ฉบับที่ 259 ปักษ์หลัง16-31 กรกฎาคม 2548 |
ยุคสมานฉันท์ ยุคนี้ เป็นยุคของความสมานฉันท์ ที่เด่นชัดก็กรณี ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ทางรัฐบาลต้องตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติขึ้น ดังนั้นในช่วงเข้าพรรษานี้ ที่พุทธสถานแต่ละแห่งก็จะมีผู้เข้ามาอยู่เพิ่มขึ้น รวมทั้งนักบวชทุกฐานะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความพร้อมเพรียงของชนที่อยู่เป็นหมู่ ย่อมนำความผาสุกมาให้แก่หมู่นั้น สิ่งที่พวกเราพึงทำกันให้พร้อมเพรียงอย่างสำคัญที่สุดในทุกชุมชนบุญนิยม ก็คือ ความพร้อมเพรียงในการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรม ก็คือการไม่เอาแต่ใจ เราจะฝึกไม่เอาแต่ใจได้อย่างไร ในเบื้องต้นก็ต้องฝึกเป็นผู้ฟังและผู้ตามที่ดี บทฝึกฝนนี้จะช่วยให้เราเกิดทั้งเจโตและปัญญา ที่ช่วยสลายอัตตา ข้อสำคัญเราจะเกิดการสมานอัตตากับผู้อื่น แม้เราจะมีอัตตาแต่เราก็สามารถสร้างสภาวะสมานฉันท์กันได้ในทางที่ดี แม้จะมีความแตกต่าง แต่ไม่แตกแยก! แล้วอัตตาในตัวเราก็จะเบาบางลงไปเรื่อยๆ จนสู่ภาวะสุญญตาได้โดยธรรมเป็นที่สุด. |
คำว่าปรมัตถสัจจะนั้นคือ สัจจะที่เราสามารถอ่านจิตเจตสิก รูป นิพพานของเราออกและในปรมัตถสัจจะก็รู้จักสมมุติสัจจะครบถ้วน เท่าที่สมมุติสัจจะเขาจะมีอย่างไร เท่าที่เรามีเรารู้ เรารู้สมมุติ สัจจะด้วย ปรมัตถสัจจะมีความรู้ทั้งรู้สมมุติสัจจะ ทั้งมีญาณอ่านจิต เจตสิก รูป นิพพานออก เรียกว่าปรมัตถสัจจะ ส่วนสมมุติสัจจะ ไม่สามารถรู้ จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้แต่ความรู้ทั่วไป แม้แต่กัลยาณธรรมก็สามารถรู้ได้ด้วย ทำดีอย่างไร ก็ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พยายามจะกดข่ม บังคับใจตัวเองอย่างไรก็บังคับได้ แต่ไม่มีญาณเข้าไปรู้ว่าเราบังคับจิตอย่างไร แต่เขามีวิธีบังคับจิตให้ทำดี มีวิธีกดข่มมัน อย่าไปทำอย่างโน้นอย่าไปทำอย่างนี้ ทุกคน ก็เคยโดยอัตโนมัติ แต่ไม่มีญาณไม่มีวิชชา ๘ ไม่มีวิปัสสนาญาณ ไม่มีญาณทัสนะวิเศษ พอพูดว่าวิปัสสนาญาณหรือญาณ ทัสนะวิเศษ เรารู้ไหมว่าเรามี เคยมีเคยฝึกแล้วใช่ไหม ต้องชัดเจนอธิบายลงไปถึงตัวนี้ มันเป็นนามธรรม พูดกันให้รู้ แล้วคุณก็ไปปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วจนชัดเจน จนแม่น ไม่มีวิจิกิจฉา ใช่แล้วอาการอย่างนี้เป็นตัวนี้ มันจะเก่งหรือไม่เก่ง วิปัสสนาญาณของเราก็อยู่ที่แต่ละคน เก่งมากเก่งน้อย ทำบ่อย หรือไม่บ่อย บางคนก็รู้เคยทำ พอจะทำ ก็ตั้งใจระลึก มีสติรู้ก็ทำ เออ...ก็ใช้ได้ แต่ลืมสติไม่ได้ทำ มันปล่อยปละละเลย มันก็ไม่ได้ทำ วิปัสสนาญาณมันก็ไม่ได้ฝึก มันก็ไปโลกียะเข้า โลกธรรม เข้า กิเลสเข้ามันก็ไป ตามกิเลสไป มันก็ไม่รู้ตัว เป็นสติปุถุชนไป หรือบางทีก็ยังแค่สติกัลยาณชน บางคนเคยฝึกมา ก็ทำดีประเภทข่มๆตัวเองไป กดๆไป สังวรไป ระวัง ไปแบบโลกียะไม่ถึงขั้นสังวรแบบโลกุตระ ก็สังวรไม่ให้ทำชั่ว ถ้าคนเราไม่มีความสังวรเลยในโลกนี้ โอ้...โฮ หยำเปเลย เอาแต่กิเลสเข้ามาทำงาน ไม่ได้หรอก มันก็มีตัวสังวรโดยอัตโนมัติ ตามสำนึก ของมนุษย์ มนุษย์มีสำนึกมากเขาก็สังวรมาก ไม่ทำชั่วเท่าที่เขารู้ เท่าที่เขามีกำลังอดกลั้นไม่ทำชั่ว คนที่ไม่สังวรเลยก็เป็นปุถุชน ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ว่าไป สังวรบ้างสิ่งที่มันน่าอายก็ไม่ทำ แต่ถ้าเผื่อว่ากิเลสมันขึ้นมากๆ ก็ไม่มีอาย ทำกันโจ่งแจ้งเลยก็เรื่องของเขา ดีไม่ดี ก็หาข้อที่จะมากลบเกลื่อน เพื่อที่จะทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ บำเรอกามกับตัวเอง บำเรอกามกับคนอื่น ล่อกามคนอื่น อย่างพวกแก้ผ้า อวดโอ่ นึกว่าตัวเองอยากจะโชว์ของสวยของตัวเองก็ทำ ทั้งๆที่รู้ก็รู้ ถามพวกแก้ผ้า ว่าอายไหม มันอาย แต่ส่วนหน้าด้านก็มีอีกต่างหาก เหมือนกัน มันไม่หน้าด้านมันอยากโชว์เลย ได้โชว์ไม่อายก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่สามัญธรรมดามันก็น่าอาย ไม่อยากจะโชว์เท่าไรหรอก แต่ถ้าเผื่อว่า มันมีอะไรเป็นเครื่องต่อรองมันก็เอา มันก็ทำ สมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะตัดเขตกันตรงที่ สมมุติสัจจะนั้นไม่รู้จักปรมัตถสัจจะ เขาไม่มีญาณ ไม่มีวิชชา ที่จะมารู้จักปรมัตถ์ แต่รู้ดีรู้ชั่ว ที่จะสังวรระวังตามวิธีของเขา ไม่มีหลักมรรคองค์ ๘ ไม่มีหลักโพธิปักขิยธรรม ไม่ชัดเจน หลักที่สมบูรณ์แบบของ ศาสนาพุทธไม่ชัดเจน แม้จะเป็นชาวพุทธ ส่วนปรมัตถสัจจะรู้ทั้งสมมุติสัจจะ และมีความรู้ยิ่งกว่านั้นตรงที่สามารถอ่านจิต เจตสิก รูป นิพพานออก และประพฤติได้ ที่นี่ตัดเขต ตรงปรมัตถสัจจะ ถึงตรงที่เมื่อใดเป็นอาริยะ เมื่อใดไม่เป็นอาริยะ รู้แค่อนิจจังข้อแรก พ้นมิจฉาทิฏฐิ ก็คือเห็นอนิจจัง เห็นความไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงแต่มันไม่วิราคะ จิตไม่ได้ทำให้เกิดความจางคลาย ไม่ได้เกิดทำให้กิเลสมันลดลง ตรงนี้ต้องให้ชัด อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี ตามเห็น คุณมีญาณปัสสี วิปัสสนานี้แหละ สะนี้แปลว่าเห็น คุณมีวิปัสสนา หรือญาณปัสสีญาณ เห็นจริงๆ อ่านออกเลย ตามเห็นความไม่เที่ยง ตัวแรก มันไม่เที่ยงแต่มันไม่วิราคะ มันไม่เที่ยงแต่มันปุถุ มันไม่เที่ยง แต่กิเลส มันหนาขึ้น กิเลส มันอ้วนขึ้น คุณจะปล่อยปละละเลยให้มันอ้วนหรือคุณสู้มันไม่ได้ กิเลส มันเก่งกว่าเรา จะให้มันผอม มันดันอ้วนขึ้น มันสู้กิเลสไม่ได้ ก็แล้วแต่เถอะ. - เด็กวัด - |
ระหว่างวันศุกร์ที่ ๑๕- อาทิตย์ ที่ ๑๗ ก.ค. ๒๕๔๘ สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม จัดงานคืนสู่เหย้า เข้าคืนรัง นศ.ปธ.ครั้งที่ ๒ ณ ชุมชนสันติอโศก และโครงการชุมชนสวนบุญผักพืช หรือบ้านสวน โดยมีจุดมุ่งหมายของการจัดงานครั้งนี้ ๑๕ ก.ค. ตั้งแต่เวลา ๑๗.๐๐ น. เป็นต้นไป สมาชิกทยอยมาลงทะเบียน และรับประทานอาหาร หลังจากนั้นเป็นรายการ รู้จักมักจี่ พูดคุยเปิดใจแต่ละคน บอกเล่าเรื่องราวของตนในอดีต และปัจจุบัน ๑๖ ก.ค. ร่วมกันทำวัตรเช้า หลังจากนั้นเดินทางไปยังบ้านสวน ซึ่งตั้งอยู่ที่ คลอง ๑๓ จ.ปทุมธานี ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑ ช.ม.เศษ ฟังธรรมก่อนฉัน โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เน้นให้พวกเราที่ไม่ติดภาระใดๆ และไม่ควรไปสร้างภาระให้แก่ตนเอง เอาพลัง ของคนหนุ่มสาวกลับมาร่วมกันสร้างสรรชุมชนบ้านสวนให้เป็นชุมชนบุญนิยม ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของสันติอโศก อยู่กันด้วย ระบบสาธารณโภคี โดยเน้นการสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารไร้สารพิษเป็นหลัก หลังจากนั้นรับประทานอาหารร่วมกัน โดยมีเพื่อนพ้อง น้องพี่ร่วมสร้างความบันเทิงอย่างมีสาระขณะรับประทานอาหาร หลังจากนั้นประชุมใหญ่สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม เลือกกรรมการชุดใหม่ โดยมีพ่อท่านเป็นประธานการประชุม ที่ประชุม มีมติเลือกนายวิศิษฏ์ จิตตนุปัสน์ เป็นนายกสมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมและกรรมการชุดใหม่ หลังจากนั้นถ่ายรูปหมู่ ร่วมกัน แล้วร่วมกันบำเพ็ญประโยชน์ ปลูกต้นไม้ร่วมกัน บรรยากาศเป็นไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของชาว นศ.ปธ. ที่ได้ทำงาน ร่วมกัน สร้างสรรสังคมอีกครั้งหนึ่ง ภาคค่ำพี่น้องที่มาร่วมงาน นศ.ปธ. แนะนำตัวเองและความรู้สึกที่ได้มาร่วมงาน ชมวีซีดี ๑๗ ก.ค.ร่วมกันฟังธรรมในช่วง ทำวัตรเช้าโดยพ่อท่าน เสร็จแล้วผู้มาร่วมงาน ทยอยรับของที่ระลึกจากพ่อท่าน แล้วพ่อท่าน พร้อมปัจฉาฯ เดินทางเข้าสันติอโศก หลังจากนั้นทำบุญใส่บาตร บริหารกายด้วยการบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกัน ปลูกต้นไม้ มุงหลังคา เรือนพักฝ่ายหญิง ฟังธรรมจากสมณะ สิกขมาตุ ที่เคยเป็นอดีต นศ.ปธ.และผู้ที่ให้กำลังใจ นศ.ปธ.มาตลอด รับประทาน อาหารร่วมกัน พรก่อนจาก ข้อคิดไว้ย้ำเตือนเมื่อยามห่างไกลหมู่กลุ่ม กิจกรรมอำลา มีพี่น้องมาร่วมงานประมาณ ๑๔๐ คน บางคนก็มีธุระกลับก่อน บางคนก็สามารถอยู่ร่วมได้ตลอดงาน และเป็นครั้งแรก ที่พ่อท่าน มาเทศน์ มาจำวัดที่นี่ ผู้มาร่วมงานได้ให้สัมภาษณ์ ดังนี้ น.ส.บุษกร กวินธีรภาพ "บรรยากาศ ที่บ้านสวนดีมาก อยากให้ตรงนี้เป็นที่รวมเวลามีกิจกรรม มาที่นี่เหมือนได้เติมกำลังใจ ได้ความรู้สึกที่ดีๆเยอะมาก การคืนสู่เหย้าเหมือนเราได้กลับมารวมกัน มาทำกิจกรรมร่วมกัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ซึ่งกันและกัน ประทับใจรุ่นพี่หลายๆคนที่ทุ่มเทให้กับงานครั้งนี้ คิดว่าปีหนึ่งควรจะมาให้เห็นหน้ากัน ตัวเองคิดว่า จะมางานนี้ทุกปี" นายตายแน่ มุ่งมาจน "ถ้าจัดที่สันติฯหลายคนคงไม่ได้ร่วมกิจกรรมเต็มที่ บ้านสวนเป็นส่วนตัวดี ทุกคนไปไหน ไม่ได้เลย ได้ร่วมกิจกรรมกันทุกคน มาช่วยกันบุกเบิกที่ตรงนี้ พอมีกิจกรรม ก็มีการสร้างอาคาร สร้างกุฏิ งานนี้เหมือนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ความเป็นกลุ่มก้อนของคนหนุ่มสาว แม้ว่าจะจบการศึกษาไปแล้ว จะมารวมกลุ่มรวมตัวกันหายาก ผมก็คิดว่ามามีส่วนร่วม กับพี่ๆน้องๆ ผมอาจจะไม่ได้ทำอะไรได้มากมาย แค่ให้พี่น้องได้หัวเราะกันก็คิดว่าได้ทำประโยชน์แล้ว" พระเดิมแท้ ชาวหินฟ้า "พ่อท่านเอื้อเฟื้อนักศึกษาเหมือนเดิมอีกแล้ว พยายามให้นักศึกษาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชาวอโศก ทั้งๆที่เป็นกลุ่มที่กว่าครึ่งอยู่ทำงานข้างนอก พ่อท่านต้องการให้เกิดการประสานระหว่างภายในกับภายนอก ดูเหมือนพ่อท่าน เห็นความสำคัญของคนกลุ่มนี้ที่มีวิธีคิด มีวิธีการทำงานที่น่าจะถ่วงดุลในหมู่ชาวอโศกได้ ส่วนการจัดงานเหมือนพ่อท่าน เล็งเห็นบุคลิก ลักษณะของคนกลุ่มนี้ว่าชาวอโศกไม่ควรจะขาด แม้แต่การเทศน์แต่ละครั้งๆ ก็ให้กำลังใจ มาร่วมงานครั้งนี้ ก็คิดถึงคนเก่าๆที่เคยทำงานร่วมกันมา ก็อยากมาเห็นหน้ากัน ให้กำลังใจกัน เรายังเป็นเพื่อนกัน มาแลกเปลี่ยนกันว่าไปทำอะไรมาบ้าง ส่วนคนที่ไม่ได้มา อยากจะให้รู้ว่ามีคนคิดถึงอยู่ คนนั้นมาคนนี้ไม่มา พ่อท่านอุตส่าห์จัดเวทีให้เรามาปีละครั้งแล้ว ถ้ามีโอกาส ก็น่าจะปลีกตัวมา เรามาเพื่อให้คนอื่นมีกำลังใจเพิ่มขึ้นก็ยังดี ถ้าเราไม่มาก็เหมือนกับขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง คนที่ไม่มา อาจจะไม่รู้ค่าของตัวเองว่าคนอื่นเขาคิดถึงอยู่ |
พ่อท่านเยี่ยมข่ายแหภาคเหนือเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากร เมื่อวันที่ ๑๒-๑๓ ก.ค. ๔๘ สถาบันบุญนิยมจัดสัมมนาข่ายแหทางภาคเหนือ โดยแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ มีกลุ่มดอยรายปลายฟ้า กลุ่ม ภูผาฟ้าน้ำ กลุ่มศาลีอโศก กลุ่มฮอมบุญอโศก กลุ่มสานฝันปันบุญ สถานที่ที่จัดการสัมมนาคือ ข่ายแหฮอมบุญอโศก จ.แพร่ สมณะและญาติธรรมต่างทยอยไปร่วมงานตั้งแต่วันที่ ๑๑ ก.ค. ๔๘ เป็นส่วนใหญ่ นายอำนวย ผู้รับใช้ที่ฮอมบุญอโศก ได้กล่าวต้อนรับ ญาติธรรมจากทุกที่ และแนะนำสถานที่แห่งนี้ว่า มีเนื้อที่ประมาณ ๙๐ ไร่ (ซึ่งคุณอำนวยบริจาคให้ส่วนกลางทั้งหมด) มีภูเขาล้อมรอบ การทำกสิกรรม ก็มีผักหวานป่า และพืชผักสวนครัวมากมาย ได้แก่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง ถั่วต่างๆ พริกขี้หนู เป็นต้น เด็กนักเรียน สัมมาสิกขาศาลีอโศกบางส่วน พร้อมคุรุ ได้เดินทางมาช่วยเตรียมสถานที่เพื่อต้อนรับญาติธรรมชาวเหนือ ที่เดินทางมาร่วมงาน เป็นจำนวนมาก ๑๒ ก.ค. ๔๘ ท่านอาจารย์ ๒ (สมณะเก้าก้าว สรณีโย) จากพุทธสถาน ภูผาฟ้าน้ำ เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมสัมมนาว่า "ถ้าเราพัฒนาที่ตัวเราเองได้ พัฒนาชุมชนของเราได้ มันก็ไม่ยากเลยที่จะพัฒนาเครือข่ายของเราได้ การที่เราจะทำอะไร ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเริ่มที่ตัวเรา จะเริ่มที่ตัวคนอื่นนั้นไม่ได้" จากนั้นก็แยกกลุ่มสัมมนา ประเด็นการสัมมนาก็เป็นเรื่องทิศทางการดำเนินงานของข่ายแหชาวอโศกปี'๔๘, - ๔๙, การพัฒนา กับงาน ภายใน, ตัวชี้วัด(ขั้นต่ำ)ของศูนย์ บุญนิยมสิกขา, ความต้องการในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของศูนย์ด้านจิตวิญญาณ ด้านสัมมาอาชีพ ผู้สื่อข่าวได้ติดตามคณะที่ไปต้อนรับพ่อท่าน ซึ่งเดินทางโดยเครื่องบินไปลงที่ท่าอากาศยาน จ.ลำปาง แล้วมาเยี่ยมเยียนญาติธรรม ทางภาคเหนือ ที่ฮอมบุญอโศก และเดินทางกลับสันติอโศก กทม.ในตอนค่ำของวันที่ ๑๓ ก.ค. ๔๘ ต่อไปนี้เป็นความรู้สึกของผู้ที่อยู่ในงาน คุณเวียงคำ มหาวงค์ จากชุมชนดอยรายปลายฟ้า "มีความปีติ ตื่นเต้นมากที่จะได้พบพ่อท่านและท่านสมณะมากมายหลายรูป ซึ่งต่างจาก การไปพบทุกที่ เพราะพ่อท่านมาหาลูกเองถึงที่ ทั้งๆที่พ่อท่านอายุมากแล้ว น่าจะให้ลูกๆมาหาแต่พ่อท่านอุตส่าห์มาเยือน เอื้อไออุ่น ให้ลูกๆ มาจน เรียกได้ว่า โอกาสอย่างนี้หาไม่ได้ในทั่วไป และอีกอย่างก็ได้มาพบญาติธรรม ได้เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาแบบพี่กับน้อง ก็จะนำไป ปฏิบัติ ให้ชุมชนของเรา เข้มแข็ง" คุณปัทมาวดี กสิกรรม กรรมการสถาบันบุญนิยม "ได้มาประชุมเป็นครั้งที่ ๒ แล้ว ประทับใจญาติธรรมทุกท่าน และท่านสมณะ ที่ให้ ความสำคัญ ต่องานนี้ ประทับใจพ่อท่านที่คอยเป็นที่ปรึกษาตลอด การจะร่วมมือกันได้ก็ต้องใช้ความพยายาม ความอดทน และประทับใจ สถานที่ อากาศดี ไม่เหมือนทางกทม.มีแต่ มลพิษ ที่นี่เหมาะสำหรับเป็นที่ฝึกอบรมอย่างมาก ส่วนเรื่องอาหารก็อร่อย รสชาติใช้ได้ ผู้คน ต้อนรับดี ที่หลับที่นอนเรียบร้อย สะอาด ผักผลไม้ไร้สารพิษดีมาก" |
เกษตรอินทรีย์...ได้ยกขึ้นมา เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการพัฒนามาตรการความปลอดภัยด้านสุขอนามัย สินค้าเกษตร และ อาหารไทย ตามนโยบาย...ครัวไทยสู่ครัวโลก...!!! จึงได้สร้างความสับสนให้กับเกษตรกรว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ เนื่องจากมีนักวิชาการบางกลุ่มออกมาบอกกับสังคมว่า การที่จะใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์ มาใช้กับการเกษตรเพียงอย่างเดียวนั้น ธาตุอาหารอาจไม่เพียงพอกับความต้องการของพืช...นั่นหมายถึงการเจริญเติบโตที่ได้ไม่เต็มที่ ผลผลิตแม้นมีคุณภาพ แต่ว่าไม่ได้ปริมาณ ตามต้องการ คณะกรรมการดำเนินการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ จึงได้มีมติเห็นชอบให้จัดทำโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ และถ่ายทอด เทคโนโลยี ด้านการผลิตเกษตรอินทรีย์ใน ๒๒ จังหวัดเป็นการนำร่อง โดยมอบหมายให้คุณชวาลวุฑฒ ไชยนุวัติ รองปลัดกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ เป็นผู้ถือหางเสือ ซึ่งในเบื้องต้นได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งชี้แจงแนวคิด และข้อปฏิบัติเรื่องเกษตรอินทรีย์ที่ถูกต้องได้เข้าใจแนวคิดและการปฏิบัติ เรื่อง เกษตรอินทรีย์ ให้ถูกต้องตรงกัน ทั้งนี้จึงได้จัดกิจกรรมเรียนรู้หลักการปฏิบัติ และปรับวิธีคิดของผู้ปฏิบัติทั้งในส่วนของผู้ว่าราชการ ๗๕ จังหวัดหรือผู้แทน กับข้าราชการ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการสัมมนาศึกษาดูงานขึ้น ณ ราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นสถานที่ ที่ทำการ เกษตรอินทรีย์ แบบ ๑๐๐ % เป็นเวลา ๓ วัน คือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป... ...การสัมมนาในครั้งนี้จะได้เห็นตัวอย่างของการเกษตรอินทรีย์ที่ประสบความสำเร็จ และ จะเป็นการลงลึกในส่วนรายละเอียด และแนวทาง ปฏิบัติที่ชัดเจน ส่วนแผนการดำเนินการเกษตรอินทรีย์ของแต่ละจังหวัดที่ผ่านการคัดเลือก ให้นำร่องนั้น ก็ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการ แต่ละจังหวัด เป็นผู้พิจารณาวางแผน... ...โดยพิจารณาจากความพร้อม ความเหมาะสม และภูมิประเทศของแต่ละจังหวัดเป็นปัจจัยหลัก...!!! รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังบอกถึงปัจจัยที่จะทำให้เกษตรอินทรีย์เดินเข้าไปสู่ความสำเร็จว่า... "...ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นตามไปแล้ว ยังเป็น ต้นเหตุให้ราคาปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยเคมีและสารเคมีต่างๆ ขยับราคาสูงขึ้นตาม ดังนั้นเกษตรกรรายย่อยจึงควรหันมาผลิตเกษตรอินทรีย์ให้มากขึ้นเพราะนอกจากจะลดต้นทุนการผลิตแล้ว ก็ยังได้รับความนิยม ในการบริโภค ทั้งในและนอกประเทศอีกด้วย..." ก็ถือว่าเป็นจุดสตาร์ทในการพัฒนาสินค้าเกษตรให้อาหารที่ปลอดภัย การเป็นครัวของโลกก็อยู่ไม่ไกลนัก...!!! |
จากกรณีรถกองทัพธรรมมูลนิธิถูกจับให้แง่คิดอะไรแก่เราบ้าง และช่วงเข้าพรรษนี้ มีสิ่งใดที่ต้องรำลึกหรือข้อคิดที่นักปฎิบัติธรรม ควรสังวร ระวังมีอะไรบ้าง พบกับคำให้สัมภาษณ์ของสมณะเดินดิน ติกขวีโร ได้แล้วค่ะ กรณีรถกองทัพธรรมถูกจับมีข้อที่ญาติธรรมต้องระมัดระวังกันอย่างไรบ้าง? เมื่อเราถูกตำรวจจับกุมแล้ว เราก็พยายามติดตามเอกสารจากทางป่าไม้ให้ได้จนครบ นอกจากจะได้เอกสารจนครบแล้วนี่ ก็มีผู้ใหญ่ หลายฝ่าย หลายกระทรวงช่วยประสานเพื่ออำนวยความสะดวก เพราะกรณีนี้ไม่ได้เป็นกรณีทุจริตอะไรมันเป็นเรื่องของการกุศล เป็นไม้สักที่ปลูกถูกต้อง ขออนุญาตตัด ขออนุญาตปลูกถูกต้อง และบริจาคมาให้ไม่ได้เป็นธุรกิจอะไรมันเป็นเรื่องถูกต้อง และก็แม้จะมี หลายฝ่าย มาช่วยประสานงาน ให้ขนาดนี้ จนเจ้าหน้าที่ ตำรวจเขาบอกว่า เขาต้องรับโทรศัพท์จากหน่วยเหนือ จนหัวหมุนไปหมด และก็ยังมีพวกเราในพื้นที่ช่วยวิ่งเต้น โดยมีผู้ใหญ่ ในพื้นที่ ก็ช่วยติดต่อประสานงานให้ทุกอย่าง ถึงขนาดนั้นก็ยังเรียกว่าแทบตายก็ได้ ต้องใช้เวลาถูกควบคุม รถต้องถูกยึด เป็นเวลา แรมเดือนเลย ทั้งๆ ที่ผู้ใหญ่ก็ช่วย เอกสารที่รับรองความถูกต้องก็มีครบหมด แต่เราไม่ยอม จ่ายเงินใต้โต๊ะแค่นั้นเอง ดังนั้นก็อยากจะฝากเตือน พวกเราว่า เราเองจะต้องพยายามไม่ทำอะไรให้ผิดเด็ดขาด ต้องพยายามทำ ในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อเป็นตัวอย่างของสังคมให้ได้ ฝากถึงพวกเรา ที่ขับรถกองทัพธรรมฯ ก็ต้องพยายามขับให้ถูกกฎจราจร อย่าขับให้เร็ว เกินกำหนด สมณะที่คอยควบคุมดูแลก็ต้องช่วยบอกช่วยเตือนกัน เราต้องเป็นตัวอย่างและไม่เปิดช่องทาง ที่จะให้เขามาเล่นงาน หรือรีดไถเราได้ ซึ่งงานนี้ก็เห็นอยู่ว่าขนาดเรามีหลักฐานครบถ้วน ถูกต้อง เพียงเอามาได้ไม่ครบ เพราะว่าเป็นความเนิ่นช้า ดึงเวลา ของทางราชการเท่านั้นเอง ที่จะให้เราจอดคอยเป็นอาทิตย์ พวกเราก็เลยตัดสินใจ มาก่อน แม้จะเอาหลักฐานมายืนยันครบแล้ว เราก็ถูกดำเนินการ เสียเวลานานเป็นเดือน ซึ่งในกรณีนี้ถ้าเรามีอะไรที่ทุจริตผิดกฎหมาย เราคงจะเสียหาย เสียชื่อและเราก็ไม่ยอม ติดสินบนด้วย เราคงจะตายแน่นอน ใครก็ช่วยเราไม่ได้ เพราะมีของที่ทุจริตผิดกฎหมาย เราจะต้อง ไม่ทำกันโดยเด็ดขาด ก็ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทั้งผู้ใหญ่จากกระทรวงที่ช่วยประสานงานอำนวยความสะดวกเพื่อให้เกิดความถูกต้องเป็นธรรม
ให้เกิดขึ้น ในหมู่กลุ่มของพวกเราสิ่งที่เป็นปัญหาอย่างหนึ่งก็คือหลงปัญญาจนเป็นอันตรายทั้งตัวเองและก็ทำความเดือดร้อนให้กับหมู่กลุ่ม หรือ จะเรียกว่า เป็นพวกปัญญาดีแต่พละอินทรีย์อ่อน (อินทรีย์พละในที่นี้ก็คือมีศรัทธาน้อย มีความเพียรน้อย มีสมาธิ มีจิตใจสงบน้อย ฯลฯ) แต่กำลัง ถูกโรค อีโมล่า หรือโรคอีเบื่อศาลาเล่นงาน สติที่จะคอยจัดการกับกิเลสตัวเองที่เป็นสติสัมโพชฌงค์ ไม่มี สมาธิที่เกิดจาก การเพ่งมองกิเลสของ ตัวเอง ก็ไม่มี มีแต่ปัญญาโลกียะที่สามารถมองเห็นข้อบกพร่องของผู้อื่นและหมู่กลุ่มได้มากมาย แต่แสนจะมืดบอด ในการมองเห็นตัวเอง หรือ ข้อบกพร่องของตัวเอง จึงเป็นคนที่มีปัญญาดีแต่มีปัญหามาก ซึ่งตรงกันข้ามกับปัญญาของพุทธ ยิ่งมีปัญญา มากยิ่งไม่มีปัญหา การทำฌานของพุทธนั่นจะต้องเป็น การเพ่งเผากิเลสของตัวเรา เมื่อใดขณะใดที่เรากำลังเพ่งเผากิเลสของตัวเรา เมื่อนั้นก็คือ การเกิดฌาน ของพุทธ แต่เมื่อใดที่เราเพ่งเผาจะไปเอาเรื่องเอาราวผู้อื่นนี่ก็ให้ระวัง นอกจากจะไม่เป็นฌานแล้วนี่มันจะเป็น การกำลังเกิดความชั่ว หรือ การสั่งสมความชั่วเกิดขึ้น การสั่งสมฌานกับการสั่งสมชั่วก็จะต่างกัน อยู่ที่ว่าเรากำลังตั้งใจจะเผาอะไร ถ้าเผาตัวเองก็จะมีแต่ ความสงบเย็น และก็จะมีศรัทธาเพิ่มขึ้น ความเพียรเพิ่มขึ้น มีสมาธิมีความสุขเย็นเพิ่มขึ้น แต่ถ้าไปเพ่งเผาคนอื่นทั้งวันทั้งคืน ตัวเอง ก็จะร้อนทุรนศรัทธา ก็จะหมด ความเพียรก็ไม่มี เรี่ยวแรง ก็ไม่มีที่จะไปคิดขวนขวายในกุศลอะไร ซึ่งพวกนี้เวลาไปที่ไหนไปงานไหน ก็จะมองเห็น ข้อบกพร่อง ของที่นั่นที่นี่ ของคนนั้นคนนี้เต็มไปหมด เวลาฟังธรรมของพ่อท่านก็ดีฟังธรรมของสมณะก็ดี เมื่อมีนิวรณ์เป็นพยาบาท จิตพยาบาทก็ดี จิตไม่ชอบใจ จิตถือสาก็ดี การที่จะฟังธรรม ยกจิตขึ้นมา เพื่อให้เกิดการตรัสรู้ก็จะไม่มี มันก็เลยไปที่ไหนๆ สถานที่ก็ไม่ดี เจอคนที่จัดงานก็ไม่ดี ฟังธรรมก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจ เพราะจิต ของเราตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี ตรงนั้นก็น่าถือสา กำลังจิตของเราก็ไม่มีที่จะสามารถที่จะแทงนัยของธรรมะให้ลึกซึ้งถึงขั้นบรรลุได้ ถ้าอย่างนั้น ไปไหนเราก็จะมีแต่ความร้อนอก ร้อนใจไปหมด สุดท้ายก็จะต้องระวังว่าเราอาจจะกลายเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ไม่มี แผ่นดินจะอยู่ แต่การที่ไม่มี แผ่นดินจะอยู่ไม่มีใครทำให้เรานะ ตัวเราเผาตัวเองให้ร้อนรนจนรุ่มร้อน ไปตรงนั้นก็ร้อนไปตรงนี้ก็ร้อน ร้อนไปหมด นี่ก็เป็น อันตรายของคนที่มีปัญญาดีแต่อินทรีย์พละอ่อน ซึ่งจริงๆ แล้วในการปฏิบัติธรรมเรา ไม่ต้องเสียพลังงานเพื่อทำให้ตัวเองเสียอนาคตอย่างนี้ ยุคนี้เป็นยุคที่เราจะต้องประหยัดพลังงาน ความจริง เราไม่ต้องไปเสียพลังงานคิดเผาคนอื่นหรือคิดเอาเรื่องเอาราวคนอื่นหรอก ถ้าเรายังไม่สามารถควบคุมจิตใจของเรา ให้สงบระงับ ให้หยุดไม่ได้ เพราะจริงๆแล้ว ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของ ชุมชนแต่ละแห่งมีกรรมเป็นตัวลงโทษ มีกรรมเป็นตัวจัดการคนที่เขาพูดผิด คิดผิด ทำผิดอยู่แล้ว ถ้าเมื่อไหร่ เราไปใช้กฎแห่งกู ไม่ได้ใช้กฎแห่งกรรมเมื่อนั้นกรรมก็จะลงโทษตัวเราเองเช่นกัน เสียพลังงาน เสียอารมณ์ เสียความรู้สึก และก็เสียอนาคต เพราะการหลงปัญญาที่คิดว่า ปัญญาตัวเองรู้แน่ รู้แท้ รู้จริงยิ่งกว่าใครๆ แต่ถ้าถามถึงอินทรีย์พละว่า อินทรีย์พละระดับไหน ศรัทธา ก็แทบจะหมดศรัทธากันอยู่แล้ว ความเพียรที่จะเพ่งเผาเพิ่มอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาตัวเองก็แทบไม่มีอยู่แล้ว สมาธิ ก็แทบจะไม่มี ความสงบใจ อะไรเลย แต่ความหลงปัญญาก็เลยทำให้อนาคตที่จะเป็นกำลังศาสนา เป็นศาสนทายาทต้องเสียไป เพราะหลงปัญญา เลยทำให้เสียอารมณ์ และก็เสียอนาคตของตัวเองในที่สุด ท่านอยากจะฝากอะไรให้ญาติธรรม? "ขอย้ำว่าทุกคนที่มาอยู่ในที่นี้นี่ มาขี้เกียจนี่ มันเลวแล้วนะ จะมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่ ว่าจะมาพัฒนาคนเลวลง ต้องพัฒนาให้คน ดีขึ้น เพราะฉะนั้น จะเข้ามาอยู่ก็ต้องสำนึก หรือว่ารู้สึกตัวมั่งว่า ที่นี่ไม่ใช่แดนคนเลว ที่นี่เป็นแดนคนดี ไอ้ความขี้เกียจ มันอบายมุขแล้วน่ะ.. เรียนรู้กันแล้ว ก็รู้ทุกคนน่ะ ความขี้เกียจมันอบายมุขแล้ว เห็นแก่ตัว เลี่ยงอะไรต่ออะไรต่างๆนานานะ มาอยู่นี่ กินมันเป็นบาปนะ โดยสัจจะนี่ โดยวิบาก โดยกรรม มันเป็นบาป บาปในแดนคนบุญนี่อาตมาเคยพูดมาหลายครั้งหลายคราวแล้ว บาปในแดนคนบุญ มันราคาแพงกว่าบาปในแดนคนบาป ทำบาปในแดนคนบาป ถ้ามันผิดบาปร้อยหนึ่งในแดนคนบาป ในนี้มันมากกว่ากัน เป็นร้อยเท่า ทำบาปในนี้เหมือนกัน เหมือนกับเราเอาข้าวก้อนหนึ่งนี่ไปทำบุญ เอาข้าวให้หมากินก็ได้บุญขนาดนั้น แต่ถ้าเอาข้าวให้คนกิน ก็ได้บุญมากกว่า ยิ่งเอาข้าวให้พระอาริยะกิน ก้อนเท่ากันนี่หละ ราคาบุญมันก็แพงกว่ากัน ยิ่งให้พระอรหันต์ มันก็ยิ่งได้บุญมากกว่ากัน ราคาบุญก็แพงกว่าให้หมากิน ฉันเดียวกัน ทำบาปนี่กับคนบาป มันก็บาปเท่านั้นแหละ ฆ่าหมามันก็บาปเท่านั้น ฆ่าคนมันก็บาปขึ้น ฆ่าพระอาริยะ มันก็บาปขึ้นไป ราคาบาปมันต่างกัน ฆ่าคนเหมือนกัน ฆ่าคนธรรมดา ฆ่าโจรมันก็บาปเท่านั้น แต่ถ้าฆ่าพระอาริยะ ฆ่าพระ อรหันต์ ก็คนเหมือนกัน ราคาบาปมันต่างกันฉันใด กินบุญของคนในแดนบุญ เป็นบาปที่ราคาบาปเป็นร้อยๆเท่าเหมือนกัน อาตมาไม่ได้ขู่นะ นี่พูดเรื่องจริง เพราะงั้นอยู่ในที่นี้ อย่านึกว่าตัวเราเองนี่อยู่สบาย กินแรงคนอื่น กินแรงเพื่อนคนโน้นคนนี้อยู่นี่ มันบาปมหาศาลเลยนะ ซับซ้อนนะ อย่านึกว่า มันสบายนะ อยู่ในนี้น่ะ มันสบายจริงแต่มันบาป มันสะสมบาปโดยไม่รู้ตัวได้ ต้องเข้าใจเรื่องบาปเรื่องบุญ พวกนี้ ให้ชัดเจน อาตมาไม่ได้ขู่ ไม่ได้พูด เพื่อที่จะให้เรากลัวเฉยๆ ไม่ใช่นะ มันเป็นเรื่องสัจจะ แต่ถ้าไม่เชื่อก็แล้วไป ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ถ้าอยู่ได้ โดยเพื่อนไม่รังเกียจ ก็ทนๆอยู่ไปงั้นน่ะ ยิ่งอยู่ไปๆ บาปมันก็มีแล้วนะ เพื่อน รังเกียจอีกด้วย มันก็ยิ่งไปกันใหญ่นะ.. หนักเข้าเป็นหมาหัวเน่า ในที่นี้ก็อยู่ไม่ได้ ในอนาคต เพราะงั้น ก็พากเพียรกันหน่อย" |
รถกองทัพธรรมขนไม้สักที่ญาติธรรมบริจาค ถูกตำรวจจับกุมคุมขังตั้งข้อกล่าวหาทันที โดยไม่ต้องรีรอเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาตรวจสอบ ตามขั้นตอน อำนาจของตำรวจมีมากมายออกปานนี้ ประชาชีมิตายชักกันดอกหรือ? ตำรวจไทยยุคโรงพักเพื่อประชาชน แต่ไหงรีบด่วนจับคนเข้าห้องขังง่ายจัง ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด โดยเฉพาะกรณีการจับไม้ ที่ส่งเสริม ให้ชาวบ้านเขาปลูกกันขึ้นมา แต่ก็น่าจะสะกิดใจตรงที่มีแต่ไม้สักท่อนเล็กๆ ไม่น่าจะไปขโมยตัดมาจากป่าที่ไหนได้ และแต่ละท่อน ก็มีตราตี ประทับจากเจ้าของไม้สวนป่ามาเรียบร้อย พอจับรถจับคนขับได้ ก็จับเข้าห้องขังตั้งข้อกล่าวหาทันที ทั้งๆที่โดยปกตินั้น ต้องรอ ให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ มาตรวจสอบกันเสียก่อน หากเป็นไม้มีปัญหาเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็จะเป็นผู้ตั้งข้อกล่าวหา แต่งานนี้ท่านตำรวจจับเอง ตั้งข้อกล่าวหาเสียเอง แต่เผอิญ เป็นรถกองทัพธรรม ยังไงๆเราก็ไม่ยอมจ่ายเงินใต้โต๊ะอย่างเด็ดขาด อยู่แล้ว แม้แต่นานสักแค่ไหนก็จะรอ รอไปจนกว่าความยุติธรรมจะเกิดขึ้น สุดท้ายแล้วกว่ารถจะออกได้ก็ใช้เวลาทั้งหมดเกือบ ๓ อาทิตย์ นี่ขนาดท่านกรุณาเร่งทำ ให้เร็วที่สุดแล้ว รายละเอียดของข่าว คงติดตามอ่าน ได้จากสัมภาษณ์คนขับ ที่ถูกจับกุมคุมขังดังนี้ เราไปขนไม้ที่สุพรรณฯ รถออกเวลาเท่าไหร่? วิ่งมาถึงไหนจึงถูกจับ? ตำรวจเขาว่าอย่างไรเมื่อเขาเห็นสมณะ? แล้วทำไมเขาถึงเอาเราเข้าห้องขังล่ะ? แล้วเขาเห็นไหมว่าไม้ตีตรา? รถถูกยึดอยู่ที่โรงพักกี่วัน? ความจริงเราถูกจับตั้งแต่วันอังคาร มีรองอธิบดี มีเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ทางโน้น เขาก็ยืนยันว่าเป็นไม้ที่ถูกต้อง ตำรวจไม่มีหน้าที่ แจ้งข้อหา กับเรา ต้องให้ป่าไม้มาแจ้งข้อกล่าวหาเราอีกทีหนึ่ง แต่ตำรวจจับเองแจ้งเองเอาคนของเราเข้าห้องขัง เขาก็คงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หักล้าง คำกล่าวหา ที่ตั้งไว้ผิดแล้ว แล้วก็ปล่อยให้เรื่องคามาเรื่อยๆ ตำรวจป่าไม้บอกแล้วว่า ไม้ไม่ผิดก็รู้อยู่ เมื่อเอกสารอะไรไม่เพียงพอ ก็กักรถ ไว้ได้ แล้วก็เรียก ป่าไม้ไปตรวจดูว่าเป็นอย่างไร แต่นี่ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นไม้ผิด ไม้ถูก จับไปเลย เป็นผู้ต้องหาไปเลยมันไม่ถูก ป่าไม้เขาพูด อย่างนี้ แล้วหินลือเป็นอย่างไรบ้างอยู่ในห้องขัง? บทสรุปรถกองทัพธรรมถูกจับกุมในครั้งนี้ เหมือนๆกับพวกเราไปขนเฮโรอีน ทั้งๆที่เป็นเรื่องของการกุศล และถูกต้องมาแต่ต้น แต่ระบบ อำนาจ ที่มอบหมายให้กับข้าราชการ ทำให้คนผิดไปหมดแม้จะเสียสละ หรือจะตั้งใจดีแค่ไหนก็ตาม เริ่มจากกว่าจะได้เอกสารทางป่าไม้ มาให้ครบ รถจะต้องไปจอดรอกันยาวนาน (แล้วแต่เจ้าหน้าที่จะดลบันดาล) และยิ่งมาเจอด่านตำรวจ ก็ยิ่งเจอข้อหาหนักร้ายแรงกว่าเก่า เมื่อพบว่า เป็นไม้สัก เต็มคันรถ (ทั้งๆที่ ส่วนใหญ่เป็นไม้ท่อนเล็กๆ) ยังไงๆ ก็ต้องจับกันไว้ก่อน ถึงยังไงๆก็ต้องหาที่ผิดกันจนได้ แม้งานนี้ จะมีผู้ใหญ่ หลายๆ ฝ่าย มาช่วยดูแลกำชับกำชาให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรม และเจ้าหน้าที่เกือบทุกคนก็ปฏิบัติต่อพวกเราอย่างดี พูดเหมือนว่า จะช่วยพวกเรา อย่างเต็มที่ แต่กว่ารถจะหลุดพ้นจากคดีที่ร้ายแรงพอๆกับขนเฮโรอีน ก็ต้องเสียเวลาตั้งแต่ต้นเดือน (๕ ก.ค.) จนเกือบปลายเดือน (๒๗ ก.ค.) ทำให้นึกถึง ประชาชนตาดำๆ และผู้บริสุทธิ์อีกมากมาย เขาจะต้องกลายเป็นคนผิดทันที กับระบบ ที่ทำให้คนผิดไว้ก่อน ส่วนเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจ ก็ไม่ต่างอะไร กับราชสีห์ที่จะกินหรือปล่อยลูกแกะ ยังไงก็ได้ตามอำเภอใจ เพราะจะเล่น เอาผิดกันอย่างไรก็ได้อยู่แล้ว!.
รถกองทัพธรรมมูลนิธิที่ถูกจับเพราะได้บรรทุกไม้สักจำนวน ๒๕๑ ท่อน เป็นไม้สักจากสวนป่าของนายหนึ่งเดียว ที่ได้บริจาคให้แก่ ราชธานีอโศก เป็นไม้สัก ที่ถูกต้องตามกฎหมายสวนป่าคือ พระราชบัญญัติสวนป่าพุทธศักราช ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ ให้แก่ประชาชน ผู้ปลูก ไม้ป่า ให้ได้รับสิทธิไม่ต้องเสียค่าภาคหลวง และไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎเกณฑ์บางประการ ตามที่กำหนดไว้ ในพระราชบัญญัติป่าไม้ เมื่อกฎหมาย มีเจตนาให้สิทธิต่างๆ แก่ประชาชนผู้ปลูกสร้างสวนป่า เพื่อให้เกิดสวนป่า เต็มแผ่นดิน เป็นคุณค่า ของประเทศชาติ เมื่อมีการเคลื่อนที่ไม้สักถูกกฎหมาย ออกจากสวนป่าของนายหนึ่งเดียว จากจังหวัดสุพรรณบุรีและมาถูกจับที่อำเภอปากช่อง จังหวัด นครราชสีมา เพราะไม่มีใบเบิกทาง ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนที่มีเจตนาดี เห็นว่าเป็นไม้สวนป่าของตนที่ถูกกฎหมาย ตนก็ย่อม มีสิทธิ ที่จะนำไม้สักของตนไปให้ใครที่ไหนก็เป็นสิทธิของตน แต่เมื่อนำไม้สักเคลื่อนที่ไปส่ง กลับถูกตำรวจจับเช่นนี้ ไม่เป็นการลิดรอน สิทธิจนเกินไปหรือ เมื่อเป็นไม้ที่ถูกกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทราบและเข้าใจแต่ก็ยังจับ จะให้ประชาชนเข้าใจอย่างใด ในการกระทำ ตามหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ ตำรวจ กฎหมายผิดพลาดไปหรือผู้ใช้กฎหมาย ไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของกฎหมายกันแน่ ประชาชน ได้รับ ความเสียหายเต็มๆเช่นนี้ จะแก้ไข อย่างใด เพื่อมิให้เกิดเหตุขึ้นอีก ประชาชน ผู้ปลูกสร้างสวนป่าเข้าใจว่าตนไม่ผิด เพราะเป็นการสร้าง ประโยชน์ มิได้ทำการเดือดร้อนเสียหาย ให้แก่ผู้ใด และเป็นไม้สัก ถูกกฎหมายแท้ๆ เมื่อรถกองทัพธรรมถูกจับได้ ๕ วัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ตามเจ้าพนักงาน ป่าไม้มาพิสูจน์ว่าเป็นไม้สักถูกกฎหมายหรือไม่ พอเจ้าหน้าที่ ป่าไม้ เห็นสภาพไม้ก็รู้ทันทีว่าเป็นไม้สวนป่าที่ถูกกฎหมาย และพูดว่าน่าจะบอกให้มาพิสูจน์ตั้งแต่วันแรกที่จับ เมื่อเป็นไม้ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ป่าไม้ จะเป็นผู้แจ้งความว่ากระทำความผิดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งความ จับกุมไปแล้ว ก็ไม่สามารถ ปล่อยรถกองทัพธรรมและจำเป็นต้องยึดรถกองทัพธรรมไว้ที่ป่าไม้จนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำคดีเสร็จและ ส่งอัยการ เมื่อเรื่องเสร็จ จึงจะคืนรถกองทัพธรรมให้ เหตุที่ต้องเกิดความเสียหาย เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งความจับกุม ทั้งๆ ที่ตนก็รู้ว่าเป็นไม้สวนป่าถูกกฎหมาย โดยอ้างว่าทำตามหน้าที่ เมื่อเป็นการทำตามหน้าที่ แต่การกระทำนั้นทำให้ประชาชนเดือดร้อนเสียหายเช่นนี้ จะยังเป็นสิ่งที่สมควรกระทำอีกหรือ ถ้าประชาชน มีเจตนา ทุจริตแล้วเป็นของผิดกฎหมายด้วยเช่นนี้ ตำรวจก็สมควรรีบแจ้งความจับกุมทันที แต่กรณีตามพระราชบัญญัติสวนป่า ที่ได้ออก กฎหมาย นี้ขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์จะช่วยเหลือเอื้อประโยชน์แก่ประชาชน ให้ได้รับความสะดวก เช่นการตอกตีตรา ก็ให้ประชาชน ที่ได้รับ อนุญาต สามารถ ตอกตีตราประทับไม้ได้เอง และมีหนังสือให้ประชาชนสามารถทำบันทึกรายละเอียด แจ้งปลูกแจ้งตัดได้เอง เพื่อไว้ เป็นหลักฐาน รับรอง ความถูกต้อง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ได้ชี้แจงว่าถ้ามีการตอกตีตราประทับและมีหนังสือรับรองการแจ้งเช่นนี้ ก็จะไม่แจ้ง เอาความผิด ตามพระราชบัญญัติ สวนป่า ซึ่งคนละเรื่องกับพระราชบัญญัติป่าไม้ แต่ตำรวจเห็นหลักฐานที่ชาวบ้านเขียนเอง โดยไม่ต้องมีลายเซ็น และตราประทับ ของทางราชการ เลย เข้าใจผิดไปว่า ใช้รับรองความถูกต้องไม่ได้ เหตุการณ์นี้น่าจะเป็นเหตุการณ์สุดท้าย และเป็นบทเรียนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนก่อนจะทำหน้าที่ แจ้งความจับประชาชน ต้องมีจิตสำนึก ที่ดี ก่อนมีการจับ และการจับประชาชนนั้นเ ป็นการจับเพื่อเป็นประโยชน์แก่ชาติ เป็นการทำงานเพื่อชาติ มิใช่ทำงานเพราะตนมีอำนาจ ที่จะกระทำ แต่ผลเสียหาย จะเกิดอย่างใดไม่สน เช่นนี้ ตำรวจจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้หรือ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้หลักผู้ใหญ่ ของบ้านเมือง จะได้ช่วยกัน เห็นความสำคัญ ปลูกสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อกัน เพื่อให้ตำรวจเป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไป |
ออกกำลังกายเสียแต่วันนี้
อ่านไปพบบทความใน นสพ. ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๑๕ มี.ค.ที่ผ่านมาเล่าถึงความสำคัญของการออกกำลังกาย ซึ่งเขาโปรยหัวเรื่องไว้ว่า "ออกกำลัง ช้าไปหน่อยก็ยังไม่สาย แถมวิ่งหนีห่างหายจากโรคหัวใจ" จึงนำมาฝากกัน รายละเอียดก็มีอยู่ว่า "แม้เพิ่งจะมาเริ่มออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเอาเมื่อตอนสูงอายุแล้ว ก็อาจกล่าวได้ว่ายังไม่สายเกินไป เพราะนักวิจัยชาวแคนาดา ปลอบใจว่า มันช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและเบาหวานลงได้เช่นกัน ดร.โรเบิร์ต จอห์น เพเทรลลา และคณะ จากมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น ออนทาริโอ ในลอนดอน ตรวจสอบถึงผลกระทบจากการฝึกซ้อม ออกกำลังกาย โดยดูตัวชี้วัดจากพัฒนการการเผาผลาญอาหารในโรคหัวใจ แบ่งกลุ่มศึกษาเป็น ๒ กลุ่มคือ กลุ่มผู้สูงอายุระหว่าง ๕๕-๗๕ ปี ที่มีการออกกำลัง กับพวกที่นั่งๆนอนๆ กลุ่มหนึ่งเริ่มออกกำลังภายใต้การควบคุม ส่วนอีกกลุ่มที่มีพฤติกรรม นั่งๆนอนๆนั้น เอาไว้เป็นกลุ่ม "ควบคุม" ใช้สำหรับเปรียบเทียบ ปรากฏว่า เวลาผ่านไป ๑๐ ปี มีข้อมูลสมบูรณ์ของกลุ่มที่ได้ออกกำลัง ๑๖๑ ราย ส่วนอีกกลุ่มมีข้อมูล ๑๓๖ ราย ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ ออกกำลัง มีระดับความฟิต เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย ๓.๕ เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่อีกกลุ่มระดับความแข็งแรงลดลง ๑๓.๘ เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะ กลุ่มหลังนี้ กระบวนการ เผาผลาญอาหารผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับกลุ่มแอ็กทีฟ โดยภาพรวมแล้วจะเห็นว่าเวลาผ่านไป ๑๐ ปี กลุ่มอาการปัจจัยเสี่ยงอย่างความดันโลหิตสูง ระดับน้ำตาล และความอ้วน ที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ใ ห้เกิดโรคหัวใจ และเบาหวานนั้น ในกลุ่มที่ไม่ออกกำลังมีปัจจัยเสี่ยง ๒๘ เปอร์เซ็นต์ ส่วนกลุ่มที่ออกกำลังมีอาการที่ว่ามาเพียง ๑๑ เปอร์เซ็นต์ สำหรับการวิจัยครั้งนี้เป็นการทดลองในระดับคลินิก ดังนั้นก้าวต่อไปหัวหน้าคณะผู้วิจัยบอกว่า จะต้องขยายผลไปสู่ระดับชุมชนที่ กว้างขวางขึ้น |
ต้านเบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้น ตามที่ขณะนี้มีคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งกำลังใช้ความพยายามที่จะนำธุรกิจเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ด้วยวิธี การรวบรัดและปกปิด อันเป็นการกระทำที่สวนกระแสต่อความเห็นของสาธารณชนทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่ทราบดีทั่วประเทศ แม้บัดนี้กระแส มหาชน ก็ยังคงยืนยัน และมีมติคัดค้านการนำธุรกิจเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จดทะเบียนเข้าตลาด หลักทรัพย์ เพราะการกระทำดังกล่าว จะนำไปสู่ภัยพิบัติ และสร้างความหายนะให้กับสังคมมากยิ่งขึ้น เมื่อเช้าวันพุธที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ สถาบันบุญนิยมร่วมกับเครือข่ายงดเหล้า ๑๒๘ องค์กร ศาสนิกชนทุกศาสนา นิสิตนักศึกษา นักเรียน และประชาชนราว ๑๐,๐๐๐ คน พร้อมกันที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถนนวิทยุ ใกล้สวนลุมพินี พลตรีจำลอง ศรีเมืองอ่านคำแถลงการณ์และยื่นหนังสือคัดค้านกับเลขาธิการ ก.ล.ต. ต่อจากนั้นขบวนเครือข่าย ๑๒๘ องค์กร ออกเดินเท้าจากถนนวิทยุ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระราม ๔ ผ่านคลองเตย เลี้ยวซ้ายเข้าถนน รัชดาภิเษก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก ข้างศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พลตรีจำลอง ศรีเมือง อ่านคำแถลงการณ์ และ ยื่นหนังสือ คัดค้านกับรองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ พลตรีจำลอง ศรีเมือง พร้อมคณะตัวแทนสถาบันบุญนิยมและเครือข่ายงดเหล้า
๑๒๘ องค์กรเดินทางต่อไปยื่นรายชื่อประชาชน ๖๓,๔๕๕ ราย จำนวน ๕๓ กล่อง เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมการจดทะเบียนและซื้อขายหลักทรัพย์
ของกิจการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ บุหรี่ พ.ศ. ๒๕๔๘ กับรองประธานรัฐสภา
ที่รัฐสภา |
หน้าปัดชาวหินฟ้า เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ นสพ. ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๕๙(๒๘๑) ปักษ์หลังวันที่ ๑๖-๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ พบกับความเคลื่อนไหว ในแวดวงชาวเรา ประจำฉบับนี้ได้ ดังนี้ แก้ไขข่าว...เมื่อฉบับก่อนจิ้งหรีดได้พูดถึงคุรุแพรฝัน ที่ผันตัวเองมาเป็นแม่ค้าขายพืชผักไร้สารพิษอยู่หน้าร้านกู้ดินฟ้า ๑ นั้น เป็นข้อมูล ที่คลาดเคลื่อน ข้อมูลที่ถูกต้องคือ รับพืชผักไร้สารพิษจากร้านกู้ดินฟ้า๑ ไปจำหน่ายที่หน้าร้าน มร.ฐ.นะฮะ...จี๊ดๆๆๆ ..... พฟด....เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๑ ก.ค.ที่ผ่านมา จิ้งหรีดได้มีโอกาสติดตามแม่หนึ่งในธรรม ประธานสาขาพรรคเพื่อฟ้าดินลำดับที่ ๘ ไปประชุม เพื่อระดมธรรมในโครงการวิจัยประเมินผลการใช้จ่ายเงินกองทุนการพัฒนาพรรคการเมือง ซึ่งทาง กกต.ได้จัดขึ้น ณ โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์ ต.ดอยสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมีสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งเป็นสถาบันทางวิชาการร่วมสนับสนุน จิ้งหรีดได้ฟัง รศ.ดร.ปรีดา หงษ์ไกรเลิศ ซึ่งมาเป็นประธานกล่าวเปิดงานครั้งนี้ ก็ได้ข้อสรุปว่า กองทุนของพรรคการเมืองนี้มาจากองค์กรประชาชน เงินที่ได้รับจากกองทุน พรรคการเมือง จะนำไปใช้ในทางที่จำเป็นเท่านั้น จากนั้นก็มีประเด็นคำถามให้ตัวแทนพรรคการเมือง พูดถึงความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับ กองทุนพัฒนาทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ก็มีตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยรักไทย เป็นต้น แสดงวิสัยทัศน์ สำหรับ แม่หนึ่งในธรรม ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า เงินที่ได้จากพรรคนั้น ก็จะจัดสรรการเงินอย่างมีคุณค่า โดยเป็นทุนสาธิตในการทำปุ๋ย ทำน้ำยา อเนกประสงค์ อาหารแปรรูป เป็นต้น ในเมื่อเขาแข็งแรงแล้ว เขาก็จะมีอาชีพ จิ้งหรีดดูบรรยากาศการประชุมแล้วมีความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะเข้าข้างพรรค พฟด. หรือเปล่า เพราะรู้สึกหลายท่านอยากฟัง แม่หนึ่งในธรรมพูด ซึ่งจะเห็นได้จากมีคำถาม มาทางพรรค พฟด.ว่าคิดเห็นอย่างไร เป็นอย่างไร อะไรทำนองนี้ประมาณ ๗๐ % อย่างไรก็ตามถ้าจิ้งหรีดได้มีโอกาสติดตามตัวแทนพรรค พฟด.ไปร่วมประชุมอีก ก็จะได้รายงานเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ไปให้จิ้งหรีดส่วนกลาง ได้ทราบอีกเช่นเคยนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ ..... ฮอมบุญอโศก...จิ้งหรีดได้ไปสังเกตการณ์งานสัมมนาข่ายแหทางภาคเหนือ ก็ได้ความรู้เกี่ยวกับชุมชนฮอมบุญอโศก ที่ จ.แพร่ มาว่า บรรยากาศที่นี่จะมีพืชผักสมบูรณ์ มีกินจนเหลือขาย คนก็น้อย พืชผักเยอะมาก ขาดคนมาช่วยกิน (อ้าว! คิดว่าขาดคนมาช่วยงานเสียอีก) ดังนั้นเวลาพืชผักเหลือก็จะเอาไปขายตามท้องตลาด ผรช.ของชุมชน ไม่ลืมที่จะบอกจุดด้อยของชุมชนว่า คนอยู่ส่วนกลางน้อยมาก (เอ๊ะ! เรื่องนี้อาจจะเป็นจุดแข็งก็ได้นะ จิ้งหรีดพลันคิดไปอีกมุม) การประสานงานของที่นี่ยังไม่สมบูรณ์ดีเท่าไร ฮอมบุญเป็นระบบเครือญาติ ช่วงที่มี การอบรมคุณธรรม จะบริหารด้วยตนเอง เวลาจะประชุม ก็จะมีท่านสมณะจากภูผาฯ มาช่วงที่ไม่มีงานอบรม ก็ปลูกผัก จนมีรายได้เหลือ เป็นยังไงฮะกับชุมชนบุญนิยมเล็กๆที่มีผู้ให้ฉายาว่า ภูผาฯ ๒ ใครสนใจก็ไปสร้างบ้านอยู่อาศัยโดยไม่เสียเงินค่าที่นะฮะ...จี๊ดๆๆๆ ..... เปิดตัว...พ่อท่านเดินทางไปร่วมประชุมเครือแหทางภาคเหนือที่ฮอมบุญ จ.แพร่ ชาวเราทางภาคเหนือไปรอรับพ่อท่านที่สนามบิน จำนวน นับร้อย จนเจ้าหน้าที่สนามบินสงสัย จึงมาถามพวกเราว่า มาทำอะไร พอเจ้าหน้าที่รู้ ก็แนะนำว่า น่าจะติดต่อมาก่อน เพื่อเจ้าหน้าที่ จะได้เข้าใจในสถานการณ์ เพราะเกรงเกิดความไม่ปลอดภัย เพราะไม่รู้ว่าเหตุใดคนจึงมากันเยอะผิดปกติจากวันทั่วๆไป เพราะที่ลำปาง เป็นสนามบินเล็กๆ คนไม่พลุกพล่าน แต่พวกเราบางคนก็ตอบคำถามจากประสบการณ์ที่ไปรอรับพ่อท่านว่า ก็ไปสนามบินอื่นๆ ก็ไปรอรับ จำนวนมากเช่นนี้ หรือมากกว่านี้ ก็ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่สงสัยอะไร จึงไม่รู้ว่าจะต้องบอกก่อนอะไรทำนองนี้... จากงานรวมพลัง ชุมชนชาวเหนือ ที่ฮอมบุญ คุณอำนวยในฐานะผู้นำชุมชนที่นี่ ก็ได้ถือเป็นโอกาสดีถวายที่ดิน ๙๐ ไร่ ให้ส่วนกลางโดยผ่านทางพ่อท่าน ซึ่งพ่อท่าน ก็ได้ช่วยเทศน์ เปิดตัวชุมชนแห่งใหม่ของชาวเหนือว่า ใครที่ยังหาแหล่งลงหลักปักฐานไม่ได้ ก็มาลงหลักปักฐานที่นี่ได้ แถมที่นี่สร้างบ้าน ได้โดยไม่คิดค่าที่ดิน...ชาวเราทางเหนือก็พูดคุยกัน พอดีจิ้งหรีดไปได้ยินมา เขาเปรียบเทียบฮอมบุญอโศกว่า เป็นภูผาฯ ๒ ส่วนตำแหน่ง ภูผาฯ ๓ เขายกให้ ชุมชนเพชรผาภูมิ เพราะแต่ละแห่ง จะมีส่วนคล้าย ภูผาฟ้าน้ำที่ ต.ป่าแป๋ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ต่างกัน ตรงที่ ภูผาฟ้าน้ำ หรือ ดอยแพงค่า มีอากาศหนาวกว่าทุกแห่ง จนสมณะกุสโล ให้ฉายาแก่สมณะที่พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำว่าเป็น สมณะตู้เย็น...จี๊ดๆๆๆ ..... ปฐมอโศก...จิ้งหรีดได้ยินคุณกรักน้ำใจบอกว่า อยากย้ายไปฝึกตัวเองที่บ้านราชฯ เพื่อไปพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น เพราะตัวเองจะต้อง อาศัยรุ่นพี่ คอยจูงและช่วยดึง โต คนเดียวไม่เป็น สิกขมาตุมาบรรจบก็เมตตาให้คุณกรักย้ายไปฝึกที่บ้านราชฯได้ เพื่อความชัดเจน ไม่ต้อง สงสัยลังเลต่อไป พอรู้ข่าวก็มีเสียงถามกันต่อมาว่า "อ้าว! แล้วใครจะช่วยรับทำน้ำโยเกิร์ตให้ชาวนิยมอาหาร อินเดียล่ะฮะ" เรื่องนี้ คงต้อง รอให้ใครที่นิยมชมชอบอาหารแขกลองอาสามาช่วยทำแทนคุณกรักน้ำใจซะแล้ว ยังไงๆ ก็รีบอาสาด่วนนะฮะ... มีการย้ายหน่วยงานจากศาลางานชั้น ๓ ไปอยู่ศาลาช่าง เป็นการย้ายฐานงานใหม่ ก็ค่อยๆปรับไปเรื่อยๆจนกว่าจะลงตัว แต่ที่ลงตัว เท่าที่ จิ้งหรีดเห็นก็คงเป็นเรื่องความสะอาดที่คุณปะเพียงแก้วได้ช่วยปัดกวาด เช็ดถู เก็บอุปกรณ์และดูแลเครื่องใช้ทุกอย่างเป็นอย่างดี จิ้งหรีด คิดว่า ปฐมอโศกคงจะมีรายรับเพิ่มขึ้น เพราะการลดรายจ่ายคือ การเพิ่มรายได้ที่ทำให้คนมีประสิทธิภาพในแนวลึกสูงขึ้นนะฮะ... ส่วนฐานเชื้อดี ที่ทำปลาร้าเจ เต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว กะปิเจ ฯลฯ คุณปะงามงานเข้ามารับผิดชอบ มีเด็กให้รับผิดชอบ ๔ คน จิ้งหรีดเห็นคุณปะ ดูแลเด็กๆแล้วก็รู้สึกประทับใจ เพราะดูแลเหมือนลูกแท้ๆ ดูแลในช่วงลงฐานงานตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐-๐๘.๐๐ น. และช่วง ๑๒.๓๐-๑๖.๐๐ น. ไปไหน ก็ต้องเอาไปด้วยเหมือนเลี้ยงลูก ต้องรับผิดชอบถึงจิตวิญญาณของเขาด้วย จิ้งหรีดคิดว่า ฐานนี้หากสิกขมาตุแสงฝนทราบข่าว ก็คงอนุโมทนาที่มีผู้สืบทอดมาเอาภาระแทนนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ ..... หวาดเสียว...หลังจาก อ.๑ และปัจฉาฯ ไปหาหมอที่ จ.นครปฐม ตามที่ญาติโยมนิมนต์ ก็แวะไปฉันที่ มร.ฐ. หลังจากเยี่ยมเยียน ก็ยังคงเดิน จงกรม อยู่ที่ชั้น ๓ มร.ฐ. ช่วงบ่ายลมพัดแรงมาก จิ้งหรีดเห็นนางสุรีย์ลุกขึ้นเดินจะไปปิดประตู ขณะที่เกาะขอบประตูอยู่นั้น ลมก็พัดตีประตู กระแทกปิดอย่างแรง เสียงงี้ดังปังเลย อ.๑ ซึ่งเดินจงกรมมองไปที่โยมสุรีย์เห็นมือคล้ายติดอยู่กับขอบประตู ก็รีบเดินไปดู พอดีโยมผลักประตู เอานิ้วออกมาได้แล้ว เมื่อท่านอ.๑ เห็นนิ้วแล้ว ก็บอกจิ้งหรีดว่า รู้สึกหวาดเสียว เพราะนิ้วมีรอยแตกและเลือดออก ท่านก็เข้าใจว่า นิ้วของโยม คงแตกแน่ๆ เลยบอกปัจฉาฯให้รีบไปบอกญาติโยมในมร.ฐ.ให้รีบขึ้นมาดูอาการ พอแต่ละคนได้เห็นอาการแล้ว จึงนำส่ง โรงพยาบาลทันที ซึ่งก็ปรากฏว่า กระดูกนิ้วแตก ท่านอ.๑ ก็บอกว่า ไม่สงสัยเลย เพราะประตูงับดังปัง แล้วนิ้วเข้าไปอยู่ในขอบประตู มันไม่มีที่ว่างให้นิ้ว จะอยู่ในขอบได้เลย จิ้งหรีดเองตอนนี้ก็ยังรู้สึกหวาดเสียวกับภาพที่เห็นอยู่เลย ดังนั้นก็ขอให้ญาติธรรม ระมัดระวัง ด้วยนะฮะ ไม่ว่าจะเป็นประตู-หน้าต่าง เวลาจะปิดขณะลมพัดแรงเพราะมีสิทธิ์ได้รับอุบัติเหตุได้ ส่วนโยมสุรีย์นั้น ชาว มร.ฐ.บอกจิ้งหรีดว่า แม้อายุจะมาก แต่ก็เป็นมือปอกเห็ด เด็ดผักที่สำคัญทีเดียว ตอนนี้ก็คงต้องหาคนมาแทนสักช่วงหนึ่งเสียแล้ว ก็ขอให้หายไวๆนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ ..... คนละม้วน...คุณทิวเมฆ และ พลอย ดูแลโรงปุ๋ยอินทรีย์ที่ปฐมอโศก บอกจิ้งหรีดว่า ตั้งแต่โรงเรียน สส.ฐ.มีการปรับเรื่องการเรียนการสอน ช่วยให้เด็ก มีการพัฒนาจากปีก่อนแบบหนังคนละม้วนกันเลยทีเดียว เด็กๆ เอาใจใส่ในการทำงานดีขึ้นกว่าเดิม แถมยังช่วยกันทำปุ๋ย กันอย่างมีความสุข จิ้งหรีดก็ได้ไปเห็นกับตา ใครสนใจก็สอบถามกันได้นะฮะว่า หนังคนละม้วนเป็นแบบไหน...จี๊ดๆๆๆ ..... น่าประทับใจ...จิ้งหรีดเกาะอยู่ที่ระฆังของศาลาเสียงธรรมในเช้าวันหนึ่งที่พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ มีการประชุมชุมชน และเป็นครั้งแรก ที่เด็กนักเรียน เข้ามาร่วมประชุม เพื่อรับรู้ความเป็นไปต่างๆภายในชุมชน ถือว่าเป็นการบูรณาการการศึกษา มีอยู่ช่วงหนึ่ง เด็กนักเรียน หลายคน เปิดใจว่า "พวกหนูไม่อยากลงไปเรียนข้างล่าง เพราะข้างล่างนั้นไม่เหมือนบนดอย ที่เป็นสิ่งแวดล้อม ที่ดี ไม่มีไฟฟ้าแบบข้างล่าง ที่จะทำให้หนูแอบฟังเพลง แอบโทรศัพท์ มีโอกาสทำผิดกฎระเบียบของโรงเรียนได้มากกว่า พวกหนู ยังไม่แข็งแรงพอที่จะฝืน กระแสโลกีย์ข้างล่าง ยังจะต้องฝึกฝนตัวเอง บนดอยให้เก่งกว่านี้ก่อน" จิ้งหรีดได้ยิน ได้ฟังแล้วก็รู้สึกประทับใจ ที่พวกเขาคิดเป็น พูดเป็น ทำเป็น เช่นนักปฏิบัติธรรมรุ่นใหม่ สาธุ...จี๊ดๆๆๆ ..... บูรณาการ...ช่วงนี้ที่สันติอโศกและปฐมอโศก กำลังพยายามปรับการศึกษาให้เป็นแบบบูรณาการมากขึ้น จิ้งหรีดรู้สึกประทับใจ การดูแลเด็ก ของแม่ไก่ฐานงานใน บจ.ฟ้าอภัย บรรยากาศการเรียนการสอนเป็นแบบตัวต่อตัวก็ว่าได้ ได้ข่าวว่าลูกไก่บางตัว พัฒนาได้ ไวมาก ถึงขนาดพร้อมบริหารแทนแม่ไก่ได้ จริงหรือไม่จริง ก็ไปสังเกตกันเองนะฮะ เป็น บรรยากาศแบบน่ารักๆนะฮะ เพราะแม่ไก่ ก็ไม่ยึดว่าตัวเองเก่ง คนดีไม่จำเป็นต้องเก่ง แต่ใครก็อยากอยู่ใกล้ชิดคนดี เพราะไม่มีพิษ ภัยกับใคร เด็กอยู่ใกล้ก็อบอุ่น...จี๊ดๆๆๆ ..... นายกฯคนใหม่...งานคืนสู่เหย้า เข้าคืนรัง ของ นศ.ปธ. ปีนี้ย้ายไปจัดที่ สวนบุญผักพืช คลอง ๑๓ จ.ปทุมธานี มีการเลือกนายกสมาคมฯ กันใหม่ ก็ได้คุณวิศิษฏ์ คนข้างวัดสันติฯ นี่เอง เมื่อไม่นานมานี้ ช่วง คุรุที่สันติฯไปสัมมนากันที่แดนอโศก คุณวิศิษฏ์ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแล เด็กนักเรียน สส.สอ. นับร้อยที่คลอง ๑๓ ตอนแรกก็หนักใจ แต่ภายหลังก็เบาใจ แถมเด็กๆก็อยู่ ในโอวาท เอ๊ะ!เป็นไปได้อย่างไร อยากรู้สอบ ถามที่อาวิศิษฏ์ได้นะฮะ...จี๊ดๆๆๆ ..... คติธรรม-คำสอนของพ่อท่านประจำฉบับ พบกันใหม่ฉบับหน้า |
กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนปฐมอโศก-อินทร์บุรี
ใครสนใจขอเชิญไปติดต่อขอได้ที่ ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ปฐมอโศก ขณะนี้ กำลังรวบรวมพันธุ์ไม้หายากไว้จำหน่ายจ่ายแจก เช่น ผักหวานบ้าน ผักหวานป่า เป็นต้น |
'ทำดี ไม่ต้องเดี๋ยว' ทหารผ่านศึกลาว-เวียดนาม ชาวกรุงเก่าอุทิศตนเดินกวาดถนนวันละสิบกิโลเมตรโดยไม่มีค่าจ้างกว่า ๒๐ ปี ชาวบ้านติดเหรียญชื่นชม เจ้าตัวลั่นทำดี ไม่ต้องรอ เรื่องราวคุณลุงอดีตทหารผ่านศึก ที่ใช้เวลาทุกวันอย่างมีคุณค่าด้วยการอุทิศตนกวาดถนนจนสะอาดเป็นระยะทางกว่า ๑๐ ก.ม. เปิดเผยขึ้น เมื่อผู้สื่อข่าว ได้รับแจ้งจากประชาชนที่อยู่บริเวณ ต.กระมัง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ว่าทุกๆเช้า จะมีชาย สูงอายุ คนหนึ่งเดินกวาดถนนสายต่างๆ ทั้งๆที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่เทศบาลหรือคนกวาดถนนรับจ้างทั่วไป ช่วงเช้าวันที่ ๑๑ มิ.ย. ผู้สื่อข่าว จึงเดินทางไปสังเกตการณ์ที่บริเวณถนนสายวัดป่าโค หมู่ ๑๐ ต.กระมัง อ.พระ-นครศรีอยุธยา ใกล้กับ สถานีรถไฟอยุธยา พบชายสูงอายุตามที่ชาวบ้านแจ้ง ทราบชื่อต่อมาคือ นายสัมฤทธิ์ มาลัย อายุ ๖๐ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๗๐/๙ หมู่ ๔ ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา ขณะเดินกวาดถนน โดยไม่สนใจใคร โดยคุณลุงสัมฤทธิ์ อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ตามส่วนต่างๆของเสื้อ มีเหรียญตรา และเหรียญพระเครื่องต่างๆติดอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกาชาด เหรียญทหารผ่านศึก เหรียญสัญลักษณ์สินค้า และ เหรียญหลวงพ่อวัดต่างๆ ส่วนที่ศีรษะ สวมหมวกแก๊ปที่ทำจากกระดาษและผ้าปะติดกันแบบง่ายๆ คุณลุงสัมฤทธิ์ เปิดเผยว่า "เคยเป็นทหารผ่านศึกสังกัด มทบ.สระบุรี แผนกส่งกำลังบำรุง และเคยร่วมรบในสงครามที่สาธารณรัฐ ประชาธิปไตย ประชาชนลาว และเวียดนามเมื่อปี ๒๕๐๙ จากนั้นก็มาเป็นคนขับรถอยู่กับลิเกชื่อดัง คณะจำเนียรน้อย ลูกท่าเรือ โดยจะใช้ เวลาว่างในการออกมาเดินกวาดถนนสาย ต่างๆ ย่านสถานีรถไฟอยุธยา หมู่บ้านศรีกรุง และวัดประดู่ทรงธรรม รวมแล้ววันหนึ่ง จะเดินกวาด เป็นระยะทางนับสิบกิโลเมตร เริ่มกวาดตั้งแต่เวลา ๐๒.๐๐ น. ทุกวัน จนถึงเที่ยงวัน แล้วจะหยุดวันเสาร์เพื่อซักเสื้อผ้า ซึ่งมีสวมใส่อยู่ เพียงชุดเดียวเท่านั้น" คุณลุงสัมฤทธิ์ กล่าวว่า "ปัจจุบันไม่ได้ขับรถให้คณะลิเกจำเนียรน้อยแล้ว แต่อาศัยโรงรถที่บ้านจำเนียรน้อยนอน ส่วนเรื่องข้าวปลาอาหาร ได้จากญาติพี่น้อง และจากคนใจบุญซื้อมาให้เนื่องจากตนไม่มีครอบครัว และไม่มีเงินสงเคราะห์ มาช่วยเหลือแต่อย่างใด สำหรับเหรียญ ต่างๆ ที่ติดอยู่นั้น ได้มาจากการที่มีประชาชนเห็นตนกวาดถนนก็ชื่นชม และเอามาติดให้โดยบอกว่าเป็นการติดเหรียญให้ เพราะเป็นคน ทำความดี จากนั้นก็มีคนติดให้เรื่อยๆ ที่ภูมิใจมากก็เห็นจะเป็นเหรียญสัญลักษณ์พระนามาภิไธยพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่นางรัชนี ศุภพงษ์ ผู้อำนวยการ ร.ร.จอมสุรางค์อุปถัมภ์ติดให้ เพราะไปกวาดถนนหน้าบ้าน ในหมู่บ้าน ศรีกรุง" "สิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุด คือได้มีส่วนทำความดีให้กับสังคม และมักจะบอกคนทั่วไปให้ช่วยกันรักษาความสะอาด แต่บางวันก็เคยเจอคนแกล้ง เหมือนกัน เพราะหลังจากที่เห็นผมกวาดขยะตามถนนเสร็จแล้ว ก็จะนำขยะในถังขยะออกมาเทแกล้งให้กวาดอีก หรือบางคนก็หาว่า สติไม่ดี ผมอยากจะบอกว่าการทำความดีนั้นไม่ต้องอาย ผมเลยเลือกที่จะทำความดีเพื่อสังคมด้วยการเดินกวาดถนน และจะทำต่อไป จนกว่าจะไม่สามารถกวาดต่อไปได้อีก" คุณลุงสัมฤทธิ์ กล่าวก่อนที่จะเดินกวาดพื้นถนนต่อไปอย่างสบายอารมณ์ นางละเอียด สุทธิลักษณ์ อายุ ๔๕ ปี อาชีพแม่บ้านดูแลหอพักในบริเวณดังกล่าว เปิดเผยว่า "ปกติเห็นนายสัมฤทธิ์ ออกมากวาดถนน อยู่ทุกวัน และหลาย ๑๐ ปีแล้ว หากใครที่ไม่รู้จักก็คิดว่าคงเป็นคนสติไม่ดี ทั้งที่จริงๆแล้ว เป็นคนอัธยาศัยดีทักทายคนที่รู้จัก ตลอดเส้นทาง ที่กวาดถนน พ่อค้าแม่ค้าแถวสถานีรถไฟ ก็ให้กับข้าวขนมเป็นรางวัล ตอบแทนที่ช่วยทำความสะอาดเกือบทุกวัน
ลุงสัมฤทธิ์จะออกมากวาดถนน ก่อนที่จะมีพนักงาน ของเทศบาลมากวาดเสียอีก"
นางละเอียด กล่าว. |
สสส.รณรงค์
"วัดปลอดเหล้า" เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ผศ.ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยง สำนักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยความคืบหน้าในการรณรงค์ลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ว่า ล่าสุด สสส.ได้ร่วมกับ เครือข่ายองค์กรงดเหล้าดำเนินโครงการ "วัดปลอดเหล้า" โดยนำร่อง ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา เป็นแห่งแรก จากนั้นจะขยายพื้นที่ รณรงค์ ไปยังจังหวัดต่างๆทั่วประเทศผศ.ดร.สุปรีดา กล่าวถึงสาเหตุที่ สสส. เข้าไปรณรงค์โครงการวัดปลอดเหล้าว่า "ในบรรดาศาสนสถานทั่วไป วัดถือเป็นศูนย์กลางของชาวไทยพุทธ และงานทำบุญ ในโอกาสต่างๆ มักจะมีการนำเหล้าหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เข้าไปเป็นเครื่องดื่มสำหรับแขกที่ร่วมงาน ขณะที่พระสงฆ์ไม่มีอำนาจ ในการเข้าไป สั่งห้ามดื่มแต่อย่างใด ดังนั้น สสส.จึงตั้งเป้าที่จะเข้าไปรณรงค์โดยขอความร่วมมือทั้งคณะสงฆ์และฆราวาส หากวัดใด เข้าร่วมโครงการจะเปิดโอกาสให้คณะทำงานเข้าไปชี้แจงเพื่อให้เห็นพิษภัยของเครื่องดื่มประเภทดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้น จะทำการประเมินผลด้วย โคราชเหมาะสมที่จะดำเนินโครงการนำร่อง เพราะมีวัดมากถึง ๒,๒๐๐ แห่ง โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะทำงานได้เดินทางไปร่วม ประชุม กับผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เจ้าคณะอำเภอ และ ผู้นำชุมชน เพื่อชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรม ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เห็นด้วยในหลักการ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ ๓ ปี ในการสร้างความเข้าใจกับวัดเหล่านี้ หากวัดใดผ่านการประเมิน จะติดตั้งป้าย 'วัดปลอดเหล้า' ไว้เป็นสัญญลักษณ์." (จาก นสพ.มติชน ฉบับวันที่ ๑๕ มิ.ย.๔๘ |
ปฏิทินงานอโศก |
ราคาน้ำมันพุ่งยอดใช้ดีเซลตก มาตรการปล่อยลอยตัวน้ำมันใช้ได้ผล ราคาพุ่งส่งผลยอดใช้ดีเซลตก ขณะที่ผู้บริโภคได้หันมาใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้นทุกเดือน เฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ ๑.๕ ล้านลิตร ยันสิ้นปียอดการใช้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ส่วนมาตรการรณรงค์การประหยัดไฟเริ่มได้ผลในช่วง ๑๕ วันแรกของเดือน กรกฎาคม การประหยัดดีกว่า ทั้งเดือนมิถุนายน ส่งผลยอดประหยัดเงินกว่า ๑๑๓ ล้านบาท นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากที่รัฐบาล ได้ปรับ เพดานการชดเชย ราคาน้ำมันดีเซลจาก ๑๔.๕๙ บาทต่อลิตร มาเป็น ๑๘.๑๙ บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ ๒๓ พ.ค. ที่ผ่านมา จนมีการประกาศ ปล่อยลอยตัว ราคาน้ำมันดีเซล เมื่อวันที่ ๑ มิ.ย. ๔๘ และล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๓ ก.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวมาอยู่ที่ ๒๓.๓๙ บาท ต่อลิตร รวมการปรับราคาไปแล้วทั้งสิ้น ๘.๘๐ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๑๐ ม.ค. ๔๗ ซึ่งจากผลราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้น รวมถึงการรณรงค์ให้ ช่วยการประหยัดน้ำมัน ได้ส่งผลให้ยอดการใช้น้ำมันดีเซลในเดือน มิ.ย. ลดลง อย่างเห็นได้ชัด จากเดือน พ.ค. ๔๘ ที่เคยใช้อยู่ที่ประมาณวันละ ๕๘ ล้านลิตร หรือ ๑,๘๓๐.๖ ล้านลิตรต่อเดือน และในช่วงเดือน มิ.ย. ได้ลดการใช้ลง วันละ ๓ ล้านลิตร มาอยู่ที่ ๕๕ ล้านลิตรต่อวัน หรือลดลงมาอยู่ที่ ๑,๖๖๕.๔๖ ล้านลิตรต่อเดือน ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าผลของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นนี้ ทำให้ผู้บริโภคหันมาประหยัดการใช้น้ำมันเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากต้องการลดภาระค่าใช้จ่าย ของตนเองลง ขณะเดียวกันทางภาคอุตสาหกรรมมีการปรับเปลี่ยนเชื้อ เพลิงไปใช้แก๊สแอลพีจีและก๊าซธรรมชาติมากขึ้น เพื่อลดภาระ ต้นทุนการผลิต ขณะที่ในส่วนของยอดการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์นั้น ได้มีอัตราการใช้เพิ่มขึ้นทุกเดือน จะเห็นได้จากยอดการใช้แก๊สโซฮอล์ทั้งปี ๒๕๔๗ อยู่ที่ ๕๙.๖ ล้านลิตรต่อปี หรือมียอดใช้วันละ ๐.๒ ล้านลิตร ในขณะยอดการใช้ช่วง ๖ เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ ๑๕๖.๒ ล้านลิตร หรือมียอดใช้ วันละประมาณ ๑.๕ ล้านลิตร โดยเดือน มิ.ย. มียอดจำหน่ายถึง ๔๔.๘ ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากเดือน พ.ค. ที่มียอดจำหน่าย ๓๔.๒ ล้านลิตร ซึ่งเป็นผล มาจากราคาน้ำมันเบนซิน ได้มีการปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยปัจจุบันราคาน้ำมันเบนซิน ออกเทน ๙๕ ปรับตัวมาอยู่ที่ ๒๕.๗๔ บาท ต่อลิตร ในขณะที่แก๊สโซฮอล์มีราคาต่ำกว่าลิตรละ ๑.๕๐ บาทต่อลิตร หรืออยู่ที่ ๒๔.๒๔ บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ทางรัฐบาลมีเป้าหมายไว้ว่าเมื่อถึงสิ้นปีนี้ จะเพิ่มยอดการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ เป็น ๑๒๐ ล้านลิตรต่อเดือน จากปัจจุบัน จำหน่าย อยู่ประมาณ ๕๐ ล้านลิตรต่อเดือน ซึ่งเป็นผลจากการขยายสถานีบริการแก๊สโซฮอล์เพิ่มมากขึ้นเป็น ๔,๐๐๐ แห่ง จากปัจจุบันอยู่ที่ ๑,๑๐๐ แห่ง โดยรัฐบาลจะยังคงให้ส่วนต่างราคาแก๊สโซฮอล์กับน้ำมันเบนซิน ออกเทน ๙๕ ต่างกันอยู่ที่ ๑.๕๐ บาทต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีระยะ เวลากำหนด เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่มมากขึ้น นายเมตตา กล่าวอีกว่า ส่วนการดำเนิน งานโครงการรณรงค์เร่งประหยัดพลังงาน ในช่วงเดือน มิ.ย.- ส.ค.๔๘ หรือโครงการคิกออฟ ซึ่งขณะนี้ ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้สรุปผลการดำเนินงานใน ๔๕ วันแล้วพบว่า เป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจาก ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในช่วง ๑๕ วันหลังลดลงสูงกว่าปริมาณไฟฟ้าที่ลดลงในช่วง ๑ เดือนแรก โดยพลังงานไฟฟ้า ที่ลดลงระหว่างวันที่ ๑ มิ.ย. ถึงวันที่ ๑๕ ก.ค. ๒๕๔๘ รวมทั้งสิ้น ๔๒.๑๓ ล้านหน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ ๑๑๓.๗๕ ล้านบาท แยกเป็นพลังงานไฟฟ้า ที่ลดลง ช่วงเดือนมิ.ย. ๑๐.๘๕ ล้านหน่วย คิดเป็นเงิน ๒๙.๒๙ ล้านบาท และวันที่ ๑-๑๕ ก.ค. ๓๑.๒๘ ล้านหน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ ๘๔.๔๕ ล้านบาท ขณะที่การเก็บค่าไฟฟ้าแบบก้าวหน้าในธุรกิจประเภทสถานบันเทิงเริงรมย์ ขณะนี้ทางคณะรัฐมนตรีได้มอบหมาย ให้กระทรวงพลังงาน ไปกำหนด ประเภทธุรกิจการจัดเก็บขึ้นมาใหม่ จากของเดิมไม่มีการกำหนดไว้ ซึ่งจะไปศึกษาว่าจะมีการแยกบัญชีการจัดเก็บอย่างไร ที่คาดว่า จะแล้วเสร็จ ๑ ก.ย.๔๘ นี้ ทั้งนี้หากดำเนินงานแล้วเสร็จ ค่าไฟฟ้า ที่ใช้ในธุรกิจประเภทนี้จะมีอัตราสูงขึ้นจากเดิม
เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ใช้ไฟฟ้าเกิดการประหยัด ซึ่งอาจ จะไปกระทบผู้เข้าไปใช้บริการ
ที่ผู้ประกอบการอาจจะส่งภาระให้กับผู้เข้าไปเที่ยวได้. |
ชื่อ อนุชาติ ธาราไทย เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เป็นแบบอย่างของบุรุษผู้ประเสริฐ ทิ้งทรัพย์ศฤงคาร โลกียสุข ออกแสวงหาทางพ้นทุกข์ จนหลุดพ้น อย่างแท้จริง จวบจนกาลนี้ก็มีผู้คนอีกมากมายหันมาดำเนินชีวิตตามรอยพระบาท ทำตนให้หลุดพ้นเยี่ยงพระองค์ เพื่อพิสูจน์ว่า ธรรมะของพระองค์เป็นอกาลิโก ทันสมัยใหม่เสมอ เอหิปัสสิโก ท้าทายให้มาพิสูจน์กันได้ วันนี้ อนุชาติ ธาราไทย เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ดำเนินชีวิตตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์ เขาเล่าชีวิตที่เริ่มต้นทำงานในเรือให้ฟังว่า ขณะที่กำลังเรียน ปวส.ช่างฝีมือ เซนต์จอห์น ปี ๑ เพื่อนชวนไปสมัครงานที่ศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี ก็คิดว่าลองไปสมัครดูเล่นๆ ปรากฏว่า สอบผ่าน ก็เริ่มทำงานจาก เรือส่งแก๊สภายในประเทศ จนถึงเดินเรือสมุทรขนสินค้าระหว่างประเทศทางแถบทวีปเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ผมมีหน้าที่ควบคุมห้องทำงานเครื่องยนต์และซ่อมบำรุงวันละ ๘ ชั่วโมง จะหมุน เวียนกันไป ผลัดละ ๔ ชั่วโมง อยู่ในเรือประมาณ ๓-๕ วัน เมื่อถึงประเทศที่แวะส่งสินค้าก็พัก ๑ วันแล้วก็เดินทางต่อ ทำอยู่อย่างนี้ ๙ เดือน ก็จะกลับประเทศไทยพัก ๑ เดือน หากจะทำงานต่อ ก็ไปทำสัญญาใหม่ * ชีวิตใกล้ความตาย อีกครั้งจากเกาหลีมาฮ่องกง เจอพายุ ตีหัวเรือแตก ข้างเรือบุบหมดเลย น้ำเข้า ต้องเลี้ยวเรือกลับวิ่งตามคลื่นเพื่อซ่อมหัวเรือ เชื่อมหัวเรือ กลางทะเล กลับไปสู้ใหม่ หัวเรือแตกอีก น้ำเข้า ต้องสูบน้ำออก ต้องเชื่อมใหม่อีก พอถึงคลองเตยก็ขึ้นอู่เลย ต้องเปลี่ยนหัวเรือใหม่ * ศรัทธาในศาสนา ผมจะสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน พอขึ้นจากเรือผมก็จะไปหาแม่และพี่สาวที่สกลนคร ผมจะตื่นแต่เช้าไปทำบุญที่วัดป่าทุกวัน ผมถือว่า ผมทำงานในเรือ ผมไม่ได้ทำบุญเลย เก็บแต่เงินอย่างเดียว ซึ่งมันไม่ได้ติดตัวผมไป แต่บุญกุศล จะติดตัวผมไปทั้งหมด ผมทำอย่างนี้ ตลอดมา ขณะที่ทำงานอยู่ในเรือ * ชีวิตเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อได้ชมซีดี
งานพุทธาฯครั้งที่ ๒๘ เดือนตุลาคม ปี ๒๕๔๗ กุ๊กบนเรือคนหนึ่ง เอาซีดีงานพุทธาฯครั้งที่ ๒๘ ไปเปิด ผมดูแล้วเห็นว่าแปลกดี เข้าท่า หลังจากนั้น กุ๊กได้เล่า เรื่องราวต่างๆ ของชาวอโศกและให้หนังสือมาอ่าน ปกติผมไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่ที่อ่านแล้ววางไม่ลง แม้แต่พักเบรก ผมก็ไม่สนใจ ตั้งใจอ่านจนจบ คือสัจจะชีวิตของพระโพธิรักษ์ เล่มเล็กๆ อ่านแล้วก็ได้ข้อคิดมากมาย เมื่อมาย้อนดูตัวเอง ผมตั้งใจไว้เลยว่า งานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๒๙ จะต้องมีผม * ชีวิตความเป็นอยู่เริ่มเปลี่ยนแปลง * หัวใจแม่ ผมมาอยู่วัด ก็เหมือนผมลงเรือ เพราะเมื่อก่อนลงเรือ ๑๑ ปี ผมก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไร ผมก็บอกแม่ว่า คิดว่าผมลงเรือก็แล้วกัน แต่นี่เป็น เรือโลกุตรธรรม ทำงานบุญ ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายด้วย * คิดแบบนี้ได้ยังไง *
อบายมุข * จากเจ้าหน้าที่ห้องควบคุมเครื่องยนต์เรือเดินสมุทรมาสู่สัมมากัมมันตะ ทำงานที่เรือผมได้แต่เงินแต่ไม่ได้สร้างสรรอะไรเลย แต่ผมอยู่ที่นี่ผมได้ตื่นแต่เช้ามาหุงข้าว ใครๆก็กินข้าวที่ผมหุง สมณะก็ฉันข้าวที่ผมหุง ข้าวที่ผมหุง คนก็เอาไปใส่บาตร ได้บุญกุศลเยอะแยะเลย ผมก็คิดเสมอนะว่าผมตื่นมาทำความดี หุงข้าวให้คนกินนะ มีความสุข ผมมองดูคนตักข้าว ผมดีใจ ผมปลื้มใจ ทุกเช้าผมเอาข้าว ที่ผมหุง มากับมือมาใส่บาตร ผมปลื้มใจ มากเลย ผมหุงผมก็มีความสุข ผมก็พยายามทำแต่สิ่งดีๆเอาไว้ พยายามเตือนตัวเองว่าอย่าถอยหลัง มาปฏิบัติธรรม กิเลสมันจะเล่นงาน มันจะขี้เกียจ ผมก็บอกว่า ขี้เกียจไม่ได้ หยุดอยู่กับที่ได้ แต่อย่าถอยหลัง * ข้อคิดก่อนจาก เป็นอีกหนึ่งที่ได้เอาชีวิตมาพิสูจน์ คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าว่า พาให้พ้นทุกข์จริงหรือไม่ และวันนี้เขาได้พิสูจน์แล้วว่า ชีวิตบนเส้นทาง นี้ประเสริฐกว่า เขากำลังนำชีวิตไปสู่จุดสูงสุดแห่งการเกิดมา ที่มนุษย์ควร ไขว่คว้าและแสวงหามากกว่าสิ่งใดๆ... - บุญนำพา รายงาน |
อ่านฉบับย้อนหลัง: