ฉบับที่ 258 ปักษ์แรก 1-15 กรกฎาคม 2548

[01] เดี๋ยวไม่ดี !
[02] "สัจธรรมคืออะไร"
[03] บันทึกปัจฉาสมณะ เดินสายสัมมนาเครือแหชาวอโศก:
[04] บ้านราชฯ จัดสัมมนาจังหวัดนำร่องเกษตรอินทรีย์ ข้าราชการผู้ใหญ่ให้ความสนใจเกษตรอินทรีย์
[05] เคมีเกษตรเพชฌฆาตแฝง ทำแผ่นดินไทยอาบยาพิษ
[06] รายชื่อสมณะ - สิกขมาตุจำพรรษา ปี '๔๘ (๒๒ ก.ค. - ๑๘ ต.ค. ๒๕๔๘)
[07] กลุ่มเกษตรกรบ้านสัก ร่วมกิจกรรมพัฒนา ชุมชนดอยรายปลายฟ้า
[08] "การออกกำลังกาย" ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้อย่างไร?
[09] สสส.ชี้วัยรุ่นไทยเข้าใกล้'เหล้า'มากขึ้น น้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์ช่องทางแรก
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] ข่าว: กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน ปฐมอโศก - อินทร์บุรี
[12] ระดมสมองสมณะ และคุรุ เจาะการศึกษาวิถีพุทธณ อนุสรณ์สถานแดนอโศก
[13] ชายงามรายปักษ์ ชื่อ นายสมศักดิ์ ธำรงค์ธนะกิจ
[14] ปฏิทินงานอโศก



เดี๋ยวไม่ดี !
ใกล้เข้าพรรษาแล้ว
พ่อท่านย่างเข้า ๗๒ ปีแล้ว
บัดนี้เราทำอะไรอยู่
ยังไม่สายเกินไปที่เราจะเริ่มต้นทำความดี
ถ้ายังไม่คิดทำดีให้ยิ่งๆขึ้น เราจะต้องเสียใจภายหลังเมื่อคนดีๆที่เรานับถือ หรือพ่อท่านต้องจากเราไป

แม้ขณะนี้เรายังคิดไม่ออก แต่ถ้าพยายามคิดทำดีให้ยิ่งๆขึ้น ก็ยังดีกว่าไม่คิดทำดีอะไรให้ยิ่งๆขึ้นเลย
ดังนั้นพยายามคิดเสียแต่วันนี้ และวันต่อไปเรื่อยๆ

ทำดีไม่มีเดี๋ยว
เพราะเดี๋ยวจะทำให้เราไม่ดี เมื่อมีความคิดแบบนี้

ลองทำเดี๋ยวนี้ดูซิ! แล้วเราจะค้นพบความดีอีกมากมายที่เราน่าจะทำอย่างน่าอัศจรรย์.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สัจธรรมคืออะไร

เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๗ มิ.ย. ๒๕๔๘ พ่อท่านได้แสดงธรรมที่สันติอโศก เรื่องของปรมัตถ สัจจะกับสมมุติสัจจะตัดเขตตรงไหน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ แก่พวกเรามาก ลองอ่านดูนะ

มนุษย์เป็นสัตวโลกที่ศึกษาค้นหาความจริง สัตว์เดรัจฉานไม่ได้ค้นหาความจริงอะไร มนุษย์มากกว่ามากที่เกิดมาไม่ได้ค้นหาสัจธรรมอะไร ก็คล้ายๆกันกับ สัตว์เดรัจฉาน กิน อยู่ ดื่ม เสพย์ หาความสุขใส่ตัว ตามที่ตัวเองคิดว่าชีวิตควรจะได้ควรจะเป็น แล้วก็ไปหลงอยู่ในโลกธรรม สัตว์เดรัจฉานยังไม่แย่งชิงโลกธรรมเท่ากับมนุษย์ มนุษย์ที่เขายังไม่รู้สัจธรรม ก็ใช้เวลาไป ตลอดชีวิตจนตาย เหมือนกันกับสัตว์เดรัจฉาน แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขกันไป

สัจธรรมคืออะไรเขาไม่รู้เรื่อง ความลึกซึ้งของความเป็นคนเขาไม่รู้ เขาจะรู้ตามค่านิยมโลกๆสามัญสำนึก ว่าเราต้องได้ลาภเยอะๆ ได้ยศ สูงๆ ได้รับการสรรเสริญเยินยอ ได้เสพกาม อย่างวิจิตร อย่างชั้นสูง ตามที่เขาเห็นค่าของโลกธรรมอย่างนั้น เป็นกามก็ตาม เป็นอัตตาก็ตาม เขาก็แสวงหาอย่างนั้นตลอดชีวิต บำเรอตน ไปจนตาย

คนที่ไม่รู้จักการแสวงหาสิ่งที่ประเสริฐให้แก่ชีวิตมีอยู่ในโลกมากกว่าครึ่งของคนในโลก แล้วก็ปล่อยชีวิตไปอย่างนั้น จะแย่งชิงกัน ไม่เข้าใจ ความจริงของบาป-บุญ รู้แต่พอเลาๆ เชื่อบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นเชื่อฟัง ว่าจะต้องพยายามไม่ทำบาป ก็ทำ ทำไปจะมากจะน้อยเท่าที่เขามีโอกาส มีช่องทาง แล้วแต่กิเลสมันบังคับไปตามประสาที่คนพูดกัน ค่านิยมของสังคมของมนุษย์เขารู้กันอย่างนั้น เขาก็เชื่อไปอย่างนั้น

กำลังความเชื่อที่เรียกว่าศรัทธินทรีย์ ไม่มี มีแต่แค่ศรัทธาสามัญเชื่อดายๆ เชื่อไปตามค่านิยมของโลก ว่าอันนี้สวย แล้วเกิดอารมณ์ว่า สวยจริงๆ อันนี้ไม่สวยแล้ว แฟชั่นนี้เปลี่ยนไป ต้องเอาอย่างโน้นจึงสวย ก็เชื่อตามเขาไป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แล้วก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอะไร แน่นอน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

มีคนอีกจำนวนหนึ่งเหมือนกันเยอะ กว่าพวกเรา ที่เชื่อบ้างแล้วก็พยายามแสวงหาสัจธรรม ศาสนาอื่นๆก็มี ก็แสวงหาสัจธรรม ความจริง อะไรเป็นสิ่งที่ดี ที่เกิดมาเป็นคน อะไรเป็นสิ่งที่เกิดสุข เกิดสูง เกิดสร้างสรร เสียสละ อะไรที่จะสร้างได้เป็นสมบัติ ศาสนาที่มี พระเจ้า เขาก็เอาสิ่งที่ดีงามเป็นสมบัติ ถ้าได้สิ่งที่ดีงามที่เรียกว่า กุศลมากเพียงพอ เขาก็ได้ขึ้นสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้า ถ้าเขาทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่งาม เขาก็ถูกขับลงนรกไป เขาก็ถืออย่างนั้น เขาก็แสวงหาอย่างนั้น

ส่วนผู้ที่แสวงหาและก็รู้สัจธรรมลึก เหมือนศาสนาพุทธ รู้จักโลกุตระ รู้จัก ปรมัตถสัจจะ ซึ่งปรมัตถสัจจะกับสมมุติสัจจะ เป็นสัจจะสองอย่าง ที่อาตมาพยายาม จะอธิบายให้พวกเรา ได้เข้าใจ ได้ชัดเจนในสิ่งเหล่านี้

ถ้าเข้าใจสัจจะสองอย่างนี้ไม่ชัดเจน เราก็ปฏิบัติธรรมอย่างไม่รู้ สัจจะสองอย่าง นี้ตัดเขตตรงไหน เป็นปรมัตถสัจจะ ตรงไหน แล้วละเอียด ลงไปอีก เป็น

ปรมัตถสัจจะและจะเป็นอาริยะหรือเข้าเขตโลกุตระกันตรงไหนอีก ก็ค่อยๆฟังตรงนี้ดู

ทีนี้ปรมัตถสัจจะตัดเขตตรงไหน ตัดเขตตรงที่เป็นสัจจะที่หมายเอาความลึกซึ้งของจิต เจตสิก รูป นิพพาน จะต้องมีญาณ หรือมีปัญญาชั้นใน เรียกว่า ญาณทัสนวิเศษ หมายถึง ความรู้ที่รู้ ความจริงตามความเป็นจริง

เป็นคนในระดับเวไนยสัตว์ สัตว์ที่สอนให้รู้จักโลกุตระ รู้จักอาริยะ หรือรู้ ปรมัตถสัจจะได้ มีญาณที่เข้าไปจับรู้จิตเจตสิก รู้อาการของจิต เข้าไปอ่าน อารมณ์เรียกว่าความรู้สึก อ่านจิต อาการที่เป็นอยู่ในจิตเราขณะนี้ เฉยๆ อุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์ หรือฟุ้งซ่าน กำลังฟังธรรม มันก็ไม่ฟัง ได้เที่ยวฟุ้งซ่าน ไปเรื่องอื่นบ้าง ดึงมันมา เดี๋ยวมันก็ไปอีก เราก็อ่านอาการของมัน เห็นว่ามันฟุ้งซ่าน เป็นอย่างนี้ มันไม่ฟัง จะหลับ ถีนะมิทธะ ซึม ง่วง ไม่ตื่นเต็ม ไม่มีสติรับรู้ ลักษณะเป็นอย่างนี้ไหมล่ะ

หรือมันกำลังฟุ้งไปในเรื่องกาม กำลังไปนึกถึงปาท่องโก๋ ไประลึกถึงหน้าแฟน หรือมันฟัง แต่มีตัวกามแทรกแซงผสมอยู่ พยายามดึงมาฟัง มันก็ไปหากาม มันกำลังจะโกรธใคร จะเกลียดใคร จะพยาบาทใครก็แล้วแต่ มันก็มีลีลาอย่างนั้นและ พยาบาทก็อย่างหนึ่ง กามก็อย่างหนึ่ง ถีนะมิทธะก็อย่างหนึ่ง อุทธัจจะก็อย่างหนึ่ง มันมี ลิงคะมีความต่างกัน มันมีนิมิต เครื่องหมายบอกให้เรารู้ มันเป็นนามธรรม นามกาย หรือ เป็นนามรูป แต่มันก็ถูกรู้ได้ด้วยญาณของเรา

(อ่านต่อฉบับหน้า)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สดจากปัจฉาสมณะ
- สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ -

เดินสายสัมมนาเครือแหชาวอโศก

เดือนกรกฎาคมนี้พ่อท่านออกเดินสายไปตามเครือแหทั้ง ๔ ภาค เพื่อร่วมการสัมมนาข่ายแหชาวอโศก เรื่อง "ทิศทางการดำเนินงานของ ข่ายแห ชาวอโศก ปี ๒๕๔๘-๙"

วันที่ ๕-๖ ก.ค.ที่ผ่านมาได้ไปอุดรธานี ที่ชุมชนดินหนองแดนเหนือ โดยมีกลุ่มเครือแหในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนได้ ไปร่วม ขอนแก่น เลย ชัยภูมิ

การสัมมนาข่ายแหชาวอโศก มีตัวแทนคณะกรรมการจากสถาบันบุญนิยมไปดำเนินการประชุม มีหัวข้อในการสัมมนากันดังนี้ แนวทาง การพัฒนากลุ่ม/ชุมชนต้นแบบ (กสิกรร่วมแห), แนวทางการพัฒนาศักยภาพตนเองไปสู่ความเป็นศูนย์บุญนิยมสิกขา, การประสาน ความร่วมมือ ระหว่างแม่ข่าย-ลูกข่าย ในข่ายแหของตนเอง, นโยบายและทิศทางในการพัฒนาเครือแหชาวอโศก เพื่อการแก้ปัญหา และพัฒนา ภายในข่ายแห, การบริหารงบประมาณ ของชุมชนเพื่อการพัฒนา, การกลั่นกรอง เรื่องของวัตถุดิบ, เกณฑ์ชี้วัด ในการเปิด เป็นศูนย์อบรม

มีประเด็นที่พ่อท่านเตือนการหลงอบรมคนอื่น ขณะที่ตนเองก็ยังไม่แข็งแรงพอ "ในกลุ่มไหนก็ตามที่ยังไม่แข็งแรง แล้วคิดจะไปช่วยคนอื่น มันจะเกิด การลืม และหลงได้ทีหลัง หลงตัวแล้วมันก็จะใช้เงิน อยากได้เงิน โดยอ้างเหตุผลไปว่ามันจะได้ทำงานได้ดีขึ้น ถ้าจิตตัวนี้ เกิดเมื่อไรก็ผิดแล้ว เพราะการอบรม เราจะไม่คำนึงถึง การได้เงินหรือไม่ได้เงิน การอบรมคือการสร้างคน ถ้าไปคำนึงถึงการได้เงินเมื่อไร เมื่อนั้น ผิดพลาด ทันที ได้เงินเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น ถ้ามันไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร หากเราได้อบรมคน

เพราะฉะนั้นสถานที่หรือกลุ่มที่จะเป็นหลัก ถ้าพึ่งตนเองรอด นอกจากพึ่งตนเองรอดแล้วยังมีส่วนเหลือ อบรมคนอื่นขาดทุน ก็ยังอบรมได้ อย่างนี้ ก็คือสมบูรณ์แบบ โดยไม่คิดว่ารายได้จากการอบรม เป็นรายได้ของการทำงานอบรม เราจะไม่คำนึงถึงตรงนั้น

ในทิศทางของเรานี่ เราจะต้องสร้างกลุ่มของเราให้แข็งแรง พึ่งตนเองรอด จนมีกำลังพอที่จะเกื้อกูลคนอื่นได้นั่นคือความสมบูรณ์แบบ ที่ถูกต้อง

ขนาดกลุ่มที่แข็งแรงอาตมายังต้องปราม ไม่ว่าจะบ้านราชฯ ศีรษะอโศก ปฐมอโศกก็ตาม ต้องปรามอยู่เรื่อยเลยว่าอย่าหลงเชียวนา ว่าเรา อบรม แล้วได้ค่าอบรม มาเลี้ยงชีพ มาเลี้ยงหมู่บ้าน อย่างนี้ผิดเลยนะ ใช้ไม่ได้เลยนะ ถ้าไปหลงผิดเข้าใจอย่างนั้นก็ตาย ไปพึ่งเงินอบรม เราจะไม่พึ่งเงินอบรม อาตมาจึงอยากจะให้ระมัดระวัง กลุ่มที่ยังไม่แข็งแรง ยังพึ่งตนเองไม่รอด แม้แต่จะไปอบรมก็ยังไม่มีเงินที่จะอบรม ยังไม่คุ้มตัวสมดุลกับการทำงาน ก็เลยไปทำอันโน้นอันนี้มา เพราะความต้องการ อยากได้เงิน มาทำงาน ความอยากได้เงินจะหลอน จะหลอกตนเอง ทำให้ตัวเราเองเกิดกิเลส ผิดพลาดแล้วเกิดอะไรซับซ้อนขึ้นมาได้ นี่ก็ขอเตือน พยายามกันให้ดีๆ"

ช่วงพักการสัมมนามีญาติธรรมที่ไม่ได้ไปร่วมงานอโศกรำลึกได้มาขอรับ "หยาดน้ำใจ" ซึ่งพ่อท่านก็ได้ให้ปัจฉาฯ จัดเตรียมหอบหิ้ว ขึ้นเครื่องบิน มาด้วย กระเป๋าใบใหญ่ มีล้อสำหรับลาก แทนการหิ้ว ที่มีผู้เอามาให้ก็ได้ใช้กันงานนี้

พ่อท่านไม่ได้มาที่ดินหนองแดนเหนือประมาณ ๒-๓ ปีแล้ว มาคราวนี้เห็นต้นไม้ โตขึ้นมาก ดินอุดมสมบูรณ์ดีมาก สังเกตจากมูลไส้เดือน หรือบ้านดิน ของไส้เดือน หรือสำนวนของ อาจารย์อุดมว่า คอนโดมิเนียมไส้เดือน เป็นแท่งสูงขึ้นมาจากดินกระจายอยู่โดยทั่ว ที่มีอยู่ หนาแน่น คล้ายตึกสูงๆ ในเมืองกรุง ก็มาก จึงกดบันทึกภาพ ไว้หลายภาพ พ่อท่านมาเห็น ก็แนะให้เก็บภาพไว้อีก ผู้เขียนเติบโตมากับ สังคมเมือง ไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อน อย่างมากก็กองเล็กๆ เดี๋ยวนี้ยิ่งเห็น ไส้เดือนยากเต็มที แต่ที่ดินหนองแดนเหนือนี่ อุดมสมบูรณ์มาก ท่านหนักแน่น เปรยเล่นๆว่าน่าจะมีคนเก็บ เอามูลไส้เดือนนี้ไปขาย ในอนาคตอาจจะมีคน เอาไปขายกันจริงๆก็ได้ แต่ตัวไส้เดือนนั้น รู้มานานแล้วว่ามีคนเอาไปขายกัน

นอกจากต้นไม้สูงใหญ่และไส้เดือนดินมีอุดมสมบูรณ์แล้ว บ้านดิน กุฎีดินก็มีให้เห็นขึ้นมาหลายหลัง ที่เพิ่งจะทำเสร็จใหม่ๆ มุ่งหมาย เพื่อให้ พ่อท่าน ได้ฉลอง แต่กลิ่นของขี้มัน หรืออะไรนี่แหละ ยังมีอยู่ ห้องน้ำด้านข้าง ก็ยังไม่เสร็จ อาจารย์ชูชาติ นาแสวง เจ้าของพื้นที่เดิมผู้ดูแล ดินหนองแดนเหนือ เป็นหลัก จึงได้นิมนต์

พ่อท่านไปพักที่ศาลามุงแฝกแทน เกรงว่ากลิ่นของขี้มัน จะทำให้พ่อท่านแพ้ แล้วจะจามไอได้

ที่ยังเหมือน ๒-๓ ปีก่อนก็คือญาติธรรม ชาวอุดรฯไม่มากอย่างในอดีต ตั้งแต่ผู้เขียน ไม่ได้เป็นปัจฉาฯ สมัยที่กองทัพธรรมออกเดินสาย อบรม ข้าราชการครู เมื่อเกือบ ๑๗-๑๘ ปีที่ผ่านมา ญาติธรรมอุดรฯ เป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก เป็นธรรมดาเมื่อคนมาก ความขัดแย้งก็มาก แล้วที่สุด ก็แตกกัน ไม่ร่วมรวมกันมา หลายปีแล้ว แม้ครั้งนี้มา ก็ยังไม่เห็นญาติธรรม รุ่นเก่าก่อนนั้น แต่อย่างน้อย การมีกิจกรรมอบรม มีชุมชน มีสมณะมาร่วมทำกิจกรรมด้วย ที่สุดครั้งนี้ได้ใช้สถานที่ ดินหนองแดนเหนือ เป็นที่สัมมนาเครือแห ต่อจากนี้ไป ก็หวังใจว่า สถานการณ์ ของกลุ่มอุดรฯ จะดีวันดีคืนขึ้นเรื่อยๆ

มีเกร็ดเล็กๆในช่วงการสัมมนา คณะกรรมการสถาบันบุญนิยมที่ดำเนินการจัดการสัมมนา มีความเห็นต่างกันเกี่ยวกับการจัดรายการ ให้พ่อท่าน ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ได้แจ้งกันมาแล้วว่า การสัมมนานี้ เน้นคนใน เน้นเนื้อ จึงไม่อยากจะให้จัดรายการ ให้พ่อท่านเอื้อเผื่อคนนอก เช่นนักศึกษาราชภัฏฯ หรือญาติโยมใหม่ๆ ที่มีผู้ไปชวนกันมา อีกทั้งไม่อยาก จะให้พ่อท่าน เหนื่อยมากไป หรือจัดให้พ่อท่าน มีรายการ น้อยที่สุด เพื่อให้พ่อท่านได้พักมากๆหน่อย จึงอยากจะตัดรอบ ไม่จัดรายการเอื้อไออุ่น เพื่อเอาเวลาให้ผู้ร่วมสัมมนา ได้ใช้เวลาคุยกัน ได้เต็มที่ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ในเมื่อเขาก็มากันแล้ว ญาติธรรมเขาก็เรียกร้อง อยากให้มีรายการเอื้อไออุ่นด้วย ถ้าไม่จัดให้เขา ดูจะแข็งเกินไป เห็นใจญาติธรรมที่นานๆ จะได้พบพ่อท่าน สักที ส่วนเรื่อง การประชุมสัมมนา สามารถปรับเลื่อนได้ ไม่มีปัญหา ทั้งสองฝ่าย ได้มาปรึกษา ผู้เขียนเองก็ตัดสินใจยาก เพราะต่างก็มีเหตุผล ที่ดีด้วยกัน ใจหนึ่งก็เห็นด้วย กับฝ่ายแรก อีกใจหนึ่ง ก็เห็นใจญาติธรรม ต่างจังหวัด ที่สุดแล้ว วันนั้นก็ตกลงกันว่า จัดเอื้อไออุ่น แต่ก็อยากจะสนับสนุนแนวคิดของฝ่ายแรก ฝากญาติธรรม หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการจัดงานต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไป ถ้าพยายามที่จะถนอมพ่อท่าน หรือใช้พ่อท่านให้น้อยที่สุดได้ก็จะดี อย่างงานฉลองหนาว ท่าน อาจารย์หนึ่ง มีแนวคิดว่าอยากให้พ่อท่าน ได้ไปพักให้มากที่สุด

วันที่ ๑๒-๑๓ ก.ค.ที่ผ่านมา พ่อท่านเดินทางไปที่ฮอมบุญอโศก อ.เด่นชัย จ.แพร่ เพื่อร่วมสัมมนาข่ายแหชาวอโศกภาคเหนือ มี เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ น่าน อุตรดิตย์ กำแพงเพชร นครสวรรค์ ส่วนพเยาว์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ผู้เขียนไม่เห็นมีญาติธรรมไปร่วม

การเดินทางครั้งนี้พ่อท่านมีอาการมึนหัวเล็กน้อย ผู้เขียนดูไม่ออกจริงๆ เพราะระหว่างเดินทาง เห็นพ่อท่านอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ตลอด การเดินทาง ทั้งบนเครื่องบิน จากกรุงเทพฯ ไปลำปาง และนั่งรถต่อจากลำปางไปแพร่ เมื่อไปถึงฮอมบุญอโศก มีเสียงนิมนต์พ่อท่าน พักก่อน คราวนี้พ่อท่านไม่ปฏิเสธ เหมือนครั้งอื่นๆที่ผ่านมา บอกแต่ว่าไม่เป็นอะไร แต่คราวนี้ พ่อท่านตอบรับ ระหว่างเดินไปที่กุฎี จึงเปรยว่า รู้สึก มึนๆหัว ตอนนั่งมาในรถ ผู้เขียนสันนิษฐานว่า อาการมึนหัว อาจมาจากการที่พ่อท่าน ใช้สายตามาก ในขณะที่รถเคลื่อนไหว ทำให้การเพ่ง สายตา เพื่อจะอ่านตัวหนังสือ ต้องใช้มากกว่าปกติธรรมดา

พ่อท่านพักนอนไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาร่วมฟังการประชุมต่อ ก่อนรายการเอื้อไออุ่นญาติธรรมได้มาขอรับ "หยาดน้ำใจ" และช่วงเวลาอื่นๆ ก็มีทยอยกันมาขอ

ฮอมบุญอโศก พ่อท่านเพิ่งจะมาเป็นครั้งแรก พืชพรรณไม้ดูอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากเป็นป่าเดิมและยังมีป่าเขาอยู่โดยรอบ กุฎีดิน และ ห้องน้ำดิน เพิ่งเสร็จหมาดๆ ทันให้พ่อท่าน ได้ฉลอง สีแดงของดิน ยังติดมือพ่อท่าน เมื่อไปถูกเข้า แมลงหวี่และแมลงตัวเล็กๆ จากป่า บินมา เกาะตามเนื้อตัว ดินสีอิฐแดงดูนุ่มเหนียว ติดเท้าเหนอะหนะ ไม่แห้งแข็ง เหมือนภาคอีสาน แต่มูลไส้เดือน มีน้อยกว่าที่ ดินหนองแดนเหนือ เห็นเพียง กองเล็กๆไม่กี่แห่ง ป่าเขาที่นี่ ยังอุดมสมบูรณ์กว่า ที่วังน้ำเขียวมาก อากาศดูโล่งโปร่ง ไม่อับทึบ หรือชื้นแฉะ อย่างที่ภูผาฟ้าน้ำ เดิมเป็น ไร่ข้าวโพด ที่ชาวบ้านมาถากถางทำกิน คุณอำนวยและครอบครัว ได้มาลงต้นสัก และมะขามไว้ส่วนหนึ่ง บริเวณ ข้างศาลา ส่วนกลาง จึงแวดล้อมไปด้วยต้นสัก แม้แต่เสา และคานของศาลา ก็ใช้ไม้สัก ที่มีในพื้นที่ ขนาดเท่า โคนขาและแข้ง คุณอำนวย และ ครอบครัว บริจาคให้ส่วนกลาง ๙๐ ไร่ พ่อท่านเทศน์เชียร์ให้ญาติธรรม มาอยู่รวมกัน เป็นชุมชน

การสัมมนาครั้งนี้พ่อท่านแทบไม่ได้มาร่วมประชุมด้วยเลย คณะกรรมการจัดการสัมมนาดำเนินการกันเอง แล้วรายงานสรุปสุดท้าย ของผล การสัมมนาทั้งหมด ให้พ่อท่านทราบ ก่อนแสดงธรรมเท่านั้น ก็ดีนะ ถ้าการสัมมนาข่ายแหอื่นๆ จะทำอย่างนี้บ้าง ก็จะช่วยถนอม การใช้งานพ่อท่าน ลงไปด้วย อย่าคิดว่า ดูเหมือนพ่อท่านแข็งแรงดี คงไม่มีปัญหา ทางสุขภาพอะไรง่ายๆ ก็ขนาดออกกำลังกายทุกวัน พักผ่อน อย่างพอเพียง พ่อท่านยังมีปลายประสาทเท้าอักเสบ หรือมึนหัวได้เลย อื่นๆที่นอกไปจากตาเห็น ก็คงจะมีโอกาส เกิดได้ทั้งนั้น

ท้ายนี้มีเรื่องเกร็ดขำๆสองเรื่อง เรื่องแรกกับตัวผู้เขียนเอง งานนี้ท้องเสียถ่ายสามครั้ง ทั้งๆที่อาการท้องเสีย ไม่เคยเป็นมานานแล้ว เนื่องมาจาก ฉันโยเกิร์ตมะพร้าว ของคุณไพโรจน์ อัคสีวร ผู้ที่มีความคิด ทวนกระแสในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องอาหาร และ การดูแลสุขภาพ ที่เด่นชัดมาก คือต่อต้าน การบริโภคถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง คุณไพโรจน์ จึงหาวิธีนำเอามะพร้าว มาทำ โยเกิร์ต ทดแทนเต้าหู้ โดยคั้นกะทิสดๆ แล้วใส่ผลไม้ลงไป ที่ดีที่สุดคือ สับปะรด แล้วปล่อยทิ้งไว ้ให้เกิดจุลินทรีย์จากผลไม้ วันนั้น ใช้ขนุนสีแสด เป็นส่วนผสม ลงในกะทิสด ผู้เขียนไม่รู้มาก่อน ว่าเป็นโยเกิร์ต ที่ทำจากมะพร้าว เห็นว่าเป็นโยเกิร์ตช่วยย่อย ก็ตักมาฉัน หนึ่งแก้ว แล้วก็ดื่มก่อนอาหาร จนหมด รู้สึกว่ามีรสเปรี้ยว และเค็มนิดๆ แปลกไปจากที่เคยฉัน โยเกิร์ตทั้งหลาย ก็ไม่คิดว่าจะท้องเสียอะไร เพราะโดยปกติรสเปรี้ยว ผู้เขียนสู้ได้ ไม่เคยมีปัญหากับอาหารรสเปรี้ยวเลย ฉันอาหารไปได้สักครึ่งหนึ่ง ก็มีอาการผอืดผะอม และ ปวดถ่ายขึ้นมา จึงรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ แทบไม่ทัน ถ่ายออกมาเป็นน้ำไหลจ้อกๆเลย หลังจากนั้น อีกสักครึ่งชั่วโมงต่อมา มีอาการอีก คราวนี้ รีบเดินอย่างไร ก็ไม่ทันแล้ว ต้องรีบนั่งลงปล่อย ที่ข้างต้นไผ่ ดีที่บริเวณนั้นไม่มีใครอยู่เลย และดีที่เป็นป่า ถ้าอยู่ในเมือง ไม่รู้จะเอาหน้า ไปไว้ที่ไหน และดีที่วันนั้น ไม่ไปออกอาการ บนเครื่องบิน

ผู้เขียนไม่ได้โทษคุณไพโรจน์เลย กลับชื่นชมเขาด้วยซ้ำที่พยายามคิดหาวิธีให้ชาวอโศก พึ่งพาตนเอง แทนการพึ่งพาตลาด หรือนิยม อะไร ไปตามกระแส ซึ่งที่สุดแล้ว ไม่พ้นไปจาก ข่ายเครือทุนนิยม อีกทั้งหลายคน ไม่มีอาการท้องเสียอย่างนี้ มีบ้างที่บอกมีอาการท้องไม่ดี คงจะ อยู่ที่ไฟธาตุ ภายในร่างกาย ของแต่ละคนด้วย คราวต่อไป หากจะฉัน คงต้องลดปริมาณ อาจจะสัก ๑/๓ แก้วก็พอ

อีกเรื่องหนึ่งขณะรอขึ้นเครื่องบินที่สนามบินลำปาง หญิงฝรั่งคนหนึ่งเห็นพ่อท่านและพวกเรา โดยมีญาติธรรม ได้ทยอยกันมา กราบพ่อท่าน กับพื้นสนามบิน เขาคงไม่เคยเห็น ภาพแบบนี้ เขาจึงมองดูพ่อท่าน และพวกเราด้วยความสนใจ จนถึงขั้นยกกล้องขึ้น ทำท่าขออนุญาต ถ่ายภาพพ่อท่าน ซึ่งพ่อท่านก็พยักหน้า ตอบรับ เมื่อเครื่องบิน มาลงดอนเมือง ขณะกำลังรอรถ ที่คุณแดนดิน ไปขับออกมาจากลานจอดรถ หญิงฝรั่งคนนั้น ได้ตรงเข้ามาถามพ่อท่าน เป็นภาษาอังกฤษ Can you speak English? ซึ่งพ่อท่านยิ้มตอบไปว่า No ไม่ดังนัก พอได้ยิน แล้วเธอคนนั้น ก็ขยับมาหาผู้เขียน แล้วถามด้วย ประโยคเดียวกัน ผู้เขียนส่ายหน้าปฏิเสธเช่นกันว่า No เธอจึงขยับหันไปถามท่านหนักแน่น ต่อ ผู้เขียนไม่ทันหันไปมอง ว่าเป็นอย่างไร คิดว่า เดี๋ยวเธอก็คงไป แต่ที่ไหนได้ ยืนพูดอะไรเร็วมากอยู่เป็นพัก จึงหันไปมองเห็นท่านหนักแน่น ยิ้มพยักหน้าตอบรับ จึงสันนิษฐานว่า ฝรั่งเขาคงเข้าใจว่า ท่านหนักแน่นตอบรับว่า พูดภาษาอังกฤษได้ เธอจึงพูดอะไรยาว ท่านหนักแน่น ก็ยังไม่ได้ตอบอะไรสักที ด้วยไหวพริบปฏิภาณ เธอพอจะเข้าใจแล้วว่า ที่จริงแล้วท่านหนักแน่น เพียงพยักหน้าตอบรับ โดยมารยาทเท่านั้น ไม่ได้เข้าใจภาษาอังกฤษที่เธอพูดหรอก หรือไม่ก็เธออาจจะพูดอะไรจนหมด อย่างที่คิดจะพูด แล้วจึงลาจากไปก็ได้ ถ้าจะให้เดา เธอคง พูดถึงพ่อท่าน ด้วยความชื่นชมว่า ดูมีความอิ่มเอิบ มีราศี นี่ผู้เขียนก็เดาเอานะ เพราะฟังศัพท์ภาษาที่เธอพูดไม่รู้เรื่องเลย สังเกตจาก อาการกิริยาของเธอแล้ว สรุปเข้าใจเอาเอง ถ้าจะให้สรุป ในเรื่องนี้ก็คือ การไม่รู้อะไรเลย ก็กลายเป็นเรื่องดีได้เหมือนกัน

วันที่ ๑๙-๒๐ ก.ค.นี้พ่อท่านจะไปร่วมประชุมสัมมนาข่ายแหที่สีมาอโศก แล้วจะเดินทางต่อไปเข้าพรรษาที่ราชธานีอโศก ซึ่งจะมีการสัมมนา ข่ายแห ๒๕-๒๖ ก.ค. จากนั้น ๒๘-๒๙ ก.ค. จะมาร่วมประชุม ข่ายแหที่ปฐมอโศก และเดือนหน้า วันที่ ๖-๗ ส.ค.จะไปประชุมข่าย แห ที่ทักษิณอโศก สุดท้ายขอย้ำจุดประสงค์เดิม ของการจัดประชุมสัมมนา ข่ายแหชาวอโศก ไม่ได้เน้นคนนอก เนื้อหาเน้นคนใน.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


บ้านราชฯ จัดสัมมนาจังหวัดนำร่องเกษตรอินทรีย์
ข้าราชการผู้ใหญ่ให้ความสนใจเกษตรอินทรีย์ แก้ปัญหาความยากจนได้

ปุ่ยเคมีแพงและทำลายดิน
ปุ๋ยชีวภาพถูกและสร้างดิน
๒๐ จังหวัดพร้อมนำร่อง

เมื่อวันที่ ๒๑ - ๒๓ มิถุนายน มีการประชุมสัมมนาจังหวัดนำร่องเกษตรอินทรีย์ ณ ชั้นสองตึกศูนย์สูญ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก ดำเนินการโดย คณะกรรมการ ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ซึ่งมีพลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นประธาน มีเจ้าหน้าที่จากกรมต่างๆ ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ เจ้าหน้าที่จากกระทรวงมหาดไทยเข้าสัมมนาจำนวน ๗๕ คน ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ มีการอบรม เกษตรกรในโครงการสู่เศรษฐกิจพอเพียง (จปฐ ปีพ.ศ. ๒๕๔๗) ของสำนักงาน พัฒนาชุมชน จังหวัดอุบลราชธานี จึงมีกิจกรรมบางรายการ ที่ผู้เข้าอบรมทั้งสองคณะ ได้ฟังร่วมกันคือ การฟังธรรมของพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ และรายการภาคค่ำ กิจกรรม การสัมมนา เกษตรอินทรีย์ มีดังนี้

วันอังคารที่ ๒๑ มิ.ย.
เวลา ๐๗.๕๐ น. ผู้เข้าสัมมนาเคารพธงชาติ ณ บริเวณเวทีธรรมชาติหน้าเฮือนศูนย์สูญ เสร็จแล้วรับประทานอาหารเช้า เวลา ๐๘.๕๐ - ๐๙.๑๕ น. เป็นพิธีเปิด และปฐมนิเทศโดย พลตรีจำลอง ศรีเมือง หลังจากนั้นรับฟังการอภิปรายเรื่อง หลักการเกษตรอินทรีย์ นิเวศวิทยา เกษตรผสมผสาน ไร่นาสวนผสม วนเกษตร โดย ดร.อรรถ บุญนิธี ดร.สมคิด ดิสถาพร และ คุณชนวน รัตนวราหะ เวลา ๑๑.๓๐-๑๒.๓๐ น.รับประทาน อาหารกลางวัน

กิจกรรมช่วงบ่ายเริ่มในเวลา ๑๓.๐๐ น. ฟังการอภิปรายเรื่องดิน, การปรับปรุงดิน, การควบคุมศัตรูพืช โดยคุณขวัญดิน สิงห์คำ ดร. เสียงแจ๋ว พิริยะพฤนต์ และ คุณพัชรี มีนะกนิษฐ์ ดำเนินรายการโดย คุณชนวน รัตนวราหะ หลังจากฟังการอภิปราย เป็นกิจกรรม ส่วนตัว เข้าบ้านพัก เวลา ๑๗.๒๐ น. เคารพธงชาติ แล้วจึงรับประทาน อาหารเย็น

รายการภาคค่ำ ตั้งแต่เวลา ๑๘.๓๐ - ๒๐.๐๐ น. จัดที่บริเวณชั้นล่างเฮือนศูนย์สูญ ฟังการสัมภาษณ์ปฏิบัติกร ในหัวข้อเรื่อง ความสำเร็จ ของเกษตรกร ตัวจริง ค่ำนี้ เป็นประสบการณ์ ของแม่ครั่ง มีทรัพย์ เกษตรกรจากจังหวัดมุกดาหาร ผู้ประสบผลสำเร็จ ในการปลูก ผักหวานป่า และพ่อแรงผัก เบ้าทอง เกษตรกรจาก จังหวัดยโสธร จากคนที่อยู่ในภาวะล้มละลาย และไม่มีพื้นฐาน ความรู้ทางการเกษตร เมื่อผ่าน การอบรม สัจธรรมชีวิต ได้สวมหัวใจเหล็ก ฝ่าฟัน ทุ่มแรงกายแรงใจ กับอุปสรรค บนพื้นฐานของชีวิต ถือศีล ๕ ลดละอบายมุข จนประสบผลสำเร็จ ทางการเกษตร มีชีวิตตามหลักบุญนิยม กินน้อย ใช้น้อย ที่เหลือจุนเจือสังคม ดำเนินรายการโดย คุณแห่งไท กมลรัตน์ เวลา ๒๐.๑๕ - ๒๐.๓๐ น. สวดมนต์ นั่งสมาธิ แล้วกลับที่พัก.

วันพุธที่ ๒๒ มิ.ย.
เช้าวันใหม่บทเพลงป่าลั่นดังกระหึ่มขึ้น นั่นคือสัญญาณของการเตรียมตัวเข้าสู่การเรียนรู้ในวันที่สอง ในเวลา ๐๖.๐๐-๐๘.๐๐ น. รับฟัง การบรรยายธรรม เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง, การพึ่งตนเอง และการละ เลิกอบายมุข โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ หลังจากนั้น เข้าแถว เคารพธงชาติ แล้วรับประทานอาหารเช้า

เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น. ฟังการอภิปรายเรื่องจุลินทรีย์กับเกษตรอินทรีย์ โดย ดร.อรรถ บุญนิธี, คุณเกริกพงศ์ พงศ์ไตรธรรม, ท่านสมณะ เสียงศีล ชาตวโร ดำเนินรายการ โดยคุณชนวน รัตนวราหะ เสร็จแล้วรับประทานอาหารกลางวัน ช่วงบ่าย เดินทางไปหมู่บ้านศีรษะอโศก ชมและฟังคำชี้แจง จากเกษตรกร ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ด้วยเครื่องอัดเม็ด, ชมพืชไร่ และพืชสวน ที่ทำแบบเกษตรอินทรีย์, ชมการปลูกเห็ด และเยี่ยมร้านค้าชุมชน แล้วเดินทางกลับ ทำกิจกรรมส่วนตัว เวลา ๑๗.๓๐ - ๑๘.๓๐ น. เคารพธงชาติ แล้วรับประทานอาหารเย็น รับฟัง รายการ สัมภาษณ์ปฏิบัติกร ในหัวข้อเรื่อง ความสำเร็จของเกษตรตัวจริง

เวลา ๑๘.๓๐ - ๒๐.๐๐ น. ในวันนี้เป็นประสบการณ์ชีวิตที่เคยหลงใหลล่มจมจากอบายมุขหวยเบอร์ และการเที่ยว กลางคืน แต่เมื่อพบกับ แสงสว่างในชีวิต พลิกผันตัวเอง มาปฏิบัติธรรม จึงมีความผาสุก บนเส้นทางคุณธรรมนำชีวิต -เศรษฐกิจ พอเพียง และประกอบอาชีพ ปลูกพืช สวนอินทรีย์ ที่จังหวัดศรีสะเกษ ของคุณประสิทธ์ และคุณประศาสตร์ นิตอินทร์ หลังจากนั้น ฟังประสบการณ์ การสร้างดิน ปลูกพืชหลากหลายได้งาม โดยใช้เวลาไม่นาน ที่สวนไวพลัง ของหมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก โดยคุณงามบุญ ชาวหินฟ้า ดำเนินรายการ โดย คุณตรงเตือน นาวาบุญนิยม

เวลา ๒๐.๑๕ - ๒๐.๓๐ น. สวดมนต์ และนั่งสมาธิก่อนเข้านอน.

วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ มิ.ย.
เวลา ๐๕.๐๐ น. สัณญาณเพลงป่าลั่นดังขึ้น เป็นเวลากิจกรรมส่วนตัว ในเวลา ๐๖.๐๐ - ๐๗.๕๐ น. ฟังธรรมะกับพ่อท่านสมณะ โพธิรักษ์ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง, การพึ่งตน และการละ เลิกอบายมุข ต่อจากวันที่ผ่านมา เช้านี้พ่อท่านได้อธิบายชีวิตที่มีวรรณะ ๙ และ มรรคผล ของชาวพุทธแท้ๆ ที่จะสร้างสรรสังคม ให้เจริญรุ่งเรือง หลังจากฟังธรรมเสร็จแล้ว เคารพธงชาติ และ รับประทานอาหารเช้า หลังจากนั้น เดินทางไปกองอำนวยการ ป่าดงนาทาม กองพลทหารราบที่ ๖ เพื่อศึกษาดูงาน แล้ว เดินทางกลับมาศึกษาฐานงาน ในชุมชน ของหมู่บ้าน ชุมชนราชธานีอโศก คือฐานงานแปรรูปถั่ว ซีอิ้ว เต้าเจี้ยว, ปุ๋ยอินทรีย์, บ้าน สุขภาพ และร้านค้าชุมชน เมื่อรวมตัวกันที่ชั้นล่าง เฮือนศูนย์สูญ คุณธำรงค์ แสงสุริยจันทร์ ได้บรรยายถึง ความเป็นมา ของเครือข่ายกสิกรรม ไร้สารพิษแห่งประเทศไทย สถาบันบุญนิยม และประวัติ หมู่บ้าน ชุมชนราชธานีอโศก หลังจากนั้น พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ รองคณะกรรมการ เกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ได้ตอกย้ำ เรื่องการทำ เกษตรอินทรีย์ให้จริง แล้วเข้าสู่รายการ ประเมินผลการสัมมนา ตั้งแต่เวลา ๑๑.๓๐ - ๑๒.๑๕ น. จึงรับประทานอาหารเที่ยง แล้วเดินทางกลับ

ความรู้สึกของผู้เข้าร่วมสัมมนามีดังนี้
คุณธำรงค์ แสงสุริยจันทร์ "กรรมการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ คณะกรรมการเกษตรอินทรีย์แห่งชาติแต่งตั้งโดย รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกษตรฯ เริ่มมีมา ตั้งแต่รัฐมนตรีคนก่อน มีคณะกรรมการ อยู่ประมาณ ๒๐ คน โดยมีท่านพลตรีจำลอง ศรีเมืองเป็นประธาน คณะนี้จะมีการประชุม โดยเฉลี่ย ประมาณ เดือนละ ๑ ครั้ง เป้าหมายก็คือ ทำอย่างไร จะให้เกษตรอินทรีย์ ดำเนินไปได้ ก็ได้มีการเชิญ ผู้ที่เกี่ยวข้อง และผู้ทำงานด้านเกษตรอินทรีย์ มาร่วมเป็นคณะกรรมการ ทั้งด้านราชการ ด้านเอกชน เวลาประชุม ก็ไม่ได้ประชุมเฉพาะ กรรมการ จะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมด้วย ส่วนคณะกรรมการ ก็มีหน้าที่ตัดสิน ลงมติในเรื่องต่างๆ ในช่วงแรกของ ปีนี้ก็มีการ รับนโยบาย จากรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกษตรฯ ว่า น่าจะมีการจัดจังหวัด นำร่องขึ้นมา เกี่ยวกับเรื่องเกษตรอินทรีย์ ก็เลยสอบถาม ไปทางจังหวัดต่างๆ ว่าจังหวัดใดบ้าง ที่พร้อมจะทำเรื่องนี้ มีผู้สมัครเข้ามา ประมาณ ๒๐ กว่าจังหวัด จึงกำหนดแผนว่า จะทำอะไรบ้าง

ครั้งแรกเชิญผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดมาดูงาน กสิกรรมไร้สารพิษในวันที่ ๑๖ - ๑๘ พ.ค. ๒๕๔๘ ที่หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก ครั้งนี้ก็เชิญเฉพาะ จังหวัดที่นำร่อง มาพบปะ พูดคุยกันว่า แนวทาง หลักการ วิธีการ จะทำกันอย่างไร มีการเชิญผู้ที่มีความรู้ ทางด้านเกษตรอินทรีย์ มาเล่า ให้ฟัง ตั้งแต่ผู้ที่ ทำมากับมือ ชาวบ้าน หรือ นักวิชาการ เพื่อให้เกิดแนวความคิด กลับไป เขาจะได้ทำแผน เกษตรอินทรีย์ ให้เป็นตัวอย่าง ในปีนี้ ปีหน้าอาจจะมีจังหวัดนำร่อง มากขึ้นก็ได้ ซึ่งมีหลายจังหวัด ที่ได้ทำมาบ้างแล้ว ถือว่าได้มาแลกเปลี่ยน ประสบการณ์กัน ก็อยาก ให้เขามาเห็น การสัมมนาครั้งนี้ เป็นจังหวะดี ที่กำลังมีการอบรมเกษตรกร เขาก็ได้มาเห็น องค์ประกอบของบ้านราชฯ ว่าอยู่กันอย่างไร ทำกันอย่างไร เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เป็นตัวอย่าง ซึ่งเขากลับไป เขาจะนำสิ่งที่พบเห็น ประยุกต์ใช้ ในแต่ละท้องถิ่น"

คุณวุฒิพงษ์ กสินัง หัวหน้าฝ่ายแผนงานพัฒนาการเกษตร สำนักงานเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จังหวัดพิษณุโลก "ได้รับมอบหมาย ให้มางานนี้ ข้อที่ ๑ เขาก็บอกไว้แล้ว ต้องมีใจชอบ พอมีใจชอบ เข้ามาเห็นการปฏิบัติธรรม และเห็นการปฏิบัติจริง เห็นสภาพสิ่งแวดล้อม หลายเรื่อง ได้รับความรู้เพิ่มเติม ก็อย่างที่วิทยากรบอกว่า ต้องมาด้วยใจ และคิดถึงสิ่งที่จะให้ มันมีความสุข สมองก็คงจะโปร่ง คิดอะไร ออกได้เรื่อยๆ ก่อนมาที่นี่ ได้จัดทำแผน เป็นขั้นตอน ในการที่จะก้าวไปสู่ เกษตรอินทรีย์ ผมว่าคุณธรรม และเกษตรอินทรีย์ เชื่อมโยงกัน หลายคนอาจจะมองว่า ทำให้เป็นอินทรีย์แล้วจะปลอดภัย แต่หลายคน อาจจะลืมว่า การที่จะมาได้ถึงตรงนั้น ต้องมีอะไรที่อยู่ในใจ และ จะต้องมา สะดุดอะไร สักอย่างหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ผมว่า เป็นตัวอย่าง ที่จะให้ โดยไม่คาดหวังทางด้านจิตใจสูงมาก"

คุณสุพร สมวงศ์ สำนักงานเกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราช "มาสัมมนาครั้งนี้ มีบรรยากาศที่ดี เรื่องอาหารการกินปกติก็ทานเจ อยู่บ่อยๆ ก็ไม่มีปัญหา การได้มาสัมผัส ได้มาเห็น เป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะสำหรับ ผู้ที่ยังไม่เข้าใจชัดเจน ประทับใจบรรยากาศภาพรวมทั้งหมด การดำเนินงาน ที่จังหวัดของผม เรื่องของเกษตรอินทรีย์ ก่อนมาก็ได้ทำไว้แล้ว มีการประชาสัมพันธ์ การจัดกลุ่มองค์กรเกษตรกร ในปีนี้ ท่านผู้ว่าฯ ท่านดำเนินการ เน้นเรื่องนี้โดยตรง"

คุณปฏิมา คำอินทรา ส่วนบริหารศัตรูพืช สำนักพัฒนาสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร "มาที่นี่รู้สึกประทับใจชุมชน ทั้งสิ่งแวดล้อม และคนที่อาศัย มีอัธยาศัยดี เห็นแล้วไม่น่าเชื่อ ยังมีสังคมแบบนี้ อยู่ในประเทศไทย ชื่นชมคนที่เขามาอยู่ได้แบบนี้ มาเห็นแล้วก็คิดว่า เราสามารถ นำไปประยุกต์ใช้ได้ เมื่อเช้าฟังธรรมะกันเพลินเลย รู้สึกซึมซับ แม้จะเลยเวลา เราก็เฉยๆ จนกระทั่ง ท่านทัก เพราะมันจริง อย่างที่ท่านเทศน์ คนเราแค่คิดดี ทำดี พูดดี และมีโอกาสก็เผื่อแผ่ คนที่ด้อยกว่า และทำอะไรที่ไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น ก็ถือว่าวิเศษ แต่ท่านกับชุมชน ทำได้มากกว่านี้อีก การที่ได้มาปฏิบัติที่นี่ ก็จะนำไปใช้ จะลดการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เพิ่มการเห็นแก่ผู้อื่นมากขึ้น ประทับใจกิจกรรม เกษตรอินทรีย์ดีมากๆ เลย และการที่ปฏิบัติกร ที่ลงมือทำจริงๆ และประสบความสำเร็จ มาเล่าให้ฟัง เป็นสิ่งที่ดี เป็นตัวอย่าง ที่ควรปฏิบัติตาม ชื่นชมเขามาก เขาเป็นคนที่ไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย กล้าฝ่าฟันอุปสรรค น่าเป็นเยี่ยงอย่าง เป็นอย่างยิ่ง"

คุณสมหมาย ครุธกูล นักวิชาการส่งเสริม สำนักงานเกษตรจังหวัดปทุมธานี "เรื่องเกษตรอินทรียนี่เราส่งเสริมมาส่วนหนึ่ง แต่เป็นอินทรีย์ ขั้นแรก ขั้นลดสารเคมี ยังไม่ถึงขั้น อินทรีย์ร้อยเปอร์เซนต์ ผมว่ามันค่อนข้างยาก เพราะที่ปทุมเป็นแหล่งของโรงงาน น้ำก็ใช้น้ำของ ชลประทาน ซึ่งก็ยังมีสารพิษอยู่ ก็พยายามให้เกษตรกร เขาเข้าใจ และพยายาม จะปรับเปลี่ยน ตอนแรกมันอาจจะยาก แต่ต่อไปผมคิดว่า เกษตรกร เขาก็เริ่มเล็งเห็น ในส่วนนี้แล้ว ทั้งผู้ผลิตเอง ทั้งผู้ซื้อเอง ก็เริ่มสนใจ เนื่องจากว่าเรื่องสุขภาพ และเรื่องอะไร หลายๆ อย่าง ถ้าเรา สามารถทำได้มันเป็นประโยชน์ ต่อมนุษย์ทั้งหลาย ที่จะมีสุขภาพ และเศรษฐกิจดีขึ้น สภาพแวดล้อมต่างๆ ก็จะปรับเข้าสู่สภาพเดิม มาที่นี่ ผมได้ประโยชน์กับตัวเอง คือได้แนวคิด ที่จะนำไปใช้ในดำเนินชีวิต และการทำงาน"

คุณนงรัตน์ นิลพานิชย์ สถาบันวิจัยข้าว กรมวิชาการเกษตร "การร่วมสัมมนาครั้งนี้เรื่องความรู้ที่ได้อย่างที่วิทยากรพูด ก็พอมีพื้นมาบ้าง แต่การได้มาเห็น ก็คือการใช้จุลินทรีย์ ซึ่งเราไม่เคย ได้สัมผัสว่า มีวิธีการทำในรูปแบบ ที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในจำนวนมากได้อย่างไร ก็ขอชื่นชม เพราะว่านอกจาก จะเป็นหลักการแล้ว ก็ยังปฏิบัติได้จริง มันเป็นเรื่องไม่ยาก ที่จะทำ แล้วถ่ายทอดให้เกษตรกร และก็ไม่ยาก เกินไป ที่เกษตรกรจะทำ ส่วนผลถ้าทางนี้ได้ทำ จนเกิดผล ก็เป็นสิ่งพิสูจน์อยู่แล้ว ในตัวเอง ประทับใจว่า ที่เอามาพูดให้ฟัง ก็คือสิ่งที่ทำ อยู่ในนี้ ใช้ในนี้ มาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร เรื่องนอนเสื่อก็ไม่ลำบาก เพราะอยู่ที่บ้าน ก็ไม่ได้นอนที่นอนหนาๆ แต่เรื่องที่ไม่ชินคือ เรื่อง นอนในมุ้ง แต่ก็ทนได้ ประทับใจมาก คือเรื่องอาหาร อร่อยมาก และชื่นชม การทำแปรรูป ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว ใช้ในชุมชน มีปริมาณมาก และ ดูสะอาดสะอ้าน"

คุณกำธร วงศ์ศุภลักษณ์ กรมชลประทาน "ประทับใจและได้อะไรหลายๆ อย่าง แต่จริงๆอยากรู้การเตรียมหัวเชื้อ การทำจุลินทรีย์ เวลา ในกิจกรรมนี้ น้อยไปหน่อย ผมว่าถ้าเอาเวลา ที่ออกไปข้างนอก มาศึกษาเรื่องนี้ในชุมชน จะดีกว่า เพราะเป็นเรื่องที่จะนำไปใช้กับ เกษตรกร ผมประทับใจ คนในชุมชนนี้ มีน้ำใจทุกคน เหมือนชีวิตเรา ที่อยู่บ้านนอก กิจกรรมตั้งแต่ เช้าจรดเย็น ก็ดีหมด เรื่องอาหารผมก็รู้สึกสบายมาก เพราะผมก็พยายามลดละเนื้อสัตว์ ตอนนี้ยังทานปลาอยู่บ้าง และก็ทานมังสวิรัติ เป็นร้อยวัน หลังจากนี้ไป ผมว่าจะไปศึกษา กับท่าน สมณะเสียงศีล ที่ปฐมอโศก แล้วจะมาศึกษากับ คุณแก่นฟ้าที่ศีรษะอโศก จะไปเจาะเนื้อหา ไปนอนอยู่กับเกษตรกรจริงๆ เลย ท่านทำ อย่างไร เราก็จะไปทำอย่างนั้น เราไม่ใช่นายแล้ว เราต้องลงให้ติดดิน กลับไปบ้าน จะรื้อดินให้หมดเลย จะปลูกเกษตรอินทรีย์ เพื่อเป็น ตัวอย่าง ในหมู่บ้าน ใครเวียนไปเวียนมา ก็จะแนะนำเขา ปลูกผักกินเอง ค่อยๆ ทำไป เราต้องมาพัฒนาตรงนี้ ถ้าอาหารดี ร่างกายก็ดี"

ดร.อรรถ บุญนิธี "การสัมมนาได้ประโยชน์และสถานที่ก็เหมาะสม ผมเคยมาเยี่ยมที่นี่หลายครั้ง ดีใจว่ามีเรื่องก้าวหน้ามาก ของการใช้ น้ำหมักฯ ผมมาครั้งแรก ยังไม่ค่อยมี คนทำน้ำหมักเลยนะ สองสามปีมานี่ดีมาก สิ่งที่ผมเคยมาบอกให้ กลับเติบโต ขอให้ทำให้ก้าวหน้า ยิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ"

พลตรีจำลอง ศรีเมือง ประธานคณะกรรมการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ "ในเรื่องของการเกษตรวาระแห่งชาติคือ ต้องสนับสนุน ให้ประชาชน หันมาทำ เกษตรอินทรีย์ ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เพื่อแก้ปัญหาความยากจน ของเกษตรกรรายย่อย ขณะนี้ได้กำหนด ๒๐ คณะกรรมการส่งเสริม เกษตรอินทรีย์แห่งชาติ มีหน้าที่ให้คำแนะนำ แก่กระทรวงเกษตร ถึงเรื่องการที่จะทำให้ในเมืองไทย หันมาทำ เกษตรอินทรีย์ แทนเกษตรเคมีให้มากขึ้น เพราะจนแต้มแล้ว ปุ๋ยเคมีราคาแพงขึ้นๆ และที่สำคัญ เคมีทำให้ดินเสีย ถ้าแม้นไม่ใช้ เกษตรอินทรีย์ มาแก้ เกษตรกรรายย่อย ที่มีรายได้น้อย เขาเสียหาย อยู่ไม่ได้แน่ ยิ่งตอนนี้น้ำมันขึ้นราคา ปุ๋ยเคมีก็ต้องขึ้นเยอะแยะด้วย เพราะว่า มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ได้จากการสกัด จากน้ำมัน จึงมีความจำเป็น คณะกรรมการนี้ ตั้งมานาน ก่อนที่น้ำมันจะขึ้นราคา ก็เป็นการเตรียมตัวไว้อย่างชนิด ที่ได้เวลาพอดี ท่านรัฐมนตรีฯ ให้ช่วยเหลือ เรื่องเกษตรอินทรีย์ โดยให้คำแนะนำ แก่กระทรวงเกษตรฯ ในที่ประชุม ว่าทำจังหวัดนำร่อง ในเรื่องของเกษตรอินทรีย์ จะทำอย่างไร เพื่อจะขยายผลต่อไป เราจึงมีการประชุมกันต่อ ก่อนที่จะถึงตรงนี้ เมื่อพูดถึงเกษตรอินทรีย์ ต้องทำความเข้าใจ ให้ตรงกัน คือเกษตรอินทรีย์ ที่ไม่มีสารเคมีใดๆเจือปน เมื่อตกลงกันอย่างนี้ เราก็จะยืนยันว่า ต่อไปว่า สิ่งที่เราจะทำ ต้องเป็นเกษตรแบบนี้ ส่วนชาวบ้าน ถ้าเขาไม่มั่นใจ ในเกษตรอินทรีย์ อย่างที่เราทำ เขาจะใช้เคมีบ้าง ผสมกับ อินทรีย์แล้วค่อยๆ ลดเคมีลง จากการที่เขาพิสูจน์ด้วยตัวเขาเอง และเปลี่ยนอัตราส่วนของเขา

นี่คือสิ่งที่เราตรงไปตรงมาคืออินทรีย์ ร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงเกิดการขยายผล ขณะนี้ได้กำหนด ๒๐ จังหวัด เป็นจังหวัดนำร่อง ทำโดยจังหวัด ที่จะเอาจริงเอาจัง ในเรื่องเกษตรอินทรีย์ กระทรวงเกษตรฯ จะต้องให้ความสนับสนุน และอีก ๑ จังหวัด ทำโดยทหาร จึงมีการมาดูงาน ที่ราชธานีฯ ในช่วงงานเพื่อฟ้าดิน วันที่ ๑๖ - ๑๘ พฤษภาคม ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ ของกระบวนการ เกษตรอินทรีย์ ที่เอาผู้ใหญ่ระดับสูงสุด ของจังหวัด ๗๕ จังหวัด มาดูงานครึ่งวัน แล้วก็ประชุมกันต่อ ๓ ชั่วโมง ซึ่งมีการพูดคุยต่อว่า ให้ผู้ใหญ่ที่สนใจ เรื่องเกษตรอินทรีย์ ในจังหวัด ที่จะเป็นมือเป็นไม้ ให้ผู้ว่าฯ จึงพูดคุยกับรัฐมนตรีว่าขอให้ผู้ที่สนใจ ในเรื่องเกษตรอินทรีย์ แม้มีหน้าที่ ที่ไม่ตรงกับเกษตรแต่ขอให้ใจรัก หรือ ใจรักด้วยเป็นเกษตรด้วย ก็เลยมีการประชุม สัมมนาคราวนี้ โดยกระทรวงมหาดไทยจัดมา จังหวัดละ ๒ คน กระทรวงเกษตรฯ จัดผู้ประสานงานกับกรม อีกจังหวัดละคน ในการมาที่ราชธานีอโศก ก็เป็นความคิดเห็น ของคณะกรรมการ ที่เสนอไปแล้วว่า ต้องมาอยู่ ในชุมชน ที่เขามีเกษตรอินทรีย์ ต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้ว เพื่อจะได้ซึมซับวิถีชีวิต ของชาวเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่เช้า จรดเย็นถึงค่ำ มากิน มานอนอยู่กับเขา เพราะฉะนั้น การสัมมนาคราวนี้จะแปลก มีการระบุต้องเข้ามานอนในชุมชนเท่านั้น ไปนอนที่อื่นไม่ได้ และมีการตรวจ การนับกันว่า มีใครขาด ใครหายบ้าง มีข้าราชการที่เอาใจใส่เยอะ และเอาจริง เอาจังกับเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าปัญหาอุปสรรคมันเยอะ ผมจะบอก กับเขาว่า เอาหละ ถึงแม้ว่าทำไปแล้ว ไม่ได้ผลเต็มที่ อย่างที่เรา ตั้งใจ ก็ไม่เป็นไร เราก็จะได้ภาคภูมิใจว่า อย่างน้อยในช่วงหนึ่งของชีวิต เรามีส่วนช่วยเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มที่แล้ว ดีกว่าที่เราจะปล่อยให้เวลา สูญเสียไป ปล่อยให้ชาวบ้าน ทำเกษตรเคมี อยู่อย่างเดิม มันเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกัน ผมไม่ได้หวังอะไรมากมาย อย่างน้อยมันก็ดีกว่าเก่า ตั้งเยอะแยะ มีโครงการมากระตุ้น เกษตรอินทรีย์มาอย่างนี้ ได้เห็น การทำงาน ของพวกเรา ก็ขอชื่นชม".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เคมีเกษตรเพชฌฆาตแฝง
ทำแผ่นดินไทยอาบยาพิษ

วงเสวนาหวั่นสินค้าเกษตรเป็นตัวแพร่โรคภัย เหตุเพราะแผ่นดินไทยอาบไปด้วยสารเคมี แนะต้องสร้างจิตสำนึกให้เกษตรกร

วงเสวนาหวั่นสารพิษในสินค้าเกษตรตัวแพร่โรคระบาดแบบใหม่ เนื่องจากแผ่นดินไทยอาบด้วยสารเคมีเป็นพิษ โดยแนะสร้างจิตสำนึกที่ดี ต่อเกษตรกรก่อน สนับสนุน ผลิตผักปลอดสารพิษขาย พร้อมให้ความรู้ผู้ผลิตและผู้บริโภค เพื่อให้ตระหนักถึงพิษภัยที่แฝงมา ในรูปของ อาหารที่บริโภคทุกวัน

สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล จัดประชุมวิชาการระดับชาติ เรื่อง "แผ่นดินอาบยาพิษ" โดยกล่าวถึงการใช้สารเคมี จาก การเกษตร ซึ่งเป็นเพชฌฆาตหน้าใหม่ ที่วงการแพทย์ ต้องคำนึง ประกอบด้วยบุคลากรทางการแพทย์ และเกษตรกรเข้าร่วมงาน

นายแพทย์อำพล จินดาวัฒนะ สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ (สปรส.) กล่าวว่า สุขภาพที่ดีนั้นจะหมายรวมทั้งกาย จิต สังคม และ ปัญญา รวมถึงบุคคล ครอบครัว ชุมชน และหมายความถึง การป้องกัน การรักษา การฟื้นฟู ซึ่งจะเห็นได้ว่า สภาพแวดล้อม เป็นปัจจัย สำคัญ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ ในการบริโภคอาหาร ขณะนี้ สถานการณ์พิษภัย จากอาหารนี้ อาจจะอยู่ในขั้นที่เรียกว่า แผ่นดินอาบยาพิษ ซึ่งมาจากเคมีเกษตร ที่อยู่นอกการบริการของระบบสาธารณสุข และเมื่อหันมาดูตลาดของเคมีเกษตร จะพบว่า อย่างในปี ๒๕๔๔ มีการนำเข้าสารเคมี ในประเทศไทยถึง ๓.๕ ล้านตัน ในรูปของปุ๋ยและสารเคมี ป้องกันกำจัดศัตรูพืช ซึ่งสารเคมี ป้องกัน กำจัดศัตรูพืชนี้ เป็นสารเคมีเข้มข้น และมีมูลค่า ประมาณ ๒๐,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบเท่ากับทรัพย์สินของบิลล์ เกตส์ และ งบประมาณ ประจำปี ของประเทศไทยเลยทีเดียว

นายแพทย์อำพลกล่าวอีกว่า ปรากฏการณ์วันนี้คือ ยังมีการใช้สารเคมีมากและใช้ซ้ำซ้อน เพราะว่าเป็นสารเคมีตัวเดียวกัน แต่มีชื่อการค้า หลายชื่อ จึงใช้ซ้ำกันไป โดยที่เกษตรกร ไม่รู้ผลที่แน่นอน และพิษภัยร้ายแรง ที่ตามมา ปัญหาเคมีการเกษตร จึงเป็นการระบาดของโรค แบบใหม่ และยังมีรายงานต่างประเทศพบว่า เป็นสาเหตุของหลายโรค ทั้งมะเร็งผิวหนัง เต้านม และโรคเหล่านี้ เราไม่มีวัคซีนหรือ ยารักษา ที่สำคัญคือ เรายังไม่มีความรู้ เรื่องนี้มากนัก

นายแพทย์ประจักษ์ เค้าสงวนสิน แพทย์จาก รพ.สงขลา หนึ่งในผู้เข้าร่วมเสวนากล่าวถึงแนวทางของโรงพยาบาลตนเอง ในการควบคุม คุณภาพอาหารว่า เริ่มที่การสร้าง เครือข่ายเกษตรกร ผู้ปลูกผัก ให้หันมาลดการใช้สารเคมี เป็นเกษตรอินทรีย์ และขอความร่วมมือ จากทุกฝ่ายเช่น ฝ่ายโภชนาการ ในโรงพยาบาล ช่วยติดต่อประสานงาน คุยกับเกษตรกรว่า ต้องการหาวัตถุดิบต่างๆ ที่มีความปลอดภัย มาปรุงอาหาร ซึ่งไม่เพียงแต่อาหาร ประเภทผัก แต่จะรวมไปถึง การผลิตอาหาร ประเภทเนื้อสัตว์ และอาหาร ทะเล อีกทั้งยังมี การลงพื้นที่ ไปดูว่า แหล่งผลิต ต้องสะอาดและปลอดภัย มีมาตรฐานจริง จึงจะสามารถนำอาหารเหล่านี้ เข้าสู่ครัวของโรงพยาบาลได้ ทั้งนี้ เป็นเพราะ เกษตรกร ไม่ได้ผลิต เพื่อพอกิน พออยู่ ทำให้มีการนำสารเคมีสารพัดชนิด เข้ามาใช้ แม้แต่ในผักบุ้ง หรือ แตงโม ที่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ฝังในเมล็ด ตั้งแต่ตอนปลูก ทำให้เราต้องบริโภคสารพิษ เข้าไปทุกวัน แต่อาหาร ก็เป็นปัจจัย ๔ ที่ขาดไม่ได้ แนวทางการทำอาหาร ให้ปลอดภัย ในโรงพยาบาลสงขลา จึงเริ่มจากการมองเห็น สิ่งใกล้ตัวก่อน

นายวิสรรค์ ทองเต่าหมก ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรปลอดสารพิษ ต.ไผ่รอบ จ.พิจิตร เล่าว่า เกือบเสียชีวิตด้วยการใช้สารเคมี ในการทำเกษตร ทำให้หันมาคิด เรื่องการผลิตผัก ปลอดสารพิษ โดย เริ่มจากการผลิตเพื่อบริโภค ภายในครัวเรือนก่อน จากนั้นจึงพยายามรวมกลุ่ม กับเพื่อนเกษตรกรที่สนใจ และเข้าไปขอข้อมูล จากหน่วยงานราชการ การหาตลาด ในช่วงแรกนั้น ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากต้องส่งขาย รวมกับ ผักอื่นๆ ที่มีสารเคมี จึงคิดว่าจะทำอย่างไร ให้มีตลาดปลอดสารพิษ และเข้าไปขอความรู้ จากเกษตรอำเภอ แนะนำให้ส่งผัก ที่กลุ่ม ผลิตได้ ไปตรวจในห้องทดลอง ของโรงพยาบาล เพื่อขอใบรับรองว่า ผักที่ผลิตปลอดสารพิษ ได้มาตรฐาน เมื่อได้รับใบรับรอง จากโรงพยาบาล จึงทำให้สามารถ สร้างตลาดขึ้นมาได้.

(จาก นสพ.เอ็กซ์-ไซท์ ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ ๑๖-๑๗ เม.ย.๔๘)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


รายชื่อสมณะ - สิกขมาตุจำพรรษา ปี '๔๘ (๒๒ ก.ค. - ๑๘ ต.ค. ๒๕๔๘)
พุทธสถานสันติอโศก
๑. สมณะพิสุทธิ์ พิสุทโธ
๒. สมณะเมืองแก้ว ติสสวโร
๓. สมณะกอบชัย ธัมมาวุโธ
๔. สมณะชนะผี ชิตมาโร
๕. สมณะณรงค์ จันทเสฎโฐ
๖. สมณะซาบซึ้ง สิริเตโช
๗. สมณะเบิกบาน ธัมมนิยโม
๘. สมณะหินแก่น นมวังโส
๙. สมณะหม่อน มุทุกันโต
๑๐. สมณะฟ้าไท สมชาติโก
๑๑. สมณะกล้าจริง ตถภาโว
๑๒. สมณะร้อยดาว ปัญญาวุฑโฒ
๑๓. สมณะดงเย็น สีติภูโต
๑๔. สมณะชัดแจ้ง วิจักขโณ
๑๕. สมณะใจเด็ด จิตตคุโณ
๑๖. สมณะธรรมทาบฟ้า รวิวัณโณ
๑๗. สมณะปองสูญ โฆสิตธัมโม

พุทธสถานสีมาอโศก
๑. สมณะน่านฟ้า สุขฌาโน
๒. สมณะสร้างไท ปณีโต
๓. สมณะฝุ่นฟ้า อัคคชโย
๔. สมณะคำจริง วจีคุตโต
๕. สมณะร่มบุญ ฉัตตปุญโญ
๖. สมณะพันเมือง ภทันโต
๗. สมณะพอจริง สัจจาสโก
๘. สมณะธาตุดิน ปฐวีรโส
๙. สมณะฟ้าแสง ปภากโร

พุทธสถานศาลีอโศก
๑. สมณะณรงค์ ชินธโร
๒. สมณะเลื่อนลั่น ปาตุภูโต
๓. สมณะเน้นแก่น พลานีโก
๔. สมณะสมชาย ตันติปาโล
๕. สมณะก้อนหิน โชติปาสาโณ
๖. สมณะมือมั่น ปูรณกโร
๗. สมณะหนึ่งดี สุยิฏโฐ
๘. สมณะเด็ดแท้ วิเสสโก
๙. สมณะเมฆฟ้า นภมังคโล

สังฆสถานหินผาฟ้าน้ำ
๑. สมณะกลางดิน โสรัจโจ
๒. สมณะเลื่อนฟ้า สัจจเปโม
๓. สมณะแก่นผา สารุปโป
๔. สมณะนาทอง สิงคีวัณโณ
๕. สมณะตรงมั่น อุชุจาโร

สังฆสถานทักษิณอโศก
๑. สมณะดินดี สันตจิตโต
๒. สมณะเลื่อนลิ่ว อรณชีโว
๓. สมณะพอแล้ว สมาหิโต
๔. สมณะผองไท รตนปุญโญ
๕. สมณะดินทอง นครวโร
๖. สมณะลั่นผา สุชาติโก

พุทธสถานปฐมอโศก
๑. สมณะกรรมกร กุสโล
๒. สมณะคือใคร อโสโก
๓. สมณะเสียงศีล ชาตวโร
๔. สมณะมั่นแจ้ง พุทธชาโต
๕. สมณะกล้าดี เตชพหุชโน
๖. สมณะคิดถูก ทิฏฐุชุกัมโม
๗. สมณะเก้าก้าว สรณีโย
๘. สมณะลือคม ธัมมกิตติโก
๙. สมณะมองตน เมตตจิตโต
๑๐. สมณะนานุ่ม กัสสโก
๑๑. สมณะนาไท อิสสรชโน
๑๒. สมณะถนอมคูณ คุณกิตตโณ
๑๓. สมณะหินกลั่น ปาสาณเลโข
๑๔. สมณะบินก้าว อิทธิภาโว
๑๕. สมณะข้าฟ้า ฐานรโต
๑๖. สมณะหินเพชร ธัมมธีโร
๑๗. สมณะใต้ดาว เหฏฐานักขัตโต

พุทธสถานราชธานีอโศก
๑. สมณะรัก โพธิรักขิโต
๒. สมณะเดินดิน ติกขวีโร
๓. สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ
๔. สมณะแดนเดิม พรหมจริโย
๕. สมณะแก่นเมือง เกตุมาลโก
๖. สมณะเด่นตะวัน นรวีโร
๗. สมณะเทินธรรม จิรัสโส
๘. สมณะกล้าตาย ปพโล
๙. สมณะคมคิด ทันตภาโว
๑๐. สมณะแก่นเกล้า สารกโร
๑๑. สมณะดงดิน สุนทโร
๑๒. สมณะดาวดิน ปฐวัตโต
๑๓. สมณะฝนธรรม พุทธกุโล
๑๔. สมณะหนักแน่น ขันติพโล
๑๕. สมณะฟ้ารู้ นโภคโต
๑๖. สมณะถักบุญ อาจิตปุญโญ
สามเณรด่วนดี รักษ์บุญนิยม

พุทธสถานศีรษะอโศก
๑. สมณะผืนฟ้า อนุตตโร
๒. สมณะเด็ดขาด จิตตสันโต
๓. สมณะถ่องแท้ วินยธโร
๔. สมณะกำแพงพุทธ สุพโล
๕. สมณะผิว พาลสุริโย
๖. สมณะชาติดิน ชัญโญ
๗. สมณะดวงดี ฐิตปุญโญ
๘. สมณะชุ่มบุญ กิตติปาโล
๙. สมณะแก่นหล้า วัฑฒโน
สามเณรกระบี่ฟ้า นาวาบุญนิยม

พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ
๑. สมณะบินบน ถิรจิตโต
๒. สมณะร่มเมือง ยุทธวโร
๓. สมณะนึกนบ ฉันทโส
๔. สมณะลานบุญ วชิโร
๕. สมณะดินไท ธานิโย
๖. สมณะโพธิสิทธิ์ โพธิสิทโธ
๗. สมณะหินมั่น สีลาปากาโร
๘. สมณะวิเชียร วิชโย
๙. สมณะลึกเล็ก จุลลคัมภีโร
๑๐. สมณะชุบดิน วิชชานันโต
๑๑. สมณะสยาม สัจจญาโณ
๑๒. สมณะสู่สูญ สุญญคโต
๑๓. สมณะแด่ธรรม ธัมมรักขิโต
๑๔. สมณะฟ้าตื่น นมักกาโร
๑๕. สมณะเข็มเหล็ก อโยมโน
๑๖. สมณะอ้วน อภิมันโต
สามเณรขาวดี พุทธชาตินิยม

สิกขมาตุสันติอโศก
๑. สิกขมาตุจิตรา แซ่ลี้
๒. สิกขมาตุเสริมขวัญ วรรณาบุตร
๓. สิกขมาตุสดใส อโศกตระกูล
๔. สิกขมาตุปราณี ธาตุหินฟ้า
๕. สิกขมาตุบุญจริง พุทธพงษ์อโศก
๖. สิกขมาตุฝนเย็น อโศกตระกูล
๗. สิกขมาตุมาลินี โภคาพันธ์

สิกขมาตุปฐมอโศก
๑. สิกขมาตุผุสดี สะอาดวงศ์
๒. สิกขมาตุมาบรรจบ เถระวงศ์
๓. สิกขมาตุอ่านตน อโศกตระกูล
๔. สิกขมาตุบุญแท้ ปลาทอง
๕. สิกขมาตุพูนเพียร ชาวหินฟ้า
๖. สิกขมาตุมนทิพย์ เรืองศรี
๗. สิกขมาตุใจขวัญ เบญจโศภิษฐ์

สิกขมาตุราชธานีอโศก
๑. สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน อโศกตระกูล
๒. สิกขมาตุต้นข้าว อโศกตระกูล
๓. สิกขมาตุผาแก้ว ชาวหินฟ้า
๔. สิกขมาตุแสงฝน อโศกตระกูล

สิกขมาตุศีรษะอโศก
๑. สิกขมาตุจินดา ตั้งเผ่า
๒. สิกขมาตุพึงพร้อม นาวาบุญนิยม
๓. สิกขมาตุทองพราย ชาวหินฟ้า

สิกขมาตุสีมาอโศก
๑. สิกขมาตุหยาดพลี อโศกตระกูล
๒. สิกขมาตุนวลนิ่ม ชาวหินฟ้า
๓. สิกขมาตุเป็นหญิง อโศกตระกูล

สิกขมาตุศาลีอโศก
๑. สิกขมาตุรินฟ้า นิยมพุทธ
๒. สิกขมาตุสร้างฝัน อโศกตระกูล
๓. สิกขมาตุเทียนคำเพชร อโศกตระกูล

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กลุ่มเกษตรกรบ้านสัก
ร่วมกิจกรรมพัฒนา ชุมชนดอยรายปลายฟ้า

เสาร์ที่ ๔ มิ.ย.๒๕๔๘ นางเพลิน จำปานคร ได้ผู้นำกลุ่ม เกษตรกรบ้านสัก อ.เทิง จ.เชียงราย จำนวน ๓ หมู่บ้าน (หมู่๓ หมู่ ๑๕ และหมู่ ๒๑) มาร่วมพัฒนา และเยี่ยมชมชุมชนฯ เป็นครั้งที่ ๒ ซึ่งนางเพลินเป็น "ฅนของแผ่นดิน" ที่เคยเข้าร่วมอบรมสัจธรรมชีวิต จากศูนย์อบรม ดอยรายปลายฟ้า มาจากหมู่ที่ ๑๕

เกษตรกรที่วันนี้ส่วนใหญ่ไม่เคยเข้ารับการอบรมสัจธรรมชีวิตแต่อย่างใด แต่มาเพราะเกิดความประทับใจ ในความเปลี่ยนแปลง ไปในทางที่ดี ของฅนของแผ่นดิน ซึ่งหลังจาก จบการอบรมไปแล้ว เขาได้นำเอาความรู้ที่ได้รับเช่น การทำปุ๋ยชีวภาพ น้ำพ่อ-น้ำแม่ การทำน้ำยา อเนกประสงค์ใช้เอง การทำสบู่ ทำ ๕ ส. ลด-ละ-เลิกอบายมุขได้ เป็นผลทำให้เกิด การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ แล้วยังนำไป แจกจ่าย ให้ทดลองใช้ ได้ผลดี จึงศึกษาทดลอง และทำใช้กันต่อ ๆ ไปนอกจากนี้ ชาวชุมชนฯ และสมณะ ได้ออกพื้นที่ เยี่ยมเครือข่าย เป็นการให้กำลังใจ หลังจบการอบรม ก็ได้ไปต่อยอด สอนเพิ่มเติมให้ เป็นผลทำให้ผู้ที่ ยังไม่เคยมาชุมชนฯ เกิดความประทับใจ ในธรรมะ และสนใจ ที่จะศึกษาวิถีชีวิต แบบเรียบง่าย ของชาวชุมชนฯ จึงมีการรวมตัวกัน ขอมาทำกิจกรรม ช่วยพัฒนาชุมชนในวันนี้ เพื่อเป็นการ ตอบแทนความรู้ ที่เกษตรกรได้รับประโยชน์ เป็นการทำบุญ ด้วยแรงกาย มาดูวิถีชีวิต ชาวชุมชนฯ ซื้อของใช้ที่จำเป็นราคาถูก จากร้านค้า ชุมชน เกษตรกรที่มาวันนี้ มีประมาณ ๕๐ คน เด็ก ๑๐ คน ซึ่งล้วนเป็นลูกหลาน ของเกษตรกรเอง ซึ่งมีกิจกรรมดังนี้

ภาคการงาน ฟันกิ่งไม้ สางกิ่งไผ่ ดายหญ้า ปลูกกระเจี๊ยบ เก็บฟืน ทำความสะอาด ๕ส. เอาปุ๋ยลงนา
อาหารกาย ทานข้าวร่วมกับชาวชุมชน ๒ มื้อ
อาหารใจ ร่วมกันชมภาพยนตร์ เรื่อง บางระจัน และฟังเทศน์จาก ส.ดวงดี ฐิตตปุญโญ, ส.เลื่อนฟ้า สัจจเปโม และ ส.อ้วน อภิมันโต

ความคิดเห็นของผู้มาร่วมกิจกรรม มีดังนี้
นางติ๋ว ผาบพิชวงค์ กลุ่มบ้านสักสันเจริญ หมู่ ๓ รวมตัวกันประมาณ ๓๐ คน เป็นกลุ่มที่รับการถ่ายทอดความรู้จากคุณเพลิน และร่วม กิจกรรม ที่ชุมชนฯ ออกไปเยี่ยมเครือข่ายฯ เกิดความประทับใจมาก จึงนำไปทำใช้เองในครัวเรือน เช่นที่ทำอยู่ตอนนี้คือ ปุ๋ยชีวภาพ และน้ำยาอเนกประสงค์ ใช้แล้ว เกิดผลดีจริง

นางพรรณ โกดดา บ้านสักกลางพัฒนา หมู่ ๒๑ มีสมาชิกกลุ่ม ๓๐ คน ได้รับงบประมาณจาก ธ.ก.ส. สนับสนุนเพื่อเป็นกิจกรรม ในวโรกาส ครบรอบ ๗๒ พรรษา สมเด็จพระบรมราชีนีนาถ มีกิจกรรม ทำปุ๋ยชีวภาพ น้ำยาอเนกประสงค์ ฯลฯ และมีกลุ่มสัจจะออมทรัพย์

นางสุภานี นนทวงษ์ ครูจากโรงเรียนอนุบาลบ้านงิ้ว โรงเรียนในโครงการ ๑ อำเภอ ๑ โรงเรียนในฝัน ได้นำความรู้ในการทำน้ำยา อเนกประสงค์ น้ำชีวภาพ ไปสอนนักเรียน จึงอยากมาศึกษา วิถีชีวิตชุมชนดอยรายฯ

นางศรีเพ็ญ มุงมา บ้านสัก๎สันติราษฏร์ หมู่ ๑๕ กิจกรรมที่กลุ่มทำตอนนี้นอกจากน้ำยาอเนกประสงค์ ก็มี สบู่ ยาสีฟัน น้ำหมักชีวภาพ ปุ๋ยหมัก

นางชด ลอยมา บ้านป่าไผ่ หมู่ ๖ เป็นกลุ่มที่ตั้งทีหลัง มาร่วมกิจกรรม เพราะเห็นตัวอย่างจากกลุ่มอื่น ๆ จึงเรียนรู้และทำใช้บ้าง เป็นผลให้ ได้รับประโยชน์ จึงเกิดความประทับใจ และอยากมาเห็น ชุมชนดอยราย เผื่อถ้ามีโครงการอบรม "สัจธรรมชีวิต" ครั้งต่อไป ก็จะมาศึกษาอย่างจริงจัง.

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


"การออกกำลังกาย"
ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้อย่างไร?

- กิ่งธรรม รายงาน -

เราได้ยินคำว่า "การออกกำลังกายทำให้ร่างกายแข็งแรง" มาจนชินเหมือนกับเป็นคำพูดธรรมดา และคำพูดที่ว่า "ยิ่งออกแรง ยิ่งได้แรง" นั้น เป็นอย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างนี้ค่ะ

เรี่ยวแรง หรือกำลังของเราจะมีมากมีน้อย ขึ้นอยู่กับ ความมากน้อยของจำนวน เซลล์ที่มี จะเห็นว่าผู้ใหญ่จะแข็งแรงกว่าเด็ก เพราะผู้ใหญ่ มีจำนวนเซลล์ ที่มากกว่า เป็นต้น ทั้งนี้เพราะเซลล์ เป็นบ่อเกิดแห่งกำลังของเรา ลักษณะการทำงานของเซลล์นั้น คล้ายกับเครื่องยนต์ คือจะมีกำลังก็ต่อเมื่อ มีการจุดระเบิดขึ้นภายใน เครื่องยนต์มีน้ำมัน เป็นเชื้อเพลิง ในเซลล์ก็มี น้ำมันพืช หรือน้ำมันสัตว์กับแอลกอฮอล์ (จากข้าว) เป็นเชื้อเพลิง ในเครื่องยนต์มีอากาศ ในเซลล์ก็มีอากาศ ในเครื่องยนต์มีหัวเทียน เป็นตัวจุด (ให้เกิดประกายไฟ) ในเซลล์ก็มี ปลายเส้นประสาทเป็นตัวจุด (ให้เกิดประกายไฟ) เซลล์จึงเป็นเครื่องยนต์ขนาดจิ๋วในร่างกาย ที่ทำให้เรามีแรงทำงาน สำหรับเซลล์นั้น ผนังเซลล์เป็นผังพืดบางๆ เมื่อมีการ จุดระเบิดในเซลล์ ก๊าซที่ขยายตัว จะทำให้เซลล์พองตัวขึ้น และดึงรั้งให้เส้นเอ็น ที่ติดอยู่กับปลายมัด กล้ามเนื้อ ถอยกลับมา เป็นผลทำให้อวัยวะ ที่อยู่ถัดไป เคลื่อนไหวได้ และเนื่องจาก ผนังเซลล์ เป็นสิ่งบอบบาง เมื่อมีการจุดระเบิด หรือออกแรงเพียงไม่กี่ครั้ง เซลล์นั้นก็จะพังหรือตาย และจะมีการสร้างเซลล์ใหม่ แทนเซลล์เก่าที่ตายไปแล้ว เนื่องจากเซลล์เก่า ที่ยังไม่ตาย ที่อยู่รอบๆเซลล์เก่า ที่ตายไปแล้วนั้น เมื่อร่างกายออกแรง มันจะขยับตัวตามไปด้วย ทำให้เกิดช่องว่าง ระหว่างมัน จึงเกิดมีการสร้าง เซลล์ใหม่ นอกเหนือจาก เซลล์ที่ตายไปแล้วด้วย ด้วยเหตุนี้ หลังออกกำลังกาย ร่ายกายจะโตขึ้น เพราะมีการสร้างเซลล์จำนวนมากขึ้น ความแข็งแรง ของร่างกาย จึงมากขึ้นด้วย ไม่ใช่แข็งแรงมากขึ้น ในทันที แต่จะแข็งแรงมากขึ้น ในวันต่อไป จะเห็นง่ายๆว่า อวัยวะ ที่ออกแรงบ่อยๆ จะโตกว่าอวัยวะ ที่ไม่ค่อยได้ออกแรง เพราะมีการสร้างเซลล์เพิ่มขึ้น

ดังนั้นการออกกำลังกาย จึงเป็นเหตุทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้น ถ้าเป็นเด็ก ร่างกายก็จะเจริญเติบโตได้เร็วขึ้นได้ด้วย จะเห็นว่า การออก กำลังกาย มีประโยชน์ต่อ ทั้งในวัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ ตลอดถึงวัยสูงอายุด้วย แล้วอย่างนี้จะให้แต่ละวัย ละเลย การออกกำลังกาย ได้อย่างไรคะ การออกกำลังกาย เป็นการส่งเสริมสุขภาพ ของตนเอง อย่างแท้จริง เป็นสิ่งที่ใคร ทำให้กันไม่ได้ และไม่มีขาย อยากได้ก็ต้อง ทำเอง จึงเป็น "อัตตา หิ อัตตโน นาโถ" ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จึงน่าจะเป็นการปฏิบัติธรรม อย่างหนึ่งด้วย เช่นกันนะคะ

เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติธรรมทุกคนควรออกกำลังกายตามความเหมาะสม ของตนด้วยนะคะ เพื่อเป็นการพึ่งตนเอง ให้มากที่สุด.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


สสส.ชี้วัยรุ่นไทยเข้าใกล้'เหล้า'มากขึ้น
น้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์ช่องทางแรก

เมื่อวันที่ ๑๗ พ.ค. ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) มีการจัดประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็น จากสื่อมวลชน ในการร่วมกันแก้ปัญหา และรณรงค์ ให้วัยรุ่น หลีกเลี่ยง การดื่มแอลกอฮอล์ นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า โดยสถานการณ์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของเยาวชน ในสังคมไทย นับวัน จะร้ายแรงขึ้น โดยสถิติ พบว่า ในปัจจุบันวัยรุ่น เพศชายวัย ๑๑-๑๙ ปี ที่บริโภคเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์มีถึง ๑.๐๖ ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ ๒๑.๒๓ ของประชากร ในกลุ่มนี้

"ปรากฏการณ์ที่น่าเป็นห่วงคือ นักเรียนชายและหญิงระดับมัธยมปลาย และระดับ ปวช.ที่เคยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณร้อยละ ๕๐ เริ่มดื่ม แอลกอฮอล์ เมื่ออายุต่ำกว่า ๑๕ ปี และในช่วงเวลา เพียง ๗ ปี (๒๕๓๙-๒๕๔๖) กลุ่มผู้หญิงวัย ๑๕-๑๙ ปี เป็นกลุ่มที่น่าจับตา มากที่สุด เนื่อง จากการเพิ่มจำนวนขึ้น เกือบ ๖ เท่าคือ ร้อยละ ๑.๐ เป็นร้อยละ ๕.๖ และ ในกลุ่มหญิง ในวัยนี้เป็นผู้ดื่มประจำถึง ร้อยละ ๑๔.๑ (ดื่ม ๑-๒ ครั้งต่อสัปดาห์ถึงดื่มทุกวัน)" นพ.สุภกรกล่าว

เอกสาร "ธุรกิจแอลกอฮอล์กับผลกระทบ" ของ นพ.ศีวงค์ หะวานนท์ นายกสมาคมป้องกันปัญหาจากสุรา ระบุว่า เหล้านอกและเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ คือ ประตูสู่การดื่ม จากผล การวิจัยพบว่า วัยรุ่นหญิงนิยมดื่มเครื่องดื่ม ผสมแอลกอฮอล์ ต่างประเทศ เครื่องดื่มผสม แอลกอฮอล์ และน้ำผลไม้ หรือไวน์คูลเลอร์ เพราะเชื่อว่า มีแอลกอฮอล์น้อย ดื่มแล้วไม่เมา

และในต่างประเทศได้มีการวิจัยพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำผลไม้ หรือ RTD (Ready to Drink) พบข้อสรุปว่า เครื่องดื่ม ประเภทนี้ เป็นประตูบานแรก ที่เปิดให้เยาวชน ในประเทศเหล่านั้น กลายเป็นผู้ดื่มเครื่องดื่ม ผสมแอลกอฮอล์ในที่สุด.
(จาก นสพ.มติชน ฉบับวันที่ ๑๘ พ.ค.๔๘)


เยอรมันด่าทุนนิยม
"ทุนนิยมนั้นมันชั่วร้าย" เอาล่ะซิ จะมีใครนึกบ้างไหมนี่ว่า ประโยคนี้จะออกมาจากปากของกลุ่มผู้นำทางการเมืองของพรรครัฐบาลเยอรมนี ประเทศที่ เจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งทางเศรษฐกิจ มายาวนาน หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ และจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่ง ในประเทศสมาชิก คณะมนตรี ความมั่นคงถาวร ของสหประชาชาติ

แต่มาวันนี้ผู้นำพรรครัฐบาลของเยอรมันถึงกับผรุสวาทโจมตีระบบทุนนิยมของพวกแองโกลแซกซอน(อเมริกันอังกฤษ)เข้าให้แล้ว นี่เป็น กระแสโลก ที่น่าสนใจทีเดียว

บรรดาผู้นำพรรครัฐบาลของ เยอรมนีที่ออกมาโจมตีระบบทุนนิยมมีทั้งประธานพรรคโซเชียล เดโมแครตและตัวนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน นายเกอร์ฮาร์ด ชโรเดอร์ คำโจมตี ระบบทุนนิยม ที่ออกมาจากปาก ของผู้นำพรรคโซเชียล เดโมแครตมีอาที

"ตะกละตะกลามเห็นแต่กำไรกันอย่างไม่บันยะบันยัง"

"เป็นความชั่วร้ายของระบบเสรีนิยมใหม่ที่ไม่หยุดยั้งได้" และ

"พวกนักลงทุนต่างประเทศที่เห็นแก่ตัวที่แห่กันลงกัดกินเยอรมนีประดุจดังฝูงตั๊กแตน"

เหตุผลที่กลุ่มผู้นำพรรคโซเชียล เดโมแครตชักแถวกันออกมาโจมตีระบบทุนนิยมก็เพราะว่า เศรษฐกิจของเยอรมนี กำลังฟุบอย่างหนัก อัตรา การว่างงาน สูงถึงร้อยละ ๑๒ และ อัตราการเติบโต ทางเศรษฐกิจในปีนี้ คาดว่าจะลดลงอีกจากร้อยละ ๑.๕ เหลือเพียงร้อยละ ๐.๗ นับว่า เป็นอัตรา การเติบโต ทางเศรษฐกิจ ที่ต่ำที่สุดในยุโรป

การฟุบทางเศรษฐกิจของเยอรมนีมันก็เกี่ยวเนื่องด้วยกระแสโลกาภิวัฒน์นั่นแหละ นักลงทุนต่างประเทศมันก็เปรียบเหมือน ฝูงตั๊กแตนจริงๆ ที่ไหน พืนพันธุ์อุดมสมบูรณ์ ก็แห่กันไปกิน ยามนี้ การลงทุนจริง กับลงทุนในตราสารหุ้น มันแห่กันลงไปที่ประเทศจีน กับกลุ่มยุโรปตะวันออก หลังม่านเหล็กเก่า

ผลก็คือยุโรปเก่าอย่างเยอรมนีก็เลยฟุบทั้งๆที่รัฐบาลเยอรมนีลดภาษีธุรกิจลงให้ก็แล้ว ก็ยังไม่สามารถเรียกนักลงทุน ให้แห่กลับมาได้ เมื่อลด ภาษีธุรกิจ รัฐบาลก็ต้องตัดงบฯ สวัสดิการลง ผลก็คือ สร้างความไม่พอใจ ให้แก่ประชาชน ผู้เลือกตั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคแรงงาน ดังนั้นมันก็สะวิงกลับมาที่ คะแนนนิยมของพรรครัฐบาล ลดต่ำลง อย่างน่าใจหาย จากโพล สำรวจคะแนนนิยม ในรัฐไรน์-เวสฟาเลีย ที่จะมีการเลือกตั้ง ในวันที่ ๒๒ พ.ค.นี้ ปรากฏว่า พรรคคริสเตียนเดโมแครต ซึ่งเป็นคู่แข่งนำอยู่ถึง ๑๑ จุด นี่คงเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ผู้นำพรรค โซเชียลเดโมแครต เล่นแรงถึงกับบริภาษ ระบบทุนนิยมออกมา อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่ว่าจากโพล หยั่งความเห็น ของคน เยอรมัน ที่โทรทัศน์ ZDF สำรวจออกมานั้น ปรากฏว่า คนเยอรมันส่วนใหญ่ เห็นด้วยว่า ระบบทุนนิยมนั้น มันแฝงความชั่วร้าย ไว้ในสายเลือด และการมุ่งแสวงหาแต่กำไรของมัน นั่นถือว่า เป็นการคุกคาม ต่อประชาธิปไตย ของเยอรมนี

นี่คือกระแสการเมืองที่เกิดขึ้นในเยอรมนีที่ชวนให้จับตามองว่า การบริภาษความชั่วร้ายของลัทธิทุนนิยม (อันเป็นที่เทิดทูนในสหรัฐฯ) นั้นเป็นกระแสการเมือง ชั่วครั้งชั่วคราว ของนักการเมือง ในเยอรมนี หรือว่าคิดจะดำเนินการอย่างจริงจัง ในการที่จะหยิบงัด เอาแนวทาง สังคมนิยม ขึ้นมาปรับใช้ในอนาคต เพื่อรับมือกับฝูงตั๊กแตน โลกาภิวัตน์

ที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเขียนเพื่อให้ไทยเราต้องมองตัวเองในเมื่อเราเดินหน้าเข้าสู่กระแสทุนนิยมโลกาภิวัฒน์อย่างเต็มตัวเช่นกัน เราเคยตก เป็นเหยื่อ มาแล้ว เมื่อปี ๒๕๔๐ ฉะนั้น เปิดตามองโลกให้ทั่ว และรู้ตัวเอง รู้กำลังตัวเอง ปรับแก้ไขตัวเอง ให้อยู่รอดย่อมดีที่สุด

ทุนนิยมอย่างเดียวก็สุดโต่ง สังคมนิยมอย่างเดียวก็สุดโต่งไปอีกขั้ว เชิญผู้มีปัญญาปรับใช้เดินสายกลางเอาก็แล้วกัน.

(จาก นสพ.มติชน ฉบับวันที่ ๑๒ พ.ค.๔๘)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

หน้าปัดชาวหินฟ้า

เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ นสพ. ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๕๘ (๒๘๐) ปักษ์แรก ๑-๑๕ ก.ค.๔๘
หน้าปัดชาวหินฟ้าฉบับนี้ เก็บข่าวความเคลื่อนไหวในแวดวงชาวเรามาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้

มุ่งมาจน...ตระกูลนี้กำลังมาแรง ในหมู่ชาวบุญนิยม จิ้งหรีดได้พบสมาชิกของตระกูล "มุ่งมาจน" อีกคน โดยมิได้คาดคิด เธอเป็นเด็กวัด มานาน เป็นคนวัด ที่สันติอโศก แต่เพิ่งได้ฤกษ์ลงตัว หลังงาน อโศกรำลึก ได้ไปกราบขอชื่อกับพ่อท่าน จิ้งหรีดเกาะอยู่ที่โต๊ะทำงานพ่อท่าน ก็ได้ยินพ่อท่าน ตั้งชื่อให้ว่า "ร้อยขวัญพุทธ" ซึ่งพอเธอ (สาวใหญ่วัย ครึ่งศตวรรษ ที่เป็นนางสาว มาตลอด) ได้ยินชื่อนี้ ก็ยิ้มรับทันที เพราะ ชื่อนี้ตรงสเป็คมากๆ และเธอก็ไม่รอช้า ขอให้พ่อท่านช่วยตั้งนามสกุลให้ด้วย และพ่อท่านก็เมตตา แถมนามสกุลให้อีกว่า "มุ่งมาจน" จิ้งหรีด เห็นเธอ ชะงักนิดหนึ่ง แต่แล้วก็น้อมรับ นามสกุล "มุ่งมาจน" ที่พ่อท่านมอบให้ เธอได้มาเปิดใจ ให้จิ้งหรีดฟังภายหลังว่า ที่ชะงักนิดหนึ่ง เพราะทำใจ แต่ในที่สุดก็ยินดี เพราะได้พิจารณา เห็นคุณค่า ของนามสกุลนี้ว่า เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต ของพระพุทธเจ้า

สำหรับสาวโสดผู้นี้ก็มิใช่ใครที่ไหน ก็ป้าอ้วน (อรสา) จาก บจ.แด่ชีวิต คนใกล้ๆนี่เอง ตอนนี้ชาวแด่ชีวิต ต่างรู้สึกเป็นปลื้มไม่น้อย ที่พนักงาน ในบริษัท มีคนตระกูล "มุ่งมาจน" มาร่วมงานด้วย ก็ขออนุโมทนา ด้วยคนนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

สันติอโศก...จิ้งหรีดเข้าไปตึกเก่าฟ้าอภัย ชั้น ๓ เวลาดึกๆ ดื่นๆ มักจะเห็นคุณวิศิษฏ์ (ไฟงาน) นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมฯบ่อยๆ ช่วงกลางวัน จิ้งหรีดก็เห็น นั่งอยู่หน้าจอ มีเด็ก (นร.สัมมาสิกขาสันติอโศก) มาเข้าฐานฝึก ก็รู้สึกประทับใจที่เอาภาระการงานในวัดได้ดี แม้จะอยู่ข้างวัด ก็สามารถทำประโยชน์ ให้กับพระศาสนาได้

พอจิ้งหรีดได้มีโอกาสพูดคุยถึงการทำงานดึกๆ ดื่นๆ ก็รู้ว่า งานที่ทำคือ จัดระเบียบระบบให้รูปที่ถ่ายไว้ในงานต่างๆของชาวอโศก รวมทั้ง กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในแวดวงชาวเรา ซึ่งมีมากจนทำไม่ทัน ก็เลยคิดว่า การฝึกเด็กคงจะมาช่วยแบ่งเบา ภารกิจทางศาสนาด้านนี้ ได้บ้าง แม้จะเป็นความหวังที่เลือนลาง เพราะเด็กส่วนใหญ่ เมื่อเรียบจบ ก็อยากออกไปทำงาน หาเงินอย่างอิสระ หรือทางบ้านมีปัญหา การเงิน ก็ต้องออกไปช่วยหาเงิน

อาวิศิษฏ์ทำงานอยู่แผนกธรรมรูปนี้มาหลายปี ซึ่งเราๆท่านๆก็คงจะได้เห็นผลงานของอาวิศิษฏ์จากหนังสือธรรมะของชาวอโศก ไม่ว่าจะเป็น สารอโศก ดอกหญ้า ดอกบัวน้อย นสพ.ข่าวอโศก เป็นต้น

ถ้าสอบถามถึงคนทำหนังสือ ก็รู้สึกยินดีที่มีรูปถ่ายไว้มากๆ จะได้มีตัวเลือก ยิ่งยุคนี้เป็นยุคดิจิตอล ก็สะดวกกว่า แต่ก่อนมาก

จิ้งหรีดก็ขอให้กำลังใจคนทำงานนะฮะว่า เราก็สะสมบุญทำดีไปเรื่อยๆ แล้วเทวดา จะเห็นใจเอง ดุจพระมหาชนกว่ายน้ำอยู่กลางทะเล แม้ไม่เห็นฝั่ง ก็ไม่ท้อถอย จนกระทั่ง เทวดาเห็นใจ ช่วยให้ว่ายถึงฝั่งได้ จิ้งหรีดพูดถึงแผนกธรรมรูปนี้ ก็มิได้หมายเพียง แผนกเดียวนะฮะ จิ้งหรีด ก็รวมถึงทุกแผนก ในสันติอโศก ด้วยนะฮะ...

การประชุมชุมชนของสันติอโศกระยะหลังอบอุ่นขึ้นมาก หลังจากเปลี่ยนเวลามาเป็นช่วงเย็น เพราะจะมีคนมาร่วมประชุมกันมาก ทั้งนักบวช คนวัด คนข้างวัด แถมยังเปิดโอกาสให้ นร.สัมมาสิกขา สันติอโศก มาร่วมประชุมด้วย เพื่อจะได้รับรู้ปัญหา หรือความเป็นไป ของชุมชน ถือว่าเป็นการศึกษา แบบบูรณาการ จิ้งหรีดเห็นบรรยากาศแล้ว ก็รู้สึกประทับใจ...จี๊ดๆๆๆ .....

ฮอมบุญ...จิ้งหรีดที่ จ.แพร่ เห็นคุณอำนวยและครอบครัวพัฒนาสวนป่า ก็มีความประทับใจหลายอย่าง ตอนนี้ก็มีกุฏิถึง ๗ หลัง บางหลัง เป็นกุฏิดิน สร้างเสร็จ ภายในเวลาเพียง ๓ วัน เตรียมเอาไว้ ให้พ่อท่านพัก หากพ่อท่านเดินทางไปแวะเยี่ยมเยียน ยิ่งมีข่าวว่า พ่อท่าน จะไปแวะเยี่ยม ในวันที่ ๑๒-๑๓ ก.ค. ก่อนเข้าพรรษานี้ ก็เตรียมสร้างห้องน้ำ ใกล้กุฏิ ที่จะให้พ่อท่านได้พัก ญาติธรรมที่ไปแวะเยี่ยม พอรู้ข่าวว่า พ่อท่านและปัจฉาฯจะไป ก็ควักเงินทำบุญให้ทางฮอมบุญ ซื้อหินกรวดขนาดเล็ก โรยตามทางเดิน ในเขตสมณะทันที เพราะอยาก จะร่วมบุญ สมกับที่ไปพักค้างที่ฮอมบุญ นอกจากนี้ที่ฮอมบุญ ยังถือเป็นชุมชนเล็ก ที่ประกอบด้วยญาติพี่น้อง ของคุณอำนวย มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เก็บพืชผักไร้สารพิษขาย เช่น ยอดฟักทอง ยอดตำลึง ผักบอน ฯลฯ โดยช่วยกันเก็บมัดเป็นกำๆ แล้วไปขายที่ตลาด วันเว้นวัน สร้างรายได้ให้กับชุมชน วันละไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ บาท สามารถเลี้ยง ผู้ที่อาศัย อยู่ในชุมชน ได้สบายๆ นี่แหละ "ลักษณะชุมชน เข้มแข็ง" แม้จะเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ ก็เป็นตัวอย่างให้ชุมชนอื่นๆ ในการพึ่งพาตัวเอง ไม่หวังพึ่งเงินทอง จากการอบรม ที่มิใช่การพึ่งตน ได้ตามแนวทาง ที่พ่อท่านพาทำ...

จิ้งหรีดได้ข่าวว่า สมาชิกเครือแหที่ยังไม่มีโอกาสได้ "หยาดน้ำใจพระโพธิสัตว์" ก็เตรียมตัวเดินทางไปร่วมงาน ต้อนรับพ่อท่าน ที่ฮอมบุญ เพื่อไป ขอรับหยาดน้ำใจ จากพ่อท่านโดยตรง อย่างน้อย ก็คุณบัวดาว ผรช.ชมร.เชียงใหม่ คนหนึ่งล่ะ ที่รอวันนั้น อย่างใจจดใจจ่อ เพราะช่วง งานอโศกรำลึกที่ผ่านมา ไม่มีโอกาสไปร่วมงาน ต้องอยู่ดูแล แม่สมณะรูปหนึ่ง ที่ป่วยหนัก แล้วยอมมาพักรักษาตัว อยู่ที่ลานนาอโศก หลังงาน อโศกรำลึก ทั้งแม่ใบจริง จะสละหยาดน้ำใจฯ ให้ ก็ไม่ขอรับ และอาจารย์ ๑ จะให้ก็ไม่เอา เพราะถือว่าเป็นของมีค่า ของแต่ละท่าน น่าจะเก็บไว้ เป็นที่ระลึก จึงขอเดินทางไปรับจาก พ่อท่านด้วยตัวเองดีกว่า นี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์ ที่จิ้งหรีดประทับใจจริงๆ...จี๊ดๆๆๆ .....

บ้านราชฯ...หลังการสัมมนาคุรุที่สันติอโศกก่อนงานอโศกรำลึก จิ้งหรีดเห็นสิกขมาตุแสงฝนนำความรู้ที่ได้จากการสัมมนาไปใช้กับ นร. สมุนพระราม ที่บ้านราชฯ เมืองเรือ โดยให้วาดรูป ตามจินตนาการ เพื่อเรียนรู้นิสัยใจคอของเด็กๆ ว่าคิดอย่างไร? ปรากฏว่าไม่มีภาพใด ที่ซ้ำกันเลย ก็ทำให้ได้รู้จักเด็กนักเรียน กลุ่มนี้มากขึ้น และขอฝาก ขอบคุณกับผู้ที่บริจาค สมุด-ดินสอ-สี จากทางสันติอโศก ซึ่งก็ถือว่าเป็น บ้านพี่เมืองน้อง นอกจากนี้ สม.แสงฝน ยังได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมสิกขมาตุเป็นครั้งแรก เพราะเป็น สิกขมาตุบวชใหม่ ทำให้เกิดแรง บันดาลใจ ในการปฏิบัติบูชา แด่พ่อท่าน ที่จะมีอายุ ๗๒ ปีในปีหน้าว่า จะทำตัวเองให้เล็ก มีอะไร หรือจะทำอะไร ก็จะฝึกปรึกษาผู้ใหญ่ ไว้ก่อนเสมอ เพื่อฝึกสลายความเร็ว ไว ในอัตตาตัวตน ของตัวเอง นอกจากนี้ยังพร้อมพลีชีพ ด้วยการทำใจ ไม่ติดยึด พร้อมที่จะให้ผู้ใหญ่ ย้ายไปอยู่ที่ไหนก็ได้ เว้นแต่ที่ปฐมฯ เพราะได้ออกมาจากที่นั่นไม่นาน เดี๋ยวจะไหลไปภพเก่าๆ เดิมๆอีก ยิ่งช่วงร่วมพิธีบูชา พระบรมสารีริกธาตุ มีอาการปวดท้องมาก จนขยับไม่ได้ ผลสุดท้าย อาเจียนออกมา ๒ ครั้ง จนอาการปวดท้องหายไป ในช่วงที่พ่อท่าน นำหมู่ สมณะขึ้นไปกราบ พระบรมสารีริกธาตุพอดี เลยได้อยู่ ร่วมพิธีด้วยจนจบ ก็คิดอยู่ว่า ชีวิตไม่เที่ยง จะตายก็ง่าย ไม่มีการบอกล่วงหน้า จึงพร้อมพลีชีพ ด้วยการพร้อมสลายอัตตา ให้เล็กลงไปเรื่อยๆ...

สมณะฟ้าไท สมชาติโก อยู่บ้านราชฯ มาหลายปี ก็มีบัญชาจากผู้ใหญ่ให้ไปช่วยงานด้านการศึกษาที่สันติฯ แต่ปฐมฯก็ไว พอรู้ข่าว ก็นิมนต์ท่าน ไปเปิดวิสัยทัศน์ เรื่อง การศึกษ แบบบูรณาการ จิ้งหรีดก็ฝันว่า ร.ร.สัมมาสิกขา คงมีการศึกษาแบบบูรณาการ ได้ลงตัว มากขึ้น กว่าเดิม...จี๊ดๆๆๆ .....

อโศกรำลึกอีกครั้ง...หลังงานอโศกรำลึก ก็มีจิ้งหรีดจากหลายแห่งมารำลึกให้กันและกันฟังว่า รู้สึกประทับใจ ซาบซึ้งใจในหยาดน้ำใจ ของพ่อท่าน ที่ให้เวลากับลูกมากๆ โดยเห็นความสำคัญ ของคนอื่น มากกว่าส่วนตัว แม้ว่าเวลาฉัน ก็ยังให้เวลาลูกๆ ที่ต่อแถวรอรับ "หยาดน้ำใจพระโพธิสัตว์"...

ที่น่าประทับใจอีกประการก็คือ ผู้ที่มาเปิดโรงบุญมังสวิรัติแจกอาหารฟรีในงานนี้ ซึ่งปีนี้เปิดถึง ๔ วัน ผู้ที่มาแจกอาหาร ต้องสละเวลาส่วนตัว ต้องสละทรัพย์ สละ แรงงาน มาแจกเอง ถือว่าเป็นการ เดินตามรอยเท้าพ่อ จิ้งหรีดก็ขออนุโมทนา กับทุกท่าน เพราะจิ้งหรีดก็ไปรับแจกมา เหมือนกัน...

สมณะหลายรูป ก็ประทับใจในคำสอนของพ่อท่าน หลายท่านบอกว่า ชัดขึ้นนะว่า ขณะใดที่ไม่ทำใจให้เป็นบุญเป็นกุศลให้ยิ่งๆ ขึ้น ไม่ทำ ทุกวินาที ให้เป็นวินาทีแห่งบุญ เมื่อนั้น ก็เป็นโมฆบุรุษ ไปทันที...จี๊ดๆๆๆ .....

วิกฤตจึงเกิดโอกาส...เมื่อวันที่ ๒๖ มิ.ย.๔๘ เรือเกี่ยข่วมฟ้า (ลำเหลือง )ไฟฟ้าดับ ทำให้เครื่องสูบน้ำในเรือไม่ทำงาน กว่าจะรู้ น้ำก็เข้าเรือ กว่าครึ่งลำแล้ว ชาวชุมชน และนักเรียน สัมมาสิกขา ต้องมารวมพล ช่วยกันกู้เรือ ซึ่งทีแรกก็คิดว่า คงไม่จม แต่ปรากฏว่า มีช่องรูเพิ่มขึ้น น้ำจึงเข้าเรือมาก ใช้ไดโว่สูบออกก็ไม่ทัน สุดท้าย เรือจึงจม เห็นแต่หลังคา โผล่เหนือน้ำเท่านั้น นี่ก็ยังไม่รู้ว่า จะกู้เรือได้เมื่อไร จิ้งหรีดได้ยินว่า คงจะต้องใช้เครื่องกลหนัก มาช่วยแล้วล่ะ

จะว่าไปแล้วเรือลำนี้จมเป็นครั้งที่สองแล้วนะเนี่ย เมื่อครั้งแรกเหตุเพราะมีคนไปดึงปลั๊กไฟออก ทำให้เครื่องสูบน้ำ ไม่ทำงาน เรือก็จม มาครั้งนี้ ไฟดับเอง เรือก็จมอีก เรื่องนี้ทำให้ คุณระพิณทร์ คิดจะประดิษฐ์อุปกรณ์เตือนภัย ด้วยเสียงสัญญาณ ในกรณีที่ไฟฟ้าดับ รู้กันก่อน เรือจะได้ ไม่ต้องจม เป็นครั้งที่ ๓ จิ้งหรีดก็หวังว่า คงจะทำได้สำเร็จ ในเร็ววันนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

มรณานุสสติ
คุณยายใจพร้อม อายุ ๘๖ ปี ชาวบ้านราชฯ เสียชีวิตด้วยโรคชรา เมื่อเวลา ๔ โมงเช้า วันอาทิตย์ที่ ๑๐ ก.ค.๒๕๔๘ ฌาปนกิจศพที่บ้านราชฯ วันเดียวกัน ในเวลา ๔ โมงเย็น

นายไพทูรย์(ยิ่งยอม) นันทวงษ์ อายุ ๖๓ ปี ชาวชุมชนศีรษะอโศก เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและเส้นเลือดในสมองตีบ เมื่อวันที่ ๑๐ ก.ค.๒๕๔๘ ฌาปนกิจศพ ที่ศีรษะอโศก ในวันเดียวกัน

คติธรรม-คำสอนประจำฉบับ
ผู้ทำโชว์ ชื่อว่า "คนฉลาด"
ผู้ทำจริง ชื่อว่า "ปราชญ์"
ผู้ถูกติท้วงได้ คือ "ปราชญ์"
ผู้แค่ฉลาดจะขี้ขลาด "ต่อการติท้วง".
(๒๕ ก.ค.๓๔)

(จากหนังสือโศลกธรรมสมณะโพธิรักษ์ หน้า ๘๔)
พบกันใหม่ฉบับหน้า

- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน ปฐมอโศก - อินทร์บุรี

เมื่อปลายเดือนเมษายนกับต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๘ ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนได้รับมอบหมายจาก ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี ให้อบรม เกษตรกรทุกอำเภอ ทุกตำบล โดยเกษตรจังหวัด, เกษตรอำเภอ และเกษตรตำบล เป็นผู้ประสานงานและเตรียมเกษตรกรเข้าอบรม การอบรม ได้ผ่านไปทั้งหมด ๗ รุ่น รุ่นละประมาณ ๑๕๐ คน ใช้เวลาอบรม รุ่นละ ๒ วัน

การอบรมเกือบจะทุกรุ่น ท่านผู้ว่าฯ จุฑามาศ ประทีปวณิช จะมาให้โอวาทและทำพิธีเปิดการอบรมเอง ถ้ารุ่นไหนมาไม่ได้ ก็ให้ท่านรอง ผู้ว่าฯ วีระศักดิ์ อนันตมงคล มาเป็นผู้ทำพิธี เปิดการอบรม

วิทยากรที่ให้การอบรมเป็นหลักก็มี สมณะเสียงศีล ชาตวโร ผู้ก่อตั้งชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน กล่าวปฐมนิเทศ บอกจุดประสงค์ของการอบรม และผลที่จะได้ จากการอบรม คุณสุวิทย์ อุดมสุข จากกาญจนบุรี มาสาธิตเรื่องสมุนไพรไล่แมลง คุณวินากร สิทธิพันธุ์ (ประธานชมรม เพื่อนช่วยเพื่อน) ให้ความรู้เรื่องน้ำสกัดชีวภาพ ลุงทองเหมาะ แจ่มแจ้ง จากสุพรรณบุรี ให้ความรู้เรื่อง การเพิ่มผลผลิต ด้วยการคัด เมล็ดพันธุ์ข้าว เกษตรสมพงษ์ คงจันทร์ พูดและสาธิตเรื่องหลัก ๕ ประการสู่เกษตรอินทรีย์ อ.เชาว์วัช หนูทอง จากลพบุรี พูดเรื่อง ปุ๋ยอินทรีย์ และลงภาคปฏิบัติ ทำปุ๋ยหมักและทำแปลงผัก มีคุณโย (ต้นฝัน) และ จอม (ขอบฟ้า) เป็นพี่เลี้ยงดูแล ตอนจบ วันสุดท้าย ก็มีการซักถาม สรุปบทเรียน และสำรวจผู้สมัครใจ เปลี่ยนจากเคมี มาทำเกษตรอินทรีย์ ปรากฏว่า เกษตรกรจำนวนไม่น้อย ตั้งใจจะเปลี่ยนมาทำ เกษตรอินทรีย์ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นให้ดู มีผู้รู้จริง มาอธิบายให้ฟัง เรามีวิดีโอ การบรรยาย ของวิทยากร ไว้ทั้งหมด สนใจติดต่อได้ที่ สมณะเสียงศีล ชาตวโร เพื่อนช่วยเพื่อน ปฐมอโศก.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ระดมสมองสมณะ และคุรุ
เจาะการศึกษาวิถีพุทธณ อนุสรณ์สถานแดนอโศก

วันที่ ๔ - ๖ ก.ค.๒๕๔๘ สมณะ สิกขมาตุ คุรุฐานงาน คุรุวิชาการ เดินทางไปร่วมสัมมนาการศึกษาวิถีพุทธที่แดนอโศก จ.นครปฐม ส่วน นร.สัมมาสิกขา สันติอโศก ก็เดินทางไป บูรณาการการศึกษา ฝึกฝนตนเอง บำเพ็ญประโยชน์พัฒนาพื้นที่ ที่สวนบุญผักพืช คลอง ๑๓ จ.ปทุมธานี ภารกิจที่ทำ มีงานเตรียมที่พักฝ่ายหญิง มุงหลังคา ขุดหลุมส้วม แบกเสาปูน ยกท่อส้วม เทปูนโรงครัว ขนทราย ปลูกต้นไม้ ถอนหญ้า ย้ายเต็นท์ ที่สำคัญขาดไม่ได้คือ โดดน้ำเล่น บรรยากาศสองวันแรก นักเรียนบ่นอยากกลับโรงเรียน แต่วันที่สามของงาม ไม่มีเสียงบ่นเลย กลับเล่นกันสนุกสนาน จนไม่อยากกลับโรงเรียน

ขอเชิญชมบรรยากาศทั้งสองงาน จากภาพถ่าย

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชื่อ นายสมศักดิ์ ธำรงค์ธนะกิจ
ชื่อใหม่ ยืนสู้
เกิด ๓๑ ก.ค. ๒๔๘๖ อายุ ๖๒ ปี
ภูมิลำเนา กทม.
การศึกษา ป.๔
สถานภาพ สมรส บุตร ๓ คน
ส่วนสูง ๑๕๔ ซ.ม.
น้ำหนัก ๕๙ กก.
ลุงสมศักดิ์ หรือ ที่ใครๆมักจะเรียกว่า "อาเจ๊กสมศักดิ์" เป็นญาติธรรมรุ่นแรก ของชาวอโศก มาช่วยงานที่ชมรมมังสวิรัติ กทม.ตั้งแต่สมัย อยู่ริมฟุตบาธ อ.ต.ก. จนถึงทุกวันนี้

* ประวัติ
มีพี่น้อง ๙ คน ผมเป็นคนที่ ๒ พ่อแม่มาจากเมืองจีน ทางบ้านค้าขายทุกอย่าง จบ ป.๔ แล้วผมอยากเรียนต่อแต่สงสารพ่อแม่ ก็เลยช่วยทางบ้าน ทำงานส่งน้องๆ เรียน ก็อยู่ช่วยงาน ค้าขายที่บ้าน จนอายุ ๓๐ ปี

แต่งงานตอนอายุ ๒๘ ปี แม่บ้านอ่อนกว่าผม ๕ ปี ไม่รู้จักกัน ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน พ่อแม่จัดการให้ แต่งงานแล้วมีลูก ๓ คน

* เจออโศก
ปี ๒๕๒๗ วันสารทจีนผมกำลังฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ญาติธรรมคนหนึ่งเดินผ่านมา เขาก็พูดว่าวันนี้เลิกฆ่าได้หรือเปล่า ผมบอกว่าเลิกได้ แต่วันนี้ ต้องฆ่าก่อน แล้วทีหลัง ค่อยมาคุยใหม่ แล้วเขาก็มาคุย เอาเท็ปธรรมะมาให้ฟัง พวกเราก็เลิกกินเนื้อสัตว์กันหมดทั้งบ้าน จนถึงทุกวันนี้ ลูกๆก็พามาเรียน พุทธธรรมวันอาทิตย์ ลูกสาวคนหนึ่ง มาช่วยงานที่มูลนิธิ เพื่อนช่วยเพื่อน

* บรรพชน ชมร.
สมัย ชมร.ขายอยู่ริมฟุตบาท ฝั่ง อ.ต.ก. ผมกับแม่บ้านก็มาช่วยล้างจานทุกวัน เห็นคนมากินกันเยอะ ก็เลยเข้าไปช่วย วันแรกไม่กล้าเข้าไป วันที่สอง ก็ตัดสินใจไปช่วย ตอนนั้น ผมรับเหมาก่อสร้าง ก็เลยไปช่วยทุกวัน ถึงทุกวันนี้ ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ แม่บ้านเขาไปวัด

* ๓ อาชีพกู้ชาติ
ผมเลิกกิจการ แล้วมาทำเกษตรได้ ๗ ปีเต็ม บนเนื้อที่ ๘ ไร่ ปลูกผลไม้ ๔-๕๐๐ ต้น ปลูกผักไม่ไหว เพราะแถวนั้น เขาฉีดยาฆ่าแมลง กันเยอะมาก แล้วยาก็ปลิว มาลงที่สวนผมหมดเลย ผมก็เลยเลิกปลูก ปลูกแต่ผลไม้ เช่น ชมพู่ทับทิมจันทร์ ฝรั่งไร้เมล็ด พุทรา (ลูกเท่าปิงปอง) เกาลัด ขนุน ลำไย กระท้อน กล้วย มะละกอ ฯลฯ เวลาผลไม้ออก ผมก็เอามาทำบุญที่วัด เอามาแจกญาติธรรม ที่เหลือผมจึงขาย

เกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอ ไปดูงานที่สวนผมบ่อย เขาให้ผมไปสัมมนาเรื่องเกษตรอินทรีย์ ทำให้ผมมีความรู้ ทางวิชาการ ทำให้สวน มีผลผลิตเพิ่มขึ้น

* ที่เหลือเป็นของเรา
ในสวนมีบ่อน้ำ ผมก็เอาปลามาเลี้ยงไว้ดูเล่น ให้ปลาช่วยกินตะไคร้น้ำ ช่วยทำให้บ่อน้ำสะอาดขึ้น ช่วยด้านระบบนิเวศน์ ปลาตัวหนึ่งหนัก ๖-๗ กิโล ปรากฏว่า มีคนมาขโมยปลา และ ขโมยผลไม้สวน ไปด้วย ผมก็ให้เขาขโมยไป ผมก็ปล่อยวาง เพราะผมกลัวเป็นโรคเครียด คิดว่าส่วนที่เขาขโมยไป ไม่ใช่ของเรา ส่วนที่เหลืออยู่ในสวนนั้น เป็นของเรา

* ช่วยสังคม
สมัยก่อนเวลางานปลุกเสกฯ-พุทธาฯ ผมก็ไปช่วยทำเต้าหู้ตลอดทั้ง ๗ วัน เวลามีงานของมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน หรือ ชมร. ผมก็จะไปช่วย ทำอาหารให้

ทุกวันนี้มีความสุขอยู่กับปลูกต้นไม้ และมาช่วยงานวัด ช่วยงานมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน เทศกาลเจ ผมก็มาช่วยทุกปี ก็ช่วยมา ๒๐ กว่าปีแล้ว

ส่วนวันอาทิตย์ผมก็จะมาช่วยทำอาหาร ที่ ชมร.หน้าสันติอโศก ออกจากบ้านประมาณเที่ยงคืน ขับรถไปกลับ ประมาณ ๙๐ กิโล ค่าน้ำมัน ๑๕๐ บาท ผมก็ออกเอง บางครั้ง มีวัตถุดิบที่บ้าน ผมก็เอามาทำอาหาร ขายให้ ชมร. ผมไม่ได้อะไรตอบแทน แต่ผมได้ใช้ชีวิตคุ้มค่า

เวลาเจอผัสสะ ผมก็คิดว่าผมไม่ได้ ทำงานให้เขา ผมทำงานให้วัด ผมจึงไม่สนใจคนอื่นมากนัก

* ฝาก
คนไม่ผิด คือคนไม่ทำอะไรเลย ผมได้สมบัติที่แท้จริงจากพ่อแม่ คือความขยัน

อาเจ๊กออกจากบ้านตั้งแต่ดึก แต่ดื่นเพื่อมาทำงานเสียสละ เป็นการใช้ชีวิตคุ้มค่า แต่บางคนคิดว่า การยอมเป็นทาสโลกีย์ด้วยความเต็มใจ คือการใช้ชีวิตคุ้มค่า.

- บุญนำพา รายงาน

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ปฏิทินงานอโศก
งานมหาปวารณา ครั้งที่ ๒๔ ณ พุทธสถานปฐมอโศก ศุกร์ที่ ๔ - เสาร์ที่ ๕ พ.ย.๒๕๔๘
ตักบาตรเทโว และวันเกิดปฐมอโศก ณ พุทธสถานปฐมอโศก อาทิตย์ที่ ๖ - ๗ พ.ย.๒๕๔๘

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,600 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]

อ่านฉบับย้อนหลัง: