ฉบับที่ 252 ปักษ์แรก 1-15 เมษายน 2548

[01] โทษใครดี
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "การอธิษฐานจิต"
[03] วิสาขะ'๒๔ ถึง วิสาขะ'๔๘:
[04] เย็นไว้นะโยม
[05] สกัดน้ำขิงช่วยเร่งราก-ใบ ทดแทนฮอร์โมนนำเข้าราคาแพง
[06] :อ.หม่อมดุษฎี อบรมคุรุชาวอโศก เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการศึกษา
[07] ระดมทำอาหารอินเดียขนานแท้ ในงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๙ ณ ศีรษะอโศก
[08] แอฟลาทอกซิน... ตัวอันตราย บ่อเกิดมะเร็ง
[09] กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ปฐมอโศก - อินทร์บุรี
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] สำรวจเด็กไทยติดบุหรี่-เหล้า แฟชั่นวัยโจ๋ รุ่น ๑๕ อัพ:
[12] ชายงามรายปักษ์ นาวาอากาศโทไสว สุรนิคม
[13] ปฏิทินงานอโศก:



โทษใครดี
พ่อท่านสอนชาวเราว่า เมื่อใดที่เห็นปัญหา
เราจะต้องโทษตัวเองก่อน

ใครที่โทษคนอื่นก่อน เป็น คนมิจฉาทิฏฐิ
ดังนั้น เวลาเราเห็นปัญหาในบ้าน (ชุมชน)
เราจะโทษใครก่อน ?

เมื่อเราเห็นปัญหาในวัด (พุทธสถาน, สังฆสถาน)
เราจะโทษใครก่อน ?

เมื่อเราเห็นปัญหาในโรงเรียน (สัมมาสิกขา)
เราจะโทษใครก่อน?

คนที่จะเป็นตัวอย่างแห่งสัมมาทิฏฐิในเรื่องนี้เวลาเห็นปัญหา ควรเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กก่อน
ควรเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ หรือ พวกสัมมาทิฏฐิก่อน
โปรดพิจารณา.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



การอธิษฐานจิต

ในงานปลุกเสกฯครั้งที่ ๒๙ ธรรมะพ่อท่านฉบับนี้ ขอนำคำกล่าวในช่วงอธิษฐานของพ่อท่านระหว่างวันที่ ๔-๙ เม.ย. สำหรับฉบับนี้ จะเป็นช่วงวันที่ ๔-๖ เม.ย.

*** ๔ เม.ย.
ณ บัดนี้เป็นเวลาที่เราจะอธิษฐาน การอธิษฐานคือการตั้งใจหรือการตั้งขึ้นในจิต ในจิตใจเรา เราจะต้องพยายามกระทำ กระทำการตั้ง ตั้งใจของเราให้ดีขึ้นเสมอ มีความมุ่งหมาย มีเจตนารมณ์ และมีความเอาจริงเอาจัง ว่าเราจะทำอะไร คิดแล้วก็ทำ เมื่อเราได้คิดว่าอย่างนี้ดี อย่างนี้เป็นจุดมุ่ง อย่างนี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องกระทำให้จริงให้บรรลุผล เราก็ดำเนินกระทำ อธิษฐาน เป็นบารมี บารมีหมายความว่าเป็นสิ่งที่เราจะต้องสั่งสมด้วยกรรม ถ้าเราได้กระทำสั่งสมด้วยการกระทำ กระทำมากขึ้น ยิ่งขึ้นๆๆนั่นคือสะสมบารมี ตั้งจิตเสมอ ตั้งใจเสมอ ไม่อ่อนแอ ไม่ล้มเหลว ไม่ท้อแท้ แต่ตั้งใจให้ได้ และกระทำให้มีพลัง การตั้งใจ แล้วมีพลัง พลังจะนำพาการกระทำนำพาชีวิตนำพาเราเดินทางไปสู่จุดมุ่งหมายถึงที่สุด

*** ๕ เม.ย.
ความสงสัยลังเล หรือวิจิกิจฉาคือความยังไม่แน่ชัด ยังไม่มั่นคง ยังไม่เด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ ที่จะเชื่อที่จะเห็นจริง ที่จะมุ่งมั่น ไปในจุดเดียว ผู้ที่ยังมีวิจิกิจฉาอยู่ ยังไม่ถึงขั้นเด็ดเดี่ยว เป็นหนึ่ง ในจุดที่เรามุ่งเรามั่นและเราจบแล้ว สรุปแล้วว่านี่คือ ที่สุดแห่งที่สุด ผู้ยังมีวิจิกิจฉายังสงสัย พลังแห่งการสร้าง ก็จะยังไม่เต็มที่ ความสบายใจก็จะยังไม่สมบูรณ์ ผู้ที่สามารถ พ้นวิจิกิจฉาได้แล้ว ผู้นั้นจะมีกำลัง จะมีประสิทธิภาพ ในการกระทำในการเดินทาง ผู้ที่ยังไม่สามารถพ้นวิจิกิจฉา จึงสมควร จะต้องตรวจสอบ จะต้องค้นหา จะต้องวินิจฉัยให้เด็ดเดี่ยว เด็ดขาด ว่าความสงสัยลังเล ของเรายังตกบกพร่องอยู่ในจุดไหน อยู่ในลักษณะไหน อยู่ในเรื่องไหน หรืออยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เราสามารถจะตัดสินได้ ก็ต้องทำให้วิจิกิจฉาของเราสิ้นไปให้ได้ ผู้ที่สิ้นวิจิกิจฉาได้แต่เรื่องเล็กๆ ประเด็นเล็กๆ จนถึงประเด็นใหญ่ๆ ที่สุดเป็นประเด็น แห่งชีวิตทิศทางแห่งชีวิต ความมุ่งหมาย ของชีวิตผู้ที่พ้นวิจิกิจฉาได้ จะมีทั้งพลัง จะมีทั้งความสุขสบายใจ ไม่มีอะไรขัดข้อง ด้วยประการทั้งปวง

*** ๖ เม.ย.
พุทธนี้ชื่อว่านาวา เป็นนาวาอันยิ่งใหญ่ของโลก เมื่อพุทธนาวาเกิดขึ้น ได้เป็นที่อาศัย โลกเดือดร้อน โลกวุ่นวาย โลกเป็นทุกข์ เพราะกิเลส เพราะสิ่งที่อวิชชา ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยสามัญ จึงถูกทุกข์คุกคาม เดือดร้อน เมื่อศาสนา พุทธเกิดขึ้น จึงเป็น ประหนึ่ง นาวาทิพย์ เป็นที่ค้นรื้อสัตว์นำพาให้พ้นฝั่งพ้นทุกข์ได้ ผู้ที่พบเรือลำนี้แล้วรีบขึ้นเรือ รีบพยายาม แหวกว่าย จากวังวน จากสิ่งที่เป็นกระแสโลกีย์อันรุนแรงไหลบ่าท่วมท้นและมีพิษ มีภัยอย่างยิ่ง ต้องรีบปีนป่าย รีบขึ้นเรือที่เป็นพุทธนาวา ให้ได้แล้วพุทธนาวาจะนำพาเราไปสู่ฝั่งอีกฝั่งหนึ่งที่ชื่อว่าโลกุตระ พ้นทุกข์ได้อย่างสมบูรณ์จริงๆ.

- เด็กวัด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


- สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ -

วิสาขะ'๒๔ ถึง วิสาขะ'๔๘

งานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๙ ที่เพิ่งผ่านมา มีการนำเสนอภาพเหตุการณ์ในอดีต ของการจัดงานวันวิสาขบูชา ปี ๒๕๒๔ ที่เกาะลอย สวนลุมพินี เพื่อให้ชาวอโศกที่ ไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้น ได้เห็นบรรยากาศของงานและกิจกรรม เพื่อเป็นทิศทางตัวอย่าง ของงานวิสาขบูชาปีนี้ ที่พุทธมณฑล ซึ่งอาจจะมีรูปรอยคล้ายอย่างนั้น

มองจากรูปการแล้ว งานวิสาขบูชาปีนี้ จะยิ่งใหญ่กว่าปี'๒๔ แน่ เพราะภาครัฐตั้งใจให้ยิ่งใหญ่ เพื่อปลุกกระแสชาวพุทธ ให้เห็นเป็นสำคัญ และดูเหมือนว่าจะตั้งเป้า ไปถึงขั้นให้ต่างชาติที่สนใจกิจกรรมนี้ หลั่งไหลเข้ามาร่วมกิจกรรม ในไทยด้วย เพื่อเป็น วันวิสาขบูชาของโลก แต่นั่นเป็นโครงการระยะยาว ปีนี้เพียงเริ่มๆเท่านั้น แล้วค่อยปรับปรุง พัฒนาไปสู่จุดนั้น ในปีต่อๆไป

นอกจากกำลังสนับสนุนและเป้าหมาย ที่ยิ่งใหญ่แล้ว สถานที่ก็ใหญ่โตกว้างขวางกว่าที่เกาะลอยสวนลุมพินี ซึ่งมีเนื้อที่ ระดับ ร้อยๆไร่ แต่ที่พุทธมณฑลนี่เป็นพันๆไร่

ภาครัฐมอบหมายให้สถาบันพัฒนาพลังแผ่นดิน เชิงจิตวิญญาณ หรือเรียก สั้นๆว่า ศูนย์คุณธรรม เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งมีองค์กร ศาสนาอื่นๆ ร่วมด้วย ไม่ใช่แค่พุทธเท่านั้น แม้พุทธเองก็มาจากหลากหลายสำนัก ขณะที่ผู้ต่อต้านชาวอโศกเริ่มเคลื่อนไหว ล้วนเป็นผู้ต่อต้านพันธุ์แท้ ตั้งแต่หลังปี'๒๔ โน่นจนมาถึงปัจจุบันก็ยังคงเหนียวแน่นกับความคิดเดิมๆ ข้อกล่าวหาเดิมๆ ว่าชาวอโศก ไม่ได้เป็นพุทธ นอกรีต ผิดธรรมวินัย ไม่ได้เป็นพระ เถรสมาคมได้กระทำประกาศนียกรรม ขับออกจากคณะสงฆ์ไทย ไปแล้ว

หลังความสำเร็จของงานวิสาขบูชา'๒๔ การต่อต้านพ่อท่านและพระชาวอโศก มี พ.ต.ต.อนันต์ เสนาขันธ์ เป็นผู้เริ่มนำ แล้วขยายตัว ไปยังนักการศาสนาทั้งพระและฆราวาส ไปถึงสื่อมวลชนและนักการเมือง การเกิดขึ้นและเติบโตของพรรค พลังธรรม ส่งผลให้นักการเมืองและนักการศาสนาหวั่นกลัวว่า พล.ต.จำลอง จะอาศัยศาสนาเพื่อการมีอำนาจทางการเมือง และ พ่อท่านกับคณะสงฆ์ชาวอโศกจะอาศัยการเมืองเพื่อการมีอำนาจทางศาสนจักร การต่อต้านจึงทวีความรุนแรงขึ้น ถึงขั้น ฟ้องร้อง และจับกุมดำเนินคดีกับพ่อท่าน และคณะสงฆ์ชาวอโศก ในปี ๒๕๓๒

ทั้งศาสนจักรและอาณาจักรไม่รับรองในฐานะนักบวช ห้ามพระในปกครองของมหาเถรสมาคม คบหาสมาคมด้วย บีบคั้นกดดัน ให้ต้องนุ่งห่มผ้าขาว หยามและเหยียดในการอธิบาย หลักธรรมรวมไปถึงการปฏิบัติ ราวกับจะผลักไสให้ออกไปจากศาสนาพุทธ ภาครัฐเอง ก็ละเลยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ข้อที่ว่าบุคคลพึงได้รับการคุ้มครองในการปฏิบัติศาสนา ลัทธิ หรือ นิกายของศาสนา ตามความเชื่อถือของตน ที่ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อศีลธรรมอันดีและความสงบเรียบร้อยของประชาชน

แม้จะได้รับความรังเกียจและกีดกัน แต่พ่อท่านยังคงสงบเย็นและนิ่งได้ เมื่อชี้แจงอธิบายแล้ว ผู้ไม่รู้ก็ยังคงไม่เข้าใจ ทำให้ มีเวลามากขึ้น ในการฟูมฟักพัฒนาองค์กรภายในของชาวอโศกเอง จนกระทั่งประเทศไทยเกิดเศรษฐกิจฟองสบู่แตก วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชุมชนชาวอโศก ผลิตภัณฑ์ของชุมชนและยาสมุนไพร ได้รับความสนใจจากสังคม เพราะคุณภาพดี ราคา ถูก ซื่อสัตย์ นักสังคมศาสตร์ก็ยอมรับว่าเป็นหนทางรอดของสังคมในยามนี้

การอบรมเกษตรกรที่เข้าโครงการพักชำระหนี้กับ ธ.ก.ส. หลักสูตรสัจธรรมชีวิต ส่งผลให้เกษตรกร ที่เข้ารับการอบรม พลิกฟื้นชีวิตได้

ผลจากการข้างต้นนี้ ทำให้นักวิชาการ นักสังคมศาสตร์ นักการศาสนา สื่อสารมวลชนและนักการเมืองที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ มองพ่อท่าน และชาวอโศกเป็นลบ เริ่มเปลี่ยนเป็นบวกเห็นประโยชน์คุณค่าต่อสังคมมากขึ้น

ปลายปี'๔๖ พ่อท่านทราบข่าวว่าท่านเจ้าคุณประยุทธ์อาพาธ พ่อท่านเขียนจดหมาย ไปนมัสการเยี่ยม ต้นปี'๔๗ ได้รับ จดหมายตอบ ด้วยสำนวนภาษาที่มีไมตรีเช่นกัน

กลางปี'๔๖ พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมสัมมนาเกี่ยวกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่อนุสาวรีย์วีรชน สี่แยกคอกวัว พบคุณวรัญชัย โชคชนะ ผู้นำคณะไปถือป้ายโจมตี ที่สถานีตำรวจดุสิต ในวันที่พ่อท่านถูกจับกุมดำเนินคดี แต่คราวนี้คุณวรัญชัย กล่าวถ้อยคำ นมัสการ หลวงพ่อ แล้ววิพากษ์วิจารณ์ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยไม่ได้กล่าวถึงเรื่องราว หรือประเด็นที่เคยโจมตี

คุณสมพร เทพสิทธา นายกยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย หนึ่งในพยานโจทก์ที่ฟ้องร้องดำเนินคดีกับพ่อท่านและสมณะ เมื่อได้มาพบกันอีกในการร่วมสัมมนาธรรมะเพื่อสันติภาพ ที่สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ จัดขึ้น ทั้งที่สำนักงานพญาไทพลาซ่า และที่สถาบันบันฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ คุณสมพรได้เข้ามานมัสการทักทายพ่อท่าน และชื่นชม "ต้องทำอย่างที่หลวงพ่อทำขอให้ทำต่อไปนะครับ"

๓๑ มี.ค.ที่สนามบินดอนเมือง ขณะกำลังเดินตาม เมื่อพ่อท่านหยุดแล้วหันไปมองพระที่นั่งอยู่ ผู้เขียนจึงเงยหน้า หันไป มองตาม เห็นก็จำได้ว่า เป็นท่านเจ้าคุณ พระพิพิธธรรมสุนทร ท่านเจ้าคุณพยักหน้า และขยับมือเป็นทำนอง เรียกให้เข้าไปหา พ่อท่านก็เดินเข้าไปหาด้วยใบหน้ายิ้มๆ มีไมตรี ท่านเจ้าคุณทักถามว่าจะไปไหน หลังจากพ่อท่านตอบว่า ไปอุบลฯแล้ว ท่านเจ้าคุณ ได้พูดถึงเพลงกระต่ายเพ้อ แล้วเอ่ยถึง ข้อความในเนื้อเพลง คลอเสียงเบาๆเป็นตัวอย่าง จากนั้นยังคงชวนคุย อย่างมีไมตรีต่อว่า ท่านเป็นแฟนยาสมุนไพร ของชุมชนชาวอโศก มีหญ้าหนวดแมว ฯลฯ อะไรอีก ก็จำไม่ได้แล้ว ก่อนจากกัน ท่านเจ้าคุณ เอามือมาจับดูมือพ่อท่าน แล้วทักถามอายุ หลังจากได้ฟังคำตอบแล้ว ท่านเจ้าคุณก็ เย้าๆว่าแก่แล้วนะนี่ กระขึ้นเต็มเลย พ่อท่าน ได้แต่ยิ้มๆตอบรับ

ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ผู้เขียนพอจะระลึกได้ ซึ่งเป็นภาวะที่ดีๆ แสดงถึงการไม่ปักมั่นกับทิฐิและความคิด ของตน พร้อมที่จะเปลี่ยนได้ เมื่อมีข้อมูลใหม่เพิ่มขึ้นมา ก็ให้อภัย ไม่ถือสา ไม่ผูกใจ เจ็บแค้น พยาบาทอาฆาต หรือรังเกียจ ผลักไส กลายเป็น ศัตรูถาวร

ในงานปลุกเสกฯที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ ที่พ่อท่านได้แสดงถึงการไม่ปักมั่นกับความคิดหรือเหตุผลของตน เมื่อมีประเด็น เกี่ยวกับ การแต่งกายร่วมงาน มีผู้เสนอให้แต่งกาย เสื้อขาว พ่อท่านทราบมาตั้งแต่ต้นก็ไม่เห็นด้วย และได้เปรยในหลายที่หลายแห่ง ถึงข้อเสีย ที่จะเกิดขึ้น

ในรายการภาคค่ำ ๗ เม.ย. ขณะ พ่อท่านนั่งทำงานอยู่ในห้องและฟังรายการ ที่ส่งเสียงตามสายมา ผู้ที่ได้รับกระแสไม่เห็นด้วย กับการใส่เสื้อสีขาว เริ่มมีปฏิกิริยา และอยากให้พ่อท่านแก้ปัญหานี้ พ่อท่านเห็นว่ารอให้รายการจบก่อน แล้วค่อยคุยกับ ผู้นำเสนอ แต่เหตุการณ์ ที่ไม่คาดคิด ก็เกิดขึ้น สัญญาณเสียงของรายการที่ส่งมาในห้องทำงาน เกิดมีปัญหา หยุดดับไปดื้อๆ ขณะที่รายการ ยังคง ดำเนินต่อไป พ่อท่านจึงรีบหยุดพักงานในห้องทำงาน ลงไปร่วมฟังที่เวทีภาคค่ำนั้น เพื่อจะได้รับฟังข้อมูล ได้รอบถ้วน ขณะที่ความขัดแย้ง ในเรื่องการแต่งเสื้อขาวหรือไม่ ยังไม่ยุติ พ่อท่านจึงรีบเดิน ขึ้นไปร่วมแสดงความเห็น ในประเด็นนี้ด้วย

เสียงสองและเหตุผลที่พ่อท่านเปรยถึงความไม่เหมาะควรในการต้องไปหาเสื้อสีขาวมาใส่ ไม่ว่าจะเป็นคำว่า "จะต้องไป กำหนด กดดันมาให้ใส่เสื้อสีขาวจริงๆหรือ" หรือ "ไปงานนี้อาตมาได้บอกแล้วว่าพวกเราจะต้องไปแบบติดดิน ไปเป็นผู้รับใช้ ไปเก็บขยะ ไปล้างส้วม ไปปฏิบัติ ๕ ส. แล้วเสื้อสีขาวมันไม่เหมาะที่จะไปทำอย่างนี้เลย" ก็ได้รับคำอธิบาย จากผู้เสนอว่า "ถ้าใส่ได้ทั้ง ๙ วันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ที่เน้นจริงๆก็คือเฉพาะวันวิสาขะเท่านั้น" และเมื่อพ่อท่าน เปรยถึงจำนวน เสื้อสีขาว ที่จะต้องไปหามา "คงเป็นจำนวนพันที่พวกเราจะไปร่วมงานนื้ มันไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกันน่ะ" ประเด็นนี้ก็ ได้รับการแก้ จากผู้เสนออีกว่า เป็นเรื่องของ การทำบุญอันยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะการได้ ทำบุญกับ นักปฏิบัติธรรม ก็เป็นเรื่องที่ดี ขอให้บอกมา ว่ากี่พันตัว (มีเสียงตอบรับ และตบมือจากผู้ฟังจำนวนมาก) สภาพการณ์ อย่างนี้ พ่อท่านยอมหยุดยอมถอย ไม่หาเหตุผลอื่น มาแย้งแล้ว โยนลูกให้พวกเราแสดงความเห็นต่อ และตัดสินใจ ด้วยการโหวต ออกเสียงว่าควรจะเป็นเช่นใดกันเอง เพราะพ่อท่าน ก็มีความเป็นประชาธิปไตยเพียงพอ

มีสมณะหลายรูปพยายามแสดงความเห็นแย้ง เรื่องการใส่เสื้อขาวมากไปกว่าวันวิสาขะ ขณะที่เสียงฆราวาสหลายเสียง ที่ยังคงเห็นดีกับการใส่เสื้อสีขาวมากกว่าวันวิสาขะ โดยเฉพาะวันแรกที่เดินธรรมยาตรา ขณะเดียวกัน พ่อท่านกลับเสริมรับ โดยให้เหตุผลว่า เป็นพลังรวมในการทำพิธีใดๆ ที่มีผลไปสู่สังคมวงกว้างได้ เพื่อให้เกิดผล ไปถึงสังคมทั่วประเทศ ถ้าจะเอาไป ปฏิบัติทำกันก็เป็นเรื่องดี

เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่พ่อท่านไม่ได้ปักมั่นกับทิฐิและเหตุผลของตน ไม่ใช่ว่าเป็นผู้นำแล้วจะแพ้ไม่ได้ ยอมไม่ได้ ซึ่ง สัจจะ ที่พ่อท่านเคยสอนเคยบอกพวกเรามาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็คือ ผิด-ถูก แพ้-ชนะ ดี-ไม่ดี เป็นเรื่องของสมมุติสัจจะ มันเป็นเรื่อง ที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่เที่ยงแท้ จึงไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่เป็นสมมุติสัจจะเหล่านั้น จนทำให้เราเกิดกิเลส ต้องโลภ โกรธ หรือหลงไปกับสิ่งนั้นๆ

ขณะที่ฝ่ายจัดงานกำลังดำเนินการเตรียมงาน และแบ่งงานกับองค์กรศาสนาต่างๆที่จะมาร่วม เพื่อให้สิ่งดีๆเกิดขึ้น ในสังคม ผู้ต่อต้านพันธุ์แท้ ก็ก่อตัวเคลื่อนไหวคัดค้าน เริ่มจากรายการทางโทรทัศน์นักการเมืองรุ่นเก่าแก่ขวาจัดๆ ได้วิพากษ์วิจารณ์ ต้านว่า เป็นเรื่องเลวร้ายเสียหาย ตามมาด้วยกลุ่มที่เงียบหายไปนาน กลับมาอีกทีไปยื่นเรื่องคัดค้าน ให้กับบรรดา ส.ว. นอกจากนี้ มีรายการวิทยุ ที่มีพระและอนุศาสนาจารย์ ร่วมกันจัดรายการ ก็เคลื่อนไหวต้านด้วย

เพื่อการสมานฉันท์ คณะจัดงานได้เปลี่ยนจากศูนย์คุณธรรมเป็นให้สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้จัดงานแทน และถอนชื่อของท่านจันทร์ที่มีชื่อร่วมในคณะกรรมการจัดงานออก แต่คณะต่อต้านพันธุ์แท้ยังไม่ยุติ เพราะเป้าหมายสำคัญ ก็คือไม่ต้องการให้สันติอโศกเข้าไปมีส่วนร่วมในงานนี้ ล่าสุดเมื่อวานนี้ (๑๑ เม.ย.) ได้ข่าวว่ามหาเถรสมาคม มีมติ คัดค้าน สันติอโศก ที่จะมาร่วมจัดงานวิสาขะที่พุทธมณฑลนี้ จากข่าวหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ (๑๒ เม.ย.) พระเทพวิสุทธิกวี กล่าวว่า "มหาเถรสมาคม ได้ตัดสินแล้วว่า หลักคำสอนของสันติอโศก ไม่ถูกต้อง เป็นการประพฤติ นอกธรรมวินัย หากตัดสินใจ ให้สันติอโศก มาจัดงานวันวิสาขบูชา ก็เท่ากับไม่ยี่หระ และเอื้อเฟื้อต่อคณะสงฆ์ ทำอย่างนี้เท่ากับ ตบหน้ามหาเถรสมาคม ในเมื่อตัดสินแล้วว่า ไม่ยอมรับผู้ประพฤติผิด อย่างสันติอโศกแล้ว จะมาทำงานร่วมกัน ได้อย่างไร คงไม่มีใครถุยน้ำลาย แล้วจะเก็บกลับมากลืนได้ใหม่"

เย็นวันนี้ ๑๒ เม.ย.นักข่าวหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ได้โทร.มาขอสัมภาษณ์พ่อท่าน ตามที่เป็นข่าวนี้ ว่าพ่อท่านเห็นอย่างไร พ่อท่าน ได้ตอบว่า "เราจะไปทำอะไรได้ เราเป็นคนเล็กคนน้อย เมื่อท่านไม่ให้เราไปร่วมทำเราก็ไม่ไปร่วมทำก็เท่านั้นเอง เราไม่มี อำนาจอะไร ไปดึงดันทัดทาน แต่ไหนแต่ไรเราไม่เคยดึงดันอะไร ไม่ให้เราใช้คำนำหน้าว่าเป็นพระเราก็ไม่ใช้ ให้เรานุ่งห่มขาว เราก็นุ่งห่มขาว จะตัดสินว่าเราผิดเราแพ้คดีเราก็แพ้ แต่เราก็ยังคงทำสิ่งที่เห็นว่า เป็นประโยชน์ต่อสังคมเรื่อยมา จนถึงวันนี้ ก็ยังทำอยู่"

เมื่อนักข่าวแสดงความเห็นขึ้นมาว่า "เขาทำอย่างนี้มันไม่ยุติธรรมเลย"

พ่อท่านตอบว่า "ยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม มันก็เป็นเรื่องที่เขาตัดสินไปตามภูมิของเขา เมื่อเขาเห็นว่าเราไม่ถูกต้อง เราผิด เขาก็ย่อม ทำอย่างที่เห็นกันอยู่นี้ เป็นธรรมดา"

ที่สุดแล้วการจัดงานวันวิสาขบูชาจะลงเอยอย่างไร คงต้องรอดูกันต่อไปอย่ากะพริบตา เนื่องด้วยผู้ประสาน การจัดงานบางส่วน ยังคิดจะหาที่จัดใหม่แทนที่จะเป็นพุทธมณฑล ในส่วนตัวผู้เขียนเห็นว่าหยุดไปเลยก็น่าจะดี ถ้าไปหาที่จัดแห่งใหม่ ก็ยังดูเหมือน เราดึงดันจะจัดให้ได้ ไม่นิ่ง ไม่สงบ ไม่ยอม ถ้าจำต้องหยุดจริงๆก็ดี เพราะจะได้ไม่เหนื่อย และไม่ต้องควักเนื้อ มาใช้จ่ายกับการนี้ เอาเวลามาทำงานของภายในเราที่ยังมีให้ทำอีกเยอะ แต่ที่สุดแล้วก็คงต้องดูเหตุปัจจัยอื่นที่จะมีขึ้นมา หากหลายเสียงเห็นว่า ควรไปก็คงต้องไป และแน่นอนผู้ต่อต้านพันธุ์แท้ก็คงไม่หยุด โศลกธรรมของพ่อท่าน หลายๆ โศลก คงได้เอามาใช้ "ทำดียังไม่ได้ดี ก็เพราะทำดียังไม่มากพอ เราจะต้องทำดีต่อไปให้ได้มากๆ จนกระทั่งคนตาบอดก็เห็นได้".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

- ต.อ.กลาง รายงาน -

เย็นไว้นะโยม
ผู้ผลิต (เครือข่าย) : เออ! จะนำสินค้ามาวางขายที่ บจ.พลังบุญ สินค้าตัวนี้วางขายที่อื่นๆอยู่แล้ว
ต.อ.ร้านค้า : อืม ! น่าสนใจ ขอรับไว้พิจารณาก่อน (อ่านฉลาก) ข้อมูลในฉลากยังต้องแก้ไข เพราะมีการโฆษณาเกินจริงอยู่ เช่นว่า สูตรมหัศจรรย์ ใช้แล้วได้ผลทันที และข้อมูลที่กำหนดบนฉลากก็ไม่ครบ ได้แก่ ส่วนประกอบ สำคัญ ปริมาณสุทธิ วันผลิต และวันหมดอายุ ขอให้ผู้ผลิตช่วยแก้ไขและนำมาให้ดูใหม่นะคะ เพราะถ้าจะส่งขายที่ บจ.พลังบุญ ควรทำฉลาก ให้ถูกต้อง เสียก่อนนะคะ

เวลาผ่านไปประมาณ ๒ เดือน ณ บจ.พลังบุญ
พนักงาน : มีสินค้าพิจารณา ๑ ราย
ต.อ.ร้านค้า : อ้าว ! สินค้าตัวนี้เคยแนะให้แก้ไขข้อมูลในฉลากและนำมาดูก่อน แต่นี่ทำไมพิมพ์ฉลากใหม่ โดยใช้ข้อมูลเดิมล่ะ แล้วพิมพ์สี่สีซะด้วย จะทำยังไงล่ะทีนี้ เพราะถ้าฉลากแบบเดิมนี้ ควรจะขายที่พลังบุญไม่ได้ เฮ้อ! กลุ้ม

เวลาผ่านไป ๒-๓ วัน ณ ร้าน บจ.พลังบุญ
ผู้ผลิต : สินค้าที่ส่งมาพิจารณา ตกลงจะสั่งหรือยัง
พนักงาน : ตามที่ ต.อ.ร้านค้าแจ้งมา ฉลากยังไม่ได้แก้ไขให้ถูกต้อง คงยังสั่งสินค้าเข้ามาขายไม่ได้ค่ะ
ผู้ผลิต : ทำไม? ที่นี่ยุ่งจัง ที่อื่นรับไปขายเยอะแยะแล้ว ไม่เห็นมีปัญหา สินค้าตัวนี้ดีมากจริงๆ ใช้แล้วได้ผลกับทุกคนเลย (บ่น) หงุดหงิด ๆๆ

ต.อ.ร้านค้า (บ่นดังๆ) สินค้าดีๆเราก็อยากขายให้ แต่ก็ต้องทำให้ถูกหลักถูกขั้นตอน ก็ติงไปแล้ว ก็ไม่ทำตาม อ้างว่าช้า แต่ใจร้อน ทำไปแล้ว จะมาแก้ไขทีหลังก็ทำไม่ได้ คงต้องรอคราวหน้า ให้ฉลากงวดนี้หมดไปก่อน

ถ้ายังต้องการจะขายที่พลังบุญอยู่ ก็อย่าลืมที่แนะไว้ ก่อนจะพิมพ์ฉลากใหม่ ขอให้นำฉลาก มาตรวจดูก่อนอีกครั้ง เพื่อความถูกต้อง เห็นไหมล่ะ อยากขายเร็วๆ กลับยิ่งทำให้ช้าไปอีก จำไว้ๆ ทีหลังอย่าทำๆ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สกัดน้ำขิงช่วยเร่งราก-ใบ
ทดแทนฮอร์โมนนำเข้าราคาแพง

ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกนี้ ไทย ถือเป็นประเทศที่มีความหลากหลายของพืชสมุนไพรไม่แพ้ประเทศอื่นเลย ทว่าการนำมา ใช้ประโยชน์นั้น ยังน้อยนิดเหลือเกิน ทั้งที่ความจริงแล้วพืชหรือสมุนไพรชนิดหนึ่งๆ นั้นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ได้มากกว่า การนำมาบริโภค หรือกินเพียงอย่างเดียว

อย่างเช่น "ขิง" ที่ผู้คนส่วนใหญ่คุ้นกับการใช้เป็นเครื่องเทศแต่งกลิ่นอาหาร เพิ่มรสชาติ หรือดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ฯลฯ ขณะที่ประเทศแถบตะวันตกนำขิงไปทำเบียร์ (Ginger beer) เนื่องจากขิงมีฤทธิ์ร้อน ช่วยขับเหงื่อ ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว...

แต่สำหรับข้อมูลที่ คุณมณีรัตน์ ปัญญพงษ์ ประชาสัมพันธ์สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ส่งมาให้ขอบอกว่าเป็นความรู้ใหม่ ที่ทำให้อีกหลายคนได้ทราบว่า จากนี้ไป "ขิง" จะไม่ได้เป็นเพียงแค่สมุนไพรเครื่องเทศที่ใช้ในการประกอบอาหารในครัวเท่านั้น หลังจากที่ นายกนก อุไรสกุล อาจารย์คณะวิชาพืชศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพระนครศรีอยุธยา หันตรา ได้ศึกษาวิจัยและค้นพบว่า ขิงสามารถนำไปช่วยกระตุ้นให้พืชสร้างรากใหม่ได้เป็นอย่างดี

เกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์กนก เล่าความเป็นมาให้ฟังว่า ปกติพืชแต่ละชนิดจะมีสารกลุ่มเทอปีน (Terphene) เป็นกลุ่มฮอร์โมน ที่มีคุณสมบัติ ช่วยในการเจริญเติบโต สร้างเซลล์ แตกราก แตกใบใหม่อยู่แล้ว ซึ่งได้ทำการทดลอง สกัดฮอร์โมนจากพืช หลายชนิด ทั้งพริก แมงลักคา(กะเพราผี) สะเดา ตะไคร้หอม สาบเสือ หนาด ขิง ฯลฯ นำมาเปรียบเทียบกัน ปรากฏว่า น้ำสกัด จากขิงช่วยให้รากของกิ่งไม้ที่ใช้ในการทดลองออกรากเร็วและปริมาณมากกว่าน้ำสกัดจากพืชชนิดอื่น

ในการทดลองนักวิจัยได้ใช้สารสกัดจากขิงเปรียบเทียบกับฮอร์โมนเร่งรากที่มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาดชนิดหนึ่ง โดยใช้กิ่งโกศล จุ่มสารสกัดขิงและฮอร์โมนที่ซื้อมา จากนั้นนำไปแช่ในขวดเพื่อดูการเปลี่ยน แปลง ปรากฏว่ากิ่งโกศลทั้งสอง ออกราก จำนวนมาก ทั้งสองกิ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีความแตกต่าง ระหว่างน้ำสกัดขิง กับฮอร์โมน ที่ซื้อมา นอกจากนี้ ยังได้นำไป ทดลองฉีดพ่นราก ของพืชเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งมักพบว่า พืชเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเหล่านี้เวลานำออกจากขวดแล้ว จะไม่ค่อยโต แต่เมื่อลองใช้น้ำสกัดขิง ฉีดพ่นไปที่ รากพืชเหล่านี้ พบว่าโตเร็วขึ้น ๑-๒ เท่าตัว แถมใบยังเขียวขึ้นด้วย

การทำก็เพียงแค่สกัดเอาส่วนที่เป็นน้ำใสๆจากขิงสด(ขิงแก่) ผสมกับน้ำในอัตราส่วน ๕ ซีซี ต่อน้ำ ๑ ลิตร นำกิ่งพันธุ์จุ่ม ก่อนที่จะนำไปปักชำ หรือฉีดพ่นก็ได้ จะทำให้อัตราการงอกของรากและการแตกใบอ่อน ของพืชรวดเร็วไม่แพ้สารเคมี ราคาแพงเลย ที่สำคัญ ขิงเป็นพืชที่เรารู้จักกันดี หาได้ง่ายในท้องถิ่น เกษตรกรสามารถทำไว้ใช้ในไร่สวน ของตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพา สารเคมี

เกษตรกรที่มีความสนใจเกี่ยวกับโลกของขิงที่มีคุณค่ามากกว่าการนำมาประกอบอาหาร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. ๐-๑๕๘๖-๑๕๗๓ หรือที่กองประชาสัมพันธ์ราชมงคล โทร.๐-๒๒๘๒-๙๓๔๐-๔๑ หรือเข้าชมได้ที่ www.gocities.com.
(จาก นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๒๗ ก.ย.๔๗)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


อ.หม่อมดุษฎี อบรมคุรุชาวอโศก
เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการศึกษา เปิดโลกศิลปะกระบวนการกลุ่ม

อีกก้าวหนึ่งกับการพัฒนาการศึกษา บุญนิยม (บุญญาวุธ หมายเลข ๕) เมื่อ วันที่ ๒๖-๓๐ ีนาคม พ.ศ.๒๕๔๘ สมณะ-สิกขมาตุ และคณะ คุรุนักเรียนจากโรงเรียนสัมมาสิกขาทั่วประเทศรวม ๑๑๕ คน รับการอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการศึกษา โดยอาจารย์ หม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา ใช้ชีวิตในชุมชนปฐมอโศก จ.นครปฐม

ในการอบรมครั้งนี้เป็นการ ฝึกวินัย ในรูปแบบของกิจกรรมสร้างสรรค์ ผู้เข้าอบรมสวมกางเกง เพื่อความคล่องตัว ในการทำกิจกรรม และเตรียมอุปกรณ์คือ กรรไกร คัตเตอร์ ดินสอ ปากกา และผ้าห่มสะอาด

ในเย็นวันที่ ๒๕ ก่อนการอบรมมีการประชุมทำความเข้าใจข้อตกลงในการปฏิบัติร่วมกันเพื่อสร้างวินัยขบวนการกลุ่ม การเป็น ลูกศิษย์ที่ดีของอาจารย์หม่อม ซึ่งมีอายุ ๘๑ ปี แต่ได้เสียสละเวลาเดินทางไป-กลับ มาจัดการอบรมแก่คณะคุรุ สัมมาสิกขา ในครั้งนี้ การดำเนินชีวิตตามวิถีชีวิตชาวปฐมอโศกโดยธรรมชาติคือ เช้าตรู่ ตีสามครึ่งร่วมกิจกรรมทำวัตร หรือ เรียนธรรมะ บนกระดานดำ จนกระทั่งเวลา ตีห้าร่วมออกกำลังกายกับชาวชุมชนที่ศาลาวิหาร ในช่วงนี้คุรุบางส่วน จะฟ้อนเจิง ที่ใต้ศาลา ทอฝัน หลังจากนั้นทำภารกิจส่วนตัว ในเวลา ๐๗.๐๐ น. รับประทานอาหารที่โรงครัว และเข้าอบรมในเวลา ๐๘.๓๐ น-๑๖.๐๐ น. หลังจากนั้นพักผ่อนตามอัธยาศัย

เวลา ๑๘.๓๐-๒๐.๐๐ น. สมณะร่มเมือง ยุทธวโร ได้เปิดชั้นเรียนธรรมะบนกระดานดำสำหรับคณะคุรุที่มาสัมมนา ณ ชั้น ๒ ตึกเรียน สัมมาสิกขาปฐมอโศก

กิจกรรมสร้างสรรค์และเคลื่อนไหวที่ได้เรียนรู้การอบรมมีดังนี้
วันที่ ๒๖ มีนาคม เวลา ๐๙.๐๐ น. รับฟังการบรรยายเล็กน้อยก่อนทำกิจกรรม เป็นการฝึกจินตนาการ และฝึกวินัย ในการฟัง คำสั่ง เช่นการเคลื่อนไหวประกอบดนตรีแบบเดี่ยว แบบคู่ แบบกลุ่ม ในท่าทางต่างๆ และเรียนรู้การประเมิน โดยใช้กิจกรรมกลุ่ม การเล่าทวนกับเพื่อน การตบมือเป็นจังหวะ และตบแผละกับ เพื่อนประกอบกับ การท่องอาขยาน หรือท่องบทกลอนได้ อาจารย์ได้ให้ข้อคิดเรื่องจังหวะ และการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ ฝึกการฟัง และการให้ โอกาสผู้อื่น ช่วงบ่ายเป็น กิจกรรม มือสัมพันธ์ เส้นเล่าเรื่อง และ Can Tower แต่ละกิจกรรมเป็นการทำงานเดี่ยว แล้วโยงมาสู่ การทำงานร่วมกัน การวางแผน ร่วมกันโดยมีกติกาว่า ต้องฟังคำสั่ง ให้เข้าใจ ก่อนลงมือทำ เป็นการฝึกวินัยและฝึกสติสมาธิ

วันที่ ๒๗ มีนาคม เข้าอบรมในเวลา ๐๘.๓๐ น. กิจกรรมบริหารสมอง กิจกรรมเก้าอี้พาเราเต้นรำ กิจกรรมประติมากรรมเก้าอี้ เป็นกิจกรรม ที่ใช้ความเงียบในการเคลื่อนไหวประกอบดนตรีและใช้จินตนาการ การสื่อสารทางสายตา ฝึกความจำการมีสติ และ การปฏิบัติตามคำสั่งได้ถูกต้อง ช่วงบ่าย ฝึกกระบวนการสร้างสรรค์แบบขบวนการกลุ่มโดยใช้อุปกรณ์คือ เส้นเชือก การฉีกกระดาษ การตัดกระดาษ และการทำท่าประกอบเพลง

วันที่ ๒๘ มีนาคม ช่วงเช้าเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ด้วยหนังสือพิมพ์ ช่วงบ่าย กิจกรรมนิทานจากเส้น และ ขาวดำบอกความรู้สึก เคลื่อนไหว และจินตนาการด้วยผ้าห่ม

วันที่ ๒๙ มีนาคม ช่วงเช้ากิจกรรม ค้นหาคำที่มี ล ลิง ซึ่งเป็นกระบวนการจากเดี่ยวเป็นกลุ่ม ช่วงบ่าย ได้เรียนรู้กิจกรรมชมกันนะ ปั้นขยำ พับ บอกความรู้สึก เคลื่อนไหวใช้จินตนาการกับวงหวาย เสือข้ามห้วย

วันที่ ๓๐ มีนาคม เริ่มต้นด้วยการทบทวนจังหวะ การร้องเพลง หลังจากนั้นเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อให้เรียนรู้สังคม และผู้อื่น จากกิจกรรม สร้างสรรค์ศิลปะที่กำหนดให้ การแสดงความรู้สึก และการเคลื่อนไหวตามจินตนาการ ประกอบดนตรี ช่วงบ่าย เป็นการฟัง สรุปทฤษฎีและพิธีบูชาครู กิจกรรมเสร็จสิ้นเวลา ๑๕.๓๐ น.

สำหรับความรู้สึกของผู้ร่วมกิจกรรมโดยรวมแล้ว ส่วนใหญ่ประทับใจความเมตตา และวิญญาณของความเป็นครู ของอาจารย์ หม่อมดุษฎี และรู้สึกว่า การอบรมครั้งนี้ เป็นการอบรมที่ดี ทำให้รู้จักวิธีการนำไปบูรณาการการเรียนการสอนได้ดีมาก เป็นเสมือน การมาเติมเต็ม ให้ความแข็ง และ ความอ่อนโยน อบอุ่นไปพร้อมๆกัน ทำให้สามารถมองนามธรรม ลักษณะต่างๆ ชัดเจนขึ้น เป็นรูปธรรม และนำไปปรับปรุง ตนเอง ทั้งในด้านบุคลิกภาพการสื่อสารกับผู้อื่นได้ นอกจากนี้ยังทำให้รู้จักตนเองมากขึ้น รวมทั้ง สามารถรับรู้ จับจังหวะอารมณ์ ของเด็กๆได้มากขึ้น

ข้อเสนอแนะ
- เสนอให้มีการอบรมแบบนี้อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยปีละ ๑-๒ ครั้ง เพื่อปลดล็อคความแข็งของคุรุ ให้นุ่มนวลขึ้น และยังมี สิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก
- เพิ่มวันอบรมอีก
- เสนอให้มีเวลาว่างให้จดรายละเอียดกิจกรรมเพื่อป้องกันลืม
- ควรคัดเลือกผู้เข้าอบรมที่มีความสนใจและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงๆ
- ควรจำกัดจำนวนผู้เข้าอบรมให้น้อยลง ประมาณ ๕๐ คน ครั้งนี้จำนวนมากไป
- เสนอเพิ่มการสอนเรื่องการสื่อสารทางวาจา
- ขอกิจกรรมที่เสริมให้เด็กรักความสะอาด และมีจิตสำนึกช่วยงานด้วยจิตสำนึกโดยไม่ต้องสั่ง
- ควรจัดเวลาให้เหมาะสม ไม่กระชั้นชิดกับงานของอโศกมากไป
- ควรแจ้งกฎระเบียบต่างๆ และอุปกรณ์ ที่ต้องเตรียมก่อนเข้าอบรม รวมทั้งตารางการอบรมในแต่ละวัน
- หากสถานที่อบรมเป็นแบบห้องประชุมปิด จำกัดจำนวนผู้เข้าอบรม จะเปิดความรู้สึกได้ดีกว่านี้

- ผู้เข้าอบรมต้องลดการคุยลงบ้าง ผู้เข้า อบรมบางคนไม่ค่อยมีวินัย ต้องให้ทีมงานคอยเตือน อยากให้ผู้เข้าอบรมสำนึก มีจิตแววไว รักวินัยและมารยาท

- เครื่องเสียงทั้งระบบและอุปกรณ์การอบรม ควรมีคนดูแลเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้
- อยากให้ทีมงานอบรมใจดี และอารมณ์ดีกว่านี้ แต่ควบคุมผู้อบรมได้

อาจารย์หม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา "เป็นคนชอบเคลื่อนไหว คนที่ถนัดขวามากๆ เป็นคนชอบเคลื่อนไหว ใช้สอนพี่เลี้ยง หรือสอนเด็ก และทำมาเรื่อยๆ อันที่จริงดิฉัน เป็นอัมพฤกษ์ แต่เบามากก็ใช้การเคลื่อนไหวช่วยมาตลอด ทำให้กระฉับกระเฉง และการเคลื่อนไหวต้องมีสติ ต้องรู้ตัว รู้ว่า ส่วนไหนที่สัมผัสดิน อยู่ในอิริยาบถอย่างไร หันไปทางไหน เป็นการเดินสติปัฏฐาน ๔ ท่านที่เป็นพระอรหันต์ก็มีที่เป็นนักกายกรรม ดิฉันเคลื่อนไหว กาย แล้วใจนิ่ง ดิฉันชอบ คุรุชาวอโศก มีวินัย อดทน แต่จิตวิญญาณ ดิฉันไม่ได้สัมผัสก็ไม่รู้ว่ารักเด็กแค่ไหน และจะใจกล้านำเทคนิคนี้ไปใช้แค่ไหน ดิฉันก็ไม่แน่ใจ บางคน ก็ยังติดแบบเก่าๆ การเคลื่อนไหวช่วยคลายเครียด เราต้องสงบ เราต้องรู้ตัวเองให้ได้ว่า ตนเองจะสงบได้ ด้วยวิธีใด มีวิธี ที่จะทำให้จิตนิ่ง เด็กเล็กๆ อาจใช้วิธีนั่งนิ่ง เพื่อเอาออกซิเจนเข้าร่างกาย แต่การนั่งนิ่งหลับตาอาจอันตรายกับเด็ก ควรใช้ เสียงเพลงเบาๆ การเขียน จะช่วย ให้เด็กเบิกบาน คลายความเครียด กิจกรรม สร้างสรรค์ช่วยได้ ในการอบรมครั้งนี้ รู้สึกว่า คนแก่จะมีปฏิสัมพันธ์ ปฎิกิริยาโต้ตอบได้ดี สาวๆ ยังรู้สึกกระดาก ส่วนตัวประทับใจการต้อนรับ และประทับใจคนมีอายุ ทำอะไรได้สร้างสรรค์ คิดว่าเขาแข็งแรง ทั้งร่างกายและจิตใจ"

คุณศศิธร จเร คุรุพุทธธรรมสันติอโศก ทีมงานอบรม "ก่อนจะเกิดการอบรมนี้ขึ้นมาท่านอาจารย์หม่อมกับพ่อท่าน เคยพบกัน เมื่อประมาณสัก ๒-๓ ปีที่แล้วตอนที่พาอาจารย์ฝรั่งมาที่วัด และอาจารย์ก็อยากมาดูที่สันติฯว่ามีอะไรพัฒนาขึ้น หลังจากนั้น พ่อท่านดำริว่า ถ้าอยากจะทำ อะไรให้ ก็ขอเป็นอบรมให้ฟรี ช่วงนี้เป็นจังหวะที่เหมาะสมอาจารย์จึงจัดสรรเวลาให้ กะว่า จะเคลียร์ทุกอย่างแล้วจะไม่สอนแล้ว ครั้งนี้เกือบเป็นครั้งสุดท้ายที่อาจารย์จะสอนเอง ตอนแรกตั้งใจจะอบรมแค่ที่ สันติฯสัก ๒๐ คน ท่านพุทธชาโต ท่านเสนอแนะว่า ทำไมไม่ลองทำทั้งอโศก จะได้ง่ายกว่า และวงกว้างกว่า ก็เลยกลายเป็น แบบนี้เยอะ เกินคาด ก็อยากให้ครูเรา ได้พบอะไรที่ใหม่ๆบ้าง เพราะว่าบางทีครูยึดติดตัวตน มากเกินไป ทำให้เอาตัวตนไป สอนเด็ก แล้วไปใช้กับเด็ก ซึ่งเด็กไม่ใช่เรา จริงๆ พวกเราฉลาดแต่มีอีโก้เป็นของตัวเอง ที่มากเกิน ที่จะเอาไปลงฝากกับเด็ก ทำให้เกิด ช่องว่าง ทำให้ไม่มองย้อนว่า ทำกับเด็ก อย่างไร อยากให้อิสระมากกว่านี้ น่าจะทำได้มากกว่านี้ เปิดกว้างตัวเรา ให้ลองรับเด็ก เด็กก็จะเข้า หาเรา เท่าที่คุ้นเคยกับเด็ก เขามีอะไรมากมาย เพียงแต่มี การคัดกรอง ให้มีการยืดหยุ่น ในแผนการสอน แม้ในขณะทำงาน เด็กก็สามารถเรียนรู้ได้ โดยที่ไม่ต้องเข้านั่งในชั้นเรียน ยิ่งเป็นเด็กประถมฯ น่าจะมี ครูคนเดียว ที่คอยดูแล การมีครูหลายคน ทำให้เด็กซัดส่าย การอบรมครั้งนี้ตอนแรกๆ ผิดหวังมาก อาจารย์บอกว่า เหมือนเรียน เหมือนทะลุทะลวง พูดอะไรไป เหมือนไม่เก็บเอาไว้ รู้สึกผิดหวัง ท่านอาจารย์บอกว่าจิตวิญญาณครูมันยาก การจะทำให้ มีเทคนิค หรือ มีวิญญาณครู มันยาก ต้องใช้เวลา ต้องทำซ้ำทำต่อ ระยะเวลาเพียงเท่านี้ไม่สามารถทำให้เกิดได้ หลังจากนี้ อยากให้ครู มีแววตากับรอยยิ้ม หรือสัมผัสเด็กบ้าง ครูหญิงอาจกอดเด็กหญิงบ้าง ครูชายกอดเด็กชายบ้าง"

ปะเพียงแก้ว อโศกตระกูล คุรุสัมมาสิกขาปฐมอโศก "ประทับใจสิ่งที่ได้รับทั้งหมด ตั้งแต่เห็นข้อบกพร่องของตัวเอง และ ประโยชน์จากการใช้ศิลปะกระบวนการที่ไม่ต้องคำนึงถึงผลงานแต่ให้คำนึงถึงกระบวนการ เราเหมือนนักเศรษฐศาสตร์ ทุนนิยม เรามีเด็กก็อยากให้เด็กเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เอาเราเป็นตัวหลัก พอความอยากมันเกิดขึ้น ก็ไม่ได้คำนึงถึงเด็ก เราได้มา เปลี่ยนแปลง จุดที่ขาดไปคือศิลปะ เรามีพ่อท่านเป็นศิลปิน แต่เราไม่มีจิตวิญญาณ เป็นศิลปิน เท่าไรเลย เราค่อนข้าง จะซีเรียสเอาจริงเอาจังกับกิเลส ทำให้ส่วนอื่นๆ กระเทือนไปด้วย เราต้องขวนขวายทำอย่าง ต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิด ความผาสุกเป็นพี่เป็นน้อง พอวิญญาณเรามาคลาย ด้วยสิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดงามพร้อม จุดนี้เป็นส่วนที่มาเติมเต็มพวกเรา ได้ทันเวลาพอดี".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



ระดมทำอาหารอินเดียขนานแท้ ในงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๙ ณ ศีรษะอโศก
พ่อท่านเทศน์จบเรื่องพุทธเป็นอเทวนิยม

ผวจ.ศรีสะเกษเดินทางมากล่าวต้อนรับ
นร.สัมมาสิกขา ม.๒ เรียนแบบบูรณาการ
ญาติธรรมชัดในพุทธ ว่าเป็นอเทวนิยม

งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๒๙ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก ต.กระแชง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ระหว่างวันที่ ๓-๙ เม.ย. ๒๕๔๘ ก่อนเริ่มงานระหว่างวันที่ ๒๘ มี.ค.-๒ เม.ย. นร.สัมมาสิกขาชั้น ม.๒ จากโรงเรียนสัมมาสิกขาจำนวน ๑๐ แห่ง เข้าห้องเรียนบูรณาการเตรียมงานปลุกเสกฯ ประกอบด้วย ปฐมฯ, สันติฯ, ศีรษะฯ, ศาลีฯ, สีมาฯ, ราชธานีฯ, ภูผาฯ, หินผาฯ, ดินหนองแดนเหนือ, เลไลย์ฯ

ในปีนี้มีสมณะ ๔๕ รูป สิกขมาตุ ๑๗ รูป ร่วมเป็นเกจิอาจารย์ ปลุกเสกผู้มาร่วมงานให้เป็นอาริยชน พ้นจากเทวนิยมสู่อเทวนิยม

สำหรับรายละเอียดของงานมีดังต่อไปนี้

๓ เม.ย. พ่อท่านแสดงธรรมเปิดงานปลุกเสกพระแท้ของพุทธครั้งที่ ๒๙ แล้วนำกล่าวปฏิญาณอุโบสถศีล

* ทำวัตรเช้า
เริ่มเวลา ๐๓.๓๐-๐๕.๓๐ น. พ่อท่าน แสดงธรรมหัวข้อเรื่อง "พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้" อธิบายขยายความประกอบหนังสือ "พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้" ต่อจากงานพุทธาภิเษกฯจนจบ

* ธรรมะก่อนฉัน
เริ่มเวลา ๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ น. สมณะ, สิกขมาตุเกจิอาจารย์ ขึ้นแสดงธรรมหมุนเวียนไปแต่ละวัน สำหรับวันที่ ๗ เม.ย. พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ปาฐกถา เรื่องปฏิบัติธรรมไม่ต่ำต้อยน้อยหน้า

* ธรรมะทางเลือก
เริ่มเวลา ๑๒.๐๐-๑๓.๔๕ น. มีอยู่ด้วยกัน ๖ แห่ง คือ ธรรมะกระดานดำ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมเก่า ด้านหน้าพุทธสถาน ข้างบริเวณล้างจาน, ธรรมะสำหรับคนใหม่ บริเวณลานขวนขวาย, ธรรมะจากสิกขมาตุ บริเวณศาลาธรรมทายาท, ธรรมะจาก สมณะเกจิอาจารย์บริเวณเขตสมณะเกจิฯ, ธรรมะจากสิกขมาตุเกจิอาจารย์บริเวณเขต สิกขมาตุเกจิฯ, ฝึกเจโตสมถะ ให้จิตเกิดพลังนิ่งสงบ โดยสมณะกอบชัย ธัมมาวุโธ บริเวณด้านขวามือ ลานขวนขวาย

ปลุกเสกภาคบ่าย เริ่มเวลา ๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น.

๓ เม.ย. "หวนรำลึกถึงงานปลุกเสกฯ" (เตวิชโช)

๔ เม.ย. มีให้เลือก ๓ รายการ คือ
๑.ระดมสมอง "เหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่รากแก้ว" โดย ดร.บัญชร แก้วส่อง และคณะ นำเสนอผลการประเมิน โครงการพลังกู้ดินฟ้าประชาเป็นสุข
๒. ฝึกเจโตสมถะ โดยสมณะกอบชัย ธัมมาวุโธ บริเวณลานขวนขวาย
๓. ออกจากภพมาพบกัน โดยสิกขมาตุ จินดา ตั้งเผ่า บริเวณศาลาบุญถ่วม

๕ เม.ย. มีให้เลือก ๓ รายการ คือ
๑. ระดมสมอง เหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่เครือแห
๒. ธรรมะจากสิกขมาตุ ขั้นตอนการปฏิบัติธรรมของฝ่ายหญิง โดยสิกขมาตุรินฟ้า
๓. ฝึกเจโตสมถะ โดยสมณะกอบชัย ธัมมาวุโธ บริเวณลานขวนขวาย

๖ เม.ย. สัมมนากลุ่มย่อย มีให้เลือก ๗ รายการ คือ
๑. การปฏิบัติธรรมแบบองค์รวม โดยสมณะบินบน ถิรจิตโต ที่ศาลาฟังธรรม
๒. ฝึกเจโตสมถะแบบตื่น เดินจงกรม โดยสมณะผืนฟ้า อนุตตโร ที่ลานขวนขวาย
๓. ปฏิบัติธรรมกับการงานได้ผลเร็วมากจริงๆ โดยสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน ศาลาธรรมทายาท
๔. เจาะลึกปัญหาส่วนตัวที่บริเวณ คุ้มเกจิฯ
๕. กสิกรรมธรรมชาติ โดย อ.ข้าดิน ศรีเชียงสา บริเวณใต้โบสถ์
๖. ปุ๋ยสูตรเด็ด โดย อ.ขวัญดิน สิงห์คำ ที่โรงปุ๋ย
๗. น้ำส้มควันไม้ โดย อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ที่โรงเผาไม้
๘. อาหารเพื่อสุขภาพ โดยหมอใจเพชรและคณะ บริเวณอโรคยา
๙.อาหารมังสวิรัติสูตรต้นฉบับดั้งเดิม มีสมณะกลางดิน โสรัจโจ เป็นที่ปรึกษา บริเวณโรงกี่

๗, ๘ เม.ย. พ่อท่านตอบปัญหา หัวข้อ "ตอบสุดสุดจนหลุดเทวนิยม"

* รายการภาคค่ำ
เริ่มเวลา ๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น. เป็นรายการสัมภาษณ์ปฏิบัติกร ในหัวข้อต่างๆ ดังนี้
๓ เม.ย. "ให้ทั้งชาติได้เลย" ดำเนินรายการโดย สมณะกล้าจริง ตถภาโว
๔ เม.ย. "ทายาทบุญนิยม" ดำเนินรายการโดย สิกขมาตุผาแก้ว ชาวหินฟ้า
๕ เม.ย. "สะสมบุญต้องประณีต สร้างจารีต ต้องประหยัด" ดำเนินรายการโดย สมณะฟ้าไท สมชาติโก
๖ เม.ย. "กสิกรรมนำโชค" ดำเนินรายการโดย สมณะเดินดิน ติกขวีโร
๗ เม.ย. "วิสาขบูชารำลึก" ดำเนินรายการโดย สมณะเสียงศีล ชาตวโร
๘ เม.ย. "๒ นาทีทองของเกจิฯ" ดำเนินรายการโดย สมณะเดินดิน ติกขวีโร
๙ เม.ย. วันสุดท้ายของงาน หลังทำวัตรเช้า นักเรียนสัมมาสิกขาพร้อมญาติธรรม ช่วยกันเก็บบุญ ก่อนฉัน ตัวแทนม.วช., ชาวชุมชน กล่าวสรุปงาน สมณะเดินดินกล่าวปิดงานพร้อมให้ข้อคิดว่า ชาวอเทวนิยม จะต้องมีลักษณะหรือพฤติกรรม ความคิด คือ มีความคิดในเรื่องของการพึ่งตนเอง ในการเรื่องของการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เพ่งมองเผากิเลสของตนเอง อยู่ตลอดเวลา เชื่อมั่นในกัมมศรัทธา วิปากศรัทธา กัมมัสกตาศรัทธา มีตถาคตโพธิศรัทธา

รับประทานอาหารร่วมกัน แยกย้ายไปเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมปลูกผัก เพื่อมาร่วมงานเพื่อฟ้าดินในวันที่ ๑๖-๑๘ พ.ค. ที่ราชธานีอโศก

* บรรยากาศทั่วไปของงาน
หลังทำวัตรเช้า ๐๖.๐๐-๐๖.๓๐ น. บริเวณลานขวนขวายและศาลาบุญถ่วม มีการออกกำลังกาย หลายรูปแบบ เช่น ออกกำลังกายตามธาตุ, ฟ้อนเจิง, โยคะ เพื่อสุขภาพของพวกเราทุกคน หลังจากนั้นเป็นการประชุมต่างๆ ในแต่ละวัน บริเวณใต้โบสถ์ คือ ประชุมเตรียมงาน "เพื่อฟ้าดิน", ประชุมพาณิชย์บุญนิยม+อุตสาหกิจบุญนิยม, ประชุมสาธารณสุข บุญนิยม,ประชุมวิทยุ ชุมชน, ประชุมพรรคเพื่อฟ้าดิน, ประชุมสถาบันบุญนิยม

เนื่องจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษติดราชการไปประเทศเวียดนาม ไม่สามารถมาเป็นประธานกล่าวเปิดงานได้ ในวันที่ ๕ เม.ย. ท่านผู้ว่าฯได้มาร่วมฟังธรรมและพูดคุยที่ศาลาฟังธรรม

ในงานนี้ตลอดงานได้มีการทำแกงถั่วสูตรดั้งเดิมของนักมังสวิรัติ, จาปะตี, โยเกิร์ตสูตรดั้งเดิม ให้พวกเราได้รับประทาน ตลอดงาน

คุณไพโรจน์ อัครสีวร ได้นำเมล็ดพันธุ์ ต่างๆมาแจกจ่ายในงาน ท่านใดที่นำไปปลูก แล้วได้ผลผลิต อย่าลืมนำมาแลกเปลี่ยน กันบ้าง

สมณะเก้าก้าว สรณีโย นำเกมอโศกพันธุ์แท้ ปุจฉา-วิสัชนา มาให้นร.ม.๒ได้ร่วมกันแข่งขัน ในช่วงหลังรับประทานอาหาร ได้ทั้งความสนุกสนานและสาระแบบไฮเทค บริเวณศาลาฟังธรรม

แผนกวีซีดี ได้จัดทำวีดีซีรายการในแต่ละวันจำหน่ายทันอกทันใจผู้ที่สนใจ

ปีนี้ค่อนข้างแห้งแล้ง ระบบน้ำขาด แคลนในบางช่วง ทำให้พวกเราหลายคนได้บำเพ็ญตบะไม่อาบน้ำ, อาบวันเว้นวัน, หรือ อาบน้ำ อย่างประหยัดวันละ ๑-๕ ขัน ตามพละอินทรีย์

สำหรับผู้มาร่วมงานได้ให้สัมภาษณ์ ดังนี้
นายมณีแดง สุขสวัสดิ์ จ.อยุธยา "มางานปลุกเสกฯเหมือนมาอัดพลัง มีพลังใจ ปีนี้บุคลากร นักวิชาการ ไม่ค่อยได้ขึ้นแสดง เท่าปีก่อนๆ ในช่วงภาคบ่ายๆ ตอนเช้ามีการออกกำลังกายดีมาก อาหารแขก แกงถั่วดีมากๆ

ฝากทีมเคลียร์พื้นที่ ช่วยตัดตอไม้แบบตรงๆ อย่าตัดแบบแหลมๆ เพราะผมได้รับอุบัติเหตุจากตอไม้"

นายสนั่น อารีย์กลับ จ.ตาก "ได้ความรู้เพิ่มเติม โดยเฉพาะประสบการณ์ด้านการบ้านการเมือง ทำให้รู้เท่าทันเหตุการณ์ปัจจุบัน รู้สึกว่า คนที่มาร่วมงานดูจะหย่อนยานลงไปเรื่อยๆ มีการนอนกลางวัน อยากให้เคร่งครัดกว่านี้"

นางพลีขวัญ พูลลาภ ศีรษะอโศก "ด้านเสียง และระบบโทรศัพท์ ยังไม่เรียบร้อย เนื่องจากขาดผู้ที่เชี่ยวชาญด้านนี้มาดูแล ส่วนวัตถุดิบ มีพี่น้องจากพุทธสถาน ต่างๆนำมาร่วมงานมากมาย ผู้ดูแลขยะและห้องน้ำมีไม่เพียงพอ คิดว่าน่าจะเพิ่ม บุคคลากร และจัดสรรให้ดีกว่านี้ มีญาติธรรม ใหม่มาร่วมงานเพิ่มขึ้น พื้นฐานการใช้น้ำ การรับประทานอาหาร และการแยกขยะ ยังใช้ไม่ได้ ได้รับความอนุเคราะห์จากเทศบาลส่งน้ำมาบริการทุกวัน"

นายประยูร จริยา ปวช.ปี ๓ ศีรษะอโศก "ช่วงเตรียมงานหนักมาก อยากให้น้อง ม.๒ เข้าพื้นที่เร็วกว่านี้ ปีนี้ไม่มีหน่วย รปภ.อยากให้คนมาช่วยในจุดนี้ด้วย เรื่องระบบไฟฟ้าเมื่อเกิดปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ทันเพราะผู้มีความชำนาญมีน้อย และช่างภาพ มีแต่มือใหม่ เพราะเป็นช่วงปิดเทอม โชคดีมีทีมงานจากบ้านราชฯและปฐมฯมาช่วย"

นิสิตดาวพร ชาวหินฟ้า ม.วช.ราชธานีฯ "อยู่ฝ่ายประสานงานวัตถุดิบโรงครัว ได้รับบริจาควัตถุดิบจากเครือแห รวมเป็นมูลค่า แสนเศษ การร่วมมือกันทำอาหาร และทำ ๕ ส.ในโรงครัวของชุมชนและเครือแหทำได้ดี ชุมชนภูผาฟ้าฯ และดอยรายฯ รับผิดชอบ แผนกลวกผักและผลไม้ตลอดงาน สามารถ ใช้ผัก ผลไม้ได้อย่างมีระบบ ไม่เน่าเสียหาย สิ่งที่ควรปรับปรุงคือ การจัดระบบการล้างผักและสถานที่คับแคบ"

คุณเจือ มาดี พระโขนง "รายการเกษตรไม่เข้มข้นเหมือนครั้งที่ผ่านมา ประทับใจคุณทอง ธรรมดา ที่ใฝ่ใจศึกษา อยากให้ ชาวอโศก เป็นผู้ใฝ่รู้และไม่อยู่ในภพ ฟังผู้อื่น เพื่อมาปรับปรุงพวกเราบ้าง บริเวณ ห้องน้ำ ราวตากผ้าชำรุด ควรปรับปรุง ปีนี้น้ำน้อย เลยได้บำเพ็ญเรื่องการอาบน้ำ อาหารทานแล้วสบายใจเพราะเป็นผักพื้นบ้าน และไร้สารพิษ"

นิสิตปรีชา สมนึก ม.วช.ศีรษะฯ "รับงานเป็นผู้ประสานงาน ประทับใจญาติธรรมที่ให้ความเข้าใจและเห็นใจ พึ่งพาช่วยเหลือกัน และรุ่นน้อง ที่ร่วมเป็นผู้ประสานงาน เพื่อนๆที่แบ่งเวลามาช่วย ที่สำคัญคณะอา ผู้ใหญ่ สมณะ สิกขมาตุ ที่ให้โอกาส และ คอยเป็นห่วง ผมตั้งตบะ ทำงานด้วยความเบิกบาน".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


แอฟลาทอกซิน... ตัวอันตราย บ่อเกิดมะเร็ง

แอฟลาทอกซิน (Aflatoxins) คือ สารพิษที่สร้างขึ้นโดยเชื้อราบางชนิด มีลักษณะเป็นสีเขียวหรือเขียวแกมเหลือง สามารถทน ความร้อนได้สูงถึง ๒๖๐ องศาเซลเซียส ไม่สามารถทำลายให้หมดโดยการหุงต้มปกติ

อาหารที่พบแอฟลาทอกซิน
- เมล็ดถั่วลิสง ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี มันสำปะหลัง หอม กระเทียม พริกแห้ง

อันตรายจากแอฟลาทอกซิน
- หากได้รับในปริมาณมาก ทำให้อาเจียน ท้องเดิน
- หากได้รับบ่อยครั้ง สะสมทำให้เกิดพิษเรื้อรัง ทำให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ

วิธีหลีกเลี่ยงแอฟลาทอกซิน
- เลือกซื้ออาหารแห้ง เช่น ถั่ว พริกแห้ง หอม ที่ใหม่ ไม่มีเชื้อรา เมื่อดมต้องไม่มีกลิ่นอับ
- ไม่ซื้อถั่วป่น พริกป่น ที่ป่นสำเร็จรูปแล้ว ควรนำมาป่นเอง
- นำอาหารแห้งไปตากแดดให้แห้งดี ก่อนจะนำไปเก็บไว้ในที่แห้ง

"โปรดเลือกซื้ออาหารที่มีตรารับรองจากกระทรวงสาธารณสุข"

สอบถามข้อมูล ร้องเรียน แจ้งเบาะแส เรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพได้ที่ สายด่วน อย. ๑๕๕๖

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ปฐมอโศก - อินทร์บุรี

สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้จัดงานมหกรรมภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์จังหวัดเลย ขึ้นที่ศาลาประชาคม (ศาลากลางจังหวัดเลย) ในงานนี้ สมณะเสียงศีล ชาตวโร ได้รับนิมนต์ให้ไปบรรยายและไปออกร้านเป็นเวลา ๒ วัน (๒๐-๒๑ ธ.ค.๔๗) ได้ให้ทั้งธรรมะและความรู้ด้านการเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มที่ ทั้งบรรยายทั้งตอบปัญหาตลอดสองวัน มีการแลกเปลี่ยน ความรู้กับผู้รู้ระดับปราชญ์ชาวบ้าน ในงานนี้นอกจากจะไปให้ความรู้กับแกนนำชาวบ้านที่มาร่วมฟังแล้ว ยังได้ความรู้พิเศษ มาอีกหลายอย่าง ที่สำคัญก็คือ เรื่องเทคนิคการปลูกผักหวานป่า เป็นผักที่ปลูกยากที่สุด เป็นผักที่หากินยาก และอร่อยที่สุด ในบรรดาผักพื้นบ้านด้วยกัน เท่าที่ติดตามเรื่องนี้มานาน ยังไม่เคยพบใครปลูกผักหวานป่าได้รอดถึง ๕๐ % ส่วนมากจะไม่ถึง ๑๐ % ด้วยซ้ำไป บางคนปลูกแล้วไม่ยอมโตอยู่ได้ ๒-๓ ปีก็ตาย คุณวิชัย อุ่นขาว ญาติธรรมที่เมืองเลย ได้พาไปดูสวน ผักหวานป่า ของเขา ซึ่งมีนับพันต้น กำลังสูงใหญ่ ต้นเล็กกำลังปลูกใหม่ก็มี คุณวิชัยเล่าว่า ได้เพียรพยายามอยู่ ๕ ปี จึงได้รู้เทคนิค การปลูกให้รอดกว่า ๙๐ % ได้ถ่ายทำเป็นวิดีโอไว้แล้ว และมีเรื่องวิธี รมควันไล่แมลงศัตรูพืช แบบภูมิปัญญา ชาวบ้าน อยู่ในแผ่นเดียวกันอีกด้วย

สนใจติดต่อ ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ตู้ ปณ ๖๗ ปทจ.นครปฐม ๗๓๐๐๐ ราคาแผ่นละ ๕๐ บาท แถมเอกสารคู่มือฟรี.

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

หน้าปัดชาวหินฟ้า

ก่อนอื่นก็ต้องขอเจริญธรรม สำนึกดี กับท่านญาติธรรมทุกๆท่าน พร้อมพบกับ นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๕๒(๒๗๔) ปักษ์แรก ๑-๑๕ เม.ย.๔๘ ฉบับนี้เรามีข่าวคราวในงานปลุกเสกฯ ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหยกๆ มาฝากกันในช่วงของเทศกาล สงกรานต์ปีใหม่ ของไทยพอดิบพอดี

สะเก็ดข่าวปลุกเสกฯ'๔๘... ม.วช. ศาลีอโศก ยกทีมมาช่วยเตรียมงานปลุกเสกฯ ก็ช่วยงานได้มาก จากคำบอก เล่าของ ดุล กับ อาจิต ที่เป็นแม่งาน ม.วช.ศาลีฯที่มาช่วยงานก็มีไม่มากหรอก เพียงแค่ ๓ คนเท่านั้น คือ โมมิ ชุมพล และ ไหม ก็ช่วยงานได้ หลายอย่าง เพราะแต่ละคนมีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีผลให้แม่งานรู้สึกสบายใจ

นอกจากนี้ก็ยังมี นร.สัมมาสิกขา ชั้น ม.๒ ของทุกโรงเรียนมาฝึกเรียนแบบบูรณาการ หลายคนก็บ่นเบื่อตามประสาเด็ก แต่ก็ทำให้ เราเห็นคุณภาพของคน และการศึกษาแบบบุญนิยมว่า ล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จเพียงใด แม้จะเบื่อ แต่เด็กๆก็ทนความเบื่อได้ ก็เป็นไปตามเป้าหมายโดยหลักการ ส่วนภายในจิตวิญญาณ เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ที่จะต้องช่วยกัน กล่อมเกลาให้เข้าถึงคำว่า บุญ มิฉะนั้น เด็กจะบาป เพราะพวกเขาดูถูกดูหมิ่นงานบุญอันสำคัญของชาวบุญนิยม...

ก่อนงานปลุกเสกฯมหาเถรฯ ก็ประชุมกัน ก็ใช้เวลาประมาณ ๔ ชั่วโมง บรรยากาศเรียบง่าย หลังประชุมก็มีสมณะมหาเถระ หลายรูป ไปร่วมงานศพพ่อสมบูรณ์ สุสังข์ ซึ่งเสียชีวิตที่ จ.จันทบุรี เมื่อวันที่ ๓๑ มี.ค.๔๘...

ส่วนสภาคุรุได้มาสัมมนากันวันที่ ๒ เม.ย.มีการรายงานถึงการไปรับการอบรมที่ปฐมอโศก กับ อาจารย์หม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา จิ้งหรีดได้ฟังการรายงานก็รู้สึกประทับใจที่คุรุรู้จักสลายทิฏฐิ รู้จักยอมปรับตัวได้ไวกับแนวการอบรม ที่เราไม่เคยชิน ในวิถีชีวิต ทำได้แค่นี้จิ้งหรีดก็ชื่นชมแล้วละฮะ...

งานปลุกเสกฯ ปีนี้ ผวจ.ศรีสะเกษ ไม่ได้มาเปิดวันแรกของงาน (๓ เม.ย.) แต่พอกลับจากภารกิจที่ประเทศเวียดนาม ก็มา กล่าวต้อนรับญาติธรรมที่มารับการอบรมถือศีล ๘ ในงานปลุกเสกฯ... จิ้งหรีดได้รู้จากชาวเราที่ไปเวียดนามมาว่า อาหารของเขา เรียบง่ายมาก มีผักบุ้งกับน้ำผักบุ้งเป็นหลักของพืชผักชั้นดี หมอเขียวก็เสริมว่า สาวเวียดนาม ผิวดี ก็เพราะกินพืชผักกันเก่ง ใครอยากรู้ว่า จริงไม่จริง ก็ลองพิสูจน์กันเอง...

ชิดตะวัน อดีต นร.พุทธธรรม ที่ สันติอโศก มาจากเยอรมัน ก็จังหวะเหมาะได้รับการอบรมในงานปลุกเสกฯ มีโอกาสขึ้นเวที ชี้ให้เห็นคุณค่าของธรรมะที่ได้นำไปใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะการวางตัวกับเพื่อนต่างเพศ ทำให้รอดตัวมาได้ถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องๆ ม.๒ สัมมาสิกขาที่มาช่วยเตรียมงาน จะได้เกิดปัญญาว่า เรียนในวัดนี่ดีแล้ว ล่ะ เพราะเป้าหมายของพี่ชิดตะวัน ก็คือ โลกุตรสุข...

รายการ ทายาทบุญนิยม แต่ละคน ที่ขึ้นรายการบอกความรู้สึกของตัวเองที่จบ ม.๖ สัมมาสิกขา แล้วอยู่ ช่วยงานวัดต่อ แม้อยู่ข้างวัดก็ยังมาช่วยงานวัด จิ้งหรีดคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อเด็กๆมาก รวมทั้งผู้ใหญ่ อีกด้วย น่าจะเป็นเนื้อหาในหมวดวิชา ที่เด็กสามารถเรียนได้อย่างดี อย่างน้อยก็วิชาศีลธรรมหรือภาษาไทย อะไรทำนองนี้ล่ะฮะ...

จิ้งหรีดเห็นคุณหมวย พา เพชร (หลานชาย) กับหลานสะใภ้ มากราบสมณะ เพชรบอกว่า พาครอบครัว (ลูก ๒) มาอยู่กับ คุณหมวย กับ หมอมนต์ชัย เพื่อทำกสิกรรมไร้สารพิษ ส่งให้ปฐมอโศกกับสันติอโศก ซึ่ง ในทุกวันนี้ที่ปฐมอโศก ก็ได้ฉัน พืชผักผลไม้ จากสวนของคุณหมวย ที่มัสซะเย่อ จ.กาญจนบุรี เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะมะละกอสุก ขนุน กล้วย เป็นหลัก...

ประทับใจพ่อท่านเรื่อง การรับกิจนิมนต์ไปร่วมงานวิสาขบูชาที่พุทธมณฑล แม้พ่อท่านจะมีใจเกิน ๑๐๐ แต่ก็พร้อมจะไม่ไป แม้มีเหตุขัดข้อง จากที่อื่นทางโลก โดยไม่ติดใจอะไร ขนาดจะให้เปลี่ยนสีเครื่องแต่งกายของฆราวาส พ่อท่านก็มีจิตใจ พร้อมยอม เพื่อประโยชน์สูงสุดตามเหตุปัจจัย...

คุณสานัง (หมิว) จาก อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ได้รับรางวัลแม่ดีเด่น พาลูกสาวมาพบสมณะ จิ้งหรีดเห็นภาพลูกสาวชื่อ รัตนาพร ที่เคยมาอยู่ที่ศีรษะอโศก สมัยเด็กๆ ก็รู้สึกประทับใจ ที่เด็กแม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ยังมีความ ระลึกถึงผู้ทรงศีล...

คุณสัมลิ (ต้นหญ้า) จาก ม.วช. ปฐมอโศก บอกกับสมณะว่า จะเคร่งครัดในศีลให้มากขึ้น...คุณใบหญ้า จากลุ่มภูผาฟ้าน้ำ จำใจขึ้นเครื่องบินกลับบ้านไปทำธุระ โดยขึ้นจากจ.อุบลฯ ไปต่อเครื่องบินที่ดอนเมือง กทม. แต่ก่อนกลับก็ได้มีโอกาสพาน้องนุ (เทียมดิน) ไปให้สมณะเกจิไล่ผี ซึ่งก็ได้ผลดี ผีกระเจิงไป ญาติโยมฝากขอบคุณท่านซาบซึ้งที่ช่วยไล่ผีให้ ใครอยากรู้ว่า ท่านไล่ผีอย่างไรก็ให้ไปสอบถามกันเองนะฮะ...

ท่านเดินดิน เห็นศิษย์เก่าสัมมาสิกขาชักแถวเข้าศาลามากราบสมณะก่อนไปร่วมประชุมสัมมนา ก็รู้สึกประทับใจ ถือว่าเป็น นิมิตหมายที่ดี ที่คนในวัยหนุ่มสาวตั้งใจเข้าวัดมาฝึกทำความดี...คุรุใจกลั่น ก็จำใจกลับไปนครปฐมก่อนสิ้นงาน เพราะติดเรียน ปริญญาโท จิ้งหรีดได้ยิน คุรุใจกลั่น บอกกับสมณะว่า จะกลับไปเขียนหลักสูตรบูรณาการให้เด็กสัมมาสิกขา จิ้งหรีดก็ขอฝันว่า หลักสูตรคงเสร็จทันใช้ในเทอมหน้า แล้วการศึกษาสัมมาสิกขา จะมีความสอดคล้องกับ วิถีชีวิตของ ชาวชุมชน...

ในช่วงงานปลุกเสกฯ พ่อท่านเปรยเรื่อง การพิมพ์หนังสือธรรมะแจกในงานวิสาขบูชา แต่ยังขาดเงินทุน พลันจิ้งหรีด ก็ได้เห็น พลังปู ผนึกกำลัง (เลือดปู) ช่วยหามาให้พิมพ์หนังสือธรรมะดีๆ แจกประชาชนที่สนใจ ซึ่งจะได้บุญกุศลกันเพิ่มขึ้น ก็เป็นความรู้สึกดีๆ ที่น่าประทับใจทั้งผู้ให้และผู้รับ...

คุณน้อมนบ พาพี่เขยและพี่สาวจาก จ.สุรินทร์ มากราบสมณะ พร้อมหลานสาว ซี ๘ ก็ได้ธรรมะจากสมณะไปว่า ให้ฝึกตายก่อนตาย จะได้สิ่งดีๆเกิดใหม่ในชีวิต สาธุ...

อดีตสามเณรบุญเพ็ง ตอนนี้ก็ทำมาหากินอยู่ที่ บ้านกระแชง ช่วงงานปลุกเสกฯ ก็มาฝึกถือศีลปฏิบัติธรรมในงาน พอได้ข่าวว่า คุณสมพงษ์ (ประธานสถาบันบุญนิยม)มา ก็รีบเดินหาแต่ไม่พบ ก็ไม่รู้ว่าได้พบปะพูดคุยกันหรือยัง ในฐานะที่รู้จักกัน มานาน ...จี๊ดๆๆๆ...

ชื่นชม...ว่าไปแล้ว ชมร.หน้าสันติฯ เคลื่อนตัวมีอะไรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ ก็ต้องขอชื่นชมกับทีมงาน คุณภาพทุกท่าน โดยเฉพาะคุณดาบบุญ ดีรัตนา ที่หลายต่อหลายคนยกให้เป็น ผู้รับใช้ไฮเปอร์ฯ (ไปซะแล้ว) ล่าสุดหลังจากแจกจ่าย แบบสอบถาม ให้ผู้มารับบริการ ชมร.ได้ช่วยกันออกความคิด เห็นและเสนอแนะการบริการ ตอนนี้จิ้งหรีดได้ฟังมาว่า กำลังอยู่ ในช่วงเก็บ ข้อมูลจากแบบสอบถามหากเรียบร้อยเมื่อไร ระวัง! นักข่าวของเราจะตามไปขอข้อมูลมาขยายในฉบับ โครงการดี มีประโยชน์ อย่างนี้จะปล่อยให้ลอยนวลไปไม่ได้เด็ดขาด...จี๊ดๆๆๆ...


คติธรรม-คำสอนของพ่อท่านประจำฉบับ

เราสามารถฝ่าฟันคลื่นในมหาสมุทรไปได้อย่างราบรื่นปลอดภัยยิ่งๆ เท่าใดๆ
นั่นคือความสำเร็จของผู้ฉลาดยิ่งๆ เท่านั้นๆ
แต่ถ้าผู้ใดมัวร่ำร้องไม่ให้มีคลื่นในมหาสมุทรหรือวิ่งหนีคลื่น นั่นคือ
ความเป็นไปไม่ได้
และผู้นั้นจะไม่ประสบผลสำเร็จเลยในชีวิต
อีกทั้งเป็นความโง่แท้ๆ
ของผู้คิดผู้ทำนั้นๆซ้ำเสียด้วย.
(๑๐ ก.ค.๒๓)

(จาก หนังสือโศลกธรรม สมณะโพธิรักษ์ หน้า ๗๐)

พบกันใหม่ฉบับหน้า
- จิ้งหรีด -

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



สำรวจเด็กไทยติดบุหรี่-เหล้า แฟชั่นวัยโจ๋ รุ่น ๑๕ อัพ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัส เมื่อวันที่ ๔ ธ.ค.๔๗ ว่า "เดี๋ยวนี้เขาว่าเด็กๆไม่เรียน แม้แต่ถึงขั้นมหาวิทยาลัย ใช้คำว่าไม่ได้ความ เมื่อไม่ได้ความ อนาคตของชาติอยู่ไหน คือเด็กไม่ฟังหรือฟัง แต่ฟังไม่เข้าใจ ฟังไม่เข้าใจ แทนที่จะปฏิบัติ สร้างสรรค์ต่อไปก็ไปเข้าดิสโก้เธค ไปฟังเพลง ไปฟังเพลงที่ ความจริงก็ไม่ใช่เพลงอะไรดี เป็นเพลงที่ไม่ได้เรื่อง ทำให้หูเสีย หูเสียไม่ใช่ว่าคนที่ฟังหูสูงหูต่ำ แต่หูไม่ได้ยิน หูตึง คนที่ไปฟังเพลงในดิสโก้เธคหูตึงทั้งนั้น"

"วิธีแก้ไขของรัฐบาล ก็คือห้ามไม่ให้เข้าดิสโก้เธค ไม่ให้ไปฟังเพลง ไม่ให้สูบบุหรี่ ไอ้ไม่สูบบุหรี่นี่จะทำให้หูดีหรือหูไม่เสีย คนที่สูบบุหรี่ มากๆ หูเสียมาก มีเหตุผลว่าทำไมคนที่สูบบุหรี่หูเสีย เพราะว่าบุหรี่นี่ทำให้เส้นเลือดมันตีบ เมื่อ เส้นเลือดตีบ หูก็เสีย เด็กๆจะต้องสามารถที่จะเรียนรู้ เรียนให้ทำงานเพื่อช่วยบ้านเมือง เดี๋ยวนี้ถ้าเด็กไม่มีความรู้ ช่วยบ้านเมืองไม่ได้ เพราะเด็กๆมัวแต่ไปเสพยาเสพติด สูบบุหรี่ ซึ่งไม่ดี เสพยาเสพติดต้องบอกว่าเสียหายอย่างไร แต่บุหรี่ทำให้หูเสีย ตาเสีย สมองเสีย เส้นเลือดเสีย หัวใจด้วย"

จากกระแสพระราชดำรัสดังกล่าว ทำให้รัฐบาลออกมารับสนอง โดยสั่งการไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ ให้ช่วยกันแก้ไขปัญหา ที่เกิดขึ้นกับเด็ก โดยเข้มงวดเอากับ กฎหมายห้ามจำหน่ายสุรา-บุหรี่ ให้กับเด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี

เพราะที่ผ่านมา กฎหมายบทดังกล่าวถูกละเลยมานาน หน่วยงานรับผิดชอบปล่อยปละละเลยกระทั่งปัจจุบันเยาวชนติดสุรา-บุหรี่กันเป็นจำนวนมาก

ในระยะต้นๆ สถานที่ที่เด็กวัยรุ่นปัจจุบันไปชุมนุมกันคับคั่ง อย่างเช่น เซ็นเตอร์พ้อยท์ มีเด็กวัยรุ่นอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ที่ยังอยู่ ในวัยเรียน พากันไปสถิตในสถานที่ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และสูบบุหรี่กันอย่างไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาว่า พอมาระยะหลัง สถานที่ซ่องสุมดูจะขยายวงมากขึ้นไปอยู่ย่านรัชดาฯ ซอย ๔ ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆต่างๆ ซึ่งหากไม่มี การสอดส่องดูแลพื้นที่ คงขยายกว้างมากขึ้นไปเรื่อยๆ

เพื่อให้เห็นภาพถึงพฤติกรรมของการสูบบุหรี่และดื่มเหล้าของคนไทยในปี ๒๕๔๗ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้ทำการสำรวจ พฤติกรรม การสูบบุหรี่ของประชากร โดยเริ่มเป็นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๑๙ จากนั้นกระทำติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันคือ ปี ๒๕๔๗ นับเป็น ครั้งที่ ๑๑ ที่มีการสำรวจ

ทั้งนี้ การสำรวจได้เก็บรวบรวมข้อมูลในเดือน เม.ย.๔๗ โดยสัมภาษณ์ประชากรอายุตั้งแต่ ๑๑ ปีขึ้นไป ที่เป็นสมาชิก ในครัวเรือน ตัวอย่าง เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการสูบบุหรี่และดื่มสุรา การขับขี่หรือโดยสารรถยนต์ และ รถจักรยานยนต์ ระหว่างดื่มสุรา รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับกฎหมายหรือบทลงโทษเกี่ยวกับบุหรี่และสุรา

ในการสูบบุหรี่ของประชากรไทยนั้น จากการสำรวจ พบว่า ประชากรอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปมีจำนวน ๔๙.๔ ล้านคน เป็นผู้ที่สูบบุหรี่ป ระมาณ ๑๑.๓ ล้านคน หรือร้อยละ ๒๓.๐ (สูบเป็นประจำทุกวัน ๙.๖ ล้านคนหรือร้อยละ ๑๙.๕ และสูบนานๆครั้ง ๑.๗ ล้านคน หรือร้อยละ ๓.๕ เป็นชายร้อยละ ๔๓.๗ เป็นหญิงร้อยละ ๒.๖ และผู้ที่สูบบุหรี่ส่วนใหญ่อยู่นอกเขตเทศบาล โดยมีอัตรา ร้อยละ ๒๕.๕)

เมื่อพิจารณากลุ่มที่สูบบุหรี่เป็นประจำ พบว่ากลุ่มวัยทำงานอายุ ๒๕-๕๙ ปี มีอัตราการสูบบุหรี่สูงกว่ากลุ่มอายุอื่น คือร้อยละ ๒๒.๘ รองลงมาเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ๖๐ ปีขึ้นไปมีร้อยละ ๑๗.๗ กลุ่มเยาวชนอายุ ๑๕-๒๔ ปี มีร้อยละ ๑๑.๒

ผู้สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา และก่อนประถมศึกษา มีอัตราของการสูบบุหรี่เป็นประจำใกล้เคียงกันและสูงที่สุด คือมีประมาณร้อยละ ๒๓ ในขณะที่ผู้ที่ ไม่ได้รับการศึกษา มีอัตราสูงเช่นกัน คือร้อยละ ๒๐.๐

สำหรับอาชีพของผู้สูบบุหรี่พบว่า ผู้ปฏิบัติงานในธุรกิจด้านความสามารถทางฝีมือ และธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง มีอัตรา ของการสูบบุหรี่ เป็นประจำสูงกว่าอาชีพอื่น คือ ร้อยละ ๓๐.๘

ส่วนอายุของผู้ที่เริ่มสูบบุหรี่เป็นประจำพบว่าเริ่มสูบบุหรี่เมื่ออายุเฉลี่ย ๑๘.๔ ปี ชายเริ่มสูบบุหรี่เร็วกว่าหญิง โดยชายเริ่มสูบ เมื่ออายุ ๑๘.๒ ปี ขณะที่หญิงเริ่มสูบอายุ ๒๑.๗ ปี

ในประเด็นของการดื่มสุราเครื่องมึนเมาจากการสำรวจประชากรอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปจำนวน ๔๙.๔ ล้านคน เป็นผู้ดื่มสุรา เครื่องมึนเมา ๑๖.๑ ล้านคน หรือร้อยละ ๓๒.๗ โดยชายมีอัตราการดื่มสูงกว่าหญิง

เมื่อพิจารณาอายุและเพศของผู้ดื่มสุราเครื่องมึนเมา พบว่ากลุ่มวัยแรงงานอายุ ๒๕-๕๙ ปี มีอัตราการดื่มสูงที่สุด ร้อยละ ๓๘.๗ รองลงมาคือกลุ่มเยาวชนอายุ ๑๕-๒๔ ปี ร้อยละ ๒๓.๕ และกลุ่มผู้สูงอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป ร้อยละ ๑๙.๓ ชายมีอัตราการดื่มสุรา สูงกว่าหญิงในทุกกลุ่มอายุและผู้ที่เริ่มดื่มสุรามีอายุเฉลี่ยประมาณ ๒๐ ปี

ในกลุ่มผู้ดื่มสุราเครื่องดื่มมึนเมาจำนวน ๑๖.๑ ล้านคน เป็นกลุ่มผู้ที่ดื่มนานๆครั้ง ๗.๓ ล้านคน ผู้ที่ดื่มสม่ำเสมอ ๘.๘ ล้านคน กลุ่มผู้ที่ดื่มสม่ำเสมอส่วนใหญ่ร้อยละ ๑๘.๖ ดื่ม ๑-๒ ครั้งต่อสัปดาห์ รองมาร้อยละ ๑๖.๒ ดื่ม ๑-๒ ครั้งต่อเดือน และ มีเพียง ร้อยละ ๙.๕ เท่านั้นที่ดื่มทุกวัน

จำนวนตัวเลขการสำรวจดังกล่าวสอดคล้องกับ การสำรวจของหลายหน่วยงานที่ระบุออกมาคล้ายๆกัน ถึงอันดับของคนไทย ที่ดื่มสุรา ว่า คนไทยดื่มสุราติดอันดับ ๕ ของโลก โดยมีกลุ่มวัยรุ่นหญิงอายุ ๑๕-๑๙ ปี เป็นกลุ่มน่าจับตามาอง มีแนวโน้ม ดื่มสุราเพิ่มขึ้น

จากตัวเลขของการสำรวจที่ปรากฏนี้ เป็นเสมือนกระจกส่องให้เห็นภาพรวมถึงสภาพความเป็นจริงของสังคมไทย ซึ่งจะนำไปสู่ การแก้ไขให้ถูกทางและตรงกับพระราชกระแสรับสั่งของพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใยในปัญหานี้อย่างยิ่ง.
(จาก นสพ.มติชน ฉบับวันที่ ๑๓ ธ.ค.๔๗)

วิจัยพบภัยบุหรี่ทำลูกโง่
สมองทึบอ่านและคำนวณเลขช้า

นักวิจัยระบุเด็กที่ได้รับควันบุหรี่ทางอ้อมมีสิทธิสมองทึบตื้อได้มากกว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนอื่นๆ โดยทักษะด้านการอ่าน และ คณิตศาสตร์ จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ศูนย์สุขภาพสิ่งแวดล้อมเด็กสหรัฐฯ รายงานว่า ปัจจุบันเด็กอเมริกันเกือบ ๔,๐๐๐ คน มีสติปัญญาลดน้อยถอยลง ซึ่งเป็นผล มาจากการได้รับควันบุหรี่จากสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว ข้อมูลดังกล่าวกลายเป็นหลักฐาน สำคัญที่จะห้ามการสูบบุหรี่ ในสถานที่สาธารณะได้เป็นอย่างดี

งานวิจัยชิ้นนี้ ศึกษาจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมตั้งแต่ปี ๒๕๓๑-๒๕๓๗ เป็นการดูภาพรวมด้านสุขภาพของชาวอเมริกัน ในช่วงเวลา ดังกล่าว ซึ่งเน้นศึกษาเรื่องควันบุหรี่ที่มีผลกระทบต่อเยาวชนอายุ ๖-๑๖ ปี ซึ่งได้รับควันทางอ้อมเป็นหลัก โดยนักวิทยาศาสตร์ได้วัดระดับ "โคตินิน" สารประกอบที่เกิดขึ้นหลังจากนิโคตินถูกเผาผลาญในร่างกายแล้ว

นักวิจัยบอกว่า การวัดหาระดับสารโคตินินนั้นสามารถตรวจได้จากเลือด ปัสสาวะ น้ำลาย และเส้นผม ซึ่งทีมงานจะตรวจวัด ว่าสารดังกล่าว อยู่ในระดับ ๑๕ นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร หรือต่ำกว่า จากนั้นก็จะนำไปเปรียบเทียบกับระดับการรับรู้ และ ความสามารถ ด้านการเรียนที่เกี่ยวข้องกับทักษะ เช่น คณิตศาสตร์ การอ่าน ตรรกะเชิงเหตุและผล

ผลพบว่าเด็กที่มีระดับสารโคตินินสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ทุก ๑ นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร จะมีคะแนนด้านการอ่านลดลง เป็นสัดส่วน ตามกัน ๑ คะแนน นอกจากนี้ผลการทดสอบด้านคณิตศาสตร์ยังพบว่าเด็กที่ได้รับควันบุหรี่ทางอ้อมมีคะแนนลดลง ๒ คะแนน ในทุกหน่วยที่เพิ่มขึ้นของสารโคตินินด้วย

นักวิจัยกล่าวว่า สติปัญญาที่ลดลงนี้ไม่ได้มีผลเฉพาะแค่ตัวเด็กเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงสังคมโดยรวมของประเทศ ซึ่งงานวิจัย ชิ้นนี้ บอกให้เรารู้ว่ายังมีเด็กอีกนับล้านรายที่ต้องตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่

รายงานดังกล่าวอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้ประเทศต่างๆ กำหนดมาตรฐานด้านสุขภาพเชิงสาธารณะ เพื่อป้องกันเด็ก จากควันบุหรี่ ที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมได้ โดยเฉพาะในบ้านของตัวเด็กเอง นอกจากนี้ ยังมีรายงานระบุด้วยว่า ผู้หญิงที่สูบบุหรี่ ขณะตั้งครรภ์ มีผลทำให้เด็กแรกเกิดมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ และยังอาจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจได้อีกด้วย.

(จาก นสพ.คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ ๗ ม.ค.๔๘)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ นาวาอากาศโทไสว สุรนิคม
เกิด ๑๕ มี.ค. ๒๔๖๑ อายุ ๘๗ ปี
ภูมิลำเนา จ.สุรินทร์
การศึกษา ม.๖ ร.ร.สุรวิทยาคาร
สถานภาพ ม่าย บุตร ๕ คน
น้ำหนัก ๕๕ กก.
ส่วนสูง ๑๖๑ ซ.ม.

ในงานปลุกเสกฯครั้งที่ ๒๘ คุณตาไสว เป็นหนุ่ม(เหลือ)น้อยอายุยาวที่อารมณ์ดี สุขภาพแข็งแรง ขณะที่สัมภาษณ์ คุณตา ยิ้มแย้มตลอดเวลา แล้วยังมีความจำดีเยี่ยม จดจำอดีตและวันเวลาได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

# เหลนเจ้าเมือง
ผมเป็นเหลนเจ้าเมืองสุรินทร์ หลวงศรีไกรสร คุณแม่มีลูก ๘ คน ตอนนี้เหลือผมกับพี่สาวซึ่งอายุ ๙๒ ปี ผมเป็นคนที่ ๗ ของครอบครัว พ่อแม่เป็นเขมร มีอาชีพทำนา ตอนผมอายุ ๑๒ ขวบแม่พาไปดูนครวัดนครธม

ผมได้เรียนเพราะเจ้าคณะ อำเภอ ท่าตูม ส่งให้เรียน ผมกวดวิชาที่วัดแล้วไปสอบ ม.๑ จนจบ ม.๖ แล้วคัดเลือกทหาร เป็นทหารอากาศโยธิน ตั้งแต่ปี ๒๔๘๓ ผมผ่านสงครามอินโดจีน ๙ เดือน ผ่านสงครามโลกครั้งที่ ๒ มา ๕ ปี วันที่ ๘ ธ.ค. ๒๔๘๔ ญี่ปุ่นขอผ่านเข้าเมืองไทย ปี ๒๔๙๐ สงครามเลิก กลับเข้าสังกัดอบรมสื่อสาร รวมเป็นทหารอากาศ ๔๐ ปี ช่วงเป็นทหารผมกินเหล้าเมายาตลอด

# ทหารอากาศไม่ขาดรัก
แต่งงานตั้งแต่เป็นพลทหาร ตอนนั้นอายุ ๒๑ ปี แม่บ้านอ่อนกว่า ๓ ปี เป็นครูอยู่สุรินทร์ พอสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติ ผมก็ไปรับแม่บ้านมาอยู่ด้วยกันที่โคราช มีลูก ๕ คน อยู่กันจนตายจากกันเมื่อปี ๒๕๔๔ เขาอายุได้ ๘๐ ปี ตอนนี้ก็เป็นโสด รอบสอง มาได้ ๔ ปีแล้ว

# ชีวิตใหม่
ผมได้อ่านหนังสือนิตยสารคนพ้นโลก ฉบับที่ ๗๐ เดือน เม.ย. ๒๕๒๔ เป็นประวัติของพระอาจารย์ดังๆ อ่านจบผมเลิก ดื่มเหล้าเลย ก่อนหน้านั้นผมเป็นโรคประสาท โรคกระเพาะ ตับอักเสบ ต้องเข้าโรงพยาบาล ปี ๒๕๒๖-๒๗ เลิกทุกอย่าง สุขภาพดีขึ้น เงินบำนาญก็เหลือ หลังจากนั้นผมก็ไปแสวงบุญตามที่ต่างๆ

ปี ๒๕๒๘ ไปตัดผมที่ร้านของญาติธรรม เขาติดประกาศว่าวันพระตัดผมฟรี เขาให้หนังสือคนคืออะไรฯ และเท็ปพ่อท่าน เรื่องสรณะคืออะไร ฟังแล้วเชื่อว่าพ่อท่านต้องเป็นพระแท้ๆ แล้วไปร่วมงานปลุกเสกฯครั้งที่ ๑๐ วันที่ ๒๒-๒๘ ก.พ. ๒๕๒๙ วันแรก พ่อท่านเทศน์เรื่องอริยสัจ ผมก็เริ่มปฏิบัติถือศีล กินมังสวิรัติตั้งแต่วันที่ ๒๒ ก.พ. ๒๕๒๙ จนถึงทุกวันนี้ ตั้งสัจจะว่า วันพระกับวันเกิดถือศีล ๘ กินมื้อเดียว

ปี ๒๕๓๗ ผมมาปลูกบ้านที่สีมาอโศก ตั้งแต่ปี ๒๕๔๓ ก็มาเข้าพรรษาที่สีมาอโศกทุกปี งานประจำปีของชาวอโศกทุกงาน ไม่เคยขาด (ยกเว้นปี ๒๕๔๔ แม่บ้านเสียชีวิต) ตอนนี้อยู่ที่บ้านเพราะลูกเป็นห่วง

# ทุกวันนี้
ไม่ห่วงอะไร หากต้องตาย ต้องจากพ่อท่านไป ผมว่ามันเป็นของธรรมดา เพื่อนรุ่นเดียวกันตายหมดแล้ว เหลือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทุกวันนี้ปลื้มใจ มีความสุขที่ได้มาเจอพ่อท่านพระโพธิสัตว์ ผมเชื่อในปุพเพกตปุญญตา เราคงมีบุญเก่า ถึงได้มาพบ พ่อท่าน พบธรรมะ ผมแน่ใจว่าพ่อท่านเป็นสมณพราหมณ์ ดังที่ระบุไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๗ ในสัมมาทิฐิ ๑๐ ข้อ ๑๐ ผมตั้งจิตอธิษฐานขอติดตามท่านไปทุกชาติ

ผมตื่นตี ๔ สวดมนต์ ฟังธรรม ออกกำลังกาย เตรียมของมาใส่บาตรสมณะที่ มร.ส. ทุกวันยกเว้นวันจันทร์ ผมกินอาหารรสจืด กินเผ็ดไม่ได้เลย เมื่อ ๔-๕ ปีมาแล้ว เคยมีก้อนเนื้อ ๒ ก้อน ก็ดื่มน้ำใบบัวบก กินมะระขี้นก และดื่มน้ำปัสสาวะทุกวัน ปรากฏว่า ก้อนเนื้อหายไปแล้ว

# ฝากสุดท้าย
คนในโลกนี้มีมากมาย แต่คนที่มีบุญเก่าได้มาพบพระโพธิสัตว์มีน้อย จงจำไว้ ที่เรามาพบพ่อท่านเพราะมีบุญเก่าได้สั่งสมมา ก็ขอให้สั่งสมบุญต่อไป

คุณตาอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา แข็งแรง และสุขภาพดี ตื่นเช้า สวดมนต์ทำวัตร ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารรสจืด หากใครอยากอายุยาว มีสุขภาพดี ก็ลองทำอย่าง คุณตาไสวนะคะ แล้วเราจะได้มีสุขภาพ ที่ดีทั้งกายและใจ อยู่ช่วยงาน ศาสนาไปได้ ตราบนานเท่านาน

- บุญนำพา รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ปฏิทินงานอโศก
งานคืนสู่เหย้าฯ ครั้งที่ ๓ ณ พุทธสถานราชธานีอโศก พฤหัสฯที่ ๑๒ -เสาร์ที่ ๑๔ พ.ค.๔๘
ตลาดไร้สารพิษฯ ครั้งที่ ๑๒ ณ พุทธสถานราชธานีอโศก จันทร์ที่ ๑๖ - พุธที่ ๑๘ พ.ค.๔๘

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,500 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]