ฉบับที่ 250 ปักษ์แรก 1-15 มีนาคม 2548

[01] ค่านิยมกินเลี้ยง
[02] "สัจจะมาฆฤกษ์ "
[03] วิสาขบูชา ศาสนสัมพันธ์ :
[04] นร.วิถีพุทธ "สันติอโศก" เข้าห้องเรียนชาวนา ร่วมกิจกรรมปลูกจิตสำนึก
[05] "โรงเรียนชาวนา" เกษตรอินทรีย์
[06] ๑๕ องค์กรภาคประชาชนรวมพลังต้านเหล้าเข้าตลาดหุ้น ชี้จะทำให้สังคมเสื่อมลงไปอีก
[07] ปราชญ์ชาวบ้านนัดถก เร่งตั้งสภาผู้นำชุมชนฯ
[08] :ระวัง! อันตรายจากภาชนะเมลามีน
[09] กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนปฐมอโศก - อินทร์บุรี
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า: ๑-๑๕ มีนาคม ๒๕๔๘
[11] นางงามรายปักษ์ นางลดาวัลย์ ทิพย์สุมณฑา
[12] เหตุเกิดที่ร้านค้าชุมชนชาวอโศก
[13] ปฏิทินงานอโศก



ค่านิยมกินเลี้ยง
ค่านิยมในการแสดงน้ำใจ ต่อผู้มาช่วยงานของชาวอโศก

หากเป็นผู้ที่เราเชิญมาจากภายนอก เราก็จะมอบของที่ระลึก ที่เป็นผลิตภัณฑ์ภายในชุมชน แต่หากเป็นคนภายใน ก็พร้อม ที่จะเสียสละแรงงานมาช่วยงาน แค่มีที่พักหลับนอน มีอาหารการกิน มีห้องน้ำห้องท่า เช่น คนอื่นๆ ที่อยู่ประจำในชุมชน ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถ้าขอเกินกว่านี้ก็เกรงจะเป็นหนี้เจ้าภาพ

บางรายก็มีความจำเป็นเกี่ยวกับค่าเดินทาง ก็ช่วยกันไปเป็นรายๆตามอัตภาพของเจ้าภาพ และผู้มาร่วมงานนั้นๆ

ข้อสำคัญเจ้าภาพ ก็มิต้องจัดการต้อนรับแบบชาวโลก เช่น ซื้อน้ำอัดลม ขนมกรอบแกรบ ไอศกรีม ฯลฯ มาเลี้ยงดูปูเสื่อ หรือ จัดของที่ระลึก เป็นที่ลำบาก โดยใช่เหตุ อันจะเป็นการสร้าง วัฒนธรรมใหม่ของชาวอโศก ที่แทรกซึมมาจากค่านิยม ของคนภายนอก ที่คนภายในที่ทำงาน กับคนภายนอกแล้วซึมซับติดเชื้อ เข้ามา

หากเราเป็นคนภายในที่มีอำนาจเงิน การยอมรับนับถือ แต่ไม่ชัดเจนในแนวทางของชาวบุญนิยม แล้วไม่ปรึกษาหมู่กลุ่ม หรือผู้รู้ ก็อาจกลายเป็น ผู้สร้างค่านิยมที่เกินพอดี ไม่พองามในหมู่กลุ่มภายใน ให้พ่อท่านและหมู่สมณะ ต้องเพิ่มงานให้หนักขึ้นอีก โดยไม่จำเป็น.

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สัจจะมาฆฤกษ์

ในช่วงทำวัตรเช้าในงานพุทธาฯครั้งที่ ๒๙ พ่อท่านได้กล่าวไว้ในช่วงอธิษฐานจิต ของวันที่ ๒๔, ๒๕ ก.พ. ๒๕๔๘ ว่า
"...คนที่อ่านจิตใจตนเองเป็น มีสติ สัมปชัญญะอยู่เสมอที่จะอ่านจิตใจของตน และยิ่งผู้ใดสามารถที่จะพิจารณา องค์ประชุมนอก องค์ประชุมใน เรียกว่ากาย จะเป็น องค์ประชุมทางรูปธรรมหรือเป็นนามธรรมก็ตาม สามารถรู้รูปรู้นาม และวิจัยลึกเข้าไปถึงนามธรรมขั้นเวทนา ขั้นจิต ขั้นธรรมในธรรม ผู้นั้นคือผู้ได้ศึกษา ผู้ได้รู้ทฤษฎี ของพระพุทธเจ้า เมื่อชีวิตเรา ได้สังวรตน มีสัมมัปปทาน ๔ สังวร สำรวมอายตนะต่างๆ เมื่อผัสสะแล้วก็รู้ตัว อ่านเข้าไปในเวทนา อ่านเข้าไปในจิต อ่านเข้าไป ในธรรม มีการวิจัยธรรม สามารถประหาร สามารถกำจัดสิ่งที่ควรกำจัด สามารถทำให้สิ่งที่ควรเจริญ ให้เจริญได้ด้วยอิทธิบาท ด้วยความมีจิตยินดีที่จะทำ ถ้าไม่มีความยินดีที่จะทำ ก็ต้องพากเพียร เพื่อให้เกิดความยินดีที่จะทำ เอาใจใส่ ในการศึกษานี้ พิจารณาตัดสินตรวจสอบ เกิดมรรคเกิดผลก็รู้ มีญาณ มีวิชชา ตนเองได้เจริญขึ้น มีอินทรีย์ มีพละในทั้งศรัทธา วิริยะ ทั้งสติ ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ผู้ที่ได้พากเพียรจริง เกิดกำลังของศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาจริง จนกระทั่ง ถึงมีกำลังสุด มีกำลังเต็มเป็นผล ผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรมตามทางนี้มีโพชฌงค์ ๗ มีมรรค ๘ อย่างแท้จริง โดยรู้ตัวเองดีว่า แต่ละวันๆ สังกัปปะก็ดี วาจาก็ดี กัมมันตะก็ดี อาชีวะก็ดี เราอยู่ในธรรม เรามีสัมโพชฌงค์ เรามีสติ มีธัมมวิจัย มีความพากเพียรตนเอง ที่จะให้เกิดมรรค เกิดผลให้แก่ตนเอง จนสามารถทำได้ เกิดปีติ เกิดปัสสัทธิ เกิดสมาธิ เกิดอุเบกขา เป็นสิ่งที่เกิดจริงเป็นจริงในตนได้ ผู้ที่รู้ทั้งภาษา ปฏิบัติเป็นจริงตามภาษา มีมรรคมีผล มีญาณ มีวิชชา สามารถอ่านความจริงตามความเป็นจริง ได้ผลก็คือได้ผล ยังไม่ได้ผลพากเพียรอยู่ ก็คือพากเพียรอยู่ ผู้ที่มีภาคปฏิบัติของตน ถึงปานฉะนี้แล คือผู้ใกล้นิพพาน"

๒๕ ก.พ.๔๘
"ชีวิตทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ควรประมาท ชีวิตควรจะต้องมีพฤติกรรม ที่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ตนซึ่งมีทั้งกัลยาณธรรม มีทั้งอาริยธรรม ประโยชน์ท่าน ก็จะเกิดซ้อนอยู่ ในกุศลทั้งหลายแหล่ กุศลของโลกีย์ก็ยังเป็นประโยชน์ กุศลของโลกุตระ ยิ่งเป็นประโยชน์ท่านอย่างบริสุทธิ์ที่สุด ถ้าชีวิตเกิดมา ไม่ได้เรียนรู้โลกุตระ เกิดมาก็จะวนเวียนอยู่ ในวัฏสงสารของโลกีย์ มีกุศลมีอกุศล มีสวรรค์มีนรก หมุนเวียนเป็นวัฏสงสารอยู่อย่างนั้น สูงต่ำ ต่ำสูง ดีชั่ว ชั่วดี ไม่มีการจบสิ้นได้ง่ายๆ จนกว่า จะได้เรียนรู้โลกุตระ และทำตน ให้ตัดวัฏสงสารนั้น ลงไปได้ลงไปได้เรื่อยๆ เมื่อผู้ที่ได้ดับ วัฏสงสารที่ต่ำ ที่หยาบ ดับได้เป็นชั้นๆๆ สูงขึ้นไปเรื่อยๆจนสูงสุด สิ้นวัฏสงสาร รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในวัฏสงสาร แม้ที่สุด เราก็จะเป็นผู้ที่หลุดพ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ในการวนเวียน ในการเกิดการดับ เรามีทางที่จะหยุดหมุนเวียนในทุกวัฏสงสารได้ ผู้ที่บรรลุโลกุตระสูงสุด จะรู้จักความวน ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างเป็นสิ่งที่ชัดเจนสูงสุด ว่าเกิดจากเหตุอะไร ทำอย่างไรในใจจึงจะสามารถหยุดเหตุนั้น ดับวัฏสงสารนั้นสิ้นซากเป็นปรินิพพาน ผู้ถึงที่สุดแห่งที่สุด รู้จักที่จบของการดับสิ้น หมดวัฏสงสาร ฉะนี้แล เรียกว่าอรหันต์".
- เด็กวัด -

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

- สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ -

วิสาขบูชา ศาสนสัมพันธ์

ผลจากรายการในงานพุทธาฯ "จะสร้างชุมชนฉลอง ๗๒ ปีให้เข้มแข็งได้อย่างไร?" และการแบ่งกลุ่มสัมมนาว่า แต่ละชุมชน และเครือแห (เป็นคำใหม่แทนคำว่าเครือข่าย) จะทำชุมชน ให้เข้มแข็งได้อย่างไร ทำให้แต่ละชุมชนได้พยายาม หาวิธีเร่งรัด พัฒนาชุมชนของตน มีการพูดถึงสิ่งที่เป็นปัญหาและข้อบกพร่อง รวมถึง สิ่งที่น่าจะได้ทำเพิ่มขึ้น ในชุมชนนั้นๆคืออะไร

ที่สันติอโศกก็มีการประชุมในประเด็นนี้ ๕ มี.ค. และนิมนต์ให้พ่อท่านให้โอวาทปิดประชุม "ขอให้พวกเราผนึกกันแล้วก็ขยัน พากเพียร ขึ้นมา เหมือนแม่โคที่เลี้ยงลูกด้วย เล็มหญ้ากินด้วย อย่างญาณ ๕ ของพระโสดาบัน ก็ต้องเจริญทั้งสองด้าน ในกิจน้อยใหญ่ ของเพื่อนสหธรรมิก และเราก็จะต้องเพ่งเล็งกล้า อยู่ในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาด้วย อันนี้แหละ เป็นตัวที่ จะต้องเร่งรัดพัฒนา พวกเราขึ้นมาให้ได้ เราจะประชุมกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ต้องขมีขมันขึ้น มันไม่ได้เสียหายอะไร เพราะพวกเรา ไม่ได้ทำงานเพื่อ อามิส แต่เราทำเพราะปัญญา ขอย้ำว่า อย่าลืมเพ่งเล็งกล้าในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาของเราให้จริง ซึ่งมันจะทำให้เราเจริญ ทั้งสองด้าน ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง หลายคน ก็คงไม่ลังเลสงสัย เหลือเพียงพากเพียร เพิ่มวิริยินทรีย์ ขึ้นมา หลายคนก็วิริยินทรีย์เป็นไปตามธรรมชาติ แต่ถ้าสำนึกแล้ว ก็เพิ่มให้กับตนเอง มันก็จะเกิดวิริยะ ความพากเพียรของวิริยะ ก็จะเกิดเป็นกำลังขึ้นมาด้วย ซึ่งเราต้องเจตนาที่จะทำให้มันเพิ่ม"

เมื่อพูดถึงอายุ ๗๒ ปีของพ่อท่าน แทบไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันพ่อท่านอายุ ๗๑ ปี แล้ว วันก่อน ๖ มี.ค.ที่วัดมกุฎกษัตริยาราม ไปร่วมงาน เผาศพ คุณบรรยง เสนาลักษณ์ หรือเทิ่ง สติเฟื่อง พิธีกรชื่อดังในอดีต ไม่ว่าจะเป็น คุณอาคม มกรานนท์ คุณสะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์ คุณอารีย์ นักดนตรี รวมถึงบุคคลในวงการนั้น อีกหลายคน ที่ผู้เขียนไม่รู้จัก ได้มาทักทาย ต่างล้วนชมว่า ดูท่านแข็งแรงดี หน้าตาอิ่มเอิบมีราศี

เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของพ่อท่านช่วงนี้ อาการเจ็บเอวหายสนิทแล้ว อาจเป็นเพราะเห็นผลดีขึ้นจริงๆ ทำให้พ่อท่าน ให้คุณ เหมือนพร ดูแลรักษาตาต่อ ด้วยงานที่พ่อท่าน ทำต้องอยู่ กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นเวลานาน เพื่อถนอมสุขภาพตา การรม ดวงตาด้วยสมุนไพร และการเขี่ยล้างสิ่งสกปรกหรือพิษหรือไขมันในดวงตา ออก ด้วยกระชาย โดยมีน้ำเกลือ และน้ำอึ้งเน้ย ซึ่งเป็นสมุนไพรหลายชนิด เป็นตัวทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ นอกจากนี้ยังมียาชาสี้เข้มๆ ที่ทำจากสมุนไพร โดยปราศจาก สารสเตียร์รอย ตามวิธีการโบราณ ที่คุณเหมือนพร ได้ร่ำเรียนมาจาก กะเหรี่ยง เริ่มจากรมตาด้วยหม้อสมุนไพร ครั้งละ ๒๕ นาทีสองครั้ง ก่อนจะเขี่ยล้างตา ด้วยกระชาย และน้ำสมุนไพรอีก ๓๐ นาที ซึ่งวิธีการนี้ พ่อท่านเคยให้ทำมา หลายปีแล้ว และหยุดไปในช่วงที่ตาขวามีปัญหา จอภาพ มืดตามที่ได้ทราบกันมาแล้ว

คุณเหมือนพรอธิบายว่าที่ผนังตาด้านล่างมีริดสีดวงตาหลายเม็ด ส่วนตาข้างซ้ายมีหนองเล็กๆฝังอยู่ข้างใน การรักษา จึงต้องใช้ กระชายขูดออกให้สะอาด และชี้ให้ดู เส้นไขมันในตา ที่กำลังเขี่ยออก ว่าเป็นเหตุทำให้ตาเป็นฝ้าขาว ไม่มีประกาย เป็นตา น้ำข้าว วิธีการนี้จะทำให้ต่อมน้ำตาสะอาด ทำให้น้ำตาออกมา หล่อเลี้ยงดวงตาได้มากขึ้น จะช่วยให้ดวงตาไม่แห้ง ไม่ต้องไปใช้ น้ำตาเทียม จะทำให้การแตกของเส้นเลือดฝอยลดลง ถ้าไม่เขี่ยล้างทำความสะอาด เมือกมันจะเข้าสู่เรตินา ซึ่งจะทำให้ตา เป็นสีขาว เลนส์ตาจะขุ่น กระชายจะเป็นสื่อดึงไขมัน หรือเมือกมันออก ถ้าปล่อยไว้นานไป จะเกิดโรคต้อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ต้อเนื้อ ต้อหิน หรือต้อกระจก

นอกจากนี้คุณเหมือนพรได้แนะนำ ให้พ่อท่านกดนวดบริเวณหัวตาและหัวคิ้ว รวมถึงรีดไล่ลมที่ขอบตาล่างทุกวัน เพื่อเส้น เลือดตา บริเวณนั้น จะได้ไม่บวม และไม่เกิดถุงใต้ขอบตา

อีกวิธีการหนึ่งของการดูแลรักษาสุขภาพในช่วงนี้ คุณเหมือนพรได้นำหมอ สุจิตรา เพื่อนร่วมรุ่นที่จบแพทย์แผนไทยมาด้วยกัน ได้มาช่วยทำการรักษา ขูดผิวหนัง เพื่อขับพิษ ที่สะสมอยู่ภายใน โดยใช้เขาควาย ที่ถูกฟ้าผ่าตาย เป็นอุปกรณ์ในการขูด หมอ สุจิตราอธิบายว่า เหตุที่ใช้เขาควายที่ถูกฟ้าผ่า ตาย เพราะขณะที่ฟ้าผ่านั้น เขาจะดูดพลังไปไว้มาก

การขูดผิวหนังทั้งด้านหน้าและหลังลำตัว ใช้เวลาประมาณ ๑ ชม. ได้รับคำอธิบายว่า ตรงไหนที่ไม่มีสารพิษ ก็จะไม่มีเลือด แดงเข้ม ออกมาให้เห็น ซึ่งการขูดพิษวิธีนี้ จะต่างจากที่ใช้เหรียญ และการครอบถ้วยแก้ว ตรงที่เลือดจะไม่คั่งค้างอยู่นาน คือไม่ช้ำเหมือนการใช้ครอบถ้วยแก้ว

คุณเหมือนพรอธิบายถึงรอยแดงที่เกิดขึ้นบริเวณปอดและชายตับอ่อนว่า เกิดจากการสะสมพิษของสารเคมี ทั้งยาและวิตามิน ที่พ่อท่านฉัน มานานเป็นสิบๆปี แล้วก็ชี้ให้ดู บริเวณปอดด้านบนว่า พ่อท่านหายใจเพียงส่วนบน ไม่ได้ลงมาถึงข้างล่าง ซึ่งเป็นการหายใจแบบไม่คล่อง แล้วทำให้เสียงเครือ และก็จะไอ เสมหะก็จะเกิดที่คอ อันนี้คือพิษตกค้างข้างใน จะไปตรวจอย่างไร ก็ไม่เจอ ตับพ่อท่านก็ปกติ ไตก็ปกติ แต่แพทย์แผนไทย มาเก็บรายละเอียด ที่พิษตกค้างข้างใน และใช้วิชาขูดพิษ ในการรักษา

เมื่อผู้เขียนถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นพิษจากวิตามิน คุณเหมือนพรตอบว่าทุกอย่างมันจะมีผลข้างเคียงทั้งนั้น มันมีการตกค้าง ทั้งนั้น ผู้เขียนยังคงย้ำถามว่า แล้วเราสรุปได้อย่างไร ว่าพิษที่ว่า มาจากวิตามิน

หมอสุจิตราช่วยอธิบายเสริมว่า ทางล้านนา (วิชาแพทย์โบราณของล้านนา) เขาบอกว่าตับที่ถูกทำลาย ให้ดูที่ข้อนิ้วมือ ตัวดิฉัน จะไม่ทานยาแผนปัจจุบันใดๆ ทั้งสิ้นเลย เส้นข้อนิ้วมือจะแดง แต่ถ้าโดนยาเคมี หรืออะไรก็แล้วแต่ เส้นข้อนิ้วมือจะซีด ไม่มีสีเลือด แล้วก็นำนิ้วมือของตน เปรียบเทียบให้ดู กับนิ้วของพ่อท่าน นี้เป็นการวินิจฉัยโรค ของล้านนา เนื่องจากไม่มีเครื่องมือ ทางวิทยาศาสตร์ ในการวินิจฉัย จึงใช้การดูเส้นข้อนิ้วมือแทน

ที่จุดหัวใจของพ่อท่าน มีรอยแดงน้อยๆ แสดงถึงพิษที่ออกมาจากรูขุมขน ถ้าสีแดงแบบนี้ประมาณ ๓ วันจะหายเกลี้ยง โดยที่ไม่ต้อง เอาอะไรไปทาทั้งสิ้น พิษจะออกของเขาเอง และจะหายไปเอง หมอสุจิตราบอก ให้ถ่ายภาพไว้ เพื่อดูเปรียบเทียบ สีของผิวที่ได้ขูดเอาพิษออกมา

จุดตับอ่อนมีรอยแดงนิดหน่อย พ่อท่านรู้สึกเจ็บเมื่อเขาควายผ่านไปสัมผัส หมอสุจิตราจึงยังไม่กล้าลงน้ำหนักในการขูด ครั้งแรกนี้ ถ้ากดลงไปจะเจ็บ เหมือนมีคัตเตอร์ บาดเข้าไปข้างใน

เมื่อดูบริเวณปอดและหัวใจที่มีสีแดง หมอสุจิตราบอกว่าอย่างนี้ถือว่าไม่เยอะ นิดเดียว เพราะสีแดงแบบนี้ถือว่าเป็นนิดเดียว
ผู้เขียนถามว่า ถ้าเลือดซึมออกมา จะถือว่าอาการมากหรือ หมอสุจิตราว่าไม่ใช่ นี่คือพิษของโรค ไม่เกี่ยวกับเลือดเลย ผู้เขียน ถามต่อแล้ว ถ้าอาการหนักจะเป็นอย่างไร มันจะแดงมากเลยหรือ ซึ่งหมอสุจิตราบอกว่า มันจะแดงเข้มเลย ถ้าเป็นมะเร็ง ก็จะออกสีม่วง ถ้าไปฉายแสงคีโมมาแล้ว จะออกน้ำตาล แต่ถ้าถึงขั้นสีเหลืองแล้วไม่รักษา เพราะตรีทูตแล้ว

ที่บริเวณไหล่ซ้ายของพ่อท่าน เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีรอยแดงเข้มกว่าที่อื่นๆ ได้รับคำอธิบายว่า มีพังผืดเกาะอยู่ พ่อท่านรับว่า จุดนี้เคยเจ็บ อยู่หลายครั้ง
ผู้เขียนถามว่า พังผืดเกิดจากอะไร หมอสุจิตราบอกว่า เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติ อาจจะนั่งท่าเดียวนานๆ ใช้แขนนานๆ คุณเหมือนพรเสริมว่า เลือดลมมันวิ่งไม่สะดวก

หมอสุจิตราอธิบายสุดท้ายว่า ทางล้านนาเขาพูดได้อย่างเดียวเมื่อเราป่วย นั้นแหละเป็นพิษ ก็จะขูดพิษเพื่อล้างออก การล้างพิษ ก็คือการดีท็อกซ์ แต่การดีท็อกซ์ ที่เราใช้น้ำกาแฟ จะเป็นการล้างพิษ ที่ลำไส้ใหญ่ แต่อันนี้คือดีฟดีท็อกซ์ มีนายแพทย์ท่านหนึ่ง ช่วยอธิบายเป็นภาษาอังกฤษให้เราว่า การขูดพิษก็คือ การดีฟดีท็อกซ์ คือการเอาพิษออก ไม่ว่าพิษ มันจะอยู่ที่อวัยวะส่วนไหน มันก็จะเอาออกมาได้หมด ไม่ว่าจะเป็นที่ปอด ไต ตับ ฯลฯ

เรื่องการคัดค้านการนำเอาน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทั้ง พล.ต.จำลอง ก็พยายามให้ข่าวสารติดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อให้ ตระหนักถึงโทษภัยของสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากนำเอา น้ำเมาเข้าในตลาดหลักทรัพย์ ชาวอโศกเอง ก็ได้ช่วยกันรณรงค์ ไปเป็นมวล ในการยื่นหนังสือคัดค้าน การนำเข้า ตลาดหลักทรัพย์ ตามที่พวกเราทราบกันแล้ว

พ่อท่าน ท่านจันทร์ รวมทั้งพล.ต.จำลองก็ได้ไปร่วมออกรายการพูดถึงเรื่องนี้โดยตรง ที่ไททีวี ๔ มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนเรื่อง จะเงียบเชียบมาก สังคมส่วนใหญ่ ยังคงวางเฉยกับเรื่องนี้ เข้าใจว่าที่สุดแล้ว ก็คงจะต้านกระแสทุนนิยม กระแสโลกีย์ไม่อยู่แน่ เป็นเรื่องน่าเศร้าของสังคมอีกเรื่องหนึ่ง

เรื่องที่น่ายินดีก็คือ งานวันวิสาขะปีนี้ ฝ่ายผู้มีอำนาจในรัฐบาล สนใจที่จะส่งเสริมให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าที่แล้วๆมา ทางศูนย์คุณธรรม และสถาบันบุญนิยม ได้รับการติดต่อ ให้มีส่วนร่วมในการจัดงาน ที่พุทธมณฑล โดยจะมีกลุ่มศาสนาอื่นๆ รวมถึงองค์กรพุทธอื่นๆด้วย

พ่อท่านบอกเล่าเรื่องนี้ให้หมู่สมณะได้ทราบ หลังจากการร่วมลงอุโบสถ์ฟังพระปาติโมกข์แล้วว่า จะทำคล้ายๆกันกับปี ๒๕๒๔ ที่สวนลุมฯ เราก็จะทำอย่างนั้นนะ ให้คนเข้ามา สัมพันธ์ สัมผัส จะนั่งคุยโอภาปราศรัย คุยกับสมณะปักกลดไป เขาก็มาเราก็มา แม้แต่คริสต์ อิสลามจะมาร่วมออกร้าน ตั้งเต็นท์ เผยแพร่คำสอน ตามแบบศาสนาของเขา ก็ยินดี สวดมนต์ก็สวดกันคนละที่

ท่านจันทร์เสริมว่า เขาจะแบ่งโซนให้ เพราะที่ ๒,๕๐๐ ไร่เหลือเฟือ กลุ่มนี้จะทำอย่างไรก็ทำไปตามแนวทางนั้น แล้วเขาจะมี เวทีกลางให้ แล้วจัดเวลาให้ว่า เออกลุ่มนี้ได้เวลาของเวทีกลางเวลานี้ แล้วก็ไปใช้เวทีกลาง

เรื่องนี้ที่สุดจะเป็นอย่างไรก็คงต้องรอดูกันต่อไป สำหรับพ่อท่านนั้นไฟเขียว ยินดีที่จะรับนิมนต์ไปร่วมวิสาขบูชาศาสนสัมพันธ์.

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



นร.วิถีพุทธ "สันติอโศก" เข้าห้องเรียนชาวนา
ร่วมกิจกรรมปลูกจิตสำนึก

ห้องเรียนในทุ่งกว้าง ศึกษาการทำ กสิกรรมยุค ไอที ท่ามกลางกลียุคที่ว่าทันสมัย แต่อีกมุมหนึ่งยังคงความงดงาม ของธรรมชาติ ได้อย่างแท้จริง และกำลังกระจายเครือข่าย ไปทุกหนแห่ง ใครตามไม่ทันท่าจะเป็นคนล้าสมัยที่สุด ล้าสมัย ที่ไม่รู้จักธรรมชาติ อย่างแท้จริงว่าแท้ๆนั้นธรณีของแผ่นดินต้องการอะไรกันแน่

โรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศกร่วมกับเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษชาวละโว้อโศก เปิดห้องเรียนพิเศษให้กับนักเรียน สัมมาสิกขา สันติอโศก ม.๑,๒ เรียนรู้กสิกรรมไร้สารพิษ อย่างแท้จริง ณ โรงสี ธีรโชติเจริญกิจ ๑๓๔ หมู่ ๒ ต.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี พื้นที่ของ อาจารย์ เชาว์วัช หนูทอง ผู้ที่เอาจริงเอาจัง กับการพัฒนาดินปลูกข้าวโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อนักเรียนได้สัมผัส การเกี่ยวข้าว เรียนรู้ชีวิตชาวนา ยุค ไอที อย่างใกล้ชิด

เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๘ เวลา ๐๕.๐๐ น. สมณะเมฆฟ้า คณะคุรุสัมมาสิกขาและนักเรียน รวม ๔๙ ชีวิต เดินทาง ออกจาก สันติอโศก เพื่อศึกษางาน ถึงพื้นที่ลงทักทายเจ้าบ้าน เมื่อทักทายเจ้าของ ผู้มากด้วยความรู้และประสบการณ์กันแล้ว นักเรียน และคณะคุรุจึงได้ลงแขกเกี่ยวข้าวกัน บางคน เป็นลูกชาวนา เคยช่วยพ่อแม่เกี่ยว จึงไม่หนักมากนัก แถมสอน แนะนำเพื่อน ได้ด้วย แต่บางคน สิเป็นครั้งแรกที่ลงนาจึงต้องเรียนรู้กันมากหน่อยแต่ด้วยข้าวที่งาม หญ้าแทบ ไม่มี แถมนาไม่มีสารพิษตกค้าง พวกเราจึงเกี่ยวข้าวกัน อย่างสบายๆ แม้เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยแต่สนุกมากทีเดียว ทั้งได้ความรู้ มากมาย อาจารย์เชาว์วัช ใจถึง วัดนาข้าว ๔ ตารางวา แล้วลงทุนเกี่ยวเพื่อทดสอบหาปริมาณข้าว สำหรับที่เราได้เกี่ยวกัน ในงานนี้ทั้งหมด ๕ ไร่ สรุปแล้ว ได้ข้าวประมาณ ๑๑๐ ถังต่อไร่ถือว่าได้ข้าวมากทีเดียวในการปลูกข้าวแบบไร้สารพิษ

เมื่อท้องหิวจึงต้องหยุดงานกองทัพเดินด้วยท้อง รู้สึกว่าคณะทีมร้านอาหาร บิ๊กเซียนที่ขึ้นชื่อของจังหวัดคงรู้จักสุภาษิตนี้ดี วันนี้ จึงยกครัวจากร้าน มาเลี้ยงทีมเราถึงที่นี่ งานนี้ทุกคน ก่อนตักอาหาร ต้องระวังอยู่อย่างหนึ่ง คือระวังจะอิ่มเกินไป เพราะอาหาร อร่อยมากๆ ขอบอก

ภาคบ่าย อาจารย์เชาว์วัช พบทีมนักเรียน เล่าประวัติถึงความพยายามที่พัฒนาตนถือศีล ๕ และการทำงานมาจนถึงทุกวันนี้ งานนี้ได้ความรู้กันเพียบเลย ไฟชีวิตขึ้นกับพรึบ

ลงงานต่อบ่ายนี้เกี่ยวกันจนเสร็จเพราะร่วมแรงร่วมใจกันดีทีเดียว ตกเย็นไปดูสวนองุ่นไร้สารพิษของสมาชิกกลุ่มละโว้อโศก ทึ่งนะทึ่ง ความเพียรของคนที่นี่ ที่ตั้งใจทำกสิกรรมไร้สารพิษ อย่างตั้งใจจริง

ภาคค่ำ นักเรียนทำขบวนการกลุ่ม หลักสูตรมหัศจรรย์จะไม่เลือนหายตราบใดที่ยังคงให้เวลา ให้ความเข้าใจ ให้โอกาส กันและกันอยู่ ค่ำนี้หลับดี เพราะทุกคนเข้าใจกัน เปิดรับกันและที่สำคัญ พร้อมตระหนักถึงขบวนการกลุ่ม ที่เข้มแข็ง

ภาคเช้าของอีกวัน ม.๒ ทำขบวน การกลุ่มให้น้อง ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว งานนี้ได้ฝึกทั้งพี่ทั้งน้องสนุกสนานและประทับใจ ไม่รู้ลืม แน่นอน ความเป็นพี่เป็นน้องเพิ่มมากขึ้น
สรุป งานนี้ได้ทั้งความรู้ และพี่น้อง อย่างแท้จริง

อาจารย์ เชาว์วัช หนูทอง "เป็นการจัดการศึกษาที่ดีมาก การเรียนต้องมีทั้งทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จึงจะมีความก้าวหน้ามาก ในชีวิต ฝากนักเรียนให้มั่นคง ในแนวทางการศึกษาชาวอโศก เพราะดีที่สุดแล้ว เป็นอะไรที่ล้ำสมัย ตั้งใจ เรียนกันนะ"

กลับถึงวัด สรุปงานด้วยความสนุกสนาน ปีติใจที่งานนี้สำเร็จเกินคาด สาธุผู้จัดสิ่งดีๆให้กับนักเรียนนะคะ.

- ฟ้าอิสระ รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

"โรงเรียนชาวนา" เกษตรอินทรีย์

หากคำว่า "โรงเรียน" มิได้มีความหมายจำกัดอยู่แค่เพียง อาคารเรียน ห้องเรียน หรือกระดานดำ การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในที่ใด ที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นใน เรือกสวน ไร่นา หรือท้องทะเล มหาสมุทร ก็น่าจะถือได้ว่า สถานที่เหล่านั้น มีสถานะไม่ต่างไปจาก โรงเรียนเหมือนกัน

๒ ปีมาแล้ว ที่ "โรงเรียนชาวนาเกษตรอินทรีย์" โครงการเล็กๆ แต่มีคุณค่ามหาศาลต่อการสร้างสุขภาวะของชาวนาไทย ได้ก่อเกิด และขยายเครือข่ายออกไปกว่า ๑,๐๐๐ แห่งทั่วทุกภาคของประเทศ

นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของโรงเรียน ที่มีห้องเรียนเป็นท้องทุ่งนา มีหลังคาเป็นท้องฟ้า มีลมพัดโชยมาพอให้คลายร้อน ที่สำคัญมี "ไอ้ทุย" เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน ด้วยว่า จากการทำงาน ที่ต้องเชื่อมโยง กับลูกค้า ซึ่งกว่า ๕ ล้าน ครัวเรือนเป็นเกษตรกรแล้วพบว่า ต้นทุนส่วนหนึ่ง ของคน ที่เป็นทั้ง ลูกค้า และลูกหนี้เหล่านี้ คือเงินที่ต้องใช้จ่ายไปกับการซื้อ "สารเคมี" เพื่อเร่งผลผลิต ก็เลยมาคิดว่า หากเราสามารถ ทำ ให้คนเหล่านี้ หันมาใช้เกษตรอินทรีย์ ในการเพิ่มผลผลิตข้าว ก็น่าจะสามารถลดต้นทุน ลงได้มาก อีกทั้งยังช่วยยืดอายุ ของชาวนาไทย ให้ไม่ต้องตายผ่อนส่งจากสารเคมีด้วย

โครงการโรงเรียนชาวนาเกษตรอินทรีย์ จึงเริ่มต้นด้วยการเข้าไปพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจเรื่องเกษตรอินทรีย์ การคัดเลือก พันธุ์ข้าว ที่จะปลูกอย่างเหมาะสม วิธีดูดิน แหล่งน้ำ ไปจนถึงการเปิดโอกาส ให้นักเรียนชาวนาจากที่ต่างๆ ได้แลกเปลี่ยน เรียนรู้ประสบการณ์ ซึ่งกันและกัน เชื่อมโยงความสัมพันธ์ ด้วยการนัดพบกันทุกสัปดาห์ บางคนพูดถึง สิ่งที่อยากทำ นอกเหนือ จากการปลูกข้าว นำไปสู่การริเริ่มนำเกษตรอินทรีย์ไปใช้กับพืชผลอย่างอื่น เช่น น้อยหน่าอินทรีย์ ถั่วเหลืองอินทรีย์ เรื่อยเลยไปถึง การต่อยอด เป็นผลิตภัณฑ์ ของชุมชนเพื่อสร้างรายได้ จนเกิดเป็นโรงเรียนลูก เช่น โรงเรียนทำกินทำใช้ ที่อยู่ภายในโรงเรียน ชาวนาเกษตรอินทรีย์ มีทั้งการเผาถ่าน ผลิตน้ำยาอเนกประสงค์ น้ำยาล้างจาน ยาสระผม ฯลฯ ทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากความรู้ที่พอกพูน อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว

จากโครงการเล็กๆวันนี้ โรงเรียนชาวนาเกษตรอินทรีย์ ขยายกิจการเพิ่มขึ้นถึง ๑,๐๐๐ แห่งทั่วประเทศ ในระยะเวลาเพียง ๒ ปี มีเกษตรกร ที่แม้จะไม่ใช่ลูกค้า หรือลูกหนี้ของ ธ.ก.ส. สนใจเข้ามาร่วม เป็นนักเรียนชาวนาเกษตรอินทรีย์ เป็นจำนวนมาก

จำนวน โรงเรียนชาวนาเกษตรอินทรีย์ที่เพิ่มขึ้น อาจไม่มีความหมาย เท่ากับวันนี้ ชาวนาไทยได้สั่งสมประสบการณ์การเรียนรู้ ของตนเอง ที่แปรเปลี่ยนกระแสการพัฒนา จากความ "ไม่ยั่งยืน" มาสู่ "ความยั่งยืน" ได้อย่างไม่ยากเย็น.
(จาก นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๑๑ ก.พ.๔๘)

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



๑๕ องค์กรภาคประชาชนรวมพลังต้านเหล้าเข้าตลาดหุ้น
ชี้จะทำให้สังคมเสื่อมลงไปอีก

ผู้หญิงและเด็กแย่แน่ๆ ถ้าพ่อแม่พี่น้องไม่ช่วย
สถาบันบุญนิยมร่วมช่วยเต็มที่

*กระแสต้านเหล้าเข้าตลาดหุ้นลาม ล่าสุด "ม็อบ" ๑๐๐ กว่าชีวิตจากเครือข่ายภาคประชาชน ๑๕ องค์กร บุกตลาดหลักทรัพย์ฯ ตัวแทนได้ยื่นจดหมายถึงมือ "กิตติรัตน์" เผยเงินออมคนไทยมีจำกัด ไม่ควรหนุนให้ธุรกิจ "สีเทา" ดูดไปขยายกิจการ ที่สร้าง ความหายนะ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เอ็มดีตลาดหลักทรัพย์ฯ รับปากจะนำเรื่อง เสนอบอร์ดทบทวน

จากกระแสคัดค้านธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตามที่ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้นำเสนอมาอย่างต่อเนื่องนั้น ล่าสุดได้มีแนวร่วม ที่ไม่เห็นด้วย ขยายวงกว้างขึ้น

โดยเมื่อวันที่ ๒๒ ก.พ.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ ๐๗.๐๐ น. ได้มีตัวแทนจากเครือข่ายภาคประชาชนกว่า ๑๐๐ คน จาก ๑๕ องค์กร เดินทางไปชุมนุมประท้วง ที่ อาคาร ตลท. พร้อมยื่นจดหมายเปิดผนึก ต่อคณะกรรมการหรือบอร์ดตลท. เพื่อคัดค้าน ธุรกิจ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เข้าจดทะเบียน ในตลาดหุ้น กระทั่งเวลาประมาณ ๐๘.๒๐ น. วันเดียวกัน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลท. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ได้ลงมาต้อนรับ พร้อมรับหนังสือคัดค้าน จากตัวแทน ๑๕ องค์กร พร้อมกันนี้ นายกิตติรัตน์ ได้เชิญตัวแทนม็อบ เจรจาร่วมชั่วโมง

สำหรับรายชื่อเครือข่ายภาคประชาชน ๑๕ องค์กร ที่ยื่นหนังสือคัดค้านประกอบด้วย เครือข่ายเยาวชน No NA Club (No Nicotine and Alcohol Club), กลุ่มผู้ชายเลิกเหล้า บ้านคำกลาง อำนาจเจริญ, เครือข่ายพระสงฆ์ นักพัฒนา, เครือข่าย กสิกรรมไร้สารพิษ, ศูนย์ประสานงาน ช่วยเหลือผู้หญิงและเด็ก ชุมชนไทยเกรียง, ศูนย์ประสานงาน ช่วยเหลือผู้หญิง และเด็ก ชุมพร, ศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กเชียงใหม่, ศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้หญิง และเด็กสงขลา, ศูนย์เพื่อนหญิง อำนาจเจริญ, ศูนย์สร้างสรรค์และพัฒนาสื่อสีขาว, สถาบันครอบครัวรักลูกและพิพิธภัณฑ์เด็ก, สถาบันบุญนิยม, ศูนย์ประสานงาน ช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กอำนาจเจริญ, ศูนย์พัฒนาคุณธรรม มหาวชิราลงกรณราชวิทยาลัย

ทั้งนี้จดหมายที่ ๑๕ องค์กร ส่งถึงบอร์ดตลท.นั้นได้ขอให้พิจารณาไม่อนุมัติให้บริษัทไทยเบฟเวอร์เรจส์(๑๙๙๙) จำกัด (มหาชน) หรือเบียร์ช้าง และบริษัทในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ เข้าจดทะเบีบนในตลท. ซึ่งจะทำให้ทุนอันเกิดจาก การออมของคนไทย ที่มีจำกัด ถูกดึงมาสนับสนุนกิจการ ที่นำมาซึ่งความสูญเสีย ทั้งทางเศรษฐกิจ สุขภาพและสังคม

"คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงไม่ควรคำนึงแต่เพียงการขยายขนาด ของตลาดโดยการนำธุรกิจสีเทาที่ก่อผลประโยชน์ แก่คนกลุ่มเล็กๆ แต่สร้างผลกระทบ ต่อสังคมในวงกว้าง" ตอนหนึ่งของจดหมายต่อต้านระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การที่แกนนำคัดค้านนำเหล้าเข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ฯ ซึ่งหัวขบวนใหญ่คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ประธานมูลนิธิกองทัพธรรม ไม่ได้เดินทาง มาร่วมยื่นหนังสือคัดค้านครั้งนี้ ทั้งนี้เนื่องจาก ได้มีภารกิจเดินทาง ไปประเทศเกาหลีใต้

นายจเด็ด เชาวน์วิไล ตัวแทนเครือข่ายช่วยเหลือผู้หญิงและเด็ก เปิดเผยว่า การคัดค้านครั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกัน พิจารณา ในประเด็น การนำธุรกิจสุรา เข้าจดทะเบียนในตลท. ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงโดยเฉพาะเด็กและสตรี เนื่องจากปัจจุบัน มีผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากผู้ที่ดื่มสุรานั้นมีจำนวนมาก พร้อมกล่าวว่า นายกิตติรัตน์ เป็นผู้ที่มีบทบาท สำคัญที่สุด ในตลท. ดังนั้นเชื่อว่า ในสมัยที่นายกิตติรัตน์ดำรงอยู่นี้ ก็ไม่น่าจะให้มีธุรกิจ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เข้ามา จดทะเบียน เพราะเห็นว่า เป็นผู้ที่สนับสนุนเยาวชน ในทางที่ดีอยู่แล้ว เพราะถ้าธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เข้าตลท. ได้ ก็จะส่ง ผลเสียหายอย่างมาก

"อยากให้กรรมการทุกท่านคิดให้ดีเพราะธุรกิจนี้ไม่ต้องอยู่ในตลท.ก็มีกำไรอยู่แล้วและคิดว่าทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยได้มาก เพราะว่าเป็นแหล่งระดมเงินทุนที่ใหญ่มาก ถ้าปล่อยให้ธุรกิจเหล้าเข้ามาแล้วก็จะมีการขยายกิจการและขยายการโฆษณา ผมคิดว่าจะเป็นปัญหา ที่ซับซ้อน และได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ" นายจเด็ดกล่าว

เช่นเดียวกับนายแทนคุณ จิตต์อิสระ ตัวแทนเครือข่ายเยาวชน No NA Club เปิดเผยว่า การนำธุรกิจสุรา เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น ตนไม่เห็นด้วย ๑๐๐ % เนื่องจากมองว่า ปัจจุบันผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากสุรามี เป็นจำนวนมาก โดยมีสื่อต่างๆ ก็มีการ นำเสนอข่าวผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุ จากผู้ที่เมาแล้วขับ หรือผู้หญิงที่ถูกข่มขืน การล่อลวงต่างๆ ซึ่งต้นเหตุ ล้วนเกิดจาก ผู้ที่เสพสุรา เข้าไป

อย่างไรก็ดี ตนเชื่อว่าการนำธุรกิจสุราเข้าตลท.จะทำให้มีเงินลงทุน และสามารถขยายกำลังการผลิตได้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน เบียร์ช้าง จำหน่ายในราคา ๓ ขวด ๑๐๐ บาท ถ้ามีการระดมทุน เพิ่มมากขึ้น ขยายกำลังการผลิตได้มากขึ้น อาจมีการ ปรับราคา ลงมาได้ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภค ที่เป็นเยาวชน มีสิทธิ์ที่จะซื้อสินค้าได้มากขึ้น ประกอบกับ จะเป็นการเพิ่ม ช่องทางการตลาด ที่สามารถสื่อโฆษณาได้มากขึ้น และจะเป็นโอกาสในการกระตุ้นการบริโภค ของเยาวชนได้มากขึ้น

ส่วนประเด็นที่ธุรกิจสุราสามารถนำไปจดทะเบียนในตลาดต่างประเทศได้นั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องของจิตสำนึกความเป็นคนไทย ถ้านำธุรกิจของตน ไปขายต่างชาติ ก็คงเป็นเรื่องของบริษัทเอง แต่ไม่อยากให้เกิดขึ้น กับเยาวชนไทย หรือนำมาจำหน่าย ให้กับคนไทย

ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลท. กล่าวกับตัวแทน ม็อบว่า ในฐานะที่ตนเป็นผู้จัดการตลท. ตนจะรับ หนังสือ และข้อคิดเห็น ไว้เพื่อนำเสนอ ต่อบอร์ดตลท.ให้พิจารณาต่อไป แต่คงไม่สามารถตอบได้ว่า ผลการประชุมจะออกมา ในรูปแบบไหน พร้อมกันนี้ ตลอดการสนทนา กับตัวแทนผู้คัดค้าน นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ตนเป็นผู้หนึ่งที่ให้ความสำคัญ กับเยาวชน

"ผมเป็นผู้จัดการตลท.มา ๓ ปีครึ่ง และกำลังจะพ้นวาระในอีกครึ่งปีนี้ แต่สิ่งหนึ่ง ที่ผมยังคงมุ่งมั่นมาโดยตลอด และพ้นวาระ ก็จะยังคงมุ่งมั่น ก็คือ การทำงานเพื่อเยาวชน ผมเคยเป็นผู้จัดการทีมฟุมตบอลเยาวชนทีมชาติ และให้ความสำคัญ กับเยาวชนมาโดยตลอด" เอ็มดีตลท. กล่าวในขณะสนทนา กับตัวแทนผู้คัดค้าน.*

คุณแซมดิน เลิศบุศย์ ผู้จัดการสถาบันบุญนิยม พร้อมด้วยสมาชิกได้เดินทาง ไปร่วมคัดค้านการนำเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เข้าตลาดหลักทรัพย์ และให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวกับ นสพ.อโศกรายปักษ์ว่า
"การคัดค้านเกี่ยวกับเรื่องของ การนำ เครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์เข้าในตลาดหุ้น เราไม่ได้คัดค้านที่ยี่ห้อนะ แต่เราคัดค้าน โดยหลักการ เพราะว่าถ้าสิ่งที่เป็นอบายมุขเพิ่มมากขึ้น ขยายมากขึ้นก็จะทำให้สังคมเสื่อม จะทำให้ลูกหลานได้รับผลกระทบ เพราะว่าเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ การบันยะบันยัง ก็จะแย่กว่าผู้ใหญ่ นี่ยังไม่พูดถึง ผลกระทบต่างๆ ในเรื่องของอุบัติเหตุ เรื่องของครอบครัวแตกแยก เสียทั้งเงินทอง เสียทั้งเวลา เสียเวลาที่จะต้องไปนั่งกินนั่งดื่ม โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นต่างๆ จากแอลกอฮอล์ ก็มีมากมาย สุขภาพก็เสียหาย

เราเห็นว่าสิ่งที่เป็นอบายมุข ยิ่งขยายมากก็ยิ่งก่อให้เกิดความเสียหาย ไม่ได้ช่วยพัฒนาประเทศตรงไหนเลย ตรงกันข้าม กลับทำร้าย และทำลายสังคม และประเทศชาติ โดยรวม เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ถ้าเข้าไปแล้ว จากเดิมซึ่งอาจจะมีทุนอยู่ก้อนหนึ่ง เมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทุนของประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่ เห็นว่ากิจการใด ที่มันเจริญรุ่งเรือง โดยเอาตัวเงิน เป็นตัววัด ก็จะเข้ามาระดม เมื่อคนมาระดมมากขึ้น การผลิต การประชาสัมพันธ์ ก็ต้องเยอะขึ้น จะมีการใช้สื่อต่างๆ ที่จะมอมเมาให้เกิด การบริโภคมากขึ้น เราไม่ได้ดูว่า จะให้คนไทย หรือคนต่างประเทศบริโภค ใครจะบริโภคก็แย่เหมือนกันทั้งนั้น ประเทศไหน บริโภคมาก ก็แย่เหมือนกัน เราไม่ได้จำกัดว่า ไม่ได้ทำในเมืองไทยนะ หรือจะไปทำต่างประเทศก็ตาม คือสิ่งไม่ดีไปทำตรงไหน มันก็ไม่ดีทั้งนั้น

วันนั้นไปกัน ๑๐๗ ชีวิต โดยรถบัส ๒ คัน มารอสมทบกับสมาชิกกลุ่มอื่นๆ ๑๐ กว่ากลุ่ม ผู้ที่ไปจากกลุ่มต่างๆก็แสดง ความเห็น ในทิศทางเดียวกันว่ามันไม่ควร ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ประสบภัยจากสุรา ไม่ว่าเด็กหรือเยาวชน ก็แสดงความเห็นตรงกัน

ผู้จัดการก็ไม่สามารถรับปากได้ เพราะมีกรรมการท่านอื่นๆด้วย แต่ก็รับว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมของกรรมการเพื่อพิจารณา และจะนำข้อมูลของพวกเรา ให้กรรมการรับทราบ เราก็คาดหวังว่า ในสมัยที่ผู้จัดการคนนี้ ยังอยู่ก็ไม่น่าจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้น เนื่องจากสิ่งที่ท่านคุยกับเรามา เกือบตลอดเวลาที่นั่งคุยกัน ท่านก็สนับสนุนเยาวชน เด็กๆ ให้ไปออกกำลัง ไปทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นคุณประโยชน์กับเด็ก นึกไม่ออกว่า ท่านจะไปสนับสนุน เพื่อทำลายเยาวชนอย่างไร

เรารณรงค์ให้คนในชาติเลิกเหล้า ก็เห็นว่ามันยากแสนสาหัส แต่การทำของตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ มันจะเพิ่มปริมาณมหาศาล แล้วก็มันจะใช้เวลารวดเร็ว และก็จะทำให้ คนที่ไม่แข็งแกร่ง หรือวุฒิภาวะยังไม่มาก โดยเฉพาะเยาวชนก็จะทำตามกระแส หลงใหลไปกับ เครื่องดื่มต่างๆ ก็ ไม่รู้จะมีลูกเล่นอะไรแพรวพราว เพื่อจะให้ตลาดขยาย ทั้งรูปแบบการผลิต ขวด สีสรร รสชาติ ซึ่งเรื่องพวกนี้ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ก็ไม่เห็นด้วยนะ กับการขยายตัวของบริษัท ที่ผลิตเกี่ยวกับเรื่องของน้ำเมา

วันที่เปิดศูนย์คุณธรรมที่ทำเนียบรัฐบาล ท่านนายกฯมีความชัดเจนในเรื่องนี้มาก ท่านกล่าวถึงขนาดว่า ท่านจะพูดขอร้องกับ บริษัทที่ผลิต สิ่งมอมเมาเยาวชน จะต้องค่อยๆลด หรือเลิกไป เพราะว่าสังคมนี้อยู่ ไม่ได้ ถ้าตลาดหลักทรัพย์ จะทำก็ถือว่า สวนกระแสกับนโยบายท่านนายกฯ ซึ่งพยายามที่จะลดการผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะว่าท่าน เป็นห่วงเยาวชน เราก็หวังว่า นโยบายที่ดีของท่าน จะได้รับการตอบสนอง แล้วก็นำไปปฏิบัติในรัฐบาลของท่าน ๔ ปีนี้ ก็ขอขอบพระคุณ ท่านนายกฯ ที่นำนโยบาย ที่ดีนี้มาสู่ประเทศชาติ ในยุค ๔ ปีสร้าง" ผู้จัดการสถาบันบุญนิยมกล่าวในที่สุด

(* คัดจาก นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
ฉบับวันที่ ๒๔-๒๖ ก.พ.๔๘)

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



ปราชญ์ชาวบ้านนัดถก
เร่งตั้งสภาผู้นำชุมชนฯ

ปราชญ์ชาวบ้านนัดถกอีกรอบ ยังเดินหน้าหลักการเดิมตั้งสภาผู้นำชุมชนแห่งชาติ ทำหนังสือแจง "ทักษิณ" โต้ข้อสังเกตของ คณะกรรมการ กลั่นกรอง ชุด "วิษณุ" ยันอำนาจไม่ซ้ำซ้อนสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและ พอช.

ความคืบหน้ากรณีการจัดตั้งสภาผู้นำชุมชน แห่งชาติ หรือสภาปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้มีมติรับหลักการ ไปแล้ว แต่มีข้อสังเกต หลายประการ จากคณะกรรมการกลั่นกรอง เรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๗ ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งในบางประเด็น ปราชญ์ชาวบ้าน มองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลง หลักการที่สำคัญ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ ๗ ก.พ. ที่ผ่านมา ผู้นำชุมชนได้ทำหนังสือถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อชี้แจงรายละเอียด เกี่ยวกับข้อสังเกตต่างๆ นอกจากนี้ ในวันที่ ๑๓ ก.พ.นี้ กลุ่มปราชญ์ชาวบ้านกว่า ๑๐ คน ที่ทำหน้าที่ยกร่างระเบียบสภาผู้นำชุมชนแห่งชาติ เช่น นายประยงค์ รณรงค์ ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม จะประชุมหารือกันอีกครั้ง ที่สถาบัน องค์กรพัฒนาเอกชน (พอช.)

ข่าวแจ้งว่า สำหรับการชี้แจงข้อสังเกตที่กลุ่มผู้นำชุมชนได้ทำไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ที่น่าสนใจ คือเรื่องอำนาจหน้าที่ ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรอง เกรงว่าซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว เช่น สภา ที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ และ พอช. แต่ผู้นำชุมชนเห็นว่า สภาที่ปรึกษาฯ เป็นองค์กรที่เน้นการดูแลภาพรวม มากกว่าเฉพาะส่วน และไม่มีกลไกถึงชุมชน และการมี สภาผู้นำชุมชนฯ จะช่วยเสริมบทบาท ของสภาที่ปรึกษาฯ มากกว่า จะสร้างความสับสน ส่วนที่คณะกรรมการกลั่นกรอง ไม่ต้องการให้ใช้คำว่า "สภา" และให้ใช้คำว่า "คณะกรรมการ" หรือ "สมัชชา" แทนนั้น กลุ่มปราชญ์ชาวบ้าน ก็ไม่เห็นด้วย เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประกาศต่อสาธารณะไว้ชัดเจนว่าให้ชุมชนรากหญ้า มีเวทีระดับนโยบายเหมือนกลุ่มอื่น หากไม่ใช่คำว่า "สภาผู้นำชุมชน" อาจส่งผลกระทบ ต่อความเชื่อมั่น ของชุมชน หากใช้คำว่า "สมัชชา" อาจทำให้เกิดการเบี่ยงเบนเป้าหมาย

ข่าวแจ้งว่า ประเด็นที่คณะกรรมการกลั่นกรอง ตั้งข้อสังเกตว่า สภาผู้นำชุมชนฯไม่ควรมีอำนาจหน้าที่เสนอแนะไปยังส่วนราชการ โดยตรง แต่ควรเสนอแนะ ผ่านไปยังนายกรัฐมนตรี ทางผู้นำชุมชนเห็นว่าสภา ผู้นำชุมชนฯเพียงแต่มีหนังสือแจ้งให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานรัฐดำเนินการแก้ไข แต่ไม่ใช่การสั่งการในทางปฏิบัติ และสภา ผู้นำชุมชนฯ มีเป้าหมายดำเนินนโยบาย อย่างมีประสิทธิภาพ ตามวัตถุประสงค์ ของการจัดตั้ง ซึ่งเป็นผลจากการหารือกัน ระหว่าง นายกรัฐมนตรี และผู้นำชุมชนฯ ที่มีข้อสรุปว่า "การผลักดันนโยบาย ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้เต็มที่ เพราะข้อจำกัด ในโครงสร้าง และกลไกของรัฐ ที่มีหน้าที่นำไปปฏิบัติ"

ข่าวแจ้งว่า นอกจากนี้คณะกรรมการกลั่นกรอง ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่าการจัดตั้งสภาผู้นำชุมชนฯ อาจสร้างความขัดแย้งกับ องค์การบริหาร ส่วนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหน่วยงาน ราชการที่เกี่ยวข้องนั้น กลุ่มผู้นำชุมชนเห็นว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ระหว่างองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้องกับ ชุมชน ดำรงอยู่เป็นภาวะปกติในชุมชน ซึ่งสมาชิกในชุมชนไม่มีโอกาสหรือ ช่องทางในการนำเสนอได้ เพราะกลไกทั้ง ๓ ส่วน มีอำนาจหน้าที่ แต่สมาชิกในชุมชน ไม่มีการมีคณะกรรมการผู้นำชุมชน ระดับตำบล ทำให้ความคิดเห็นของชุมชน มีน้ำหนัก มากขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อ การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ของชุมชน และการบริหารจัดการ ตามหลัก ธรรมาภิบาล อย่างแท้จริง

ส่วนบทเฉพาะการที่คณะกรรมการกลั่นกรองต้องการให้สภาผู้นำชุมชนฯชุดเฉพาะกาล ๕๐ คนแรก มีระยะเวลาทำงานสั้นลง เป็น ๖๐ วัน หรือ ๖ เดือน แทนที่จะเป็น ๒ ปีนั้น ผู้นำชุมชนเห็นว่า ระยะเวลา ๖ เดือนนั้น สั้นเกินไป สำหรับการดำเนินการ ร่างระเบียบ และหลักเกณฑ์การสรรหา ให้ได้สมาชิกสภา ผู้นำชุมชนแห่งชาติ ระยะเวลา ที่เหมาะสม เสนอไว้ไม่เกิน ๒ ปี เพราะเป็นช่วงเวลาที่สภาผู้นำชุมชนฯปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบนี้ พร้อมกับยกร่างระเบียบ และหลักเกณฑ์ การสรรหาสมาชิก สภาผู้นำชุมชน แห่งชาติ และยังต้อง ประสานงาน จัดตั้งคณะกรรมการ ระดับจังหวัดและตำบลด้วย.
(จาก นสพ.มติชน ฉบับวันที่ ๑๒ ก.พ.๔๘)

ดัดนิสัย "เมาขับ" ให้ทำงานเก็บศพ
ไอเดียใหม่ ถูกจับเมาแล้วขับ อาจต้องไปเก็บศพกับป่อเต็กตึ้ง เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา ๑๑.๐๐ น. วันที่ ๑๐ มี.ค.ที่ รพ.ตำรวจ นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล ผบก.จร. น.พ.สุภกร บัวสาย ผจก.สำนักงาน กองทุนสนับสนุน สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ น.พ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาฯ มูลนิธิเมาไม่ขับ ร่วมแถลงเปิดตัว สปอต โฆษณา "เมาไม่ขับ ไม่ใช่แค่ปรับ จะถูกจับคุมประพฤติ" โดยจะออกอากาศ ทางสถานีโทรทัศน์ ช่องต่างๆ มี "เต็ม-วุฒิสิทธิ์ สืบสุวรรณ" อดีตนักร้องวง ยูเอชที ที่ถูกจับ ขณะเมาแล้วขับรถ เมื่อวันที่ ๒๘ มี.ค.๔๗ มาสาธิตการเก็บศพผู้เสียชีวิต จากการ ขี่รถจักรยานยนต์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรม ที่ผู้ที่ถูกคุมประพฤติ ต้องช่วยเหลือสังคม

นายกิตติพงษ์กล่าวว่า การจัดทำโฆษณา "เมาไม่ขับ ไม่ใช่แค่ปรับ จะถูกจับคุมประพฤติ" เพื่อต้องการยับยั้งไม่ให้ขับขี่รถ ขณะดื่มสุรา มิฉะนั้น จะถูกจับและศาลสั่ง คุมประพฤติ ต้องมารับใช้ และบริการสังคม เช่น ร่วมปฏิบัติกับอาสาจราจร อาสากู้ภัย ช่วยเก็บศพกับมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง และช่วยเหลือบำบัด ผู้ประสบอุบัติเหตุที่พิการให้สภาพจิตใจดีขึ้น ทั้งนี้ ก่อนเทศกาลสงกรานต์ จะออกรณรงค์ลดอุบัติเหตุ ในจังหวัดที่มีสถิติอุบัติเหตุสูง เช่น กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น เป็นต้น

พล.ต.ภาณุเผยว่า ตำรวจจะขยายเครือข่าย ในการตั้งจุดตรวจเมาแล้วขับและจัดวิทยากร เดินสายอบรมตำรวจจราจร ทั่วประเทศ ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ รวมทั้งเพิ่มการตรวจจับผู้ดื่มสุราช่วงสงกรานต์ เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุ

ในขณะที่ "เต็ม-วุฒิสิทธิ์ สืบสุวรรณ" อดีต นักร้องวงยูเอชที กล่าวว่า หลังถูกจับในข้อหาเมาแล้วขับ จึงถูกคุมประพฤติ ระหว่างนั้น ได้สัมผัส และคลุกคลีกับผู้พิการ จากอุบัติเหตุรถชน จึงเข้าใจว่าต้องรับผิดชอบ ต่อสังคมส่วนรวมมากขึ้น การดื่ม สุราแล้วขับรถ ไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัว หากไปชนคนเสียชีวิต และพิการ ทำให้ครอบครัวเขา ต้องเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สิน อีกทั้งเห็นด้วยกับโครงการ เมาไม่ขับ ไม่ใช่แค่ปรับ จะถูกจับคุมประพฤติ ทำให้ช่วยลดอุบัติเหตุมากขึ้น

บ่ายวันเดียวกันที่กองบังคับการตำรวจทางหลวง พล.ต.ต.ธารา ปุณศรี ผบก.ทล.ร่วมกับ ๕ พันธมิตรบริษัทเอกชน แถลงข่าว โครงการ "รณรงค์ทางหลวงปลอดภัย ในช่วงเทศกาล สงกรานต์ ๒๕๔๘" ตั้งแต่วันที่ ๑๔ มี.ค.-๑๐ เม.ย. เพื่อป้องกัน และลดอุบัติเหตุทางถนน ในช่วงสงกรานต์ เนื่องจากมีประชาชน กลับภูมิลำเนา และไปเที่ยวพักผ่อน จำนวนมาก อาจเกิดอุบัติเหตุ ได้ทุกเวลา โครงการนี้จะตั้งจุดบริการที่หน่วยบริการตำรวจทางหลวงทับกวาง ถนนมิตรภาพ กม.ที่ ๑๒๓ และ ที่ด่านบางปะอิน ถนนเอเชีย กม.ที่ ๕๓ บริการเช็กสภาพรถ และเปลี่ยนยางราคาถูก โดยระดมตำรวจทางหลวง ๒ พันนาย ออกอำนวยความสะดวก ตามจุดตรวจ ทุกเส้นทาง ตลอด ๒๔ ชม.
(จาก นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๑๑ มี.ค.๔๘)

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



ระวัง! อันตรายจากภาชนะเมลามีน

เมื่อไม่นานมานี้เองมีงานวิจัยใหม่ๆ ที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งของสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับการแพร่กระจายของฟอร์มาลดีไฮด์ ออกจากภาชนะเมลามีนสำหรับใส่อาหาร อ่านแล้ว อดเก็บมาฝากไม่ได้เพราะเชื่อว่าพวกเราหลายคน คงใช้ภาชนะเมลามีนอยู่ จะได้ระมัดระวังการใช้ให้ถูกต้องและปลอดภัย

ภาชนะบรรจุอาหารชนิดเมลามีน หรือเมลามีน-ฟอร์มาลดีไฮด์ มีส่วนประกอบที่สำคัญคือ ฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสาร ที่อาจก่อ มะเร็งของทางเดินหายใจ ที่เราควรระมัดระวังในการใช้ภาชนะนี้ด้วย เนื่องจากได้มีการทดลองเกี่ยวกับการแพร่กระจาย ของฟอร์มาดีไฮด์ ออกจากภาชนะเมลามีนขณะใส่อาหารแล้วพบว่า เมื่อใส่น้ำกลั่นอุณหภูมิ ๖๐-๑๐๐ องศาเซลเซียส นาน ๓๐ นาทีมีสารฟอร์มาลดีไฮด์แพร่ออกมาสูงสุดถึง ๐.๒ และ ๔.๒ มิลลิกรัม/ลิตรตามลำดับ และเมื่อใส่น้ำกลั่นอุณหภูมิ ๙๕ องศา เซลเซียส นาน ๓๐ นาที โดยคงอุณหภูมิไว้ตลอดเวลา ฟอร์มาลดีไฮด์แพร่กระจายออกมาได้สูงสุดถึง ๑๔.๔ มก./ลิตร

นอกจากนั้นยังนำไปทดสอบกับการใช้งานในเตาไมโครเวฟ โดยต้มน้ำประมาณ ๒๐ ซีซี.ในระยะเวลา ๑,๒,๓,๔ และ ๕ นาที แล้วตั้งทิ้งไว้ ๓๐ นาทีที่อุณหภูมิห้อง พบว่าปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์แพร่กระจาย ได้สูงสุดถึง ๐.๒,๒.๕,๕.๗,๑๒.๖ และ ๑๒.๗ มก./ลิตรตามลำดับ และเมื่อนำภาชนะเมลามีนที่วางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าจำนวน ๑๕ ตัวอย่าง มาทดสอบ ที่อุณหภูมิ ๙๐ องศาฯคงอุณหภูมิไว้นาน ๓๐ นาที พบว่ามีการแพร่กระจายของฟอร์มาลดีไฮด์ ได้สูงสุดถึง ๒๖.๙ มก./ลิตร ซึ่งตาม มาตรฐาน ประกาศของกระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้ฟอร์มาลดีไฮด์แพร่กระจายได้เพียง ๒ มก./ลิตรเท่านั้น แต่ละการทดลอ งดังกล่าว ทำซ้ำกันถึง ๒๐ ครั้ง จึงได้ข้อสรุปออกมา

น่าจะได้ข้อสังเกตจากการทดลองครั้งนี้ว่า การจะใช้ภาชนะเมลามีนให้ปลอดภัยต้องใส่แค่น้ำอุ่นๆที่อุณหภูมิ ๖๐ องศาเซลเซียส หรือถ้าใส่น้ำที่อุณหภูมิสูงกว่าก็ไม่ควรคงอุณหภูมิไว้นาน เพราะท่านจะได้รับสารก่อมะเร็ง ที่ชื่อว่าฟอร์มาลดีไฮด์ เกินกว่าที่ร่างกาย จะทนไหว

ถ้าจะเปรียบเทียบในเรื่องการปฏิบัติธรรมแล้วคงได้ข้อคิดว่า ทุกคนควรปฏิบัติธรรมให้เหมาะสมกับฐานะแห่งตนให้ดีที่สุด โดยการตั้งตน อยู่บนความไม่ประมาท ชีวิตจึงจะผาสุกและปลอดภัย.
- กิ่งธรรม -

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนปฐมอโศก - อินทร์บุร

เมื่อวันที่ ๒๔-๒๖ ธ.ค.๔๗ สมณะเสียงศีล ชาตวโร ได้รับนิมนต์ไปบรรยายในงานการประชุมสมัชชาเกษตรอินทรีย์ แห่งชาติ ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติ คลองหลวง ปทุมธานี

ในงานนี้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวเปิดงาน บรรยายเสวนา ร่วมกับแกนนำเกษตรกร ประชาชน ประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ

โดยในงานมีหน่วยงานของรัฐและเอกชนไปร่วมออกร้านกันอย่างคับคั่ง มีผู้คนไปดูและฟังการบรรยายในแต่ละวันนับหมื่นๆคน เพราะป็นหน้าที่ที่ ธ.ก.ส.ทุกจังหวัด พัฒนา ที่ดินจังหวัด เกษตรจังหวัดทุกจังหวัด จะต้องรับผิดชอบพาเกษตรกร มาร่วม ในงานนี้ด้วย

ในเมื่อเกษตรอินทรีย์ได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติแล้ว ต่อไปทุกจังหวัดจะต้องส่งเสริม อย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อที่จะให้เกษตรกร เปลี่ยนจากเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์เพื่อความปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนการผลิต แก้ปัญหา สิ่งแวดล้อม ปัญหาความยากจนของเกษตรกรก็จะหมดไป

การบรรยายของสมณะเสียงศีลและนักวิชาการหลายท่าน เช่น ท่านรองฯเอ็นนู ซื่อสุวรรณ โดยมี ดร.ธันวา จิตต์สงวน เป็นผู้ ดำเนินรายการ ได้บันทึกเป็นวีซีดีจำนวน ๒ แผ่น สนใจติดต่อได้ที่ สมณะเสียงศีล ชาตวโร.

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

หน้าปัดชาวหินฟ้า

นสพ.ข่าวอโศกฉบับที่ ๒๕๐(๒๗๒) ปักษ์แรก ๑ - ๑๕ มีนาคม ๒๕๔๘
เจริญธรรม สำนึกดี พบกันอีกครั้งกับ "หน้าปัดชาวหินฟ้า" คอลัมน์เก็บตกข่าวความเคลื่อนไหวในแวดวงชาวเรามาฝากกันเป็นประจำ สำหรับเรื่องราวในฉบับนี้มีดังนี้

เกจิฯทราบด่วน...จิ้งหรีดได้ทราบ ข่าวด่วนมาจากท่านเดินดิน ติกขวีโรว่า ท่านอโสโก และ สิกขมาตุมาบรรจบ ป่วย ไม่สามารถ ไปร่วมงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๙ ที่จะถึงในเดือน เม.ย.ที่จะถึงนี้ จึงจัดให้ท่านพุทธชาโต และ สิกขมาตุแสงฝน เป็นเกจิฯแทน

และปกติรูปแบบของงานปลุกเสกฯ ที่ผ่านมา ก็จะอาศัยการประชุมสมณะและสิกขมาตุทางสันติฯและปฐมฯเป็นหลัก เพราะมีสมณะ และสิกขมาตุเกจิฯอยู่กันมากกว่าที่อื่นๆ

การประชุมก็เป็นการร่วมกันคิดจัดรายการต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพชาวอโศกในปัจจุบัน แต่ครั้งนี้ก็เปลี่ยนเป็น การขอให้ แต่ละที่ ได้ประชุมปรึกษาหารือกันเองว่า แต่ละรายการในงานปลุกเสกฯ น่าจะเป็นอย่างไร หรือมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม หรือ เปลี่ยนแปลงอะไร หากเป็นข้อสรุปของที่ประชุม ก็ช่วยกรุณาส่งไปที่ราชธานีอโศกก่อนกลางเดือนมีนาคมได้ก็จะดี หากเป็น ข้อเสนอ ที่เหมาะสม ก็จะได้มีเวลาเตรียมรายการต่างๆได้ทัน

นอกจากนี้ญาติธรรมทั่วไปก็สามารถ ให้ข้อเสนอแนะไปได้ จิ้งหรีดเชื่อว่า คณะจัดงานคงกระหายที่จะรับฟัง ข้อเสนอแนะ จากทุกฝ่าย เพื่อเป็นข้อมูลในการจัดงานบุญให้เกิดประโยชน์สูงและประหยัดสุดยิ่งๆขึ้นไป...จี๊ดๆๆๆ...

โอ้!...ได้มีโอกาสไปร่วมงานพุทธาฯ แม้จะต้องต่อสู้กับอากาศร้อนที่ตัวเองไม่ค่อยชอบ แต่ที่ชอบคือ หนังสือ "พุทธเป็นอเทวนิยม อย่างนี้" ที่ได้รับแจกในงานพุทธาฯ'๔๘ นี้เป็นความรู้สึกของโอ้(หนึ่งนาธาร) ศิษย์เก่าสัมมาสิกขาปฐมอโศก ช่วงนี้ก็อยู่ช่วยงาน ชุมชนเพชรผาภูมิ และเป็นกรรมการตำแหน่งเลขานุการของคณะกรรมการชุมชนฯ ยิ่งพี่แอ๊ดตัดสินใจ มาอยู่ชุมชน ก็ยิ่งทำให้ โอ้มีไฟในการทำงาน เพื่อศาสนายิ่งๆขึ้น...จี๊ดๆๆๆ...

อยากพบ...คุณไม้เพชร จากกลุ่มเพชรผาภูมิ ได้มีโอกาสไปงานพุทธาฯ ครั้งที่ ๒๙ เป็นเวลา ๑๒ ชั่วโมง คือไปถึงบ่าย ๒ และ กลับตี ๒ วันรุ่งขึ้น ต้องไปธุระในกทม. แถมยังได้มีโอกาสช่วยดับไฟลามทุ่ง ร่วมกับพ่อท่านและหมู่คณะ ก็มีความภาคภูมิใจ โดยส่วนตัวคุณไม้เพชรบอกจิ้งหรีดว่า อยากพบพ่อท่านเป็นอย่างมาก จึงอยากไปทุกงานของชาวอโศก จิ้งหรีดฟังแล้ว ก็ขอชื่นชมในความตั้งใจฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

ต้องเร่งเพียร...ญาติธรรมท่านหนึ่งเล่าให้จิ้งหรีดฟังว่า แม้จะรู้ว่าอายุของพ่อท่านย่าง ๗๒ ปีเข้าไปแล้ว แต่เห็นอิริยาบถ กระฉับกระเฉง ที่พ่อท่านไปโน้น มานี่ ทำงานโน้นงานนี้อย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ตลอดเวลา ก็เลยมีแต่ภาพเหล่านี้อยู่ในใจ พอได้มาเห็น รูปพ่อท่านป่วยลงในข่าวอโศก ฉบับที่แล้วเลยถึงกับ สะท้อนใจไม่น้อย และทำให้ได้คิดได้สำนึกว่า จริงๆแล้ว พ่อของเรา อายุยาวแล้วนะ ที่เราเห็นบุคลิก (เหมือนหนุ่มๆ) โดยรวมทั้งหลายนั้นเป็นด้วยหัวใจเมตตา ของพระโพธิสัตว์จริงๆ เธอเลยตั้งใจว่า จะต้องเร่งเพ่งเพียรปฏิบัติให้มากๆ จิ้งหรีดได้ยินแล้วก็ต้องอนุโมทนากับเธอด้วย ก็ฝากไปถึงพวกเราทุกๆคน ด้วยนะฮะ อะไรที่เราจะช่วยแบ่งเบาภาระให้พ่อได้ก็เร่งๆเข้านะฮะ พ่อท่านจะได้มีเวลาพักและอยู่กับเราได้นานๆ สาธุ... จี๊ดๆๆๆ...

บ.ก.จิ๋ว...คงไม่มีใครคาดคิดว่า เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะมีความอาจหาญและมีความคิดก้าวไกลถึงขนาดนี้ นั่นคือ เขาได้ก่อเกิด นสพ.รายสัปดาห์ขึ้น โดยให้ชื่อว่า "หนังสือพิมพ์ MONDAY NEWS" เป็นหนังสือพิมพ์ที่เขียนด้วยลายมือของเขาเอง แล้วอัดสำเนา แจกให้เพื่อนๆอ่าน โดยฉบับแรกออก ๖ ฉบับ ได้รับความสนใจจากเพื่อนๆ นักเรียนสมุนพระรามอย่างมาก ฉบับที่ ๒-๓... จึงออกมา ตามลำดับ และพิมพ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนหลังก็ส่งไปให้สมณะ และอาๆอ่านด้วย (ไม่ธรรมดานะเนี่ย)

นสพ.ดังกล่าวมีหลายคอลัมน์ทั้งสาระความรู้และข่าวคราวความเคลื่อนไหวของกลุ่มสมุนพระราม เขาเป็นนักข่าวเอง เขียนข่าวเอง เป็นบรรณาธิการเอง ต่อมามี นสพ.ในเครือข่าย เพิ่มขึ้นอีกฉบับเป็นฉบับการ์ตูน โดยมีเพื่อนๆมาร่วมทีมช่วยกันทำ (นั่นแนะ...ไม่ธรรมดา อีกแล้ว)

บ.ก.จิ๋วคนนั้นก็คือ ด.ช.ปานนี้ สุขเกษม นร.สมุนพระราม ชั้น ป.๕ ราชธานีอโศก จิ้งหรีดได้มีโอกาสพูดคุยกับ บ.ก.จิ๋ว คนนี้แล้ว เขามีแนวคิดที่น่าทึ่งจริงๆฮะ... สมาชิกเขาจำกัดจำนวนประมาณ ๒๐ คน เกินกว่านี้ยังไม่รับ หากจะรับเพิ่ม ก็ต้องผ่าน การพิจารณาจาก บ.ก.จิ๋วอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน จิ้งหรีดเองก็ขอสมัครเป็นสมาชิกกับเขาด้วย ก็ต้องผ่านการพิจารณาตั้งนาน (นี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะผ่านหรือเปล่า) นี่แหละฮะ เด็กอโศกของเรา มีความคิดก้าวไกลจริงๆ...จี๊ดๆๆๆ...

ศิษย์เก่าสัมมาสิกขา...แม้จะเรียนจบ สส.ธ.(สัมมาสิกขาราชธานีอโศก) ก็ยังช่วยงานโรงสีของบ้านราชฯ อย่างแข็งขัน ก็ ตาล ไงล่ะ แม้จะดูหุ่นไม่เจ้าเนื้อแต่ก็แกร่งนะฮะ สามารถยกกระสอบข้าวสารได้ ถึงจะเป็นผู้หญิงร่างผอมบาง แต่ยังไงๆ ก็ระมัดระวัง เรื่องการยกของหนักนะฮะ จิ้งหรีดเป็นห่วงนะฮะ ก็ไม่รู้ว่า อ้อย (น้องสาว) จะเป็นห่วงหรือเปล่า ได้ข่าวล่าว่าจะกลับไป ช่วยพ่อแม่ พี่ที่บ้านราชฯ อย่างนี้ในโรงสีคงอบอุ่นขึ้นไม่น้อย ยังไงๆ ปีนี้ก็เตรียมทางหนีที่ไล่ ช่วงน้ำท่วม ด้วยนะฮะ เมื่อถึงเวลา จะได้ไม่เหนื่อยเกินไป ยิ่งได้อ้อย(ศิษย์เก่าสัมมาสิกขาปฐมอโศก)ไปช่วยด้วยอีกแรง ก็น่าจะเบาแรงขึ้นนะฮะ...

เรื่องน่ายินดีอีกเรื่องก็คือ จ้อย (ศิษย์เก่าสัมมาสิกขาสีมาอโศก) ยังยินดีที่จะทำงานอยู่ในชุมชนบุญนิยม แม้ว่ากระแสทางโลก จะมาแรง จนเพื่อนๆศิษย์เก่าก็ถูกดึงออกไปกันหลายคนไม่ว่าจะเป็นหญิง ปอนนี่ และ ขวัญ อ้อ! ยังมี อรทัย(ออ) ก็ไม่รู้ว่ายังอยู่ดี มีศีลอยู่หรือเปล่า ยังไงก็จับคู่เป็นดาบคู่กันไว้ให้ดี นะฮะ จะได้รักษาพรหมจรรย์ได้ยาวนาน มั่นคง ยิ่งถ้ามี อั๋น ซึ่งจะจบ ม.๖ สส.ม. ในปีนี้ แถมมีความคิดว่าจะอยู่ช่วยงานรุ่นพี่ในวัด ก็นับว่าเป็นข่าวดี ถ้าเป็นจริง จิ้งหรีดก็ขอให้เป็นดาบไตร ในสีมาอโศก นะฮะ รับรองสนุกแน่...

ตุ๊กตา (ศิษย์เก่าสัมมาสิกขาสันติอโศก) บอกจิ้งหรีดว่า ชอบทำงานที่อิสระ ห่างวัดนิดๆก็จะเหมาะสำหรับตัวเอง ตอนนี้ไปขาย โทรศัพท์มือถือ อยู่แถวพัทยา จ.ชลบุรี ก็มีใจจะมาช่วยงานศิษย์เก่าอยู่ แต่ตอนนี้คงช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะต้องหางาน-เงินพึ่งพาตัวเอง ไม่เป็นไรฮะ มีเวลาก็มาฟังธรรมที่วัดบ้างก็แล้วกัน เพื่อนรุ่นเดียวกันกับตุ๊กตา รู้สึกว่าแต่งงาน ไปบ้างก็มี เช่น พี่สาวของเปิ้ล

เปิ้ล (ศศิธร เรียวชัยภูมิ) ก็เป็นศิษย์เก่า สส.สอ.อีกคนที่ปัจจุบันก็ช่วยงานอยู่ร้านกู้ดินฟ้า ๑ แบ่งเบางานการขายพืชผัก ไร้สารพิษ ได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีศิษย์เก่าสัมมาสิกขา อีกหลายคน ที่ช่วยงานในวัดและข้างวัด เช่น จืด (ศิษย์เก่าสัมมาสิกขา ศีรษะอโศก) ก็เป็นห่วงเพื่อนๆสถาบันเดียวกัน และน้องๆสัมมาสิกขา ก็วิ่งเต้นจนสามารถรวมศิษย์เก่า จัดตั้งสมาคมศิษย์เก่า สัมมาสิกขา ได้สำเร็จ และพยายามมีบทบาทช่วยเหลือส่วนกลาง เช่น ในงานรับกลด ปีนี้ ก็จะพาศิษย์เก่าไปต้อนรับรุ่นน้อง ที่เรียบจบ ม.๖ และจะได้ช่วยเหลือกันต่อๆไป จิ้งหรีดก็รู้สึกประทับใจในศิษย์เก่า ที่เป็นรุ่นพี่ มีความคิดที่จะเอาภาระน้องๆ ให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ในทิศทางธรรม ก็ขออนุโมทนาด้วยน้ำสมุนไพร ๑ จอก...จี๊ดๆๆๆ...

พึ่งเจ็บ...สมณะปองสูญ โฆสิตธัมโม อาพาธด้วยโรคไตกำลังรักษาตัวอยู่ ได้ข่าวจากจิ้งหรีดที่ศีรษะอโศกว่า ใบหน้าท่าน บวมกลม น่าเป็นห่วง...โยมแม่ของท่านลานบุญ ก็เป็นมะเร็ง ก็ได้คนวัด คนชุมชนภูผาฯ ไปช่วยดูแลโดยหมุนเวียน กันไป ก็ขอชื่นชมที่พวกเราช่วยดูแล พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้นะฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

มรณัสสติ
นายทองดี พวงแก้ว อายุ ๘๐ ปี (สามีของคุณจันทร์นวล พวงแก้ว) ญาติธรรมกลุ่มภูผาฟ้าน้ำ เสียชีวิตด้วยโรคเลือดออก ในกระเพาะ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๓ มี.ค.๔๘ และได้มอบศพให้โรงพยาบาล

นางนงลักษณ์ จันดาเป้า อายุ ๕๙ ปี ญาติธรรมดินหนองแดนเหนือ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่ตับ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๓ มี.ค.๔๘ ฌาปนกิจศพ วันที่ ๑๖ มี.ค.๔๘ ที่ชุมชนดินหนองแดนเหนือ จ.อุดรธานี

คติธรรม-คำสอนของพ่อท่านประจำฉบับ

รู้ "ธรรมะ" ที่จะทำให้เกิดแก่ตน
เป็นระดับชั้นให้ได้ แล้วทำให้สำเร็จ
และต้องรู้ส่วนที่สำเร็จก็ให้ "แล้วรู้แล้ว"
แล้วก็พากเพียรส่วนต่อ อันเป็นคุณเบื้องสูงขึ้นไปเสมอๆ.
(๑๙ ธ.ค.๒๐)
(จากหนังสือโศลกธรรม สมณะโพธิรักษ์ หน้า ๓๘)

พบกันใหม่ฉบับหน้า
จิ้งหรีด จี๊ดๆๆๆ...
- จิ้งหรีด -

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ นางลดาวัลย์ ทิพย์สุมณฑา
เกิด ๓ พ.ค. ๒๔๘๒ อายุ ๖๖ ปี
ภูมิลำเนา จ.นครปฐม
สถานภาพ หย่า บุตรสาว ๑ คน
การศึกษา กศบ.มศว.บางแสน
ส่วนสูง ๑๕๔ ซ.ม.
น้ำหนัก ๘๒ กก.

คุณป้าลดาวัลย์เป็นรุ่นน้องเพาะช่าง สมัยพ่อท่านเป็นประธานนักเรียน ซุ่มอ่านหนังสือของอโศกอยู่หลายปี จึงได้เริ่มปฏิบัติ ธรรมะ ที่ได้ปฏิบัติจริงช่วยให้ชีวิตของป้าทุกข์น้อยลง

*** นักเรียนทุน
เกิดวันวิสาขบูชา มีพี่น้อง ๑๒ คน แต่เสียชีวิตตั้งแต่เกิด ๕ คนเป็นผู้ชายล้วน เหลือ ๗ คน คุณพ่อรับราชการเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย คุณแม่เป็นแม่บ้าน ซึ่งสนับสนุนให้ลูกเรียนทุกคน ป้าเป็นนักเรียนทุนสมัยแรก ได้ทุนเรียนชั้นประถมฯ ๔ ไปเรียนจบ ม.๖ ร.ร.ราชินีบูรณะ เรียนอยู่ชั้น ม.๑ แล้วสอบข้ามชั้นไปอยู่ ม.๓ ที่เลือกเรียนเพาะช่างเพราะชอบวาดรูป เรียนจิตรกรรม เป็นรุ่นน้อง พ่อท่าน ตอนพ่อท่าน เป็นประธานนักเรียน ป้าเพิ่งเข้าปี ๑ ยังไม่ได้สนใจ

ตอนไปเรียนต้องเดินทางกรุงเทพฯ-นครชัยศรี ไปเช้ากลับเย็น ออกจากบ้านตี ๔ กลับถึงบ้าน ๖ โมงเย็น ช่วงนั้นชีวิตลำบาก มากๆ เรื่องความเป็นอยู่ และการเดินทาง เหนื่อยมาก สมัยเรียนเพาะช่าง ไม่มีเงินซื้อเฟรมใหม่ ก็ต้องใช้เฟรมเก่า เขียนทับ รูปเก่าๆ จึงไม่มีรูปเก่าเก็บไว้ดูเลย เฟรมนี้หนักอึ้งเลย จบเพาะช่างแล้วมาเป็นครูแล้วมาเรียนต่อปริญญาตรี

*** เกิดมาใช้หนี้
แต่งงานตอนอายุ ๓๐ กว่า พ่อบ้าน แก่กว่า ๑๑ ปี รู้จักกันมาตั้งแต่ป้าเด็กๆ เพราะพี่สาวมาเล่าให้ฟังว่าเขาดีอย่างโน้นอย่างนี้ ป้าก็เคารพ ศรัทธาเขามาตั้งแต่เด็ก แล้วกว่าจะได้แต่งงานก็มีอุปสรรคมากมาย มีลูกสาวด้วยกัน ๑ คน แต่งแล้วก็มีเหตุให้ ต้องแยกกันอยู่ พอลูกสาวได้ ๕ ขวบจึงหย่ากัน คิดว่าคงมาใช้วิบากมั้ง คือใช้หนี้สามี ใช้หนี้ลูก

*** เจ้าใบ้เสียงดัง
ตอนปี ๒๕๒๑ อยู่บนรถเมล์เห็น ชาวอโศกนั่งอ่านหนังสือ ก็ปรายตาอ่านตาม รู้สึกถูกใจทุกคอลัมน์ที่เขาอ่าน เมื่อเขาปิดหนังสือ จึงรู้ว่าชื่อ สารอโศก ก็เดินหาตามแผงหนังสือก็ไม่เจอ บ้านฝั่งตรงข้าม ที่ซอยพึ่งบุญ ทราบว่า ป้าจบเพาะช่าง ก็บอกว่า เป็นรุ่นน้องพ่อท่านก็คุยกัน เขาก็เอาหนังสือต่างๆ ของชาวอโศก มาให้อ่าน ให้ยืมบ้าง ให้บ้าง เช่น สารอโศก อ่านแล้วก็เกิดปีติ ปี ๒๕๒๓ ได้มานิมนต์ท่านถิรจิตโต ไปเทศน์ที่ ร.ร.ปทุมคงคา ที่สอนอยู่

อ่านหนังสือมา ๕ ปีก็ไม่คิดว่าเราต้องปฏิบัติ เพราะเราก็เป็นคนดีอยู่แล้ว มังสวิรัติเป็นยังไงก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ อ่านหนังสือ แล้วเข้าใจ พูดตรง พูดถูก พูดดี ในสังคมนี้ต้องดีอย่างนี้ ซึ่งมันถูกใจเรา แต่ว่าเรื่องการปฏิบัตินี้ไม่เป็น ก็ยังไม่มาวัด เพราะตอนนั้น เขาลือว่าที่นี่เป็นคอมมิวนิสต์ เราก็เลยไม่เป็นพวกใครดีกว่า

*** เริ่มต้นมังสวิรัติ
วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๕ รู้สึกว่าเราเป็นพุทธศาสนิกชนที่ไม่ดี เพราะไม่ได้เข้าวัดเลย เหตุเพราะเคยเห็นญาติบวช แล้วประพฤติตัว ไม่เหมาะสม ได้มาที่สันติอโศก มาคุยกับท่านถิรจิตโต และเจออดีตพระชาวอโศกซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ ก็คุยกัน เย็นนั้นกลับไป ก็เริ่มทานมังสวิรัติมาจนถึงทุก วันนี้ แล้วก็มาวัดบ่อยๆ พาลูกสาวมาเรียนพุทธธรรม ขณะนี้ลูกสาวทำงาน อยู่ประเทศสิงคโปร์

*** ทุกวันนี้
พักงานบ้านไว้บ้างแล้วก็มาช่วยงานวัด หากเราไม่ปลีกเวลาเราก็จะไม่มีเวลามาวัดเลย ก็มาช่วยงานที่ชราภิบาลบ้าง ตอนนี้ ช่วยงาน ที่ห้องสื่อธรรมะ ส่วนเรื่องของจิตใจเห็นว่าตัวเราเย็นลง ความดุน้อยลง ที่ได้ก็คือ เราวางใจ พร้อมที่จะให้ ปกติเป็นคน โกรธง่ายหายเร็ว ไม่พยาบาท คิดว่าจะทำเรื่องภราดรภาพก่อนเพราะเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราสร้างความรัก ความเมตตา กับเพื่อนมนุษย์ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ดี ทุกวันนี้โลกไม่ค่อยจริงใจ มีมารยากันเยอะ เขาจะโกรธเรา เราไม่โกรธเขา แล้วจะไม่เอาเรื่องงาน กับเรื่องส่วนตัวมาปนกัน เรื่องงานก็คือเรื่องงาน ถ้ามีปัญหาเรื่องงาน ห้ามเอามาเป็นเรื่องส่วนตัวเด็ดขาด สิ่งที่ประจำใจตัวเอง ขณะนี้คือ เรื่องความจริงใจ ทำอะไรด้วยความจริงใจเสมอ


ในงานพุทธาฯที่เพิ่งผ่านไป ช่วงที่พ่อท่านแสดงธรรมในช่วงทำวัตรเช้า พ่อท่านถามว่าถ้าเจอบ่อเพชร กับบ่อธรรมะ พวกเรา จะเลือกเอาอะไร ? แล้วลองถามตัวเองอีกครั้งว่าเพชรกับธรรมะสิ่งไหนที่ติดตัวเราไปได้ ได้คำตอบแล้วก็อย่าชักช้า ชาติหนึ่ง สั้นนิดเดียว
- บุญนำพา รายงาน -

 

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เหตุเกิดที่ร้านค้าชุมชนชาวอโศก
- ต.อ.ร้านค้า -

"ฉลาก" ไม่อ่านก็ไม่รู้
ณ ศาลีอโศก
ช่วงพุทธาฯที่ผ่านมา ต.อ.ร้านค้า ถือโอกาสเดินพิจารณาสินค้าร้านใจฟ้า ซึ่งมาวันนี้นับว่าผิดหูผิดตาไป เยอะ แม้สภาพร้านค้า ยังเหมือนเดิม แต่การจัดวางสินค้ามีระเบียบและแยกแยะ ทำให้ลูกค้าเลือกหาสินค้าได้ง่ายขึ้น โกดังด้านหลังก็สะอาดสะอ้าน มองดูสบายตา อ้าว! แวะดูตรงนี้หน่อยซิ มีขวดอะไรวางเรียงราย อ้อ...นี่น้ำลูกยอ นั่นน้ำกระชายดำ ตรงฉลากเขียนอะไร มากมายนะ อย่างนี้ต้องอ่านซะหน่อย ว้า! ประโยคนี้หลุดมาได้ยังไงหว่า "กินแล้วเพิ่มกำหนัด เสริมพลังทางเพศ" โอ๊ย...รับไม่ได้ ไม่ด้ายจริงๆ ต้องคุยกับผู้ดูแลร้านค้า หาข้อมูลก่อนดีกว่า

ผู้ดูแล "...ก็เป็นของพวกเรามาส่ง สินค้าเพิ่งเข้ามา ดิฉันไม่ทันได้อ่านฉลาก"
ต.อ.ร้านค้า "...ควรอ่านฉลากก่อนรับสินค้าใหม่ทุกครั้ง ตรวจดูว่าเขียนเกินจริงไหม การเขียนโฆษณา ที่มีความหมาย ในเชิง ส่งเสริมเรื่องเพศ ซึ่งเป็นลักษณะทุนนิยม เพื่อหวังยอดขายสูง เพราะรู้กิเลสกามในคนได้ดีนั้น ความจริงกระชายดำ เป็นสมุนไพร ช่วยให้ระบบต่างๆในร่างกาย เกิดการหมุนเวียนดี ร่างกายจะแข็งแรง กระชุ่มกระชวย ทำงานได้ดีได้ทน และที่สำคัญ การโฆษณา เชิงนี้ ขัดแย้งกับคำสอนของชาวอโศก ที่เน้นเรื่องการลดกาม การสมาทานศีล ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องแวะ กับสิ่งที่เป็น อันตราย ต่อพรหมจรรย์ จริงมั้ยจ๊ะ แล้วอย่าลืมเอาเจ้าตัวปัญหาออกจากชั้นก่อนนะคะ ก่อนที่ใคร จะมาอ่านเจอ เข้านะซี"


อย่าผิดฝาผิดตัว
ณ ทักษิณอโศก
พบปะผู้ดูแลร้านค้า "...ตกลงว่าร้านค้าของชุมชนจะขายเกาลัดได้ไหม"

ต.อ.ร้านค้า "...บางคนก็มีความเห็นว่าเป็นสินค้านำเข้า บางคนว่าก็เป็นสินค้าที่เราผลิตเองไม่ได้ เกาลัดเป็นผลไม้แห้ง มีคุณค่า อาหารสูง บางคนก็ยังว่า จะแน่ใจ ได้อย่างไร เรื่องไร้สาร ปลอดสาร ทำมาอย่างไร เราก็ไม่รู้ไม่เห็น ทำเอาชักงงๆ หาข้อสรุปไม่ได้"

ผู้ดูแล "...เราขายอยู่ ขายดีมาก ลูกค้าเองก็มาขอให้ขาย เขาอยากให้ขายมากๆ มากๆ"

ต.อ.ร้านค้า "...ความต้องการของลูกค้า เราไม่น่าเอามาเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินใจ เพราะสินค้าเราบวกกำไรน้อยมาก ทำให้สินค้าของเราราคาถูกกว่าที่อื่น ลูกค้าก็อยากให้เราขายสินค้าทุกอย่าง ยิ่งมากยิ่งดี ถ้าเราทำตามความต้องการของลูกค้า ในนัยนี้ เราจะกลายเป็นคู่แข่งของร้านค้าทุนนิยมทันที ขายเหมือนเขาแต่ขายถูกกว่า อาจทำให้ร้านค้าบุญนิยมของเรา สร้างศัตรูขึ้น โดยไม่ตั้งใจ

จริงๆแล้ว การขายแบบบุญนิยมของเราก็คือ เราเลือกขายสินค้าอย่างมีสาระ อย่างมีเป้าหมาย มีอุดมการณ์ โดยไม่หวังเงิน เป็นตัวตั้ง ส่งผลให้เรามีอำนาจต่อรอง สามารถเป็นตัวกำหนดชี้นำทั้งนโยบายการค้าขายและสินค้า ให้ลูกค้าเป็นผู้สนองตอบ ไม่ใช่เรากลายเป็นผู้สนองตอบต่อความต้องการของลูกค้า"

ผู้ดูแล "...เห็นร้านค้าบางชุมชน ยังขายสินค้าต้องห้ามก็มี ขายสินค้าที่มุ่งเน้นการขายได้เงินมากกว่าก็มี ทำไมเขายังทำได้...(วะ)"
ต.อ.ร้านค้า "...ก็เห็นๆอยู่ แต่ถ้าดูแล้วก็ไม่ได้เป็นสินค้าที่ออกนอกกรอบมากเกินไป จนผู้บริโภคถึงกับเป็นอันตรายก็ช่างเถิด พวกเรา ก็คงไม่ได้หวังว่า ชุมชนจะงามพร้อม ทำถูกต้องเป๊ะๆ ในเวลาอันรวดเร็ว ก่อน ๕๐๐ ปี ใช่ไหมล่ะ เพราะบางที่บางแห่ง อาจมีเงื่อนไข ก็ให้เขาค่อยเป็นค่อยไป แต่ใครที่พร้อมทำได้ก่อน ทำเลย อย่างเช่น บจ.พลังบุญ ถือเป็นพี่ใหญ่ ก็จะพยายาม ทำให้ได้ก่อน ให้ดีที่สุดตามระบบบุญนิยมที่ พ่อท่านวางไว้ สมดังที่พ่อท่านเคยพูดว่า 'บจ.พลังบุญจะเป็นรูปแบบ บริษัทบุญนิยม แห่งแรกในโลก' "

ขากลับแวะปั๊มเติมน้ำมัน ต.อ.ร้านค้าอดไม่ได้ตามประสา เดินดูสินค้าเพลินๆดีกว่า นี่ไง มีเกาลัดขายด้วย ไหนขอดูราคาหน่อยซิ ว๊าย! ตาเถรตกใต้ถุน ก็ร้านค้าพวกเรา ขายกันแค่ ๓๐ บาท (ทุน ๒๕ บาท) แต่นี่ตั้ง ๔๕ บาท หายสงสัยเลยใช่ไหมว่า ทำไมลูกค้า อยากให้เราขายโน่น ขายนี่ ขายกระทั่ง ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ก็เพราะเหตุอย่างนี้ อย่างนี้แหละ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ปฏิทินงานอโศก
งานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๙ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก อาทิตย์ที่ ๓ -เสาร์ที่ ๙ เม.ย.๔๘
งานคืนสู่เหย้าฯ ครั้งที่ ๓ ณ พุทธสถานราชธานีอโศก พฤหัสฯที่ ๑๒ -เสาร์ที่ ๑๔ พ.ค.๔๘

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,500 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]