ชมเรือหลวงจักรีนฤเบศร

ภาคค่ำ ตัวแทน ๙ กลุ่มนำเสนอผลการสัมมนา กลุ่มละ ๑๐ นาที

๑๓ มิ.ย. ๒๕๔๗
ทำวัตรเช้า "งานนอกงานใน ทำอย่างไรจึงสมดุล" โดยสมณะเดินดิน ติกขวีโร และสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน อโศกตระกูล
๐๗.๓๐-๐๘.๓๐ น. ทีมสำนักงาน คกร. สรุปผลการสัมมนา : ทิศทางและข้อตกลงร่วมกัน กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของศูนย์ฝึกอบรม คกร. ดังนี้

๑. ต้องมีสถานะเป็นกลุ่ม หรือเป็นชุมชนไม่น้อยกว่า ๓ ปี มีที่ดินเป็นของส่วนกลางเพื่อสร้างฐานงาน ๓ อาชีพกู้ชาติอย่างน้อย ๑๐ ไร่
๒. มีคนอยู่ทำงานประจำศูนย์ฝึกอบรม ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นญาติธรรมที่เป็นสมาชิกสามัญของชาวอโศก ซึ่งชุมชนแม่ข่ายให้การรับรอง อย่างน้อย ๑๐ คน
๓. มีปฏิบัติกร พี่เลี้ยงอยู่ประจำการอบรมอย่างน้อย ๕ คน
๔. คุณสมบัติขั้นต่ำของปฏิบัติกรและพี่เลี้ยงประจำศูนย์ฝึกอบรมถือศีล ๕ ละอบายมุข กินมังสวิรัติ
๕. ปฏิบัติกรมีประสบการณ์ในการอบรมในโครงการของคกร.กลางอย่างน้อย ๒ ปี
๖. มีสามัคคีธรรมในชุมชนตามหลักสาราณียธรรม
๗. ต้องมีฐานงานที่ดำเนินกิจกรรม ๓ อาชีพกู้ชาติ ซึ่งเป็นหลักในการดำรงชีวิตและพึ่งตนเองได้
-กสิกรรมไร้สารพิษ มีพื้นที่ปลูกพืชผักผลไม้อย่างน้อย ๓ ไร่, นาข้าวหรือนาสาธิตอย่างน้อย ๓ ไร่ สามารถปลูกพืชผักผลไม้ไร้สารพิษ เลี้ยงผู้เข้ารับการอบรมได้อย่างน้อย ร้อยละ ๖๐
-ปุ๋ยสะอาด มีโรงปุ๋ยอย่างน้อย ๑ โรง, มีน้ำหมักจุลินทรีย์อย่างน้อย ๕๐๐ ลิตร, มีวัสดุทำปุ๋ย/จุลินทรีย์สำรองไว้พอเพียงสำหรับการฝึกอบรม
-ขยะวิทยา มีกระบวนการจัดการขยะที่ชัดเจนสม่ำเสมอ(แยกขยะ-พักขยะ-จัดการขยะ)
-๕ ส. มีกระบวนการจัดการ ๕ ส. สม่ำเสมอ

๘. มีอาคารที่ใช้ในการฝึกอบรมอย่างน้อย ๒๐๐ ต.ร.ม.
๙. มีที่พักแยกชาย-หญิงไม่น้อยกว่า ๕๐ คนต่อโรงเรือน
๑๐. มีห้องน้ำแยกชาย-หญิงอย่างพอเพียง ๑ ห้องต่อ ๑๐ คน
๑๑. มีน้ำสะอาดสำหรับดื่มและมีน้ำใช้อย่างพอเพียง
๑๒. มีโรงครัวที่ถูกสุขลักษณะ
๑๓. การใช้จ่ายเงินใช้ระบบสาธารณโภคี
๑๔. การรับรอง ต้องได้รับความเห็นชอบจาก ๑.สมณะ-สิกขมาตุของศูนย์ฝึกอบรมแม่ข่าย โดยมติจากที่ประชุมสงฆ์ ๒.ศูนย์ฝึกอบรมแม่ข่าย โดยมติไม่น้อยกว่า ๓ ใน ๔ ๓.คณะกรรมการ คกร.กลาง โดยมติไม่น้อยกว่า ๓ ใน ๔

สำหรับศูนย์ฝึกอบรมเดิม กำหนดระยะเวลาในการพัฒนาศูนย์ฝึกอบรม ให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำภายใน ๓ ปี และในกรณี ศูนย์ฝึกอบรมที่ถูกปิดไป ต้องการเปิดใหม่ ให้พัฒนาให้เป็นไปตามตัวชี้วัดและเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ และผ่านการรับรองตามลำดับขั้น ดังกล่าว

๐๘.๓๐-๑๐.๓๐ น. พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ แสดงธรรม "ทิศทางของชาวอโศก และรายการเอื้อไออุ่น" รับประทานอาหาร เดินทางกลับ

สำหรับผู้ร่วมสัมมนาได้ให้สัมภาษณ์ดังนี้

นายธำรงค์ แสงสุริยจันทร์ ประธานคกร. "การสัมมนาครั้งแรกใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน ให้เวลาแต่ละศูนย์พูดไม่เกิน ๕ นาที บางคนมา ก็ไม่ได้พูดชี้แจงอะไรเลย ครั้งนี้ได้ผลมาก เพราะแต่ละคนได้พูดสิ่งที่ตัวเอง มีประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนกันเยอะแยะเลย มีความเป็นพี่ เป็นน้อง ได้นั่งคุยกัน มีโอกาสกินข้าวด้วยกัน

คาดว่าจะมีการสัมมนากันปีละครั้ง มาสรุปงานกัน คิดว่าจะใช้ช่วงอย่างนี้แหละ หลังงานอโศกรำลึกแล้วก็ต่อเลย จะสะดวก สำหรับศูนย์ ที่เพิ่งเริ่มอบรมขอให้พัฒนาไปตามเกณฑ์ให้ได้ภายใน ๓ ปีข้างหน้า หากไม่สามารถทำตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ก็คงต้องมาคุยกันใหม่ ส่วนกลุ่มเลไลย์ และดินหนองแดนเหนือก็มีมติว่าให้ใช้การรับรอง จากสมณะ-สิกขมาตุ จากที่ประชุมสงฆ์ และมติของศูนย์ฝึกอบรมแม่ข่าย และ คณะกรรมการ คกร.กลาง ด้วยมติ ไม่น้อยกว่า ๓ ใน ๔

ประทับใจญาติธรรมเอาใจใส่แข็งขัน ตรงเวลา ดูความเอาใจและตั้งใจดีมากเลย คิดว่าต่อไปเราจะทำงานร่วมกับ สสส. ธ.ก.ส. ได้ดีขึ้น เพราะเราเข้าใจตัวเอง เดิมเรายังไม่เข้าใจตัวเองว่าเรามีความสามารถขนาดไหน มาครั้งนี้แต่ละคนเริ่มรู้ว่าเรามีความสามารถขนาดไหน ที่จะรับงานได้ คงจะไม่รับงานมากเดือนละ ๓-๔ รุ่น ตอนนี้เริ่มรู้จักตัวเองมากขึ้น"


คุณหินทอง ดีรัตนา ศูนย์อบรมวังสวนฟ้า จ.สระแก้ว "การสัมมนาครั้งนี้บรรยากาศดีครับ อยู่ใกล้ทะเล การที่คนเราสมองดี อากาศดี จิตใจ ก็ย่อมดีด้วย อะไรออกมาก็ย่อมมีคุณภาพ การอาบน้ำอาจจะไม่สะดวกสำหรับคนเตี้ย

ครั้งนี้ทำให้เราหันกลับมามองตัวตนของเรามากขึ้น และเห็นว่าแต่ละศูนย์คล้ายๆกันคือไม่ค่อยมั่นใจว่าที่เราปฏิบัติผ่านมาเข้มมากหรือยัง

เป้าหมายที่เราไปอบรมคนอื่นเราอยากให้เราเข้มมากกว่านี้ หมายถึงว่าในสนามรบเราต้องมีธรรมะเป็นอาวุธที่คมเฉียบแหลม เราก็ตัดสินใจ ในกลุ่มสันติอโศก-วังสวนฟ้าและศรีบูรพาว่าเราจะไปเข้าคอร์สมหัศจรรย์ที่ภูผาฟ้าน้ำปลายเดือนนี้ เพื่อทำตัวเราให้มีอาวุธที่แหลมคมขึ้น แล้วความสามัคคีในชุมชนจะตามมา เวลาทำงานมากเราก็ไม่รู้วิธีตัดกิเลส บางทีก็รู้เหมือนกันแต่เราอยากจะรู้ได้ฉับไวกว่านั้น สม่ำเสมอ กว่านั้นจะ ดีกว่า

ประทับใจเพื่อนๆทุกคนเลย ตอนตี ๓ จะคอยปลุกกัน จะสังเกตว่าจะมีคนโดนปรับไม่ถึงครึ่ง พอตี ๓ ก็เป่านกหวีดปลุกกัน"

คุณนักบุญ จันทพันธ์ ศูนย์สวนส่างฝัน จ.อำนาจเจริญ "มองเห็นกิเลสของตนเองมีหลายอย่างที่ต้องไปแก้ไข เห็น คุณอมร จาก ธ.ก.ส. เขาอ่อนน้อมถ่อมตน เรายอมแพ้เลย เราต้องไปปรับเหมือนกัน กลับไปตั้งใจจะไปปรับโครงสร้างของศูนย์ใหม่ คิดว่ามา ๑๑ คนจะเป็นทีม ที่เข้าใจกัน พูดอะไรคงจะง่ายขึ้น เพราะต่างฝ่ายต่างได้ลดละกิเลส คิดว่าคุ้มแล้วครับ

ควรจัดให้มีการสัมมนาอย่างนี้อีกเหมือนได้มาเติมแบตเตอรี่ อย่างน้อยปีละครั้งก็ยังดีนะครับ"


คุณอุทัย สุทธิประภา ศูนย์ร้อยเอ็ดอโศก จ.ร้อยเอ็ด "ดีมากเลยครับ ตอนได้ข่าวใหม่ๆคิดว่าทำไมต้องไปไกลขนาดนั้น สัมมนาที่สันติฯ ซะเป็นไง ผมขี้เกียจนั่งรถ แต่พอมาแล้วรู้สึกว่าดี แม้แต่ฟังเทศน์แล้วเหมือนเราไปปลุกเสกฯใหม่ๆ ใจเราอ่อนเหมือนครั้งนั้นเลย เริ่มรู้กิเลส ตัวเอง เริ่มลดเอง รู้สภาวะตอนเราไปอบรม ธรรมะใหม่ มันเป็นลักษณะอย่างนี้แหละ สัมมนาครั้งนี้ดีมากเลย ควรจะทำต่ออีก อย่างน้อย ปีละครั้ง

ประทับใจทุกคนที่มาและทางสมณะ ๙ รูปที่เทศน์รวมทั้งสิกขมาตุและพ่อท่านด้วย ได้บรรยากาศ โยงไปถึงความจริงก็ชัด หากไปสัมมนา ที่วัดของเรา คิดว่าจะไม่ได้บรรยากาศอย่างนี้ เพราะที่นี่ความเป็นอยู่ อาหารการกิน การใช้ห้องน้ำไม่สะดวก การนอนไม่สะดวก เป็นการตั้งตน อยู่บนความทุกข์ เลยได้เห็นใจกัน เข้าใจกัน รักกัน"

สมณะดินทอง นครวโร ทักษิณอโศก "การกำหนดเกณฑ์มาตรฐานของศูนย์ฝึกอบรม คิดว่าตรงเป้านะ แต่อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ กรณีที่บอกว่าเกือบทุกศูนย์ขาดสมณะ ความจริงสมณะไม่ขาดหรอก แต่บางทีเราเรียกร้องมากเกินไป หากว่าเราหมุนเวียน คิดว่าสมณะ สามารถเคลื่อนกายย้ายจุดได้ แต่อาจเป็นเพราะพวกเราจัดสรรไม่เป็น บริหารไม่เก่ง ความรู้สึกของอาตมาว่าไม่ขาดหรอก

พวกเราต้องชัดเจนกับตัวเอง เป้าหมาย ที่เรามาทำงานตรงนี้เพื่ออะไร ถ้าเราชัดเจน รู้เป้าหมายแล้ว แม้คนจะน้อย ไม่มีปัญหา เพราะ ชาวอโศก จุดเริ่มต้นจากพ่อท่านเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง เหมือนกันเราก็เป็นตัวแทน แต่ละคนแต่ละศูนย์พัฒนาศูนย์ของตัวเอง ให้ดีที่สุด นั่นแหละทำงานสำเร็จแล้ว จะคนน้อยคนมาก อาตมาไม่เกี่ยงนะ คนน้อยอาตมาว่าจะยิ่งอบอุ่นนะ คนมาก ถ้าบริหารจัดการ ไม่มีฝีมือพอ จะทำให้เละด้วย

อาตมาว่าอยู่ที่แต่ละคนจะมีจุดยืนแล้วก็มีอุดมการณ์และเป้าหมาย อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน เพราะช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาตมาจะฝากว่าเรามาทำงานนี้เพื่อมวลมนุษยชาติแต่บางทีเราลืมมนุษย์ที่อยู่ใกล้ๆตัวเรา"

คุณมงคล จันทร์ทรง ศูนย์พะโต๊ะ จ.ชุมพร "เป็นศูนย์น้องใหม่ เราได้ความรู้มาก ได้รับการถ่ายทอดจากศูนย์ใหญ่ๆ ซึ่งเราเป็นศูนย์เล็ก เราก็เรียนรู้ จากเขาไปเรื่อยๆ ประสบการณ์ที่เขาถ่ายทอดมาให้เรามันเป็นข้อมูลที่ดีมากในการจะไปปรับปรุงศูนย์ เล็กๆของเรา

ในอนาคตข้างหน้าคิดว่าจะมีการอบรม เพราะมีสมาชิกแล้ว เขาต้องการขยายมวลขยายหมู่ ตอนนี้กำลังฟักตัว ประทับใจในรูปแบบ การจัดสัมมนาแบบนี้ ได้แลกเปลี่ยนกันทั่วประเทศทุกศูนย์เลย ทั้งศูนย์เล็กศูนย์ใหญ่ มีประสบการณ์ต่างๆให้เราได้เก็บข้อมูล สามารถ เอามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับศูนย์ของเราได้เลย

รู้สึกดีมากเลย เพียงแต่บางอย่างเราลำบากนิดหน่อย เช่นการตื่นตี ๓ ไม่ชิน แต่ตื่นมาแล้วก็ดีนะ การเดินเท้าเปล่ารู้สึกว่าไม่ชิน ก็รู้สึกดีนะ แต่เดินนาน ก็รู้สึกเจ็บเท้า สิ่งที่ผมชื่นชมคือเรื่องการเสียสละ"

ดร.บัญชร แก้วส่อง นักวิชาการอิสระ ทีมประเมินงานของ สสส. "มาในฐานะคนนอก แล้วพยายามตีความตามแนวอโศก ไม่ได้ตีความ ตามความเห็นส่วนตัว ได้เห็นความหลากหลายของคนอโศก พูดเก่งกันทุกคน และไม่ปิดบังความรู้สึก มีอะไรก็ สะท้อนออกมา เป็นโอกาส ให้คนได้มาแลกเปลี่ยนระหว่างศูนย์แม่ข่ายกับลูกข่าย ซึ่งเดิมมีแต่โครงการไม่มีความสัมพันธ์ แต่ผ่านไปแล้วก็เกิดความคิดว่า เราต้อง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์แม้ว่าเวลาจะน้อยไป แต่อย่างน้อยพอจะรู้ข้อดีข้อด้อยของแต่ละศูนย์ เช่นยกตัวอย่างของบ้านราชฯ ร้อยเอ็ด และสวนส่างฝันมาบ่อยนะ เขาทำได้ดี ที่อื่นเขาเริ่มจะมองเห็นต้นแบบของการทำงาน ทำให้เห็นภาพว่าเดิมการเรียนรู้ระหว่างศูนย์มีน้อย คงจะแทบไม่รู้ว่า ศูนย์อื่นเขาทำอะไร คงจะก้มหน้าก้มตา ทำงานในศูนย์ของตัวเอง

ผมเห็นว่าโอกาสการเรียนรู้อย่างนี้ช่วยสร้างโลกทัศน์ เปิดโลกทัศน์

การเชื่อมงานกับการพัฒนาตนเองในการอบรม มองว่าการฝึกอบรมเป็นภาระ แต่ถ้ามองว่าการฝึกอบรมเป็นการฝึกตัวเราด้วย ตรงนี้ ไม่ได้หารูปแบบที่ชัด ที่คนฝึกก็ได้ คนถูกฝึกก็ได้จิตวิญญาณด้วย รูปแบบอย่างนี้ไม่สะท้อนออกมา ยังแยกส่วนอยู่ ไม่ได้ใช้ประโยชน์ จากการอบรมมาพัฒนาตัวเรา

เห็นที่บ้านราชฯใช้กระบวนการฝึกอบรมสร้างงานภายในด้วย ไม่ได้แยกส่วนฐานการผลิตออกจากการฝึกอบรม คือเอาคนเข้าอบรม มาเรียนรู้จากฐานการผลิต แล้วในขณะเดียวกันก็มาสร้างฐานการผลิตด้วย ผมว่าตรงนี้เป็นรูปแบบที่ดีที่น่าจะมีการขยายให้มากขึ้น แทนที่จะแยกส่วนว่าฐานงานผลิตต่างหาก การฝึกอบรมก็ต่างหาก หรือบางแห่งมุมมองยังไม่ลึกพอ คือจะเอาคนนอกมาสร้าง ฐานการผลิต นั่นแหละ มันเหมือนมุ่งเอาประโยชน์ แต่ควรจะเป็นฐานงานผลิตสร้างการเรียนรู้ให้ผู้มาอบรม เรียกว่าบูรณาการให้กลมกลืน เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน คนจะไม่รู้สึกว่าเอาคนอบรมมาเอาประโยชน์ มาใช้งานเขา แต่เป็นการฝึกงานเขา ขณะเดียวกันศูนย์ก็ได้ด้วย ผู้ฝึกอบรม ก็ได้ด้วย ไม่ใช่เป็นการใช้แรงงานเขาเฉย แต่บางศูนย์ยังทะลวงไม่ออก มองเป็นการใช้แรงงาน

ผมคิดว่าการสัมมนาลักษณะนี้น่าจะมี เข้าใจว่าเดิมคิดว่ายังไม่มี เพราะฟังจากศูนย์ต่างๆที่พูดที่จะมาแลกเปลี่ยนกัน ปกติงานแบบนี้ ทางเอ็นจีโอ ทำทุกปี มาสรุปบทเรียน ตัวที่ยังดึงไม่ได้คือบทเรียน บทเรียนที่ได้คืออะไรกันแน่ เช่น บทเรียนการฝึกอบรม ที่สำเร็จ ที่ล้มเหลว คืออะไร ในครั้งนี้เรายังถอดออกมาไม่สำเร็จ เพียงชี้ประเด็นกันได้บ้าง ว่าเรามีความสำเร็จอย่างนี้ แต่ไม่สามารถทะลวงออกมาได้ชัดเจน ออกมาได้ไม่มากพอ น่าจะชื่อเวทีสรุปบทเรียนนะ

ปกติการถอดบทเรียนเราใช้กระบวนการของคนเข้ามาดึง เพราะว่าเราเจอปัญหาเดียวกันคนกันเองดึงปัญหาไม่ค่อยออก เพราะมุมมอง มันจะติดกับปัญหา คนทำงานจะติดกับปัญหา แล้วก็จะถกกันแต่ปัญหา ไม่ออก มันเป็นธรรมชาติ

ในการสรุปบทเรียนแทบทุกครั้ง หลายครั้งจึงต้องใช้คนนอกมาจี้ดึงบทเรียนออกมา เขาจึงให้โอกาสคนนำเสนอ เวลา จริงๆจำนวนคน ที่มาถอดกับเวลา ต้องมีโอกาสในการแสดงออก มุมมองจะชี้ได้เยอะ

ความจริงบทเรียนเรามีดีเยอะเลย เท่าที่ผมฟัง ความจริงได้ประเด็นเอาประเมินได้เยอะมาก แต่เห็นข้อดีเยอะต้องไปถอดออกมาเพิ่ม ทุกศูนย์ มีวิธีการที่ดีแต่บางทีเขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งดีๆ ก็เลยไม่เล่าให้คนอื่นฟัง แต่พอเห็นเขาคุยกันเอง ประเด็นนี้น่าสนใจ ในแง่เราเป็น นักประเมิน เออประเด็นนี้ ความจริงเป็นความสำเร็จนะ แต่เขาไม่รู้ตัวเอง

ผมว่าเขามีเยอะ ถ้าเขามีเวลาพูดคุยกันมากกว่านี้ มีคนไปช่วยดึงประเด็นจี้ประเด็นออกมา คือสิ่งอาจจะต้องปรับใหม่ คือผู้ประสานงาน ที่เข้าไปในกลุ่ม ไม่ได้ทำระบบ ปกติคนนอก ๒ คนที่เข้าไปในศูนย์ความจริงต้องลงมือปฏิบัติในการที่จะกระตุ้นดึงประเด็น ดึงชี้จี้ให้เขา ดึงออกมา และบางทีอาจจะต้องแทรกแซงประธานบ้าง ถ้าประธานคุมเกมไม่อยู่ ตรงนี้ผมคิดว่าจะยังมีน้อย ผมเข้าใจว่าในการเตรียม การมีส่วนร่วมของเรา ยังเตรียมได้ไม่ดี ในการดึงประเด็นของกลุ่ม ส่วนใหญ่จะไม่ออกความเห็นเลย ส่วนใหญ่ยังไร้ทิศทาง

โดยรวมดูดีมากเลย ตรงที่เข้าใจว่าเขาได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกที่ดีต่อกันสูงมาก

ผมเป็นทีมประเมินงานของ สสส. แต่ไม่ได้มาจาก สสส. เพื่อมาดูงานที่ สสส. อนุมัติมาว่า ตอนที่เราคุยกับสสส. แต่อยากได้บทเรียน วิธีการทำงานของอโศก โดยเฉพาะ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


อาหารเค็มจัดอันตราย

แม้ว่าชาวเราจะเป็นนักมังสวิรัติ ก็คงยอมรับว่า ไม่มีใครชอบรับประทานอาหารรสจืดๆชืดๆไร้รสชาติ ยกเว้นผู้ที่กำลังฝึกฝนตนเองอย่างหนัก เพราะคงไม่ถูกปากถูกกิเลสเท่าไรนัก จึงต้องมีการปรับรสชาติของอาหารกันหน่อย มักต้องใส่เครื่องปรุงประเภทต่างๆ เช่น น้ำตาล พริกไทย เกลือ น้ำซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว เป็นต้น ในเรื่องของรสชาติแล้ว รสเค็มมักได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่คนไทย

ความเอร็ดอร่อยของอาหารรสเค็ม ท่านทราบหรือไม่ว่า มีอันตรายบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ และส่วนใหญ่เราจะกินเค็มเกิน แล้วเค็มขนาดไหน จะปลอดภัย ปกติเราไม่ควรรับประทานเกลือ ซึ่งมีส่วนประกอบของโซเดียมเกินวันละ ๒ กรัม หรือประมาณ ๑ ช้อนชา เพราะถ้ารับประทาน เกิน จะมีแนวโน้มเป็นโรคความดันสูง ไต หัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่รักกันมาก กอดคอมาด้วยกันเสมอ เพราะมีเหตุปัจจัย ที่เกี่ยวเนื่อง สัมพันธ์กันอยู่ โซเดียมในเกลือจะทำให้มีการสะสมของน้ำตามส่วนต่างๆของร่างกายไว้มาก จนเกิดภาวะบวมน้ำได้ ไตจะทำหน้าที่ ขับโซเดียมที่เป็นส่วนเกินของร่างกายออก

บางคนในกลุ่มพวกเราติดการรับประทานเค็มมากจนชินลิ้น และไม่รู้ตัวว่าตัวเองรับประทานเค็มมาก ก็ลองพิสูจน์ตัวเอง โดยการดื่ม น้ำปัสสาวะของตัวเองดูซิคะ แล้วจะทราบความจริง ว่าท่านกำลังติดรสเค็มงอมแงม ถ้าจืดกว่านี้รับประทานอาหารไม่ลงคอ บางท่าน ที่เป็นแม่ครัวชอบทำอาหารรสเค็มก็เท่ากับว่าท่านได้พาคนอื่นๆรับประทานเค็มกับท่านไปด้วย เท่ากับเหนี่ยวนำให้คนอื่น เป็นโรค ไปกับท่านด้วย

ขอเตือนพี่น้องด้วยความห่วงใยจริงๆนะคะว่า อย่ารับประทานเค็มนักเลยคะ เพราะอาจจะทำให้จิตใจพลอยเค็มไปด้วยได้ ถ้ามีคนบอกว่า ท่านทำอาหารเค็มเกินไป ท่านมักจะหงุดหงิดว่า ก็กินกับน้อยๆ กินข้าวมากๆก็จะไม่เค็มเอง แสดงว่าใจก็เริ่มเค็มไปด้วยหรือเปล่าคะ แต่ถ้าใจ จืดชืดเกินไปไม่สะทกสะท้านกับความรู้สึกของคนรอบข้างก็คงไม่ดีอีกเหมือนกันนะคะ

เราคงต้องมาฝึกทำใจดีๆ มีน้ำใจ ช่วยเหลือกันไปตามเหตุตามปัจจัยกันดีกว่า เรามาสร้างลิ้นให้ชินกับอาหารรสจืดลง คงเป็นประโยชน์ ต่อสุขภาพของเราไม่น้อยเลยนะคะ.

- กิ่งธรรม รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


มหกรรมกู้ดินฟ้าของชุมชนดอยรายปลายฟ้า

"...มหกรรมครั้งยิ่งใหญ่... ของชุมชนดอยรายปลายฟ้า จัดเป็นครั้งแรก...ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ..." เสียงประกาศโดยพ่อแก้วมูล เภตรา ผู้เฒ่าวัย ๗๐ กว่า ที่นั่งรถตระเวนไปหลายหมู่บ้านรอบชุมชนดอยรายปลายฟ้า

ภายในวันที่ ๗-๙ พ.ค.ที่ผ่านมา ทางชุมชนดอยรายปลายฟ้าได้จัดงานมหกรรมกู้ดินฟ้า โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

โดยในคืนวันที่ ๖ พ.ค. ฝนได้ตกลงมาอย่างหนักตลอดกระทั่งสายของวันที่ ๗ พ.ค. ถึงได้ซาเม็ดลง เกษตรกรจากจังหวัดพะเยา และ จังหวัดเชียงรายเริ่มทยอยนำสินค้ามาวางขาย จัดร้านยังไม่ทันเสร็จ สิ่งที่ ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นคือ ชาวบ้านกว่า ๒๐๐ คนหลั่งไหลกันเข้ามา ซื้อสินค้าจนแทบไม่เหลือไว้ให้ประธานผู้เปิดงาน มาเยี่ยมชม

๓ วันเต็มๆที่เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษดอยรายปลายฟ้าต้องต้อนรับเกษตรกรมาซื้อสินค้าที่มากเกินคาด สินค้าที่มีมาจำหน่าย เช่น พันธุ์พืช เมล็ดพันธุ์ผัก ผักผลไม้ไร้สารพิษ น้ำยาซักล้างต่างๆ นอกจากนี้ในงานยังมีไอศกรีมและอาหารจานละ ๑ บาท ขายอีกด้วย ส่วนบรรยากาศ ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเป็นกันเองเหมือนพี่น้อง ตลอดงานยังมีเวทีชาวบ้านขับกล่อมเพลงไทยในอดีตทั้งวัน

ต้องขออนุโมทนากับพ่อค้าแม่ค้าทั้งผู้ซื้อที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมอันดีงามกับถิ่นล้านนา หวังว่าเราคงจะได้ร่วมบุญกันอีกในครั้งต่อไป.

- ทีมงานดอยรายปลายฟ้า -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

หน้าปัดชาวหินฟ้า

เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๓๓(๒๕๕) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๐ มิ.ย.๔๗

ก่อนอื่นขอแก้ไขข้อผิดพลาดของต้นฉบับใน นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ผ่านมา ในเรื่อง "จ.ม.ถึงนายกฯ" ในหน้า ๑๐ ดังนี้

- คุณอัญชลี ไพรีรัก จากรายการวิทยุ "จับชีพจรข่าว" โทร.ถามถึงจุดผลักดันที่ทำให้พ่อท่านต่อต้านเรื่องนี้อย่างชัดเจน และถามเรื่อง พรรคเพื่อฟ้าดินเป็นพรรคทางเลือกที่ ๓ ที่ตั้งขึ้นมาสนับสนุนคุณปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ พ่อท่านได้อธิบายความเป็นมาของพรรคอย่างคร่าวๆ และ อุดมการณ์ของพรรคการเมืองบุญนิยม พร้อมจะสนับสนุนคุณปุระชัย หากจะทำการเมือง เสียงของสันติอโศก สามารถที่จะก่อ ให้เกิดความพลิกผันได้ ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ กทม.หรือ ส.ส.ในพื้นที่ มีผลกระทบอะไรกับสันติอโศกในเช้าวันนี้หรือไม่ และเล่าเบื้องหลัง ในการเขียนจดหมาย ถึงท่านนายกฯ ในหนังสือเราคิดอะไรฉบับเดือน มิ.ย.มีคนถามหาหนังสือเราคิดอะไร ที่จะออกในเดือนนี้

ที่ถูกต้อง คือ
คุณอัญชลี ไพรีรัก จากรายการวิทยุ "จับชีพจรข่าว" โทร.ถามถึงจุดผลักดันที่ทำให้พ่อท่านต่อต้านเรื่องนี้อย่างชัดเจน และถามว่า การตั้ง พรรคเพื่อฟ้าดิน เป็นพรรคทางเลือกที่ ๓ ที่ตั้งขึ้นมาสนับสนุนคุณปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ และพร้อมจะสนับสนุนคุณปุระชัย หากจะ ทำการเมือง ใช่หรือไม่ และคิดว่าเสียงของสันติอโศกนั้นสามารถที่จะก่อเกิดความพลิกผันได้ ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ กทม.หรือ ส.ส.ในพื้นที่ ใช่หรือไม่ และหลังจากได้เขียน จ.ม.ถึงนายกฯแล้วมีผลกระทบอะไรกับสันติอโศกในเช้าวันนี้หรือไม่

ต่อข้อซักถามดังกล่าว พ่อท่านได้อธิบายความเป็นมาของพรรคเพื่อฟ้าดิน รวมไปถึงอุดมการณ์ของพรรคการเมืองบุญนิยมอย่างคร่าวๆ และ การตั้งพรรคฯนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับคุณปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์เลย

นอกจากนี้ พ่อท่านได้เล่าถึงสาเหตุของการเขียนจดหมายถึงท่านนายกฯ ในหนังสือเราคิดอะไรฉบับเดือน มิ.ย.

-แก้ไข "จดหมายดังกล่าว พ่อท่านได้เขียนลงวันที่ ๒๗ มิ.ย.๒๕๔๗ และส่งไปวันที่ ๒๘ มิ.ย."

ที่ถูกต้อง คือ "จดหมายดังกล่าว พ่อท่านได้เขียนลงวันที่ ๒๗ พ.ค.๒๕๔๗ และส่งไปวันที่ ๒๘ พ.ค."

ทางทีมงานข่าวอโศก ต้องขออภัยอย่างสูงมา ณ ที่นี้

ส่วนข่าวประจำหน้าปัดชาวหินฟ้าในรอบปักษ์ที่ผ่านมามีดังนี้

มองไม่เห็นตัวเอง...นักเรียน รร.บดินทรเดชา มาเรียนวิทยาศาสตร์พื้นฐาน(เคมี)ที่สันติอโศก บางคนสงสัยว่า วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ที่เรียนเป็นแบบไหนกันน่า! ก็ได้คำตอบว่า เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณนั่นเอง ที่เราจะต้องรู้ส่วนผสมในการพัฒนาจิตวิญญาณ ของตัวเองให้เข้มแข็ง ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนมาแต่ครั้งพุทธกาล และสาวกของท่านก็ปฏิบัติเรียนรู้จนได้ผล แล้วนำมาถ่ายทอดต่อๆกันไป

นอกจากจะได้เรียนเคมีทางจิตวิญญาณแล้ว ยังได้ช่วยผสมดินกับฟาง เพื่อสร้างกุฎีดิน แต่เราเรียกกันง่ายๆว่า บ้านดิน ได้เรียนรู้ การทำ น้ำหมักชีวภาพ จนมีนักเรียนบางคนอยากนำไปใช้แก้ปัญหาน้ำเสียใกล้ๆบ้านด้วย ซึ่งทางเราก็ยืนยันว่า แก้ไขได้แน่ ถ้าผสมถูกส่วน

การมาเข้าค่ายครั้งนี้ มีนักเรียนบางคนอดดูบอล ก็บอกว่าต้องทนแทบแย่ ถ้ากลับไปจะหาซื้อมาดูใหม่ จิ้งหรีดก็คิดว่า น่าจะเก็บเงิน ให้พ่อแม่ ไว้ใช้ในยามเจ็บป่วยน่าจะดีกว่านะฮะ แต่โลกข้างนอกเขาโฆษณาชักชวนเรื่องบอลยูโรแรงเหลือเกิน เด็กวัยรุ่นของเรา ก็คงทำใจยาก แต่ถ้าสามารถทำได้ก็จะเป็นบุญนิยม

การอบรมครั้งนี้ นักเรียนหลายคนมองไม่เห็นตัวเอง ก็เพราะที่สันติอโศก ไม่ค่อยมีกระจกให้ส่องดูหน้า เพราะเรารู้จักหน้าตาตัวเอง กันอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องดูบ่อยๆและไม่ต้องติดกระจกไว้ที่ห้องน้ำเหมือนที่บ้านของเด็กๆก็ได้

แต่นักเรียนหลายคนอีกเหมือนกันที่มาอบรมในครั้งนี้ ได้เห็นตัวเองโดยไม่ต้องใช้กระจก แต่กลับมองเห็นทะลุไปถึงจิตวิญญาณว่า เรายังติด สบาย เอาแต่ใจ เถียงผู้มีพระคุณ ฯลฯ ก็จะกลับไปพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเก่า จิ้งหรีดฟังแล้วก็แสนจะอนุโมทนา ที่เด็กมีกระจกวิเศษ ที่เหนือกว่ากระจกทั่วไป เพราะได้เห็นข้อบกพร่องของตัวเองที่พึงแก้ไข

ทีนี้ลองมาฟังเด็กๆเผยความรู้สึกถึงการเข้าค่ายครั้งนี้ดูบ้าง

นายธนพล สิริจันทกุล "...มาที่นี่เป็นครั้งแรก มาค่ายนี้ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ตอนแรกรู้สึกว่า ให้เดินเท้าเปล่า กินผัก มันจะไหวหรือ แต่อยู่ไปก็รู้ว่าแร่ธาตุบางอย่างในพืชมีเยอะกว่าเนื้อสัตว์อีก มุมมองของผม คิดว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องที่มีวิบากมา ถ้าเราคิดว่า สัตว์พวกนี้ เขาเกิดมาชดใช้วิบากกรรมให้คนกิน แล้วทำไมคนต้องไปกินพืช ซึ่งช่วยสร้างสีเขียว ทำอากาศ ให้สดชื่น สร้างโอโซน ฯลฯ ด้วย ก็เลย กราบเรียนถามพ่อท่าน ก็ได้เข้าใจว่า ต้นไม้นั้นเราตัดใบมันก็งอกขึ้นมาใหม่ได้ ให้เด็ดผักบุ้งกับเด็ดคอไก่จะเลือกเอาอันไหน ก็เลยได้ รู้สึกว่ามันบาป ทำให้ผมเข้าใจ...ที่นี่อะไรก็ใหญ่โตคงใช้เงินเยอะ น่าจะนำเงินนั้นไปช่วยคนจนคงจะดีกว่า..."

น.ส.ศุภลักษณ์ ตรรกนันท์ "...อยากให้ปรับปรุงเรื่องกระจก เพราะที่นี่หายากมาก จะได้ดูผมดูหน้าว่า สิวขึ้นมั้ย ถังขยะก็น้อยมากๆ อาจจะเป็นเพราะ ที่นี่ทำให้เหมือนธรรมชาติมากที่สุด ก็เลยมีน้อยกระมัง

รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ท่านจำลองอุตส่าห์สละเวลามาพูดให้ฟัง ได้แต่เรียนชีวิตของท่านในหนังสือ พอมาฟังจริงๆ รู้สึกท่านเป็นแบบนี้เอง ขยัน อดทน มีมานะ เหมือนชีวิตคนเราต้องมีคุณธรรมพวกนี้ถึงจะประสบความสำเร็จได้ รู้สึกว่าอยากจะทำ ให้ได้แบบท่านบ้าง เอาคุณธรรม ตรงนี้ไปใช้

ถ้ามีโอกาสก็จะมาอีก มาดูธรรมชาติ มาคุยกับสมณะและสิกขมาตุบ้าง มาดูว่าห้องน้ำติดกระจกหรือยัง ถังขยะเพิ่มขึ้นหรือเปล่า พี่ๆที่นี่ ใจดีมากๆ มีน้ำใจ สมมุติว่าเรามาช้าก็ไม่ว่าอะไร ค่ายทั่วๆไปจะโหด ต้องโดนลงโทษ แต่ที่นี่ไม่เป็น แค่โดนมดกัดก็หายากันให้วุ่น รู้สึกพี่ๆ เขาเอาใจใส่มากๆ"

ฟังแล้วเป็นอย่างไรบ้างฮะ...โอม! กระจกวิเศษบอกข้าที วันนี้เราควรแก้ไขอะไรดี...จี๊ดๆๆๆ...

ตลาดนัด...ทุกวันอาทิตย์ช่วงเช้า จะมีตลาดนัดจำหน่ายพืชผักไร้สารพิษบริเวณหลังบจ.พลังบุญ ซึ่งได้ข่าวว่าได้รับการต้อนรับ มีลูกค้า ทั้งคนนอกคนใน มาอุดหนุนดี คุณกุ๊งกิ๊งมาช่วยงานจราจร (ชั่วคราว) ก็เห็นปัญหาว่าช่วงเปิดตลาดนัด รถจะติดมาก ถ้าหากย้ายมาอยู่ ซอยกลางของสันติอโศก บริเวณตลาดนัดพลังบุญก็จะได้ใช้เป็นที่จอดรถ เรื่องนี้จิ้งหรีดได้ฟังแล้วก็เห็นว่าน่าสนใจ จึงขอเสนอให้ผู้บริหาร ทางชุมชนสันติอโศกช่วยพิจารณาด้วยก็แล้วกัน... จี๊ดๆๆๆ...

คกร....สัมมนาที่สัตหีบของคณะ คกร. เมื่อเร็วๆนี้ ใช้สถานที่อยู่ในค่ายทหารใกล้ชายหาด หลายคนบอกว่า บรรยากาศดี แต่บางคน ก็บอกว่า น่าจะจัดที่ชุมชนเรากันเอง ก็เป็นทัศนะนานาจิตตัง เป็นธรรมดา

ข้อสำคัญงานนี้ มีข้อกำหนดมาตรฐานชุมชนที่เข้มแข็งว่า จะต้องใช้พืชผักไร้สารพิษ ที่ปลูกเองมาทำอาหารเลี้ยงผู้เข้าอบรมถึง ๖๐ % เป็นอย่างน้อย

เรื่องนี้ที่ภูผาฟ้าน้ำทำได้ เพราะคนที่มาอบรมเป็นคนใน ไม่ติดยึดรสชาติอาหารมาก อีกทั้งก็มีแม่ครัวหัวป่าทำอาหาร จากพืชผักไร้สารพิษ ให้น่ากิน ยิ่งกว่าพืชผักในตลาด

ที่อื่นๆก็คงจะมี ยังไงก็เล่าให้จิ้งหรีด ฟังได้ (ใครมีฝีมือปรุงอาหารพืชผักไร้สารพิษ ได้รสชาติ จะได้รวมในสารบรรณคนมีฝีมือไง) ก็มีเสียง จากจิ้งหรีดบางแห่งบอกมาเหมือนกันว่า นโยบายนี้จะทำได้หรือไม่ได้ ข้อสำคัญอยู่ที่แม่ครัวนี่แหละ มีอุปาทานและชอบนำพืชผัก ไม่ไร้สารพิษ มาทำ เพราะกลัวอาหารไม่อร่อยถูกปากคนกิน (หรือตัวเองกินก็ไม่รู้) เหมือนกัน จิ้งหรีดก็ขอฝากถึงแม่ครัวทั้งหลายมา ณ ที่ด้วยนะฮะ ว่าท่านมีความสำคัญอย่างมีระดับเชียว...จี๊ดๆๆๆ...

ประทับใจ...ได้รับจดหมายจากคุณสมชาย เปี่ยมสุข ข้าราชการชาวเชียงใหม่เล่าให้ฟังถึงความประทับใจสลัดสมุนไพรของชาว ชมร. เชียงใหม่ เป็นอย่างยิ่ง เพราะปัญหาสุขภาพที่รุมเร้ามานาน เช่น โรคริดสีดวงทวาร ปวดท้อง แพ้อากาศทั้งร้อน และเย็น ฯลฯ หลังจากได้ มาพบคุณป้าปราณี ซึ่งปรุงสลัดสมุนไพร แล้วลองทานอย่าง ต่อเนื่องมาได้ปีเศษแล้ว ปรากฏว่า อาการป่วยทั้งหลายหายไป สุขภาพก็ดีขึ้น โคเลสเตอรอลที่มีเกือบ ๓๐๐ ปัจจุบันเหลือเพียง ๑๘๗ ผลการตรวจสุขภาพประจำปีตอนนี้ปกติทุกอย่างแล้ว ฟังอย่างนี้แล้วชาว ชมร.ช.ม.โดยเฉพาะป้าปราณีคงมีกำลังใจขึ้นไปอีกว่า สลัดสมุนไพรนี้มีผล สาธุ...จี๊ดๆๆๆ...

มรณัสสติ
นางฮ้อย หิรัญเขว้า อายุ ๘๐ ปี (คุณแม่ของนายอัมพร หิรัญเขว้า ญาติธรรมชาวบ้านราชฯ) เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๑๖ มิ.ย.๔๗ ที่ ต.บ้านเดื่อ อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ

คติธรรม-คำสอนของพ่อท่านประจำฉบับ
ผู้ฉลาดแท้ต้องรู้ในความเป็น "ภาระ"
อันควรปลงของตน
ที่มันมีอยู่แล้วในขณะปัจจุบันนั้นๆหนึ่งแล้วพึงปฏิบัติตัดลด "ภาระ" นั้นๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อให้หมดสิ้น
และอีกหนึ่งจะไม่ก่อ "ภาระ" ใหม่ขึ้นให้แก่ตนอีกเป็นอันขาด
ผู้นั้นก็จะได้ชื่อว่าพ้นทุกข์บริสุทธิ์บริบูรณ์
เป็นผู้สิ้น "ภาระ" ผู้หมดกิจ
ไม่ต้องปลง "ภาระ" ใดๆ อีกแล้วแท้เทียว.
(๑๙ พ.ย.๒๒)
(จากหนังสือโศลกธรรม สมณะโพธิรักษ์ หน้า ๖๑)
พบกันใหม่ฉบับหน้า

- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ขายตรง (Direct Sale)
"จ่ายแพงกว่าทำไม???" ตอน ๑

ปัจจุบันคนไทยจำนวนไม่น้อยได้หันมาใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น ซึ่งน่าจะมาจากหลายๆ เหตุผล เช่น การมีอายุเฉลี่ยที่สูงขึ้น รายได้ที่มากขึ้น ตลอดจนข่าวสารข้อมูลที่ท่วมท้นอยู่ตามสื่อต่างๆ (ทั้งที่เป็นจริงและเป็นเท็จ) ด้วยเหตุผลหลากหลายดังที่ยกมา เราจะพบว่า คนในสังคม กลุ่มใหญ่ทีเดียว ที่ออกอาการใส่ใจกับสุขภาพของตนเองอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันคนกลุ่มนี้กลับเรียนรู้ที่จะเลือกรักษาสุขภาพ ด้วยแนวคิดแบบ "ซื้อสุขภาพ" กันมากกว่าที่จะใช้แนวทาง "สร้างสุขภาพ" มาเป็นเครื่องมือในการทำให้ตนเองมีสุขภาพดี

ปรากฏการณ์ซื้อสุขภาพนี้ ฉลาดซื้อ ขอจำลองตัวอย่างอาการเห่ออาหารที่อ้างว่าเพื่อสุขภาพ "สาหร่ายอัดเม็ดสไปรูไลน่า" มาลำดับ เป็นเรื่องราวที่อ่านแล้วอาจพบคำตอบด้วยตัวคุณเองว่า ทำไมอาหารที่อวดอ้างว่าเพื่อสุขภาพนั้น ไม่จำเป็นต่อการมีชีวิตที่มีสุขภาพดี แม้แต่น้อย

*** สาหร่ายสไปรูไลน่า คืออะไร
สาหร่ายสไปรูไลน่าคือ พืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ในแถบประเทศเขตร้อนพบมากในแอฟริกาและเม็กซิโก เป็นสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน ขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น เมื่อนำมาส่องกล้องจุลทรรศน์จะมองเห็นเซลล์มีลักษณะบิดเป็นเกลียว

*** จากอาหารปลาสู่อาหารเสริม
สาหร่ายนี้เป็นอาหารของปลา ถ้าเราไปดูอาหารเลี้ยงปลาที่บอกว่า เร่งสีเร่งโต อะไรเหล่านี้ให้ดี มักมีสาหร่ายสไปรูไลน่านี้ เป็นองค์ประกอบ ที่สำคัญ มนุษย์เราไม่ต้องการเร่งสี ถ้าเราจะกินเพื่อเอาสารอาหารอย่างเบต้าแคโรทีน เรากินอาหารธรรมดา อย่างมะละกอ ตำลึง มีประโยชน์กว่า ถูกกว่า เราไม่จำเป็นต้องไปแย่งอาหารปลา

*** อย. ไม่เคยรับรองสรรพคุณของสาหร่ายในทางรักษาโรค
หลายๆครั้งเราได้ยินคนขายอาหารเสริมสาหร่ายสไปรูไลน่า อ้างว่าสาหร่ายมีสารมหัศจรรย์ที่ทำให้เกิดความสุขเมื่อกินเข้าไป ซึ่งมันยัง พิสูจน์ไม่ได้ชัดเจน ถ้ามันชัดเจน กระทรวงสาธารณสุข หรือ อย. จะต้องประกาศว่า กินแล้วดี ที่ผ่านมา อย. แค่รับรอง ว่าอาหารเหล่านี้ มาขึ้นทะเบียนแล้วเท่านั้น เพื่อจะได้รู้ว่าใครเป็นคนผลิต เกิดมีคนกินแล้วได้รับอันตรายจะได้รู้ว่า จะเอาผิดได้ที่ไหน ไม่เคยรับรองสรรพคุณ

*** อันตรายของสาหร่ายสไปรูไลน่า
ปัญหาที่สำคัญ สาหร่ายมันจะมีลักษณะคล้ายๆเครื่องในสัตว์ เพราะว่ามันเป็นเซลล์เล็กๆ ซึ่งมีกรดนิวคลีอิกปริมาณสูง กรดนี้จะเปลี่ยน เป็นยูริก ที่ร่างกายขับทิ้งไม่ได้ ซึ่งจะไปสะสมตามข้อ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคเก๊าท์... เราบอกไม่ได้ว่ากินแล้วจะเป็นโรคเก๊าท์เพราะ ไม่เคยมีการนำคนมาทดลองกิน ซึ่งผิดจรรยาบรรณของการทดลอง แต่มันมีความเสี่ยง ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะรับความเสี่ยงแค่ไหน
(รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล)

*** วิธีสร้างพืชมหัศจรรย์ขายแข่งกับสาหร่ายสไปรูไลน่า
ถ้าเราต้องการทำให้อาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง กลายเป็นอาหารระดับที่มีคุณค่า "มหัศจรรย์" ขึ้นมานั้น เราสามารถทำได้ไม่ยากนัก ในกระแส เห่ออาหารที่อ้างว่าเสริมสุขภาพ เช่น คุณอยากจะทำให้ "งา" เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมหัศจรรย์ที่ขายดิบขายดี แต่ความจริง ยังไม่มีใคร คิดนำ "งา" ไปสกัดอัดเม็ด ทั้งๆที่งาก็มีคุณค่าทางอาหารไม่ได้ด้อยเลย แต่ที่ยังไม่มีใครนำไปทำคงเพราะว่า งา นั้นเป็นอาหารที่บริโภค กันอยู่ทั่วไป เรากินขนมงา งาคั่วโรยข้าว โรยขนมกันมานานจนเป็นเรื่องพื้นๆมาก ไม่เหมาะในเชิงการค้าสำหรับตลาดอาหารที่อ้างว่า เสริมสุขภาพ เพราะถ้ารู้ว่า Seasame seeds แคปซูล นั้นก็คือ งาธรรมดาๆ มันจะไปขายออกได้อย่างไร

*** กลยุทธสร้างความมหัศจรรย์ให้สินค้า
๑. ให้นำอาหารนั้น มาอวดอ้างสรรพคุณ ที่แสนวิเศษ ไม่ต้องไปหาข้อมูลอะไรมาก แค่นำผลการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ ของอาหารนั้น มาผสมกับวิชาภาษาศาสตร์ คุณก็จะได้สารอาหารมหัศจรรย์
๒. ให้นำคุณค่าทางโภชนาการนั้นไปวนเวียนอยู่กับเรื่องราวของโรคภัยไข้เจ็บ และชวนให้เชื่อได้ว่าสามารถรักษาโรคได้
๓. อย่าพยายามใช้ชื่อไทย เพราะจะดูไม่มีเกรด

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(ส่วนหนึ่งจากนิตยสาร "ฉลาดซื้อ" สื่อเพื่อผู้บริโภค ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๕๔ ปี ๒๕๔๖ คอลัมน์ "เรื่องเด่น")

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


โครงการรวบรวมองค์ความรู้และพัฒนาผลผลิต
จากสารธรรมชาติทดแทนสารเคมีในผลิตภัณฑ์สุขภาพ

*** วัตถุประสงค์โครงการ
เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากผลผลิตจากสารธรรมชาติทดแทนสารเคมีใน ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ ทั้งด้านอาหาร ยา และ ผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาด โดย

๑. รวบรวมองค์ความรู้ที่ได้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น ประสบการณ์การใช้จริง และการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ทั้งจากในประเทศ และต่างประเทศ
๒. ส่งเสริมการศึกษา วิจัย และพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ ให้ได้องค์ความรู้ใหม่หรือผลผลิตใหม่ นำสูตรที่ได้ไปทดลองใช้ในชุมชน หรือ พัฒนาผลิตภัณฑ์ ร่วมกับนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญ
๓. เผยแพร่การใช้ประโยชน์ สรุปบทเรียนเพื่อพัฒนาให้เป็นผลผลิตที่มีประสิทธิภาพ และได้มาตรฐานต่อไป

ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดที่มีสารเคมีสังเคราะห์ คือ

๑. สารปรุงแต่งรสอาหาร ได้แก่ ผงชูรส สารกันบูด ซีอิ๊ว สีผสมอาหาร สารกรุบกรอบ
๒. สารไล่แมลง / กันยุง
๓. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ได้แก่ แชมพูสระผม ครีมนวดผม สบู่ สารให้ความหอม ฯลฯ

เมื่อวันที่ ๘ - ๙ เมษายน ๒๕๔๗ ในงานปลุกเสกฯ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก ได้มีการประชุมรวบรวมองค์ความรู้จากญาติธรรมชาวอโศก มีผู้เข้าร่วมประชุม ๔๕ คน ได้องค์ความรู้ดังนี้


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

๔. ซอสข้นปรุงรส
วิธีทำ
๑. เอาน้ำที่เหลือจากการต้มถั่วเหลือง เคี่ยวไฟให้มีความข้น แล้วกรอง
๒. เคี่ยวน้ำตาลทรายแดง กับ น้ำตาลปิ๊บเข้าด้วยกัน
๓. เทน้ำต้มถั่วที่กรองแล้ว ใส่ในน้ำตาลเคี่ยว ต้มให้เดือด เติมเกลือเล็กน้อย
๔. เตรียมแป้งมันละลายน้ำ เทลงไปในข้อ ๓
๕. คนให้เข้ากัน ต้มให้เดือด
๖. บรรจุขวดที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว


๕. น้ำพึ่ง-พา ทดแทนน้ำผึ้ง (ลดการปาณาติบาตผึ้ง) คุณบินไกล ให้ข้อมูล
ส่วนผสม
ผลไม้หวาน ๑ ส่วน
น้ำตาลทรายแดง ๑ ส่วน

วิธีทำ
นำผลไม้หวานมาหมักไว้ ๒ อาทิตย์ แยกกากออก (เอากาก ไปทำแยม ใส่นมถั่วเหลืองจะกลายเป็นโยเกิร์ต) นำน้ำผลไม้ที่ แยกกากแล้วไปตั้งไฟระเหยน้ำออก (Dehydration) ใส่เกลือลงไปอย่าให้เค็ม ใช้ไฟกลาง ๆ ไม่แรงไม่อ่อนเกินไป ตั้งไฟประมาณ ๒ ชั่วโมง

น้ำผลไม้ที่ได้จะเก็บไว้ได้นาน นำไปใช้แทนน้ำผึ้ง จะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการอยู่ ๕ ตัว คือ กรดอะมิโน เอนไซม์ แลคโตบาซิลัส กลูโคส และวิตามิน ซึ่งน้ำผลไม้ที่ได้จะมีรสอร่อยเป็นรสธรรมชาติ มีรสอมเปรี้ยวอยู่ลึก ๆ หากเก็บไว้นาน ๓ อาทิตย์ ถึง ๓ เดือน เวลานำไปตั้งไฟจะได้ผลพลอยได้ คือ น้ำส้มสายชู


๖. สารธรรมชาติทดแทนสารกันบูด

สารธรรมชาติ ประเภทอาหาร ประโยชน์
ใบเตย ต้มในเครื่องดื่ม เครื่องดื่ม
ถ่านไฟแดง ข่าแห้งเผาไฟแดง ใส่ในอาหารหมักดอง ซีอิ๊ว ฆ่าเชื้อรา และดูดกลิ่น
เปลือกพะยอม สับปะรด ใส่ในน้ำตาลสด  

(อ่านต่อฉบับหน้า)


หมายเหตุ องค์ความรู้ข้างต้นนี้ยังต้องการ
๑. ข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านสูตร เทคนิค วิธีปฏิบัติ ฯลฯ รวมถึงแหล่งที่มาของข้อมูล
๒. การนำไปทดลองทำ ทดลองใช้เพื่อพัฒนาให้มีคุณภาพดียิ่งๆ ขึ้น
๓. ข้อมูลสูตรตำรับ เทคนิค และวิธีการอื่นๆ ที่สามารถใช้สารธรรมชาติทดแทนสารเคมีในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ

โปรดแจ้งข้อมูลมายัง สำนักงานต.อ.กลาง พุทธสถานสันติอโศก โทรศัพท์/โทรสาร 02 3749570

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ นางเงิน ดำเดินงาน
เกิด ปีวอก อายุ ๗๓ ปี
ภูมิลำเนา ต.บ่อแดง อ.เมือง บุรีรัมย์
การศึกษา ไม่ได้เรียนหนังสือ
สถานภาพ แต่งงานแล้ว บุตร ๘ คน
น้ำหนัก ๔๒ กก.
ส่วนสูง ๑๓๗ ซ.ม.
ชุมชนปฐมอโศก กลายเป็นหมู่บ้านดาราไปแล้ว หลายคนได้เข้ากล้องแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของชาวอโศก "ฝากฟ้าแด่ดิน" คุณยายเงิน ก็ร่วมแสดงเรื่องนี้ด้วยคนหนึ่ง ไปฟังชีวิตจริงของดารากันค่ะ

*** ชีวิตลำบากมาก
พี่น้อง ๕ คน เป็นผู้หญิงหมด เสียชีวิตไปแล้ว ๑ คน ตอนยายเล็กๆ พ่อแม่ยังไม่ได้จับไร่จับนา ฐานะยากจน ชีวิตลำบากอดๆอยากๆ พ่อแม่ พาลูกรับจ้างหากินไปเรื่อยๆเลี้ยงท้องเลี้ยงปาก ตอนนั้นยังไม่มีไร่มีนา ยายมีหน้าที่เลี้ยงน้อง ตำข้าวคอยพ่อแม่

ได้เรียนหนังสือเพียง ๒ เดือน เพราะพ่อแม่พาลูกๆย้ายถิ่นทำกินอยู่บ่อยๆ ไปทางจังหวัดสุรินทร์ ยายจึงพูดภาษาเขมร ภาษาส่วยได้ เมื่อก่อน ก็พออ่านได้แต่ตอนนี้อ่านไม่ได้ มันลืมไปแล้วตั้งแต่ป่วยเป็นโรคประสาท

*** นิยามแห่งความรัก
พ่อแม่ให้ทำงาน ตื่นแต่เช้าก็ไปสว่างที่นานั่นแหละ พอสายๆพ่อแม่จึงเอาข้าวไปส่ง แต่งงานตอนอายุ ๑๙ ปี พ่อบ้านเป็นคนส่วย แก่กว่า ๓ ปี ยายไม่ใช่คนเที่ยว เขามาหายายเอง ทำนาก็มาช่วยเกี่ยวช่วยดำ ยายก็เห็นใจเอาหมากเอาพลูให้เขากิน เขาก็ชอบใจ ออกจากทหาร เขาก็มาสู่ขอ แต่งงานกัน สินสอด ๒๕๐ บาทกับเข็มขัดเงิน ๑ เส้นราคา ๑๐๐ บาท สวยมาก แต่งงานแล้วก็ช่วยกันทำมาหากิน ปลูกผัก ปลูกข้าว ยาสูบ ปลูกพลูไม่ได้ซื้ออะไรเลย

*** เจ็บปวดต้องร้องไห้
หลังจากนั้นพ่อบ้านกินเหล้า หัวราน้ำ เมาหยำเป เงินก็ไม่มี หามาได้เท่าไหร่เขาก็มาขูดเอาจากยายไปลงขวดเหล้าหมด ยายเริ่มทุกข์ มาเรื่อยๆ หลายเรื่อง มันไม่ได้ดังใจ ชักจนเป็นประสาท ทุกวันนี้เขาก็ยังกินเหมือนเดิม มันเป็นวิบากของยายเอง หากรู้จักอโศก เหมือนทุกวันนี้ ยายไม่แต่งเด็ดขาด

*** หมดวิบาก
ยายมีหลานอยู่ที่ปฐมอโศก ชื่นปานบุญ ปี ๒๕๓๙ เขาชวนไปงานปลุกเสกฯ เสร็จงานเขาชวนไปอยู่ปฐมอโศก ตอนนั้นยายอยาก ออกจากบ้าน ก็ไปอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ไม่ได้กลับไปบ้านอีกเลย อยู่ได้ ๒ ปี ก็ย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ปฐมอโศก ฝ่าย พ่อบ้านก็มา ตามหายาย ที่ศีรษะฯ แต่ยาย ไปปฐมฯแล้ว

รักษาตัวอยู่ที่ปฐมอโศก ๔ เดือนก็หายป่วย เป็นคนมาทุกวันนี้ ต้องขอบคุณหมอใบพุทธที่คอยดูแลยายมาจนหาย อยู่วัดสบายใจ ไปใหม่ๆ ก็ช่วยทำผ้าเช็ดเท้าอยู่ ๒-๓ ปี ตอนนี้ก็ทอผ้า

*** ชีวิตดารา
สุขกาย สุขใจ มีความสุข หากไม่มีความสุขก็คงอยู่วัดไม่ได้ เราปล่อยวางได้ ก็เอาแล้ว ยายเข้าใจธรรมะแต่พูดไม่เป็น หากเอารายละเอียด ยายไม่รู้ภาษา ทำไม่ได้ทุกข้อหรอก ผัสสะมี ยายก็ปล่อย เขาพูดมายายก็ไม่รับ ไม่แบ่งเอาจากเขาหรอก ของไม่ดี มันเป็นของเขา

เขาเอายายไปแสดงหนัง ไม่ยากเลย เขาบอกให้ยายไปนั่งเฉยๆหน้ากล้อง ไม่ต้องพูดอะไร เขาให้ทำอะไรยายก็ทำตามที่เขาบอก

ลูกเขาก็มาเยี่ยม ยังห่วงเขาอยู่ ก็พิจารณาอยู่นะ

ตายไม่กลัวหรอก เคยไปดูเขาผ่าศพกับท่านยุทธฯ เราตายก็เป็นอย่างนี้แหละ ตายก็เผาที่ปฐมฯนี่แหละ ไม่ต้องผ่ายายเหมือนที่ยายไปดู หรอกนะ ไม่ต้องพาไปหาหมอ ไม่ต้องเสียบอะไรเลย เอาไปเผาเลย

ไม่มีใครเตือนเราได้เท่าเราเตือนตัวเอง

ยายไม่รู้อะไรมาก ธรรมะก็จำไม่ได้ แต่อยู่วัดได้ มีงานทำ มีความสุข เท่านี้ยายก็พอใจแล้ว บางครั้งการมีความรู้ (อวิชชา) มาก ก็ทำให้ ไม่พบกับความสุขสักที พบแต่ความสุก..ก.ไก่ไปตลอดชีวิต เอ๊ะ..! ใครโชคดีกว่ากันนะเนี่ย

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,500 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]