ฉบับที่ 247 ปักษ์หลัง16-31 มกราคม 2548

[01] บทนำข่าวอโศก ๓ ใน ๕
[02] ธรรมะพ่อท่าน:ล้างอุปาทานเรื่อง "ผี" "
[03] สถาบันบุญนิยมร่วมซับขวัญผู้ประสบภัยจากคลื่นสึนามิ ในโครงการของศูนย์คุณธรรมฯสู่ใต้
[04] พิสูจน์ผีมีจริงหรือไม่?
[05] รายงานความเป็นไป ของกสิกรรมไร้สารพิษ (ตอน ๘)
[06] สกู๊ปพิเศษ: สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร
[07] ยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ที่อำนาจเจริญ
[08] สารต้านมนุมูลอิสระ
[09] กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ปฐมอโศก - อินทร์บุรี
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า: ปักษ์หลัง ๑๖-๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๘
[11] วอนเด็กไทยเข้าใจพ่อแม่ อย่าหลงกระแสต่างชาติ :
[12] นางงามรายปักษ์ นางผ่องพิณ ฉันทะเจริญโชค (ป้าหยก)
[13] ปฏิทินงานอโศก:


๓ ใน ๕

การเดินทางของชาวบุญนิยมไปช่วยแบ่งเบาความทุกข์ผู้ประสพภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิ ได้ให้ประสบการณ์ ในการทำงาน มากมาย หลายประการ

โดยเฉพาะการทำงานภายในที่จะต้องรู้จักประสานงานกันอย่างดีในภาวะที่มีคนเป็นจำนวนมากทั้งชาวเรา และชาวเขา

ยิ่งมีการแยกไปช่วยผู้ประสพภัยถึง ๗-๘ ศูนย์ใน อ.ตะกั่วป่า ก็ยิ่งจะต้องมีการประสานงานกันให้ดีในแต่ละศูนย์

สูตร ๓ ใน ๕ จึงเกิดขึ้น ในแต่ละศูนย์ คือ แต่ละศูนย์จะตั้งคณะกรรมการขึ้น ๕ คน เพื่อรับข้อมูลต่างๆ รวมทั้ง ปัญหาต่างๆ แล้วค่อยสรุป ไปรายงานยังศูนย์ใหญ่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในปัญหา มิให้เกิดความซ้ำซ้อนจนเกิดความสับสนในข้อมูล เพราะต่างฝ่าย ต่างรายงาน

ดังนั้นสูตร ๓ ใน ๕ ก็นับว่าเป็นแนวทางในการทำงานต่อๆไป ที่จะช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความราบรื่น ง่ายงาม ดังการทำงาน ของสถาบันบุญนิยมที่ลงมาภาคใต้ครั้งนี้ ที่แม้ศูนย์ใหญ่ก็ใช้แนวทางนี้ ขนาดจะปิดทีวี ก็ต้องใช้เสียงข้างมาก เพราะบางคน ก็อยาก ให้เปิดต่อ เพื่อดูข่าว แต่บางคนก็คิดว่าน่าจะปิดได้แล้ว

จึงได้ใช้สูตร ๓ ใน ๕ ปัญหาความขัดแย้ง หรือความเห็นต่าง ก็ได้ข้อยุติด้วยดี

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ล้างอุปาทานเรื่อง "ผี"

ในช่วงทำวัตรเช้าของ วันที่ ๑๓ ม.ค.๒๕๔๘ ที่อุทยานพระนารายณ์ พ่อท่านเทศน์เกี่ยวกับเรื่องผีที่มีนิยายเล่ากัน หลายเรื่องใน อ.ตะกั่วป่า จากเหตุการณ์สึนามิ พ่อท่านได้เทศน์ไว้ตอนหนึ่งว่า

" ...สึนามิคราวนี้เป็นเรื่องการพิสูจน์ครั้งยิ่งใหญ่ พิสูจน์ว่าผีไม่มี ผีหลอก ไม่มี จิตวิญญาณออกมาหลอกกันไม่ได้ จิตวิญญาณ มาหากัน ไม่ได้ เป็นการพิสูจน์ ชัดเจน สึนามิคราวนี้ พอเกิดสึนามิปัง คนตาย ๑ วัน ๒ วัน ก็วิ่งหากันตั้งแต่วันนั้น พอคลื่นสงบ คนก็ตาย ไปเยอะเลย พ่อวิ่งหาลูก แม่วิ่งหาลูก ลูกวิ่งหาแม่ พี่วิ่งหาน้อง คู่รักวิ่งหากัน วิ่งหากันให้เต็มไปเลย ในย่านที่ถูก คลื่นสึนามิ วิ่งหากัน ให้วุ่นไปหมดเลย คนเป็นก็วิ่งหาคนตาย เพราะเป็นการตายปัจจุบันทันด่วน ตายโดยไม่ได้ตั้งหลัก ตายอย่าง ตกอกตกใจ ก็เลยลืมผี ไปหมดเลย ลืมอุปาทานเรื่องนิยายผี นิยายยังไม่เกิดในช่วงแรก

วันสองวันแรกนิยายยังไม่เกิด มีแต่วิ่งตามหากัน แล้วก็ไม่เจอผีเลยสักตัว ไปเจอแต่ศพเยอะแยะที่มากองให้แพทย์หญิง พรทิพย์ พิสูจน์ ว่านี่ใครลูกใครหลาน ใคร ถ้าคนตายร่างของเจ้าของร่างมันรู้มันบอกมาได้มันก็บอกนี่ไงนี่น้องของฉัน หมอไม่ต้องตรวจ ดีเอ็นเอ ถ้าวิญญาณมันออกมาได้ มันมาบอกได้มันมาหาได้ เพราะมันดิ้นรน มันวิ่งหากันเหมือนคนเป็นวิ่งหาลูกหาเต้าที่ตาย วิ่งหาพ่อหาแม่ ที่ตายไปแล้ว ก็วิ่งหากันอยู่ที่ไหนๆๆใช่ไหม วิญญาณคนตายก็ต้องวิ่งเหมือนกัน เพราะตายอย่างดิ้นรน ตายอย่างโหยหาอาวรณ์ ยิ่งจะต้องวิ่งมากกว่าคนด้วยซ้ำ เพราะวิญญาณตายมันว้าเหว่กว่า เพราะมันตาย มันต้องวิ่ง ยิ่งกว่า คนวิ่ง มันจะต้องมาหากันหมด แต่ปรากฏว่า ไม่เจอกันเลย ไม่เจอวิญญาณของผู้ตายมาหาคนนั้นคนนี้กันเลย สึนามิคราวนี้ ทั้งหมด ไม่มี นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่า วิญญาณตายแล้ว จะมาหาคนนั้นจะมาหาคนนี้ จะมาตรงนี้ไม่มี มันมีเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น ไม่มีวิญญาณอย่างนั้นเลย

สรุปแล้วที่ในช่วงแรกไม่รู้สึกว่าผีมี มีแต่จะหาตัวจริงว่าลูกเราอยู่ที่ไหน พ่อเราอยู่ที่ไหน ตายแล้วยัง แม่เราอยู่ที่ไหน วิ่งหากัน ให้วุ่นเลย ลืมนิยายเรื่องผีไปชั่วคราว ช่วงแรกไม่มีผี พอผ่านไปสองวันสามวันตอนนี้ก็มั่นใจว่าตาย พอตายนิยายเรื่องผี ก็ขึ้นแล้ว พอสามสี่วัน หลังมา นิยายเรื่องผีก็เริ่มเกิด อุปาทานก็ขึ้นมาอย่างเดิม แล้วก็เริ่มต้นมีนิยายเล่าเรื่องมีผีมีวิญญาณ

ช่วงแรกที่วิ่งหากันให้วุ่นไปเลยนั้น ถ้าวิญญาณตายไปแล้วมาได้ วิญญาณกับคนชนกันแหลก เพราะมันวิ่งวุ่นหากันจริงๆ คุณนึกออกมั้ย มันวิ่งวุ่นหากัน จริงๆเลย บางคนไม่กินไม่นอน กินข้าวไม่ลง วิ่งตามหากัน ถ้าวิญญาณมาหาคนได้ วิญญาณ ก็วิ่งชนวิญญาณ วิญญาณ ก็ชนกับคน วิ่งกันให้วุ่นเลย ชนกันแหลกลาญหมดเลย แต่ไม่จริง ความจริงมันไม่มี วิญญาณ มันออกมาหาใครไม่ได้ เอกจรัง ตัวใครตัวมัน ก็อยู่เดี่ยวๆอย่างนั้นแหละ เอกะก็อยู่ของตัวเอง จะรังหรือจะระ ก็ไปไหนมาไหน คนเดียว ไปคนเดียว ไม่มีสอง วิญญาณไม่มีสอง วิญญาณที่ตายไปแล้วไม่มีสอง

เพราะฉะนั้นจะไปเจอยมบาล นายสุวาร สุวรรณ นิยายหลอกเด็กทั้งนั้น ใครเชื่อนิทานเรื่องนี้คือเด็กๆยังไม่โต ยังไม่มี ปัญญา เข้าใจ เราเป็นลูก พระพุทธเจ้าแล้ว เราจะต้องพยายามฟัง แล้วก็พิจารณา แล้วก็พิสูจน์จิตวิญญาณ

จิตวิญญาณไม่หลอกไม่หลอน นอกจากคนนี่แหละมาสร้างความหลอก หลอกกันไปตะพึดตะพือ หลอกนั่นหลอกนี่ จนกระทั่ง ผีปอบ ผีนั่นผีนี่ ผี บีบคอบีบโน่นบีบนี่ ผีอะไรก็ไม่รู้แล้วก็เลอะเทอะ แล้วมันก็อุปาทานได้จริง บีบคอคอเขียวเลยนะแล้วตาย ตายแล้วก็มีรอยคอ เขียวเลย แล้วบอกว่าผีบีบคอ ไม่ใช่เรื่องแปลก อาตมาก็เล่าให้ฟังแล้ว อาตมาเล่นสะกดจิตกันแล้วบอกว่า จะเอาเหล็กแดงเผาไฟ นาบที่แขน จิตเขาก็นึกตามว่าตอนนี้จะมีเหล็กแดงเผาไฟมานาบแขน อาตมาก็เอาไม้บรรทัดมานาบ ที่แขนเขาก็สลัดเลยนะ คนที่เรา สะกดจิตไว้ว่า จะเอาเหล็กแดงเผาไฟนาบแขน พองขึ้นมาเลยเป็นแนว อาตมาพิสูจน์แล้ว ทำมาแล้ว อาตมาพิสูจน์ความจริง ทางวิทยาศาสตร์ว่าจิตมันเป็นอย่างไร ดังนั้นที่บอกว่าถูกผีบีบคอเขียวตาย มันก็เขียวจริงๆ มันไม่แปลกเลย

ตาเห็นรูปสัมผัสมันผิดประหลาดสั่งให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นคนจะเดินลุยไฟ คนจะหนังเหนียว มันไม่ใช่ เรื่องแปลก จิตเป็นได้ทั้งนั้นก็เห็นกันอยู่ อาตมาก็เคยหนังเหนียวมา ไม่ได้แปลก ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร ถ้าเข้าใจว่า จิตมันมีประสิทธิภาพ แล้วอุปาทานมันยิ่งใหญ่ ไม่มีก็มีได้ ไอ้พิลึกพิลือก็เป็นได้ ไอ้ที่มันเหลือเชื่อหลายๆอย่างก็เป็นจริง อุปาทานทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เรื่องที่เป็นจริงเป็นอุปาทานทั้งนั้น คือเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องหลอกตัวเองจนเป็นจริง...." .

- เด็กวัด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สถาบันบุญนิยมร่วมซับขวัญผู้ประสบภัยจากคลื่นสึนามิ.
ในโครงการของศูนย์คุณธรรมฯสู่ใต้

พ่อท่านพาธรรมยาตราสู่อุทยานพระนารายณ์
นำทำวัตรเช้า แสดงวิถีคนจนที่ไร้ทุกข์โศก ชาวบ้านแต่ละศูนย์ฯ คลายทุกข์

ระหว่างวันที่ ๑๐-๒๑ มกราคม ๒๕๔๘ พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์นำหมู่สมณะ ๖๖ รูป สิกขมาตุ ๑๖ รูป กรัก, ปะ ๔ คน และ ญาติธรรม ชาวอโศก ทั่วทุกภาคของประเทศ ๗๗๐ คน รวม ๘๕๖ ชีวิต ธรรมยาตราสู่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา พื้นที่ที่ได้รับ ความเสียหายทั้งชีวิต และทรัพย์สินมากที่สุดจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยคลื่นยักษ์ สึนามิถล่ม ในโครงการ " บขวัญชาวใต้" ได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์คุณธรรมฯ ออกเดินทางโดยรถบัส ๑๒ คัน และรถอื่นๆอีก ๑๐ กว่าคัน

โครงการนี้ได้เริ่มประชุมครั้งแรกเมื่อ วันที่ ๑ ม.ค.๒๕๔๘ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ เฮือนศูนย์ฯ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก โดยมี พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์เป็นประธาน

ประชุมครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๕ ม.ค. ๒๕๔๘ เวลา ๑๔.๐๐ น. ที่พุทธสถาน สันติอโศก

๙ ม.ค. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ประธานกรรมการศูนย์คุณธรรมฯ ให้สัมภาษณ์ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียง แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ช่วงข่าว ๗ โมงเช้า ว่า พระและญาติธรรมจะธรรมยาตราสู่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ในโครงการซับขวัญชาวใต้ เพื่อเยียวยาจิตใจ ผู้ประสบธรณีพิบัติภัย

๑๐ ม.ค. เวลา ๑๔.๐๐ น. ญาติธรรม พร้อมกันที่พุทธสถานปฐมอโศก จ.นครปฐม ฟังปฐมนิเทศจากพ่อท่านสมณะ โพธิรักษ์ ก่อนออก เดินทางว่า พวกเราไปกันมากขนาดนี้ ต้องระมัดระวังในความต่าง ความยึดถือที่ต่างกัน ต้องปฏิบัติธรรมอย่างสำคัญ ถือเป็นการสอบไล่ ด้านพฤติกรรม อย่าไประแหง แตกแยกเป็นอันขาด ใช้คารโว นิวาโต อหิงสา อโหสิ สังวรระวัง เก็บไม้ เก็บมือ ไม่ใส่รองเท้า ไม่ซื้อของกิน ตามมินิมาร์ทเมื่อรถจอดเข้าห้องน้ำตามปั๊มน้ำมัน และเตือนว่า
๑.เราจะไปลำบาก ถ้าไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ ถือว่าเราใช้ไม่ได้
๒.ระมัดระวังเรื่องกลิ่นตัวและกลิ่นเหม็นของเสื้อผ้า
๓.ให้สำเหนียก สังวร ระวัง
๔.ฟังกัน เคารพเสียงส่วนใหญ่ ถึงแม้เราจะเห็นขัดแย้ง
๕.อย่าดูดาย

๑๖.๐๐ น. ผู้โดยสารแต่ละคันเดินแถวไปขึ้นรถบัสเดินทางสู่ อ.ตะกั่วป่า โดยมีรถตำรวจทางหลวงนำขบวนและปิดท้าย รถบัสและ รถเล็ก ที่ไปร่วมงานติดป้ายผ้าไว้ข้างรถทุกคันว่า สถาบันบุญนิยม ซับขวัญชาวใต้ โดยศูนย์คุณธรรมฯ

สำหรับสมณะและสิกขมาตุ รวม ๖๘ รูป ช่างภาพ ๒ คนและ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง รวม ๗๒ ท่าน เดินทางวันที่ ๑๑ ม.ค.โดยเครื่องบิน การบินไทย เที่ยวบิน TG ๒๐๓ โดยได้รับความอนุเคราะห์จากกระทรวงคมนาคม

๑๑ ม.ค. เวลา ๐๗.๓๐ น. รถทุกคันถึงศูนย์อำนวยการชั่วคราว วัดบางมะรวน อ.ตะกั่วป่า ซึ่งมีสมณะและญาติธรรม จำนวนหนึ่ง เดินทางล่วงหน้ามาสำรวจและเตรียมพื้นที่ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว รถแต่ละคัน เดินทางไปดู สถานที่ต่างๆ ที่ประสบธรณีพิบัติภัย มีผู้ที่เข้าพื้นที่ล่วงหน้าทำหน้าที่ให้คำอธิบายประจำรถแต่ละคัน

๑๔.๐๐ ประชุมพร้อมกันที่ศาลาวัดบางมรวน พ่อท่านเป็นประธาน เน้นว่าเรามาช่วยด้านจิตวิญญาณของผู้ประสบภัย และตกลงย้าย ศูนย์อำนวยการ ไปอยู่ที่สวนสาธารณะ อุทยานพระนารายณ์ อ.ตะกั่วป่า โดยพ่อท่าน สมณะ สิกขมาตุ ญาติธรรมเดินธรรมยาตรา จาก ร.ร.ตะกั่วป่า " สนานุกูล" ไปยังอุทยานพระนารายณ์ ซึ่งมี น.ส.พ.มติชน รายวัน ได้ลงภาพ ธรรมยาตราดังกล่าว ในฉบับวันที่ ๑๓ ม.ค. และบรรยายใต้ภาพว่า "ญาติธรรม-คาราวานญาติธรรม นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เดินทางถึง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เพื่อเยียวยา จิตใจ ผู้สูญเสียจากเหตุคลื่นสินามิ เมื่อวันที่ ๑๑ ม.ค."

๑๒ ม.ค. หลังทำวัตรเช้า สมณะ- สิกขมาตุออกบิณฑบาต โดยมีญาติธรรมเดินธรรมยาตราตามหลังสายบิณฑบาต แล้วแบ่งกลุ่ม ทำงานตามศูนย์ผู้ประสบ ธรณีพิบัติภัย ๘ ศูนย์ มีสมณะ-สิกขมาตุ-ญาติธรรม-นักเรียนสัมมาสิกขา ของแต่ละ พุทธสถาน -สังฆสถาน ลงพื้นที่ ดังนี้

๑. ศูนย์พระนารายณ์ กองอำนวยการกลาง ผู้ปฏิบัติงานจากทั่วประเทศ
๒. ศูนย์บางม่วง พุทธสถานปฐมอโศก, ศีรษะอโศก, สีมาอโศก
๓. ศูนย์บ่อหิน พุทธสถานศาลีอโศกและเครือข่าย
๔. ศูนย์ปากวีป พุทธสถานราชธานีอโศก
๕. ศูนย์คึกคัก พุทธสถานสันติอโศกและเครือข่าย
๖. ศูนย์บางเนียง ชุมชนสวนส่างฝัน-ร้อยเอ็ดอโศก
๗. ศูนย์บนไร่ สังฆสถานหินผาฟ้าน้ำ-ขอนแก่น-ดินหนองแดนเหนือ-เลไลย์อโศก
๘. ศูนย์วัดบางม รวน พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ

โดยแต่ละศูนย์ทำงานในนามของสถาบันบุญนิยม

ทีมช่างตัดผมหมุนเวียนไปตัดผมให้กับผู้ประสบภัยตามศูนย์ต่างๆ

หลังรับประทานอาหารตัวแทนทั้ง ๗ ศูนย์เดินทางเข้าพื้นที่ศูนย์ต่างๆ เพื่อเตรียมวางแผนการทำงานก่อนเข้าพื้นที่ในวัน พรุ่งนี้

 

๑๙.๐๐-๒๑.๐๐ น. ตัวแทนแต่ละศูนย์ สรุปปัญหา-กิจกรรม และตกลงเข้าพื้นที่พรุ่งนี้ (๑๓ ม.ค.) หลังรับประทานอาหาร และหาก มีคำถาม ที่เกี่ยวกับการมาซับขวัญครั้งนี้ ก็ให้ตอบในแนวเดียวกันว่า

๑. นี่คืออะไร? ให้ตอบว่า พวกเรา เป็นนักปฏิบัติธรรมมาธรรมยาตรา ทั้งฆราวาสและนักบวชชายหญิง
๒. มาทำไม? จะมาขอแบ่งปันความทุกข์กับผู้ที่ได้รับภัยในครั้งนี้ มาแสดงความเห็นใจ
๓. มาจากไหน? มาจากทั่วประเทศมารวมกัน เราจะต้องเป็นผู้ฟังมากกว่ามาพูด

๑๓ ม.ค. หลังทำวัตรเช้า สถานีโทรทัศน์ไอทีวีถ่ายทอดสดกิจกรรมบิณฑบาต และสัมภาษณ์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ ๙ นาฬิกา ถ่ายทำกิจกรรมของสถาบันบุญนิยมที่ศูนย์บางม่วง และเวลา ๑๒.๐๐น. ไอทีวีก็ได้ออกข่าวการทำงาน ของศูนย์ คุณธรรมฯ อีกครั้ง โดยมีภาพ สมณะกำลังพูดคุยกับผู้ประสบภัยเป็นกลุ่มๆ ภาพการทำงานของทีมตัดผม

หลังรับประทานอาหาร แต่ละศูนย์เดินทางเข้าพื้นที่ ยกเว้นศูนย์บางเนียงที่ยังประสานไม่ได้

๑๙.๐๐-๒๑.๐๐ น. ตัวแทนแต่ละศูนย์สรุปปัญหา-กิจกรรม ที่ศูนย์พระนารายณ์

หลังรับประทานอาหาร ญาติธรรมแต่ละศูนย์เข้าพื้นที่ โดยมีหนังสือจากศูนย์คุณธรรมฯ โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ถึงเจ้าหน้าที่ แต่ละศูนย์ ขอความร่วมมือ ที่เครือข่ายชุมชนชาวพุทธจากสถาบันบุญนิยม เดินทางเพื่อมาช่วยบรรเทา ความทุกข์ทางใจ จากเหตุการณ์ ดังกล่าว

๑๓.๐๐ น. พ่อท่านเดินทางเยี่ยมเยียน รับฟังปัญหา และดูแลความเรียบร้อยตามศูนย์ต่างๆ

๒๐.๐๐ น. ตัวแทนแต่ละศูนย์เดินทางมาสรุปงาน ที่ศูนย์พระนารายณ์

๑๔ ม.ค. แต่ละศูนย์ตั้งกรรมการ ๕ คน ประชุมกับสมณะ-สิกขมาตุ แล้วใช้มติ ๓ ใน ๕ สามารถตกลงทำกิจกรรมต่างๆภายในศูนย์ โดยไม่ต้องผ่านศูนย์พระนารายณ์
- ศูนย์คึกคักเริ่มเปิดโรงบุญฯเป็นศูนย์แรก
- คุณชูศักดิ์ ญาติธรรมปฐมอโศก ประสานกับทาง ทศท.ไปติดตั้งเครื่องขยายลำโพงตามศูนย์ต่างๆ เพื่อถ่ายทอดการแสดงธรรม ในช่วงทำวัตรเช้า ยกเว้นศูนย์บางเนียง ซึ่งไม่มีสัญญาณ

๑๕ ม.ค. เริ่มถ่ายทอดสดการแสดงในช่วงทำวัตรเช้าจากศูนย์พระนารายณ์ไปตามศูนย์ต่างๆและพุทธสถานสันติฯ, ราชธานี, ปฐมอโศก, ศาลีอโศก

ประมาณ ๑๖.๐๐ น. พ่อท่านเดินทาง ไปเยี่ยมผู้ประสบภัยหมู่บ้านเกาะพระทองและแสดงธรรม

๑๙.๐๐ น. แต่ละศูนย์สรุปงาน

สำหรับศูนย์บางเนียงเพิ่งได้ทำงานเป็นวันแรก เป็นศูนย์ที่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์

กำหนดการถอนกำลังออกจากศูนย์ต่างๆวันที่ ๑๙ ม.ค.หลังรับประทานอาหาร

๑๖ ม.ค. หลังบิณฑบาต บางส่วนจากแต่ละศูนย์เดินทางไปทำบุญใหญ่ที่วัดบางมรวน โดยมีพ่อท่านและสมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ แสดงธรรม

๑๕.๐๐ น. เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ ผู้จัดการสถาบันบุญนิยม ให้สัมภาษณ์สดสถานีวิทยุ วปถ.๗ อุดรธานี รายการ เพิ่มพลังให้แผ่นดิน

๑๗ ม.ค. ทีมฆราวาสภูผาฟ้าน้ำ เดินทางกลับเพื่อไปเตรียมงานฉลองหนาว แต่ยังคงมีสมณะอยู่ประจำ รวมทั้งฆราวาส ภูผาฯ อีกชุด เดินทางมาทดแทนชุดเดิม

สรุปงาน การเดินทางกลับของสมณะ-สิกขมาตุ-กรัป-ปะ จำนวน ๘๘ ท่าน จะเดินทางกลับโดยเครื่องบิน ของกองทัพอากาศ ในวันที่ ๒๐ ม.ค. ซึ่งมีที่นั่งเหลือให้ศูนย์ต่างๆอีก ๓๓ ที่นั่ง ให้แต่ละศูนย์คัดเลือกส่งรายชื่อมาให้ส่วนกลาง

๑๘ ม.ค. ๑๗.๓๐-๑๘.๓๐ น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พูดอำลาผู้ประสบภัยที่ศูนย์บางม่วง และหลังจากนั้นพ่อท่าน แสดงธรรม มีผู้ประสบภัย ให้ความสนใจมาร่วมฟังมากมายเต็มบริเวณ

หลังจากนั้นร่วมสรุปงานที่ศูนย์บางม่วง พล.ต.จำลอง แจ้งว่า นายกเทศมนตรี ขอเชิญสถาบันบุญนิยม ที่ไปร่วมงาน ที่สนามกีฬากลาง ในวันที่ ๑๙ ม.ค. ซึ่งกำหนดให้แต่งชุดขาวไปร่วมงาน เนื่องจากเราไม่มีชุดขาว จึงไม่ได้ไปร่วม

๑๙ ม.ค. หลังทำวัตรเช้า พ่อท่านนำหมู่สมณะ-สิกขมาตุ ญาติธรรมบางส่วน เดินทางไปยังหมู่บ้านน้ำเค็ม ซึ่งประสบภัย จากคลื่นยักษ์ และมีเรือประมงลำใหญ่หลายลำ ถูกคลื่นซัดเข้ามาเกยตื้นอยู่บนชายหาด และหลังบ้าน ของชาวบ้าน หลายลำ ทีมธรรมรูปจึงติดตาม ไปถ่ายทำภาพบิณฑบาต เป็นที่ระลึกด้วย

หลังรับประทานอาหาร สิ่งของที่นำไปใช้ตามศูนย์ต่างๆและญาติธรรมทยอยกลับเข้าศูนย์พระนารายณ์ เพื่อเตรียมตัว เดินทางกลับ ในวันพรุ่งนี้ โดยแต่ละศูนย์ทำพิธีอำลาด้วยการเดินธรรมยาตราไปขึ้นรถด้วยความสงบ ผู้ประสบภัยแต่ละศูนย์ ต่างรู้สึก เสียดาย ที่พวกเราต้องจากไป และอยากให้พวกเราอยู่ต่อ

๑๗.๓๐-๒๑.๐๐ น. แต่ละศูนย์สรุปกิจกรรมทั้งหมดที่ไปทำตามศูนย์ต่างๆ ซึ่งคล้ายๆกันแต่ต่างกันตรงการปฏิบัติ เช่น ทำวัตรเช้า สมณะบิณฑบาต เดินธรรมยาตรา เก็บขยะ ขัดห้องน้ำ สุขภาพบุญนิยม พูดคุยกับชาวบ้าน สัมมาสิกขาสัมพันธ์ จัด โรงบุญ สาธิต การทำอาหาร-ขนมต่างๆ น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า สบู่เหลว ทำวัตรเย็น

กำหนดการเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้

๒๐ ม.ค. ไม่มีการทำวัตรเช้า ๐๕.๐๐ น. ถวายอาหารสมณะ-สิกขมาตุ และญาติธรรม ร่วมกันรับประทานอาหาร

๐๖.๐๐ น. สมณะ-สิกขมาตุ-ญาติธรรมทั้งหมดถ่ายรูปพร้อมกันหน้าอนุสาวรีย์ พระนารายณ์

๐๗.๐๐ น. พ่อท่าน-สมณะ-สิกขมาตุ-ญาติธรรม รวม ๑๒๑ คน เดินธรรมยาตราไปยัง ร.ร.ตะกั่วป่า " สนานุกูล" ขึ้นรถ ไปขึ้นเครื่องบิน กองทัพอากาศที่ท่าอากาศยาน จ.ภูเก็ต สำหรับญาติธรรมที่เดินทางโดยรถบัส เดินธรรมยาตราไปขึ้นรถ ที่สถานีขนส่ง บ.ข.ส.

ภารกิจของกองทัพธรรมชาวอโศก ซับขวัญชาวใต้ ได้เสร็จสิ้นลงและบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ทุกประการ นับเป็นขบวน ธรรมยาตรา ที่ใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์การทำงานกอบกู้มนุษยชาติของชาวอโศก

สำหรับผู้ไปร่วมซับขวัญและพี่น้อง ผู้ประสบภัยที่ได้รับการเยียวยาในครั้งนี้ได้ให้สัมภาษณ์ ดังนี้

นางสุคนธ์ บุตรคล้อย อายุ ๔๓ ปี ผู้ประสบภัย " สึนามิใจวุ่นวายสับสน ไม่สบายใจ ทำอะไรไม่ถูก ความคิดวน ตอนนี้ดีขึ้น ดีมากๆ เพราะได้อ่านหนังสือที่พวกสถาบันเอามาให้ พวกเขาได้มาคุย ที่บ้าน ปลอบใจ พูดดีมากๆ ได้คุยกับพระ สอนให้ทำ จิตใจ พระดีมากๆ อยากจะทำบุญ ไปใส่บาตร เสียดายที่พวกเขาจะกลับแล้ว เพิ่งพบกันไม่กี่วัน มีโอกาสจะไปเที่ยวที่ อำนาจเจริญ พี่ขายข้าวแกง อาหารตามสั่ง อยู่ริมถนน ตอนเกิดเหตุการณ์พี่อยู่ที่ร้าน หลานวิ่งมาบอกให้หนี พี่ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ หนีเลย ๕ คนหนีขึ้นมาบนบ้าน ลูก ๒ คนทำงานโรงแรมหนีไม่ทันเสียชีวิต กว่าจะทำใจได้นาน ได้อ่านหนังสือทำใจได้ดีขึ้น"

นางสุภา นพฤทธิ์ อายุ ๖๓ ปี "ช่วงเทศกาลเจ ป้ากินเจทุกปีทั้งครอบครัว พระมานั่งที่ศาลาหน้าบ้านประจำเลยตั้งแต่ วันแรก มานั่งคุย ป้าทำใจได้คิดว่าเขามาแค่นี้ ไม่คิดมาก ป้าจับมือกับลุง คลื่นก็พาไป หลุดแล้วมาเจอกันอีก ก็จับมือกันอีก แต่คลื่น มันหมุน ทีนี้ต่างคน ต่างไป ป้าจมลงไป แล้วโผล่ขึ้นมาอยู่หลายครั้ง พอจะหายใจคลื่นก็ม้วนอีก พอดียางรถลอยมา ป้าเลยเกาะ ยางรถ ครอบครัวป้าตายไป ๑๐ คน"

นางปลา บำเรอ "ของพี่น้ำและโคลนเข้าบ้าน ไม่มีใครเสียชีวิต เขามาช่วยทำความสะอาด ช่วยกันดี เขาอุตส่าห์มา มาช่วย ความสะอาด ช่วยล้างสังกะสี เขาช่วยกันดี ช่วยทำไฟ เขากลับไปก็ใจหายเหมือนกัน เขามาก็อุ่นใจนะ เขามาเยี่ยมก็สบายใจ"

นางวิไลรัตน์ เก่งเดียว กุ๊กโรงแรม " ้นกำลังผัดกับข้าวอยู่ชั้นล่าง เพื่อนบอกให้วิ่ง ก็วิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าตึก ๓ ชั้น ตั้งแต่ ๑๐ โมงเช้า ๖ โมงเย็นถึงได้ลงมา ตากแดดอยู่บนนั้นหลายชั่วโมง ลงมาไม่ได้เพราะน้ำยังท่วมอยู่ แล้วข้าวของเสียหายเต็มไปหมด เดินไม่ได้ หิวข้าว คนก็ตาย

เยอะเห็นกับตาเลย เหมือนระเบิดบึ๊มๆๆ คลื่นม้วนพาคนตายคนเจ็บกลับลงไปใต้ทะเลหมดเลย วันนั้นมี ๔๕ คนที่อยู่บน ดาดฟ้า ฝรั่งเป็นลมนอนยาว ตอนแรกหนูวิ่งเกือบไม่ทัน เพราะขาหนึ่งขึ้นบันไดแล้ว อีกขาหนึ่งอยู่ข้างล่างน้ำพาไปแล้ว พอดีฝรั่ง เขาอุ้ม หนูขึ้นไป คนที่ช่วยหนูเขาก็ตาย ไม่รู้อะไรบาดขาเขาเกือบขาดเลย เลือดออกมาก เขาทนไม่ไหว เลยตาย พอน้ำซัดมาอีกที หนูเห็นเด็กฝรั่ง เลยโยนไม้ลงไป เขาก็เกาะไม้เลยรอดตาย

พอ ๖ โมงเย็นก็ค่อยๆปีนลงมา เพราะกลัวคลื่นจะมาอีก เกาะกิ่งมะพร้าวไป น้ำซัดไปขึ้นที่บางละโอน จะกลับไปบ้าน คนนอนตาย เกลื่อนไปหมด บ้านพังเสียหาย ข้าวของเกะกะ กลับบ้านไม่ถูก ไม่รู้เข้าบ้านทางไหน เลยกลับไปที่เดิมวิ่งอยู่ ๕ เที่ยวขึ้นลงเขาบางละโอน ระยะทาง ๖ กิโล

ตอนที่ยังไม่มีใครเข้ามาก็ไม่อยากอยู่ เพราะกลัว พวกสถาบันมาช่วยล้างบ้าน ปัดกวาดให้ หนูได้กลับมาอยู่บ้าน ก็สบายใจค่ะ ถ้าพวกเขา กลับไปหนูก็ไม่สบายใจอีก เพราะเห็นกันแหม็บๆก็จะกลับอีกแล้ว

หนูไปอยู่บนเขา ๒ วัน ๓ คืน ทางบ้านคิดว่าหนูตายแล้วเพราะอยู่ติดชายทะเล น้ำแรงมากดำทะมึ่น ขนาดคนเกาะอยู่บน ต้นสน ๔-๕๐ คนน้ำก็พาไปหมดเลย หนูยืนดูอยู่ บางคนก็ตกลงมาโดนเหล็ก บางคนตกใจจนเสียสติเลย ในชีวิตไม่เคยเห็น"

นางศรี นาวาลักษณ์ อายุ ๔๕ ปี ชาวไทยใหม่ ( มอร์แกรน) " ยากให้พวกสถาบันมาอีก อยากให้อยู่นานๆ เขามาทำความดี ทำให้จิต ให้เราสบาย เขาช่วยทุกอย่าง ไม่รังเกียจไม่ลำเอียงพวกเราเลย เขาทำอาหารให้พวกเรากิน เขามีน้ำใจหลายสิ่ง หลายอย่าง มีพระมา สั่งสอน รู้สึกสบายจริงๆ สบายใจ อบอุ่นทางโน้นก็เพื่อน ทางนี้ก็เพื่อน เขาจะมาถามว่าเดือดร้อนอะไรมั้ย จิตใจเป็นยังไง ที่บ้านลุงตาย คนเดียว ถ้า ไม่มีลูกจะไปอยู่ด้วย ชอบทางนี้ หากอยู่นานๆไม่มีอะไรก็มาแบ่งอาหารของฉันได้ ฉันมีมาม่า"

น.ส.ทัศนา บุญทอง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค " บปรึกษาด้านกฎหมายให้กับชาวบ้าน พวกเราได้อาศัยกินข้าวกับพวกสถาบัน เห็นเขาเดิน ให้คำปรึกษาชาวบ้าน ช่วยชาวบ้าน เขาน่ารักดี ทำทุกอย่าง ตรงไหนมีงานให้ทำเขาก็ลงไปช่วย สามัคคีกันดี รู้สึกว่าเขามาช่วยสังคม เขาเป็นกลุ่มคนที่ใหญ่ที่ช่วยอะไรได้เยอะ เขามาอยู่สะอาดขึ้น ชาวบ้านก็พยายามเลียนแบบเขา เมื่อก่อนขยะจะมาก ชาวบ้านเริ่ม เก็บขยะ มากขึ้น คงรู้สึกอายมั้งที่คนข้างนอกมาช่วยทำความสะอาด ชาวบ้าน ให้ความร่วมมือ มากขึ้น"

น.ส.วรรณวิมล เอกโกมล มูลนิธิเด็ก " ยากให้เขาอยู่ต่อ เพราะเขาเป็นเพื่อนกับชาวบ้าน ลงไปคุยกับชาวบ้าน เข้าถึง ชาวบ้านได้ดี แล้วมีสมณะ เขาได้ทำบุญใส่บาตร ชาวบ้านรู้สึกว่าได้ทำบุญ เห็นชาวบ้านลุกขึ้นมาหุงข้าวใส่บาตร"

จ่าสิบเอกอุดมรัตน์ พันธุ์พัก กองพันทหารราบที่ ๑ จ.ค่ายธนะรัตน์ " มาปฏิบัติภารกิจหลังเหตุการณ์ ๕ วัน พวกอโศก เข้ามา รู้สึกว่าดี เขามาทำให้จิตใจ ชาวบ้านดีขึ้น ทางด้านกำลังพลจิตใจก็ดีขึ้น เพราะได้มีเวลาฟังพระบ้าง พระก็เทศน์ในทางที่ดี ลดละเรื่องบุหรี่ เหล้า จิตใจค่อยผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย ภารกิจคือ ค้นหาศพ แล้วช่วยเหลือด้านต่างๆกับผู้ประสบภัย ทำบ้านชั่วคราว ตอนนี้ก็ใกล้เสร็จ ต่อไปก็ทำบ้านถาวร

พระเข้ามา มันซาบซึ้ง เมื่อคืนนี้กำลังพลได้เข้าไปฟังธรรม โดยไม่มีการบังคับ นั่งฟังพระโดยไม่คุยกันเลย ดูช่วงเช้าแล้ว สภาพจิตใจ ของทหารดีขึ้น ตั้งใจจะงดเหล้าบุหรี่กันหลายคน ดีมากๆเลย

ชาวบ้านมีการเปลี่ยนแปลง ความสะอาดก็ดี แล้วมีช่างมาช่วยตัดผมให้ทหาร หัวโล่งเลยครับ สบายขึ้น ไปกินอาหารกัน ค่อนข้างมาก ผมก็ยังไปทานก๋วยเตี๋ยว อร่อยดีครับ"

ไม่ประสงค์ออกนาม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ " ยู่ฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ของผู้ประสบภัย ตอนเช้า พี่เห็น พวกเขาช่วยกันเก็บขยะ ทำความสะอาดทั่วหมู่บ้าน แล้วพระไปบิณฑบาต ออกเยี่ยมชาวบ้าน กลางคืนก็มาปฏิบัติธรรม แสดงธรรม ให้ชาวบ้านนั่งสมาธิ พูดคุยให้ชาวบ้านฟัง ชาวบ้านได้รู้จักสงบสติ ควบคุมอารมณ์ตัวเอง ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แทนที่จะฟุ้งซ่าน ก็มีสมาธิขึ้น ดีขึ้น

วันแรกพี่เห็นเป็นการสนทนา ลักษณะเหมือนไปหาที่พึ่งทางใจไปหลายๆคน ๒-๓ วันต่อมาก็เห็นชาวบ้านนั่งปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ นั่งฟังธรรม นอกจากนั้นได้มาทำอาหารมังสวิรัติเลี้ยงคนในชุมชน เด็กนักเรียน เจ้าหน้าที่ ทั้ง ๓ มื้อ และบริการ ช่างตัดผม รู้สึกว่า สะอาดขึ้น เพราะเขาทำทุกวัน มีระเบียบวินัยดี เป็นที่น่าชื่นชม มีกิริยาอ่อนน้อมสุภาพเรียบร้อย น่าศรัทธา มาชวนไปกิน เอาอาหารมาให้

เขาต้อนรับคนทุกคนดี เขาบอกว่าผักผลไม้เอามาจากทักษิณอโศก เขาแจกแผ่นพับทำน้ำยาล้างจาน-สบู่ นักเรียนไป รับประทาน อาหาร มื้อเที่ยง ทุกวัน พร้อมเจ้าหน้าที่และทหาร รสชาติดี พี่คุยกับเพื่อนว่า ๒-๓ วันนี้พวกเราได้บุญ เพราะได้กินอาหาร มังสวิรัติ

เขาไม่น่าไป น่าจะอยู่เป็นเพื่อนชาวบ้านสักพัก เพราะตอนนี้ความโศกเศร้ายังไม่หายไป ยังต้องการกำลังใจ ยังต้องการเพื่อน พี่เห็นว่า พวกนี้ยังปล่อยไม่ได้ เขายังมีปัญหาทางสุขภาพใจ ถ้าอยู่ต่อสักอาทิตย์ก็จะดี เป็นที่พึ่งทางใจให้พวกเขา ขอบคุณมากๆ ที่ให้ความช่วยเหลือคนใต้"

นางเจียน ไชยวงศ์ อายุ ๔๑ ปี " มื่อก่อน พี่อยู่ด้วยน้ำตา คณะสถาบันไปแจกอาหารในหมู่บ้าน แต๊ก (สัมมาสิกขาราชธานีฯ) เขาบอกว่า เขาเกิด ธ.ค. เดือนเดียวกับลูกของพี่ที่สูญหายไปในคลื่นสึนามิ แต่เพื่อนๆเขารอด ตอนแรกลูกเขาหนีทัน แต่มาโดน คลื่นลูกสองกระเด็น พี่ก็รับหนูแต๊กเป็นลูก

อาการก็ดีขึ้น ลูกคนนี้เป็นลูกที่นิสัยที่ดีมากๆ รักเขามากๆเลย สภาพจิตใจดีขึ้น เพราะมีลูกแต๊กมาทดแทน พี่ก็รอโอกาสว่า ถ้ามีโอกาส จะไปหาเขา ถ้าเขามีโอกาสให้เขามาหาพี่ พี่รอตลอดเวลา ได้คุยกับพระแล้วสบายใจ ดีขึ้น พวกสถาบัน เขาให้ความดี ให้ทุกอย่าง ดีใจจนบรรยายไม่ถูก

ที่ดีใจมากๆ คือพี่สูญเสียลูกไป แต่มาได้จุดนี้ ดีมากๆเลย ตอนแรกหมอไปเยี่ยมที่บ้านและให้ยา ก็อยู่ได้กับยา พอยาหมด ก็มาเจอลูกแต๊ก มาเยียวยา เหมือนมาต่อชีวิต รักลูกคนนี้มากแต่ไม่มีวาสนาไปร่วมคณะกับลูกคนนี้ ถ้าไม่ได้คณะนี้ ชีวิตครอบครัวย่ำแย่ พ่อของเด็กก็ขวัญเสีย ขอบคุณคณะนี้มากๆเลย ชั่วชีวิตไม่ลืมคณะของลูกแต๊กนี้ ลูกแต๊กมีบุญ ได้มาช่วย แม่คนนี้ได้ดีขึ้น เขาไปก็ไม่เสียดาย เพราะเขาไปทำความดี ขอบคุณฟ้าดินที่ส่งคณะนี้มาให้ ขอบคุณมากๆเลย"

นางวงศ์ศีล นาวาบุญนิยม ปฐมอโศก " ยู่ฝ่ายสุขภาพบุญนิยม คนป่วยให้ความร่วมมือในการมาออกกำลังกายกับเรา ตอนเช้า หลังบิณฑบาตเสร็จแล้ว กลุ่มสัญจรจะไปตรวจดูว่าบ้านหลังไหนมีคนป่วยก็จะมาบอกกลุ่มสุขภาพฯไปดูแล คือเราทำงาน ประสานกัน ทำงานเชิงรุกคือไปหาเขาถึงที่ ปิติมากที่เราได้เป็นผู้ให้ งานนี้กินข้าวมื้อเดียว ได้ด้วยปีติ เพราะคนที่ตายไปแล้ว ไม่มีโอกาส ทำกุศล แต่เรามีชีวิตอยู่น่าจะทำอะไรที่ดีให้กับตัวเอง คนไข้ที่เจอส่วนมากโดนอุบัติเหตุ ก็ไปช่วยกดจุด บางคน เป็นโรคเก๊าท์ เพราะความเครียด เราได้ใจเขา เขาก็ได้ใจเรา

พิธีอำลา สมณะเดินสำรวม เราเดิน ๒ แถวไปเยี่ยมทุกบ้าน ชาวบ้านหลายคนน้ำตาไหล ยกมือไหว้ เห็นแล้วประทับใจมาก แม้แดด จะร้อน ก็เจอเสียงทักทายจากประชาชน แล้วไปหยุดหน้าศูนย์กลาง แล้วอาปอพูดขอบคุณที่ได้มีโอกาสได้มาทำงาน เขาก็ได้บุญ เราก็ได้บุญ แล้วร้องเพลงคนสร้างชาติ เสียงกระหึ่ม ชาวบ้านออกจากเต็นท์มาดูกันแทบทุกหลัง"

น.ส.พิจิตรา จันทร์ประภาส "แยกขยะเพราะเห็นว่าไม่มีคนทำ ได้ประโยชน์ตนมาก คือฟังมาเยอะ ว่ากินน้อย มักน้อย สันโดษดี แต่ไม่ได้ฝึก มาอยู่ตรงนี้เราได้ฝึกจริงๆ อยู่อย่างเรียบง่าย นอนกลางดินกินกลางทราย และเรื่องของความเป็นอนิจจัง ได้คุยกับ ชาวบ้านว่า ภายในพริบตา ๕ นาทีทุกอย่างสลายไปหมดเลย อะไรก็ไม่แน่นอน ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ต้องรีบขวนขวาย สร้างความเพียร เพราะเราอาจ จะโดน เหมือนคลื่นสึนามิได้เหมือนกัน ชีวิตมันไม่แน่นอน เห็นชัดยิ่งขึ้น ได้เห็นความพลัดพราก ทำให้ชัดเรื่องของชีวิตคู่ว่า หากมีอะไรขึ้นมา เราก็ไม่ต้องไปเศร้าโศกอะไรมากเพราะตัวคนเดียว แม้ว่าเราจะปฏิบัติธรรมแล้ว แต่หากเรามีความผูกพัน กับหลายๆคน เมื่อเกิดความพลัดพรากเราก็ยังต้องทุกข์ ทำให้เรามั่นคงในจุดนี้ว่า อย่าไปสร้าง ความผูกพันกับใครมากมาย และมั่นใจในหมู่กลุ่ม มากยิ่งขึ้น เห็นว่าสิ่งที่พ่อท่านพาทำ งานนี้เห็นชัดมากยิ่งขึ้น เชื่อใน พระโพธิสัตว์ เพราะงานนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สุดท้าย มันก็ออกมาอย่างสวยงาม"

น.ส.ตะวันธรรม ข่าทิพย์พาที "ได้ฝึกทำตามหมู่ มาขบวนใหญ่อย่างนี้เวลาเขา มอบหมายให้ทำไปก่อน แล้วค่อยปรับปรุง มันขึ้น ถ้าไม่รับเลยทำให้กรรมการเสียเวลาไปคิด งานล้างจานไม่มีใครแต่งตั้งให้ทำ แต่เห็นว่าไม่มีใครทำแล้วก็เป็นงานง่ายๆ อยากให้เขารู้สึกว่า งานนี้เป็นงานง่ายๆใครก็สามารถมาทำได้

ชาวบ้านไม่คุ้นกับการเสีย การพลัดพราก เขาเพิ่งเจอ เลยเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่พอเขาเจอกับสิ่งที่พลัดพรากแล้ว เขาได้ ความคิดอะไร ใหม่ๆว่า พลัดพรากหมดก็ได้ มันแปลกดี ฝรั่งเขาบอกว่าทำไมคนไทย สูญเสียขนาดนี้ยังยิ้มได้ หากเป็น ประเทศเขา ก็เศร้ากันไป ทั้งประเทศ พอดีมาวันที่เราม่วนซื่นกับชาวบ้าน เขางงว่าคนไทยยิ้มได้ยังไง กับเหตุการณ์ร้ายๆ อย่างนี้"

นายตายแน่ เชียวเขตร์วิทย์ " มาวันที่ ๓ เป็นรุ่นแรกมี สมณะ ๖ ฆราวาส ๕ มีใจอยากมาช่วย ก็ประสานกับลุงจำลอง ได้ที่อยู่ ที่กิน ได้เห็นอนิจจังของชีวิต ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน สัจธรรมของศาสนาพุทธ ผมมาสำรวจพื้นที่ตามจุดต่างๆ เพื่อเตรียม รองรับ ทีมใหญ่ ที่จะเข้ามา ช่วงใหม่ๆก็กลัวผีบ้าง แต่ตอนนี้ก็ชินๆแล้วเพราะว่ามันเยอะมาก เพราะเรื่องเล่าจากบ้าน ถือเป็นเรื่อง ธรรมดาไปแล้ว มีการตายกันเยอะมาก เหมือนเราเดินไปตรงไหนก็มีคนตายทั้งนั้น มันก็คลายไปในตัวของมันเอง

การมาแสดงรูปธรรม เป็นตัวยืนยันศาสนาเป็นพลังรวมของสังคม เราเคลื่อนขบวนใหญ่ๆขนาดนี้ได้เป็นระบบระเบียบ มีเอกภาพ ขนาดนี้ ถือว่าเรามีจิตที่ยึดศาสนาเป็นแกนหลัก ตัวนี้เป็นตัวบ่งบอกชี้เป็นรูปธรรมชัดเจน

คิดว่าการทำงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์คือ มาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และขบวนการกลุ่มของชาวอโศก ได้พิสูจน์ ศักยภาพของกลุ่มใหญ่ที่เคลื่อนขบวนขนาดนี้แล้วได้ประสิทธิภาพประสิทธิผล ประโยชน์สองส่วน ได้ช่วยเพื่อนมนุษย์ กับแสดงศักยภาพ สมรรถนะ ของชาวอโศก

ความทุกข์ของชาวบ้านในครั้งนี้ ผมอยากให้ชาวบ้านเขียนให้รัฐบาลรวบรวมไว้เป็นจดหมายเหตุเก็บไว้ น่าสงสารมาก เป็นการ สูญเสีย มากมายของแต่ละคน แต่ละครอบครัว ซึ่งถ้าเป็นเราก็คงต้องทำใจลำบากเหมือนกัน

คนถ้าไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ มีเหตุการณ์ใดมาทำความสูญเสียให้เรา มันเคว้งคว้าง ผมฟังชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า ลอยอยู่ใน ทะเล เป็นวันๆ แต่ถ้าเรามีศาสนายึดเหนี่ยว ที่สอนให้เราเรียนรู้การเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน เป็นการฝึกซ้อม จิตใจก่อน หากไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว เมื่อมีอะไรมากระทบ จิตใจก็จะทำให้ทำใจลำบาก หากเราได้ซักซ้อมอยู่ตลอดเวลา เพราะว่า ศาสนา สอนให้เราเรียนรู้เรื่องนี้ จะทำให้เราผ่อนคลายทุกข์ได้ไวและง่ายขึ้น"

เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ ผู้จัดการสถาบันบุญนิยม " ิจกรรมที่แต่ละศูนย์จะทำ จะกำหนดเองตามพื้นที่ การเข้าถึงผู้ ประสบภัย ในเบื้องต้น ค่อนข้างจะระแวง แต่เมื่อเวลาผ่านไปความสัมพันธ์ค่อยๆดีขึ้น เป็นลำดับ จนเราสามารถทำกิจกรรม ให้ชาวบ้าน ได้มาก เช่น ตัดผม เปิดโรงบุญเกือบทุกศูนย์ กิจกรรมเด่นที่ประทับใจชาวบ้านคือขัดส้วมและเก็บขยะรอบพื้นที่ของเขา เขาประทับใจ จนเขียน จดหมายมาเลย และเกรงใจเราว่าทำไมเราถึงให้เขาขนาดนี้ ทำให้เขาเข้ามาพบกับเรา ทำให้ได้พูดคุย กันกับนักบวช และฆราวาส ทำให้คลี่คลายในสิ่งที่เขาหดหู่ ท้อแท้ เสียขวัญ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ หลังจากพูดคุยแล้ว เขายิ้มออก หัวเราะ บอกความอัดอั้นตันใจ เขาได้ระบาย เราถือว่าเราได้แบ่งปันความทุกข์ของเขาได้ เรามีกิจกรรมต่างๆ มากมาย ที่จะโน้มน้าวให้เกิดความสัมพันธ์กัน เช่นคัดกรอง เสื้อผ้าร่วมกันชาวบ้าน สอนหนังสือนักเรียนป.๑-ป.๕ การมาครั้งนี้ ถือว่า คุ้มค่ามาก ได้มา เสียสละ ได้ช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัย ซึ่งกำลังทุกข์ร้อนจริงๆ

มาคราวนี้ได้มาฝึกอย่างจริงจัง ทั้งสถานที่ การทำงาน การทำกิจวัตร ติดต่อกันเป็นวลา ๑๐ วัน ตัวเองได้เยอะมากกว่า ที่คิดไว้ ทำให้เรามีกำลังใจ พละอินทรีย์เข้มแข็งขึ้น"

นายร้อยแจ้ง จนดีจริง " มาวันที่ ๖ ม.ค. มากัน ๑๖ คนกับทีมเดิม ๑๓ คน เพื่อมาทำงานให้คน ๗๐๐ คนลงพื้นที่ อย่างสะดวก ที่สุด จุดแข็งคือพวกเราปรับตัวเข้ากับพื้นที่ได้ดี ซึ่งมาจากพื้นฐานการฝึกตัวเองที่เรียบง่าย ทุกศูนย์บอกว่า ทำไมเลือกพื้นที่ เหมาะเจาะจังเลย อยู่สบายมาก ดีมาก เพราะแม้พื้นที่จะลำบาก แต่พวกเราก็อยู่อย่างมีความสุข รู้จักการขุดน้ำใช้เอง รู้จัก การประสานกับชาวบ้าน รู้จักปรับสถานที่ให้น่าอยู่ มีความสุขอยู่กับการอยู่แต่ละแห่ง อยู่บนเขาไกลๆก็บอกว่าดี อยู่บนเขา ที่มีน้ำตก ก็บอกว่าดี แม้จะมีงูบ้าง เขาก็อยู่ได้ อยู่บนเขาไม่มีน้ำใช้ก็ไปหาจนมีน้ำได้ พอลงมาอยู่ชายทะเลก็บอกว่าดี คือปรับตัว ได้ตลอดเวลา พวกเราเป็นคนแบบนี้ นับเป็นจุดแข็งของชาวอโศก

จุดด้อยผมว่าเรายังไม่มีการทำงานในเชิงของสายงานหรือฟังกัน เราจะสั่งกันได้เกือบทุกคน จึงไม่มีฐานข้อมูล ที่จริง น่าจะฟังกัน ใครทำเรื่องนี้มาก่อนแล้วข้อมูลเป็นยังไง แล้วมาต่อยอดเอา จุดเสียจากตรงนี้จึงเกิดจุดดีขึ้นอีกประการหนึ่งคือ ๓ ใน ๕ เกิดกรรมการ ประจำศูนย์ ๕ คนที่เมื่อคุยกันแล้ว ๓ คนสามารถตัดสินใจแล้วรับผิดชอบ ไปเลย ซึ่งแต่ละศูนย์ ให้เขาคัดเลือก คนเหล่านี้ขึ้นมา แล้วก็ยอมกัน คนที่เคยสั่งคนเดียวก็กลับมาปรึกษา เมื่อปรึกษาปั๊บ องค์ประกอบมากขึ้น งานก็ดูเรียบร้อยขึ้น

งานเตรียมพื้นที่ในด้านกายภาพค่อนข้างลุล่วงด้วยดี ส่วนเรื่องจิตใจของตัวเองที่มีเกิดขึ้น มันต้องปรับเปลี่ยนใจ บางเรื่อง แม้เรามั่นใจว่า ยังถูกต้องอยู่นะในเมื่อมันเปลี่ยนไป เราก็เปลี่ยนไปได้ แต่เป็นบทเรียน ในคราวหน้า ที่จะทำเรื่องแบบนี้ เราจะมีข้อมูลแจ้ง แล้วก็จะละเอียดขึ้น ในการที่จะพูดให้คนได้เข้าใจได้ แต่ก่อนเราจะใช้ภาษาแบบธรรมดา แต่เมื่อเราเข้าใจลึก ก็อธิบายคนได้ละเอียดขึ้น จนกระทั่งเหตุการณ์มันแปรเปลี่ยนไปอีกขนาดหนึ่ง เพราะคนได้มีประสบการณ์ แล้วก็มีการจัด องค์กร

สังเกตวันแรกที่มาถึงคุยกันทั้งทีมใหญ่ พอคุยก็เฮไปเลย วันนั้นหลายคนลำบากเรื่องกิน เข้าห้องน้ำ ที่พัก เพราะไม่มีการ เตรียมการไว้ เป็นบทเรียนให้แก่ทุกๆคน แม้แต่ตัวผมเอง แม้ไม่เห็นด้วย แต่จำใจเปลี่ยน เปลี่ยนแล้วก็รีบมาเตรียมพื้นที่ให้เขา วันนั้น หัวใจมันช้ำ แต่ก็ต้องทำ พอทำเสร็จ เราก็รู้ข้อบกพร่องคืออะไร เราก็ใช้กรรมการ ๓ ใน ๕ เป็นตัวตั้ง ต่อไปก็มีการ เรียกประชุม เป็นลำดับขั้น เพราะไม่มีใครรู้ทุกเรื่องได้ในเวลาเท่ากัน แม้ข้อมูลอันเดียวกัน การบริหารข้อมูลของแต่ละคน ก็ต่างกันด้วย เราต้องอดทนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ขณะเดียวกันเรามีโอกาสแก้ไข เราก็ทำเท่าที่เราทำ

การที่เราทำงานในมุมที่กว้างขึ้น การจัดระบบทางความคิดเป็นเรื่องสำคัญ แล้วการยกความไว้วางใจที่เข้าใจเหตุการณ์ รองรับว่า วิธีคิด ข้อมูล มาจากฐานที่เชื่อถือได้ อโศกคงได้พัฒนาเรื่องนี้เพิ่มขึ้น เรื่องที่สองเรื่องความเป็นพี่น้องกันมากขึ้น มันจะเกิดการสังเคราะห์กัน มากขึ้น แต่ก่อนแต่ละแห่งทำงานแต่ละแห่ง ตอนนี้แต่ละแห่งมาทำงานกลาง ไม่เป็นที่ตั้งของ พุทธสถานใดเลย แล้วไม่มีองค์กรใด รับเป็นหลัก แต่งานนี้จุดใหญ่อยู่ที่สันติอโศก แต่สันติฯก็ไม่ได้เป็น ทั้งหมด เพราะมวลใหญ่ เป็นของปฐมอโศก แต่ลงพื้นที่ก็มาคละกัน ทำให้ได้เห็นวิธีคิดของต่างพุทธสถาน งานพุทธาฯปลุกเสกฯ ค่อนข้างเน้นไปตาม พุทธสถาน แต่งานนี้ค่อนข้างขยายมาก แม้ทักษิณอโศก เจ้าของพื้นที่บทบาทก็ยังไม่ได้เสียทีเดียว จึงทำให้งานนี้ ค่อนข้างที่จะ หุ้นทางความคิดแม้พื้นฐาน จะต่างกัน ตอนแรกอาจจะยุ่งหน่อย แต่ตอนนี้เริ่มที่จะปรับลงตัวได้

งานนี้เป็นการให้ความไว้วางใจกันแบบแยกส่วนขนาดหนึ่งเหมือนกัน เช่น โรงครัวถามว่าจะเอาอะไรมาบ้าง ผมบอกไป เลยว่าคน ๑ พันคนจะอยู่กินกัน ๑๐ วัน พี่เล็กดาบบุญช่วยรับไปเลย เราเอาคนที่มีความสามารถไปอยู่ในจุดที่เขามีศักยภาพ หรือ กองอำนวยการ ฝ่ายปฏิบัติการซึ่งเขาอยู่ในพื้นที่แต่ละศูนย์ก็สามารถปฏิบัติงาน ซึ่งก็เป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้น"

นายดาบบุญ ดีรัตนา ฝ่ายเสบียง "ได้มาฝึกกินอยู่แบบเรียบง่ายเหมือนพี่น้อง ที่ประสบภัย ตอนแรกไม่มีโปรแกรมว่า จะแยกศูนย์ เราก็เตรียมภาชนะมาจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อมีการแบ่งภาชนะไปตามศูนย์ต่างๆ เพื่อทำโรงบุญปรุงอาหารให้ผู้ประสบภัย ได้รับประทาน เมื่อภาชนะเหลือน้อยเราก็ปรับตัวเอง เช่น มีเตา ๒ เตาแต่ต้องหุงข้าว ๘ หม้อ เขาก็บอกว่าอย่างนั้นต้องตื่นตี ๒ มาหุงข้าว เราก็ปรับตัวให้เข้ากับภาชนะ"

นายกอล์ฟ คมธรรม ศิษย์เก่าสัมมาสิกขาปฐมอโศก " มจากพ่อท่าน รู้สึกว่าเข้าใจมากขึ้น ตอนที่พ่อท่านไปพูดที่บางม่วง พูดเกี่ยวกับ เรื่องความจน รู้สึกว่าได้ประโยชน์ตรงนั้น คือธรรมดาก็เข้าใจอยู่ครับ แต่เหมือนกับตอกย้ำชัดเจนมากขึ้น"

นายธวัช อปมทัง ศิษย์เก่าศีรษะอโศก ช่างภาพ "ได้ฝึกตัวเองที่จะคล่องแคล่วแววไวทันเหตุการณ์ มีสัมภาระให้น้อยที่สุด พร้อมที่จะปฏิบัติ หน้าที่ตลอดเวลา ต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา มีการวางแผนว่าจะต้องเตรียมอะไร

เห็นใจพี่น้องที่ประสบภัยเพราะเป็นคนไทยด้วยกัน เขาเดือดร้อนมากกว่าเรา เหมือนเขาเป็นพี่เป็นน้องกับเรา มันต้อง ช่วยเหลือกัน รู้สึกว่าความเมตตาของเรามีเพิ่มมากขึ้น ทำให้เราต้องเสียสละให้มากขึ้น เพราะยังมีคนที่ลำบากกว่าเรา ยังมีมาก

งานนี้ได้มาสร้างบารมีร่วมกับพ่อท่าน ได้มาสั่งสมบุญ ถึงจะลำบากแต่รู้สึกยินดีและเต็มใจ อาจจะเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของเรา ที่จะได้มีโอกาสอย่างนี้ ภูมิใจที่เราได้มาร่วมกับชาวอโศกเป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดประมาณ ๙๐๐ กว่าชีวิต ที่ได้เดินทางมา ภาคใต้ คราวนี้"

น.ส.ลีนา กิตติสมชัย อาสาสมัครของมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน " มาในนามของกลุ่ม สื่อเพื่อนชีวิต ทำข่าวเกาะติด สถานการณ์ ของ สถาบันบุญนิยมในโครงการซับขวัญชาวใต้ ตอนแรกตั้งคำถามกับการมาครั้งนี้ของชาวอโศกเหมือนกันว่าจะมาทำไมตั้ง ๗๐๐ คน เพราะมองภาพไม่ออกว่ามาทำไมตั้งเยอะขนาดนี้ แต่พอถึงวันนี้คำถามนั้นเปลี่ยนไป มีประโยคหนึ่งเกิดขึ้นในใจว่า ขอบคุณ ที่มาแสดง ชีวิตอันประเสริฐให้ พวกเราได้เห็น ทำให้คนอีกหลายๆคนที่เขากำลังทุกข์ ได้เห็นชีวิตที่เรียบง่ายแล้ว ก็ไม่จำเป็น ที่จะต้องมีอะไร แต่เขาก็มีความสุข แล้วก็มีน้ำใจที่จะหยิบยื่นให้กับคนอื่นด้วย

ตัวเองไม่ได้ร่วมกิจกรรมอะไรกับชาวอโศก แต่เหมือนมาคอยสังเกตการณ์ แล้วก็ดูในวงนอกแต่ก็ได้อิ่มเอมในความรู้สึกดีๆ หลายๆอย่าง ในกิจกรรมในครั้งนี้เยอะเหมือนกัน และก็รู้สึกว่าเราโชคดีที่เราได้มารู้จักกับคนกลุ่มหนึ่งที่เขามีชีวิตที่ดีงาม แล้วก็มีชีวิตที่มีความพร้อม ที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับคน คิดว่าพลังบริสุทธิ์อันนี้มันทำให้คนอีกหลายๆคน ได้รับประโยชน์ แล้วก็จะเป็นความประทับใจ เป็นประสบการณ์ ในชีวิตของเขาในการที่วันหนึ่งที่เขามีความทุกข์ เขาจะคิดถึงคนกลุ่มนี้ แล้วเขาจะคิดถึงชีวิตเรียบง่าย ของคนกลุ่มนี้ด้วย"

นางพลีขวัญ ศีรษะอโศก " ้าที่ประสานงานเชื่อมระหว่างพวกเราชาวอโศก กับคนข้างนอก มันเป็นงานที่ใหญ่ ตั้งแต่เข้า อโศกมา รู้สึกว่างานนี้เป็นงานที่ใหญ่ต้องเชื่อมกับคนข้างนอก แล้วกลุ่มที่เรามาก็ใหญ่ด้วย ทำให้ต้องระมัดระวังในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะ เรื่อง คำพูด แล้วงานก็ต้องรอบขึ้น เร็วขึ้น ตัวเองได้รับประโยชน์มาก โดยเฉพาะตัวเองอยู่ในฝ่ายที่เป็นสื่อ ในส่วนนั้นด้วย ประสานงานด้วย แล้วศูนย์ที่ไปอยู่เป็นศูนย์ที่ใหญ่แล้วผู้คนที่มาก็หลากหลาย จึงเป็นบทเรียน ทำให้เราต้อง รอบคอบมากกว่านี้

เมื่อก่อนเราทำเฉพาะหมู่กลุ่มของเราเอง พอมาได้รับฟังเรื่องราวของผู้ประสบภัย ทำให้เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ได้ข้อคิดว่า เราอย่าประมาท ต้องสร้างความดีไว้เยอะๆนะ เพราะวิบากจะมาเล่นงานเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำให้เราได้ ตระหนักถึง จุดนี้"

ด.ญ.ไพรพรพรหม สหะชาติมานพ สัมมาสิกขาเทียนหยด ปฐมอโศก " สียใจที่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ไม่อยากให้เกิดอีก ได้เห็นน้ำใจ ของคนไทยที่มีต่อกัน ประทับใจชาวใต้ที่เขามีน้ำใจมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่กลัวผี เพราะหลวงปู่ก็บอกแล้วว่า ผีไม่มีจริง และหนูก็ไม่เห็นจริงๆด้วย หนูอยากจะเจอผีเหมือนกัน จะได้เงิน ๑๐ ล้าน ถึงหนูจะเป็นเด็ก ก็ปรับตัวเข้ากับ ผู้ใหญ่ได้ หนูได้ฝึกผัด -ทอดอาหาร ประทับใจหลวงปู่ ที่ตั้งใจมาช่วยชาวใต้ และชาวใต้ก็ประทับใจ และงานก็สำเร็จไปด้วยดี" .

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



พิสูจน์ผีมีจริงหรือไม่?

เหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ ที่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย การค้นหาศพ การเคลื่อนย้ายศพของผู้เสียชีวิต ถูกลำเลียงมาเก็บไว้ที่ตู้คอนเทนเนอร์วัดย่านยาว หลังจากฝังไมโครชิพแล้วก็ทยอยนำไปฝังชั่วคราวที่ป่าช้าวัดบางมรวนเพื่อรอญาติมารับศพต่อไป

สมณะข้าฟ้า ฐานรโต ถือโอกาสนี้พิสูจน์ให้เห็นกับตาว่า ผีมีจริงหรือไม่ ด้วยการไปปักกลดอยู่ใกล้ๆ กับหลุมฝังศพ จำนวนมาก ทีมข่าวสัญจรถือโอกาสนี้สัมภาษณ์ความรู้สึกการปักกลดในป่าช้าท่ามกลางศพจำนวนมากมาย มาฝากทุกท่านค่ะ

สำรวจพื้นที่
อาตมาเดินทางมาถึงตะกั่วป่า วันที่ ๔ ตอนเย็น มีสมณะ ๔ รูป พระอาคันตุกะ ๑ รูป ฆราวาสอีก ๔ คน

ที่ป่าช้าวัดบางมรวนเขาจะเอาศพที่ฝังไมโครชิพ แล้วจากวัดย่านยาวไปฝังที่นี่ เขาใช้รถแบ็คโฮลขุดหลุมลึก ๑ เมตร กว้างเมตรกว่าๆ ยาวประมาณ

๑๐๐ เมตร แล้วเอาศพมัดใส่ถุงแล้วเรียงใส่หลุมมีศพเยอะมาก อาตมาคิดว่าน่าสนใจมาดู มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าอยู่ทั้งสองฝั่งถนน

ได้ไปขอดูที่ป่าช้าวัดบางมรวน เขาให้ใส่รองเท้าบู๊ท เอาผ้าปิดจมูก ตอนนั้นเจ้าหน้าที่กำลังลำเลียงศพลงหลุม

อาตมาอยากจะฝึกตัวเอง อยากพิสูจน์ เพราะเมื่อก่อนก็เป็นคนกลัวผี จะกลัวตอนอยู่คนเดียว และเวลามืด มันจะกลัวในความมืด จึงคิดว่าเราน่าจะนอนในป่าช้าตรงที่ศพเยอะๆ มาที่นี่ก็ได้รับข่าวเรื่องคนเจอผีหลายเรื่อง ฟังแล้วอาตมาก็เข้าใจพอสมควรเพราะพ่อท่านบอกว่าผีไม่มีและอาตมาก็ได้ฝึกมาพอสมควรก็ไม่ติดใจอะไร

ตัดสินใจ
วันที่ ๙ แรม ๑๕ ค่ำ ตอนกลางวันก็เดินมาสำรวจพื้นที่ก่อน มาคุยกับสัปเหร่อ ซึ่งเขาใช้ยางรถเผาศพแต่ละวันๆที่มีญาติมารับศพ ส่วนไม่มีญาติก็จะนำไปฝังในหลุมก่อน ก็ได้คุยกับทหารที่มายกศพ เขาก็กลัวเหมือนกัน เขาบอกว่าพอถึงเที่ยงคืนตำรวจที่นั่งเฝ้าอยู่ก็จะกลับไปเพราะเขาเจอผีกันตั้ง ๕-๖ คน

หลัง ๓ ทุ่ม ก็บอกภันเตลือคมว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปบิณฑบาต ให้ไปแวะรับอาตมาที่ป่าช้าวัดบางมรวนด้วย โดยยังไม่ชวน ใครไป เพราะหากไป ๒ คนก็จะไม่กลัวเพราะมีเพื่อน แต่ที่เรากลัวคือเวลาเราอยู่คนเดียวและอยู่ในที่มืด

๓ ทุ่มกว่าก็เดินไปที่ป่าช้า เจอตำรวจ ๗ คนนั่งก่อกองไฟอยู่ริมถนน ล้อมวงกันอยู่เขาก็นิมนต์ให้นั่ง ก็ได้คุยกัน บอกขอมา ปักกลดจะได้มั้ย เขาก็อนุญาตบอกว่าได้ตรงริมถนน อาตมาเลยขออนุญาตเดินดูสถานที่ ซึ่งจากปากทางเข้าไปข้างใน ก็จะเป็นศาลาพักศพเก่า ด้านทิศตะวันออกเป็นเมรุเผาศพ มีเต็นท์ของเจ้าหน้าที่ มีโลงที่ยังไม่ใช้กองอยู่มากมาย ส่วนศพฝังอยู่ ๓ ด้าน ด้านหลัง ด้านข้างทั้ง ๒ ด้าน ด้านละ ๒ แถว ซึ่งยังไม่ได้กลบอยู่ ๑ แถว ก็ขอตำรวจพักตรงศาลา เขาบอกว่าไม่ได้ เพราะมีกลิ่น มีเชื้อแล้วรองเท้าก็ไม่ได้ใส่ ถ้าจะปักกลดก็ริมๆถนนนี่แหละ ซึ่งอาตมาคิดว่า มีไฟติดสว่าง และมีรถวิ่งไปมา คงนอนไม่หลับ ก็เลยสะพายกลดกลับ พอลับแสงไฟก็เดินอ้อมไปทางทิศตะวันตกฝั่งตรงข้ามกัน ก็ลงไปพักอยู่ข้างๆหลุมยาวๆ กว่าจะปักกลดเกือบ ๕ ทุ่ม เข้าไปนอนก็มีกลิ่นเหม็นของศพและฟอร์มารีนโชยมานอนไม่ค่อยหลับ หายใจไม่ค่อยสะดวก แต่ไม่รู้สึกกลัว ตอนนั้นกลิ่นศพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเราเลย

นาทีระทึกใจ
สะดุ้งตื่นตอนตี ๒ เพราะหมามาเห่าใกล้ๆกลด จนมันเมื่อยแล้วก็ไป ได้ยินเสียงหนูวิ่ง อาตมาออกไปเดินดูที่หลุมศพฝั่งตรงข้าม ปรากฏว่าตำรวจกลับหมดไปแล้ว แต่ไฟยังติดสว่างรอบๆราวป่า จึงเดินกลับมาฝั่งตรงข้ามเมรุ ซึ่งมีหลุมเยอะมาก ทางทิศ ตะวันตก ก็เอาไฟฉายส่องดูหลุมแรกใกล้กับที่ปักกลดเขากลบแล้ว หลุมที่ ๒ ว่างเพราะเขาเอาศพไปฝัง ไมโครชิพใหม่ หลุมที่ ๓ ศพมัดผ้าอยู่ประมาณครึ่งหลุม นอกนั้นเป็นหลุมที่ขุดเตรียมไว้ยังไม่มีศพ

อาตมาก็เดินไปเรื่อยๆ ตอนนี้แหละที่เห็นอาการของใจที่มันไหวๆนิดหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับกลัวที่จะไม่กล้านะ เพราะเราก็ ไม่เคยพิสูจน์ถึงขนาดนี้ ก็เดินไปจนสุดถนน แล้วลองนับหลุมศพทั้งหมด ๑๘ หลุม ทางด้านเมรุ ๕ หลุม แล้วเดินกลับไปกลับมา ที่เห็นคือหมาหลายตัววิ่งไปวิ่งมาไปกินของที่เขาเอาไปเซ่นไหว้วิญญาณ ตอนกลางวันเขาบอกว่ามีหมาไปคุ้ยศพ เขาจึงเอารถ มาจับหมาไป วันที่อาตมาไปปักกลดเห็น ๓-๔ ตัว

พอเดินได้สักพักก็เดินกลับมาที่กลดก็มานอนต่อประมาณตี ๓ กว่าๆ จนถึงตี ๕ กว่าๆ ก็เก็บกลด รู้สึกเพลีย ง่วง แสบจมูก เพราะไม่ได้มีผ้าปิดจมูก ตอนเช้าก็ไปบิณฑบาตกับทีมสมณะ

พอไม่ได้พักก็เริ่มตึงๆ เพลียๆ มึนหัว ได้นอนประมาณ ๓ ชั่วโมง และกลิ่นที่เราไม่คุ้นเคย

ข้อพิสูจน์
วันนั้นไม่มีอะไร ไม่เห็นอะไรนอกจากเห็นอาการหวั่นไหวของตัวเอง ซึ่งก็ไม่มาก ถ้าได้ฝึกบ่อยๆก็ทำให้เรานิ่งได้ จริงๆแล้ วผีอยู่ในทุกคน ที่ยังไม่หมดกิเลส ไปปราบผีคือปราบความกลัวที่อยู่ในจิตของเรา ผีข้างนอกนั้นไม่มีหรอก งานนี้จึงได้พิสูจน์ เพราะคนตายมากมาย แต่ไม่เจอเลย

ผีหลอกยังคงมีอยู่ต่อไปตราบที่ยังไม่ล้างอุปาทาน และผีจริงๆคือ ผีราคะ-โทสะ-โมหะในตัวเรายังคงมีอยู่จริงตลอดไป หากเราไม่ล้างมันให้หมดสิ้น

- ทีมข่าวสัญจร รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



รายงานความเป็นไป ของกสิกรรมไร้สารพิษ ( ตอน ๘)
( ต่อจากฉบับที่แล้ว)

๑๕-๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๗ ออกเดินทางเช้าไปบ้านและสวนของอาจารย์หมอซึ่งโต๋ให้ข้อมูลว่าทางคุณหมอท่านนี้ก็ทำกสิกรรมไร้สารพิษ ไปถึงที่บ้าน คุณหมอ ซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆ กับ RBAC. บางนา ถนนบางนา-ตราด กม.ที่ ๒๕-๒๖ ได้รู้จักพูดคุยกัน แต่ที่บ้านคุณหมอ มีเนื้อที่พอเหมาะกับการทำกินมากกว่าที่จะผลิต เพื่อการขาย แต่ทางคุณหมอก็บอกว่า ยังมีที่ที่สนามชัย ซึ่งผลิตแตงโม ไร้สารพิษอยู่ ทางเราก็รับเรื่องไว้หากผ่านไปเส้นทางนั้นก็จะขอแวะเยี่ยมชม

กลับมาสันติฯตอนบ่าย และประมาณ ๕ โมงเย็นเดินทางไปกลางดง และค้างคืนที่นั่น ๑ คืน หลังจากที่ท่าตะเกียบ ฉะเชิงเทรา ได้ทำการไถแปลงลงการผลิตไว้ได้ปริมาณหนึ่งแล้ว คุณพลอยไพรก็ย้ายมาดูแลสวนที่กลางดง ตอนเช้าของวันที่ ๑๖ สิงหาคม ทีมงานที่ร่วมเดินทางด้วยก็ช่วยกันลงแปลงกับคุณพลอยไพรได้งานปริมาณหนึ่ง หลังจากนั้นก็ร่วมรับประทานอาหารกันกับ คณะเดินทางอีกชุดหนึ่งซึ่งประกอบด้วยสิกขมาตุ ๒ รูปกับแม่ๆ ป้าๆ ที่มาเยี่ยมพี่น้องเราที่กลางดงนี้ ตอนบ่ายเดินทางกลับ โดยไปแวะที่คลอง ๑๓ เยี่ยมคุณเพลิงชัยที่เสียสละไปดูแลพื้นที่ ๕๐ ไร่ที่คุณจินดา บริจาคให้กับทางมูลนิธิเรา

๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๗ นัดกับท่านเสียงศีลคุยรายละเอียดและรายงานความคืบหน้าของการเดินทางติดตาม ผลผลิต พืชผัก ไร้สารพิษ ท่านได้ให้ทีมงานเราไปเยี่ยมชมแปลงผักหน่อไม้ฝรั่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ผ่านการอบรมที่อินทร์บุรี ที่บ้านหนองปลาไหล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ซึ่งคุณนพพลเป็นพ่อบ้าน ภรรยาเป็นกสิกรที่เคยปลูกโดยวิธีเคมีมาและพยายามเลิกใช้เคมี และหันกลับมาใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่รวดเร็วดังที่คาดไว้ จึงคิดจะกลับไปใช้ปุ๋ยเคมีร่วมด้วยอีก การพูดคุย เป็นไปเพื่อให้ความเชื่อมั่นเรื่องการตลาดของพืชผักไร้สารพิษ และการโน้มน้าวให้มั่นใจกับปุ๋ยอินทรีย์ ที่ใช้อยู่แต่ต้องใช้เวลา สักระยะเพื่อให้ธรรมชาติปรับตัวแต่ก็ไม่เป็นผล เสร็จก็กลับไปรายงานท่านเสียงศีลที่ปฐมอโศก แล้วท่านก็ให้วีซีดีที่เกี่ยวกับ กสิกรรมไร้สารพิษ เพื่อใช้เปิดเผยแพร่ให้ความรู้กับคนทั่วไปจำนวน ๒๐ กว่าแผ่น จากนั้นก็ลาท่านกลับสันติอโศก.
( อ่านต่อฉบับหน้า)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร

งานตลาดอาริยะปีใหม่' ๔๘ งานสอบไล่ใหญ่ของชาวอโศกผ่านไปแล้ว ในวาระเริ่มต้นชีวิตใหม่ สมณะเดินดิน ติกขวีโร ได้ให้ข้อคิดจากงานปีใหม่ และคลื่นสึนามิที่ชาวอโศกควรระวังคืออะไร

# ท่านได้ข้อคิดอะไรจากงานปีใหม่ที่ผ่านมาบ้างคะ?

*** ๑. งานตลาดอาริยะปีใหม่ในแต่ละปี เป็นเสมือนงานยัญพิธีที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์อันหนึ่งของชาวอโศก ซึ่งเป็น ยัญพิธี ที่เน้นเกี่ยวกับเรื่องของการให้โดยเฉพาะ พ่อท่านเคยให้โศลกไว้ว่า คนที่ มีความสุขที่สุด คือผู้ที่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้ให้ อย่างจริงที่สุด ในปีใหม่ทุกๆปีเราได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการให้ มันเป็นการมอบของขวัญปีใหม่ให้กับตัวเอง ด้วยความสุขที่สุด ในชีวิต ท่านพุทธทาสได้เคยกล่าวไว้ว่า จิตที่คิดจะให้ย่อมสบายกว่าจิตที่คิดจะเอา เราให้ดอกไม้บานกับคนไป เราจะมีดอกไม้ บานอยู่ในหัวใจของเราตลอดไป ถ้าเราเก็บเอาไว้ดอกไม้บานอยู่ไม่กี่วันมันก็กลายเป็นดอกไม้เหี่ยว

ดังนั้นถ้าเราได้เริ่มต้นด้วยความสุขที่สุดแล้ว ทุกๆครั้งที่เราเกิดความทุกข์ขึ้นมา แสดงว่าเราเริ่มคิดที่จะเอา เมื่อเราให้ได้ หมดแล้ว เราก็ต้องไม่เรียกร้องไม่คาดหวังให้ได้ดั่งใจให้ได้สมใจ

๒. เราต้องพยายามที่จะลดตัวลดตน ลดความสำคัญของตน ชีวิตผู้ที่ลดความสำคัญของตน หรือลืมตัวตนลงไปได้บ้าง ก็น่าจะเป็นชีวิตที่มีความสุขกว่าใครๆ สุขเพราะแม้จะไม่มีใครเห็นความสำคัญของเรา เราก็ไม่เดือดร้อนอะไร

เรามีความสุขอย่างยิ่งแม้เราแสดงความคิดออกไป ไม่มีใครเอาด้วย เราก็ไม่เดือดร้อนอะไร เราจะมีความสุขอย่างยิ่ง แม้ไม่มีใคร มายกบทบาทที่สำคัญๆให้ เราอาจจะทำงานได้เป็นเพียงแค่ตัวประกอบก็ไม่มีตัวตนออกมาเดือดร้อนอะไร การทำงานของเรา ยิ่งทำงานก็ยิ่งเล็กลงน้อยลง สูญลง คนที่ทำงานแล้วออกนอกมรรคมีองค์ ๘ ก็เพราะว่าไปหลงกับงาน ไปเห็นความสำคัญ กับงาน จนลืมการพัฒนาจิตวิญญาณ ลืมการสร้างคน ลืมการพัฒนาตน ลืมการลดตัวตน ก็จะไม่สามารถเดินทางไปสู่ ความพ้นทุกข์ได้ ดังนั้นทุกๆปีของงานปีใหม่เราย้ำอยู่เสมอว่า เป็นเสมือนการสอบไล่ใหญ่ของชาวอโศก เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่จะทำให้เราเป็นผู้ให้อย่างจริงมากที่สุด ให้ได้อย่างเข้าถึงความสุขที่สุด เราควรจะเอายัญพิธีนี้มาเป็นเครื่องเตือน ระลึกในการที่จะก้าวเดินในปี' ๔๘ กันต่อไป

๓. ชาวอโศกคงมีงานขยายออกไปกว้างและมากไปเรื่อยๆ สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงต่อมาก็คือเรื่องของสุขภาพ ในงานปีใหม่ ที่ผ่านมา ทีมงานแพทย์ทางเลือกนำโดยคุณหมอสำนึกก็ได้มาย้ำให้เรามั่นใจว่า ชาวอโศกน่าจะเป็นกลุ่มชนที่มีสุขภาพดีที่สุด มีอายุยืนที่สุด มีโรคน้อยที่สุด และก็แข็งแรงที่สุด น่าจะอยู่ในหมู่กลุ่มชาวอโศก เพราะว่ามีการรักษาสุขภาพแบบองค์รวม ที่ดีกว่ากลุ่มชน ไหนๆ คนทางโลกเขามีเพียงแค่ ๔ อ, ๕ อ เท่านั้นเอง อาหารไร้สารพิษเขาก็ทำได้ยาก การเป็นคนที่มีอารมณ์ดี มีองค์ประกอบที่ได้รวมพลังทำกุศลกันอยู่ตลอดเวลา รับรองว่าไม่มีชุมชนไหนทำกิจกรรมที่เป็นกุศลมากเหมือนกับพวกเรา หรือการออกกำลังกาย เราก็มีวิธีออกกำลังกายกันเยอะแยะ การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อากาศที่ดี มีต้นไม้มีป่าไม้ ชุมชนของเรา แต่ละชุมชน ก็มีความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมมากกว่าใครๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าองค์ความรู้ของเรามันเยอะมาก จนเกิด ความสับสน เหมือนกับเรารู้ธรรมะมากกว่าเพื่อน และรู้สิ่งที่ดีที่สุดมากกว่าใครๆ แต่บางครั้งมันก็สับสน จนออกอาการ แย่กว่าใครๆ สาเหตุที่สำคัญก็เป็นเพราะว่า

๑. ขาดความชัดเจน ไม่มั่นใจ ไม่สามารถทำอะไรให้ต่อเนื่องเป็นพหุลีกัมมัง จนทำให้มากทำให้เกิดความเจริญ มันก็เลย ทำให้เรา เหมือนรู้ธรรมะเยอะ แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ หรือปฏิบัติสิ่งที่เราชอบกันแน่ จนบางครั้งก็ต้องตื่น มาฟังธรรมะดึกๆ แล้วก็กินกาแฟไปด้วย พ่อท่านก็เน้นในงานปีใหม่ ว่าชาวอโศกหลายคน ยังติดกาแฟอยู่ ยังติดมาม่าอยู่ ยังกินอาหารขยะอยู่เยอะ ทั้งที่เราฟังเรื่องอาหารไร้สารพิษมาตั้งมากมาย ได้ความรู้ใหม่ๆมาเยอะ แต่กิเลสเก่าๆก็ไม่เอาออก แม้จะมีความรู้ใหม่ ได้มามากอย่างไรแต่กิเลสเก่าๆ เราก็ไม่เอาออก มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้มีสุขภาพดีได้

# เหตุการณ์ปี ๒๕๔๘ มีภัยเกิดขึ้นถี่ๆกัน ไม่ว่าจะเป็นภัยจากคลื่นยักษ์ ไฟนรกจากตึกที่ถล่มทับหรือเรื่องอื่นๆ อีกตามมา ภัยที่ชาวอโศกควรระมัดระวังอย่างยิ่งคือภัยที่เกิดจากอะไรคะ?

*** ในช่วงก่อนงานปีใหม่ พ่อท่านเคยเตือนพวกเราชาวบ้านราชฯ ให้ระมัดระวังการฆ่าตัวตายของชาวอโศกทั้งเป็น นั่นก็คือ การพยายามที่จะโฆษณา ตัวเองเกินความเป็นจริง การไปขันอาสา แก้ปัญหาทั่วราชอาณาจักร หรือการอยากประกาศศักดา โฆษณาตัวเอง ทั้งๆที่ตัวเราเองก็ยังไม่พ้นจากชวดฉลูขาลเถาะเท่าไหร่ พ่อท่านเคยติงพวกเราว่า จริงๆชาวอโศกยังดี ไม่มาก เท่าไหร่ ยังเป็นโสดาบันแต่ละกลุ่มยังไม่ถึง ๒๕% ด้วยซ้ำไป ยิ่งสกิทาคามี ยิ่งน้อยลงไปอีก ดังนั้นส่วนที่เป็นมรรคผลข้างใน เรายังไม่สมบรูณ์ เราอย่าไปวิ่งโฆษณารีบประกาศตัวเราเองให้มากนัก

ยิ่งนับวันๆเรายิ่งได้รับการยอมรับสูง ก็จะทำให้เราประเมินตัวเองผิด หลงตัวเองผิด ยิ่งมีคนมาติดต่อเชื้อเชิญให้เรา ออกไป ปรากฏตัว ไปช่วยเหลือเขาไปแสดงไปบรรยายไปโฆษณาสิ่งที่ดีงามของเรา พ่อท่านก็เน้นว่าระวังการโฆษณาเกินความเป็นจริง มันจะเหมือนกับการไปสร้างคลื่นสึนามิ กลับมากระแทกทำลายตัวเอง ชุมชนของตัวเองให้โค่นพังลงมา ไปเรียกร้องโฆษณา ให้เขามาดู ทั้งๆที่ภายในของเราก็ยังไม่ดียังไม่แข็งแรงอะไรมากนัก ดังนั้นถ้าในแง่ยุทธศาสตร์เราควรไปพูดไปจาให้ทำด้วย คารโวนิวาโตอ่อนน้อมถ่อมตน อหิงสาอโหสิ แล้วก็ไม่ไปเบียดเบียนไปเป็นศัตรูกับใคร มีแต่การให้อภัยผู้อื่นอยู่เสมอๆ

คลื่นสึนามินานๆถึงจะเกิด แต่คลื่นที่เกิดจากโลกธรรม ๘ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้แต่พระ อรหันต์ ขีณาสพ ก็ยังเป็นอันตรายได้ ซึ่งเราเองยังไม่ได้อริยภูมิมาก แต่เราได้รับโลกธรรมมาก มันจะก่อให้เกิดคลื่นที่ก่อตัว มาทำ อันตรายกับเรา จนสุดท้ายเราก็จะเป็นได้แค่บุคคลที่เต้นตามคลื่นตื่นตามลม หรือเป็นบุคคลที่วิ่งไปตามกระแส หรือเป็น นักสร้างกระแสเท่านั้นเอง เหมือนอย่างนักการเมืองทั่วๆไป ได้แค่สร้างกระแสนั่นกระแสนี่เป็นพักๆ แต่ไม่สามารถสร้างคน หรือสร้างตนให้พ้นโลกีย์ หรือออกจากกระแสของโลกีย์ได้

ซึ่งในงานปีใหม่ที่ผ่านมาพ่อท่านให้นโยบายว่า ต้องเน้นประกาศเศรษฐศาสตร์บุญนิยมให้หนัก ด้วยโศลกที่ว่า หลงแต่รวย ก้าวหน้า ไม่มุ่งศึกษาการลดกิเลส กู้ประเทศไม่ได้ เป็นกรรมฐานใช้ได้อย่างยิ่งกับพวกเราด้วย เพราะว่าเวลาพวกเราทำงาน จะไปหลงการขยายงาน หลงเงินที่ได้มามากๆจนลืมการสร้างมรรคผลที่จะเกิดขึ้นกับตน แต่จะไปสร้างคลื่นสึนามิ คลื่นโลกธรรม ที่จะมาถาโถมถมทับใส่ตัวเอง ดังนั้นพวกเราที่ชำนาญออกไปเผยแพร่ข้างนอก จึงต้องระวังอย่างมาก

พ่อท่านเคยให้นโยบายว่า บุญนิยมจะไม่เน้นโฆษณา มีแต่เพียงการออกไปบอกความจริงอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ไปโฆษณา ก็เหมือนกับไปสร้างคลื่นสึนามิเหมือนที่บอกแล้ว และถ้าจะให้ดีเราควรจะได้มาช่วยกันทำเนื้อในให้แน่น ให้ได้คุณภาพ ให้ดีพอดีกว่า จนชาวบ้านหรือคนที่เขามาดูงานมาเห็นแล้ว ให้เขาไปโฆษณากันเองแบบไดเร็กเซลล์ มันจะดีกว่าที่เราไป โฆษณา ว่าฉันดีอย่างไร ดีกว่าที่เราจะวิ่งตะรอนๆออกไปโฆษณา ข้อนี้ถ้าเราไม่ระมัดระวังแล้ว เราก็จะไปยินดีในการทำงานข้างนอก มากกว่า ที่จะมาทำงานอยู่ภายใน เพราะข้างนอกก็จะมีแต่คำชม ส่วนข้างในก็จะมีแต่คำเฉ่ง มีแต่เรื่องที่จะขัดเกลา เพื่อเพิ่มฐานเพิ่มภูมิกัน แต่การไปทำงานข้างนอกก็จะออกไปได้โลกธรรม จะไม่คิดถึงเรื่องของการเพิ่มภูมิให้ตัวเองเท่าไหร่

ดังนั้นเศรษฐศาสตร์บุญนิยมของชาวอโศกที่เราควรจะทำกันก็คือ ทำอย่างไรเราถึงจะเป็นตัวอย่างที่ไม่หลงรวย หลงก้าวหน้า แต่มุ่งศึกษาการลดกิเลส เพิ่มภูมิธรรมของชีวิตเราให้ได้มรรคผลกันจริงๆ

ในช่วงที่พ่อท่านเองมีชีวิตอยู่ ก่อนที่คลื่นแห่งโลกธรรมที่เป็นอันตรายอันแสบเผ็ด จะมากวาดเราลงไปสู่ทะเล พระพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสไว้ว่า ธรรมวินัยนี้ย่อมซัดซากศพลงสู่ทะเล ผู้ที่มีมรรคผลเท่านั้นจึงทนอยู่ได้ในธรรมวินัยนี้

มีพระอรหันต์อีกมากมายที่ไม่มีใครบันทึกความดีงามของท่านให้ได้ศึกษา เราจะมีความสุขได้ไหม ทำความดีอยู่เบื้องหลัง ไม่มีใครรู้จัก ไม่ได้รับการยกย่อง พอใจกับชีวิตเล็กๆที่เรียบง่าย สั่งสมบุญอยู่ตลอดเวลา นั่นคือเราได้ก้าวไปใกล้เป้าหมาย ของการปฏิบัติธรรมทุกขณะ เราจะเป็นบุคคลที่โชคดีไม่ถูกคลื่นของโลกธรรมกวาดสู่ก้นทะเลแห่งสังสารวัฏอย่างแน่นอน.

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ที่อำนาจเจริญ
ผู้ว่าฯ จับมือสวนส่างฝัน
เริ่มที่เกษตรตำบลก่อนลงสู่หมู่บ้าน

จะปลูกพืชต้องเตรียมดิน จะกินต้องเตรียมอาหาร จะพัฒนาการ ต้องเตรียมคน ท่านผู้ว่าฯอำนาจเจริญ เห็นความสำคัญ ของการพัฒนาคนก่อนพัฒนาสิ่งอื่นใด สั่งให้เกษตจังหวัดนำเกษตรตำบล ประมง ปศุสัตว์ เข้าอบรม ๑๖-๒๐ ธ.ค. ในหลักสูตร สัจธรรมชีวิต เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ สวนส่างฝัน โดยมอบให้ ท่านรองผู้ว่าฯนางพรรณี แก่นสุวรรณ เป็นประธาน เปิดการอบรม พร้อมบรรยายพิเศษในหัวข้อ " ศรษฐกิจพอเพียง"

หลังจากนั้นท่านรองผู้ว่าฯและคณะเดินชมสถานที่สวนส่างฝัน ซึ่งเต็มไปด้วยทองคำเส้นเหลืองอร่ามเต็มพื้นที่ มีน้ำ เต็มคลอง มีทองเต็มสวน ( ฟางคือทองคำ) เป็นบรรยากาศของความชุ่มชื่นและอุดมสมบูรณ์ โรงเห็ดซึ่งใช้เป็นที่เก็บข้าวไร้สารพิษ ที่ซื้อจากกลุ่มโรงเรียนชาวนา แปลงปลูกแตงโมไร้สารพิษที่ไม่ต้องรดน้ำ-ใส่ปุ๋ย บ้านดิน คันนาแปดเมตร ฯลฯ และพูดคุย แลกเปลี่ยนเรื่องจะช่วยเหลือเกษตรกรให้หันกลับมาทำนาได้อย่างไร ทางเกษตรจังหวัดและประมงจังหวัด เสนอให้เดิน สายไฟฟ้าเพื่อการเกษตร ทางสวนส่างฝันเสนอขอบ่อบาดาล โดยใช้รถ" แต๊ก" ะทุกบ้านมีอยู่แล้ว และอีกหลายๆเรื่อง ที่เป็นประโยชน์ต่อชาวนา นับเป็นความโชคดีของชาวอำนาจเจริญที่ผู้ใหญ่สนใจ และพยายามเข้ามาดูแลช่วยเหลือในจุดนี้ อีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจคือ การอบรมชาวนาที่สมัครเป็นนักเรียนชาวนาเกษตรอินทรีย์ โดยให้ผ่านอบรมหลักสูตร "สัจธรรมชีวิต" จะได้มั่นใจในการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และลดละเลิกอบายมุข และมั่นใจในทิศทางที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลง จากนั้น ก็เดินทางกลับ

บรรยากาศการอบรมวันแรก ชาวลูกพรพิรุณ ( เกษตรตำบล) ยังไม่คุ้นกับสถานที่ ช่วงเย็น ประธานคกร. คุณธำรงค์ แสงสุริยจันทร์ และพ่อชมพู เอื้อไออุ่น บรรยากาศเริ่มดีขึ้น

เช้าวันที่สองเรียนเรื่อจุลินทรีย์และปุ๋ย อ.ขวัญดิน สิงห์คำ จากชุมชนศีรษะอโศก ปลูกฝัน ปลุกใจ ด้วยหัวข้อ "สร้างโลกสวย ด้วยมือเรา" บรรยากาศของครูภูมิปัญญาไทยแท้ๆ เจ้าหน้าที่ได้รับฟังข่าวสารและสาระและเปิดใจยอมรับมากขึ้น จากเกษตรเคมี สู่เกษตรอินทรีย์ วันนี้เริ่มมีความหวัง

วันที่สามได้เรียนรู้อีกหลายเรื่อง เช่น การใช้จุลินทรีย์ก่อนไถกลบตอฟาง สุขภาพบุญนิยม น้ำยาซักผ้า-สระผม-ล้างจาน การสร้างแปลงปลูกผัก เป็นอีกบรรยากาศของการกลับสู่ชีวิตเกษตรกรจริงๆอีกครั้งหนึ่งของลูกพระพิรุณ บางคนบอกว่า ตั้งแต่จบจากโรงเรียนเกษตรมาหลายปี วันนี้แหละที่ได้จับจอบอีกครั้ง เป็นการขุดดินที่เต็มไปด้วยบรรยากาศของ ความเป็นพี่ เป็นน้อง ผู้หญิงขุดดินนานไม่ได้ก็มีผู้ชายมาช่วยแบ่งเบา ช่วยกันใส่ปุ๋ย คลุมฟาง รดจุลินทรีย์ ความเป็นพี่เป็นน้องแนบแน่นขึ้น โดยเฉพาะ อ.สุวรรณ ซึ่งเป็นรุ่นพี่จากโรงเรียนเกษตรศรีสะเกษ ยิ่งทำให้บรรยากาศ อบอุ่นยิ่งขึ้น วลีฮิตติดปากวันนี้ เป็นสำเนียง ภาษาเขมร " ยวสะเมอพรึ้บ" ( เขียวเสมอพรึ่บ) เป็นคำพูดที่พูดกันไปหัวเราะกันไป สารสุขคงหลั่งกันเยอะ เพราะแต่ละคน ล้วนได้อาบเหงื่อกัน

วันที่สี่ เรียนผ่าตัดดิน พอสรุป มีบางท่านบอกว่า เคยเรียนสมัยอยู่โรงเรียน เกษตร แต่ไม่เคยได้ใช้จริงเท่าไหร่ วันนี้ได้มา ทบทวน การผ่าตัดดินอีกครั้งหนึ่ง ทำให้รำลึกถึงอดีตสมัยอยู่ในรั้ววิทยาลัยได้ชัดขึ้น บ่ายเข้าฐานงานอาชีพ เป็นที่สนุกสนานกัน เช่น ฐานบ้านดิน ซาลาเปา น้ำเต้าหู้ ครีมนวด สุขภาพองค์รวม ฯลฯ

เช้าวันที่ห้า หลังจากพบท่านสมณะ ในรายการ เช้าวันใหม่กับสิ่งดีดี ก็ขึ้นรถไปดูสวนแม่ยอดฟาง ที่อ.คำเขื่อนแก้ว ซึ่งเป็น สวน ที่ทำกสิกรรมไร้สารพิษ ๒ ไร่ครึ่ง แต่มีรายได้ถึงเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท โดยการปลูกพืชหลากหลายชนิด และคลุมฟางหนา ๖๐ ซ.ม.- ๑ เมตร ทำให้ชาวเกษตรตำบลทึ่งมากที่ใช้เวลาแค่ ๒ ปี มีกินมากขนาดนี้ ทำให้หลายคนมีไฟ อยากจะกลับไปทำสวน แบบพ่อชมพูอย่างเต็มที่ บ่ายท่านเกษตรจังหวัดมากล่าวปิดงาน พร้อมกับแซวว่า " มองเห็นสีหน้า แววตาของแต่ละคนวันนี้ กับเมื่อมาวันแรก ทำไมต่างกันราวฟ้ากับดิน" ยกเสียงฮากันได้ดังพอสมควร "สุดท้าย ผมก็ดีใจที่เห็นหลายคนอยู่ได้ และอยู่ได้ดีด้วย..."

พรก่อนจาก วลีทองจากท่านสมณะ การทำกสิกรรมไร้สารพิษ การทำเกษตรอินทรีย์ มีข้อดีคือ ทำให้เกิด สันติภาพ ภราดรภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ

พิธีอำลา น้ำตาลูกผู้ชายไหล เป็นน้ำตาแห่งความปีติ ซาบซึ้ง เป็นน้ำตาแห่งความยินดี เก็บน้ำตานี้ไว้เถอะครับ เพื่อจะได้ เป็นพลัง พลังในการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ สร้างความกินดีสู่หมู่บ้านของเรา สู่ตำบลของเรา สู่ประเทศของเรา เพราะ... คำตอบ " ยู่ที่หมู่บ้าน" .

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



สารต้านมนุมูลอิสระ

หลายท่านคงทราบดีแล้วนะคะว่า อนุมูลอิสระ เป็นปัญหาต่อสุขภาพมาก ทำให้ร่างกายขาดสมดุลของเซลล์ เป็นบ่อเกิด ของ โรคแห่งความเสื่อม ทำให้ร่างกายทรุดโทรมและแก่เร็ว ส่งผลต่อสุขภาพของหัวใจ หลอดเลือด ตา สมอง และประสาท อนุมูลอิสระเกิดจากการที่เราต้องเผชิญกับมลภาวะ ความเครียด ควันบุหรี่ อาหารที่เต็มไปด้วยสารพิษ แสงแดดจ้าที่มีรังสี อุลตร้าไวโอเลต และจากการเผาผลาญอาหารของร่างกาย เองตามธรรมชาติ

เมื่อมีอนุมูลอิสระ ร่างกายของเรา ก็สามารถสร้างสารขึ้นมาต่อต้านอนุมูลอิสระได้เรียกว่า "สารต้านอนุมูลอิสระ" สารต้าน อนุมูลอิสระ มีประสิทธิภาพดีนั้น ต้องมาจากสารต้านอนุมูลอิสระที่หลากหลาย เพื่อช่วยเสริมฤทธิ์กัน แล้วจะเอามา จากไหน กันล่ะ? มีคำตอบจากการค้นคว้าวิจัยมาแล้วพบว่า ในผัก ผลไม้ที่มีสีแดง ส้ม เหลือง และผักใบเขียว มีสารแคโรตีนอยด์ และครอโรฟิลล์ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ซึ่งเราควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง และครบถ้วน และต้อง ดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมด้วยคือ อย่าเครียด ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงต่อสิ่งที่ทำให้เกิด อนุมูลอิสระดังกล่าว

เนื่องจาก "สารต้านอนุมูลอิสระ" มีความสำคัญต่อร่างกายมาก จึงมีบริษัทที่ผลิตอาหารเสริมทำ "สารต้านอนุมูลอิสระ" อัดเม็ดขาย ในราคาเม็ดละหลายสิบบาท ก่อนจะให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์มีบริการวัดสารต้านอนุมูลอิสระในแต่ละคนก่อน ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อบอกกับลูกค้าว่าคุณควรทานสารต้านอนุมูลอิสระขนาดไหน และคนส่วนใหญ่ก็จะมีสารต้าน อนุมูลอิสระต่ำ ตัวผู้เขียนเองก็ได้มีโอกาสไปวัดสารต้านอนุมูลอิสระกับเขาเหมือนกัน แต่ไม่มีโอกาสได้เป็นลูกค้าของบริษัท เนื่องจากค่าสูงสุดของบริษัทตั้งไว้คือ ๔๙,๐๐๐ ซึ่งเป็นค่าที่ไม่ต้องรับประทาน แต่ผู้เขียนวัดแล้วสูงกว่านั้นคือ ๕๓,๐๐๐ บริษัท จึงบอกกับผู้เขียนว่า เคยรับประทานอาหารอย่างไร เคยปฎิบัติตัวอย่างไร ก็ขอให้ปฎิบัติเหมือนเดิม ผู้เขียนจึงเขียนมายืนยัน ให้ทราบว่า ได้ปฏิบัติตามที่เขียนมานี้แล้วได้ผลจริงๆ ค่ะ พิสูจน์ยืนยันได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ " จริงได้จริงทุกสิ่งไป" ผู้ที่ปฎิบัติธรรมจริง อย่างถูกต้องตรงแนว ก็จะได้รับผลจริงคือความพ้นทุกข์ และเราจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร.

- กิ่งธรรม -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ปฐมอโศก - อินทร์บุรี

สมณะเสียงศีลได้รับนิมนต์จากมูลนิธิข้าวขวัญ ให้ไปร่วมงานสัมมนาเรื่องข้าวอินทรีย์ที่โรงแรมกีฬาและสุขภาพ จากสุพรรณบุรี และได้ไปดูข้าวที่กำลังออกรวงเต็มทุ่งประมาณ ๑๒ ไร่ โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีสักเม็ดเดียว ไม่ต้องฉีดยาฆ่าหญ้า คุมหญ้า หรือยาฆ่าแมลงใดๆ

คุณเดชาเล่าให้ฟังว่า เดิมที่นาใช้สารเคมีทั้งปลูกอ้อย ทำนาข้าว ใส่ปุ๋ยเคมีอย่างหนัก จนเจ้าของนาขาดทุน ต้องจำนองที่นา คุณเดชาเลยต้องไปขอถ่ายคืน ซื้อเป็นของมูลนิธิ เปลี่ยนจากเคมีเป็นนาอินทรีย์ เริ่มต้นก็เอากากอ้อยลงเทหลายตัน แล้วหมักด้วย น้ำชีวภาพ ตอนหมักแรกๆลงไปเหยียบไม่ได้เลยมันร้อนมาก ทิ้งไว้จนมันเย็นจึงปล่อยน้ำเข้าลงดำนา ปรากฏว่า ข้าวขึ้นงามมาก การหมักดินด้วยวิธีนี้มีผลดีหลายประการ คือ

๑. ความร้อนจากการหมัก ทำให้เมล็ดหญ้าหรือวัชพืชถูกย่อยสลายจนแทบไม่เหลือ ทำให้ไม่ต้องใช้ยาฆ่าหญ้า คุมหญ้า

๒. ความร้อนจากการหมัก ทำให้เชื้อโรค เชื้อรา ถูกทำลายหายไปมาก

๓. ความร้อนจากการหมักดินในนา ทำให้หอยเชอรี่ตัวเล็กตัวใหญ่ที่อยู่ในดินทนไม่ไหว อยู่ไม่ได้ ปกติหอยเชอรี่ เปลือกบางกว่า หอยอื่นๆ จะอ่อนแอ ไม่ค่อยทน การหมักดินจะเกิดแก๊ส เกิดความร้อน หอยจะไม่อยู่ ช่วยลดปริมาณหอยไปได้มาก

ข้าวในนาของคุณเดชา จึงไม่มีศัตรูพืชรบกวนด้วยประการทั้งปวง โดยไม่ต้องใช้สารเคมีใดๆ ข้าวก็งาม รวงดก อย่างที่เห็น สนใจรายละเอียด ศาสตร์แห่งการทำนา ชุดนี้ดีมาก ได้ความรู้หลายอย่าง ถ่ายทำจากสถานที่จริง ติดต่อ สมณะเสียงศีล ชาตวโร ปฐมอโศก

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

?P1_Prod_Version=ShockwaveFlash" type="application/x-shockwave-flash" width="200" height="200">

หน้าปัดชาวหินฟ้า
นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๔๗ ( ๒๖๙) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๘

ซับขวัญชาวใต้..อนุโมทนากับทีมสมณะ-ฆราวาส นักรบแนวหน้าที่เดินทาง ล่วงหน้ามาก่อนตั้งแต่วันที่ ๖ เพื่อสำรวจพื้นที่ จัดเตรียมสถานที่ไว้ต้อนรับพี่น้องของเรา ๘๐๐ กว่าชีวิต งานนี้เราไม่ได้กำหนดว่าใครจะทำอะไร แต่คนที่แววไว มีปฏิภาณ ก็เข้าไปทำงานได้อย่างเหมาะสม ถ้อยทีถ้อยอาศัย ยอมกัน เห็นแล้วจิ้งหรีดก็ปลื้มมากๆ...

..ทีมศิษย์เก่าสัมมาสิกขาปฐมอโศกและศีรษะอโศก เดินทางมาช่วยเตรียมสถานที่กันก่อนล่วงหน้า ช่วงงานฝ่ายหญิง ก็เข้าครัว ร่วมกับทีมปฐมอโศก ฝ่ายชายก็ช่วย ถ่ายบาตรและบริการทั่วไป เห็นแล้วก็รู้สึกอนุโมทนาที่ลูกหลานของเรา เข้ามาเรียนรู้ การทำงานของพี่ป้าน้าอา....

..ทีมล้างภาชนะจากชมร.หน้าสันติอโศก คุณตุ้ย, คุณสมชาย, คุณสุเทพ อุตส่าห์เจียดเวลาตามมาช่วยซับขวัญ ๒-๓ วัน แล้วขึ้นเครื่องกลับในวันอาทิตย์ แต่ยังมีคุณข้าพุทธ, คุณประสิทธิ์, คุณดาบบุญ ปักหลักอยู่ถึงวันที่ ๒๐....

..รถบัส ๑๒ คันและรถติดตามอีกเกือบ ๑๐ คัน แวะจอดตามปั๊มต่างๆพร้อมกัน พวกเราให้ความร่วมมือกันอย่างดี ไม่เข้าซื้อของ ตามมินิมาร์ทแม้แต่คนเดียว ทำให้การเดินทางไม่ล่าช้า หากทำได้อย่างนี้ตลอดไปก็จะเป็นภาพพจน์ที่ดีของชาวอโศก ไม่ขายหน้า พ่อท่านด้วย ย้อนหลังไปประมาณ ๒๐ ปี เวลารถจอดตามปั๊ม พวกเราก็นั่งกันอยู่บนรถ ไม่ลงไปซื้อของกิน และไม่กิน ของจุบจิบ บนรถ นอกจากไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น จิ้งหรีด อยากให้ภาพเหล่านี้กลับมา ทุกคนทำเหมือนๆกัน จะเป็นพลัง ที่ดีนะฮะ ช่วยให้คนฐานอ่อนเข้มแข็งขึ้นมา และคราวนี้ ๙๕ % แบร์ฟู้ด อีก ๕ % เท้ายังไม่แข็งแรง...

..พวกเรากระจายกันไปปักหลักตามศูนย์ต่างๆ เพื่อเยียวยาด้านจิตใจเป็นหลัก สภาพการอยู่ของพวกเรา เหมือนกับผู้ ประสบภัย ตรงที่อยู่กันในเต็นท์ แต่ที่ต่างกันคือพวกเราอยู่อย่างมีความสุข แม้ไม่มีวัตถุมาบำเรอ ตัวเอง พวกเราตั้งจิตไปให้ ขยันขันแข็ง ไม่รังเกียจงาน แม้แต่งานขัดส้วม ถ้าคนอยู่กันเป็นร้อยเป็นพันหากไม่มีคนคอยดูแล สภาพจะเป็นอย่างไรก็คิดดู พอพวกเรา เข้าไปขัดห้องส้วมก็สะอาดทุกวัน ช่วยเก็บขยะ ไม่รกเลอะ จัดทำที่แยกขยะ จนสามารถเห็นความสะอาดได้ มีคนข้างนอก พูดกันว่า มีนักเรียนสัมมาสิกขาไปเข้าห้องน้ำที่ปั๊มแห่งหนึ่ง ก่อนออกจากห้องน้ำก็ช่วยทำความสะอาดอย่างดี จนเจ้าของปั๊ม ประทับใจ ชื่นชมให้คนอื่นฟัง ฮะ..งานบริการที่ควรทำก่อนอื่นใดคืองานล้างส้วม...เป็นสิ่งที่หลายคนละเลยไปแล้ว...

..อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง นำวิชาศิลปะเข้าไปบำบัดจิตใจผู้ประสบภัย เมื่อมาเห็นพวกเราสาธิตการทำอาหาร ต่างๆ เช่น ปาท่องโก๋, น้ำเต้าหู้, เคอร์รี่พั้ฟ ฯลฯ ซึ่งใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้นมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส บางคนก็อุทานออกมา ขณะปั้นเคอร์รี่พั้ฟ ว่าสติฉันกลับมาแล้ว อาจารย์ท่านนั้นบอกว่าพวกเราคหกรรมบำบัด เจ๋งกว่าศิลปะบำบัดเสียอีก....

..ขอชมพวกเราที่ไม่ยึดมั่น ถือมั่น ปรับตัวอยู่ตลอดเวลาในการเคลื่อนย้ายที่พัก เช่น เมื่อมาถึงวัดบางมะรวน พวกเราก็พา ไปหา ที่กางเต็นท์ กางกลด พอกางกันเสร็จ ตอนบ่ายก็มีมติย้ายไปอยู่อุทยานพระนารายณ์ พวกเราก็เก็บเต็นท์ เก็บกลด อย่างไม่ เก็บกด ไปที่อุทยานพระนารายณ์ พอวันรุ่งขึ้นก็เก็บเต็นท์ไปอยู่ตามศูนย์ต่างๆ พอวันที่ ๑๙ ก็เก็บเต็นท์กลับมากางที่อุทยานฯ อีก แล้ววันรุ่งขึ้นก็เก็บเต็นท์เตรียมเดินทางกลับอีก จิ้งหรีดเห็นบางคนปรับตัวมากินข้าวขาวที่สมณะบิณฑบาตทุกวันเลย นี่เรียกว่าการปรับตัวพอได้หรือเปล่าฮะ...

..เพราะได้ฝึกอยู่บนความลำบากอย่าง สบายมาแล้ว ดังนั้นชีวิต ๑๐ วันของการไปซับขวัญ พวกเราจึงอยู่อย่างมีความสุข แม้ห้องน้ำจะน้อย ห้องส้วมจะไม่เพียงพอ น้ำจะไม่อุดมสมบูรณ์ ที่ตากผ้าจะไม่พอ พวกเราก็ไม่บ่น แต่จิ้งหรีดเห็นบางคน บอกว่า งานนี้เขาต้องลำบาก ในการพิจารณาความอร่อย เพราะอาหาร ขนม ผลไม้ที่สมณะบิณฑบาตมามีเหลือเฟือ จนต้องนำไปให้ เรือนจำตะกั่วป่า ซึ่งอยู่ข้างอุทยานฯ...

..นักเรียนสัมมาสิกขาไปงานนี้ได้กลายเป็นนักจิตวิทยาตัวน้อย สามารถเยียวยาจิตใจผู้ประสบภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จนรอยยิ้ม ของคุณป้า คุณยายกลับคืนมา เด็กๆผู้ประสบภัยมีความสุข จนไม่อยากให้พวกเราจากไป...

..นอกจากเยียวยาผู้ประสบภัยแล้ว พวกเรายังได้เยียวยาจิตใจของพลทหารที่เข้าไปปฏิบัติภารกิจต่างๆอีกด้วย ซึ่งส่วนมาก มาจากภาคอีสาน หลายคนคิดถึงแจ่ว, ข้าวเหนียว พวกเราที่ศูนย์ปากวีปซึ่งทีมบ้านราชฯรับผิดชอบ จึงจัดโรงบุญฯแจ่ว และนึ่งข้าวเหนียว เลี้ยงพลทหาร ๗๐๐ นาย นอกจากนี้สมณะฟ้าไท สมชาติโก ยังได้แสดงธรรมโปรด จนมีคนประกาศ เลิกบุหรี่ และตั้งใจจะลดละอีกหลายคน แล้วยังมีทีมคุรุเข้าไปสอนหนังสือเด็กนักเรียน โดยคุณครูได้ขอเชิญพวกเราไป ช่วยสอน อีกด้วย เรียกว่าศูนย์นี้ ทรีอินวัน นอกจากผู้ประสบภัยจะมีรอยยิ้มแล้วทหาร เด็กๆก็มีความสุขไปด้วย...

..แม้ไม่ได้ไปร่วมซับขวัญ แต่หลายพุทธสถาน สังฆสถานก็สามารถรับฟังการทำวัตรเช้าสายตรงจากพ่อท่านทุกวัน โดยมี สมณะ ถักบุญ อาจิตปุญโญ และคุณชูศักดิ์ จากปฐมอโศก ประสานกับทาง ทศท. ทำให้ได้รับฟังการออนไลน์ธรรมะ แล้วยังต่อ สายตรง ไปยังศูนย์ต่างๆทำวัตรเช้าพร้อมๆกันอีก และขออนุโมทนาต่อเจ้าของโทรศัพท์มือถือ ทุกท่าน ที่ให้หยิบยืมใช้ ในช่วงทำวัตรเช้า...

..คุณตะวันธรรม ข่าทิพย์พาที, คุณนิ้งหน่อง ( น้องของอาจารย์หญิง, คุณป้าเกษร และท่านอื่นๆ ช่วยกันแยกขวดน้ำ พลาสติก และจัดสถานที่ล้างจานไว้ให้พวกเราอย่างสะดวกสบาย โดยไม่มีใครสั่งให้ทำ นอกจากจิตสำนึกของความดี แต่ละคน ต่างโกยบุญ กันตามความเหมาะสม ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ร่วมกันปรึกษา แบ่งงานกันทำอย่างลงตัว...

..งานนี้เราไม่มีโต๊ะสำหรับวางภาชนะ ที่วางข้าวของ ที่ล้างจาน โต๊ะทำงาน ฯลฯ ก็ได้อาศัยโลงศพ ๔๐ โลง ดัดแปลงมา ทำชั้น วางภาชนะและอื่นๆโดยนำผ้าพลาสติกมาปูปิดทับ จนหลายคนไม่รู้ โดยยืมโลงใหม่ที่กองเหลืออยู่มากมายที่วัดบาง มะรวน ...

..เมื่อเราไปซื้อปูนเพื่อมาทำห้องน้ำที่ศูนย์ผู้ประสบภัย ปรากฏว่าเขาไม่คิดเงินและมาส่งถึงศูนย์ด้วยเหตุผลว่า พวกเรามาเสียสละ...

..จากเหตุการณ์สึนามิ หลายร้อยคนรอดชีวิตจากต้นไม้เพราะได้อาศัยเกาะต้นไม้ช่วงที่คลื่นซัดมา ไม่ว่าจะเป็นต้นสน ต้นมะขาม ต้นมะพร้าว...

..ทุกศูนย์ที่จิ้งหรีดพบเห็นก็คือ กองผ้าบริจาคที่วางทับถมจนเป็นภูเขา ที่ศูนย์บางม่วง อบต.เจ้าหน้าผู้รับผิดชอบ ได้มาขอ ความช่วยเหลือ จากพวกเราให้ช่วยจัดการกับกองผ้า พวกเราก็สามารถบริหารจัดการ จนราบเรียบได้ ภายในวันเดียว โดยประกาศ ล่วงหน้า ให้ผู้ประสบภัยที่ต้องการเสื้อผ้า มาเลือกเอาไปได้ตามใจชอบ ซึ่งสามารถมาเอาได้เพียงวันนี้วันเดียว เท่านั้น มีผู้ประสบภัยมาเลือกเอามากมาย ที่เหลือพวกเราเก็บใส่ถุง เพื่อเตรียมส่งไปประเทศอื่น ที่ประสบภัยและขาดแคลน...

..สมณะนึกนบ ฉันทโส คนใต้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไปพูดผญาให้ทหารอีสานฟังที่ปากวีป ทหารชอบอกชอบใจกันใหญ่...

..ศูนย์บ่อหินที่ศาลีอโศกรับผิดชอบ บรรยากาศโรแมนติคที่สุด เพราะอยู่ติดกับน้ำตก

พ่อท่านเทศน์ช่วงทำวัตรเช้า เมื่อ ๑๘ ม.ค. ชื่นชมพวกส่วนใหญ่ที่กล้าสละรองเท้า ทำให้เป็นคนติดดินมากขึ้น แสดงว่า สามารถ ละโอฬาริกอัตตา...

การเดินทางลงใต้เพื่อซับขวัญ แต่ละแห่งก็มีนักรบจากกองทัพธรรมอาสาไปช่วยงานเป็นจำนวนมาก แม้งานนี้จะต้อง ลำบาก ต้องสมถะ ติดดินจริงๆ แต่รถมีเพียง ๑๒ คัน จึงต้องให้แต่ละแห่งคัดให้พอดีกับรถ นี่แหละที่ทำให้บางคน ได้เห็นกิเลสระดับ อรูปอัตตา มโนมยอัตตาและโอฬาริกอัตตา ส่วนใครที่ไม่รู้ว่าตัวเองออกอาการอยู่ในระดับอัตตาใด ก็ให้ไปสอบถามผู้รู้ หรือพ่อท่าน ก็ได้นะฮะ.. แต่ที่จิ้งหรีดรู้มาแน่ๆ ก็คือคุณใจประนม บอกกับจิ้งหรีดว่า ลงใต้ครั้งนี้ได้เพชร คือรู้ชัดในอวิชชายิ่งขึ้น ก็ถือว่าการเดินทางคราวนี้คุ้มค่าจริงๆ

หลวงพ่อยิ้ม ( ชินธโร) พูดสรุปในคืนวันที่ ๑๙ ม.ค. ที่อุทยานพระนารายณ์ ในการสืบสานงานต่อ โดยจะเขียนจดหมาย เป็นสื่อถึงกัน อย่างต่อเนื่อง จิ้งหรีดก็ขอสนับสนุนแนวคิดนี้นะฮะ และยิ่งส่งสารที่มีเรื่องราวของชาวอโศกและชาวตะกั่วป่า ผู้ประสพภัยต่างๆ ได้ก็ยิ่งดี จะได้เป็นกำลังใจ ซับขวัญหรือแบ่งปันความทุกข์ให้กันและกันได้อย่างต่อเนื่อง ถ้าทำได้ แม้ตัวอยู่ไกล ก็เหมือนอยู่ใกล้นะฮะ..

จัสวีร์ อดีตเด็กพุทธธรรมสันติอโศก ทำงานเป็นหัวหน้าพนักงานอยู่ในโรงแรมเขาหลัก รอดชีวิตมาได้เพราะมีคนเรียกขึ้น มอเตอร์ไซค์ ขณะที่น้ำสูงขึ้นมาครึ่งขา พนักงาน ๕๐ คนรอดแค่ ๕ คน ตามคำบอกเล่าของอุบาสิการินอุรา และจัสวีร์ก็เป็น ๑ ใน ๕ คนที่รอด อีกคนเป็นลูกสาวญาติธรรมวันดี สงคราม ชื่อหญิง ก็เป็นพนักงานอีกคนหนึ่ง ที่เดียวกับจัสวีร์ ก็รอดชีวิต จากคลื่นยักษ์ ถล่มเขาหลักเช่นกัน ทั้ง ๒ คนยังมั่นคงในมังสวิรัติ จิ้งหรีดคิดว่าด้วยเมตตาบารมีช่วยให้แคล้วคลาด จากภยันตรายได้นะฮะ..จี๊ดๆๆๆ...

พึ่งเจ็บ...คุณฟ้าดาว ป่วยด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย พวกเราก็ไปเยี่ยมกันมาก เพราะคุณฟ้าดาว เป็นคนที่ช่วยงาน ส่วนกลางมานาน และมีน้ำใจ จนเป็นที่ประจักษ์ของผู้ร่วมงาน เป็นมะเร็งครั้งนี้ไม่มีใครคาดคิด รู้อีกที ก็เป็นหนัก พอชาวเราไปซับขวัญชาวใต้ที่ภาคใต้รู้ข่าว ก็เดินทางไปเยี่ยมเมื่อกลับปฐมอโศกหลังเสร็จภารกิจ แต่สมณะ เป็นห่วงว่า คุณฟ้าดาว จะเหนื่อยเกินไปกับน้ำใจพวกเราที่ไปเยี่ยมเยียน จึงให้งดเยี่ยม แล้วใช้วิธีเซ็นเยี่ยมแทน จิ้งหรีดก็ขอ แสดง ความประทับใจ ต่อญาติธรรมทุกๆคน จี๊ดๆๆๆ...

มรณัสสติ...ครูไสว พุ่มมณี อายุ ๗๗ ปี บิดาของอุบาสิการินอุรา เกิดอุบัติเหตุยกลูกเหล็ก แล้วปล่อยวางไม่ถูกช่อง ทำให้ลูกเหล็ก หล่นลงมา ทำเอาแกนเหล็กกระแทกคออย่างแรง มีผลให้เสียชีวิตที่ รพ.นนทเวช จ.นนทบุรี เมื่อ อา.๑๒ ธ.ค. ๒๕๔๗ ศพตั้งที่วัดชลประทานฯ ฌาปนกิจ ศพเมื่อ ส. ๑๘ ธ.ค. ๒๕๔๗

ฉบับนี้ขอลาไปก่อน พบกันใหม่ฉบับหน้านะฮะ...

- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เก็บมาฝาก -โดยเศษเหล็ก -
วอนเด็กไทยเข้าใจพ่อแม่ อย่าหลงกระแสต่างชาติ

กระทรวงวัฒนธรรม พยายามรณรงค์และทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย โดย นางกฤษณา พันธุวานิช กระทรวง วัฒนธรรม แจกแจงผลกระทบสืบเนื่องจากความเจริญทางวัตถุประกอบกับระบบสังคมที่มีการแข่งขันกันสูงว่า เพื่อให้ได้ ทรัพย์สิน เงินทองมาเลี้ยงชีพอย่างพอเพียง ทำให้สภาพครอบครัวไทยที่เคยมีความอบอุ่น อยู่แบบเรียบง่าย พอเพียง ต้องเปลี่ยนไป พ่อแม่มีเวลาให้ลูกน้อยลง ขณะเดียวกันพ่อแม่ก็พยายามชดเชยความรักให้แก่ลูก ด้วยวัตถุสิ่งของ แต่ขาดการอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิด อันเป็นผลให้เกิดปัญหาสังคมกลายเป็นครอบครัวคือต้นเหตุของปัญหา จะโทษฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งคงไม่ถูก ต้องร่วมมือกันทั้งพ่อแม่และลูก ให้มีทิศทาง การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามคุณธรรม จริยธรรมและระเบียบ ทางสังคม แม่ประเภทที่รักลูกพยายามสร้างความรักด้วยการมอบสิ่งของที่เกินความจำเป็นแก่ลูก จนลูกติดนิสัยฟุ้งเฟ้อ ไม่รู้จักการกตัญญูพ่อแม่ เพราะจิตใจไม่ได้ถูกปลูกฝังจากความรัก ความเข้าใจ ความเอื้ออาทรแก่กัน ทำให้เด็กไม่สามารถ แยกแยะ ความถูกผิดได้ ซึ่งวิธีการที่ดีนั้น ตัวลูกเองก็ต้องช่วยพ่อแม่ในการสร้างความผูกพันในครอบครัวด้วย เมื่อจิตใจของ ทั้งสองฝ่ายมั่นคง แข็งแรง ต่อให้มีกระแสวัฒนธรรมต่างชาติหนักเพียงใดมากระทบ ก็ไม่สามารถโน้มน้าวเด็กได้.

( จาก น.ส.พ.มติชน วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๗)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ นางผ่องพิณ ฉันทะเจริญโชค ( ป้าหยก)
ชื่อใหม่ เพียรธรรม
เกิด ๑๒ เม.ย. ๒๔๘๑ อายุ ๖๗ ปี
ภูมิลำเนา กทม.
การศึกษา ม.๓
สถานภาพ ม่าย บุตร ๑ คน
น้ำหนัก ๔๘ กก.
ส่วนสูง ๑๕๓ ซ.ม.

ที่ปฐมอโศกไม่มีใครรู้จักป้าผ่องพิณหรือป้าเพียรธรรม แต่ถ้าบอกว่าป้าหยกแล้วทุกคนจะร้องอ๋อ..ทันที ป้าเป็นญาติธรรม รุ่นแรกๆ อีกท่านหนึ่งของปฐมอโศก งานซับขวัญชาวใต้ป้าก็มาช่วยแบ่งปันความทุกข์ของผู้ประสบภัย และเป็นกำลังสำคัญ ช่วยงานครัว เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง

*** ประวัติ
มีพี่น้อง ๖ คน ป้าเป็นคนที่ ๒ อายุ ๗ ขวบ พ่อแม่แยกทางกัน ป้าและพี่สาวไปอยู่กับยายแถวเจริญกรุง ตอนนั้น สงครามโลก ครั้งที่ ๒ เข้าเรียนหนังสือชั้น ป.๑ ตอนอายุ ๑๓ ปีแล้วมาจบ ม.๓ ตอนอายุ ๒๑ ปี สมัยก่อนเขาไม่สนับสนุนให้ผู้หญิง เรียนเท่าไหร่ แต่ป้าก็อยากเรียนนะ จบ ม.๓ แล้วก็ไปเป็นหัวหน้างานบริษัทถ่านไฟฉาย ตรา ๕ แพะ ทำอยู่ ๑๓ ปีกว่า เงินเดือน ตอนนั้น ๓๕๐ บาท ตอนออกจากงาน เงินเดือนพันกว่าบาท

แต่งงานตอนอายุ ๒๘ ปี พ่อบ้าน ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกัน เขาเป็นคนกรุงเทพฯเหมือนกัน แต่งงานแล้วมีลูกสาว ๑ คน แล้วก็ออกไปทำโรงกลึง การค้าไม่ดีก็เลยเลิก แล้วไปขายอาหารที่ตั้งตรงจิตพาณิชย์ ขายดีมาก แต่ป้าป่วย สุขภาพไม่ดี ก็เลยเลิก

*** ก่อนเจออโศก
ป้าศรัทธา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เป็นถึงเลขาฯนายกรัฐมนตรี แต่แต่งตัวเรียบง่าย มีชีวิตเรียบง่ายที่สบายๆ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ดูถูกคน เห็นคุณธรรมของท่าน คุณศิริลักษณ์ ภรรยาของท่าน ก็ไม่แต่งตัว รู้สึกว่ามันง่ายดี ตรงกับใจของป้า ป้าชอบแบบนี้ แล้ววัดเขาอยู่ไหนนะ ป้าตามหาอยู่เป็นปี เพื่อนก็เลยบอกว่า พล.ต.จำลอง เป็นลูกศิษย์พระโพธิรักษ์ ตอนนี้เขาพากันมาที่ สวนลุมพินี ( ปี ๒๕๒๔) ป้าก็เลยไป

หลังจากนั้นป้าก็มาฟังธรรมที่สันติอโศก ทุกอาทิตย์ และกินเจบริสุทธิ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

*** เกิดปัญญา
ไปวัด พ่อท่านก็เทศน์เสมอว่า อาทิตย์หนึ่งมาวัดวันเดียวก็ซวยแล้ว พ่อพูดบ่อยมากเข้าหูทุกครั้ง

ช่วงนั้นลูกสาวก็มีพ่อบ้านดูแลแล้ว ก็ตัดสินใจเข้าวัด ไปอยู่ปฐมอโศกเพราะ ไปซื้อที่กับเพื่อนไว้ก่อนตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ ตอนนั้น ไม่ได้ตั้งใจไปอยู่หรอก แต่กฎระเบียบบอกไว้ หากไม่ไปปลูกบ้านจะยึดเป็นของกองกลาง ก็เลยตัดสินใจปลูกบ้าน และไปอยู่ ทำเวลา

เข้าไปแรกๆก็ไปช่วยงานที่วัด ๕ วัน แล้วกลับไปอยู่บ้าน ๒ วัน ตอนนั้นยังไม่อยากอยู่ ยังทิ้งบ้านไม่ได้ ไปๆมาๆก็อยู่เลย พ่อบ้าน ก็ไม่ขัดขวาง นานๆถึงจะกลับบ้านสักครั้งสองครั้ง จนกระทั่งพ่อบ้านเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ก็ตัดสินใจไปอยู่ปฐมอโศก

*** ชีวิตในสังคมบุญ
ไปช่วยงานหมอฟากฟ้าหนึ่งทำยาตั้งแต่เริ่มแรก ปัจจุบันช่วยทำยาอยู่ที่ศูนย์เจาะวิจัยฯ คุมเครื่องแพ็คยา ผัสสะมีเป็น ธรรมดา เมื่อเราอยู่ด้วยกัน เราก็ต้องทำใจ เมื่อเรามาทางนี้แล้วเราก็ต้องปรับตัวปรับใจ ที่ไหนจะดีเท่ากับ ที่เราได้อย่างนี้ ไม่มีแล้ว

*** สึนามิ
ตัดสินใจตั้งแต่ประชุมครั้งแรกที่ราชธานีฯแล้วว่าจะมาช่วยซับขวัญชาวใต้ ช่วยทำอะไรก็ได้ที่เขาให้ทำ

มาแล้วรู้สึกภูมิใจเท่าที่เราทำได้ มาฟังความทุกข์เขาแล้วก็เห็นใจมาก ก็ชวนเขามาที่เต็นท์บางม่วง ซึ่งสอนทำปาท่องโก๋ เขาก็มา หัดทำ ป้าเรียกมาได้หลายคนเพราะเขาชอบการค้ามากกว่าฟังธรรม

*** สุดท้าย
ถ้าเราเอาจริง ตรงไหนก็สำเร็จ ป้ายังไม่ค่อยจริงจังอะไรมากนัก ก็พยายามอยู่ จากเหตุการณ์ครั้งนี้คือ ป้าได้ประโยชน์คือ ในโลกนี้อนิจจังนะ คือเขาอยู่ดีๆ มีบ้านสวยๆ แป๊บเดียวก็ไม่มีแล้ว อนาคตมันไม่แน่นอนจริงๆ แป๊บเดียวเราอาจจะไม่อยู่ ที่นี่ก็ได้ ทำให้ป้าปลงได้มาก เขารวยๆนะเดี๋ยวเดียวก็หมดไปแล้ว บางคนเขาเสียชีวิตไปแล้วแต่บ้านเขายังอยู่

ป้าหยกฉลาด รู้ว่าวัตถุไม่เที่ยง คนฉลาดจะรีบสั่งสมโลกุตระให้แก่ตัวเอง คนฉลาดน้อยจะรีบสั่งสมโลกียะให้แก่ตัวเอง หอบหวงกอบโกยแต่วัตถุ ซึ่งไม่สามารถติดตัวไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว ดังเหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้น เขาไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่จะติดตัว ข้ามชาติเขาไปนั้นคือทรัพย์แท้ที่เป็นโลกุตระเท่านั้น

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ปฏิทินงานอโศก
ฉลองหนาวธรรมชาติอโศก ครั้งที่ ๓ () ณ พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ ศุกร์ที่ ๒๘ -อาทิตย์ที่ ๓๐ ม.ค.๔๘

งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ ๒๙ ณ พุทธสถานศาลีอโศก อาทิตย์ที่ ๒๐ -เสาร์ที่ ๒๖ ก.พ.๔๘

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,800 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]