ฉบับที่ 258 ปักษ์แรก 1-15 มีนาคม 2548

[01] ผิดทางหรือเปล่า
[02] ธรรมะพ่อท่าน: "สายกลางจริงหรือ?"
[03] กลุ่มชเลขวัญจัดงานวิสาขะฯ ร่วมตั้งสัจจะอธิษฐาน ทำดีได้ ไม่ต้องเดี๋ยว
[04] สร้าง "สวนบุญผักพืช" ชานกรุง เป็นชุมชนกสิกรรมไร้สารพิษ ทางออกของชาวเมืองสันติอโศก
[05] เกษตรอินทรีย์...เดินหน้าเต็มที่
[06] สกู๊ปพิเศษ: ท่านได้ข้อคิดอะไรจากงานอโศกรำลึกที่ผ่านมา?
[07] จดหมายจากญาติธรรม
[08] การกินอาหารสดกับไม่สด ให้ผลต่างกันอย่างไร?
[09] ทีมสาธารณสุขชุมชนชาวอโศก ร่วมเรียนรู้ "โฮมีโอพาธี" ที่บ้านราชฯเมืองเรือ
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] พี่น้องชาวปัตตานี พบสัจธรรมชีวิต ที่สวนส่างฝัน เรียนรู้วิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง
[12] ยกระดับส้วมไทย รับประชุมส้วมโลก ก็ไม่ต้องร้อง "ยี้" แล้วซิ !
[13] กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนปฐมอโศก - อินทร์บุรี
[14] ปฏิทินงานอโศก:


ผิดทางหรือเปล่า?
ประเทศไทย จะมีปัญหาแน่ ถ้ามุ่งรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยว
เพราะมันเป็นรายได้ที่ไม่แน่นอน เป็นรายได้ที่เรากำหนดเอาไม่ได้
สังคมบุญนิยม จะมีปัญหาแน่ เช่นกัน ถ้ามุ่งรายได้จากการอบรม
เพราะเป็นรายได้ที่ไม่แน่นอน เป็นรายได้ที่เรากำหนดเอาไม่ได้

ถ้าเราสามารถผลิตปัจจัยการดำรงชีวิตด้วยสังคมเราเองได้ เช่น สามารถปลูกสิ่งที่เรากิน และกินในสิ่งที่เราปลูก (ยิ่งบางพื้นที่ ที่พืชผัก ที่เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ ก็ยิ่งมีความอุดมสมบูรณ์) เป็นต้น หรือการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง นั่นแหละ คือ ทางออกของสังคม ทุกสังคม

คนในชุมชนที่ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนบุญนิยม จึงน่าจะได้หันมาถามตัวเองว่า เรากำลังพัฒนาชุมชนไปในทิศทางใด จึงจะสามารถอยู่ได้ อย่างเข้มแข็ง แบบไม่ต้องใช้เงินเป็นตัวตั้ง เช่น ไม่มุ่งหวังเงินบริจาค ไม่มุ่งรายได้จากการส่งออกเป็นหลัก เป็นต้น.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สายกลางจริงหรือ?

การปฏิบัติธรรมสายกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทานั้น ต้องมีการฝืนทนหรือไม่เพราะได้ยินหลายคนที่พูดว่า สายกลางเป็นลักษณะที่ ปฏิบัติตัว ตามสบายไม่ต้องฝืนทนอะไรนั้นจริงหรือ?

พ่อท่านได้พูดถึงทางสายกลาง ตามหลักพระพุทธศาสนาแก่คณะที่มาวิจัย เรื่อง "จิตวิญญาณเพื่อสุขภาวะ" นำโดย ดร.วิลาสินี ที่สันติอโศก เมื่อ ๓ ก.ค ๒๕๔๗ว่า

"...พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า จงตั้งตนอยู่บนความลำบากแล้วกุศลธรรม จะเจริญยิ่ง นั่นคือผู้ปฏิบัติอยู่ยังไม่บรรลุสูงสุด เป็นพระอรหัตผล ก็ต้องอดทนต้องข่มฝืน ต้องมีความหนัก ความยากอยู่ ต้องตั้งตนอยู่บนความลำบาก มิใช่อยู่กลางๆได้แล้ว หรือเอาแต่สบายๆ เพราะถ้า ผู้ยังไม่ใช่ พระอรหันต์ เอาแต่อยู่สบายนั่นคือผู้บำเรอกิเลส จึงไม่ใช่สภาพเป็นกลาง

แต่ถ้าไปแปลว่าการปฏิบัติทางสายกลาง แล้วปฏิบัติไม่ฝืนไม่โต่งไปข้างต้องอดทน อย่างนั้นผิดแน่ ไม่ได้ขัดเกลา บนความลำบาก ทุกขายะ กุศลธรรมจึงเจริญได้ ถ้าปล่อยตัว ตามสบายนั้น ยถาสุขัง อกุศลธรรมเจริญยิ่ง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม ๑๔ ข้อที่ ๑๕..."

เมื่อฟังธรรมพ่อท่านเรื่องทางสายกลางนี้แล้ว เราคงได้สำรวจตัวเองชัดขึ้นว่า ทุกวันนี้เราปฏิบัติทางสายกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทา แบบที่ พระพุทธเจ้า ทรงสอนไว้หรือเปล่า? หรือสายกลางแบบตามใจฉัน ไม่ต้องถือศีลให้เคร่งครัดก็ได้.

- เด็กวัด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กลุ่มชเลขวัญจัดงานวิสาขะฯ ร่วมตั้งสัจจะอธิษฐาน
ทำดีได้ ไม่ต้องเดี๋ยว

กลุ่มชเลขวัญ ตั้งอยู่ที่ ต.พอแดง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา จัดกิจกรรมงานวันวิสาขบูชาเป็นปีแรก และได้นิมนต์สมณะดินดี สมณะ อรณชีโว และสมณะพอแล้ว มาเป็นประธาน มีญาติธรรม ชาวบ้านและเด็ก ๆ หมู่บ้านพอแดง มาร่วมทำบุญฟังธรรม และรับประทานอาหารร่วมกัน ประมาณ ๕๐ คน หลังจากนั้น ก็มีกิจกรรม รายการสนทนาธรรมใต้ร่มไม้ และทำวัตรเย็น มีญาติธรรม ชาวชเลขวัญ ตั้งสัจจะอธิษฐาน เพื่อพัฒนาตนเอง ให้เป็นประโยชน์ต่อคนรอบข้าง หรือเพื่อนร่วมงาน และสังคมโดยรวมดังนี้

คุณเชิญชาญ ศรีพลอย
๑. จะถือศีล ๕ ให้ละเอียดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะข้อ ๕ คือจะลดละเรื่องอบายมุขเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องกีฬา คือจะเลิกติดตาม ข่าวกีฬา จากสื่อ ทุกชนิด
๒. จะทานอาหารมื้อเดียว ในวันพระและวันเกิด
๓. จะเอาใจใส่ในการแยกขยะเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากรของโลกและรักษา สิ่งแวดล้อม

นายจัด พลายชุม
ขอตั้ง ๑ สัจจะอธิษฐาน คือไม่ใช้อารมณ์กับแม่บ้าน และจะคอยระวังคำพูดให้มากขึ้น

นางสาวใบแพร นาวาบุญนิยม
๑. จะเป็นคนใจกว้าง ไม่ตระหนี่
๒. จะเสียสละให้ทานยิ่งขึ้น
๓. จะขยันในการทำงานให้มาก

นางแตตา จีวะรัตน์
๑. จะไม่นอนตื่นสาย (ก่อนตี 5 ทุกวัน)
๒. จะสร้างความรู้รักสามัคคีและส่งเสริมความสามัคคีในหมุ่กลุ่ม

นายชลอ ดาษเสถียร
๑. จะมาช่วยงานที่ชเลขวัญให้มากขึ้นจะทำความดีต่อครอบครัว

นายหินเขียว เกิดผล
จะลดความถือสา ต่อบุคคลที่มาผัสสะเพื่อลดละความโกรธให้จงได้ตลอดไป

พ่อหนูชัย คะตะวงษ์
จะมาช่วยงานชเลขวัญ ๒ อาทิตย์

นายเกษม เพชรสังข์
ลดความโกรธ และความเอาแต่ใจตนเองลง ถือศีล ๕ ให้เคร่งครัดขึ้น

นายทรงยศ สงวนวงษ์
ระวังจิตให้มีหิริโอตตัปปะเกรงกลัวต่อบาปเพิ่มขึ้น

นายวาสนา สุวรรณสาโรจน์
ลดละความโลภให้ได้มาก ๆ

นายอดุลย์ จิวะรัตน์
๑. ทุ่มเทให้ความสำคัญกับกลุ่มอย่างสุดจิตสุดใจ
๒. รับฟังเหตุผลของหมู่กลุ่ม

นางสาวบัวขาว วังเมือง
จะพยายามระมัดระวังอารมณ์ ทำจิตให้เบิกบาน ลดตัวโกรธ ตัวถือสาลงและเสียสละให้มากขึ้นกว่าเดิม

นางสาวเรวดี ตันนุกิจ
จะเฝ้าระวังจิตไม่ให้หม่นหมอง มีสติและปรับจิตให้ทันเมื่อมีผัสสะ สร้างฉันทะและจิตสำนึกที่ดีกับงานที่ทำ

สมณะพอแล้ว สมาหิโต บวช ๒๗ ปี ถนัดค้อนปอนด์ ตลับเมตร บางครั้งก็บ๊องเข๊ง ก็จะปรับปรุง พูดจาสำรวม เหมาะควร เมื่อก่อน เผด็จการ ตอนนี้ลดลง อายุมากก็เสื่อมลง ไม่เก่งในการบริหาร

สมณะอรณชีโว จะขยันพากเพียร สร้างสรรค์ในงานศาสนาให้มากขึ้น สร้างมิตร และปัญญามากขึ้น อดอาหารทุกวันพระ (๑๕ ค่ำ) ไม่นอนเสพ ทำดีไม่ต้องรอเดี๋ยวก่อน

สมณะดินดี สันตจิตโต ไม่รู้จะตั้งสัจจะอะไร ทำตามนายกฯ จะไม่เกียจคร้าน มีกิจนิมนต์ตรงไหนจะไป ไม่ถือสาหัดปล่อยวาง แต่ยังไม่ กระทบมาก ก็ไม่รู้ การเอาใจตัวเองก็มีบ้าง จะพยายาม เป็นคนหนุ่ม ๖๐ กว่าไม่เป็นคนแก่ อะไรอร่อยกินให้น้อยลง ไม่กินปาท่องโก๋ เพราะเห็น มหันตภัย โดยเฉพาะ ของทอด และลด ของเค็ม

- เรวดี ตันนุกิจ รายงาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สร้าง "สวนบุญผักพืช" ชานกรุง เป็นชุมชนกสิกรรมไร้สารพิษ
ทางออกของชาวเมืองสันติอโศก

พ่อท่านสนับสนุนสวนบุญฯ
เปิดโครงการสร้างบ้านในสวน
แต่ต้องถือศีล ๕ ละอบายมุขตามสูตร

ชุมชนสันติอโศกสร้างชุมชนชานเมือง เพื่อเป็นแหล่งผักพืชให้กับชาวสันติอโศก และอาจขยายไปสู่ลูกค้าใน กทม. ถ้ามีจำนวน มากพอ

สวนบุญผักพืช เป็นสวนกสิกรรมไร้สารพิษ และชุมชนแห่งใหม่ที่ชาวสันติอโศก พยายามผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นแหล่งอาหาร ของชาวเมือง เพราะเนื้อที่ ที่จะทำกสิกรรม ไร้สารพิษในเมือง ยังไม่ลงตัว จนเมื่อ นางจินดา โพธิมิตร ซึ่งเป็นญาติธรรมอยู่ที่ จ.ปทุมธานี ก็มีความตั้งใจ มานานแล้วว่า อยากจะมอบที่ดิน ให้กับชาวอโศก ทำกสิกรรม ไร้สารพิษ และสร้างชุมชน ความตั้งใจนี้มีไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี กศน. สันติอโศกรุ่นแรก ก็เคยมาลงแขกทำนาบุญ จนได้ผลมาแล้ว และแล้วความตั้งใจของ นางจินดา ก็บรรลุผล ทางมูลนิธิ ธรรมสันติ ยินดี รับบริจาคที่ดิน จำนวน ๙๒ ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ที่คลอง ๑๓ ต.หนองสามวัง อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี

ซึ่งในขณะนี้มีผู้ดูแลเป็นหลักอยู่ ๔ คน คือ คุณน้อย(ร้อยแจ้ง) คุณไพรเมือง คุณพลอยไพร และ ป้าอรุณ และได้ลงมือ ปลูกผักพืช ไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า ๒๐ ชนิด แต่เนื่องจากกำลังคน มีน้อย ก็เลยปลูก อยู่ในเนื้อที่เพียง ๓ ไร่ ผักพืชที่ปลูกก็มี ขี้เหล็ก ผักหวาน ใบแมงลัก เป็นต้น

การทำสวนบุญผักพืชแห่งนี้ ถือเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้แห่งใหม่ของชาวสันติอโศก เนื่องจากว่าชาวสันติอโศกส่วนใหญ่มาจาก ภาคพาณิชย์ ส่วนความรู้ ทางด้านกสิกรรม ที่พอมีอยู่ ของผู้ที่อยู่เป็นหลัก ก็มีรากฐานมาจาก การทำกสิกรรม ในภาคอีสาน ซึ่งมีสภาพดิน ต่างจากดินที่ จ.ปทุมธานี ทำให้ต้องมีการลองผิด ลองถูก

สภาพดินที่ภาคอีสาน ส่วนใหญ่เป็นดินทราย แต่ที่คลอง ๑๓ เป็นดินเหนียว เมื่อรดน้ำแล้วเอาฟางไปคลุมเลยอย่างที่กสิกร ไร้สารพิษ ทางภาคอีสาน แนะนำ แทนที่ ต้นไม้จะงามดี กลับทำให้รากเน่า จึงต้องมาศึกษาเรียนรู้กันตั้งแต่ต้นว่า จะปลูกผักพืชด้วยดินเหนียว เขาทำกันอย่างไร ซึ่งในเรื่องนี้ผู้สื่อข่าว ก็ได้สอบถามความเห็น จากกสิกรทางภาคอีสาน ท่านหนึ่ง ก็ได้รับคำแนะนำว่า จะปลูกพืช ต้องเตรียมดิน เบื้องต้นการทำกสิกรรม ก็คือต้องสร้างดินก่อน ถ้าไม่เรียนรู้เรื่องดิน แล้วไปปลูกผักพืชเลย ก็จะผิดขั้นตอน และเมื่อเรา สร้างดิน ให้ดีแล้ว จะปลูกผักพืชอะไร ก็ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผักพืชพื้นบ้าน เราควรหันมานิยมบริโภค เพราะมีความยั่งยืนกว่า ประโยชน์สูง และประหยัดสุดกว่า

แต่ไม่ว่าจะยากลำบากอย่างไร ชาว ชุมชนสันติอโศกก็ยังมีความมุ่งมั่นที่จะทำสวนบุญผักพืชให้เป็นฐานการผลิตที่แข็งแรง เพื่อให้ชาวชุมชน ได้มีผักพืชไร้สารพิษ ได้กินกัน อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ทางสวนบุญผักพืช ก็กำลังก่อร่างสร้างตัวให้เป็นชุมชนใหม่ ซึ่งในขณะนี้มีการประกาศขายที่ดินเป็นแปลงๆ แบ่งเป็น แปลงละ ๕๐ ตารางวา ราคา ๑๕๐,๐๐๐ บาท หากญาติธรรม ท่านใดสนใจ ก็ขอเชิญจับจองซื้อกันได้ทุกเวลา ที่สันติอโศก หลังจากงานอโศกรำลึก ที่ผ่านมา มีญาติธรรม จับจองซื้อแล้ว ไม่ต่ำกว่า ๗๐ % ของโครงการ

นายน้อย (ร้อยแจ้ง) ชาวชุมชนสันติอโศก ที่ไปช่วยบุกเบิกในสวนบุญฯ ตั้งแต่ต้นก่อนเกิดโครงการสร้างชุมชนได้ให้สัมภาษณ์กับ ผู้สื่อข่าวว่า "คุณสมบัติของ ผู้ที่เข้าอยู่อาศัย ในโครงการ สวนบุญฯนี้ได้ จะต้องปฏิบัติ ได้ตามนี้ คือ
๑. ถือศีล ๕ ละอบายมุข
๒. ใช้ไฟฟ้าไม่ให้เกิน ๙๐ โวลต์
๓. จำกัดการใช้เครื่องไฟฟ้าหลายชนิด ที่กินไฟมาก หรือเป็นผลเสียต่อการสร้างชุมชนบุญนิยม

แต่ส่วนกลางใช้ไฟฟ้าได้แบบ ๒๒๐ โวลต์ ตามปกติ สำหรับน้ำไฟก็ใช้ได้ฟรี"

น.ส.ประกายขวัญ ปัญญาพร ผจก.บจ.พลังบุญ "เราถือว่าเป็นองค์กรภายใน ควรที่จะสนับสนุนนโยบายส่วนกลาง อีกทั้ง พนักงาน จะได้มีโอกาสพักผ่อน ในสถานที่ ที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งถือว่าเป็นสวัสดิการ ให้กับพนักงาน ส่วนในชุมชนใหม่ จะเป็นลักษณะสาธารณโภคี มีการจัดสรรเป็นสัดส่วน บางส่วนก็มีไว้เป็นที่พัก สำหรับนักบวช โดยเฉพาะ ซึ่งเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๐ มิ.ย.๔๘ หลังพิธีบวชสมณะ ชาวชุมชน สันติอโศก ก็เดินทางไปช่วยกันปลูก ผักหวาน ถึง ๓ คันรถ ซึ่งทาง บจ.พลังบุญ ก็ได้ให้รถบริการชาวชุมชน ในการนี้ด้วย"

น.ส.นภวรรณ วิสิฐศรีศักดิ์ พนักงาน บจ.แด่ชีวิต "ทาง บจ.แด่ชีวิต ได้ซื้อแปลงที่ ๑๙ ในโครงการนี้เมื่อวันที่ ๑๐ มิ.ย.๔๘ ที่ผ่านมา โดยทางส่วนกลาง ได้เปิดจอง แปลงละ ๕,๐๐๐ บาท แล้วทยอยจ่ายจนครบ ๑๕๐,๐๐๐ บาท ทางบริษัทก็ได้จองไว้ ๑ แปลง เหตุที่คณะกรรมการของบริษัท มีมติซื้อที่ดินดังกล่าว เพราะเราเป็นบริษัทส่วนกลาง ก็พึง สนับสนุนนโยบาย ของส่วนกลาง และจะได้ เป็นสวัสดิการ ให้กับพนักงาน ได้ใช้เป็นที่พักผ่อน และเป็นที่อยู่อาศัย ในบั้นปลายชีวิตได้ด้วย สำหรับผู้ต้องการใช้ชีวิต แบบชนบท และ ในทุกวันหยุด (วันจันทร์) ก็สนับสนุน ให้พนักงาน ไปช่วยงานที่สวนบุญผักพืช เป็นประจำ แม้ในวันธรรมดา เมื่อได้รับการขอตัว จากสวนบุญฯ เพราะมีงาน เร่งด่วน ทางบริษัทก็สนับสนุน ให้พนักงานไปช่วย ตามคำขอ ในบางโอกาส"

นายแซมดิน เลิศบุศย์ ประธานชุมชนสันติอโศก และกรรมการผู้จัดการ บจ.ฟ้าอภัย
"ทางบริษัทก็ได้ซื้อที่ไว้ ๑ แปลง ซึ่งก็มีหลายองค์กร ที่ช่วยกันซื้อ เพื่อให้เกิดชุมชนกสิกรรมไร้สารพิษขึ้น ที่คลอง ๑๓ จ.ปทุมธานี และเพื่อให้พนักงาน เข้าไปมีส่วนร่วม ในการสร้างชุมชน และได้มีโอกาส ปรับเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน ที่อยู่กับเครื่องจักร เป็นส่วนใหญ่ ไปใช้ชีวิตที่ใกล้ชิด ธรรมชาติ โครงการนี้เป็นการทำงานที่ถือว่า เป็นของชุมชน สันติอโศก ดังนั้นทุกองค์กร จึงยินดีเข้าไปมีส่วนร่วม แต่ถ้าองค์กร หรือหน่วยงานใด ไม่มีเงินพอที่จะซื้อ ก็สามารถเข้าไปร่วมได้ เพราะเรามีที่ส่วนกลางให้พัก และทำกสิกรรม ไร้สารพิษร่วมกัน"

สมณะกล้าจริง ตถภาโว สมณะที่ปรึกษาของ ม.วช.วิชชาเขตสันติอโศก "เมื่อวันที่ ๒๐ มิ.ย.๔๘ ทาง ม.วช. วิชชาเขตสันติอโศก ได้มีพิธี รับน้องใหม่ โดยการพาน้องใหม่ ม.วช. ไปช่วยกันปลูก ผักหวานบ้าน จำนวน ๕,๓๖๐ ต้น ที่สวนบุญผักพืช ก็เพิ่งไปครั้งนี้ เป็นครั้งแรก ดูแล้วน่าจะเป็นไปได้ และไม่ไกลจาก กทม. มาก หากมีคนไปช่วยกันมาก".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



เกษตรอินทรีย์...เดินหน้าเต็มที่

เกษตรอินทรีย์...ได้ยกขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการพัฒนามาตรการความปลอดภัยด้านสุขอนามัยสินค้าเกษตร และอาหารไทย ตามนโยบาย...ครัวไทยสู่ครัวโลก...!!!

จึงได้ สร้างความสับสนให้กับเกษตรกร ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ เนื่องจากมีนักวิชาการบางกลุ่ม ออกมาบอกกับสังคมว่า การที่จะใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์มาใช้กับการเกษตรกร เพียงอย่างเดียวนั้น ธาตุอาหารอาจไม่เพียงพอ กับความต้องการของพืช... นั่นหมายถึง การเจริญเติบโต ที่ได้ไม่เต็มที่ ผลผลิต แม้นมีคุณภาพ แต่ว่าไม่ได้ปริมาณ ตามต้องการ

คณะกรรมการดำเนินการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ จึงได้มีมติเห็นชอบ ให้จัดทำโครงการ ส่งเสริมการเรียนรู้ และถ่ายทอด เทคโนโลยี ด้านการผลิตเกษตรอินทรีย์ ใน ๒๒ จังหวัด เป็นการนำร่อง โดยมอบหมายให้ คุณชวาลวุฑฒ ไชยนุวัติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ถือหางเสือ

ซึ่งในเบื้องต้นได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งชี้แจงแนวคิด และข้อปฏิบัติเรื่องเกษตรอินทรีย์ที่ถูกต้องได้เข้าใจแนวคิด และการปฏิบัติ เรื่องเกษตรอินทรีย์ ให้ถูกต้องตรงกัน

ทั้งนี้จึงได้จัดกิจกรรมเรียนรู้หลักการปฏิบัติ และปรับวิธีคิดของ ผู้ปฏิบัติทั้งในส่วนของผู้ว่าราชการ ๗๕ จังหวัดหรือผู้แทน กับข้าราชการ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการ สัมมนา ศึกษาดูงานขึ้น ณ ราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นสถานที่ ที่ทำการเกษตรอินทรีย์ แบบ ๑๐๐ % เป็นเวลา ๓ วัน คือตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป...

...การสัมมนาในครั้งนี้จะได้เห็นตัวอย่างของการเกษตรอินทรีย์ที่ประสบความสำเร็จ และ จะเป็นการลงลึก ในส่วนของรายละเอียด และ แนวทางปฏิบัติ ที่ชัดเจน ส่วนแผนการดำเนินการ เกษตรอินทรีย์ ของแต่ละจังหวัด ที่ผ่านการคัดเลือก ให้นำร่องนั้น ก็ได้มอบหมาย ให้ผู้ว่าราชการ แต่ละจังหวัด เป็นผู้พิจารณาวางแผน...

...โดยพิจารณาจากความพร้อม ความเหมาะสม และภูมิประเทศของแต่ละจังหวัดเป็นปัจจัยหลัก...!!!!

รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังบอกถึงปัจจัยที่จะทำให้เกษตรอินทรีย์เดินเข้าไปสู่ความสำเร็จว่า...

"...ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า ที่ปรับตัวสูงขึ้น ตามไปแล้ว ยังเป็นต้นเหตุ ให้ราคาปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยเคมี และสารเคมีต่างๆ ขยับราคาสูงขึ้นตาม

ดังนั้นเกษตรกรรายย่อยจึงควรหันมาผลิตเกษตรอินทรีย์ให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะลดต้นทุนการผลิตแล้ว ก็ยังได้รับ ความนิยม ในการบริโภค ทั้งในและ นอกประเทศอีกด้วย..."

ก็ถือว่าเป็นจุดสตาร์ตในการพัฒนาสินค้าเกษตรให้อาหารที่ปลอดภัย การเป็นครัวของโลกก็อยู่ไม่ไกลนัก...!!!

(จากคอลัมน์ "หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน" นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๒๑ มิ.ย.๔๘)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

สัมภาษณ์สมณะเดินดิน ติกขวีโร

ท่านได้ข้อคิดอะไรจากงานอโศกรำลึกที่ผ่านมา?
- ปีนี้ต้องถือว่าเป็นการเริ่มต้นเฉลิมฉลองปีทองของชาวอโศก เพราะพ่อท่าน ได้ย่างเข้าสู่ปีที่ ๗๒ พวกเราไปงานอโศกรำลึก ต่างก็ประทับใจ ที่นอกจาก จะได้รับ ของที่ระลึก ที่เป็นหยาดน้ำใจ ของพระโพธิสัตว์แล้ว เราก็ได้สัมผัสถึงหยาดน้ำใจของพ่อท่าน ที่ท่านให้เวลากับพวกเรา อย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย ต้องฉันอาหารไป แจกไป ซึ่งพวกเราเห็นแล้ว ก็รู้สึกว่า วันฉลอง น่าจะเป็นวันที่พ่อท่าน สบายที่สุด กลับเป็นวันที่ท่าน เหนื่อยที่สุด พวกเราไปฉลองให้ท่าน แต่กลับเป็นวันที่ท่าน หนักที่สุด ก็ได้ซาบซึ้ง ในโพธิกิจของท่าน ที่ท่านบำเพ็ญบารมี ทำเพื่อลูกๆ และมนุษยชาติ

ซึ่งหยาดน้ำใจที่พวกเราได้ไป จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ถ้าพวกเราเอาไปใช้เป็นที่ระลึก เพื่อที่เราจะได้ก้าวเดินตามรอย ของพ่อท่าน ตลอดชีวิต ที่ทำงานศาสนา ท่านหนัก ท่านเหนื่อย มาตลอด แม้ใกล้วันฉลอง ท่านก็เร่งเขียนหนังสือ ท่านบอกว่า พยายามเร่ง เขียนหนังสือ ให้จบ เพื่อจะเดินทางมา ราชธานีอโศก แค่เหลืออีก ๓ บรรทัด เท่านั้นเอง ก็เขียนไม่จบ เพราะสมอง มันไม่ทำงานแล้ว ท่านเขียนหนังสือ จนทำ ให้ตาที่เหลือข้างเดียว พอใช้งานได้ มีอาการปวด ในกระบอกตา ไปพบจักษุแพทย์ จักษุแพทย์ก็บอกว่า ท่านใช้งานหนักเกินไป ดังนั้น ทุกครั้ง ที่เราเหนื่อยหนัก ลำบาก เราจงได้ภูมิใจว่า เรากำลังเดินตามรอยของพ่อท่าน หรือทุกๆ ครั้งที่เรากำลัง ร่าเริงเบิกบาน พ่อท่านใช้สำนวน ภาษาอีสานว่า ยิ้มเป้ยๆ ด้วยมีความสุข เพราะการได้ให้ ได้เสียสละ นั้นก็ให้รู้ว่า เราก็กำลังเดินตามรอยพ่อท่าน หรือทุกๆ ครั้ง ที่เรากำลัง คิดเมตตา ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ด้วยกัน และสรรพสัตว์ ในโลกนี้ เมื่อใด ที่เราตั้งจิต เมตตาอย่างนี้ นั่นคือ เราก็กำลังเดิน ตามรอยพ่อท่าน หรือทุกๆครั้ง ที่เรามีจิตใจสงบ ไม่มีนิวรณ์ใดๆ มารบกวน จะเป็นวิมุติชั่วคราวก็ดี หรือเป็นวิมุติ ที่ยาวนานก็ดี เราก็เอาพลัง ที่สงบนี้ มาใช้เตวิชโช หรือทำเจโตสมถะ การที่เรามีจิตยินดี ต่อความสงบ โดยไม่มีนิวรณ์ใดๆ มารบกวนเช่นนี้ นั่นก็คือเราก็กำลัง เดินตามรอย พ่อท่าน หรือทุกๆ ครั้งที่เราไม่ย่อท้อ ต่ออุปสรรค พยายามคิด ที่จะฝ่าฟัน เอาชนะอุปสรรคทั้งหลาย อย่างมุ่งมั่นให้ได้ นั่นก็คือ เราก็กำลังเดิน ตามรอยพ่อท่าน พ่อท่านเคยเปิดเผยใจ ให้ฟังว่า ท่านเห็นว่า อุปสรรคเป็นของสนุก ชีวิตท่าน จึงมีแต่ความสนุก

ท่านไม่เคยรู้สึกย่อท้อหรือท้อแท้ต่ออุปสรรค แต่ท่านเห็นว่าอุปสรรคนี่แหละ เป็นของมัน ของสนุก หรือการที่เราได้ยอม ทำตามหมู่ เก็บความเห็น ของตัวเอง แม้จะเชื่อว่าตัวเองถูก แต่หมู่ส่วนใหญ่ เอาอย่างนี้ เราก็ยอมเก็บ ความเห็นของตัวเอง

พ่อท่านเองเคยบอกหลายๆ ครั้ง แม้ท่านรู้สึกว่าตัวเองถูก แต่ท่านก็ยอมตามหมู่มาตลอด ดังนั้นทุกๆ ครั้งที่เรายอมทำตามหมู่ได้ นั่นก็คือ เราก็ก้าวเดิน ตามรอยพ่อท่าน

ปีแห่งการเฉลิมฉลองย่าง ๗๒ ปีของพ่อท่านพระโพธิสัตว์ จึงน่าจะเป็นปี ที่ทำให้หยาดน้ำใจแห่งเมตตา กระจายไปเป็น พลังเย็น ให้กับสังคม และมนุษยชาติ เป็นปีแห่งจิตของเรา น่าจะยินดี เบิกบานด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยคุณธรรม ด้วยพลังวิมุติ ให้ได้มากที่สุด จึงน่าจะเป็นปีทอง คือปีที่เราจะทำชีวิตของเรา ให้มีคุณค่า ให้ได้มากที่สุด สมกับเป็นปี เฉลิมฉลอง ๗๒ ปี ของพ่อท่าน

เราจะเพิ่มพลังของวิมุติที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นได้อย่างไร?
- พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ หรือเป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของการ บรรลุธรรม ก็ได้ แต่จุดอ่อน ของพวกเรา ที่ไม่สามารถ ไปถึงเป้าหมาย ของศาสนาได้ ข้อที่ ๑ ก็คือ มักจะเป็นศิลปินเดี่ยว คือเป็นนักปฏิบัติธรรม ที่ไม่ได้ ประโยชน์อะไร จากคำว่ามิตรดี จากคำว่าสหายดี จะเป็นคนที่อยู่ในโลกส่วนตั๊วส่วนตัว ทำอะไร ก็มีแต่ส่วนตั๊ว ส่วนตัว เป็นคนที่อยู่กับหมู่ ก็เหมือนกับอยู่คนเดียว ซึ่งพวกนี้จะสังเกตได้ เวลามาประชุม จะมาช้า เพราะเรื่องของตนเอง สำคัญที่สุด จึงลดอัตตา ลงไม่ได้ เมื่อหัวไอ้เรือง แน่กว่าใครๆ จึงไม่เห็นความสำคัญ ในการประชุม หรือเมื่อมาแล้ว ก็แสดงอาการเบื่อหน่าย ต่อการประชุม จะดูเวลา ว่าเมื่อไหร่ จะเลิกซักที เป็นคนที่เสมือนรถสูบเดียว มีแต่พลังของตัวเอง แต่ไม่สามารถอาศัย พลังของมิตรดี สหายดี ที่พระพุทธเจ้าให้ความสำคัญว่า เป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์ได้

บางคนก็เป็นคนที่ขยันประชุมเหมือนกัน เหมือนเห็นความสำคัญของหมู่ แต่จริงๆ ที่เข้าไปประชุมเพราะว่า เพื่อที่จะให้หมู่ ต้องเอาตามตู ขยันประชุม แต่เพื่อให้ทุกคน เอาตามตัวเอง เป็นคนไปประชุม แต่กำหนดคำตอบเอาไว้แล้ว ซึ่งก็จะไม่ได้ประโยชน์ ในแง่ที่จะเกิด การสังเคราะห์ เกิดการรวมพลัง พวกนี้ขยันประชุม แต่ไม่ได้ประโยชน์ จากการประชุมเท่าไหร่ ไม่ได้เพิ่มโลกทัศน์ วิสัยทัศน์ เพราะจะเอา แต่ข้าฯ อย่างเดียว เป็นนักปฏิบัติธรรม ที่ไม่ได้พลังของมิตรดี สหายดี ที่ทำให้เกิดการบรรลุ หรือวิมุติหลุดพ้น ไปจากกิเลสได้


ในปักษ์นี้ท่านมีอะไรจะฝากญาติธรรมบ้าง?
- ในงานอโศกรำลึกพ่อท่านเน้นกับพวกเราว่า ผู้ที่ไม่เจริญในธรรมในแต่ละขณะคือโมฆบุรุษทุกคน! ดังนั้นเราเองคงจะต้อง มาให้ความสำคัญ ในเรื่องของ คุณธรรม เป็นธงชัยนำชีวิต นำกิจกรรม นำกิจการของเรา

ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าชาวอโศกเรา พอทำงานมีกิจกรรม มีกิจการมากๆ หลายๆ คนเป้าหมายเคลื่อนไป บางคนไปอบรม เกษตรกร ก็จะเน้นแต่ว่า ให้ได้ข้าวสูงสุด เป็นเป้าหมาย บางคน ทำการค้า ก็จะเอาตัวเลข เป็นเป้าหมาย เลยลืมตัวเลข ๔๕๗๘ ซึ่งเป็นโพธิปักขิยธรรม ๓๗ เป็นตัวเลขสำคัญ ของการปฏิบัติธรรม จริงๆแล้วนี่ พวกเราต้องชัดเจนว่า ไม่ว่าพวกเรา จะไปทำ กิจการอะไร ถ้าไม่มีธงชัยคุณธรรม นำหน้าไปแล้ว กิจการนั้นไม่ยั่งยืนและไปได้ไม่นาน เหมือนชาวบ้าน ที่อบรมกับเรา ไปดูว่า เขาจะประสบ ผลสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า เขาเอาคุณธรรม ไปปฏิบัติด้วย มากน้อยแค่ไหน ถ้าเขาเอา คุณธรรม นำหน้า เขาก็จะประสบความสำเร็จได้มาก พวกเราชาวอโศกเอง ก็เหมือนกัน กิจการ กิจกรรม จะสำเร็จได้ ก็จะต้องมี คุณธรรมนำหน้า มีคุณธรรมเป็นหลัก จะค้าขายก็ต้องขวนขวาย ในการฟังธรรม ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมให้มาก จะทำกสิกรรม ก็ไม่ไปมุ่งแต่ทำนา ให้ได้ ๕๐๐ ไร่, ๑,๐๐๐ ไร่ แต่จะต้องเพ่งเล็งกล้า ในอธิศีล ในอธิจิต ในอธิปัญญาของเราให้มาก จึงจะเข้าอยู่ในองค์ ของอาริยคุณ

โศลกของพ่อท่านในปีนี้ ก็สอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นพุทธภาษิตเอาไว้ว่า "บุคคลผู้ปล่อยให้ขณะล่วงเลยไป เขาย่อมพากัน แออัด ยัดเยียดอยู่ในนรก เพราะไม่ได้ปฏิบัติอาริยมรรค"

อย่างนั้นถ้าเราเพ่งเล็งกล้าแต่งาน ก็คือการปล่อยให้ขณะล่วงเลยไปนั้นเอง จริงๆ แล้วเรื่องของวัตถุมันไม่มีเต็ม ไม่มีพอหรอก เพราะโลกนี้ พร่องอยู่เป็นนิจ มันมีความเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา ไม่แน่ไม่นอนอะไร แต่สิ่งที่จะต้องมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ยั่งยืนก็คือจิตวิญญาณ ที่เจริญในคุณธรรม ก็อยากจะฝาก ให้ญาติธรรม ของเราทุกคน ว่าเราคงจะต้อง ทำความเจริญในธรรม กันให้มาก จะไปทำงานอะไร ประกอบกิจการอะไร ก็จะต้องคิดถึงธรรมะ เอาธรรมะไปใช้ให้มากด้วย ถ้าเราเอาแต่ทำงาน ไม่ได้เจริญในธรรมไปด้วย เราก็จะเป็น แต่เพียง กรรมกรศาสนา ไปทำงานแต่วัตถุอย่างเดียว โดยไม่ได้สำนึกปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป จะไปก่อไปสร้างอะไรขึ้นมาก็ตาม ต่อให้สำเร็จด้วย สิ่งที่ไปก่อสร้าง ก็ไม่ต่างไปกับ อนุสาวรีย์แห่งโลภะ โทสะ โมหะ ของเราที่ได้ทำในขณะนั้น นั่นเอง ในแต่ละขณะ.. แต่ละขณะ.. จึงจะต้อง เป็นวินาทีแห่งบุญ วินาทีแห่งการลดโลภ โกรธ หลงให้ได้อยู่ทุกๆ ขณะ จึงจะไม่เป็นโมฆบุรุษ.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

จดหมายจากญาติธรรม

รำลึกถึงพ่อฯ
๕ มิถุนายน ๒๕๔๘
กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูงค่ะ

งานอโศกรำลึก ปี ๒๕๔๘ ปีนี้หนูไม่ได้มีโอกาสไปร่วมงานที่พุทธสถานสันติอโศก เนื่องจากมีภาระที่ต้องเรียนหนังสืออยู่ ณ แดนไกล ถึงประเทศ เยอรมัน จริงๆแล้วก็รู้สึกเสียดายอยู่ลึกๆนะคะที่ไม่ได้ไป เพราะงานอโศกรำลึกในความรู้สึกหนูแล้ว เป็นงานที่มีความสำคัญ อย่างยิ่ง เพราะได้รวมหลายสิ่ง หลายอย่าง ที่ก่อกำเนิด และหล่อหลอม ชาวอโศก ให้เป็นชาวอโศก ในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการที่พ่อท่าน สมณะ สิกขมาตุถูกจับเข้าห้องขัง ต้องขึ้นศาล แม้จะต้องพ่ายแพ้ในรูปคดี แต่สำหรับหนูแล้ว คดีประวัติศาสตร์นี้ ทำให้เราได้เห็น ความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ของชาวอโศก ทุกแห่งหน หนูยังจำได้ ครั้งใดที่มีนัดจากศาล เพื่อสืบพยาน ชาวอโศก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ หรือเด็ก ก็จะไปรวมกัน ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ซึ่งเนื่องจากห้องสืบพยาน ก็ไม่ได้ใหญ่โต เพราะฉะนั้น ชาวอโศกส่วนใหญ่ ก็จะนั่ง กันไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่พื้น หรือที่สนามหญ้า ข้างหน้า จนกว่าการสืบพยานนัดนั้นๆ จะเสร็จ หนูก็ได้ไปเกือบทุกครั้ง เหมือนกันนะคะ จำได้ตอนเด็กๆ เด็กพุทธธรรม ก็จะขึ้นรถหกล้อไปกัน นั่งเบียดๆ กันไป แต่ก็สนุกสนาน ไปตามประสาเด็ก นะคะ ก็แปลกดีนะคะ เราถูก ฟ้องร้อง แต่เราก็ยังมีความสุข ไม่ได้ทุกข์ใจอะไรมากมาย ประวัติศาสตร์ครั้งนั้น ก็คงจะเป็นบทพิสูจน์ ยืนยันถึงศักยภาพ ในการปฏิบัติธรรม ของชาวอโศก เป็นอย่างดี และที่สำคัญที่สุดก็คือว่าเราได้ฝึกให้เป็นผู้ที่ให้อภัยได้และยอมได้ ซึ่งหนูคิดว่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เพราะคนเรานั้น จะสุข หรือจะทุกข์ มันก็อยู่ที่ใจ หากใจเรา มันไม่ทุกข์ซะอย่าง ใจเรามันสบาย ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไร ร้ายแรงขนาดไหน เราก็สามารถ มีชีวิต ที่เป็นสุขได้

การศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศเยอรมันก็ได้มีส่วนช่วยในการปฏิบัติธรรมของหนูให้ก้าวหน้าได้มากๆเช่นกันค่ะ การมา ต่างประเทศ หลายๆครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งในตอนนี้ที่ เยอรมัน ฟังดูแล้ว ก็น่าอิจฉานะคะ ได้มาใช้ชีวิต อยู่ในประเทศ ที่โมเดิร์น เหมือนเป็นเมืองสวรรค์ แต่สำหรับหนูแล้ว มันเหมือนกับ โชคชะตา มันพัดพา ให้ต้องมา ให้ต้องอยู่ทำหน้าที่ มันไม่ได้มี ความสุข มากมาย อะไรหรอกค่ะ จริงๆอาจเรียกว่า อยู่แล้วเป็นทุกข์ มากกว่าสุขด้วยซ้ำ โดยเฉพาะ ในสมัยก่อน มันเหงาน่ะค่ะ ในสมัยก่อน วิธีแก้เหงา ก็เมาท์กับเพื่อนๆ หาเรื่องไปเที่ยว บางทีก็ไปเทคไปผับ ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ก็ไม่ได้อยากไป แต่ก็ไป เพราะไปเข้าสังคม ไปกับเพื่อนๆ เคยบอกคุณแม่ ว่าเหงา ไม่มีใครเลย คุณแม่ก็แปลกใจว่า เห็นมีเพื่อนมากมาย ทำไมถึงเหงาล่ะ แต่การกลับมาที่เยอรมัน ในคราวนี้ หลังจากที่ได้ไป ชาร์จแบตโลกุตตระ มาทั้งจากที่งานปลุกเสกฯ และการฝึกฝน ตนเอง ที่อโศก ในบางเรื่อง หนูได้สภาวธรรมหนึ่ง ที่ทำให้ชีวิต มันมีความสุขขึ้นมากๆเลยค่ะ เนื่องจากกลับมาคราวนี้ อาจเป็นเพราะเพื่อนทุกคน ก็อายุมากขึ้น มีเรื่องราวในชีวิต ให้ต้องยุ่งอยู่กับชีวิต ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอนาคต การงาน และที่สำคัญก็คือ อายุขนาดนี้ เพื่อนส่วนใหญ่เค้าก็มีแฟน ไปกันหมดแล้ว ทำให้เรา ไม่สามารถ เอาชีวิตเรา ไปฝากไว้ที่ใครๆ ได้เหมือนแต่ก่อน หนูก็เลยได้ฝึก จิตใจของหนู ให้มันเข้มแข็ง ไปในตัวน่ะค่ะ สำหรับหนู ถ้าต้องอยู่ เฉยๆ ไม่ทำอะไร มันจะเบื่อ และเบื่อมาก มันก็ทุกข์นะคะ เพราะฉะนั้น ก็ต้องหาอะไรทำ และเนื่องจากว่า หนูก็คงเป็นผู้ใหญ่ขึ้นด้วย มันก็เลยไม่มีอารมณ์ ที่อยากจะไปเมาท์ ไปเทคไปผับ ไปใช้ชีวิตที่ไร้สาระ เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว ก็เลยต้องหาอะไร อย่างอื่นทำ เทอมนี้ก็เลย ได้ทำอะไร ที่เพิ่มศักยภาพของตนเอง ในด้านความรู้ อย่างจริงจัง จากคนที่ ไม่ค่อยสนใจ จะอ่านหนังสือ ค้นคว้าความรู้เพิ่มเติม จากนอก ตำราเรียน ก็ไปใฝ่หา ความรู้ เพราะหน้าที่เรา ตอนนี้ก็คือ เรียนหนังสือ ใช่มั้ยคะ ก็ต้องทำหน้าที่ตรงนี้ ให้ดีที่สุด รู้สึกว่าตัวเอง เก่งขึ้นนะคะ ทั้งในด้านความรู้ ความสามารถ ทางวิชาการ (เนื่องจาก เริ่มสนใจ จากที่แต่ก่อน ไม่เคยใส่ใจ)

แต่ที่รู้สึกว่าตัวเองเก่งจริงๆ มากกว่าการได้วิชาความรู้ทางโลก ก็คือได้ความ เข้มแข็งทางจิตใจให้กับตัวเอง คือเมื่อไม่ปล่อย ให้ตัวเอง อยู่เฉยๆแล้ว ชีวิตมันก็ยุ่งน่ะค่ะ ก็ไม่มีเวลาฟุ้งซ่าน เวลาก็ผ่านไปเร็ว เมื่อทำได้ ทำได้ไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกได้ว่า ใจเข้มแข็งขึ้น รู้สึกว่าชีวิตนี้ เราสามารถอยู่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเอาชีวิต ไปพึ่งพิง หรือผูกไว้ที่ใคร ใจมันเข้มแข็งขึ้น รู้สึกดี และดีมากๆเลยค่ะ แต่ก่อนใจมันไม่เคยฝึก ขนาดอยู่กับเพื่อน เยอะแยะ หากเกิดอาการ ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ก็หงุดหงิดได้ง่ายมาก แต่ต้องเก็บเอาไว้ ตามมารยาท แต่ตอนนี้ อยู่คนเดียว หรือ อยู่กับคนอื่น ใจก็จะค่อนข้างสงบ รู้สึกว่า มันดีจังเลย จริงๆแล้วหนูว่า ผู้หญิงเรานี่ หากฝึกตนเอง โดยวิธีนี้ได้ ก็จะดีมากๆเลยนะคะ จะกลายเป็นผู้หญิงที่เก่ง และแกร่ง ไม่ต้องเอาชีวิต ไปยึดไว้กับ ผู้ชาย เพราะหนูมีความรู้สึกว่า ผู้หญิงนั้น บางทีแต่งงาน หรือมีความทุกข์ จากการแต่งงาน แต่ไม่สามารถ สลัดออกมาได้ ก็เพราะรู้สึกว่า ผู้ชายเป็นที่พึ่ง กลัวเหงา กลัวไม่มีใคร เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ สำหรับผู้หญิง จริงๆนะคะ แต่หนูรู้สึกว่า จริงๆแล้วไม่มีใครสามารถ เป็นที่พึ่งให้ใครได้เลย ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ลูก หรือแม้แต่สมณะ สิกขมาตุ ที่ให้คำปรึกษา แก่เราก็ตาม เพราะหากเรา ไม่ฝึกปฏิบัติ ใจเราไม่เข้มแข็ง มันอ่อนแอแล้ว แม้จะมีคนล้อมรอบเรา มากมายเพียงใด แต่ถ้าใจเราไม่พอ มันไม่เป็นสุขแล้วล่ะก็ มันก็จะเคว้งคว้าง ว่างเปล่า เหมือนไม่มีใคร แต่ถ้าใจเราเข้มแข็ง แม้จะอยู่คนเดียว ก็มีความสุขได้ ที่หนูพูดได้อย่างนี้ ก็เพราะรู้สึกว่า ทำได้บ้าง และก็เข้าใจ อย่างแท้จริง ถึงพระพุทธพจน์ที่ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" อย่างซาบซึ้ง ทีเดียวค่ะ ซึ่งการที่หนูสามารถ ฝึกใจตนเอง ให้เข้มแข็งได้เช่นนี้ นอกจากความสบาย ที่ได้รับในปัจจุบันนี้แล้ว มันก็จะเป็น ประโยชน์มากๆ ต่อตัวหนูในอนาคต ทั้งนี้ เนื่องจากว่า หนูเป็นลูกคนเดียว และมีครอบครัว ที่อบอุ่นมาก ฉะนั้นหนูจึงเป็นคนที่สนิท กับคุณแม่ และคุณพ่อมาก โดยเฉพาะคุณแม่ จะเหมือน เป็นเพื่อน ที่สนิทที่สุด เลยทีเดียว หากต่อไป ไม่มีท่านอยู่ให้ความรัก ความอบอุ่น ให้คำปรึกษา หนูก็คงสามารถ ดำรงชีวิตอยู่ได้ อย่างไม่ลำบากมากนัก เพราะจิตใจ ได้ผ่านการฝึกฝน มาบ้างแล้ว

ความสุขที่แสนสุขที่เหนือกว่าความสุขทางโลกียะที่หนูได้รับในชีวิต ในวันนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หากหนูไม่เคยได้รับ หลักธรรม คำสอน ของศาสนาพุทธ ที่แท้จริงจากพ่อท่าน สมณะ สิกขมาตุ ไม่เคยเห็นหมู่คน ที่ประพฤติปฏิบัติได้จริง ตามคำตรัสของ องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังเช่น ท่านญาติธรรม ชาวอโศก รวมทั้งน้อง สัมมาสิกขา ทุกๆที่

ฉะนั้นในวันที่ ๙ มิถุนายนนี้แม้หนูจะไม่ได้ไปร่วมปฏิบัติบูชาพระบรมสารีริกธาตุพร้อมๆกับชาวอโศกทุกๆ ท่าน แต่หนูก็จะตั้งจิต อธิษฐาน ตั้งมั่น ที่จะประพฤติตน ในกรอบของ ศีลธรรม ไม่พาตน เวียนไปสู่ที่ต่ำ และจะพัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้นเรื่อยๆ เพื่อตอบแทนบุญคุณ ของพระศาสนา พ่อท่าน สมณะ สิกขมาตุ และชาวชุมชนทุกคน และก็จะตั้งจิต และให้คำมั่นว่า ไม่ว่าหนู จะไปอยู่ที่ใด ก็จะไม่ลืมว่า ตัวเอง เป็นชาวอโศก และจะปฏิบัติ ตามหลักบุญนิยม จะเพียรพัฒนาตน ให้เป็นผู้ที่เจริญขึ้นให้ได้ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในโอกาส ๗๒ ปี ของพ่อท่านค่ะ

ท้ายที่สุดนี้หนูก็ขออาราธนาให้พ่อท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกๆ ชาวอโศก อย่างน้อย จนอายุ ๑๕๑ ปีนะคะ

กราบนมัสการ
นางสาวชิดตะวัน ชนะกุล

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


การกินอาหารสดกับไม่สด ให้ผลต่างกันอย่างไร?

อาหารสด หมายถึงอาหารที่ยังใหม่อยู่ เช่นผักสด คือผักที่เพิ่งถอนหรือเด็ดออกมาใหม่ๆจากต้น ส่วนอาหารไม่สดนั้นหมายถึง อาหารที่เก็บ ไว้นานแล้ว เช่นผักที่เหี่ยวเฉา เด็ดมาจากต้นนานแล้ว ผักทั้งสองชนิดนี้มีคุณค่าต่างกันอย่างไร? ทำไม?

ผักสดเป็นผักที่มีเอนไซม์ ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งเคลือบอยู่รอบๆ รักษาโมเลกุลของอาหารนั้นไว้ มันเป็นเหมือนเบาะ ที่คอยกั้น ขวางน้ำลาย ในปากของเรา และน้ำย่อย ในกระเพาะอาหาร ไม่ให้ทำปฏิกิริยารุนแรงต่อสารอาหารนั้น มันจะรับแล้วเกลี่ยน้ำลาย หรือน้ำย่อย ที่เข้ามานั้น ให้กระจายตัว จางลงเมื่อทำปฏิกิริยาในการย่อย ให้เป็นไปอย่างนุ่มนวล ทำให้โมเลกุล ของอาหารค่อยๆ แตกตัวออกเป็นโมเลกุล ที่สั้นลง เรื่อยๆ อย่างค่อยเป็น ค่อยไป ไม่รวดเร็ว และรุนแรงจนเกินไป ผลจากการย่อย จึงได้เป็นอาหาร ที่มีโมเลกุลสั้นมาก พอที่จะลอดรูพรุน ของผนัง ลำไส้เล็ก ออกไปสู่เส้นเลือดได้ ด้วยเหตุนี้ การกินอาหารสดจึงเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเต็มที่

ตรงกันข้ามกับการกินอาหารไม่สด เนื่องจากเอนไซม์ที่มีอยู่จะค่อยๆ ตายลงเพราะถูกอากาศ ตามปกติแล้ว เอนไซม์จะถูกทำลายได้ จากการถูก ความร้อน ความชื้น หรือออกซิเจน ดังนั้น ถ้าวางอาหารสดทิ้งไว้ ในที่มีความชื้นหรือท่ามกลางอากาศ ในระยะเวลาหนึ่ง ความสด จะค่อยๆหายไป แล้วก็บูดเน่าในที่สุด ทั้งนี้เพราะเอนไซม์ ที่คอยปกป้อง คุ้มกันภัย ให้โมเลกุล ของอาหาร ได้ค่อยๆตายลง และ ตายลง จนหมดสิ้น การเน่าบูดของอาหาร เป็นการย่อยสลายตัวเองเหมือนกัน แต่เป็นการย่อยสลายที่รุนแรง โมเลกุลของมัน จะแตกหัก สะบั้นลง อย่างไม่มีชิ้นดี ในตอนแรกๆนั้น โมเลกุลสั้น ที่เป็นประโยชน์ ก็ยังพอมีอยู่ แต่ครั้นทิ้งไว้นานวัน โมเลกุลสั้นที่เป็นประโยชน์ ก็จะแตกตัว ออกไปอีก ประโยชน์ที่พอมีอยู่บ้าง ก็หมดไป และจะกลายเป็น สารพิษเสียมากกว่า ถ้าเรารับประทานเข้าไป น้ำลายและน้ำย่อย ในกระเพาะ อาหารของเรา จะเข้าไปช่วยย่อย ให้เกิดความรุนแรง ของการย่อยมาก และรวดเร็วขึ้น จะทำให้เกิดก๊าซ และสารพิษมากขึ้น จึงทำให้เกิด อาการท้องอืด แน่นเฟ้อ และปวดมวน ซึ่งนับเป็นความไม่สุขสบาย อย่างยิ่ง การรับประทาน อาหารสดๆ จึงให้คุณค่า มากกว่า การรับประทาน อาหาร ที่ไม่สด อย่างเห็นได้ชัดเจน เช่นนี้แหละค่ะ

เมื่อพูดถึงคุณประโยชน์ของความสดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่การปฏิบัติธรรม การได้มาฟังธรรมสดๆ ที่วัดจากพ่อท่าน หรือสมณะโดยตรง ย่อมให้ผล ที่แตกต่างกับ การฟังธรรมไม่สด จากเทปที่บ้าน จะเห็นว่าการได้มาฟังธรรมสดๆที่วัดนั้นจะทำให้เกิดความมีชีวิตชีวามากกว่า ทำให้เข้าใจ เนื้อหาสาระแห่งธรรม ได้ลึกซึ้งกว่า และยังเกิด วิญญาณสัมพันธ์ กับญาติธรรม อื่นๆด้วย จึงควรมาฟังธรรมที่วัด ให้บ่อยขึ้น จึงจะดี หรือคุณว่า ไม่จริงคะ.

- กิ่งธรรม -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



ทีมสาธารณสุขชุมชนชาวอโศก ร่วมเรียนรู้ "โฮมีโอพาธี"
ที่บ้านราชฯเมืองเรือ

เมื่อวันที่ ๒๑-๒๔ พ.ค.๔๘ ที่ บ้านราชฯ เมืองเรือ กลุ่มผู้ทำงานสาธารณสุขชุมชนชาวอโศกได้ร่วมกันศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับ การแพทย์ ทางเลือก อีกแขนงหนึ่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นที่นิยมอันดับสองรองจากการแพทย์แผนปัจจุบัน

การแพทย์ทางเลือกแขนงนี้ มีชื่อว่า "โฮมีโอพาธี" (Homeopathy) ซึ่งเกิดขึ้นบนความคิดพื้นฐานที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ยาแรงๆ มารักษาโรค เพราะเชื่อว่า เป็นการเสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์มากเกินไป

วิธีการรักษาในแนวนี้อาศัยการสังเกตรายละเอียดของผู้ป่วย ตั้งแต่ท่วงทีกิริยาอาการจนถึงการตอบคำถาม รวมถึงการ ติดตามผล อย่างใกล้ชิด หลังการจ่ายยา เพราะการจ่ายยานั้น แพทย์ต้องวินิจฉัย จากอาการของผู้ป่วย ที่ปรากฏจริง ในปัจจุบันนั้น เพื่อการเปลี่ยนยา ให้เหมาะสม ในแต่ละขณะ เป็นช่วงๆ หลังการจ่ายยาครั้งแรก

ดูจะเป็นงานที่ต้องอาศัยหมอผู้มีเมตตาต่อชีวิต มีความใจเย็น พร้อมที่จะเสียสละ เอื้ออาทร จริงจังต่อผู้ป่วยเท่านั้นที่จะสามารถ ใช้วิธี การรักษา แบบนี้

ความแตกต่างของโฮมีโอพาธี กับ แพทย์แผนปัจจุบัน ก็คือ โฮมีโอพาธีเป็นการบำบัดที่เน้นความสำคัญของผู้ป่วย เป็นรายบุคคล และถือว่า องค์ประกอบ ของแต่ละคน เป็นปัจจัย กำหนดว่า คนๆนั้นมีโอกาสที่จะเป็นโรคหรือเกิดอาการเจ็บป่วยอะไรได้ง่าย

จุดดีของการแพทย์ทางเลือกแบบนี้ คือ ความสอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นวิธีการผลิตยา ไปจนถึง คุณสมบัติของหมอ รักษาคนไข้ ซึ่งล้วนคือ การปฏิบัติธรรม ทุกขั้นตอน รวมทั้งการออกกำลังกายแบบชี่กง ที่เป็นองค์ประกอบหนึ่ง ของการดูแล สุขภาพ ในหลักการเดียวกับโฮมีโอพาธี คือ การรักษาตัวเอง ด้วยวิธีเพิ่ม ภูมิต้านทานโรค ให้กับร่างกาย

ยาทุกเม็ดในการรักษาแนวนี้ มีการเจือจางด้วยน้ำบริสุทธิ์หลายๆครั้ง และทุกครั้งของขั้นตอนการเจือจางก็ต้องใช้สมาธิ ในการเขย่า เพื่อเปลี่ยนสสาร เป็นพลังงาน เนื่องจากมวลของสารสามารถแปรเป็นพลังงานได้เมื่อเพิ่มความเร่ง

ขณะผลิตยาจะไม่มีการพูดคุยใดๆ เพราะผู้ผลิตต้องรู้ชัดทุกขั้นตอน และมีสติตื่นเต็ม เป็นบทฝึกเจโตสมถะ ที่ดีทีเดียว ยิ่งขั้นตอนของ การสัมผัสเกี่ยวข้อง ถามไถ่อาการคนไข้ ยิ่งต้องเพิ่ม ความตื่นเต็ม ในการศึกษาเรียนรู้ สังเกต พิจารณา วินิจฉัย เลือกยาที่เหมาะสม รวมทั้งการติดตามผล อย่างถี่ยิบ ล้วนเป็นกิจกรรม สร้างสมาธิ และเจริญเมตตา ราวกับ การปฏิบัติให้ถึง เมตตาเจโตวิมุติ โดยอาศัย ผัสสะ ในการทำงาน เป็นปัจจัย ก่อเกิดสมถะวิปัสสนา

แทนการนั่งนิ่งๆทำฌาน ก็กลายเป็นการอาศัยอุปกรณ์ภายนอก คือบทบาทชีวิตจริงๆ พาดำเนินให้เกิดสมาธิ เช่นเดียวกับ การบริหาร แบบชี่กง โดยจิตกำหนดรู้พลังงาน ในร่างกาย เป็นการทำสมถะ ที่อาศัยการเคลื่อนไหวช้าๆ ของส่วนต่างๆ ในร่างกาย เป็นกสิณ ในการตามรู้ พลังงานจิต

นอกจากความสอดคล้องกับการปฏิบัติธรรมด้วยเป็นบทฝึกเจริญเมตตาต่อชีวิตทั้งมวลอย่างละเอียดประณีตแล้ว ยังเป็นการประหยัด ในการใช้ยา รักษาด้วย เนื่องจากยา แต่ละเม็ด ต่ำว่า ๕๐ สตางค์ การใช้ยา ก็ครั้งละเม็ดเดียว ไม่เกิดผลเสีย ต่อร่างกายเลย เพราะเป็นยา ที่มีสสารน้อย แต่มีพลังกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

นอกจากนี้ โฮมีโอพาธียังเป็นการแพทย์ทางเลือกที่มีลักษณะเน้นให้ความสำคัญ ในการดูแลรักษาร่างกาย แบบองค์รวม โดยเน้นถึง ปัจจัยทางด้านจิตใจ และอารมณ์ ในลักษณะ ที่มีความสัมพันธ์ กับอาการทางกาย และเพ่งเล็งไปที่สาเหตุภายใน มากกว่า อาการแสดง ทางกาย ภายนอกเท่านั้น.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

หน้าปัดชาวหินฟ้า

เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๕๗(๒๗๙) ปักษ์หลัง ๑๖-๓๐ มิ.ย.๔๘

ขอนำข่าวความเคลื่อนไหวของชาวเรามาฝากกัน ดังนี้

ก่อนอื่นขอแก้ไขคำผิดพลาดในฉบับที่แล้วในเนื้อข่าวเรื่อง โฮมไทวัง หน้า ๔ จากชื่อ "นิสิตประกายบุญ" ที่ถูกต้องคือ "นิสิต ประกายพุทธ" -ทีมงานฯ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

ข่าวฝาก...สำหรับหนังสือ "สัจจะชีวิตของสมณะโพธิรักษ์" เล่ม ๒ "ภาค ๒ โลกียะสู่โลกุตระ" ที่คาดไว้ว่าจะได้อ่านกัน ช่วงงาน อโศกรำลึกนั้น ปรากฏว่า เสร็จไม่ทันฮะ เพราะช่วงที่ผ่านมา พ่อท่านติดภารกิจ หลายอย่าง ทีมงานจัดทำจึงขอฝากข่าวถึงท่านญาติธรรมที่ได้จองหนังสือไว้ ณ โอกาสนี้ และหากเสร็จเมื่อไร จิ้งหรีดจะรีบเก็บข่าว มาบอกนะฮะ แหม! หนังสือดีๆ อย่างนี้ เชื่อเถอะว่า ยังไงๆ ญาติธรรมทั้งหลาย ก็ยินดีคอยฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

ไม่แววไว...ตอนประมาณเที่ยงกว่าๆ ช่วงที่ฝนกำลังตก จิ้งหรีดกำลังเดินจะไปตึกฟ้าอภัย ช่วงที่เดินอยู่บริเวณลานจอดรถ หน้าตึกแดง ก็เห็นหญิงวัยกลางคน ๓ คน คงพอๆกับจิ้งหรีด แถมยังถือร่ม เหมือนจิ้งหรีด อีกต่างหาก ทั้ง ๓ คนไม่เคยมาที่สันติอโศก จึงเข้ามาชม แต่ไม่รู้ว่าจะเข้าทางไหนดี จิ้งหรีด จึงหยุดคุยกับพวกเขา เขาถามจิ้งหรีดว่า "ที่นี่ไม่ได้แต่งขาว หรอกหรือ?" และถามอีกว่า "เจ้าอาวาสที่เป็นนักจัดรายการสมัยก่อนน่ะ ชื่ออะรไนะ" พอคุยกันไปนิดหน่อย เขาถามอีกว่า "จะไปหาที่หลบฝนได้ที่ไหน และถ้าฝนหยุดตก จะเดินชมวัด ได้ไหม?" จิ้งหรีดพอได้ยินคำถามนี้ ก็รีบพาพวกเขา ไปที่โต๊ะหน้าห้องสื่อธรรมะ ซึ่งคุณรักธรรมจะนั่งรับแขกประจำอยู่แล้ว จากนั้นจิ้งหรีด ก็มานั่งขำตัวเอง และได้ประสบการณ์ว่า หากเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ขณะฝนตกอีก ก็จะต้องรีบเชิญแขกเข้าหาที่มุงที่บังกันฝนไว้ก่อน ไม่ควรยืนคุยกันกลางสายฝน เพื่อตอบข้อสงสัยต่างๆ ซึ่งไม่สะดวก จิ้งหรีด ควรจะแววไวกว่านี้...จี๊ดๆๆๆ...

กลียุค...อ.ประไพ อ.พิกุล และคณะ จาก อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เดินทางมาทำบุญ ฟังเทศน์ที่ภูผาฟ้าน้ำ ได้เล่าให้จิ้งหรีดฟังว่า ไม่นานมานี้ วัยรุ่นผู้หญิง ยกพวกตีกัน ก็ยังไม่รู้สาเหตุ ถึงขนาดเหน็บดาบยาวปีนเข้ามาในกำแพงโรงเรียนบุกตีนักเรียนหญิง จิ้งหรีด ฟังแล้วก็รู้สึก ขนลุก ขนพองสยองเกล้า และคิดว่า นี่คงใกล้กลียุค เข้าไปทุกที คนเริ่มมีจิตใจอำมหิต ทำร้ายฆ่าแกงกันได้ แม้เพียงแค่ขัดใจกัน หรือผลประโยชน์ ขัดกัน ธรรมดาชาวพุทธเรา เห็นสัตว์บาดเจ็บ ยังรู้สึกสงสาร นี่คนด้วยกัน ก็ฆ่ากันได้ บางคนถึงขนาด ไม่เคยรู้จักกัน ก็พร้อมจะฆ่าได้ ถ้ามีใครจ้าง ตอนนี้มายุคผู้หญิง ยกพวกตีกัน ฟังแล้วสลด ก็ขนาดยุคที่ผู้หญิงใจกล้า หน้าหนา กล้าใส่ชุดชั้นใน เดินโชว์ คนทั่วโลก กล้าเสนอตัว ให้ผู้ชาย บำเรอกาม ขาดความรักนวล สงวนตัว ตามวัฒนธรรมไทย ก็ถือว่าเป็นกลียุคแล้ว แล้วนี้กล้าเป็น นักเลงหัวไม้ ยกพวก ตีกันอีก ขาดความละอาย ทั้งทางราคะ และโทสะ จะมิยิ่งกว่ากลียุค หรือฮะ ก็ขออนุโมทนา กับคุณครูทั้ง ๒ ที่ยังไม่ท้อ ที่จะติดตาม และ พัฒนาเด็กในปกครอง หรือเด็กที่เคยดูแล เพื่อหล่อเลี้ยง จิตวิญญาณ ให้ต้านทานกระแส ทุนนิยมทางโลก ให้ได้...จี๊ดๆๆๆ...

ประหยัดพลังงาน...จิ้งหรีดทางศาลีฯ รายงานมาด้วยความตื่นเต้นว่า ตอนนี้ที่ศาลีฯ มีนโยบายรัดเข็มขัด ประหยัดพลังงาน โดยใช้ฟืน แทนแก๊ส หุงต้ม และเน้นพืชผัก ของพ่อสวนสุข ที่ปลูก อยู่ในชุมชน ไม่ต้องไปเสียเงิน ซื้อพืชผักในตลาด เป็นการลดรายจ่าย ของชุมชนลง และ การลดรายจ่าย ก็เป็นการเพิ่มรายได้

นอกจากนี้ชาวชุมชนยังมองอีกว่า มีอะไรน้าจะลดลงได้อีกเพื่อให้รายจ่ายไม่เกินกว่ารายรับ

อ้าว! ก็ลดกิเลสนะสิ เสียงจิ้งหรีดที่ศาลีฯ ร้องขานรับกันขรม แต่ลดกิเลสก็สามารถทำงานไปด้วยได้ ดังนั้นอาแพรฝัน ตอนนี้ ก็เปลี่ยนจาก งานการศึกษา มางานพาณิชย์ หาตลาด ขายพืชผัก ผลไม้ไร้สารพิษ ได้ข่าวว่ามาขายอยู่หน้าร้านกู้ดินฟ้า ๑ ด้วย เพื่อนำรายได้ ไปเลี้ยงชุมชน ที่มีเด็กและคนชรา เป็นจำนวนมาก

จิ้งหรีดก็ขออนุโมทนาฮะ ถ้าเราร่วมแรงร่วมใจ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ชุมชนที่เราอยู่ก็จะผาสุก ไม่ติดลบทางเศรษฐกิจ นะฮะ

ก็เป็นข้อคิดให้กับชุมชนอื่นๆนะฮะ ว่าถ้าชาวชุมชนช่วยกันลดรายจ่ายก็เท่ากับเป็นการเพิ่มรายได้ ยิ่งสามารถพึ่งพาตนเองได้ ด้วยพืชผัก ผลไม้ และสมุนไพร ที่เรามี เราก็ยิ่งอยู่ได้ อย่างสบายดี ถ้าเราเข้าใจ เพราะตั้งอยู่ในพื้นฐาน ประโยชน์สูง-ประโยชน์สุด

ตอนนี้จิ้งหรีดก็มองเห็นอยู่หลาย ชุมชนของชาวเรานะฮะที่กินอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่ต้องซื้อพืชผักผลไม้ข้างนอกมากินกันเลย เน้นพืชผัก พื้นบ้าน ผลไม้ที่ปลูกเอง ขึ้นเอง นี่แหละฮะ วิถีชีวิตคนจน มหัศจรรย์ เป็นเศรษฐีเงินถัง (มีข้าวเปลือกเป็นถังๆ) แต่สตางค์ไม่มี สูตรนี้คนโลกีย์ รับรอง ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรม ก็อยู่กับเรายากฮะ ก็เป็นการคัดเลือก ไปในตัว...จี๊ดๆๆๆ...

หินผาฯนิยม...จิ้งหรีดที่หินผาฟ้าน้ำ เกาะอยู่ที่ต้นไม้ได้ยินท่านตรงมั่นประกาศกับเด็กๆว่า จะไม่ฉันอาหารที่ใส่ซอส-ซีอิ๊ว ที่ขายกัน อยู่ในตลาด หากไม่มีอาหาร ก็จะฉัน ข้าวเปล่า พอจิ้งหรีดได้ฟัง ก็ต๊กใจหมดเลย เกรงว่าท่าน จะได้ฉันข้าวเปล่า หากแม่ครัวที่ทำอาหาร เคยชินกับ การใส่ซอส -ซีอิ๊วสูตรข้างนอก ซึ่งมีผงชูรส เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ยกเว้น บางยี่ห้อ แต่ ยังไงๆ ก็พอมีทางออก เพราะในชุมชน ก็มี เต้าเจี้ยว ผลิตเอง มีเกลือ ก็ใช้เป็นเครื่องปรุง ที่ปลอดภัย

พอท่านตรงมั่นประกาศไปเช่นนั้น ในวันแรกของการทำอาหารแล้วใส่ป้ายติดบอกไว้ว่า ไม่มีผงชูรส ก็เกิดผัสสะ กระทบ กระทั่งกัน เพราะ คนอื่น ทำอาหารถวาย แต่ไม่ได้ติดป้ายบอกว่า ไร้ผงชูรส ก็ยืนยันว่า ฉันก็ไม่ใส่นะ สมณะท่านเลยให้ติดป้ายเสียใหม่ว่า "อาหารธรรมชาติ"

เรื่องซอสนี่ จิ้งหรีดหลายแห่งบอกมาว่า แม่ครัวหลายคนจะติดซอสข้างนอกมาก เพราะกลัวว่าอาหาร จะไม่อร่อย ถูกใจคนอื่น

นี่ถ้าท่านกลางดินให้แม่ครัวมาทำอาหารอินเดียที่เน้นเครื่องเทศเพื่อสุขภาพ จะเป็นผัสสะอีกประการหนึ่ง ที่ใครไม่ฝึกวางใจ ตัดกิเลส ก็อยู่ยากนะฮะ ดังนั้น เรามิควรประมาท ถ้าปฏิบัติให้ชีวิต มีวรรณะ ๙ ได้ ก็สบายมาก อยู่ได้ทุกแห่งหนฮะ สาธุ...จี๊ดๆๆๆ...

สร้างคน...จิ้งหรีดที่ปฐมอโศก รายงานมาว่า เห็นสิกขมาตุรินฟ้า กำลังคิดจะเคลื่อน กายย้ายจุด เพื่อพัฒนาผู้ร่วมงานสามารถ ทำงาน สืบทอดงาน แทนกันได้ สม.รินฟ้า บอกจิ้งหรีดว่า โอ้โฮ! การถ่ายทอดงานนี่ ต้องปากเปียกปากแฉะ ไม่ง่ายเลย แต่ก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ ของสิกขมาตุเองด้วย จิ้งหรีด ได้ข่าวว่า สิกขมาตุจะเน้นงาน สร้างคน โดยเบื้องต้น จะย้ายไปจุดใหม่ คือที่ศาลีฯ เพื่อสมัครเป็นลูกน้อง สิกขมาตุ สร้างฝัน อ้าว! สม.สร้างฝัน เป็นอาวุโสนะฮะ แต่สิกขมาตุรินฟ้า ก็พร้อมลดตัว เป็นลูกน้อง จิ้งหรีดขอแสดงความนับถือ ด้วยน้ำค้าง ๑ จอกฮะ...จี๊ดๆๆๆ...

ปฐมอโศก... จิ้งหรีดรู้สึกทึ่งที่คุณหนูกิ่ง ก้านแก้ว(หลานของคุณอารมณ์ มหาปิยศิลป์) แม้จะอยู่ไกลวัด แต่พอรู้ข่าวว่า พ่อท่านให้ หยาดน้ำใจ พระโพธิสัตว์ ก็จะขอติดรถ เข้าสันติฯ เพื่อไปรับ หยาดน้ำใจฯ แล้วจะหาทาง กลับเอง แต่พอดีได้ข่าวว่า พ่อท่านจะเข้าปฐมฯ ช่วงปลายเดือน มิ.ย.จึงรอวันนั้น จะมาถึง...

ท่านเด่นตะวันพูดคุยกับพระกลั่นกรอง (ปิ๊ก) ที่ได้ลาจากปฐมอโศก ไปแสวงหาสัจธรรมชีวิต ที่ตัวเองต้องการ หลายคนพอรู้ข่าว ก็ร้องอ้อว่า "บวชแล้วรึนี่" ท่านเด่นตะวัน ก็เล่าให้ญาติโยม ที่ปฐมอโศกฟัง ถึงความตั้งใจของพระปิ๊ก (กลั่นกรอง)ว่า อาจจะบวชไปตลอด...

โยมแม่ของท่านมั่นแจ้ง ก็มาทำบุญที่ปฐมฯ สมณะก็ช่วยกันเทศน์อุทิศส่วนกุศลให้โยมแม่ ในฐานะเป็น แม่สมณะ บรรยากาศ ก็อบอุ่นดีฮะ...

อาสีดิน อยู่ปฐมฯ ก็ได้ฝึกทำใจลดละตัวตนมาเรื่อยๆ ล่าสุดได้ทำใจบำเพ็ญทานครั้งยิ่งใหญ่ สมณะให้คาถาว่า "ได้คือเสีย เสียคือได้" ใครอยากรู้ ความหมาย หรือ รหัสธรรมนี้ ก็ไปสอบถามกันเอาเองนะฮะ...

คุณยม ตอนนี้ก็กำลังฝึกละวาง ไม่ห่วงหวงของขาย เพราะกลัวต้นหายกำไรหด เนื่องจากมีคนภายใน มาหยิบของขาย กินฟรีๆ คุณยม ก็ได้คิดว่า ไม่เป็นไรหรอก ก็เขาทำงานฟรี ก็มีสิทธิ์กินฟรีได้ แต่จิ้งหรีดขอเสนอให้คุณยม ช่วยจดรายการขนมกินฟรี ไว้ด้วยก็ดีนะฮะ จะได้รู้ว่า สถิติ ในแต่ละเดือน ต้องให้ขนมเป็นส่วย คนภายใน ประมาณเดือนละ เท่าไหร่ จะได้เป็นข้อมูล ในการพัฒนาร้าน ด้วยนะฮะ...

ได้ข่าวว่า ที่ มร.ฐ.ก็มีหยิบกินฟรี จิ้งหรีดก็คิดว่า น่าจะจดไว้ด้วยนะฮะว่า เป็นจำนวนเท่าไร ก็ถือว่าเป็นต้นทุน ยังไงๆ จะได้ช่วย ให้คนทำงาน มั่นใจว่า รับมากกว่าจ่าย มิฉะนั้น เกิดผิดพลาด มารู้ตัวทีหลังว่า เรากินฟรีจนเจ๊ง คือต้นหาย กำไรหด จะไปโทษใคร ก็ไม่ได้นะฮะ นอกจาก โทษตัวเอง จริงไหมฮะ หนูๆ สส.ฐ. ...จี๊ดๆๆๆ...

สัจจะอธิษฐาน...ใครยังไม่ได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะตั้งนะฮะ จิ้งหรีดได้รู้ความในใจ ของคนวัดคนหนึ่ง รู้สึกประทับใจ ก็ขอ นำมาเล่า สู่กันฟัง เขาคนนั้น เล่าความตั้งใจ บำเพ็ญ ให้จิ้งหรีดฟังว่า

"ปี'๔๘ นี้ ตั้งใจจะบำเพ็ญฝึกตัวเองให้มากที่สุด(อายุ ๔ รอบแล้ว) อะไรที่ทำได้จะช่วย จะพยายามออกจาก ความเคยชิน ตื่นจาก ความสบาย ของตัวเอง เสียสละ ให้มากขึ้น ที่แล้วมา ก็ทำอยู่ แต่ใจไม่เต็ม ยังฝืนๆ ยังเข็นตัวเองมากๆ เพราะรู้ว่าทำแล้วดี อยากจะช่วย อยากจะทำ อย่างใจ ที่เห็นดี และศรัทธาในสิ่งที่ทำ แม้ตั้งใจดีๆ ยังเกี่ยงงอน อยู่ในใจ ยังเรียกร้องว่า ทำไมคนอื่น ไม่ช่วย ไม่ทำ มันเป็นอาการอัตตา ที่ต้องการ คนสนองตอบ ตัวเองยังไม่เห็นกุศล ในสิ่งที่ทำ เลยต้องทบทวนบ่อยๆ อ่านหนังสือธรรมะด้วย ไม่งั้นจะแพ้กิเลส ต้องฝึก ขัดใจตัวเอง และ ต้องสร้าง บารมีให้ตัวเอง ไหนร้องบอกว่า ตัวเองไม่มีบุญ ไม่มีวาสนา แต่พอถึงโจทย์ที่ต้องทำ ก็ทำอย่างเสียมิได้ มองเห็นจุดบอด ของตัวเอง หากไม่ทำ ไม่สร้างบารมี ให้กับตัวเอง วันหนึ่งหมดบุญ ก็เป็นไปได้" สาธุ...จี๊ดๆๆๆ...

มรณัสสติ
นางอารี รัตนจันทร์ อายุ ๘๖ ปี มารดาของคุณฟ้าเกื้อ อาทิตย์แก้ว เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๒๔ พ.ค.๒๕๔๘ ฌาปนกิจ เมื่อวันที่ ๒๙ พ.ค.๔๘ ที่วัดคูยาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร

นายสุชาติ คำหอม อายุ ๖๔ ปี บิดาของ น.ส.ตะวันไพร(สร้อย) เสียชีวิตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ พ.ค.๔๘ ฌาปนกิจ เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๒๙ พ.ค. ๔๘ ที่ ต.วังลึก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี

ช่วงท้ายขอฝากคติธรรม-คำสอนของพ่อท่าน ที่ว่าจิตใจของพระอาริยเจ้าชั้นสูง จะประกอบด้วย
ใจดี เร็ว ประณีต ครบ
(สารอโศกฉบับ มิ.ย.-ก.ค.๓๕)
(จากหนังสือโศลกธรรม สมณะโพธิรักษ์ หน้า ๑๐๒)

พบกันใหม่ฉบับหน้า
- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


พี่น้องชาวปัตตานี พบสัจธรรมชีวิต ที่สวนส่างฝัน
เรียนรู้วิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง

ด้วยสายตาที่ยาวไกล ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น ด้วยฝันอยากจะเห็นชาวปัตตานีร่มเย็นและสมบูรณ์ ท่านรองผู้ว่าฯ พรรณี แก่นสุวรรณ เห็นความสำคัญ ของการดำเนินชีวิต แบบเศรษฐกิจ พอเพียง ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท จึงตัดสินใจ มอบหมายให้สำนักงาน เกษตร และสหกรณ์ จังหวัดปัตตานี พาพี่น้อง ชาวจังหวัดปัตตานี รวม ๑๒๑ ชีวิต มาอบรมสัมมนา เชิงปฏิบัติการ ที่สวนส่างฝัน (ซึ่งเป็นศูนย์ฝึก อบรมเครือข่ายกสิกรรมไร้ สารพิษแห่งประเทศไทย จังหวัดอำนาจเจริญ) โดยนำกลุ่มเยาวชนเกษตรกร แม่บ้าน พ่อบ้าน อบต. ครูสอนศาสนา อิสลาม คละกันมา

ด้วยการเดินทางไกล ๒,๐๐๐ กม. ใช้เวลากว่า ๓๐ ชั่วโมง ถึงสวนส่างฝันวันที่ ๒๔ พ.ค. เวลา ๒๐.๐๐ น. ชาวสวนส่างฝัน ออกไปต้อนรับ ที่หน้าสวน อย่างอบอุ่น โดยมีป้าย ต้อนรับ ผืนใหญ่ เขียนว่า "ขอต้อนรับคนของแผ่นดิน จากปัตตานีกลับสู่ธรรมชาติ กับสวนส่างฝัน" หลังกล่าวต้อนรับ รับประทานข้าวเข้าที่พัก เป็นคืนแรก ที่พี่น้องต้องพลิกความคาดหมาย หลายคนฝันว่า จะได้นอนโรงแรม ๕ ดาว มีแอร์ เย็นฉ่ำ มีผ้าขนหนูนุ่มๆ ให้บริการ แต่มาเจอ โรงแรมชั้นหนึ่ง โรงแรมล้านดาว แต่ก็นอนหลับสบาย ท่ามกลางแมกไม้ อันเขียวชอุ่ม ท่ามกลาง ธรรมชาติ นานาพันธุ์ คืนแรก พี่น้องถึงจะยังไม่คุ้นเคย กับสถานที่ แต่ก็หลับสบาย เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ตื่นเช้า สูดอากาศสดๆ ด้วยความแจ่มใส ปนสงสัย และอยากไถ่ถาม ทำไมจึงมีบ้านดิน ทำไมปลูกแต่ของกิน ทำไมและทำไมและทำไม?

วันแรกและวันที่สองบรรยากาศค่อนข้างตึง เราต่างปรับทัศนะเข้าหากัน กว่าจะลงตัวเข้าใจกันสัมพันธ์เหนียวแน่นได้ ก็ย่างเข้าวันที่ ๓ เป็นวันที่เริ่ม มีรอยยิ้ม บนใบหน้า และช่วงบ่าย ก็ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆกับฐานงาน ฐานอาชีพต่างๆ สลับกับการลงแขกผ่าตัดดิน หลังจาก เรียนรู้เรื่อง จุลินทรีย์ เรื่องปุ๋ยหมัก เรื่องยาสระผมแล้ว ขบวนการใช้ปุ๋ยก็สำคัญ เมื่อมีเหงื่อ ก็มีแรง (มีเหื่อ มีแฮง บ่มีเหื่อ บ่มีแฮง) ช่วงเย็น รอยยิ้มยิ่งเปิดกว้างขึ้น พร้อมกับ เสียงหัวเราะ ชาวมุสลิมขอแสดงวัฒนธรรม จำลองบรรยากาศ พิธีสุนัด มีการร้องเพลง มีการร่ายรำ ตามแบบฉบับ เสียงกลอง เสียงฉิ่ง ดังขึ้น ชาวมุสลิม ก็นั่งกันเป็นวง พร้อมกับตบมือ พร้อมกันร่ายรำ และแถมด้วยลิเกแบบฉบับของ ชาวปัตตานี เป็นลีลาที่น่าดูน่าฟัง

ตลอดการอบรม มีสลับฉากด้วยหมอลำ หมอแคนของพ่อพุทธคุณ ซึ่งเป็นมรดกอีสาน เล่นเอาชาวใต้ทึ่งและหลงใหลเสียงแคน กันหลายคน จนอยากฝึก เป่าแคน

วันที่สี่ของการอบรม พาทัศนศึกษานอกสถานที่ ชมสวนแม่ยอดฟางกับพ่อชมภู ซึ่งทำตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง สวน ๓ ไร่แก้จน แบบคลุมฟาง พร้อมบรรยายสรุป จากปฏิบัติกร ต้นคิด คุณแห่งไท ทำให้หลายคนมีไฟ เห็นคุณค่าของฟาง ของใบไม้ วัสดุเหลือใช้ ล้วนแต่ เป็นเงินทั้งนั้น ประกอบกับ สูตรสำเร็จ ท.ทหาร สามตัว คือ ทำ ทัน ที พร้อมกับเลิกอบายมุข ๖ โดยเด็ดขาด...

ก่อนกลับชายคนหนึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มออกมาขอบคุณพ่อชมภู โดยกล่าวว่า เราเห็นพ่อชมภู เป็นพ่อไหม? (ร้องตะโกน ถามทุกคน) หลายคน ตอบว่าเป็น เมื่อเราเป็นลูก เราต้องทำ ตามพ่อ ใช่ไหม (เพื่อนตอบว่าใช่) ฉะนั้นเรากลับไปปัตตานี เราจะทำสวน ๓ ไร่แบบพ่อชมภู มาเห็นที่นี่ ทำให้เรารู้ว่าที่บ้านเรา เราเดินเตะเงินทุกวัน แต่เราไม่รู้เรื่อง วันนี้เรารู้แล้ว เราจะกลับ ไปเก็บเงิน ที่บ้านเรา เพราะอะไร อะไรที่อยู่รอบตัวเรา เป็นเงินทั้งนั้น

ช่วงบ่ายพาทัศนศึกษา สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ที่จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งจะเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์ไทย-ลาว ให้ใกล้ชิด กันมากขึ้น แลกเปลี่ยนค้าขายกัน สะดวกขึ้น แต่ทางเรา มองว่า เป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์หรือสะพาน....? เพราะเมื่อการค้าเสรีมา จะเกิดอะไรขึ้น กับเกษตรกรไทย...? ใครได้...ใครจน...? สะพานนี้เปิดใช้ประมาณเดือนมกราคมปีž๔๙ สะพานนี้ จะเชื่อมถนน เข้าสู่พิษณุโลก เข้าสู่ เมาะละแม่ง ประเทศพม่า จะดูดเอาทรัพยากร และถ่ายเทอะไร สู่ลูกหลานของเรา อีกมากมาย ท่ามกลางการเคลื่อนไหว ความนิ่ง คือพลัง ท่ามกลางกระแส แห่งวัฒนธรรม ที่หลายหลาก ไหลเอ่อเข้ามา มอมเมาวัยรุ่น ลูกหลาน ของเรา "ตัวอย่างที่ดีทีค่ากว่าคำสอน" วันนี้ เยาวชนเรา ไม่ว่าจะเป็น พุทธ คริสต์ อิสลาม ล้วนถูกมอมเมา กันถ้วนหน้า ด้วยความสบาย ด้วยกีฬา ดารา ดนตรี ทำให้เยาวชนของเรา ขี้เกียจ และอ่อนแอ และเขาเหล่านี้แหละ จะเติบโต ไปเป็นโครงสร้าง ของสังคม ในอนาคต น่าห่วงไหมครับ...? แล้วใครล่ะจะแก้... บ่ายแก่ พาเดิน ตลาดอินโดจีน เพื่อทัศนศึกษาสินค้าจากต่างประเทศ และซื้อของพื้นเมือง เป็นของฝากกลับบ้าน หลายคนสนใจ ว่าน/ต้น สมุนไพร/ต้นยา คงได้ฟังรายการสุขภาพ ของอาหมอเขียว แล้วเข้าใจ

การดำเนินชีวิตแบบพึ่งตัวเองดีกว่าพึ่งหมออย่างเดียว

รายการภาคเย็นให้ทานข้าวตามกลุ่มตามอัธยาศัยพร้อมมีรายการ.. "เว้านัวหัวม่วน" เริ่มด้วยอาหมอเขียว ร้องเพลงเพื่อชีวิต และธรรมชาติ ทำให้วัยรุ่นหลายคน ขยับเข้ามาใกล้ และร่วมร้องเพลงกัน สนุกสนาน บรรยากาศ เต็มไปด้วย เสียงหัวเราะ และมิตรภาพ สลับด้วย หนุ่มน้อย หนึ่งในดิน เอาวิชาการ มาแทรกรายการบันเทิง ทำให้หลายคนเป็นงง กำลังสนุกอยู่ดีๆ มีคนถือถังสีฟ้า เดินเข้ามาตั้งกลางวง แล้วถามว่า ในถังมีอะไร หลายคนแซว สงสัยระเบิดมั้ง เรียกเสียงฮากันยกใหญ่ บางคนบอก สงสัยจะมีงูมั้ง สุดท้ายเฉลยด้วยการ ให้ออกมา ดูเอง พอเปิดออก หลายคนจึงถึงบางอ้อ เป็นถังเพาะถั่วงอก ที่กำลังงาม ยาวพอดี ขาวกรอบ พร้อมกับเคี้ยว เสียงดังกร้อบกร้อบ จนหลายคน กลืนน้ำลาย ไปตามๆกัน และสนใจไถ่ถาม วิธีทำกันใหญ่ จนต้องอธิบายให้ฟัง เรื่องจึงจบลงด้วยดี หลังจากนั้น ก็เป็นรายการ ยอดฮิต ของสวนส่างฝัน คือรายการ เทวดาเจ้าที่เจ้าทาง ออกมาพบ ในบทของอินตาเทวราช พร้อมกับลีลาร่ายรำ แบบฉบับของหมอลำ โดยใส่ชุด เต็มยศ สีชมพูประดับเพชร ออกแสงแวววาว พร้อมกับแต่งหน้า เป็นหมอลำเต็มๆ เรียกเสียงกรี๊ดเสียงฮา เสียงหัวเราะ กันจนท้องคัดท้องแข็ง ทำให้บรรยากาศ ภายในศูนย์ฝึกฯ เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และมิตรภาพ ซึ่งต่างจากวันแรก อย่างสี้นเชิง ยังกับหน้ามือเป็นหลังมือ วัฒนธรรม ที่ดีงาม เรียกเสียงหัวเราะ เชื่อมความสัมพันธ์ ช่วยสร้างสรรค์ ในโลกเล็กๆแห่งนี้

เช้าวันที่ ๖ ตื่นเช้าระดมสมองด้วยรายการหมู่บ้านในฝันโดยให้แบ่งกลุ่มกันเป็นอำเภอ "ร่วมคิด ร่วมฝัน" แล้วให้กลับไป "ร่วมทำ ร่วมเรียนรู้" กันที่ปัตตานี บางกลุ่ม มั่นใจ จะปลูกผัก ไร้สารพิษ บางกลุ่ม ตั้งใจจะทำขยะ ให้เป็นปุ๋ย หลายคนจะลดละ เลิกบุหรี่, เหล้า อบายมุข จะกลับไป เป็นลูกที่ดี ของพ่อแม่, จะขยันกว่าเดิม, จะอดทน ท่ามกลาง ความน่ากลัว, จะทำเศรษฐกิจพอเพียง, จะปลูกสวนผลไม้ ๓ไร่แก้จน แบบผสมผสาน ปลูกสิ่งที่กิน กินสิ่งที่ปลูก ปลูกหลายอย่าง ซื้อน้อยอย่าง

ก่อนกลับเลี้ยงส่งที่ภัตตาคาร ๑๐ บาท อุทยานบุญนิยม ได้เลือกทานอาหารหลากหลายตามความพอใจ น้ำผลไม้หลากรส ได้ ศึกษา การทำร้านอาหาร มังสวิรัติ อาหารเพื่อ สุขภาพ และชมตลาดผักผลไม้ไร้สารพิษของเครือข่ายบ้านราชฯ จากนั้นเดินทางเข้าไปเยี่ยมชม หมู่บ้าน ชุมชนราชธานีอโศก โดยมีคุรุมิ่งหมาย และคุรุดินดอน พร้อมทั้งชาวบ้านราชฯ ต้อนรับ ด้วยความอบอุ่น พี่น้องชาวปัตตานี ประทับใจ หมู่บ้านบุญนิยม แถมมีที่ถ่ายภาพ เป็นที่ระลึกเยอะแยะ จนไม่อยากขึ้นรถกลับบ้าน

รายการเปิดใจก่อนจาก
อบต.มาโซ (ผู้เข้าอบรม) เป็นอบต. และเป็นตัวแทนศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีชาวบ้าน เคยไปอบรมหลายที่ แต่มาที่นี่ได้ความรู้มากมาย ได้ออกเหงื่อ ได้เห็นอีสาน เป็นสีเขียว ก่อนมา คิดว่า จะแห้งแล้ง จะกลับไปทำที่ปัตตานี ให้เขียวกว่านี้ อุดมสมบูรณ์กว่านี้ สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ ถ้าเกษตรกร ๕๐% ที่อยู่ที่นี่ กลับไปทำให้ได้ ๘๐ % จะดีมาก

คุณบุญเจือ (หัวหน้าเจ้าหน้าที่เกษตรที่นำมา) เห็นเกษตรอำเภอ ลดเหล้า บุหรี่ ดีใจมาก ก่อนมาไม่มีใครรู้ว่า เจออะไร แม้กระทั้งผม ก็ไม่ทราบมาก่อน 2 วันแรก เครียดมาก ต้องประกบ ทีมงานทุกคืน ทีมงานบอกไม่ไหวแล้ว ในคืนที่สอง อาศัยว่าเราใจเย็น และปลอบ ทีมงานว่า "เขาอบรม มาได้ ๑๒๐ รุ่น ต้องมีอะไรดีแน่ อดใจรออีกหน่อย" ที่ทุกคนเครียด เพราะถ้างานนี้ ผู้เข้าอบรม รับไม่ได้ ผู้พามา คงลำบาก พอถึงวันนี้ ผมเหมือนยกภูเขา ออกจากอก โล่งและสบายใจมาก เห็นพี่น้องยิ้มได้ โดยเฉพาะ ช่วงเทวดาออกมา เห็นใบหน้า ทุกคนเปิด ดีใจมาก หลายคนบอก จะกลับไปสร้างเครือข่าย สวนส่างฝัน ทางปัตตานี เป็นสัญญาใจของทุกคน เราอาจจะหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้ ไม่มีใครบอกเราได้ นอกจากตัวเราเอง ธรรมชาติ บอกเราว่า เราต้องปรับตัวเอง ขอขอบคุณ ท่านผอ. ปฏิบัติกร พี่น้องชาวอำนาจเจริญทุกท่าน ที่ให้ความเข้าใจ "ปลูกต้นไม้นกเกาะได้บุญ คนกินก็เป็นทาน" ไม่มีใครรู้ว่า จะมาเจออะไร แต่ก็ได้อะไร ไปมากมาย และหลายคน จะกลับไปทำ

ตัวแทนผู้ว่าฯอำนาจเจริญ รองก.ษ. (นายประยูร ทองดี ) การทำงานทุกอย่างมีปัญหาและอุปสรรคทั้งนั้นอยู่ที่เราจะแก้ปัญหาอย่างไร ปลาเป็น ว่ายทวนน้ำ ปลาตายลอยตามน้ำ คนปล่อยตัวเอง ตามกระแส ก็เหมือนปลาตาย

มะยูโซะ มองข้ามคุณค่าที่อยู่รอบบ้านเรา สิ่งรอบตัวมีประโยชน์มากมาย มาที่นี่ได้เห็นคุณค่าของฟาง หญ้า ใบไม้ กิ่งไม้ เคยไปอบรมมา หลายที่ แต่ไม่เหมือน ที่นี่ ให้ความรู้เยอะมาก และไม่ปิดบัง มาอยู่ที่นี่ จึงเข้าใจว่า อยู่ที่บ้านเดินเตะเงินอยู่ทุกวัน

ศรีวิชัย (พ่อครัว) เรื่องอาหาร รู้สึกหนักใจ ต้องหาข้อมูลก่อนอบรมเป็นอาทิตย์ ว่าพี่น้องชาวปัตตานี กินอาหารรสชาติแบบไหน พยายามทำ อาหารใต้ มาให้ทาน แต่ไม่มีใครแตะเลย ปรากฎว่า พี่น้องชาวปัตตานีชอบ หวาน มัน เค็ม กว่าจะปรับอาหารได้ เป็นวันที่สามของการอบรม ผัดเส้นเลยเป็นทางออก ควบกับส้มตำ กินได้ทุกคาบ

ใจเพชร ( พลาภิบาล )ชื่นชมและประทับใจ พี่น้องชาวปัตตานีที่สามารถรับความจริงใจที่ปฏิบัติกรสวนส่างฝัน ได้มอบให้ รู้สึกเห็นอก เห็นใจ พี่น้องทาง ๓ จังหวัดภาคใต้ เป็นอย่างยิ่ง เพราะได้รับทราบ ถึงความทุกข์ ความเดือดร้อน ว่าหลายคนก็มีความเป็นอยู่ ที่ไม่ค่อย จะปลอดภัยนัก และรู้สึกเป็นห่วง ที่วัฒนธรรม ที่ไม่ดีบางอย่าง ของตะวันตก เริ่มเข้ามา ไปทำลาย วัฒนธรรมที่ดีงาม ของสังคมมุสลิมภาคใต้ เช่น การแต่งกาย แบบตะวันตก การนิยมบริโภค สิ่งฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็น เริ่มมีมากขึ้น อยากให้พี่น้องชาวใต้ รักษาวัฒนธรรม ที่ดีงามไว้ และอยากให้ความสันติสุข กลับสู่สังคม พี่น้องชาวใต้อีกครั้ง

อ.นักบุญ (ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกฯ) ดีใจที่ได้ต้อนรับพี่น้องชาวปัตตานี ๒ วันแรก เหมือน ๒ ปี รู้สึกว่าวันเวลามันช้ามาก อึดอัด และเหนื่อย แต่พอหลายวัน บรรยากาศ ดีขึ้นเรื่อยๆ หลายคน พอจะซื้อสินค้า จะถามตัวเองว่า จำเป็นไหม 3 ครั้ง ตายไหม 3 ครั้ง ถ้าจำเป็น จึงตัดสินใจซื้อ ได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ที่ดีงามซึ่งกันและกัน ประทับใจ การแสดง ที่ไม่มีเหล้ายา ก็สนุกกันได้

แห่งไท (ประธานชุมชน) เราทั้งผองพี่น้องกัน คำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน คำตอบอยู่ที่คน มั่นใจสวน ๓ ไร่ สามารถพลิกให้ ปัตตานี เป็นจังหวัด ที่มั่งคั่งได้ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าลงมือทำ "น้ำเหงื่อ คือน้ำมนต์แห่งความสำเร็จ".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ยกระดับส้วมไทย รับประชุมส้วมโลก ก็ไม่ต้องร้อง "ยี้" แล้วซิ !

จากพาดหัวข่าวใน นสพ.เอ็กซ์-ไซท์ ไทยโพสต์ ฉบับที่ ๓๐๙๐ วันที่ ๑๒-๑๓ เม.ย.๔๘ ที่ว่า "ยกระดับส้วมไทย รับประชุมส้วมโลก" โดย กระทรวง สาธารณสุข จะยกเครื่อง สุขาสาธารณะ ทั่วประเทศไทย เตรียมพร้อมจัดประชุม ส้วมโลกในปีหน้า ชูโครงการ "สุขาน่าใช้ ถูกใจ ไทยเทศ" (ดังรายละเอียดของข่าว ดังนี้)

สธ. l "อนุทิน" ปิ๊งไอเดียเจ๋ง สั่ง สธ.ยกเครื่องสุขาทั่วไทยสกัดโรคจากห้องถ่ายทุกข์ เตรียมพร้อมเป็นเจ้าภาพ จัดประชุม "ส้วมโลก" ปีหน้า กรมอนามัยรับลูก ชูโครงการ "สุขาน่าใช้ ถูกใจไทยเทศ" หวังสร้างความประทับใจส้วมไทย ให้นักท่องเที่ยว

เมื่อเวลา ๑๓.๐๐ น.วานนี้(๑๑ เม.ย.) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมช.สาธารณสุข กล่าวภายหลัง เป็นประธาน มอบนโยบาย การทำงาน ให้กับผู้บริหาร และบุคลากรของกรมอนามัยว่า ได้มอบหมายให้กรมอนามัยดูแลในเรื่องของ อาหารปลอดภัย เป็นหลัก เน้นการทำงาน ในระดับจุลภาค มากขึ้น โดยเฉพาะ การดูแลความปลอดภัย ของอาหาร ในโรงอาหารของโรงเรียน ซึ่งถือเป็น แหล่งอาหาร สำคัญของเด็กๆ นักเรียนทั่วประเทศ ซึ่งต้องดูแลไปถึง ความสะอาดของภาชนะ ที่ใช้ประกอบอาหาร ปรุงอาหาร และภาชนะ สำหรับ รับประทานอาหารด้วย นายอนุทินกล่าวอีกว่า สถานที่สำคัญ อีกแห่งหนึ่ง ที่ต้องดูแลความสะอาดอย่างเต็มที่ เพราะหากสกปรก ก็จะทำให้เป็นแหล่งรวม ของเชื้อโรค นานาชนิด นั่นก็คือ ห้องสุขา หรือส้วม โดยตนจะเน้น ให้กรมอนามัย เข้าไปจัดระบบ สุขาภิบาล สิ่งแวดล้อม ของส้วม ในสถานที่ต่างๆ เช่น วัด โรงเรียน ร้านอาหาร ที่มีการประกอบ กิจการอาหาร รวมถึง ส้วมสาธารณะ ที่มีคน ไปใช้บริการมาก ให้มีความสะอาด อย่าให้มีกลิ่นเหม็น รบกวน ตลอดจน ให้หมั่นตรวจตรา ดูแลไม่ให้มีน้ำไหลซึม เฉอะแฉะ ทั้งนี้ เพื่อเตรียม ความพร้อม ในการประชุม ส้วมโลก หรือ World Toilet Expo and Public Toilet Forum ที่ประเทศไทย จะเป็นเจ้าภาพ ในปี ๒๕๔๙ ซึ่งตน จะเดินทางไป ดูงานเรื่องส้วม ที่ประเทศ สาธารณรัฐ ประชาชนจีน รวมทั้งรับมอบธง การเป็น เจ้าภาพจัดประชุมส้วมโลก ในเดือน พ.ค.นี้ เนื่องจาก ในปี ๒๕๔๘ จีนจะเป็นเจ้าภาพ จัดงานประชุม ที่นครเซี่ยงไฮ้

ด้าน น.พ.สมยศ เจริญศักดิ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ห้องสุขามีความสำคัญในแง่การควบคุมโรคติดต่อ จากสิ่งที่ขับถ่าย ออกจาก ร่างกาย ของมนุษย์ ที่ได้แก่ อุจจาระ ปัสสาวะ และอื่นๆ อุจจาระเป็นสิ่งโสโครก ที่สำคัญที่สุด มีความสัมพันธ์กับสุขภาพ และอนามัย ของประชาชน โดยตรง ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น ไม่เจริญตา และเป็นแหล่งแพร่ เชื้อโรคต่างๆ โดยเฉพาะ โรคที่เป็นอันตรายแก่มนุษย์มากๆ เช่น อหิวา ตกโรค บิด ไทฟอยด์ พยาธิลำไส้ต่างๆ และโรคอื่นๆ อีกหลายชนิด ซึ่งเป็นโรคที่บั่นทอนชีวิต และสุขภาพอนามัย ของประชาชน เชื้อโรคเหล่านี้ ออกจากผู้ป่วย ทางอุจจาระ เข้าสู่ร่างกายคน โดยทางอาหาร ทางน้ำบริโภค และการจับต้อง โดยที่ผู้ป่วยถ่ายและเทอุจจาระ ลงในแม่น้ำ ลำคลอง หรือถ่ายอุจจาระ ลงบนพื้นดิน เรี่ยราดทั่วไป ซึ่งถ้าหากไม่มีการกำจัดอุจจาระ ให้ถูกสุขลักษณะแล้ว ก็จะทำให้เชื้อโรค แพร่ติดต่อไปยังผู้อื่น และเกิดระบาดขึ้นได้ง่าย อธิบดีกรมอนามัย ยังกล่าวถึง ภารกิจของ กรมอนามัย ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ เรื่องส้วม ในประเทศไทยว่า ในส่วนของกรมอนามัย มีโครงการ "สุขาน่าใช้ ถูกใจไทยเทศ" เป็นโครงการ ในความรับผิดชอบ ของกลุ่มอนามัย ที่พักอาศัย และสถานประกอบการ สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าที่จะดำเนินการให้สุขา ในแหล่งท่องเที่ยว และที่สาธารณะ ทั่วประเทศไทย ๖๐ % ผ่านเกณฑ์ มาตรฐาน ความสะอาดของสุขา ภายในปี ๒๕๔๘ ทั้งนี้ สุขาจัดเป็นสถานที่ ที่มีความจำเป็น สำหรับประชาชน ไม่ว่าจะเป็น ห้องสุขาสาธารณะ ในสถานีบริการ จัดจำหน่าย น้ำมันเชื้อเพลิง สวนสาธารณะ ศูนย์การค้า และสถานที่อื่นๆ ที่มีประชาชน เดินทางไปมา อยู่เป็นประจำ รวมทั้งมีผลต่อภาพพจน์การท่องเที่ยว ของประเทศ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุขาสาธารณะ ในบริเวณ แหล่งท่องเที่ยว ของชาวต่างประเทศ การดูแลห้องสุขาสาธารณะ ให้มีมาตรฐาน สะอาด ถูกสุขลักษณะ จึงเป็นสิ่งจำเป็น

"ปัญหาที่พบในปัจจุบันก็คือ การให้บริการห้องสุขาในสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่สาธารณะที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว มีปริมาณ ไม่พอเพียง ขาดการดูแลรักษา และซ่อมบำรุง ที่ถูกต้อง การทำความสะอาดยังไม่ได้มาตรฐานในทางปฏิบัติ ผู้ใช้ไม่มีส่วนร่วม ในการช่วยกัน รักษาความสะอาด ทำให้ห้องสุขาเกิดความสกปรก ชำรุด และเป็นปัญหา ต่อเนื่อง ไปอีกหลายๆเรื่อง รวมทั้งปัญหา ด้านสาธารณสุข จากการติดเชื้อโรค จากการใช้ ห้องสุขา ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งในการประชุม ส้วมโลกในปีหน้า นอกจากจะเป็นการ แลกเปลี่ยน ความรู้ ในการยกระดับ ของส้วม ตามหลักสุขาภิบาล และอนามัย สิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการสร้างมาตรฐานของส้วมไทย ให้เป็นสากล มากขึ้นด้วย" น.พ.สมยศ กล่าว

ขณะที่ น.พ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ส้วมไม่ถูกต้อง ว่า การใช้ส้วม ไม่ถูกต้อง อาจทำ ให้เกิดโรคได้ เนื่องจากเชื้อโรค ปนเปื้อน มากับมือ เล็บ ฯลฯ และเข้าสู่ร่างกายได้ เช่น แบคทีเรีย ซึ่งอาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำ ดิน สิ่งมีชีวิต รวมทั้ง ในร่างกายคน ซึ่งปนอยู่ในอุจจาระ แบคทีเรีย มีทั้งชนิดที่ ไม่เป็นอันตราย และเป็นอันตราย ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรค เช่น โรคอุจจาระร่วง วัณโรค โรคติดเชื้อ ฝี หนอง พยาธิ ฯลฯ อยู่ในร่างกายของคนได้ โดยปะปนมากับอาหาร น้ำดื่ม อุจจาระ ของผู้เป็นโรค จับอาหาร เข้าปาก เมื่อพยาธิ เข้าสู่ร่างกาย จะแย่งอาหาร ทำให้ร่างกาย ดูดซึมอาหารได้ไม่เพียงพอ และทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิใบไม้ ในตับ เป็นต้น"

อ่านแล้วก็อดปลื้มไม่ได้

ปลื้มทั้งเรา(ชาวอโศก) ที่ล้ำ-นำสมัยเสมอ ซึ่งนำโดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ที่ชูนโยบายเรื่อง ส้วมสะอาด มาตลอด ทั้งกระตุ้น นโยบายนี้ ขึ้นมาอีก ครั้งล่าสุด เมื่อต้นปี ๒๕๔๘ หลังจาก ที่ชาวเรา ไปร่วม "ซับขวัญชาวใต้ ผู้ประสบภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิ" (๑๐-๒๐ ม.ค.๔๘) ว่า "ให้ ๕ ส กับ ขัดส้วม เป็นงานของชาวอโศก ในทุกแห่ง ทุกชุมชน"

และปลื้มทั้งเขา (นายอนุทิน ชาญ วีรกุล รมช.สาธารณสุข) ที่มีแนวคิดให้ความสำคัญ กับเรื่องส้วมดังข่าว "คิดได้ยังไง" ก็ขอร่วมแสดง ความยินดี ล่วงหน้ากับ "ที่นี่ประเทศไทย ไม่ต้องร้องยี้ กันต่อไป".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนปฐมอโศก - อินทร์บุรี

เมื่อวันออกพรรษาที่ผ่านมา ทีวี ช่อง ๗ สี ได้ขอไปถ่ายทำกิจกรรมการเพาะถั่วงอกไร้สารพิษ ที่ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน สาธิตโดย คุณนิมิตร เทียมมงคล จากละโว้อโศก เป็นวิธีการ เพาะถั่วงอก ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนเพราะสะดวก ง่าย และสะอาด ตัดรากได้ง่าย และเร็วมาก เป็นวิธีที่คุณนิมิตร คิดค้นขึ้น มาเอง สูตรนี้ได้รับฉายา หลายฉายา คุณหมอ ประเวศ วสี ตั้งฉายาให้ว่า ถั่วงอกรักชาติ เพราะ ถั่วงอกขึ้น ต้นเป็นแถวตรง (เคารพธงชาติ)

ใครสนใจวิธีการทำอย่างละเอียด มีวีซีดีวิธีการทำ ติดต่อได้ที่ ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ตู้ ปณ ๖๗ ปทจ.นครปฐม ๗๓๐๐๐ หรือ โทร.ติดต่อ สมณะเสียงศีล ชาตวโร ๐-๑๘๓๕-๖๑๐๘

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ปฏิทินงานอโศก
งานคืนสู่เหย้าฯ (นศ.ปธ.) ครั้งที่ ๒ ณ พุทธสถานสันติอโศก เสาร์ที่ ๑๖ - อาทิตย์ที่ ๑๗ ก.ค.๔๘
งานมหาปวารณา ครั้งที่ ๒๔ ณ พุทธสถานปฐมอโศก ศุกร์ที่ ๔ - เสาร์ที่ ๕ พ.ย.๔๘

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,500 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]

อ่านฉบับย้อนหลัง: