ฉบับที่ 260 ปักษ์แรก 1-15 สิงหาคม 2548 |
แพ้เพื่อสงบ
โดยเฉพาะเมื่อเกิดความขัดแย้ง พ่อท่านก็จะไม่มุ่งโต้เถียงเพื่อเอาชนะคะคาน และสอนให้ลูกๆว่า ควรยอมไว้ก่อน มันไม่เสียหาย มากมายนักหรอก ในเรื่องของความเห็น(ทิฏฐิ) ถ้าเรารู้จักยอมก่อน เป็นผู้แพ้ก่อน พ่อท่านยอมรับว่า ไหวพริบปฏิภาณในการโต้เถียงอย่างตรรกะ ด้วยเรื่องของสมมุติสัจจะนั้นสู้เขาไม่ได้ พ่อท่านได้สอนยุทธวิธีของการศาสนาแก่ลูกๆว่า เมื่อเกิดความขัดแย้ง เห็นกันคนละฝ่าย ต้องพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า การโต้เถียง แบบเขาพูดมา เราก็พูดโต้กลับไปทันทีเลย มันจะเป็นขัดแย้งที่รุนแรง อย่างนี้โอกาสที่จะเกิดอารมณ์จะมีสูงมาก ถ้าอีกฝ่ายคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่มันจะเป็นผลเสียต่อศาสนา แต่พ่อท่านก็มิได้หมายถึงการไม่ชี้แจง เมื่อเป็นผู้ที่พร้อมยอมแพ้หรือเป็นผู้แพ้ ก็ค่อยๆพูดจาหรือปรับความเข้าใจ โดยการเขียน ชี้แจงก็ได้ แม้ดูมันจะไม่ทันการณ์ทันทีทันใด ถ้าเขาจะเข้าใจเราผิดๆ เชื่อตามกระแสข่าว หรือข้อกล่าวหาในที่ประชุม เราก็ทนๆ เอาหน่อย เพื่อจุดมุ่งหมายคือ ให้อารมณ์ของทุกฝ่ายสงบลงก่อน. |
คิดว่าหลายคนเคยได้ยิน คำว่าโมฆบุรุษกันมาแล้ว ซึ่งพ่อท่านแปลได้ชัดเจนว่า ชิง... ห..ม..า...เกิด.. ลองอ่านดูว่า เราเข้าข่ายนี้ หรือไม่ กี่เปอร์เซนต์ ตอนต้นพ่อท่านได้อธิบายความแตกต่างของศาสนาเทวนิยม กับอเทวนิยม ซึ่งได้แสดงไว้เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๔๘ ที่ราชธานีอโศก "....พระพุทธเจ้าเป็นคนจริงๆ ไม่ใช่อวตาร ส่วนศาสดาของศาสนาเทวนิยมเขาถือว่าเป็นอวตารของพระเจ้า พระเจ้าส่งมา เกิดเป็น พระบุตร ไม่ใช่คน อันนี้เป็นความสำคัญที่สำคัญมาก ถ้าเผื่อไม่ศึกษาและไม่เข้าใจแล้ว จะแยกศาสนาพุทธ กับศาสนา เทวนิยม ไม่ออก ศาสนาที่นับถือพระเจ้า มีอยู่ทุกยุคทุกสมัยไม่มีขาด มีคนนับถือจิตวิญญาณ ยิ่งใหญ่ อำนาจวิเศษ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่ตลอด กาลนาน ไม่เคยว่างเว้น ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวในโลกที่มีโลกุตรธรรม เป็น อเทวนิยม atheism ไม่ได้พึ่งพระเจ้า ไม่พึ่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์ แต่ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ พึ่งตน พึ่งสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ จิตวิญญาณสามารถพิสูจน์ได้ว่าคืออะไร อยู่ที่ไหน มีอำนาจอย่างไร มีอะไรที่มาแอบแฝงตนใช้จิตวิญญาณ นั่นคือกิเลส กิเลสอยู่ที่จิตวิญญาณ อาศัยจิตวิญญาณ จิตวิญญาณอยู่ที่ไหน กิเลส อยู่ที่นั่น กิเลสอยู่นอกจิตวิญญาณไม่ได้ อันนี้เป็น พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้ ทรงค้นพบสัจธรรมความจริงอันนี้ ร่างกายของคน คือหลอดทดลอง ที่มีจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้าเห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ จับจิตวิญญาณได้ เพราะมันอยู่ในตัวเรา ตัวเราเป็นหลอดทดลอง เราต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ ต้องพิสูจน์เอง พิสูจน์ จิตวิญญาณให้ได้ เมื่อจับจิตวิญญาณได้ มีญาณ หรือวิชชา ๘ ประการ คือ วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์ เจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสา นุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เรียกว่า วิชชาจรณะสัมปันโน เป็นสิ่งที่ พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ แล้วเอามาเผยแพร่ ประกาศให้มนุษยชาติเรียนรู้ และก็เอาไปพิสูจน์ ตามจนประสบผลสำเร็จ ความรู้หรือวิชชานี้ไม่ใช่ความรู้ของโลก เป็นวิชชาพิเศษ เป็นความรู้ที่รู้อาริยสัจ รู้ความจริงอันประเสริฐ คือสิ่งสำคัญที่สุด ที่มนุษย์เกิดมา ถ้า ไม่ได้รู้สิ่งนี้และไม่ได้เรียนสิ่งนี้ คือโมฆบุรุษ คือคนเกิดมาแล้วตายสูญเปล่า คนที่ไม่ได้เรียนรู้จากอาริยสัจ แล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อที่จะละทุกข์ ละเหตุแห่งทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ หรือลดเหตุแห่งทุกข์ หรือกิเลส ตัณหา อุปาทาน เกิดมาได้พบศาสนาพุทธถือว่าเป็นคนมีบุญ คนในโลกนี้นับถือศาสนาพุทธไม่มากหรอก เพราะไม่ใช่ ศาสนาเอาใจ ไม่สอดคล้อง กับกิเลส แต่สู้กับกิเลส ตรงกันข้ามกับกิเลส คือเป็นศัตรูกับกิเลส คนนี่ไม่รักอะไรมากที่สุดเท่ารักกิเลส คุณบอกว่าคุณรักเมียมากที่สุด ไม่เชื่อหรอก ลองเอาก้อนถ่านแดงโยนใส่ตักพร้อมกัน ๒ คน คุณจะเขี่ยของใครก่อน คุณเขี่ยถ่านให้ตัวเองก่อน คุณไม่เขี่ยให้เมียก่อนหรอก คนเรารักกิเลสมากที่สุดไม่ใช่รักเมียมากที่สุด รักตัวตน รักตัวเอง ตัวตนคำนี้คือกิเลส ศาสนาพุทธนั้นล้างตัวตน ดับ ตัวตน ละอัตตาได้หมด เมื่อสิ้นอัตตาแล้วก็เป็นคนที่ไม่กังวลตัวตน แต่ไม่ใช่ โง่จนกระทั่ง ช่างหัวมัน เป็นคนที่มีปัญญารู้สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร อ่านจบแล้ว ตัวเราเป็นโมฆบุรุษหรือไม่?. - เด็กวัด - |
สดจากปัจฉาสมณะ สังคมอาริยะ พรรษานี้นับเป็นพรรษาที่ ๓๕ ของพ่อท่าน ในวัยย่าง ๗๒ ปี เข้าพรรษาได้ไม่กี่วันก็ต้องเดินทางไปมา เพื่อร่วมการสัมมนา ข่ายแห ชาวอโศก เกี่ยวกับทิศทาง การดำเนินงานของข่ายแหชาวอโศก ปี ๒๕๔๘ - ๒๕๔๙ โดยก่อนเข้าพรรษาได้ไปที่ ดินหนอง แดนเหนือ (อุดรธานี) ฮอมบุญอโศก(แพร่) สีมาอโศกและหลังวันเข้าพรรษาแล้ว ก็มีการสัมมนากันที่ราชธานีอโศก (๒๕-๒๖ ก.ค.) ล่าสุดต้อง สัตตาหกรณียะ มาร่วมสัมมนาฯ ที่ปฐมอโศก และไปที่ทักษิณอโศก (ตรัง) พรรษาที่ผ่านๆมา ปลายเดือน จะมีประชุม องค์กรต่างๆ พ่อท่านก็จะสัตตาหะ มาร่วมประชุม ต้นเดือนสิงหาคมนี้มีการประชุมพาณิชย์บุญนิยม มีประเด็นที่สืบเนื่อง จากการไปสัมมนาข่ายแหชาวอโศก ทุกวันนี้ ประชาชน เข้าใจว่า ถ้าเป็นสินค้าจากอโศกไร้สารพิษแน่ เราจึงจำต้องมาเร่งเข้มงวดกับพวกเรากันได้แล้ว โดยเฉพาะข้าว ผัก ผลไม้ และถั่วเหลือง มีผู้เสนอให้พวกเรากินใช้ในระดับเข้ม กินใช้ไร้สารพิษล้วน ถ้าไม่มีไม่กิน โดยมีผู้เสริมรับว่า เพื่อถวายบูชาพ่อท่าน ในวาระอายุย่าง ๗๒ ปี เราก็น่าจะทำกันจริงๆจังๆให้เกิดผลผลิตไร้สารพิษให้ได้ สำหรับหอม กระเทียม เห็ด งา ลูกเดือย ลดระดับ ลงมากินใช้จำหน่าย ในระดับปลอดสารพิษได้ แต่ผู้ผลิตและร้านค้า ต้องทำฉลากหรือป้ายในร้านค้าให้ชัดเจนว่า สินค้าใด เป็นไร้สารพิษ หรือปลอดสารพิษ อีกปัญหาที่พบก็คือ ขาดข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลผลิตของแต่ละแห่ง ขณะที่ผลผลิตที่หนึ่งล้นเกิน อีกที่หนึ่งขาดแคลน แต่ไม่ได้ประสาน เพื่อซื้อ-ขายกัน เช่นกรณีกระเทียมของดอยรายปลายฟ้า จ.เชียงราย ล้นเกิน แต่ชุมชน อื่นๆ ไปซื้อกระเทียม จากตลาดทั่วไป หรือกรณีพริกป่น ทางศูนย์มังสวิรัติไปซื้อพริกป่นจากตลาด ขณะที่ร้านกู้ดินฟ้า มีพริกแห้งขาย ฝ่ายศูนย์ มังสวิรัติ แจ้งว่า ไม่มีใครช่วยป่นให้ จึงต้องไปซื้อจากตลาด ซึ่งก็มีผู้แนะนำว่าให้ทางศูนย์มังสวิรัติ จัดสรรแรงงาน มาป่นพริก ด้วย พร้อมกับกระตุ้นเสนอว่า ชาวอโศกน่าจะมีจิตสำนึกอย่างชาตินิยม เข้ามาดำเนินการก่อน กรณีบริษัทน้ำเมาแอบเอาเข้าตลาด หลักทรัพย์อย่างเงียบๆ ช่วงก่อนเข้าพรรษา ไม่กี่วัน พล.ต.จำลอง ซึ่งเป็นผู้ออกมาบอก สังคมว่า จะเกิดความเสียหายทั้งสังคม เศรษฐกิจ และสุขภาพ อย่างใหญ่หลวง มาตั้งแต่ต้น ได้ประสานกับกลุ่มองค์กรศาสนา หลายองค์กร หลายศาสนา เพื่อร่วมกันแสดงความไม่เห็นด้วย กับการเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์นี้ ชาวอโศกก็เป็นหนึ่ง ในองค์กร เหล่านั้น ที่ร่วมกันคัดค้าน ท่าทีของพ่อท่านต่อการร่วมคัดค้านก็คือ การแสดงออกให้สังคมได้รับรู้เท่านั้นว่าไม่เห็นด้วย โดยไม่คิดจะเอาแพ้ชนะอะไร กับใคร ถ้าได้บอก สังคมไปจนหมดถึงผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นแล้ว ก็จบ แม้ว่าผู้บริหารบ้านเมืองและประชาชน ส่วนใหญ่ จะนิ่งเฉย ราวกับ เป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับตน หรือไม่เห็นโทษภัย ซ้ำมิหนำกลับเห็นด้วยกับการเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ ที่สุด ก็ต้องยอม ไปตามวิบากของสังคม ยอมรับความจริงว่า ภูมิปัญญาของคนยุคนี้ได้เท่านี้ พ่อท่านปฏิเสธวิธีเคลื่อนไหวคัดค้านที่รุนแรง เช่นการใช้กำลังปิดกั้นกดดันผู้บริหาร หรือผู้มีส่วนในผลประโยชน์ เหล่านั้น เพื่อให้เกิด ความเสียหาย หรือสูญเสียผลประโยชน์ของเขา เนื่องจากได้ข่าวว่าคณะเคลื่อนไหวคัดค้านบางส่วน คิดจะใช้กำลัง ปิดสถานที่ ทำการของ ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งพ่อท่านก็ได้ให้นโยบายกับพวกเราว่า ชาวอโศกจะไม่ทำอย่างนั้น ถ้าองค์กรอื่น เขาจะทำ ก็เป็นเรื่องของเขา ผลจากนโยบายนี้ ทำให้คณะชาวอโศก ที่ได้ไปร่วมแสดงพลังคัดค้าน ได้ใช้ไหวพริบปฏิภาณ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อไปอยู่ในสถานการณ์ อย่างนั้น มีผู้ร่วมคัดค้านได้มาขอให้ ชาวอโศกช่วยเคลื่อนตัว ไปปิดถนน พวกเราได้ปฏิเสธเขาไปว่า พวกเรามีทั้งเด็ก และคนแก่ ไม่สะดวก ที่จะไปอยู่ตรงนั้น นี้นับเป็นความจริงที่สะท้อนให้เห็นธาตุแท้ของพ่อท่านว่าเป็นคนรักความสงบ มีอหิงสา อโหสิ ทำในเหตุปัจจัยที่สมควร ทำ ไม่ได้ดื้อดึงดันเอาชนะใคร วันนี้ (๘ ส.ค.) ได้ข้อมูลว่ามีอาจารย์ท่านหนึ่ง ในฝ่ายศาสนากระแสหลัก มองกลุ่มชาวอโศก ว่าเป็นกลุ่มศาสนาใหม่ ที่มี ความเคร่งครัดเกิน และหัวรุนแรง ทำนองเดียวกับกลุ่มของบินลาดิน หรือกลุ่มตาลีบัน ซึ่งพ่อท่านได้อธิบายกับผู้ที่ มาให้ ข้อมูลไปว่า ที่เขามองว่า เราเคร่งครัดเกิน เป็นเพราะสังคมส่วนใหญ่หย่อนยานมาก ขณะที่ชาวอโศกปฏิบัติอยู่นี้ เป็นเพียง เริ่มต้น พื้นฐาน ยังไม่ได้ส่วนเสี้ยว กับที่พระพุทธเจ้าสอน และประสงค์ที่จะให้มนุษย์เป็นเลย ส่วนประเด็นข้อหาที่ว่าชาวอโศกเป็นกลุ่มศาสนาใหม่ที่หัวรุนแรงนั้น ก็ไม่จริง ความจริงที่ผ่านมา ชาวอโศกได้อดทน และยอมมา โดยตลอด ไม่ได้แข็งกร้าว หรือดื้อดึงดัน เขาจะมาบังคับไม่ยอมให้ใช้คำนำหน้าว่า พระ คณะสงฆ์ชาวอโศกก็ยอม ไม่ยอมให้น่งหุ่มจีวร คณะสงฆ์ชาวอโศกก็ยอม บังคับให้ต้องไปทำบัตรประชาชน แทนการใช้หนังสือสุทธิ ซึ่งก็เท่ากับว่า ต้องใช้คำนำหน้าว่านาย แทนคำว่าพระ คณะสงฆ์ ชาวอโศกก็ยอม จับกุมฟ้องร้องดำเนินคดีกันในศาล ก็ยอมให้จับกุมคุมขัง และต้องไปขึ้นศาลตามที่ต่างๆ ชาวอโศกก็อดทน และยอมมาตลอด ทั้งๆที่รู้ว่า ถูกกลั่นแกล้ง ท่านผู้มีอำนาจใช้อำนาจและกฎหมายที่ผิดธรรม เป็นเครื่องมือในการทำลาย กลุ่มคณะชาวอโศก พ่อท่านได้นำพากลุ่มชาวอโศกให้อดทนและยอมมาตลอด ไม่ใช่แค่วันสองวัน หรือเดือนสองเดือน แต่นี่นับเป็นสิบๆปี ที่ผ่านมา ไม่เคยแม้แต่ จะมีข่าวว่าชาวอโศกได้ใช้กำลัง ใช้อาวุธไปทำร้ายทำลายใคร แม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มศาสนา กระแสหลัก หรือเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยงานไหนๆ ป่วยการกล่าวถึงประชาชนชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนๆ ก็ยิ่งไม่เคยมีชาวอโศกคนใด ทำร้ายใครๆ ด้วยเหตุที่สมณะ ชาวอโศกถูกกลั่นแกล้ง นานาสารพัดนี้เลย ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า เป็นกลุ่มศาสนาใหม่ ก็ไม่ใช่ ความจริงแล้วชาวอโศกกำลังกลับไปสู่ความเป็นพุทธแต่ดั้งเดิม ส่วนพุทธ ที่เป็นกันอยู่นี้ แทบไม่เหลือของเดิม เช่นพระจะต้องมีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ซึ่งเปรียบเหมือนธรรมนูญของ ศาสนาพุทธ เขาก็ไม่นำพาปฏิบัติกัน ความจริงแล้ว เขานั่นแหละคือ ศาสนาใหม่ ที่เพี้ยนไปจากศาสนาพุทธแต่ดั้งเดิม การสัมมนาข่ายแหตามที่ต่างๆนั้น มีประเด็นเกี่ยวกับการอบรมพี่น้อง ๓ จังหวัดชายแดนใต้ เนื่องจากรองผู้ว่า ของจังหวัด ปัตตานี เคยเป็นรองผู้ว่าฯ ที่อำนาจเจริญ แล้วเห็นผลงานของ 'สวนส่างฝัน' ในการอบรมเกษตรกร เมื่อท่านย้ายไป จังหวัดชายแดน จึงได้ติดต่อขอส่งชาวบ้าน มาอบรมอาชีพ แม้ทางสวนส่างฝัน จะพยายามปฏิเสธไปแล้ว ก็ตาม แต่ก็ยังได้รับ การติดต่อ ขอให้ช่วยอบรมชาวบ้านด้วย ทาง'สวนส่างฝัน' ได้ปรึกษามา พ่อท่านเห็นว่า เราต้องแจ้งให้เขาทราบล่วงหน้าว่า เราเป็นกลุ่ม ชาวพุทธที่เคร่งครัด มาแล้วเขาจะต้องทำอะไรบ้าง ในวิถีชีวิตของเรา ถ้าเขาสามารถทำได้ก็ตกลง แต่เมื่อเขามา จริงๆ แล้วทาง'สวนส่างฝัน'เอง ก็ต้องอนุโลมในหลายๆอย่าง เพราะต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม ถึงเวลาละหมาดก็ที่หนึ่ง สวดมนต์ก็อีกที่หนึ่ง ผลจากการอบรมแล้ว ชาวบ้านเองก็พอใจ รองผู้ว่าฯก็ยังต้องการส่งชาวบ้าน มาอบรมอีก แต่ฝ่ายเราเห็นว่า น่าจะปฏิเสธไปดีกว่า เพราะวิถีชีวิตจริงๆของเรา ไม่สามารถแสดงออก ได้เต็มที่ แล้วการอบรมของเรา ไม่ใช่เน้น เรื่องของวิชาชีพ เราเน้นธรรม เป็นหลักสำคัญ แต่เมื่อเป็นกลุ่มคนต่างศาสนาอย่างนี้ มันเป็นเรื่องยาก ทั้งเขาและเรา เมื่อปลายปีที่แล้วมีข่าวว่า มีผู้หลักผู้ใหญ่เปรยทาบทาม ขอให้ส่งสมณะชาวอโศกไปช่วยอยู่ตามวัดต่างๆ ใน ๓ จังหวัด ชายแดนนั้น ด้วยเข้าใจว่าน่าจะช่วยประสานทำความเข้าใจกับคนในท้องถิ่นนั้นได้ รวมถึงมีชาวอโศกบางคน อาสาจะไป ช่วยอบรมอาชีพ ให้กับชาวบ้าน โดยเชื่อว่าความจริงใจที่เรามี จะทำให้ชาวบ้านได้ประโยชน์ แต่ทั้งสองกรณี พ่อท่านปฏิเสธว่า ชาวอโศก เราเล็กเราน้อย ไม่ได้ยิ่งใหญ่ปานนั้น และไม่มีความสามารถ ที่จะไปทำงานอย่างนั้นได้ การจะไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคน ที่ต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม ไม่ใช่สิ่งที่ จะทำได้ง่ายๆ ขนาดศาสนาเดียวกัน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะอบรมสอนกันได้ ความห่วงใยของสังคมที่มีต่อปัญหาชายแดนภาคใต้ ล่าสุดญาติธรรมได้ป้อนคำถาม สมมุติว่าถ้าพ่อท่านมีอำนาจเต็ม ในการบริหารจัดการ พ่อท่านคิดว่าการแก้ปัญหาภาคใต้นั้น ควรเป็นอย่างไร พ่อท่านตอบว่า จะเชิญหัวหน้าของกลุ่มที่จะแยกดินแดนมาคุยกัน แล้วทำสัญญาลูกผู้ชายต่อกัน ให้เขาบริหารปกครอง ๓ จังหวัด นั้น ไปได้เลย แต่มีข้อแม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับเขา โดยให้โอกาสคณะของเขาหาเสียงกับประชาชนไปได้เลย ถ้าประชาชนเห็นดี เห็นชอบด้วยที่คณะของเขาจะมาปกครอง บริหาร ก็บริหารไปได้เลย แล้วบริหารไปให้ดี ไม่ต้องมาฆ่าฟันกัน อย่างนี้ แต่ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ ไม่เห็นดีด้วยที่จะให้คณะเขามาบริหารปกครอง คณะของเขาต้องหยุดก่อการร้ายทั้งหมด ทันที เพื่อจะได้อยู่กันอย่างสันติสุขต่อไปได้ พูดอย่างภาษาผู้ชายๆ พ่อท่านใจถึงมาก มองปัญหาและแก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ไม่ได้ยึดติด ไม่ได้หลงใหล ในสมมุติสัจจะใด ไม่ว่าจะผืนดินหรือศาสนา มองกันและกันอย่าง พี่อย่างน้อง ที่ควรจะอยู่ร่วมกัน อย่างสันติ แต่พ่อท่านก็ทิ้งท้ายว่า เชื่อเหอะ ข้อเสนอความเห็นนี้ไม่มีฝ่ายใดกล้าเอาไปปฏิบัติจริงหรอก เพราะต่างก็ยังยึดติดกับ สมมุติสัจจะ เยอะ ยิ่งถ้ามีเรื่องของภายนอกประเทศ เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ยิ่งยากที่จะยุติได้โดยง่าย นับวันยิ่งจะชัดเจนระหว่างความเป็นอยู่ของสังคมภายนอก กับภายในอโศก มันช่างแตกต่างกันมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา การศึกษา ฯลฯ ช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าจะพบกับกลุ่มไหนๆ พ่อท่านจะพูดย้ำถึงสังคมอาริยะ คือสังคมของคนที่มีศีลเป็นปกติ ไม่มีอบายมุขใดๆ เลย อยู่กัน อย่างเอื้อเฟื้อเกื้อกูล พึ่งพาอาศัยกันได้ มีระบบสาธารณโภคี กินใช้ร่วมกัน เช่นที่ชุมชนของชาวอโศกทั้งหลาย เป็นแล้ว แล้วยกเอาพุทธพจน์ ที่ตรัสไว้ว่า "ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าสวรรค์คาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆ ในโลกทั้งปวง". |
การสัมมนาเครือแหชาวอโศกเรื่อง "ทิศทางการดำเนินงานของข่ายแหชาวอโศก ปี ๔๘-๔๙" ณ เฮือนศูนย์สูญ หมู่บ้านชุมชน ราชธานีอโศก จ.อุบลราชธานี จัดโดยสถาบันบุญนิยม ซึ่งเป็นหน่วยงาน กลางทำหน้าที่ประสานการทำงาน ของเครือแห องค์กรบุญนิยมต่างๆ ให้มีความเป็นเอกภาพ และมีประสิทธิภาพตรงตามอุดมคติ การสัมมนาได้จัดตามชุมชน ต่างๆ ของชาวอโศก ในครั้งที่ผ่านมา จัดในวันที่ ๕-๖ ก.ค. ที่ชุมชนดินหนองแดนเหนือ โดยมีกลุ่มเครือแหในเขตภาค ตะวันออก เฉียงเหนือ ตอนบน ได้ไปร่วม และวันที่ ๑๒-๑๓ ก.ค. ได้จัดที่ ฮอมบุญอโศก อ.เด่นชัย จ.แพร่ เพื่อสัมมนา เครือแหชาวอโศก ภาคเหนือ วันที่ ๒๕-๒๖ ก.ค. มีการจัดสัมมนาที่หมู่บ้าน ชุมชนราชธานีอโศก อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี โดยมีกลุ่ม เครือแหในเขต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ไปร่วม ประเด็นในการสัมมนาแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือการพัฒนา งานภายใน และการพัฒนางานภายนอก โดยมีกิจกรรมดังนี้ วันที่ ๒๕ ก.ค. วันที่ ๒๖ ก.ค. โครงการ - งบประมาณ สรุปการสัมมนาและข้อตกลงร่วมกัน พักเปลี่ยนอิริยาบถ เล็กน้อยก่อนเข้าสู่รายการต่อไป เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น. เป็นการ แสดงธรรมของพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ท่านได้สำทับว่า "ในด้านการประกอบการ จะต้อง ช่วยกัน บูรณาการช่วยกันสร้างสรร บุญนิยมเป็นโครงสร้างของสังคมชนิดใหม่ที่ยังไม่เคยเกิด เราจะต้องหนัก เพราะเป็นรุ่น บุกเบิก ถ้าไม่เป็น สาธารณโภคีก็ไม่ใช่โลกุตระ และอยากให้คนแกนในมีความเจริญของธรรมะ เพื่อจะได้มี ธรรมรังสีดีขึ้น เจริญขึ้น ถ้าแก่นแกนแข็งแรงขึ้น สภาพแม่เหล็กจะมีแรงเหนี่ยวนำดีขึ้น ให้ทุกคนขันชะเนาะให้กับตนเอง แม้งาน จะเข้ามามาก แต่ให้ แยกให้ออกว่ามันอยู่ด้วยกัน ระหว่างงาน กับการปฏิบัติธรรม อย่าหลุดนะ ที่จะปฏิบัติธรรมไปกับงาน อย่าเผลอ เรื่องงาน เราต้องทำงานและทุกงานเราปฏิบัติธรรม หรือไม่? ความเป็นสัตว์โลกสูงสุดคือ มีประโยชน์มีคุณค่าต่อโลก สุดยอดของคน คือจบเมื่อเป็นอรหันต์แล้วโลกไม่ขาดทุน" ในช่วงท้าย เป็นการปุจฉา-วิปัสสนา เพื่อการแก้ปัญหา และพัฒนา ภายในข่ายแห ฟังธรรมเสร็จแล้วรับประทานอาหารร่วมกัน ที่ศาลาเฮือนเพิงกัน และศาลาฝั่นเสี่ยว ความรู้สึกของผู้เข้าร่วมสัมมนามีดังนี้ คุณแห่งไท กมลรัตน์ ศูนย์บุญนิยมสิกขาสวนส่างฝัน
จ.อำนาจเจริญ คุณสมวงค์ ขุมหิรัญ ศูนย์บุญนิยมสิกขาร้อยเอ็ดอโศก
จ. ร้อยเอ็ด คุณเกื้อดิน สุวรรณ ศูนย์บุญนิยมสิกขาศีรษะอโศก
จ. ศรีสะเกษ คุณเจ็ดแก้ว ชาวหินฟ้า ศูนย์บุญนิยมสิกขาสุรินทร์อโศก
จ.สุรินทร์ คุณแห่งบุญ นาชัยเวียง ศูนย์บุญนิยมสิกขาศรีโครตบูรณ์อโศก
จ. สกลนคร สัมมนาในห้วงเวลานี้เหมาะสมเพราะได้เปิดใจมีเวลาได้คุยกันมากขึ้น ที่ผ่านมาการประชุมหลายเครือแห และมีเวลาที่ กระชั้นชิด เวลาได้พูดกันก็น้อย มันไม่คุ้มกับการเดินทางมาจากที่ไกลๆ แต่มาครั้งนี้ได้เจาะรายละเอียดที่ดีมาก ได้ประโยชน์มาก ประทับใจ หลายๆที่ ที่บูรณาการหลากหลาย และประทับใจพ่อท่านมาก คุณสงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการและเลขานุการคณะกรรมการสถาบันบุญนิยม
อย่างที่มาวันนี้ก็มาคุยกันเรื่องที่ว่า จะทำให้ชุมชนเป็นศูนย์บุญนิยมสิกขา น่าจะมีกฎเกณฑ์หรือตัวชี้วัดอย่างไรบ้าง ก็มาปรึกษา กันว่า ถ้าเป็นแบบนี้จะดีไหม ซึ่งก็ไปฟังจากทุกเครือแหทั่วประเทศ ก็คือทั้งงานภายในของเราจะพัฒนาอย่างไร ที่ทำให้เป็น ศูนย์บุญนิยมจริงๆ ให้คนได้มาเรียนรู้ในวิถีชีวิตบุญนิยม ไม่ใช่เป็นเพียงศูนย์ฝึกอบรม ซึ่งเดิมเราตั้งไว้แบบนั้น มันก็อาจจะเป็นว่า บอกแต่คนอื่น แต่เราไม่มีเนื้อความเป็นบุญนิยมเพียงพอ การพัฒนาตนเองของสมาชิก บุญนิยม และ ชุมชนบุญนิยม ให้เป็น ศูนย์บุญนิยมสิกขา ขณะเดียวกันที่คนอื่น เขาจะได้ประโยชน์ด้วย และเขามาเรียนรู้จะโดยขบวนการอบรม หรือเราไปเยี่ยมเขา ก็อาจจะทำให้เพื่อนบ้านรอบนอก ที่อาจจะอยู่ไกล ก็จะมีโอกาส ได้เรียนรู้ชีวิตบุญนิยม ด้วย เผื่อจะได้เรียนรู้ และเอาไปปฏิบัติได้ หรือ เราพูดกันภายในก็คือ ไปตามหาญาติธรรมใหม่ ในการสัมมนาครั้งนี้ก็ดีครับแม้จะมีความเห็นต่างกัน แต่อย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้องกันก็แลกเปลี่ยนกันและหาข้อสรุปกัน ในที่สุด ก็ได้ข้อสรุป และ พ่อท่านก็มาช่วยให้นโยบายว่าทิศทางที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เรื่องที่ตกลงร่วมกัน ก็เช่นลักษณะ ของศูนย์บุญนิยม จะมีเกณฑ์อะไรบ้างที่เราจะทำ ซึ่งจะมีรายละเอียดเยอะแยะ หรือการไปทำงานกับคนภายนอก เราจะมี เกณฑ์อะไร ที่เป็นตัวชี้วัด ว่าเป็นความสำเร็จ ก็พิจารณาในรายละเอียดนี้เป็นหลัก และก็ได้แลกเปลี่ยน กันว่าวิธีการไปทำงาน ทั้งพัฒนาภายใน และเชิญชวน คนอื่นให้ทำ จะใช้วิธีการอย่างไรก็ได้แลกเปลี่ยนกันในเชิงวิธีการ หรือแม้แต่ การบริหาร จัดการเรื่องเงินงบประมาณจะบริหารอย่างไร มีหลักเกณฑ์ ที่จะบริหารอย่างไร ก็มีการแลกเปลี่ยนกัน และหาข้อสรุปได้ ประทับใจเห็นบ้านราชฯ พัฒนาได้ เยอะ เห็นบ้านราชฯได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับพวกเราว่า ได้ปรับวิธีการเรียนรู้ ให้สอดคล้อง กับวิถีชีวิต ก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เข้าใจว่าชุมชนอื่นก็ได้เรียนรู้อันนี้ด้วย แต่ละที่ก็มีจุดแข็งจุดอ่อนได้แลกเปลี่ยนกัน ช่วยกัน ต่อเติมกันทุกศูนย์ และจะได้ นำไปพัฒนาตัวเอง ก็ดีใจที่ได้มาพบพี่พบน้องที่บางคนไม่ได้เจอกันนาน สมณะเดินดิน ติกขวีโร ที่ปรึกษาศูนย์บุญนิยมสิกขาราชธานีอโศก
จ. อุบลราชธานี เป้าหมายในการสัมมนาครั้งนี้ทางส่วนกลางต้องการที่จะเก็บข้อมูล ข้อเท็จจริงจากศูนย์ต่างๆ และอีกเป้าหมายหนึ่งก็คือ ทางส่วนกลาง ต้องการที่จะกระจายอำนาจให้แต่ละศูนย์มีความอิสระในการดำเนินกิจการ ไม่ใช่จะครอบงำ ให้เป็นไป ตามที่ส่วนกลางคิดมา ดังนั้น พวกเราที่ปฏิบัติงาน ในแต่ละศูนย์จะต้องนำเสนอ กล้าพูดกล้าคิดแสดงออก ไม่ใช่ไปซ่อนระเบิด ของความไม่ชอบใจเอาไว้ เพื่อเอามาถล่มกัน ในภายหลัง มีอะไรก็พูดกัน เพราะเป้าหมายจริงๆ ที่ทางส่วนกลาง เขาทำก็เพื่อ อยากได้ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น ที่เป็นของเรา จริงๆ |
กว่า ๓๖ ปีที่โครงการหลวงถือกำเนิดขึ้นจากพระราชประสงค์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อการพัฒนา การเกษตร บนที่สูง ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยภูเขาดีขึ้น จากเดิมที่ยึดอาชีพการปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอยเป็นหลัก ให้หันมาปลูก ผักผลไม้ เมืองหนาวแทน ล่าสุดคณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยใช้ที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จัดสร้างนิคม เกษตรอินทรีย์ขึ้นจำนวน ๗ แห่ง ทั่วประเทศ ได้แก่ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ กำแพงเพชร พิษณุโลก พะเยา และ ระยอง เพื่อรองรับเกษตรกร ที่ยังไม่มีทำกิน โดยยึดโครงการหลวงมาเป็นแม่แบบในการดำเนินงาน "ต่อไปจะไม่มีการแจกที่ดินแก่เกษตรกรอย่างเดียว แต่จะให้พร้อมอาชีพ คือนโยบายที่ท่านนายกฯทักษิณให้มา จะให้มีการ รวมกลุ่ม เกษตรกร แล้วเราก็จะจัดที่ดินให้สำหรับการทำเกษตร ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการดูแล รวมถึงจะง่ายในการหาตลาด เพื่อจำหน่ายผลผลิต" คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รมว. เกษตรและสหกรณ์ เผยระหว่างการนำคณะตรวจเยี่ยม การดำเนินงาน ของ สถานีวิจัยเกษตร หลวงอ่างขาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ พร้อมทั้งระบุว่าโดยจะยึดรูปแบบการดำเนินงาน ของสถานีเกษตร หลวงอ่างขางเป็นต้นแบบ ในการบริหารจัดการ นิคมเกษตรอินทรีย์ทั้ง ๗ แห่งดังกล่าว หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี องค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ระบุว่า ปัจจุบันโครงการหลวงมีผักที่ปลูกอยู่มากกว่า ๑๔๐ ชนิด และทุกชนิด ที่นำไปส่งเสริมชาวเขาปลูกนั้นจะไม่ใช้สารเคมี แต่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทั้งหมด จึงรับประกันได้ว่าพืชผักทุกชนิด ที่มาจาก โครงการหลวง ปลอดภัยจากสารพิษ ๑๐๐ % "เรื่องความปลอดภัย เราทำมา ๓๐ กว่าปีแล้ว คนอื่นเริ่มหลังเราประมาณ ๓๐ ปี ผักเรามี ๑๐๐ กว่าอย่าง ตอนนี้มีผักจาก เมืองจีน เข้ามาตีตลาด ต้องบอกว่าเราไม่เสียหายเลย แต่ที่ผมเป็นห่วงคนกินมากกว่า เพราะเราไปเห็นวิธีเขาปลูกแล้ว ไม่กล้ากิน อีกเลย คลื่นไส้ อย่างปุ๋ยคอกเราใช้กัน ที่โน่นเขาใช้ปุ๋ยส้วมนำมาราดผัก ผักก็เลยสวยมาก" หม่อมเจ้าภีรเดช กล่าว องค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ยังกล่าวถึงวิธีการบริหารจัดการพืชผักโครงการหลวงว่า เราไม่มีคนกลาง แต่โครงการ เป็นคนกลาง ในการบริหาร จัดการทั้งหมด ตั้งแต่กระบวนการผลิต การเก็บผลผลิต การบรรจุหีบห่อ การจัดจำหน่าย ตลอดจน การหาตลาดใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการดำเนินแบบครบวงจร "เรามีที่ให้เขาเลือกเองว่าจะปลูก อะไร บางคนอยากปลูกผัก บางคนปลูกผลไม้ อย่างสาลี่บางคนไม่เคยเห็นเราก็ไปแนะนำ ให้ความรู้แก่เขา เราคิดเรื่องตลาดก่อน อันนี้ถ้าปลูกได้เราขายได้แน่ ทุกวันนี้ชาวเขาที่ ทำงานอยู่กับเราร่ำรวยดี อย่างปะหล่อง มีรายได้เฉลี่ย ๕-๖ หมื่น บาทต่อปี จากแต่ก่อนเขาไม่มีรายได้เลย" หม่อมเจ้าภีรเดช กล่าว ด้านสุทัศน์ ปลื้มปัญญา ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาเกษตรที่สูง กล่าวถึงการดำเนินงานสถานีเกษตรหลวงอ่างขางว่า จะเน้น งานวิจัย เป็นหลัก เพื่อขยายผลไปสู่ที่อื่น ซึ่งงาน แรกที่ทำสำเร็จก็คือการปรับปรุงพันธุ์ท้อพื้นเมือง ส่วนตอนนี้ก็มีการวิจัย เรื่องชาจีน เรื่องนี้ยังมีงานวิจัย ออกมาน้อยมาก จากความสำเร็จของสถานีเกษตรหลวงอ่างขางที่สร้างอาชีพใหม่ให้กับชาวเขาและเกษตรกรที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูง ทำให้รัฐบาล มีนโยบาย ที่จะนำมาเป็นต้นแบบในการบริหารจัดนิคมเกษตรอินทรีย์แก่เกษตรกรในพื้นที่ราบในอนาคต. (จาก นสพ.คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ ๑๕ มิ.ย.๔๘) |
ผู้นับถือศาสนาต่างๆ
ร่วมต้านอบายมุข
เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๘ ชาวสถาบันบุญนิยมประมาณ ๑,๐๐๐ คน เดินทาง มาร่วมแสดงประชามติไม่เห็นด้วยกับ การนำเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์เข้าตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) โดยเดินทางมาจากเครือแหต่างๆ ทั่วทุกภาค ของประเทศ ที่หน้ากระทรวงการคลัง กรุงเทพฯ เวลา ๐๙.๐๐ น. พี่น้องบางส่วนเดินทางมาโดยรถไฟ ลงรถที่สถานีรถไฟสามเสน ก็มีอาหารเช้าที่ทำมาจากปฐมอโศก ไว้คอยบริการ บางส่วน เดินทางมาโดยรถหกล้อ รถบัส แวะพักรับประทานอาหารเช้าที่สันติอโศกก่อน
เวลา ๑๑.๐๐ น. จึงออกเดินทางจากชุมชนสันติอโศก ไปรวมตัวกันที่สถานีรถไฟสามเสนเพื่อจัดขบวน ซึ่งวันนี้บรรยากาศดีมาก ไม่ร้อน อากาศ เย็นสบาย มีฝนโปรยปรายลงมาเป็นระยะๆตลอดทั้งวัน หลังจากมากันครบแล้ว ก็จัดแบ่งออกเป็นเครือแหต่างๆ แล้วเดินเท้า ไปยังกระทรวงการคลัง
เมื่อไปถึงพี่น้องที่มีอุดมการณ์เดียวกันจากกลุ่มต่างๆเป็นพลังอันบริสุทธิ์ ซึ่งต่างก็มีหัวใจดวงเดียวกันเพื่อหยุดยั้ง การกระทำ อันไม่เป็นผลดี แก่เยาวชนและประเทศชาติ ปรบมือให้การต้อนรับ เจ้าหน้าที่จากเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ได้แจกผ้าพลาสติก ปูนั่ง กระดาษสีเหลือง-แดง มีข้อความว่า "โปรดอย่าทำร้าย เยาวชน" และ"สังคมไทย" หยุดเบียร์เหล้าเข้าตลาดหุ้น สำหรับ พันรอบศีรษะ บทเพลงหายนะ และธงชาติ หลังจากนั้นแต่ละเครือแหก็ได้นั่งรวมกันฟังการปราศรัย ชมการแสดงบนเวที โดยนั่งอยู่บริเวณถนนด้านหน้ากระทรวงการคลัง นอกจากนี้ยังมีพระสงฆ์จากวัดต่างๆ พี่น้องชาวพุทธ ชาวมุสลิม ชาวซิกส์ชาวคริสต์ มาร่วมชุมนุม จนกระทั่งเวลาประมาณ ๑๓.๓๐น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ประธานกองทัพธรรมมูลนิธิ ได้มาถึงบริเวณ เดินไปนมัสการพระภิกษุสงฆ์ และทักทาย พี่น้องประชาชนแล้ว ได้ขึ้นเวที พูดปราศรัยกับผู้มาร่วมคัดค้าน บรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนาน แต่ละคนมีสีหน้า ที่เบิกบานแจ่มใส พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวก่อนขึ้นปราศรัยบนเวทีว่า ต้องการให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ว่าการ กระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รับปากว่า ก.ล.ต. จะไม่อนุญาต ให้นำธุรกิจ ประเภทเบียร์และเหล้าเข้าจดทะเบียนใน ตลท. หากไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน ก็จะเดินหน้าชุมนุม ด้วยความเข้มข้น มากขึ้นไปอีก
๑๗.๐๐ น. พระพยอม กัลยาโณ และสมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ ได้เดินทางมาถึงบริเวณ พระพยอมซึ่งกำลังอาพาธอยู่ ก็ได้เมตตา แสดงธรรม ชี้ให้เห็นโทษภัยของสุราว่า ถ้าเอาเหล้ากับอุจจาระให้สุนัขกิน สุนัขยังเลือกอุจจาระมากกว่าเหล้า แล้วทำไมเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ถึงได้เอาเหล้ามามอมเมาเยาวชน และท่านได้เรียกร้องให้ผู้มาชุมนุมต่อต้านด้วยอหิงสา หลังจากนั้น ตัวแทนเยาวชนทั้งในประเทศ และ จากต่างประเทศ ตัวแทนจากเครือข่ายต่างๆ นิสิตนักศึกษา นักเรียน ประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากผู้ดื่มน้ำเมา แล้วขับรถชน จนประชาชนที่บริสุทธิ์ ต้องร่างกายพิการได้ผลัดกันขึ้นมาบนเวที กล่าวถึง โทษภัย ของเหล้าเบียร์ สลับกับการแสดงต่างๆ เช่น การร้องเพลง อีแซว การแสดงลิเกของพี่น้องจากมุสลิม การสวดจาก พระสงฆ์ไทย การเผาหุ่น ร.ม.ว. กระทรวงการคลัง และเจ้าของธุรกิจเบียร์-เหล้า การปราศรัย ของผู้นำศาสนาอิสลาม การร้องเพลง คนสร้างชาติ จากเครือแหสถาบันบุญนิยม การกล่าวบทกวีของชาวต่างชาติ
โอกาสนี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้มอบรายชื่อของพี่น้องประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการนำเบียร์เหล้าเข้าตลาด หลักทรัพย์ จำนวน ๑๔๐,๗๗๕ คน แก่คุณผ่อง เล่งอี้ ผู้แทนสมาชิกวุฒิสภา เพื่อนำเสนอต่อประธานรัฐสภาโดยเร็วที่สุด ในวันนี้มีพี่น้องจากศาสนิกต่างๆมาร่วมคัดค้านเป็นประมาณหมื่นกว่าคน โดยเฉพาะช่วงเย็น มีนักเรียน นิสิต ที่กลับจาก โรงเรียน มหาวิทยาลัย ทยอยมาอย่างไม่ขาดสาย จากถนนฝั่งพระราม ๖ และฝั่งทางเข้าสำนักงานเขตพญาไท ส่งผลให้ การจราจร ในบริเวณใกล้เคียง ติดขัดเป็นอย่างมากได้ เย็นวันเดียวกัน ราว ๑๗.๐๐ น. ที่สำนักงานตลาดหลักทรัพย์ มีการประชุมคณะกรรมการบริหารตลาดหลักทรัพย์ เพื่อพิจารณา เรื่องดังกล่าว ใช้เวลากว่า ๔ ชั่วโมง ซึ่งที่ประชุมเสนอให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของ ก.ล.ต. อีกครั้งประมาณเดือนกันยายนนี้ การคัดค้านดำเนินไปจนถึงเวลา ๒๑ นาฬิกาเศษ จึงได้ยุติ การชุมนุมครั้งนี้มีศาสนิกชน ๖๗ องค์กรและ ๑๗๒ องค์กรเครือข่ายงดเหล้า สำหรับบทเพลงหายนะ มีเนื้อร้องว่า "มันมีอยู่ ตามร้านค้าทั่วไป แทรกซึมอยู่ในทุกแห่งทุกหน แต่ยังไม่พอจะมอมเมาทุกคน มันเลยดิ้นรนหาหนทางต่อไป และแล้ววันหนึ่ง มันได้เจอช่องทาง มันคอยจะตาม เข้าตลาดหุ้นไทย ตอนยังไม่เข้าลูกหลานยังแทบบรรลัย ถ้าได้เข้าไปคงไม่ต้องสาธยาย หายนะ หายนะ จะเข้าตลาดหุ้นไทย (*ซ้ำ) มองแค่ผลประโยชน์ ทางเศรษฐกิจ ไม่รับผิดชอบชีวิต ของพี่น้องผองไทย ดูช่างภาคภูมิใจ ทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง (*ซ้ำ) ทำร้ายคนไทย ด้วยกันเอง". |
ที่ทักษิณอโศก ระหว่างวันที่ ๕-๗ ส.ค.๔๘ มีงาน "ภราดรภาพซาบซึ้งใจ"
เพื่อ ๑.สร้างความเป็นภราดรภาพให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว บรรยากาศของงาน เป็นวิธีการมาเยี่ยมเยียนลูกๆ ของพระโพธิสัตว์ เพื่อเพิ่มขวัญ กำลังใจ บังเกิดความอบอุ่นใจ มีความรักใคร่ ปรองดองสมานฉันท์ รวมหมู่รวมกลุ่ม สามัคคี มีการกระจายอำนาจ มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยในการตัดสินใจ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ เป็นการเผยแพร่ลักษณะสังคมบุญนิยม มีคนใหม่ๆเข้ามาร่วม มีพืชผัก ผลไม้ ไร้สารพิษมากมายโดยเฉพาะผลไม้ อาทิ เช่น เงาะ ลองกอง มังคุด ละไม ฯลฯ ทั้งคนนอก คนใน ประมาณ ๓๐๐ คน เศษ คนในเข้มแข็งขึ้น รวมตัวกันเหนียวแน่น เป็นปึกแผ่น มีขวัญกำลังใจดี อบอุ่นและซาบซึ้งใจที่พ่อท่านมาโปรดและเมตตาดับไฟในจิตให้เย็นและมีสภาวะเข้มแข็ง ข้อสรุปงานคือ สำหรับความรู้สึกของผู้ร่วมงาน มีดังนี้ คุณสุทธิพงษ์ จิตตะวงศ์นันท์ (หมอแก้ง) "รู้สึกซาบซึ้งที่พ่อท่านมา ซึ่งเป็นวิธีการเยี่ยมเยียนของพระโพธิสัตว์ ทำให้หมู่กลุ่ม มีความเป็นภราดรภาพ เป็นพี่เป็นน้องกันแท้ๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพ่อท่านคนเดียว คือมีการกระจายอำนาจหมู่กลุ่ม ต้องตัดสินใจ เองนะ ได้เป็นประชาธิปไตย เคยเข้าประชุมสถาบันบุญนิยม ได้เห็นทิศทาง พ่อท่านพูดว่า มีคนมาถามอาตมาว่า ถ้าอาตมา ไม่อยู่แล้ว อโศกจะเป็นอย่างไร อโศกจะอยู่ต่อไปได้ไหม ก็ได้คำตอบว่า พวกเราอยู่ได้แน่ๆ เพราะมีหมู่ มีกลุ่มสืบทอด มีทั้งเป็นองค์กร สถาบันบุญนิยม กลุ่มชาวอโศกอยู่ต่อไปได้แน่ๆ ช่วยกันคิดช่วยกันทำ" คุณสนธิพงษ์ สนทมิโน (ธรรมราชอโศก) "รู้สึกอบอุ่นใจที่ได้มาร่วมงานทุกครั้ง มีคนใหม่ๆ เข้ามาได้เชิญคนมาร่วมงาน ร่วมกิจกรรม คราวนี้ประมาณ ๑๒-๑๓ คน ประทับใจที่จะก่อให้เกิดความเข้มแข็งของหมู่กลุ่มธรรมราชอโศก ประทับใจ ธรรมะพ่อท่านที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่มีความเข้มแข็ง ทำให้หมู่กลุ่มของเรามีความเข้มแข็ง ทางจิตวิญญาณเพิ่มขึ้น ได้มีการพบปะ พูดคุยกันที่จะเพิ่มพลังกลุ่มธรรมราชอโศกให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จะให้มีการพบปะประชุมบ่อยขึ้น จะร่วมกัน ทำวัตรเช้า ให้มากขึ้น จะให้มาอยู่ในชุมชนให้มากกว่าเดิม ขณะนี้มีห้องน้ำ ๗ ห้อง ศาลาจุคนได้ ๘๐-๑๐๐ คน กุฏิสมณะ ๑ หลัง ได้ยกที่ให้ส่วนกลางไป ๑๐ ไร่ โอนเมื่อเดือน เม.ย.ที่แล้ว อีก ๓๐ ไร่ ที่เหลือเอาไว้ให้ลูกๆ ได้มาอยู่ร่วม เป็นสังคมบุญนิยมต่อไป" คุณเทวิน จิตน้อย "มาร่วมงานเป็นครั้งที่ ๒ อบอุ่นดี เป็นกันเอง บรรยากาศดีมากประทับใจพี่น้องชาวใต้หลายๆคน รวมตัวกัน เหนียวแน่น ไม่ได้เป็นแบบที่ต่างคนต่างอยู่ อยากให้คนใต้รวมกลุ่มกันเยอะๆ ทักษิณฯยังหาคนไปช่วยได้น้อย อยากให้คนใต้ มารวมกัน ส่วนผมเองเป็นคนภาคกลาง แต่ประทับใจพี่น้องทางใต้ ผมเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานกลาง เครือข่ายกสิกรรม ไร้สารพิษ ของทักษิณอโศก ธรรมชาติอโศก ธรรมราชอโศก ชเลขวัญ" คุณฟางฝน กุลมาตย์ "ประทับใจพ่อท่านที่เมตตาเอื้อไออุ่น เมื่อวันที่ ๕ ส.ค. และวันที่ ๖ ส.ค. พวกเราทำพิธีปิตุบูชา พ่อท่าน เทศน์ แล้วบอกว่า เอ้า...ใครมีอะไรจะคุย จะถาม เลยได้เอื้อไออุ่นเป็นรอบที่สอง สิ่งพ่อท่านเทศน์สอนก็ได้เป็นการตอกย้ำตัวเอง ต้องทำ ที่ตัวเราเองก่อน อาคาร สถานที่ไม่ต้องห่วง ได้ย้ำตัวเองให้มีกำลังใจว่าต้องเข้มแข็ง" สมณะลั่นผา สุชาติโก "งานนี้ก็รู้สึกมี ๒ งานซ้อนกัน งานหลักก็ ภราดรภาพซาบซึ้งใจ นับเป็นครั้งที่ ๕ ส่วนอีกงานหนึ่งก็คือ งานพรรคเพื่อฟ้าดิน มีการประชุมเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษด้วย ซึ่งบวกเข้ามากับงานที่เป็นโครงการที่พ่อท่าน มาเยี่ยม ชาวใต้ทุกปี คืองานภราดรภาพซาบซึ้งใจ นี่แหละ โครงการที่พ่อท่านไปเยี่ยม ฮอมบุญอโศก สีมาอโศก ดินหนองแดนเหนือ แล้วที่ทักษิณอโศก เป็นแหล่งสุดท้าย ที่โครงการนี้ก็จบพอดี ในการไปเยี่ยมเครือข่ายหรือเครือแห ไปเยี่ยมลูกๆ ไปตรวจดู ศูนย์ฝึกอบรม แต่ละแห่ง ว่า สมควรจะเป็นศูนย์บุญนิยมสิกขาได้หรือยังทำนองนี้นะ เพราะว่าเรามีโครงการที่จะอบรมเกษตรกร จากกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ เขาจะพาคนมาอบรม พ่อท่านก็มาประเมินว่า เป็นยังไง เราพร้อมที่จะลุยไหม ความรู้สึกก็รู้สึกอบอุ่นดี เพราะพ่อท่านมาเยี่ยม นานๆทีเพราะเราอยู่ไกล อยู่ไกลตั้งหลายร้อยกิโล เคยแต่พ่อท่านส่งเสียง มาทางเทปบ้าง โทรศัพท์บ้าง แต่วันนี้ พ่อท่านบินมาด้วยตนเอง พวกเราก็ดีใจ พวกเราก็มากันมาก แม้แต่กรุงเทพฯ อยุธยา นครปฐม คนที่เป็นชาวใต้ แต่ไม่ได้อยู่ใต้ก็มา มากันหลายแห่ง พ่อท่านมีสุขภาพดีมาก อาตมาถามปัจฉาฯ ท่านบอกว่า พ่อท่านออกกำลังกายตอน ๐๔.๓๐ น. ทุกวัน มาที่นี่ ต้องการ ให้พ่อท่านพักผ่อน จึงไม่ได้มาออกกำลังกาย หรือ ทำวัตรเช้า แต่มีเทศน์ก่อนฉันเป็นหลัก แล้วก็เอื้อไออุ่น วันแรกที่มาก็สุขภาพ เห็นแข็งแรงดี ทักทาย ยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านเทศน์ ดี กระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา เน้นให้ละอัตตามานะ ทักษิณฯตั้งมานาน สักกายะของชาวทักษิณอโศกให้พวกเราลดละอัตตา อรูปอัตตา อบอุ่นใจมากที่พวกเรามาจากทุกสารทิศมาเยี่ยมเยียนกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน ไม่มีมหรสพ มาฟังธรรมเป็นหลัก คือเราเน้นชาววงใน ไม่ได้ประกาศข่าวทั่วไป เน้นเฉพาะญาติธรรม ที่รู้จักกัน เหมือนพี่เหมือนน้อง ประทับใจมาก ภราดรภาพซาบซึ้งใจ อยากจะเพิ่มเติมก็คือ แม้เราจะอยู่ห่างกันแต่ก็มี ทิฏฐิสามัญญตา เหมือนกัน ทิฏฐิของเราก็คือ ลดละกิเลส ขณะนี้ก็มี ๖ รูป คือ สมณะดินดี สมณะอรณชีโว สมณะสมาหิโต สมณะดินทอง สมณะลั่นผา สมณะรัตนปุญโญ พ่อท่าน ก็พูดถึงเชียงใหม่ด้วยว่า จะไม่ให้จัดงานฉลองหนาวที่ครึกโครม ให้จัดเรียบง่าย ให้พักผ่อน ท่านต้องการให้ภูผาฟ้าน้ำ เป็นแหล่งศึกษา มีความสงบสงัด เป็นแดนวิเวก" |
งวดนี้อ่านพบใน นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันเสาร์ที่ ๒๓ เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับสารประกอบที่อยู่ในพืชผัก ๒ ชนิด ที่ช่วยชะลอการเจริญ เติบโตของเซลล์มะเร็งได้ เห็นว่าน่าสนใจก็เลยเก็บมาฝากเป็นความรู้เผื่อใช้เป็นแนวทางเพื่อดูแลสุขภาพ และใช้อาหาร เป็นตัวต้านโรคได้อีกอย่างหนึ่ง นะคะ รายละเอียดในฉบับมีดังนี้ "นักวิจัยในอเมริกาพบว่า ผักบรอคโคลีและพริกแดงมีส่วนช่วยชะลอ การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกมะเร็งที่หายได้ยาก อย่างมะเร็งตับอ่อนและมะเร็งรังไข่ ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์ก ได้ศึกษาดูว่าอาหารและโภชนาการจะมีส่วนช่วยในควบคุมมะเร็งเหล่านี้ได้อย่างไร นายสันชัย ศรีวาสเทวะ หัวหน้าคณะวิจัยบอกว่า จากการศึกษาได้พบว่าพริกแดงและพืชในกลุ่มบรอคโคลี มีส่วนช่วยยับยั้ง กระบวนการเจริญเติบโตของเซลล์ มะเร็งลงได้ โดยนักวิจัยทดลองนำสารแคปเซซิน ที่มีอยู่ในพริกไปทดลองกับ เซลล์มะเร็งตับอ่อน ที่อยู่ในจานทดลองด้วย ปรากฏว่าสารประกอบนั้น ทำให้เซลล์มะเร็งทำลายตัวเอง ในกระบวนการ ที่เรียกว่า อะปอปโตสิส ในขณะที่ไม่ทำอันตรายกับเซลล์ตับอ่อนธรรมดา ผลจากการศึกษาจึงแสดงให้เห็นว่า สาร แคปเซซิน ในพริก มีคุณสมบัติ ต่อต้านมะเร็งได้ คณะวิจัยกลุ่มนี้ยังตรวจสอบดูสารประกอบที่อยู่ในกลุ่มผักพวกกะหล่ำปลี เช่น บรอคโคลี โดยนำไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งรังไข่ ปรากฏว่า ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งชนิดนี้ได้ งานศึกษาครั้งนี้ จึงช่วยอธิบายว่า ทำไมคนที่กินผักและผลไม้ เป็นจำนวนมาก จึงช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้" ก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า พืชผักผลไม้นั้นมีคุณค่าต่อร่างกายมากๆเลยทีเดียว หากแต่ถ้าต้องบริโภคผักทั่วไป คงต้องระมัดระวัง เรื่องความสะอาดและสารตกค้างกันให้มากๆ เพราะข่าวคราวเรื่องสารตกค้างในพืชผักหลายๆชนิดนั้น หนาหูจนน่าเป็นห่วง อยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้นหากเป็นไปได้ควรพิถีพิถันเลือกทานผักไร้สารพิษ ปลอดสารพิษ ทานผักพื้นบ้าน และดูแลความสะอาด ให้เพียงพอด้วยจะดีกว่า ประโยชน์ก็ได้ อันตรายก็จะไม่มีด้วยนะคะ. |
ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี นางจุฑามาศ ประทีปะวณิช เปิดการสัมมนานักวิชาการส่งเสริมการเกษตรทุกระดับ ของจังหวัด สิงห์บุรี ที่ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน อ.อินทร์บุรี เพื่อปรับทิศทางเรื่องเกษตรอินทรีย์เพื่อพัฒนาเป็นจังหวัดนำร่อง กับข้าราชการ ของจังหวัด ให้ชัดเจนเสียก่อน ตามคำแนะนำของสมณะเสียงศีล ชาตวโร เพราะถ้าข้าราชการ ยังไม่ชัดเจน หรือยังไม่รู้เรื่องนี้ ดีพอ ก็จะไม่สามารถ ไปพาเกษตรกรให้ทำเกษตรอินทรีย์ได้สำเร็จ การสัมมนาคราวนี้ ได้เชิญเอาปราชญ์ชาวบ้านที่ประสบผลสำเร็จเรื่องเกษตรอินทรีย์ มาแลกเปลี่ยนความรู้ และตอบข้อซักถาม ของเจ้าหน้าที่เกษตรจังหวัด, เกษตรอำเภอและเกษตรตำบลทั้งหมดของจังหวัดสิงห์บุรี กันซัก ๑ วันเต็มๆ ปราชญ์ชาวบ้าน ที่เราเชิญมาก็มี ลุงทองเหมาะ แจ่มแจ้ง(จากสุพรรณบุรี), นายบุญปลูก ศรีบุญโฮม (ลุงเล็กจากขอนแก่น), อ.เชาว์วัช หนูทอง (จากลพบุรี) ต้องเอาผู้รู้ที่ทำจริง, รู้จริง และได้ผลจริงมายืนยัน เพราะนักวิชาการไม่ค่อยจะยอมเชื่อเรื่องเกษตรอินทรีย์ เนื่องจากอยู่กับ เกษตรเคมี มานาน ถ้าปุ๋ยไม่แพง น้ำมันไม่แพง และไม่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ คงจะไม่เปลี่ยนจากเคมี มาเป็นเกษตรอินทรีย์แน่ |
หน้าปัดชาวหินฟ้า นสพ.ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๖๐(๒๘๒) ปักษ์แรก ๑ - ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๘ ทำบุญวันเกิด...แม่ใบจริง นาวาบุญนิยม อดีต ผรช.ชมร.เชียงใหม่ อายุครบรอบ ๖๕ ปี เมื่อวันจันทร์ที่ ๑ ส.ค. ที่ผ่านมา ก็ได้สละเงิน ๓,๐๐๐ บาท จ่ายให้ ชมร.ช.ม. เพื่อจะให้ลูกค้าได้รับประทานอาหารจานละ ๕ บาท จากปกติที่ต้องซื้อในราคา อย่างต่ำจานละ ๘ บาท (ข้าว ๑ อย่างและกับข้าว ๑ อย่าง) แต่ถ้ากับข้าว ๒ อย่าง ราคา ๑๐ บาท ถ้าตักกับข้าวมากกว่า ๒ อย่าง ก็คิดราคา ๑๕ บาท ลูกค้า ชมร.ช.ม.ก็คือ สมาชิกของ ชมร.ช.ม. แม่ใบจริงก็ต้องการทำบุญวันเกิดในจุดนี้ จิ้งหรีดเห็นลูกค้ามารับบริการมากกว่าทุกวันที่จิ้งหรีดไปกินอาหารไร้สารพิษที่ ชมร.ช.ม. เห็นชาว ชมร.ช.ม.แต่ละแผนก ยิ้มแย้ม แจ่มใส จนลูกค้าสัมผัสได้ บรรยากาศ ทั่วไปจึงดูดี อบอุ่น ทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ลูกค้าบางคนบอกว่า "อย่างนี้ดี พบกัน ครึ่งทาง ถ้าแจกฟรีเขาก็ไม่อยากจะรับ" แต่ลูกค้าหลายคนรู้สึกชื่นชม อนุโมทนา ในวันครบรอบวันเกิดที่มีการทำบุญแบบนี้ คุณภัททา ก็อาสาเป็นนักร้องอวยพรวันเกิดให้กับแม่ใบจริงถึง ๒ เพลง เป็นเพลง ภาษาอังกฤษที่ตัวเองถนัด ชาวชมร.ช.ม. ก็คง ยกให้แม่ภัททา เป็นนักร้องประจำวงไปแล้วกระมัง แม่ภัททานั้น ปกติก็มาช่วยที่ร้านเป็นประจำแม้จะอายุยาวแล้วก็ตาม แต่ก็อยาก จะสะสมบุญให้กับชีวิต วันนี้แม่ใบจริง ก็ได้สะสมบุญให้กับตัวเองอย่างใหญ่หลวงอีกวันหนึ่ง แถมยังได้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้กำลังใจฝ่ายคิดเงิน ถ้าคิด รู้สึกไม่พอใจ ลูกค้าบางคน ที่ดูจะตักมากจนเกินไป เรื่องนี้ฝ่ายคิดเงิน ก็ได้มาบอกจิ้งหรีดว่า "กำลังฝึกอยู่ ซึ่งก็รู้สึกว่า จะทำใจ ได้มากกว่าเดิม" จิ้งหรีดก็พูดให้กำลังใจไปว่า "โถ เราก็เคยแจกฟรีอยู่บ่อยๆ เราก็ยังแจกได้ แต่ถ้าเรามีใจหอบหวง อยู่เพียงแค่นี้ ก็เหมือน ภาษิตไทยที่ว่า หางช้างติดพวยกา" จริงไหมฮะ คุณป้าคุณยายและฝ่ายเก็บเงินทั้งหลาย...จี๊ดๆๆๆ ..... ครบรอบ ๑๓ ปี... ก็จะเป็นที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาเชียงใหม่ ซึ่งจิ้งหรีดได้มีโอกาสรับรายงาน จากจิ้งหรีดชาวเหนือที่นั่นซึ่งขยันขันแข็งรายงานบรรยากาศมาให้ฟังเสมอๆ (นี่ถ้าจิ้งหรีดในชุมชนต่างๆ ช่วยรายงาน ไปให้ทาง บก.ข่าวอโศกที่สันติอโศก อย่างขยันขันแข็งทุกสัปดาห์หรือทุกปักษ์ ก็จะดีไม่น้อยนะฮะ) ทาง ชมร.เชียงใหม่ ครบรอบ ๑๓ ปี เมื่อวันที่ ๒ ส.ค.๔๘ นี้ มีญาติธรรมเก่า-ใหม่มาร่วมงานวันก่อตั้งร้านเป็นจำนวนมากถึง ๑๐๐ คน โดยเวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. หลังจากสมณะจากภูผาฯ (นำโดย ท่านอาจารย์ ๑) ได้แสดงธรรมก่อนฉันไปแล้ว ก็ได้นิมนต์ พ่อท่านช่วยเทศน์โปรดชาว ชมร.ช.ม.ผ่านทางโทรศัพท์ ปีนี้จัดที่ฟังธรรมภายในโกดัง ทำให้บรรยากาศดูรวมกว่าทุกปี เสียงพ่อท่าน เทศน์โปรดและถามไถ่พวกเราก็ชัดเจน อันนี้ต้องขอขอบคุณคุณเมืองหิน ทำหน้าที่ได้ดีจริงๆ พ่อท่านจึงเทศน์จากบ้านราชฯเมืองเรือ มาถึงเชียงใหม่ พวกเราก็นั่งฟังพ่อท่านอย่างสงบ และรู้สึกประทับใจ ในเมตตาจิต ที่พ่อท่านอุตส่าห์สละเวลาให้ลูกๆที่อยู่ทางเหนือ บรรยากาศทั่วไปก็อบอุ่นทั้งญาติธรรมและสมาชิก(ลูกค้า)ต่างมีใบหน้าอิ่มบุญ อิ่มอาหารทั้งกายและใจ เพราะวันนี้แจก อาหารฟรี สำหรับลูกค้า มีผู้มารับบริการกันมากโดยไม่รู้เรื่องอะไรก็มี เป็นสัญญลักษณ์ว่า ลูกค้าใหม่แต่งตัวดี ส่วนลูกค้าเก่าก็จะอุทานว่า "ฟรีอีกแล้ว" "ดีใจจังเลย" "Thank you" จากชาวต่างชาติ บางรายขอทำบุญด้วย ทางเราก็บอกว่า "คุณรับประทานอาหารให้อิ่ม นั่นแหละค่ะ คือการที่คุณได้ทำบุญแล้ว" ลูกค้าก็ยิ้มก่อนจะเดินไปตักอาหารลูกค้าอิ่มแล้วก็ล้างจานเอง เช็ดโต๊ะเอง ดูแล้วประทับใจ วันนี้ขายอาหารกลับบ้านได้ แต่แจกฟรี กับทุกคนที่รับประทานอาหารในร้าน สาธุ เมตตาธรรมค้ำจุนโลก...จี๊ดๆๆๆ ..... ปฐมอโศก...ช่วงเข้าพรรษาปีนี้ ทางรัฐบาลเชิญชวนให้ประชาชนฝึกลดละอบายมุข โดยเฉพาะโครงการ "งดเหล้า เข้าพรรษา" ปีนี้ คึกคักดีขึ้น สมกับที่ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ จิ้งหรีดได้รู้ความตั้งใจของปะคนหนึ่ง ที่จะบำเพ็ญในช่วงเข้าพรรษานี้ถึง ๔ ข้อใหญ่ๆ แถมยังได้ประกาศที่ศาลาวิหารอีกด้วย จิ้งหรีด จึงขอนำมาถ่ายทอดให้ฟัง ดังนี้ ๑.จะไปนอนกับเด็กสัมมาสิกขา ฝ่ายหญิงอาทิตย์ละ ๒ วัน แต่ก็ทำได้เยอะกว่านั้น ๒.จะดูแลทำความสะอาดห้องน้ำฝ่ายหญิงทุกๆวัน ๓.จะเชื่อฟังคำสั่งสอนของคนอื่นอย่างมีสติ และน้อมรับโดยดี ๔.จะเขียนบันทึกประจำวันส่งสมณะและสิกขมาตุทุกๆวัน นอกจากนี้ยังมีข้อปฏิบัติอื่นๆ อีก ถ้าใครสนใจก็ไปสอบถามกันเองนะฮะ แต่อาจสงสัยว่าเป็นปะคนไหน จิ้งหรีดจะบอกใบ้ให้ ก็คือ ถ้ามีการอบรมเมื่อใด ปะคนนี้จะไปช่วยสาธิตการทำนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต เต้าฮวย น้ำเต้าหู้ และถ้าส่วนกลางมีงาน หรือขอให้ช่วยงานอะไร ปะคนนี้ก็จะลงไปช่วยให้มาก พยายามออกจากฐานช่วยงานอื่นให้มาก แต่งานฐานก็ไม่ให้ขาดตก บกพร่อง จิ้งหรีดก็รู้สึกว่าดีนะฮะ ถ้ามีเวลาก็ไปช่วยงานฐานอื่นๆ แต่ก็ต้องประมาณให้ดี มิฉะนั้นจะเข้าลักษณะเอ็นดูเขา แต่เอ็นเราขาด...จิ้งหรีดได้ยินมาอีกว่า เด็กรุ่นพี่ (สส.ฐ.) ม.๖ จะมีความสามารถทำงานของเขาเองได้ คุรุที่ดูแลก็ไม่ต้อง ทำอะไรมาก เพียงมีหน้าที่รับฟัง ทำให้เด็กเคารพ ดังนั้นเวลาพวกเขามีเรื่องอะไร เขาจะเอามาพูดคุยกัน ชี้ขุมทรัพย์กัน เปิดใจ ต่อกัน ใครทำผิดมา ก็จะได้รับโทษให้ไปทำความดีชดเชย ทำให้เด็กกล้าแสดงออกและเชื่อฟังรุ่นพี่ เคารพซึ่งกันและกันดี นี่ก็เป็นผล จากการเอาภาระของผู้ใหญ่ ทุกวันนี้ที่เด็กทำผิด กฎ-ระเบียบก็เพราะขาดผู้ใหญ่ดูแล มีผลทำให้เด็กกระด้าง โดยเฉพาะเด็กที่ทำผิดศีลข้อ ๓ (ถูกผู้ชายแตะเนื้อต้องตัว) ก็เพราะ เด็กอยู่โดยลำพัง ฉะนั้นเด็กคนใดรู้ตัวแล้วมีความตั้งใจฝึกตัวเอง พร้อมจะพราก จากคู่กรณี ผู้ใหญ่ก็ควรสนับสนุน ความตั้งใจ ของเด็กๆ ช่วยกันดูแลอยู่กับเด็กๆได้อย่างทั่วถึง...จี๊ดๆๆๆ ..... เมฆาอโศก...ชุมชนของชาวบุญนิยม จิ้งหรีดเห็นว่า ที่มีปัญหาแล้วมักจะโทษคนอื่นมากกว่าตัวเอง ทำให้พื้นฐานทางสัมมาทิฏฐิ ไม่ค่อยเข้มแข็ง ก็พลอยทำให้เป็นชุมชนเข็ง (แข็งนะฮะ ไม่ใช่เข้มแข็ง) คือ ชอบพูด จาเอาชนะคะคานกัน เพ่งโทษกัน ก็เลย รวมกันยาก แม้รวมกันได้ ก็ไม่อบอุ่น จึงอยู่ แบบตัวใครตัวมันในที่สุด ซึ่งพระพุทธเจ้าเคยบริภาษ แม้จะเป็นภิกษุที่อยู่กันโดย ไม่ทะเลาะ แต่เป็นเพราะไม่พูดคุยกันตลอด พรรษา พระพุทธเจ้าก็บริภาษว่า โมฆบุรุษ ชุมชนเมฆาอโศก สมัยเริ่มต้นก็คงไม่พ้นวัฏฏะในเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ จิ้งหรีดมีข่าวดีว่า คนในชุมชนเริ่มมีความเข้าใจในการเป็น ชุมชน เป็นขบวนการกลุ่ม จะดำริทำอะไรให้ส่วนรวมก็จะต้องปรึกษาคณะกรรมการ หากมีผลที่เกี่ยวเนื่องถึงคนอื่นๆ แม้จะดู ไม่สะดวกเหมือนอยู่กันแบบไม่กี่คน พออยู่ไม่กี่คน ก็อาจเป็นลักษณะคิดเองทำเอง แต่คิดเองทำเองก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าคิดเอง แต่ให้คนอื่นทำนี่ มีปัญหามาก ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม แต่ตอนนี้ที่เมฆาฯ กำลังปรับตัวพัฒนาไปอีกก้าว มีการร่วมกันคิด ร่วมกันทำมากขึ้น
โดยเฉพาะเรื่องงานอบรม ใครจะติดต่อใคร หรือหน่วยงานใด มาอบรมก็ต้องมานำเสนอให้ที่ประชุมรับทราบ
และพิจารณาก่อนว่า จะรับอบรมหรือไม่ อย่างไรจิ้งหรีด ก็ขอชื่นชม ชาวเมฆาอโศกมา
ณ ที่นี้ด้วยนะฮะ สาธุ...จี๊ดๆๆๆ ..... ก็ขออนุโมทนากับผู้ช่วยดูแลทุกๆคน โดยเฉพาะคุณเพ็ญเพียรธรรม ที่ช่วยติดตาม เอาภาระในความเจ็บป่วยของสมณะ มาตลอด ส่วนคุณแสงขวัญ วงษ์นรา ก็ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก เป็นโรคนี้ก็ถือว่าทันสมัยนะฮะ
โดยปกติแม้จะอยู่ข้างสันติอโศก เธอก็ พยายามช่วยงานส่วนกลาง ทั้งด้านบัญชี
ด้านการศึกษา ก็ได้สะสมบุญมาโดยตลอด มาป่วยงวดนี้หลายต่อหลายคน ก็พากัน
เป็นห่วง แต่ตอนนี้อาการก็ดีขึ้นแล้ว จิ้งหรีดก็ขอให้หายป่วยเร็วๆนะฮะ....จี๊ดๆๆๆ
..... นางแน่งน้อย แซ่ด่าน (โยมแม่ของสมณะลานบุญ วชิโร) เสียชีวิตเมื่อวันเสาร์ที่ ๓๐ ก.ค.๔๘ ที่บ้านใน ต.หัวเรียง อ.เมือง จ.ลำปาง ทำพิธีฌาปนกิจ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๔ ส.ค.๔๘ ที่สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง คติธรรม-คำสอนของพ่อท่านประจำฉบับ พบกันใหม่ฉบับหน้า |
...เชื่อว่าโรงเรียนไทยๆที่สร้างเด็กให้มีความรู้ ความสามารถทางวิชาการตามทันสากล ควบคู่ไปกับมีสำนึกความเป็นไทย มีความเอื้ออาทร รู้จักว่าความกตัญญูมีความหมายที่แท้จริงอย่างไรนั้นน่าจะเหมาะกับเรามากกว่า... "กระแสนิยมโรงเรียนสองภาษาหรือ นานาชาติ ทุกวันนี้เป็นเหมือนแฟชั่น แต่เป็นแฟชั่นที่เรายอมตกยุค" คำของ บุญเรือน นิลเจียรสกุล เจ้าของโรงเรียนที่กำลังจะพูดถึง หากจำไม่ผิด ประโยคที่ว่า "การจะให้เด็กไทยก้าวทันสังคมโลก เด็กต้องเก่งภาษาอังกฤษ" นั้น เป็นแนวคิดของผู้บริหาร ระดับประเทศ ที่หลายๆฝ่ายคงจะเห็นพ้องด้วยอย่างยิ่ง และอาจเป็นปัจจัยหนึ่ง ซึ่งมีอิทธิพลเข้าไป "กระพือ" กระแสความนิยม ในการส่งบุตรหลาน เข้าศึกษาใน "โรงเรียนสองภาษา" ของพ่อแม่ผู้ปกครองยุคนี้ เมื่อความต้องการของผู้บริโภคมีมาก ผู้ผลิตจึงต้องเร่งสนองตอบ ฉะนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะพบว่า ในช่วงเกือบ สิบปีมานี้ โรงเรียน หลายร้อยแห่งทั่วประเทศ ต่างพากันทยอยขออนุญาต จากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อทำการจัดการเรียน แบบสองภาษา โดยล่าสุด ในปีการศึกษา ๒๕๔๗ เพียงปีเดียวนั้น มีโรงเรียนทั้งของรัฐบาลและเอกชนกว่า ๒๐๐ แห่ง ขอเปิดสอน แบบสองภาษา ท่ามกลางความคึกคักของ "โรงเรียน สองภาษา" ที่เกิดขึ้นราวดอกเห็ดหน้าฝนนั้น มีข้อมูลงานวิจัยเรื่อง "โรงเรียนสองภาษา" ของนิสิต ปริญญาโท คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า โรงเรียนกว่า ๑๐๐ แห่ง ที่กำลังเปิดสอนในรูปแบบ สองภาษานั้น กำลังประสบปัญหาที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่พร้อมเรื่องหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอน อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางวิชาการดังกล่าวข้างต้น ไม่น่าจะทัดทานกระแสความต้องการของพ่อแม่ยุคปัจจุบันได้มากนัก เพราะแม้แต่ กระทรวงศึกษาธิการเอง ก็ยังตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่า ภายในปี ๒๔๔๙ โรงเรียนสองภาษาเต็มรูปแบบ จะเปิดได้ครบ ทั้ง ๑๗๕ เขตพื้นที่การศึกษา ทั่วประเทศ แม้ความนิยมในโรงเรียนสองภาษา จะรุมเร้าจากหลายด้าน หากแต่ยังมีผู้บริหารโรงเรียนเอกชนเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่ ประมาณ ๒ ไร่ ในย่านพัฒนาการ ซึ่งมีเด็กตั้งแต่ระดับอนุบาลหนึ่งไปจนถึง ป.๖ อยู่ในความดูแล ที่แม้จะเคยหวั่นไหว แต่สุดท้าย ก็ยังคงไว้ซึ่ง "จุดยืน" และ ไม่ยอมจำนนให้ "กระแสนิยม" มาพัดพาให้แนวคิดในการ "สร้างเด็ก" ในแบบของเธอ ต้องบิดเบี้ยวไป "เราไม่ต่อต้านภาษาอังกฤษ แต่อยากให้โรงเรียนแบบไทยๆ อยู่ได้ด้วย" บุญเรือน นิลเจียรสกุล วิศวกรหญิงจากรั้วจามจุรี พ่วงด้วยดีกรี ปริญญาโท จากประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียน ปิยะจิตวิทยา เกริ่นก่อนเล่าให้ฟังต่อว่า ก่อนหน้านี้เคยมีผู้ปกครองถามกันมากเหลือเกินว่า เมื่อไหร่โรงเรียนนี้จะเปิดสอนแบบสองภาษา ซึ่งช่วงนั้นทำใจว่า ไม่ช้าคง ต้องเปลี่ยน แต่แล้ว กลับเกิดคำถามใหม่ขึ้นมาแทนว่า เราคนไทย จะอยู่แบบไทยๆ ไม่ได้หรือ และหากเปลี่ยน เป็นโรงเรียน สองภาษา ครูผู้สอนเดิม จำนวน กว่าครึ่งหนึ่ง ต้องเปลี่ยนไปเป็นชาวต่างชาติ แล้วครูไทยของเราจะไปอยู่ที่ไหน เลยมาคิด ทบทวน กระทั่งมั่นใจว่า "โรงเรียนไทย ทำให้ดีก็ทำได้ ไม่แพ้ใครเหมือนกัน" เมื่อตกลงปลงใจที่จะเดินหน้าโรงเรียนของเธอให้เป็น "โรงเรียนไทยที่ไม่แพ้ใคร" แล้ว บุญเรือนจึงทุ่มทั้งแรงกายและมันสมอง เพราะแม้ปัจจุบัน โรงเรียนแห่งนี้ จะมีคุณครูดูแลนักเรียนได้อย่างทั่วถึง โดยอัตราครูต่อนักเรียนเฉลี่ยอยู่ที่ ๑ ต่อ ๙ แล้ว และ เธอเอง ก็นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียน แต่บุญเรือนยังลงไปสอนวิชา "คณิตศาสตร์" ให้กับเด็กๆ ด้วยตัวเองด้วย เพราะมีความถนัดและเห็นว่า "เด็กไทย" ส่วนใหญ่ยังอ่อนวิชานี้มาก ทั้งๆที่เป็นศาสตร์ ที่สามารถปูพื้นฐานให้เด็กคิดเป็น อย่างมีเหตุผลได้ และหลังจากที่ได้สัมผัสกับเด็กไปได้ระยะหนึ่ง บุญเรือนก็พบว่า ความเห็นต่อสังคมของเด็กในความดูแลของเธอนั้น กำลังถูก "บดบัง" ด้วยความรู้ ที่ทุกคนหวังจะนำไปสอบแข่งขันเข้า โรงเรียนดังๆเท่านั้น จึงทำให้เธอต้องคิดค้นกิจกรรมสร้างสรรค์ขึ้นมา ในโรงเรียน อย่างต่อเนื่อง ด้วยเพราะต้องการใส่ "ความรู้สึกนึกคิดแบบไทย" ให้กับเด็กไปพร้อมกับความรู้ด้านวิชาการ "การที่เด็กของตัวเอง สามารถสอบเข้าโรงเรียนดังๆ ได้ เป็นเป้าหมายทุกโรงเรียน ที่โรงเรียนแห่งนี้ก็เหมือนกัน อย่างเมื่อเร็วๆ นี้พวกเรา ภูมิใจมากที่ ด.ญ. ศุภาวรรณ มรินทร์พงษ์ สอบเข้า ม.๑ ได้เป็นอันดับสองของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เพราะตราบใด ที่ระบบการจัดการศึกษาของประเทศยังเป็นอยู่อย่างนี้ เราไม่ปฏิเสธเรื่องการแข่งขัน แต่นอกจากสิ่งนั้นแล้ว เรายังอยากใส่ความรู้สึก นึกคิดแบบไทยๆ ให้เด็กด้วย เพราะนับวันสิ่งเหล่านี้กำลังจะเลือนหายไปทุกที" บุญเรือนบอกอย่างนั้น ก่อนยกตัวอย่างให้ฟังว่า "เราอยากให้เด็กของเราเรียนรู้เรื่องความดีที่จับต้องได้ เช่น ความกตัญญู เราก็จะพาเขาไปเยี่ยมบ้านพักคนชรา พอกลับมา ก็ลองให้ทุกคน เขียนความรู้สึก ปรากฏว่า เด็กหลายคนเกิดคำถามว่า พวกลูกๆนำพ่อแม่ไปทิ้งที่บ้านพักคนชราได้ยังไง บางคนเขียนว่า พ่อแม่ทำไมเลี้ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม กิจกรรมอย่างนี้ ไม่ได้เป็นการรับประกันว่า โตขึ้นพวกเขาจะเลี้ยง หรือดูแลพ่อแม่ กันทุกคน แต่อย่างน้อยก็เป็นความพยายามที่ทำให้เด็กๆ เห็นได้ว่าความกตัญญูคืออะไร" บุญเรือนเล่าให้ฟังต่อว่า กิจกรรมสอดแทรกความรู้สึกนึกคิดแบบไทยๆ ให้กับเด็กของโรงเรียนปิยะจิตวิทยานั้น จัดให้มีขึ้น เป็นระยะๆ ยกตัวอย่าง หากอยากให้เด็กมีความเอื้ออาทรกับเพื่อนบ้าน โรงเรียนจะจัดให้พาเด็กๆขึ้นรถไฟไปลงสถานีใกล้ๆ กับโรงเรียน จากนั้น ก็นำรถโรงเรียนไปรับ พาไปเยี่ยมชมวัด มัสยิด สถานีตำรวจ ศูนย์การค้า ธนาคาร เพื่อให้พวกเขา เรียนรู้ สิ่งรอบตัว ก่อนที่จะไปมองข้าม ไปมองเรื่องไกลตัว ทั้งนี้ เพราะต้องการใช้ชุมชนเล็กๆ ให้ความรู้แก่เด็กมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะโดยส่วนตัวเชื่อว่า ก่อนที่จะเรียนรู้ว่าประเทศ สหรัฐอเมริกา มีอะไรนั้น ควรให้เด็กๆ รู้ก่อนว่าละแวกบ้าน ละแวกโรงเรียนของเขามีอะไรบ้าง และหากต้องการให้เด็กๆ มีทัศนคติ ในการเป็นผู้ผลิตมากกว่าเป็นผู้บริโภค โรงเรียนแห่งนี้ ก็จะมีกิจกรรมเด็กไปเรียนรู้การทำนา ซึ่งความจริงแล้ว บุญเรือน อยากพาเด็กลงไปทำนา คุยกับชาวนาจริงๆ แต่ยังติดขัดไม่สะดวกในบางประการ เด็กๆของเธอ จึงทำได้ แค่ไปดูงาน และทดลองทำนาแปลงทดลองที่ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เท่านั้น "กิจกรรมหลายๆเรื่องไม่ได้มีความพิสดารหรือแปลกใหม่อะไร แต่อย่างน้อยอยากให้เด็กได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์จริงบ้าง ไม่ใช่เรียน หนังสือกันแต่ในห้องสี่เหลี่ยมแล้วท่องอะไรกันไปปาวๆ เพื่อจะไปสอบเข้าโรงเรียนดังให้ได้อย่างเดียว อย่างเรื่อง การดูงานทำนา เราอยาก ให้พวกเรารู้ว่า มันลำบากมากนะ กว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ด ต้องย่ำโคลน ยืน กันหลังขดหลังแข็ง เป็นวันๆ" บุญเรือนบอกให้ฟัง ย้อนกิจกรรมสร้างสรรค์ภายในโรงเรียนแห่งนี้ให้ฟังมาก็มาก ก่อนจากบุญเรือน เผยให้ฟังถึงความรู้สึกในใจ ลึกๆว่า "กระแสนิยม โรงเรียนสองภาษา หรือนานาชาติทุกวันนี้ เป็นเหมือนแฟชั่น แต่เป็นแฟชั่นที่เรายอมตกยุค เพราะเชื่อว่าโรงเรียนไทยๆ ที่สร้างเด็ก ให้มีความรู้ ความสามารถทางวิชาการ ตามทันสากล ควบคู่ไปกับมีสำนึกความเป็นไทย มีความเอื้ออาทร รู้จักว่า ความกตัญญู มีความหมาย ที่แท้จริงอย่างไรนั้น น่าจะเหมาะกับเรามากกว่า" เสียงครูบุญเรือนย้ำถึงเจตนารมณ์ ที่ไม่ยอม ทำตามกระแส เป็นเจตนารมณ์ที่เห็นเรื่องของคุณค่าคนมากกว่าเงินตรา. (จาก นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๒๘ เม.ย.๔๘ เขียนโดย พารณี ปัทมานันท์) |
หนุ่มใหญ่วัย ๕๕ ปี เสียสละล้างจาน-ภาชนะตามงานต่างๆของชาวอโศก เป็นเวลา ๒๓ ปี โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน หนุ่มใหญ่ลูกจ้างประจำกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรฯ เสียสละล้างภาชนะตามงานต่างๆของชาวอโศก และมาช่วย ที่ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย (ชมร.) ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่อยู่ตลาดนัดจตุจักรซอย ๔ จนย้ายมาที่สันติอโศก เปิดใจ เป็นงานที่ถนัด และมีความสุขที่ได้เสียสละ กลายเป็นภาพชินตาของญาติธรรมชาวอโศกไปแล้ว ตามงานต่างๆไม่ว่าจะเป็น งาน ปีใหม่ฯ, พุทธาฯ, ปลุกเสกฯ, เพื่อฟ้าดิน, อโศกรำลึก, มหาปวารณา จะพบเห็นชายวัยกลางคน รูปร่างผอมสูง ยืนล้าง ด้วยท่าทีสงบ เหมือนไม่ไยดีต่อภาชนะที่กองอยู่เบื้องหน้าว่าจะมากมายสักเพียงใด ทำไมถึงมาทำหน้าที่ตรงนี้อย่างซื่อสัตย์ ยั่งยืนยาวนานถึง ๒๓ ปี เขาเป็นใคร? มาจากไหน? ทำไปเพื่ออะไร? * แนะนำตัวเอง * ก่อนนั้นชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง * เลิกกินเหล้าได้อย่างไร * งานล้างจานนั้นเริ่มต้นที่ไหน ตอนนี้ผมอยู่ระยอง บ่ายๆวันศุกร์ก็บอกที่ทำงานว่าขอมาวัด ใช้เวลาไปกลับ ๖ ช.ม. ขึ้นรถ ๒ ต่อ จากระยองมาชลบุรี จากชลบุรี มากรุงเทพฯ เสียค่ารถไปกลับ ๒๖๐ บาทต่ออาทิตย์ มาเดือนละ ๔ ครั้ง เพื่อมาล้างจาน เพราะตรงนี้ขาดคน มาทีไร ก็ยังเห็น ขาดคน เห็นว่ามันจำเป็นแล้วภาชนะเยอะด้วย แม่ครัวทำกับข้าวเสร็จก็เหนื่อยแล้ว จะให้เขามาล้างด้วย คงสู้ไม่ไหวหรอก ได้อุดรูช่องว่างที่เกิดขึ้น ก็เหนื่อยนิดหน่อยพักผ่อนแล้วหาย เมื่อก่อนยืนแค่ ๓ ชั่วโมงจะปวดขา ตอนหลังไปวิ่งครึ่งชั่วโมง ประมาณ ๓ กิโล ทุกวัน ยืนได้ทั้งวัน ก็ไม่ปวด ทำให้ไม่ปวดหลังและไม่ปวดขา ผมมาล้างเสาร์-อาทิตย์ พอมือมันจะเริ่มเปื่อยเราก็หยุดไปพัก ๕ วัน ถ้าทำทุกวันคงต้องใส่ถุงมือ พอกลับไปทำงาน มือจะลอกเลย หยุด ๕ วันก็เข้าที * เคยหยุดบ้างไหม? * แต่ละคนจะช่วยแบ่งเบาได้อย่างไร * ทำไมไปล้างตามงานต่างๆ ไม่ได้ขึ้นฟังธรรม เพราะเป็นช่วงที่ต้องเตรียมน้ำ เตรียมภาชนะ ผมจะฟังไปด้วยทำงานไปด้วย แม้จะได้ผลไม่เต็มที่ แต่เห็นว่า ต้องเสียสละตรงนี้ก่อน เวลากลับไปทำงาน ๕ วันผมก็ยืมเท็ปจากธรรมโสตไปฟังซ้ำอีกครั้ง ช่วยตรงนี้เพราะเห็นว่าขาดคน แล้วเราก็ถนัด ภาชนะเยอะ ใหม่ๆก็มีกิเลสเหมือนกัน ว่าไม่มีคนมาช่วย ตอนหลังคิดว่า เราทำได้ เท่าที่ได้ เสร็จเมื่อไรก็เมื่อนั้น เคยท้อเหมือนกัน แต่คิดว่าเราทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปคิดว่าให้มันเสร็จเท่านั้นเท่านี้ * เล่าเรื่องผัสสะให้ฟังบ้างซิ บางทีรีบๆรถก็ไม่จอดรับ ไปไม่ทัน คิดจะแก้ปัญหา เอ๊...ทำยังไง บางทีสองคันก็ไม่รับ จะใส่รองเท้าพอรถรับแล้วค่อยถอด ก็ขี้เกียจ พกรองเท้า ได้ฝึกตัวเอง เจอผัสสะก็จะได้เรียนรู้ บางทีเจอสายตาที่เขาดูถูกบ้าง บางทีเราไปนั่งเบาะเดียวกับเขา พอมีที่ เขาจะเปลี่ยนที่นั่ง ไปนั่งที่อื่นเลย ก็เข้าใจว่าเขายังยึดรูปแบบภายนอกอยู่ มีคนว่าบ้าเหมือนกัน ไม่โกรธ เข้าใจ ตอนนี้สบาย เพราะไปขึ้นที่ท่ารถ ก็เลยไม่มีปัญหาตรงนี้ แต่ถ้าขึ้นกลางทางนี่เจอบ่อย * ทำไมถึงเป็นโสด * ได้อะไรจากศาสนา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งตัว ค่าใช้จ่าย การกิน พอมาปฏิบัติธรรมทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปสู่ การประหยัดทุกๆด้าน ผมจะเก็บวันหยุดทั้งหมดไว้สำหรับไปงานของชาวอโศก * อุปสรรคคืออะไร * ประทับใจอะไรชาวอโศก ขอบคุณญาติธรรมชาวอโศกทุกคน ที่เกื้อหนุนให้ได้มาปฏิบัติธรรมจนถึงทุกวันนี้ และนี่คือเรื่องราวชีวิตของคนๆหนึ่งที่ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ทิศทางที่ดี มีความเสียสละ พระพุทธองค์ตรัสว่า คนในโลกนี้มีอยู่ ๔ จำพวก พวกที่หนึ่ง มามืดไปมืด พวกที่สอง มามืดไปสว่าง พวกที่สาม มาสว่างไปมืด และพวกที่สี่ มาสว่างไปสว่าง แล้วท่านเป็นบุคคลจำพวกใด...?. - บุญนำพา รายงาน |