ฉบับที่ 264 ปักษ์แรก 1-15 ตุลาคม 2548

[01] ใครหักหลังใคร?
[02] ธรรมะพ่อท่าน: ""ทาน" มีผลหรือไม่?"
[03] เทศกาลถือศีลกินเจ "อุทยานเจ - มังฯ"
[04] เทศกาลกินเจยุคน้ำมันแพง ประชาชนหันมาถือศีลกินเจกันมาก สื่อมวลชนประทับใจขอทำข่าว
[05] องค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร ติวเข้ม "เกษตรธรรมเทค" ทำเมืองไทยสู่ครัวโลก
[06] สันติอโศกสัมมนาบูรณาการการศึกษาบุญนิยม ปรับกระบวนการเรียนรู้ภาคปฏิบัติ สัมพันธ์กับวิถีชีวิตชุมชน
[07] ชุมชนหินผาฟ้าน้ำอบรมเชิงปฎิบัติการ เกษตรอินทรีย์ - วิถีชีวิต - สิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน
[08] น้ำยาล้างตา...จำเป็นแค่ไหน
[09] โครงการฟื้นฟูจิตใจ ผู้ประสบภัยธรณีวิบัติ ช่วงที่ ๒
[10] หน้าปัดชาวหินฟ้า:
[11] น้ำป่าไหลบ่าแรงที่บ้านแม่เลา สะพานขาดในชุมชนภูผาฟ้าน้ำ เสียหายนับแสน
[12] กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนปฐมอโศก - อินทร์บุรี
[13] เขาคือใคร?:
[14] ศาลีอโศกบูรณาการการศึกษา:
[15] ปลื้มรณรงค์ประหยัดพลังงาน แค่ ๓ เดือนแรกคนไทยลดไช้ไฟ ๘ % เชือดตีนผีขับรถเกิน ๑๒๐ กม./ชม.
[16] จิตใจ 'คนไทย' ย่ำแย่ สถิติฆ่าตัวตายสูงลิ่ว ชาวเหนือน่าห่วงที่สุด
[17] ปฏิทินงานอโศก



ใครหักหลังใคร?

หลายคนคงเคยได้ยินคนบางคนพูดว่า "ถูกแทงข้างหลัง" หรือ "ถูกหักหลัง"

ความรู้สึกของผู้พูดส่วนใหญ่ จะสะท้อนถึงความไม่ชอบใจหรือเจ็บใจลึกๆ
นอกจากนี้ยังเป็นการสะท้อน ถึงผู้พูดว่า ยังมิใช่นักปฏิบัติธรรม แม้คำพูดดังกล่าวจะออกจากปากของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นนักบวช
เมื่อมิใช่คำพูด ของนักปฏิบัติธรรม ก็ย่อมเป็นมิจฉาวาจา ที่จะสะสมอัตตาหรือตัวตนให้กับผู้พูดมากขึ้น

แล้วในฐานะนักปฏิบัติธรรม จะมีสัมมาทิฏฐิในเรื่องนี้ หรือเรื่องที่มีคนทำให้เราได้รับความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา หรือ เกิดทุกข์ อย่างไร

ก็ต้องรู้จักมองตน ไม่โทษคนอื่น
ข้อสำคัญเราไปสร้างหลังไว้กับตัวทำไม
ถ้าเราไม่มีหลัง (ละตัวตนลงได้) เราก็จะไม่มีทางที่จะเกิดความรู้สึกว่า ถูกแทงข้างหลัง หรือ ถูกหักหลัง
แต่เรานั่นแหละแทงหรือ หักหลังตัวเองที่ได้ชื่อว่า มาปฏิบัติธรรม.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


"ทาน" มีผลหรือไม่?

คนทุกวันนี้ทำทานส่วนมากก็ไม่เข้าใจชัดในการทำทานที่พระพุทธองค์ทรงเจตนามุ่งหมายว่า เรา ทำทานเพื่ออะไร ทำทานแล้ว มีผล หรือไม่ การทำทานของเราวันนี้เป็นการทำทานที่ถูกตรงตามเจตนารมย์ที่พระพุทธองค์ทรงพาทำหรือไม่

พ่อท่านได้พูดถึงเรื่อง "การทำทานมีผลหรือไม่" ไว้ดังนี้ (จาก นสพ.เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๑ หน้า ๑๔-๑๕)

"เรื่องของทาน แม้จะมีเพียงรูปรอยเล็กน้อยเท่าใด แม้แต่คนทำทาน มีรูปกิริยาเท่านั้น ก็ยังเป็นกิริยาดี ถึงแม้ใจจะยังคิดโลภ หวังได้ มากกว่าที่ให้ ต้องการแลกเปลี่ยนแบบค้ากำไรเกินควรเพียงใด เมื่อได้จริง เป็นจริง ใจคิดจริง ก็เป็นอันเป็นตามจริงทั้งนั้น

ผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิไม่เชื่อว่า ทาน มีผล จึงไม่ทำทานและเป็นเหตุให้เกิด ผล จริง คือ ทำให้โลกขาดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถ้าคน ทำทาน ก็จะเกิด ผล ทันทีเช่นกัน คือ มีการให้ มีการเกื้อกูล มีการทำประโยชน์ต่อกัน ลดความเบียดเบียนลง นี่คือ ผลของ "ทาน" จริงๆ เห็นได้ชัดๆ ในทันทีเป็นเรื่องตามพิสูจน์ได้ พูดถึงได้

ผู้ที่พูดถึงผล คิดถึงผลของทานในอนาคตที่ต้องค้นเดา ทำให้พูดกัน ยาก เป็นอจินไตย (เป็นเรื่องยากที่ไม่สามารถจะรู้แจ้ง ได้เพียง แค่ขบคิด แค่ฟัง แค่รับรู้ แต่จะรู้ได้ต้องถึงเองเป็นเอง มีเองแม้กระนั้น ก็ยังยากที่จะนำออกบอกให้ใครรู้แจ้งได้ตาม)

แม้แต่พวกที่เน้นแต่ปัจจุบัน อดีตไม่มีอนาคตไม่มี ก็ย่อมมีความคิดที่ผิด ทุกอย่างในโลกเชื่อมโยงกัน ต่อเนื่องกันอยู่ ปัจจุบัน คือ อนาคต ของอดีต และ ปัจจุบันก็เป็นอดีตของอนาคต คนเราจะตัดแค่จุดหยุด เพียงปัจจุบันจุดเดียวย่อมไม่ได้ จริงอยู่ ปัจจุบัน เป็นภาวะกรรม ที่มีฤทธิ์สูง มีผลสูง แต่กาลใด ที่ทำแล้วในปัจจุบัน ก็มีผลมีฤทธิ์สู่อนาคต หรือสั่งสมเป็นอดีต เมื่อคนเราทำดีได้ ในปัจจุบัน จะเป็นการสร้างอดีตที่ดี ให้แก่อนาคต เพราะมีการฝึกและมีกระทำเกิดขึ้นจริง จะเป็นเหตุให้เกิดผลดี ต่ออนาคตจริง เช่นกัน เพราะทุกอย่าง มีการเชื่อมโยงกัน มีอิทัปปัจจยตา หรือ สันตติ กล่าวคือมีส่วนสัมพันธ์ มีสภาพสืบต่อ มีสภาพต่อเนื่อง กรรมเป็นวิบาก ต่อเนื่อง

ทาน ซึ่งเป็นพฤติกรรมหนึ่ง มีการกระทำจริง ย่อมมีผลจริง ไม่มีข้อสงสัย

พระพุทธเจ้าองค์บรมครู มีทรัพย์ศฤงคารมากมายมหาศาล แต่ได้ทรงสละหมด เป็นทานสละคืนให้โลกไม่เยื่อใย เป็นวัตถุทาน หรือ การทาน ทางวัตถุอย่างสมบูรณ์แบบ หยุดการสะสมเด็ดขาด ผลที่เห็นก็คือ ทรงเป็นแบบอย่างของการดำเนินชีวิต ที่เรียบง่าย ตามพุทธวิสัย ที่พุทธ-บริษัทยึดถือ เป็นแบบอย่างตาม เพื่อกอบกู้โลก และพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์"

คำว่า "ทาน" นี้ เป็นได้ทั้งโลกีย- กุศลและโลกุตรกุศล ทาน ที่เรียกว่า จาคะ เป็นได้ทั้งโลกียะ-โลกุตระ ทานที่เรีกว่า เนกขัมมะ เป็น โลกุตระเท่านั้น ปุถุชนและกัลยาณชนก็ทานได้แค่ ขั้นโลกียกุศล อาริยชนจึงจะทานได้โลกุตรกุศลและโลกียกุศล ทาน คือ ภาวะ แห่งความเจริญของคนทั้งระดับ กัลยาณธรรม (ปุถุชน) และ อาริยธรรม (โลกุตรอาริยชน)

ทาน คือ "หน้าที่การงานของมนุษย์พัฒนา"
ดังนั้น ผู้ที่เกิดมาเป็นคนจึงควรสั่งสมทานบารมี ทานอุปบารมี ทานปรมัตถบารมีให้กับตน.

- เด็กวัด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



สดจากปัจฉาสมณะ

เทศกาลถือศีลกินเจ "อุทยานเจ - มังฯ"

สถานการณ์โลกในปัจจุบันกำลังเดือดร้อน วุ่นวาย ในหลายที่หลายแห่ง ทั้งภัยจากธรรมชาติ รวมไปถึงภัยจากมนุษย์ด้วยกัน

ที่อเมริกาหลังประสบภัยพิบัติจากธรรมชาติอย่างใหญ่หลวง ล่าสุดมีกระแสข่าวการขู่ลอบวางระเบิดในหลายที่ หลายแห่งของอเมริกา หลังจากที่เคยเกิดในอังกฤษเมื่อหลายเดือนก่อนนี้มาแล้ว

ที่ตะวันออกกลาง การเข่นฆ่า ทำร้ายทำลายกัน การลอบวางระเบิด แม้ในศาสนาเดียวกันแต่ต่างนิกาย ยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย สถานการณ์ความไม่สงบ ยังคงคุกรุ่น อย่างยากที่จะเยียวยาแก้ไขได้ในเร็ววัน

นอกจากข่าวความไม่สงบข้างต้น ยังมีข่าวพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหวในต่างแดน รวมไปถึงสถานการณ์อื่นๆทั้งที่เป็นข่าวใหญ่ และ ไม่เป็นข่าวใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น กรณีการถอดถอน และการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ว่าการ สตง.) หรือข่าว ชาวบ้านๆ การทุบตี ทำร้ายเด็ก ข่าวเด็กสาว ถูกพ่อเลี้ยงสาดน้ำกรด ฯลฯ ข่าวรุนแรงข้างต้นนี้ กลบข่าวดีๆ ของเทศกาล ถือศีลกินเจไปหมด ปีนี้สื่อต่างๆ แทบจะไม่ได้นำเสนอข่าวเทศกาลถือศีลกินเจ เหมือนเช่นปีก่อนๆ

ผลจากการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเทศกาลถือศีลกินเจน้อยกว่าปีก่อนๆ อาจจะทำให้ร้านค้าอาหารเจต่างๆยอดขาย ลดลง ก็เป็นได้ ยิ่งหลายที่ เจอกับอุทกภัยน้ำท่วม ทำให้ราคา พืชผัก สูงขึ้นกว่าปีก่อนๆ คาดว่าราคาขั้นต่ำของร้านค้าอาหารเจทั่วไป คงจะอยู่ที่ จานละ ๒๐-๒๕ บาท แต่สำหรับร้าน อุทยานบุญนิยม และร้านสหกรณ์บุญนิยม ที่อุบลฯ ทุกอย่างจานละ ๑๕ บาท โดยให้ ลูกค้า บริการตัวเอง คือตักกินกันเอง จะตัก กับข้าวกี่อย่างก็ตาม จานละ ๑๕ บาท ผลปรากฏว่ายอดขายทำลายสถิติ ของทุกปี ที่ผ่านๆ มา ไม่ว่าจะเป็น ร้านอุทยานฯ หรือร้านสหกรณ์ฯ

โดยเฉพาะที่อุทยานบุญนิยมกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ มีนักศึกษามาสัมภาษณ์เก็บข้อมูลผู้บริโภค มีหน่วยงานด้านโภชนาการ มาตรวจสอบ และให้คำแนะนำ

อาจกล่าวได้ว่าผลพวงของการจุดชนวนขายอาหารเจในเทศกาลถือศีลกินเจ ของชาวบ้านราชฯ ที่เริ่มจากทุ่งศรีเมืองเมื่อปี ๒๕๔๑ จนมา ถึงวันนี้ ส่งผลให้ร้านค้าอาหารเจในจังหวัดอุบลฯคึกคักขึ้นเรื่อยๆ มีร้านขายอาหารเจเกิดใหม่มากขึ้นทุกปี

แม้จะขายราคาถูก แต่สภาพของร้านรวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ ดูมีระดับ เฮือนถ่ามูแนทั้งกว้างขวาง โอ่โถง พื้นไม้ ขัดมัน อย่างดี โต๊ะ เก้าอี้ และผ้าคลุมโต๊ะ ดูแล้วมิใช่ร้านค้าธรรมดาๆ เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ได้เอาเปรียบผู้บริโภคเลย ทั้งปริมาณและคุณภาพ ลูกค้า สามารถ เลือกตักกินของชอบๆได้เองอย่างเต็มที่ (พูนล้นจาน อย่างไร ก็ ๑๕ บาท)

มีมุมมองเล็กๆจากชาวบ้านข้างเคียง ที่มีรายได้น้อยหรือยากจน กล่าวถึงอุทยานฯว่าเป็นร้านอาหารของคนรวย เขาไม่กล้า เข้าไปซื้อ อาหารกินหรอก แม้จะได้รับการเชิญชวน คะยั้นคะยอ ให้ไปซื้อหาได้ เนื่องจากราคาถูก แต่ชาวบ้านนั้น ยังคงยืนยัน ไม่กล้า เกี่ยวกับ กรณีนี้ พ่อท่านได้แสดงความเห็นว่า ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ทั้งๆที่เจตนาเรา ตั้งร้านอาหาร ก็เพื่อคนยาก คนจนแท้ๆ แต่จะให้เรา ไปจัดร้านเก่าๆ โทรมๆ เพื่อให้คนจน กล้าเข้ามาใช้บริการได้ ก็ไม่ไหวอีก

เมื่อวานเป็นวันอาทิตย์ ๙ ต.ค.๔๘ พ่อท่านไปเทศน์ที่อุทยานฯ ในหัวข้อที่พ่อท่านตั้งขึ้นมาเองว่า "จะรอดไฟประลัยกัลป์ได้ อย่างไร" การแสดงธรรม ครั้งนี้ ได้ส่งสัญญาณเสียง ผ่านโทรศัพท์ ไปยังทุกพุทธสถานและชุมชนอื่นๆ ๑๐ แห่งด้วยกัน

เนื่องจากเมื่อเดือนที่แล้ว พ่อท่านได้มาเทศน์วันอาทิตย์ในหัวข้อที่พ่อท่านกำหนดและตั้งขึ้นมาเองเช่นกัน ว่า "ยิ่งจน ยิ่งพ้น ทุกข์" (๑๑ ต.ค.) และ "ทำทานอย่างไร จึงจะได้นิพพาน" (๑๘ ต.ค.) รวมถึงครั้งก่อนๆที่เคยมาเทศน์วันอาทิตย์ ในช่วง เข้าพรรษานี้ โดยที่ไม่ได้ ตั้งชื่อหัวข้อเรื่องก็ตาม มักจะมีลูกค้าบางส่วน ที่สนใจการแสดงธรรม ของพ่อท่าน มาถามหาเท็ป หรือ ซีดี โดยคิดว่า เป็นการเปิดเสียง จากเท็ป หรือซีดีเหมือนวันธรรมดาอื่นๆ ผลจากการนี้ ทำให้มีผู้เสนอ นิมนต์พ่อท่านได้มาเทศน์ ในช่วง เทศกาล เจบ้าง เพื่อประโยชน์ กับลูกค้า ที่ได้มารับประทานอาหาร จำนวนมาก เพราะช่วงเทศกาลเจที่ผ่านๆมา พ่อท่าน ไม่เคย มาเทศน์เลย ด้วยสภาพพื้นที่ ไม่อำนวย ใต้เฮือน "เซามีแฮง" ใช้เป็นที่พักนอนของ พวกเราที่มาช่วยงาน ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ อันที่จริงปีนี้ ก็ยังใช้เป็น ที่พักนอน ของผู้มา ช่วยงานเหมือนกัน แต่เนื่องจาก หาสถานที่ ที่เหมาะสมกว่านี้ไม่ได้ จึงให้ผู้ที่พักค้าง กางเต็นท์ ช่วยเคลื่อนย้าย ออกไปก่อน

แรกทีเดียวมีผู้เสนอให้ใช้เวทีการแสดงที่สร้างขึ้นมาข้างน้ำตก หัวมุมสี่แยก ถนนที่ตัดกัน ข้างเฮือน "ถ่ามูแน" เพื่อ ให้ลูกค้า ที่ได้มา รับประทานอาหาร จะได้เห็น พ่อท่านอย่างชัดเจน แทนที่จะได้ยินแต่เสียง โอกาสที่จะรับรู้ เข้าใจธรรมได้ มีมากกว่า แต่มีเสียง ทักท้วงว่า ถ้ามองในมุมได้ ก็ได้ เป็นการเพิ่มโอกาส ให้ลูกค้า ได้ฟังธรรมไปด้วย แทนที่จะมา รับประทาน อาหาร อย่างเดียว โดยปรมัตถ์สัจจะที่ผิด-ถูกเป็นเรื่องสมมุติ ก็ใช่ แล้วถ้ามองในมุมเสีย มองอย่างสมมุติสัจจะบ้าง พ่อท่านเทศน์ ในขณะที่ คนฟังส่วนใหญ่ นั่งรับประทานอาหาร ในร้านอาหาร ผู้ยึด และถือสาอาจจะมองได้ว่า เป็นการดึงของสูงให้ต่ำ หรือเปล่า เป็นการ ยัดเยียดธรรม ให้ลูกค้าหรือเปล่า หรือเป็นการไม่เคารพธรรมหรือเปล่า ฯลฯ เหล่านี้คิด และมอง กันได้ทั้งนั้น จากการนี้ได้ให้ ข้อคิดว่า การจะให้สิ่งดีๆกับใครๆ แม้จะเจตนาดี หวังดี สิ่งที่จะให้ก็แสนจะดีด้วย แต่ก็ต้องใช้สัปปุริสธรรม ให้ดีๆ มิเช่นนั้น สิ่งดีๆ จะกลายเป็นเสีย ถูกจะกลายเป็นผิด ไปได้เหมือนกัน

นอกจากยอดขายอาหารที่มากขึ้น ผลได้อีกอย่างหนึ่งคือขยะสดวันละ ๑ ตันเฉพาะที่อุทยานฯ จากการประเมินของคุณ ตายแน่ มุ่งมาจน ผู้ทำหน้าที่ จัดเก็บขยะคนหนึ่ง ขยะสด ที่ได้ถูกนำมาแปรรูป เป็นปุ๋ยอินทรีย์ เท่ากับว่า จะได้ปุ๋ยอินทรีย์ วันละกว่า ๑ ตันด้วย

หลังเทศกาลถือศีลกินเจแล้ว ๑๓ ต.ค. จะมีการประชุมสรุปงาน ถึงปัญหาและอุปสรรคข้อที่ควรแก้ไขปรับปรุงของผู้ร่วม ทำงาน ทั้งหมด โดยให้แบ่งเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่ม ไปคุยกันมาว่า ใครได้อะไรและจะสรุปประเมินรายงานกันอย่างไร นอกจากนี้ ฝ่ายการศึกษา มองว่า งาน เทศกาลเจ ถือเป็นการเรียน ของนิสิต ม.วช. และนักเรียน สัมมาสิกขา ราชธานีอโศกด้วย ถือเป็นการบูรณาการ การศึกษาด้วย

ก่อนเทศกาลเจพ่อท่านได้ไปร่วมประชุมชุมชนปฐมอโศก ๒๖ ก.ย. นักเรียนพาณิชย์ของ-สัมมาอาชีวะศึกษา ปฐมอโศก ได้นำเสนอ ถึงการเตรียม การทำงาน ในเทศกาลเจว่า ประโยชน์ที่จะได้คือ
๑. เป็นการฝึกฝนตนเอง
๒. เป็นการสั่งสมประสบการณ์
๓. เพื่อนำหลักพุทธพจน์ ๗ มาบูรณาการในการทำงานด้วย (ระลึกถึงกัน รักกัน เคารพกัน เกื้อกูลช่วยเหลือกัน ไม่วิวาทกัน สามัคคี พร้อมเพรียงกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม

หลักการและเหตุผล
๑. เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนบุญญาวุธหมายเลข ๑ ของชาวอโศก คืออาหารมังสวิรัติ
๒. เพื่อบริการ และผลิตอาหารให้เพียงพอกับความต้องการ ของผู้บริโภค
๓. เพื่อขายอาหารในราคาบุญนิยม คือต่ำกว่าทุน และต่ำกว่าราคาตลาด
๔. เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้ออาหารหลายประเภท

สิ่งที่คาดหวังว่าจะได้รับจากงานเทศกาลเจนี้คือ
๑. ต้องการพัฒนาตนเองให้มากขึ้น
๒. ต้องการจะฝึกฝนตนเองให้เป็น ผู้ให้ให้มากขึ้น
๓. มีจิตใจที่เปิดกว้างมากขึ้น ได้ขัดเกลาใจของเราไปด้วย
๔. จะได้ฝึกตรงต่อเวลาในการทำงาน และเลิกงาน
๕. จะได้เข้าใจในวิชาที่เรียนมากขึ้น เนื่องจากได้มาปฏิบัติงานในที่ทำงานจริง ไม่ใช่เรียนแต่ในหนังสือ ได้เรียนรู้และ แก้ปัญหาจริง

เสร็จเทศกาลเจ-มังฯแล้วคงได้ฟังประสบการณ์ที่น่าประทับใจจากผู้ที่ ได้ไปช่วยทำงานเสียสละกันอย่าง หลากหลาย รูปการ

หลังออกพรรษาแล้ว ๒๑ ต.ค. พ่อท่านได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมอภิปราย เรื่อง "ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี" เวลา๙.๐๐ น. - ๑๒.๐๐ น. ที่คลองไผ่ นครราชสีมา เป็นการจัดการประชุมวิชาการ และนิทรรศการเรื่อง ทรัพยากรไทย สรรพสิ่งล้วนพันเกี่ยว ด้านเศรษฐกิจ พอเพียง เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ ในวาระ ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระชนมายุ ครบ ๕๐ พรรษา และในโอกาส ที่โครงการ อนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็น องค์ประธาน ของโครงการฯ ได้ดำเนินกิจการต่างๆ มาครบ ๑๒ ปี ภายในงาน จะมีการจำหน่าย สินค้า เกษตรอินทรีย์ และผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยด้วย ญาติธรรมท่านใดที่ทราบ ข่าวนี้จะไปร่วมงาน ก็เชิญได้.

- สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


เทศกาลกินเจยุคน้ำมันแพง
ประชาชนหันมาถือศีลกินเจกันมาก สื่อมวลชนประทับใจขอทำข่าว

คนอีสานแห่กินเจที่อุทยาน
ล้างจานลุ้นรับจักรยานฟรีที่ปฐม
เหมาแจกอาหารฟรีที่ ชมร.ช.ม.

วันที่ ๓ - ๑๑ ต.ค.๔๘ เป็นเทศกาล กินเจประจำปี สำหรับบรรยากาศตามร้านอาหารของชาวเราในช่วงเทศกาลกินเจมีดังนี้

# # ชมร.หน้าสันติ
ก่อนเริ่มเจวันที่ ๒ คนแน่นร้านมาก แต่พอเริ่มเทศกาลเจ วันที่ ๓ ผู้คนก็เริ่มเบาบางลง ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ (ผู้รับใช้) มาบางส่วน ดังนี้


คุณดาบบุญ ดีรัตนา (ผู้รับใช้) ในปีนี้รู้สึกว่าไม่คึกคักเท่าปีที่แล้วอาจจะเป็นเพราะว่าปีนี้มีร้านเจเพิ่มขึ้นมาหลายร้าน ในบริเวณ ใกล้ๆ กัน ทำให้ลูกค้ามี ตัวเลือกมากขึ้น แต่ร้านเราจะขายถูกที่สุดในย่านนี้ เพราะขายในราคาบุญนิยม คือ ๑๕ บาท ทั้งใส่ถุง กลับบ้าน หรือทานที่ร้าน ก็ราคาเดียวกัน เราใช้พืช ผักไร้สารพิษในการปรุงอาหาร ทำให้มีข้อจำกัด ในด้านความหลากหลาย กว่าที่อื่นๆ ที่พิเศษคือตอนใกล้จะปิดร้าน เราได้จัดนาทีบุญ ซื้อ ๑ แถม ๑ ทุกวัน


สำหรับบรรยากาศทั่วๆไป ในปีนี้มีญาติธรรมที่ยังทำงานอยู่ได้ลางานมาช่วยในช่วงเจ เช่น คุณวิทูรย์ คุณเพียรตรง อาเจ็ก ยืนสู้ รวมทั้ง นร.สัมมาสิกขาสันติอโศก ๓๕ คน ทำให้เกิดพลัง รวมความสามัคคี ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ถึงแม้จะไม่มี กำไรมาก แต่ทุกอย่าง ก็เป็นไปด้วยดี.

# # ปฐมอโศก
จุดที่ ๑ หน้าพุทธสถานปฐมอโศก (ร้าน มรป.)

มีแม่งานคือป้าศีลเกื้อ ชาวหินฟ้า มีผู้ใหญ่และเด็กนักเรียนเข้าร่วมประมาณ ๒๐ คน
เริ่มเปิดบริการเวลา ๐๔.๐๐ - ๑๖.๓๐ น. คนมากินส่วนมากเป็นลูกค้าประจำ

ความรู้สึกของเด็กฐานงาน
งานนี้ได้ฝึกลดกิเลส ฝึกงานสัมพันธไมตรี-ลูกค้า-ผู้ใหญ่-พี่-เพื่อน-น้อง ทำให้อบอุ่นมากขึ้น งานนี้ขอบอก "ปฐมอโศก อบอุ่น จ้า"

จุดที่ ๒ อ้อมน้อย อ.สามพราน จ.นครปฐม (บ้านป้ามนทิรา)
จัดฉลองครบรอบในหลวงครองราชย์ 60 ปี โดยเจ้าของบริษัทสามพรานการทอ

ซึ่งคุณมณทิรา (บัวขวัญ) มอบหมายหน้าที่ให้ทำอาหารเด็ดๆ ประเภทจานเดียวตลอด ๑๐ วัน นำทีมโดยป้าเกียว และ คณะ แถม นักเรียน ๑๑ คน ตั้งแต่ ม.๑ - ม.๕ ไปช่วยตลอดงาน ตั้งแต่ครัวจนถึงบริการ

ด้านเช็ดเศษอาหารและล้างแก้วในมุมนี้เป็นจุดเด่นที่สะดุดตา เพราะผู้รับแจกอาหารจะได้รับสิทธิ์เขียนชื่อสกุล ที่อยู่ ใส่กล่อง จับฉลากจักรยาน วันละ ๑ คัน เพื่อสมนาคุณที่ช่วยล้างภาชนะของตน ทำให้มุมล้างภาชนะคึกคักไม่แพ้บริเวณแจกอาหาร

งานนี้ป้าเกียวแสดงฝีมือก๋วยเตี๋ยวเป็ด ราดหน้า และบ๊ะจ่าง จนคนชมเปาะ ส่วนเด็กก็มีอัธยาศัยดี ทำงานด้วยความตั้งใจ สุภาพ และอดทน

เจ้าภาพชื่นชมและขอเชิญร่วมงานในปีหน้า นอกจากโต๊ะแจกของชาวปฐมเราแล้ว ยังมีโต๊ะอาหารจากฝีมือแม่ครัวอื่นๆ อีกเป็น ๒๐-๓๐ อย่าง ทำให้การแจก ทั้งอิ่ม สนุก และได้บุญ เพราะผู้ให้ เต็มใจ ผู้รับก็ตั้งใจ อิ่มบุญด้วยกันทุกฝ่าย

จุดที่ ๓ มังสวิรัตินครปฐม อ.เมือง จ.นครปฐม (มรฐ.)
มีเด็กนักเรียนและชาวชุมชนมาร่วมประมาณ ๘๐ คน มีแม่งานคือเด็กอาชีวะการขาย ปี ๒ (๗ คน) งานนี้คนก็เยอะมาก ร้านของเรา ขายดีมาก คนเต็มร้านทุกเช้า การทำงานของพวกเรา ก็แบ่งเป็น แต่ละแผนก แผนกละ ๒-๓ คน เช่น แผนกโซบะ หน้าร้าน หมูปิ้ง ราดหน้า ฯลฯ


 

เริ่มงาน ๐๔.๓๐ - ๑๕.๐๐ น. และบางคน ๐๔.๓๐-๐๑.๐๐ น. หลังเลิกงานพวกเราประชุมวันเว้นวัน สำหรับงานนี้ทุกคน ให้ความ ร่วมมือกันดี มีความสามัคคีกันดีมากๆ

ประทับใจทุกๆ คน น้องๆ พี่ๆ เพื่อนๆ ทำงานกันดีทุกคน รับผิดชอบงานตัวเองดีมากๆ ถ้าไม่มีทุกคนที่ไปช่วยงาน งานนี้ ก็จะไม่สำเร็จ.

# # ชมร.ช.ม. แจกฟรีหน้าเจ...
ในช่วงเทศกาลกินเจ มีสมาชิกจาก กทม. และในจ.เชียงใหม่ ได้เหมาจ่ายทำบุญให้ ชมร.ช.ม. แจกอาหารฟรีแก่ลูกค้า ที่มา รับประทาน อาหารภายในร้าน ในวันศุกร์ที่ ๗ กับวันอาทิตย์ที่ ๙ ต.ค.๔๘ โดยในวันอาทิตย์ที่ ๙ ต.ค.๔๘ ลูกค้าที่เหมา ทำบุญ แจกอาหารฟรีได้นิมนต์สมณะ จากภูผาฯ ลงมาฉันอาหารด้วย

บรรยากาศเทศกาลกินเจของ ชมร.ช.ม.ในปีนี้ นอกจากจะมีการแจกอาหารฟรีในบางวันที่มีสมาชิกเหมาจ่ายให้แล้ว ยังมี นร.สส.ภ. มาช่วยงานผู้ใหญ่ อย่างน่าประทับใจ มีนักข่าวเคเบิลทีวีมาทำสกู๊ปข่าวพิเศษ

ในด้านพืชผักไร้สารพิษก็มีบริบูรณ์มากขึ้นกว่าทุกปี ทั้งจากญาติธรรมและลูกค้านำมาบริจาค นอกจากนี้ยังมีลูกแห เช่น ฮอมบุญฯ ดอยรายปลายฟ้า ที่ร้านกู้ดินฟ้า ๔ สั่งมาจำหน่าย แม้อยู่ไกลอย่างร้านกู้ดินฟ้า ๑ กทม. ทาง คกร.ช.ม. ก็สั่งซื้อ มาจำหน่าย ให้สมาชิก ได้อย่างต่อเนื่อง

ที่พิเศษอีกประการหนึ่ง ในช่วงเทศกาล กินเจปีนี้ ทางโรงเรียน สส.ภ. ได้จัดระบบการศึกษาให้เป็นแบบบูรณาการได้ มากขึ้น โดยไม่ได้ จัดเด็ก เข้าตามฐานงานเป็นหลัก แต่จัดเด็กให้อยู่กับผู้ใหญ่ ที่เหมาะสมเป็นหลัก จึงช่วยดูแลมิให้เด็กนักเรียน ทำผิดพลาด ดังเช่นทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ ก็ทำงานกับผู้ใหญ่ ที่เป็นแม่ไก่ อย่างแข็งขัน และเบิกบานกันดี จนเป็นที่ประทับใจแก่ ผู้พบเห็น

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


องค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร
ติวเข้ม "เกษตรธรรมเทค" ทำเมืองไทยสู่ครัวโลก

ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเกษตรกรส่วนใหญ่มีการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีในการเพาะปลูกพืชผักผลไม้อย่างเป็นจำนวนมาก ซึ่งนับว่า เป็นปัญหาที่สำคัญ ส่งผลกระทบต่อ สภาพแวดล้อม ทั้งในดิน ในน้ำ และในอากาศ เนื่องจากจังหวัดกำแพงเพชร เป็นจังหวัดที่ประชากรส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และมีพืชเศรษฐกิจ ที่สำคัญ ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย ข้าว ไม้ผล กล้วยไข่ ฯลฯ และประการสำคัญที่ทำให้ทิศทางเกษตรกรรมเริ่มปรับเปลี่ยนไปเห็นจะได้กระแสความนิยมของเกษตรกร ที่หันมาให้ความสนใจ ในการปลูกส้ม เป็นจำนวนมาก และครอบคลุม ในทุกพื้นที่

ซึ่งการประกอบอาชีพเกษตรกรรมของเกษตรกรดังกล่าว ส่วนหนึ่งพบว่ามีปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี เป็นจำนวนมาก เพื่อช่วย ในการเร่งจำนวน ผลผลิต และความสวยงาม ให้เป็นไปตามความต้องการ ของตลาด โดยไม่ได้คำนึงถึง ผลกระทบ ต่อพี่น้อง ประชาชน ผู้บริโภค เพราะมีสารตกค้าง และส่งผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม ที่จะตามมา อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น และเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๕ ที่ผ่านมา นายกฤช อาทิตย์แก้ว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด กำแพงเพชร ได้เป็นผู้ จุดประกาย ทางความคิด เพื่อปรับเปลี่ยน พฤติกรรม พี่น้องเกษตรกร ได้หันมาให้ความสำคัญ การฟื้นฟูภูมิปัญญาชาวบ้าน ให้กลับคืนมา เฉกเช่นอดีต โดยคิดริเริ่ม นโยบาย กำแพงเพชรเมือง "เกษตรธรรมเทค" ขึ้น เพื่อให้เกษตรกร หันมาใช้ สารอินทรีย์ชีวภาพ ในการปรับปรุงบำรุงดิน และกำจัดศัตรูพืชโดยอาศัยเทคโนโลยี เข้ามาผสมผสาน ในการเกษตร และ ที่สำคัญ คือ การส่งเสริม ให้ประชาชน พี่น้องเกษตรกร มีการดำเนินการเกษตรที่ "ปลอดภัยจากสารพิษ"

นายจุลพันธ์ ทับทิม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร เปิดเผยว่า ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีความใกล้ชิด และห่วงใย ความเป็นอยู่ของ พี่น้องประชาชน จึงได้ให้การสนับสนุน และส่งเสริมให้นโยบายของจังหวัด นำมาสู่ ขั้นตอนการปฏิบัติ ให้ประสบผลสำเร็จ เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น กล่าวคือได้เข้ามามีส่วนร่วม ในการปลูกสร้างจิตสำนึก ให้เกษตรกร หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ชีวภาพ โดยการจัดอบรมสัมมนา เพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่เกษตรกร ให้รู้ถึง คุณค่าของ ปุ๋ยอินทรีย์ฯ และผลกระทบ อันเกิดขึ้จาก การใช้สารเคมี รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณ ในการจัดซื้อปุ๋ยชีวภาพ ให้กับกลุ่มเกษตรกร และเป็นการกระตุ้น ริเริ่ม และ ส่งเสริมให้เกษตรกร ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ รวมถึงการจัดสรร งบประมาณ ส่วนหนึ่ง ที่เป็นเงินรายได้ของท้องถิ่น และงบประมาณ จากการได้รับ รางวัล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีการบริหาร จัดการที่ดี ตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อดำเนินการก่อสร้าง โรงงาน ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ชีวภาพ พร้อมติดตั้งเครื่องจักร ในการผลิต ที่ทุ่งหนองไปร์ ต.ทรงธรรม อ.เมืองกำแพงเพชร ซึ่งในปัจจุบัน โรงงาน ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ขององค์การบริหาร ส่วนจังหวัด กำแพงเพชร ได้ดำเนิน การก่อสร้างเสร็จแล้ว และเริ่มดำเนิน การผลิต ตั้งแต่เดือน เมษายน ๒๕๔๗ ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ชีวภาพ ดังกล่าว นอกจาก จะสนับสนุนนโยบาย จังหวัดกำแพงเพชรแล้ว ยังเป็นการ สนองตอบ นโยบายครัวของโลก ของรัฐบาล ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดให้ปี พ.ศ.๒๕๔๗ เป็นปีอาหาร ปลอดภัย ไร้สารปนเปื้อน

การฝึกอบรมการดำเนินการตามแนวทางเกษตรธรรมเทค ประจำปี ๒๕๔๘ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชร จัดฝึกอบรม ขึ้นเพื่อให้ความรู้ เรื่องความเป็นมา และแนวทางการดำเนินงาน ยุทธศาสตร์เกษตรธรรมเทค ให้เกษตรกร ได้มี ความรู้เรื่อง โรคพืชทั่วไป เรื่องความแตกต่างระหว่างจุลินทรีย์อีเอ็ม กับจุลินทรีย์ชีวภาพแบซิลลัส ซับติลิส (Bacillus Subtilis) และ เรื่องการผลิต จุลินทรีย์ชีวภาพ แบบซิลลัส ซับติลิส รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วม การสร้างจิตสำนึก และสร้าง ความเข้าใจ ให้แก่เกษตรกร ได้รู้ถึงคุณค่า ของปุ๋ยอินทรีย์ฯ และผลกระทบอันเกิดขึ้นจากการใช้สารเคมี คาดว่า ในอนาคต พืชผักผลไม้ ของจังหวัดกำแพงเพชร จะมีปริมาณสารเคมีตกค้างลดลง พร้อมทั้งมีการขยายผล นำไปสู่การปฏิบัติ โดยสนับสนุน โครงการอาหารกลางวันนักเรียน เพื่อปลูกฝัง ให้เด็กนักเรียน ได้มีความรู้ความเข้าใจ ในเกษตรปลอดสารพิษ พร้อมการ จัดทำ แปลงเกษตรสาธิต เพื่อให้เด็กนักเรียน มีสุขภาพอนามัยที่ดี จากการรับประทานอาหาร ที่ปลอดภัย.

(จาก นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ ๑๒ ก.ย.๔๘)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



สันติอโศกสัมมนาบูรณาการการศึกษาบุญนิยม
ปรับกระบวนการเรียนรู้ภาคปฏิบัติ
สัมพันธ์กับวิถีชีวิตชุมชน

จากปัญหาการศึกษาปัจจุบันเป็นการศึกษาที่อยู่ในตำรา บนกระดานดำ ในห้องเรียน สิ่งที่อยู่นอกตัวไกลตัวเกินความจำเป็น ขาดการ ลงมือฝึกฝน ปฏิบัติจริง ความรู้นั้นไม่สามารถนำมาพัฒนาคุณภาพชีวิต ชุมชนและสังคม คนยิ่งเรียนยิ่งเห็น แก่ตัว เยาวชน ถูกยั่วย้อม มอมเมา ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไหลไปตามกระแส ค่านิยมที่มอมเมาเสื่อมต่ำ ไม่สามารถแก้ปัญหาชุมชน สังคมได้

โรงเรียนสัมมาสิกขามีแนวคิดในการจัดการศึกษาแบบบุญนิยม เน้นการฝึกฝนตามหลักปรัชญา ๑. ศีลเด่น ๒. เป็นงาน ๓. ชาญวิชา โดยเป้าหมาย การศึกษาบุญนิยมตั้งอยู่บนรากฐานของหลักพุทธธรรม ๓ ประการ คือ

๑. โลกุตระ (ศีลเด่น) มุ่งปลูกฝังให้ผู้เรียนมีวิถีชีวิตที่เป็นไปตามแนวทางของหลักสัมมาอาริยมรรคมีองค์ ๘ โดย มีมรรค ๗ องค์ อันมี เนื้อหาของ อธิศีลสิกขา เป็นแกนหลัก ของแบบวิถี การประพฤติปฏิบัติ ซึ่งจะนำไปสู่สัมมาสมาธิ หรือ อธิจิตสิกขา และ อธิปัญญา ในที่สุด เพื่อขัดเกลา ให้ผู้ศึกษามีวิญญาณที่อิสระ พ้นจากอำนาจ ครอบงำของกิเลส ตัณหา อุปาทาน จนสามารถอยู่เหนือโลก

๒. โลกานุกัมปายะ (เป็นงาน) มุ่งพัฒนาศักยภาพและความรับผิดชอบในการทำงาน หรือ "กรรม" ซึ่งเป็นเนื้อหา แก่นสารของ ชีวิตมนุษย์ เพื่อให้ผู้ศึกษา ตระหนักถึงคุณค่า ของการทำงาน ในทิศทางที่จะเอื้อประโยชน์ต่อความเจริญงอกงาม ทั้งส่วนตน และสังคมส่วนรวม ให้เกิดประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูง ประหยัดสุด อันจะเป็น ความอนุเคราะห์ เกื้อกูลโลก

๓. โลกวิทู (ชาญวิชา) มุ่งให้ผู้ศึกษาเกิดสติปัญญา มีความรู้เท่าทันโลก ทันสังคม คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น โดยรอบรู้ ทั้งโลกียะ และ โลกุตระ

นักบวชเป็นแกนนำ คุรุ ชาวชุมชน ร่วมพานำคุณธรรมขั้นพื้นฐานให้นักเรียน รักษาศีล ๕ ละอบายมุข และรับประทาน อาหาร มังสวิรัติ ฝึกสัมมาอาชีพ เพื่อให้ รู้เท่าทัน สิ่งยั่วย้อมมอมเมา มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เกิดกระบวนการเรียนรู้ควบคู่ การปฏิบัติจริง ที่สอดคล้องกับ วิถีชีวิตประจำวันในชุมชน และสัมพันธ์กับสังคม จนสามารถสร้าง ผลผลิต หรือปัจจัย ๔ ได้อย่างแข็งแรง มีประสิทธิภาพ ออกมาเลี้ยงตนเอง จนถึงแบ่งปันสู่ชุมชนและสังคมได้ ถึงขั้นเกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลง ทางพฤติกรรม และ จิตวิญญาน เจริญขึ้น หรือถึงขั้นบรรลุธรรม เป็นอาริยชน

เมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๘ โรงเรียน สัมมาสิกขาสันติอโศกจัดสัมมนาบูรณาการการศึกษาบุญนิยมที่ชุมชนสันติอโศก มีคุรุ ฐานงาน คุรุวิชาการ และคุรุส่วนกลาง เข้ามาร่วมกัน อย่างอุ่นหนา ฝาคั่ง ร่วมกันกำหนดหลักสูตรการศึกษาของชุมชน ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหา หรือ ตอบสนอง ความต้องการของคน ชุมชน สังคมนั้น และมีการพัฒนา กระบวนการเรียนการสอน กับการปฏิบัติให้เชื่อมร้อย ส่งเสริม สนับสนุน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับวิถีชีวิตประจำวันในชุมชน สรุปการศึกษา ในภาคเรียนที่ ๒/๔๘ นี้ มีดังนี้

๑. นักเรียนเข้าฐานงานปกติ วันอังคาร - วันอาทิตย์ หยุดวันจันทร์ ได้เรียนรู้วิชาการ ควบคู่กับการทำงานในฐานงานด้วย

๒. เวลา ๑๘.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. เรียนวิชาการตามความสมัครใจ - สนใจของนักเรียน เป็นวิชาการที่ส่งเสริมประสิทธิภาพและ องค์ประกอบ ของฐานงาน ของนักเรียนที่ทำ

๓. เวลา ๑๙.๓๐ - ๒๐.๐๐ น. พบ สมณะ - สิกขมาตุ เรียนรู้ด้านคุณธรรม

หมายเหตุ : เฉพาะนักเรียนชั้น ม.๑ ให้เลือกฐานงานบังคับพื้นฐาน คือ ๓ อาชีพ กู้ชาติ มี ชมร. บ้านสวน (คลอง๑๓) โรงปุ๋ย น้ำหมัก ชีวภาพ
นักเรียน ม.๒ - ม.๖ ให้เลือกฐานงาน ตามความสมัครใจ ซึ่งมีหลักสูตร ๒ - ๕ ปี

เมื่อนักเรียนเลือกฐานงานแล้วควรเรียนให้จบหลักสูตรก่อน ไม่ควรย้ายฐานงานในระหว่างเรียนยังไม่จบ ถ้าต้องการเปลี่ยนจริงๆ นักเรียน ต้องยื่นเรื่องขอย้ายฐานงาน โดยขั้นแรก ควรได้รับความเห็นชอบจาก คุรุฐานงานก่อน แล้วจึงส่งเรื่องให้คุรุส่วนกลาง นำเสนอ เรื่องเข้าที่ประชุมคุรุ ถ้าที่ประชุมมีมติอนุมัติให้ย้ายฐานงานได้ นักเรียนจึงสามารถ ย้ายฐานฯได้ ถ้าที่ประชุม มีมติ ไม่อนุมัติ ให้ย้ายฐานงานได้ นักเรียนก็ไม่สามารถย้ายฐานฯได้

การประเมินผลการศึกษาดูจากพฤติกรรมจริง ตามเกณฑ์ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ตัวอย่างเช่น

- วิธีประเมิน "ศีลเด่น" คุรุชาญ (ฐานงาน) คุรุวิชญ์ (วิชาการ) สมณะ สิกขมาตุ ร่วมกันประเมินตามสภาพจริง เป็นเกณฑ์ ประจักษ์

- วิธีประเมิน เป็นงาน" แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ
๑. งานฐาน ให้คุรุฐานงานเป็นผู้ประเมิน

๒. งานส่วนกลาง ประกอบด้วยงาน ๕ ส. ที่พัก คิดเป็น ๒๐% มีคุรุปีกรัก เป็นผู้ดูแลฝ่ายหญิง, เวรทำอาหาร เก็บหาง คิดเป็น ๖๐% มีคุรุธารรุ้ง เป็นผู้ดูแล, งานโครงการ งานอบรม คิดเป็น ๒๐% ทั้งหมดให้คุรุฐานงาน และคุรุส่วนกลางร่วมกัน เป็นผู้ประเมิน

เกณฑ์เชิงคุณภาพ
A = บอกสอนแล้วทำได้ นำผู้อื่นทำได้
B = บอกสอนแล้วปรับปรุงตนเอง
C = บอกสอนแล้วถึงทำ
D = บอกสอนแล้วบอกสอนอีกบ่อยๆ เข็นยาก

เกณฑ์เชิงปริมาณ
A = ๙๐ - ๑๐๐
B = ๘๐ - ๘๙ C = ๗๐ - ๗๙ D = ๖๐ - ๖๙

การให้คะแนนพิจารณาเป็นแต่ละชั้นปี เปรียบเทียบตามศักยภาพ เช่น จะให้คะแนนนักเรียน ม.๑ ก็ให้พิจารณาเฉพาะชั้น ม.๑ จะไม่เทียบ ระหว่างชั้นอื่น โดยเกณฑ์เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ แล้วจึงมาพิจารณานักเรียนชั้น ม.๒ ต่อไป

- วิธีประเมิน "ชาญวิชา" ประเมินจากการพัฒนาการจากพฤติกรรมจริงในวิถีชีวิตประจำวัน เช่น สาระวิชาภาษาอังกฤษก็จะ ทดสอบ การพูด อ่าน เขียน การติดต่อสื่อสาร กับผู้อื่นได้ มีความรู้ความเข้าใจได้จริงๆ

โครงสร้าง, การจัดหลักสูตร, สาระและมาตรฐานการเรียนรู้, สื่อการเรียนรู้ ฯลฯ จะเป็นอย่างไรจะพยายามรวบรวม นำมาเสนอ ในโอกาสต่อไป.

- เด็กฐาน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ชุมชนหินผาฟ้าน้ำอบรมเชิงปฎิบัติการ
เกษตรอินทรีย์ - วิถีชีวิต - สิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน

เมื่อวันที่ ๒๖-๓๐ ก.ย. ๒๕๔๘ ที่ หินผาฟ้าน้ำมีการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง "วันสบาย สบายกับเกษตรอินทรีย์ - วิถีชีวิต- สิ่งแวดล้อม - ยั่งยืน"

วันที่ ๑-๕ ของการอบรมชาวชุมชนหินผาฯ ได้มีโอกาสต้อนรับชาวอโศกจากทั่วประเทศที่มาร่วมงาน และได้รับ ความกรุณา จากสมณะ เดินดิน ติกขวีโร มาเป็นประธาน ในการอบรมครั้งนี้

ช่วงเช้าญาติธรรมจากที่ต่างๆ จำนวน ๑๐๐ กว่าคนลงทะเบียนรายงานตัวเข้าร่วมการอบรม ซึ่งก็เป็นแบบสบายๆ สมชื่อ แต่ละคน มีศีล ๕ ยิ้มแย้ม แจ่มใสอบอุ่น เป็นพี่เป็นน้อง และได้รับ ความรู้มากมาย เช่น การเพาะพืชงอกมาทำอาหาร ซึ่งชาวชุมชนส่วนมาก ไม่เคยได้ทราบได้เห็นด้วยตาและลงมือทำจริง พร้อมทั้งได้ลิ้มชิมรส จากอาหาร ถั่วต่างๆ การเพาะเห็ด ในตะกร้า เห็ดขอนไม้ ก็มีผู้สนใจ กันมาก ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากถั่วพื้นบ้าน ซึ่งเราเพาะปลูกกินเองได้ และรู้จักการนำมา ทำอาหาร เช่น ทำโยเกิร์ตถั่ว โยเกิร์ต น้ำกะทิสด และผลไม้ การปลูกเพื่ออนุรักษ์พันธุ์ข้าว เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่น่าทำ ญาติธรรม สนใจกันมาก

คุณเดชา ศิริภัทร เป็นผู้มาบรรยาย ดูท่านมีพลังมาก นับว่าการอบรมคราวนี้ได้รับฟังรับรู้สิ่งแปลกๆใหม่ๆที่ดี ทุกรายการ น่าสนใจ และ มีประโยชน์จริงๆ แม้แต่การทำสบู่ จากถ่านไม้ไผ่ ก็มีประโยชน์ ทำน้ำอเนกประสงค์ โดยไม่ใช้เอ็น-๗๐ ซึ่งไม่ต้องมี สารเคมีเลย ใช้พืชทั้งหมด อาหารก็สดสะอาด จากธรรมชาติ บรรยากาศก็อบอุ่น เป็นพี่เป็นน้องกันจริงๆ

สำหรับจุดเด่นของงานนี้น่าจะอยู่ที่ได้ฟังเทศน์สายตรงออนไลน์เสียงจากพ่อท่านที่แสดงธรรมอยู่พุทธสถานปฐมอโศก ในการ ทำวัตร เช้าของวันที่ ๒๗ ก.ย.๒๕๔๘ เรื่องอิทธิบาท ๔ ภาคพิสดาร เหมือนกับว่าพ่อท่าน มานั่งเทศน์อยู่ที่หินผาฯ ทำให้ผู้ฟัง เกิดความร่าเริง แจ่มใส โดยเฉพาะข้อวิมังสา พ่อท่านขยายละเอียด ถึงการตรวจสอบตัวเอง ตรวจสอบงาน และ การทำงาน แบบองค์รวม ของหมู่กลุ่ม เป็นอิทธิบาท ๔ ที่สมบูรณ์ รอบถ้วนมาก หลายคนต่างบอกว่า ดีมาก


นอกจากนั้นการแสดงธรรมของสมณะและสิกขมาตุเทศน์ได้ชัดเจนมีสาระ

การจัดงานครั้งนี้เป็นความตั้งใจของ คกร.กลางที่ต้องการจะให้ชุมชนของเราพึ่งตนเองในเรื่องสวนผักพืชพื้นบ้านแบบยั่งยืน งานนี้ นำทีมโดย คุณลุงไม้ผล คุณปัทมาวดี ระดมพลังข่ายแหชาวอโศก ที่มาร่วมอบรมปลูกผักพืชพื้นบ้านในพื้นที่ ๑ ไร่ จำนวน ๖๖๙ ต้น นับเป็นภาพแห่งประวัติศาสตร์ ของชาวอโศกอีกภาพหนึ่ง ที่ต้องจดจำ บรรยากาศ ของความเป็นพี่ เป็นน้องอย่างยิ่ง

นางเจือบุญ ชาลี ชาวชุมชนหินผาฯ ได้แสดงความรู้สึกต่องานนี้ว่า "ผู้เข้าอบรมได้ทั้งอาหารกาย-อาหารใจ ทำให้มีไฟ ในการ ปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะ ชาวหินผาฯ งานนี้ได้รับอานิสงส์ กันถ้วนทั่ว และก็เป็นอีกก้าวหนึ่ งของชาวอโศก ที่จะเดินมรรค ต่อไป อย่างไม่หยุดยั้ง เจ้าหน้าที่ก็ตั้งใจแนะนำ ช่วยเหลือกันอย่างดียิ่ง นับเป็นมิติใหม่ ของพวกเราชาวอโศก ที่ทำเพื่อมนุษยชาติ จริงๆ".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


น้ำยาล้างตา...จำเป็นแค่ไหน

เรื่องของยาหลายๆประเภทนั้นใกล้ตัวเรามากๆ จนบางทีก็เคยชินว่าถ้ามีอาการแบบนี้แล้วก็ต้องใช้แบบนี้แบบนั้น ก็เพราะเรา เห็น กันมา ตั้งแต่เด็กๆ เลยก็มี

อย่างเช่นเรื่องของ "น้ำยาล้างตา" ลูกนัยน์ตาของเราๆท่านๆคงต้องเคยสัมผัสกันมาแล้วแทบทุกคนกระมัง ฉบับนี้จึงนำ บทความ เกี่ยวกับเรื่องนี้ มาฝากกัน

*คนไทยนิยมซื้อน้ำยาล้างตา จากร้านขายยามาล้างตาเองเป็นจำนวนมากจากหลายสาเหตุ แต่สิ่งที่พึงระลึกไว้คือ น้ำยา ล้างตา มักเป็น สารเคมีชนิดใด ชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจก่อให้เกิด การระคายเคือง ต่อดวงตาได้ ธรรมชาติได้ให้น้ำยาล้างตาที่ดีที่สุด คือ น้ำตา ดังนั้นเมื่อท่านเคืองตา รู้สึกว่ามีฝุ่นเข้าตา ห้ามขยี้ ให้พยายาม กะพริบตา ให้น้ำตาไหลออกมา ส่วนมาก จะสามารถ ล้างเศษฝุ่น ออกมาได้ ถ้าฝุ่นยังไม่ออกมา อาจใช้วิธีลืมตา ในน้ำสะอาด ฝุ่นมักออกมาได้ ถ้ายังรู้สึกเคืองตามาก และฝุ่น ยังอยู่ในตา แนะนำ ให้พบ จักษุแพทย์ เพื่อหยอดยาชา และเขี่ยฝุ่นออกให้ จะปลอดภัยต่อดวงตามากกว่า.

# น.พ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ จักษุแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก)

(*จาก นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ ๑๒ ก.ย.๔๘)

อ่านบทความของคุณหมอแล้ว ทำให้เราได้รู้ได้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้กันมากขึ้น เพราะยานั้นมีคุณมากมาย และในทางกลับกัน หากเรา ใช้ยาอย่างปราศจากความรู้ ยาก็สามารถ ก่อโทษให้กับเราได้มากเหมือนกัน.

 

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



โครงการฟื้นฟูจิตใจ
ผู้ประสบภัยธรณีวิบัติ ช่วงที่ ๒

นับเป็นเวลาราว ๑๐ เดือนแล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิถล่ม ๖ จังหวัดภาคใต้ ผู้ประสบภัยได้รับการช่วยเหลือจากทาง ภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรศาสนา ฯลฯ ก่อสร้างที่พักถาวร ชั้นเดียว, ๒ ชั้น ใต้ถุนสูง ราว ๕๐ - ๑๕๐ หลังคาเรือนต่อแห่ง มีระบบ สาธารณูปโภค น้ำประปา ไฟฟ้า ถนน ศูนย์เลี้ยงเด็กเล็ก สนามเด็กเล่น มีกรรมการ หมู่บ้าน ฯลฯ ผู้ประสบภัย ส่วนใหญ่ ได้ย้าย เข้าที่พัก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บางแห่งมีตู้เย็น และทีวีมอบให้ด้วย

ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรมเล็งเห็นความสำคัญด้านฟื้นฟูจิตใจผู้ประสบภัย จึงสนับสนุนให้สมาคม นักศึกษา ผู้ปฏิบัติธรรม (นศ.ปธ.) ดำเนินงาน โครงการฟื้นฟูจิตใจ ผู้ประสบภัยธรณีพิบัติ ช่วงที่ ๒ ระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๔๘ - มกราคม ๒๕๔๙ โดยมีกลุ่มชเลขวัญ ร่วมเป็นผู้ปฏิบัติงาน ลงพื้นที่ ในจังหวัดพังงา กิจกรรม แบ่งออกเป็น ๔ ช่วง คือ

กิจกรรมที่ ๑ ๑๓ - ๑๕ ก.ย. เยี่ยม เยียนกลุ่มเป้าหมายตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งบางหมู่บ้านพอเด็กๆเห็นคณะพวกเราไป ก็จำ เราได้ เพราะ ไม่ใส่รองเท้า จึงเข้ามาทักทาย พูดคุยด้วย บอกกล่าวแสดงความคิดถึง ป้าคนนั้น พี่คนนี้ อยากให้มาหา พวกเขาอีก

กิจกรรมที่ ๒ ๔ - ๑๒ ต.ค. กิจกรรมทำบุญ ตั้งโรงบุญมังสวิรัติตามหมู่บ้านผู้ประสบภัยต่างๆ
กิจกรรมที่ ๓ ๒๓ - ๒๗ พ.ย. อบรม กสิกร ๑๐๐ คน
กิจกรรมที่ ๔ ๑๔ -๑๘ ธ.ค. อบรมเยาวชน ๑๐๐ คน

ขอโอกาสเล่าบรรยากาศการไปทำบุญ ตั้งโรงบุญมังสวิรัติตามหมู่บ้าน เริ่มจากหาสถานที่รวมพลก่อน ก็ได้ความกรุณาจาก พี่ชาย ของคุณอดุลย์ อนุญาตให้ใช้ ตึกแถวใหม่ ๑ ห้อง อยู่ในตลาดบางเนียง เป็นที่ทำอาหารและที่พัก ในตอนเย็น ก่อนวัน เริ่มงาน ลุงหินเขียว จะขับรถปิกอัพพาสมณะดินดี สันตจิตโต สมณะเลื่อนลิ่ว อรณชีโว สมณะพอแล้ว สมาหิโต สมณะผองไท รตนปุญโญ ลุงไข ลุงหนู ไปพบปะพูดคุยกับชาวบ้าน และปักกลดพักค้าง ในหมู่บ้าน วันรุ่งขึ้นตอนเช้า สมณะออกบิณฑบาต ในหมู่บ้าน และบริเวณใกล้เคียง ประจวบกับช่วงนี้ เป็นเทศกาลกินเจ จึงมีชาวบ้านศรัทธาใส่บาตร มากพอสมควร ต้อง ถ่ายบาตร หลายครั้ง ลุงดาวพลัง ขับรถพาลุงธำรงค์ อาวิศิษฏ์ คุณเทวินทร์ ออกจากที่พัก ในตลาดบางเนียง มาสมทบ ช่วยเตรียมสถานที่และ เครื่องเสียง ตอนสายๆ ลุงหินเขียวขับรถพาทีมแม่ครัว พ่อครัว ป้าเสนาะ ป้าวรรณา ป้าละเอียด ป้าอรพิน ลุงจัด ลุงสุนทร พร้อมขนอาหาร มาสมทบ ราว ๐๘.๓๐ น. สมณะเริ่มแสดงธรรมก่อนฉัน เทศน์องค์ละประมาณ ๒๐ นาที ราว ๑๐.๐๐ น. เชิญชวนชาวบ้าน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ร่วมรับประทาน อาหารด้วยกัน กินอิ่มแล้วช่วยกันล้างถ้วยชาม ด้วยตนเอง เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้มาฟังธรรม ส่วนใหญ่ จะเป็นผู้หญิง เพราะผู้ชายจะออกทะเล ไปหาปลา ครั้งละ ๔ - ๕ วันต่อสัปดาห์ ราว ๑๑.๐๐ น. เริ่มสาธิตฝึกอาชีพ โดยคุณถาวร ผู้ประสบภัยที่เคยผ่านโครงการ ซับขวัญชาวใต้ครั้งแรก ของสถาบันบุญนิยม เลิกอาชีพจับปลาในน้ำ หันมาจับปา บนบกแทน คือ อาชีพขาย ปาท่องโก๋ ชาวบ้านให้ความสนใจ ฝึกอาชีพมาก ช่วยกันกวนแป้ง ตัด ทอด แล้วก็ฉลองผลงาน ของตนเอง กับการชิม ปาท่องโก๋ ปิดท้ายรายการ ด้วยการร่วม ถ่ายภาพหมู่ ทั้งสมณะ คณะทำงาน และชาวบ้าน หน้าป้ายหมู่บ้าน เก็บไว้เป็นที่ระลึก และอำลาจากกัน ด้วยความสุข

คณะทำงานจะดำเนินงานลักษณะนี้ในวันถัดไปจนครบ ๘ แห่ง ฉบับนี้ขอรายงานกิจกรรมของกลุ่มชเลขวัญเท่านี้ก่อน เจริญธรรม สำนึกดี

- อันดามัน -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

หน้าปัดชาวหินฟ้า

เจริญธรรม สำนึกดี พบกับ นสพ. ข่าวอโศก ฉบับที่ ๒๖๔(๒๘๖) ปักษ์แรกวันที่ ๑-๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๘
สำหรับความเคลื่อนไหวในแวดวงชาวเราประจำฉบับมีดังนี้

ปฐมอโศกบ้านเรา...ช่วงนี้รัฐบาล กำลังเข้มงวดกับสถานีวิทยุชุมชนทั่วประเทศ พ่อท่านก็บอกทางเครือแหวิทยุชุมชนบุญนิยม ว่า ให้ปฏิบัติ ตามกฎระเบียบของทางราชการ โดยเคร่งครัด จิ้งหรีดเห็นเจ้าหน้าที่ จากกรมประชาสัมพันธ์มาตรวจเยี่ยม การทำงาน ของเครือแห วิทยุชุมชนปฐมอโศก เขามาสัมภาษณ์ ผู้จัดรายการ ก็ได้รู้ว่า ที่ปฐมฯ มีรูปแบบการทำงาน ต่างจาก ที่อื่น เพราะให้ความรู้ และสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ โดยไม่มีการหารายได้ใดๆ จนทาง จนท. ประชาสัมพันธ์ ได้เลือกให้เป็น สถานีวิทยุชุมชน ตัวอย่าง จิ้งหรีดก็ขอ แสดงความยินดี ด้วยนะฮะ โดยเฉพาะท่านบินก้าว ที่ปรึกษาของสถานีวิทยุฯ ที่คอย ดูแลเครือแห ให้เป็นไปตาม แนวทาง ของทางราชการ แต่ท่านก็ต้องการ ให้มีผู้ทำงาน แทนท่านเหมือนกัน จิ้งหรีดก็รู้สึกว่า คงหายากอยู่นะฮะ ใครพอมีความรู้ ความสามารถ ก็ไปรายงานตัวกับท่านได้ งานนี้รับรองบุญเต็ม เพราะทำงานฟรีฮะ...

คุณปะงามงาน ใครๆก็ชมว่าขยัน ก็ขยันทำงานจนสิกขมาตุบุญแท้ เขียนใบประเมินให้ว่า "ขยันดีมากเรื่องการงาน ตั้งใจ ทำความดี ให้ใจด้วย" ส่วนเรื่องงานฐาน ที่รับผิดชอบอยู่ ก็สามารถผลิต ปลาร้าเจ ซีอิ๊ว กะปิแผ่น เต้าเจี้ยว น้ำพริกส่งไปตาม ร้านค้า ต่างๆ ของชาวอโศก และโรงครัวของชาวเรา โดยเฉพาะที่ปฐมอโศกบ้านเรารับเป็นประจำ แต่คุณปะ ก็ยังตั้งใจ พัฒนาฝีมือไปเรื่อยๆ จนกว่า จะดีกว่านี้อีก ส่วนอุปกรณ์อย่างเช่น เตาต้มถั่วก็จะพังอยู่แล้ว ก็จะให้ทางปฐมฯ ช่วยซื้อใหม่ มาแทนอันเก่า จิ้งหรีดคิดว่า คงจะทนความขยัน ของคุณปะ ไม่ไหวกระมัง และคงเป็นเครื่องยืนยันว่า คุณปะงามงาน ขยันจริงๆ อ้าว!นี่จิ้งหรีด ก็แซวเล่นนะฮะ ความจริงเครื่องมันคงเก่า ควรจะเปลี่ยนได้แล้ว จะได้ช่วยให้การทำงาน มีประสิทธิภาพ ดีขึ้น ชาวอโศกจะได้มีเครื่องปรุงรส ที่ปลอดผงชูรส และสารพิษจริงๆ...

ส่วนคุณปะเพียงแก้ว คุณปะอีกคนก็ได้ข่าวว่า ช่วงนี้มักขัดคอ อ๊ะ! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า คุณปะจะไปมีเรื่องขัดคอใครนะฮะ เพราะเรื่อง ที่กำลังจะบอกนี่ เป็นเรื่องดีฮะ คือคุณปะ จากคุรุใหญ่ ก็มาสมัครเป็นภารโรง โดยพฤตินัย อีกตำแหน่ง คือช่วยขัด คอห่าน ในห้องน้ำฝ่ายชาย วันละ ๑ ชั่วโมง เผื่อจะได้บุญมาก หากผู้ใช้ได้ไต่ถึงขั้นบวช เป็นสมณะ ก็ได้รับความร่วมมือ จากคณะพี่ๆ ที่ดูแลอยู่ คุณปะบอกว่า ได้ยินเสียงขัดห้องน้ำ ก็รู้สึกไพเราะ ราวกับเสียงสวรรค์ จิ้งหรีดขอเสริมอีกนิดว่า ผู้ใช้ก็ได้ขึ้นสวรรค์ ด้วยนะฮะ เพราะห้องน้ำ สะอาดน่าใช้ จริงหรือไม่ ไปพิสูจน์กันดูที่ ปฐมอโศกฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

มุ่งมาจนอีก...เมื่อ ๑๔ ก.ย.๔๘ ที่ผ่านมา ทาง นสพ.มติชน ลงข่าวเกี่ยวกับคุณตายแน่ มุ่งมาจน และคนบุญนิยมอีกหลายคน ที่เปลี่ยนชื่อ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ และรักษาภาษาไทย ให้คงอยู่

จิ้งหรีดได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณตายแน่ ก็ได้รู้ว่า คุณตายแน่ได้มีโอกาสกลับบ้านที่ จ.อุทัยธานี ก็สรุปบรรยากาศนะฮะ คนที่บ้าน ก็รู้ข่าว และเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะ ญาติผู้ใหญ่บางคน ถึงกับกล่าวชื่นชมลูกหลานว่า รู้จักการดำเนินชีวิต และกล้าทวนกระแสโลกีย์

ณ ปัจจุบันนี้ เวลาคุณตายแน่ไปไหนก็จะมีคนรู้จักมากขึ้น ทักมากขึ้น จิ้งหรีดได้สอบถามคุณตายแน่ว่า จากข่าวที่ออกไป มีอะไร น่าเป็นห่วงไหม โดยเฉพาะ คนที่ไม่พยายาม จะเข้าใจ

คุณตายแน่บอกว่า โดยภาพรวมแล้ว ดี หลายคนชื่นชม แต่ก็ไม่เลือกชื่อแบบของตนแน่ แม้ในชาวอโศกเองก็ตาม ส่วนเรื่อง ที่ห่วง ก็ห่วงคนที่เข้าใจ และยอมรับได้ มากกว่าคนที่ต่อต้าน หรือไม่เข้าใจ เพราะชาวอโศกกำลังพัฒนาภายใน ให้เข้มข้น แน่นเนื้อ หากมีคนเข้าใจมากขึ้น จนเขาเข้ามาในหมู่เรามาก แต่เรายังไม่แน่นเนื้อเพียงพอ ก็จะเป็นผลให้ชาวอโศก พัฒนา สู่แนวลึก ได้ยากขึ้น ความเสื่อมก็จะปรากฏไว ความล่มสลายก็จะตามมา แต่เราคงไปห้าม คนแสวงหาไม่ได้ นอกจากเราต้อง พัฒนาเนื้อใน ให้เป็นจริง มีจริงกันมากๆขึ้น โดยเฉพาะ เราต้อง มุ่งมาจน จริงๆ ใช่ไหมฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

สึนามิดอย...เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๓ ก.ย.๔๘ เวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. ฝนตกหนักมาก ตกมาประมาณชั่วโมงหนึ่ง คุณทองธรรม ประธานชุมชน มาบอกอาจารย์ ๑ สมณะบินบน ถิรจิตโต ที่ศาลาบรรพชนว่า น้ำเกือบท่วมโรงครัว ญะกิ๋นแล้ว จากนั้นอาจารย์ ๑ และจิ้งหรีด จึงไปดูเหตุการณ์กระแสน้ำ ไหลผ่านสะพานหินสานขวัญ เป็นน้ำตกสวยงาม น้ำพัดมาถึง โรงเก็บฟืนเลย ถังสแตนเลส ลอยน้ำ จนคุณไพรต้องเอาเชือกผูกยึดไว้ น้ำท่วมพัด ที่ตั้งหม้อแบตเตอรี่ แต่ดีที่หม้อ แบตเตอรี่หนัก น้ำจึงไม่สามารถ พัดไปที่นา บวกหมู่น้ำ พัดต้นข้าวล้ม จากนั้น ไปดูที่สะพานสานใจ ซึ่งเป็นสะพานปูน ถูกน้ำเซาะ สะพานขาด ต้องเอา ไม้กระดานพาด จึงเดินข้ามได้

ทุ่มกว่า สมณะลานบุญ วชิโร สามเณร ขาวดี กลับจาก ชมร.ช.ม. เดินข้ามสะพานไม้มาแล้ว มายืนส่องไฟให้ญาติโยม เดินข้าม ทันใดนั้น ดินบริเวณที่สมณะลานบุญ ยืน เกิดทรุดตัวลง ทั้งสมณะลานบุญ และสามเณณขาวดี จึงตกลงไปข้างล่าง สมณะ ลานบุญเล่าว่า ไม่รู้มีอะไรมากระแทกที่ตรงจมูก ไฟฉายก็กระเด็นไป ต้องคลำหาจึงเจอ ส่วนแว่นตา ก็กระเด็นหายไป คลำเท่าไร ก็หาไม่เจอ แล้วท่านก็บอกว่า มาอยู่ภูผาฯ เฉียดตายครั้งนี้ เป็นครั้งที่ ๓ แล้วนะ...จี๊ดๆๆๆ .....

กระแสบำเพ็ญตบะธรรม...วันก่อนจิ้งหรีดเกาะอยู่ที่บ้านแม่ใบจริง เห็นแม่ใบจริงสนทนาธรรมกับสมณะ หลังจากนั้น แม่ใบจริง ตั้งใจว่า วันพุธ ตั้งใจว่าจะพุทธัง จิ้งหรีดรู้สึก อนุโมทนาด้วยนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

งานบุญวันเกิด...เมื่อวันที่ ๘ ก.ย.ที่ผ่านมา ครบรอบวันเกิดของลูกชายญาติธรรม ได้ทำบุญแจกอาหารฟรีที่ ชมร.ช.ม.

เจ้าหน้าที่ประจำร้านและลูกค้าที่มารับบริการต่างก็อนุโมทนาบุญกับเจ้าภาพกุศลธรรมในวันนั้นจึงเป็นตัวอย่างที่ดีซึ่งผู้รู้ ได้กล่าวไว้ว่า "มีค่ากว่าคำสอน"

ส่วนวันที่ ๗ ต.ค. ก็ครบรอบวันเกิด ลูกสาวของญาติธรรม ก็ได้จองแจกอาหารฟรีเช่นกัน โดยผู้เป็นมารดาได้โอนเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท เข้าบัญชี ชมร.ช.ม....สาธุๆๆ

กุศลกรรมใดที่ได้กระทำไว้แล้ว ขอบุญกุศลนั้นจงหยั่งลงเป็นอุปนิสัย บารมี คอยกระตุ้นเตือนให้ทุกคนในครอบครัวนี้มีปกติ เห็น โทษภัย ในวัฏฏสงสาร ไม่ติดโลกติดภพ มีปัญญา คอยสละตนออก มีจิตใจที่มั่นคง ไม่ลุ่มหลงด้วยโลกธรรม ดำรงตน อยู่อย่างอิสระ ได้รับความสงบ ในธรรมะ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศไว้ดีแล้วด้วยเถิด สาธุ...จี๊ดๆๆๆ .....

ศาลีอโศก...ช่วงพรรษานี้มีฝนตกหนักหลายแห่ง ที่ศาลีฯก็น้ำท่วมเพราะฝนนี่แหละ จนถึงโรงครัว น้ำไหลระบายไม่ทัน ก็มีความคิด กันว่า จะระบายน้ำฝนลงสระ ก็ไม่รู้ว่า สระนี้ ท่วมด้วยหรือเปล่า แต่ขอแสดงความ ยินดีด้วยว่า ศาลีฯ พ้นจาก ดินแดน แห้งแล้ง แต่ท่วมอย่างนี้ ก็คงไม่ดี มันสุดโต่งเกินไปนะฮะ...

ท่านฟ้าไทมาช่วยให้ความรู้ด้านการศึกษาว่า จะบูรณาการอย่างไรที่จะให้ผู้ใหญ่มีส่วนร่วมในการดูแลใกล้ชิดเด็กกว่าเดิม จิ้งหรีด ก็ฝากสมณะนะฮะ ถ้าให้ผู้ใหญ่ใกล้ชิดเด็ก แม้ผู้ใหญ่และเด็ก สมัครใจ ก็ควรมีผู้ใหญ่คอยถามไถ่ใกล้ชิด เพราะ อาจมีปัญหา เรื่องเคร่งไป หรือหย่อนไป ตามภาวะของผู้ใหญ่ แต่ยังไงๆ จิ้งหรีดก็เห็นว่า ดีกว่าการปล่อยเด็ก ให้อยู่กันเอง เป็นส่วนใหญ่ ก็ขอชื่นชม ผู้ใหญ่ที่เสียสละ เวลาส่วนตัว ให้กับเด็กๆ ทุกคนนะฮะ...จี๊ดๆๆๆ .....

ประเมินผล...เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๗ ก.ย.๔๘ สมณะและญาติธรรมจากปฐมอโศกเดินทางไปประเมินผลเกษตรกรที่เคยอบรม ทางภาคเหนือ ตอนล่าง เป็นเวลา ๒ วัน ก็ได้พัก ที่บ้านพ่อนิทัศน์ ที่ จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นบ้านเดิม ของสมณะถักบุญ พ่อนิทัศน์ ได้ติดตามไปด้วย ก็บอกกับจิ้งหรีดว่า ดูเกษตรกร ให้การต้อนรับ สมณะดีมาก ให้ความเคารพ แต่ก็มีบางคน ที่ออกอาการ ไม่ชอบ (ดูจาก ภายนอก) แต่ก็เป็นส่วนน้อย ช่วงนี้อาการของพ่อนิทัศน์ ก็มีปัญหาเรื่องปวดฟัน ที่คิดว่าจะไปบ้านราชฯ จึงล่า ออกไป เพราะหมอ นัดทำฟัน ช่วงปลาย เดือนกันยายน ทั้งถอนทั้งอุด เนื่องจากต้องรอหมอ มีช่วงว่างจากคนไข้ จึงต้องทน ปวดฟัน ตั้งแต่ วันที่ ๑๒-๒๐ ก.ย.ก็ยังไม่รู้ว่า จะได้ไปบ้านราชฯ หรือไม่ แต่ก็บอกกับจิ้งหรีดว่า ใครไปใครมา โดยเฉพาะสมณะ ขอนิมนต์ ไปแวะฉัน หรือ เยี่ยมเยียนได้นะฮะ (ถ้าอยู่)...จี๊ดๆๆๆ .....

คติธรรม-คำสอนของพ่อท่านประจำฉบับ
"ท้อไม่แท้ แท้ไม่ท้อ"
(จากหนังสือโศลกธรรม สมณะโพธิรักษ์ หน้า ๑๐๓)

พบกันใหม่ฉบับหน้า
- จิ้งหรีด -

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


น้ำป่าไหลบ่าแรงที่บ้านแม่เลา
สะพานขาดในชุมชนภูผาฟ้าน้ำ
เสียหายนับแสน

เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๘ เวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. ฝนได้ตกลงมาอย่างหนักในชุมชนภูผาฟ้าน้ำ ซึ่งก่อนหน้านี้ ฝนได้ตกลงมา ทุกวัน แต่ในวันนี้ ฝนได้ตกแรง และหนักกว่าทุกวัน ที่ผ่านมา หลังจากฝนตกประมาณ ๑ ชั่วโมง น้ำได้ไหลบ่า ลงมาจากภูเขา รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระแสน้ำในลำธาร พัดไม้ หินกระแทกกันเสียงสนั่น

น้ำในลำธารที่ไหลผ่านชุมชนภูผาฯ ไหลแรงขึ้นและเพิ่มระดับสูงขึ้น จนล้นฝั่งเข้าไปท่วมศาลาเสียงธรรม ทำเอาสะพาน หลายจุด ถูกพัด หายไปกับสายน้ำ ไม่ว่าจะเป็น สะพานผาเพชร สะพานไม้ไผ่ ที่ข้ามไปยังนา ใกล้สวนกุหลาบ ที่อยู่นอกชุมชน สะพานที่ข้ามไปยังบ้านของคุณปีกตะวัน ที่อยู่ข้างชุมชน


โดยเฉพาะอย่างยิ่งสะพานสานใจที่เป็นสะพานปูน ถูกน้ำป่าไหลบ่ามาเซาะจนสะพานถล่ม ถนนขาด

ความรุนแรงของน้ำป่าที่ไหลลงมา มีผลให้ชาวชุมชนบางส่วนที่พักอยู่กับบ้านใกล้ลำธารต้องรีบสละบ้านขึ้นไปพักอยู่ในที่สูง บางคนก็ต้องรีบวิ่ง ออกจากบ้าน เพื่อความไม่ประมาท ในน้ำป่า ที่ไหลลงมาเร็ว และแรง ซึ่งคาดเดาไม่ได้ว่า จะรุนแรง และเร็ว จนอาจ วิ่งหนีไม่ทันก็ได้ ถ้าตัดสินใจช้าเกินไป ในการสละบ้าน หรือกระท่อม ที่ตัวเองพักอาศัย

คุณน้ำแรง แพงค่าอโศก ซึ่งเป็นกรรมการชุมชนภูผาฯ พักอยู่ที่กระท่อมในนาข้าว กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "ได้มาอยู่ภูผาฯ เป็น รุ่นแรก นี่ก็ ๑๐ กว่าปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นว่า น้ำป่าครั้งใด จะไหลแรง และหนักเท่าครั้งนี้ เสียงน้ำที่ไหลบ่ามา น่ากลัวมาก จนต้องสละ กระท่อม รีบขึ้นไปอยู่ในที่สูง แต่ก็ยังดี ที่กระท่อมยังอยู่ปลอดภัย"

สมณะสยาม สัจจญาโณ ซึ่งเป็นสมณะนวกะที่ภูผาฯ ให้ความเห็นว่า "ได้เดินไปตามลำธารพร้อมเพื่อนสมณะตั้งแต่ ศาลา บรรพชน เพื่อเก็บท่อแตกหัก ที่น้ำพัดพา มาเกาะติด ที่รากไม้ต้นไม้ น้ำป่าไหลหลาก ครั้งนี้รุนแรงมาก สังเกตได้จากท่อน้ำ (ประปาภูเขา) แตกหัก ต้นไม้ต้นกล้วย ล้มระเนระนาด น้ำเซาะลำธาร ลึกขึ้นกว้างขึ้น"

สมณะโพธิสิทธิ์ โพธิสิทโธ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "น้ำป่ามาครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่อาตมามาอยู่ที่ภูผาฯ ที่ได้เห็นถือว่าเป็น ประวัติศาสตร์ ของภูผาฯ และทำความเสียหายมาก เช่นสะพานสานใจขาด ระบบน้ำประปาภูเขาเสียหาย นาเสียหาย ต้นไม้ ใหญ่ๆหัก สระน้ำข้างศาลาญะกิ๋น เสียหาย สะพานผาเพชร ถูกน้ำพัดหาย ลำธารเปลี่ยน เส้นทาง น้ำตกจุดต่างๆ หลายจุด ถูกน้ำพัดหาย น้ำพัดเกือบถึง โรงเก็บฟืน หากคิด ค่าเสียหาย คงเป็นแสนกว่าบาท น้ำป่าที่มากครั้งนี้ อุปัชฌาย์บินบน ถิรจิตโต ให้เหตุผลว่า เนื่องจาก ฝนตกหนัก และต่อเนื่อง มาตลอด ดินและต้นไม้รับน้ำจนชุ่ม อีกอย่างมีการตัดไม้ ทำลายป่า ต้นไม้ มีน้อย จึงไม่สามารถ ช่วยดูดซับน้ำไว้ได้ ฝนตก ขนาดไหน ก็ไหลลงมาหมดเลย

นี่ก็ยังดีที่ดีเปรสชั่นดอมเรยที่พัดมาทางประเทศเวียดนามมาถึงภาคเหนือราวเที่ยงคืนของวันอังคารที่ ๒๗ ก.ย.๔๘ ทำให้ฝนตก ไม่รุนแรง เท่าครั้งก่อน มิฉะนั้น ความเสียหาย จะเกิดมากขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้นพวกเราควรต้องช่วยกันปลูกต้นไม้เพิ่มเติมให้มากขึ้น".

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


กิจกรรมชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนปฐมอโศก - อินทร์บุรี

รายการคนเกษตรสร้างชาติ ไอทีวี นำโดย ลุงเกษตรหรือเกษตรลูกทุ่ง ได้เดินทางไปถ่ายทำกิจกรรมของชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนที่ อินทร์บุรี ออกไอทีวี ในวันพฤหัสบดี ๓ วันซ้อน ในช่วงเวลา ๐๕.๓๐-๐๖.๐๐ น. ซึ่งเมื่อ ๔-๕ ปีก่อนก็เคยไปถ่ายทำออก ไอทีวี ไปแล้วครั้งหนึ่ง

คุณลุงเกษตรบอกว่า ไปถ่ายทำมาหลายแห่ง บางแห่งแรกๆก็ดี แต่หลังๆก็เงียบเหงา ซบเซาไป แต่ที่ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน กลับพัฒน าก้าวหน้ากว่าเดิม มีกิจกรรมใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกเยอะ เป็นศูนย์อบรม ให้ความรู้กับประชาชน มีพื้นที่เกษตรตัวอย่าง ชัดเจน มาคราวนี้ก็ได้ถ่ายทำ

๑. เรื่องการทำน้ำยาอเนกประสงค์ ที่นี่มีชื่อเสียงมาก ซักผ้าสะอาดปราศจากเชื้อโรค ทางโรงพยาบาลถึงกับนำเอาผ้า ที่ซักแล้ว ไปตรวจ ไม่พบเชื้อโรค ตกค้างเลย แต่การใช้ ผงซักฟอกเคมี กลับพบเชื้อโรคที่ซักแล้วหลายชนิด เราได้บอกวิธีการทำ อย่างละเอียด

๒. เรื่องการทำน้ำหมักจากขยะโดยไม่ต้องใช้โมลาส ทุกวันนี้หาโมลาสหรือกากน้ำตาลยาก เราหมักขยะให้จุลินทรีย์ทำงานเอง โดยธรรมชาติ จนเกิดราขาว จากนั้น ก็ใช้รำละเอียด โรยปิดหน้า ถ้าจะให้ได้ผลเร็ว ก็ใช้หัวเชื้อผสมหน่อย จะได้ผลดีมาก ไม่มีกลิ่นเหม็นเลย ทดลองทำมาแล้วเป็นปี

๓. ถ่ายทำเรื่องแก๊สชีวภาพ Biogas ได้ต้นแบบจากลุงสุวิทย์ อุดมสุข วิทยากรประจำของชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ใช้อุปกรณ์ ง่ายๆ เช่น ถังพลาสติกขนาด ๒๐๐ ลิตร หมักมูลสัตว์ไว้ ๑๐ กว่าวัน จนเกิดแก๊ส ต่อจากนั้นก็ใส่เศษอาหารหรือเศษผักต่างๆ เติมทุกวัน ก็จะเกิดแก๊สใช้หุงต้มได้ทุกวัน โดยจะมีท่อและถังเก็บแก๊ส ต่างหาก รายละเอียด ต้องดูจากวีซีดี และเอกสาร และเรามีเครื่อง ฟอกแก๊ส นำไปใช้กับเครื่องจักร เครื่องยนต์ หรือรถยนต์ได้ ทุกอย่างผลิตเองได้หมด

๔. เครื่องพ่นยาสมุนไพร ใช้แบตเตอรี่ก็ได้ โยกก็ได้ ประหยัดพลังงาน ใช้สะดวก ราคาไม่แพง

ตอนนี้มีตัวอย่างให้ชมให้ศึกษาอยู่ที่ปฐมอโศก หรือจะดูจากวีซีดีและเอกสาร ก็ติดต่อได้ที่ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนปฐมอโศก หรือ ที่อินทร์บุรี.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



เขาคือใคร?

ฉบับนี้ขอแนะนำญาติธรรมชาวชุมชนของเราอีกท่านหนึ่ง
นางปราณี พรหมเลิศ (บัวดาว) อายุ ๔๘ ปี อาชีพเดิมคือเปิดร้านขายอาหารเนื้อสัตว์ต่างๆ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๑ ขายดีมาก จน สามารถ สร้างเนื้อสร้างตัวได้ โดยมีรายได้เดือนละ ประมาณ ๒๐,๐๐๐ - ๓๐,๐๐๐ บาท เลี้ยงครอบครัวได้สบาย ชีวิตมีความสุขดี

มาเริ่มรู้จักอโศกปี ๒๗ จากแม่มั่น นิลโท ซึ่งเป็นญาติธรรม เอาเทปศีล ๕ และศีล ๘ พิสดารให้ฟัง และยังนำหนังสือ สารอโศก มาให้อ่าน ตั้งแต่นั้นมา ก็พยายาม ตะเกียกตะกายหา ลองไปศึกษา ที่สันติอโศก ตามไปดูว่า ชุมชนอย่างนี้มีจริงหรือ? และเริ่ม กิน มังสวิรัติ ตั้งแต่นั้นมา ฝึกลด ละ เลิกสิ่งที่เคยติดมา ไม่ว่าจะเป็นด้าน การแต่งตัว เที่ยว ฯลฯ ก็ล้มลุก คลุกคลานบ้าง แต่ก็สู้มาตลอด

ที่ได้เข้าวัดก็เพราะลูกคนที่ ๒ (จอน) เข้ามาเรียนที่ศีรษะอโศก ก็เข้ามาช่วยที่ ชมร.ช.ม. ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน ครอบครัว ก็ปฎิบัติธรรม กันทุกคน ก็มีอุปสรรคบ้าง ต้องต่อสู้ กับกิเลสตัวเอง มาหัดยอม ฝึกฝนการกิน อยู่ หลับ นอนใหม่ เมื่อก่อน เคยทำอะไร? กินอย่างไร? นอนตอนไหนก็ได้ ก็ต้องมาปรับ เข้าระบบหมู่กลุ่ม เหมือนเกิดใหม่ เข้าสู่ชีวิตใหม่ ก็อาศัย องค์ประกอบ ของหมู่กลุ่ม ช่วยขัดเกลาอีกที

ทุกวันนี้อยู่กับชาว ชมร.ช.ม. ในฐานะเป็นผู้รับใช้ ช่วยงานแผนกของแห้ง มีลูกหลานสัมมาสิกขาภูผาฟ้าน้ำ (สส.ภ.) มาช่วย งาน รู้สึกอบอุ่น เพิ่มชีวิตชีวา สร้างสีสัน ให้กับผู้ใหญ่ ทำให้มี หลากหลายวัย คนเฒ่าคนแก่ คนหนุ่ม คนสาว และเด็กๆ เหมือน ครอบครัวใหญ่ ช่วยเสริมสร้าง บรรยากาศให้ ชมร.ช.ม. ดู คึกครื้น สนุกสนาน ร่าเริงดี ดีใจที่เด็กๆ สส.ภ. ลงมาช่วย

ก่อนจากก็อยากทิ้งท้ายว่า เส้นทางสายนี้ ท้าให้คนมาพิสูจน์ ต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง แล้วจะมีความผาสุกทางด้านจิตใจ เพราะ ชมร.ช.ม. แห่งนี้เป็นสนามบุญ พาเราเดินไปด้วยสัมมาอาริยมรรคมีองค์ ๘ มีอยู่กับฌานที่ลืมตาอยู่กับกรรม การงาน ขอท้าให้มาพิสูจน์ ด้วยตัวเอง

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]



* ศาลีอโศกบูรณาการการศึกษา...

เมื่อวันพุธที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๘ เวลา ๐๖.๐๐-๐๖.๓๐ น. นับว่าเป็นการ บูรณาการการศึกษาไปอีกก้าวหนึ่งที่ชาวศาลีอโศก ซึ่งถ้าจะพูดถึงอายุแล้ว ก็ล่วงเข้าสู่วัย คุณยาย คุณตา แต่ทว่า แววตาและท่าทาง เต็มไปด้วยพลังชีวิต ไฟแห่งความมุ่งมั่น ที่จะสร้าง ทายาทอโศก (ไม่ใช่ทายาทอสูร) เพื่อสืบสาน อุดมการณ์ อันอันติมะ ของพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ โพธิสัตว์ ชาวชุมชนกว่า ๒๔ คน มีความยินดีอย่างยิ่ง ที่จะรับลูกหลานนักเรียนสัมมาสิกขา ไปอบรม ดูแลอย่างใกล้ชิด ที่บ้านของตัวเอง ในชุมชน

ส่วนลูกหลานนักเรียนสัมมาสิกขาก็ดูมีชีวิตชีวากระตือรือร้นที่จะได้ไปอยู่กับพ่อแม่ชาวชุมชน ต่างก็พากันเลือกพ่อแม่ ที่ต้องใจ แล้วเข้า ไปกราบมอบเนื้อ มอบตัวเป็นการใหญ่ ยังมีนักเรียนบางส่วน ที่ไม่ต้องใจกับพ่อแม่คนใด จึงอยู่รวมกันที่ส่วนกลาง โดยมีคุรุ เป็นผู้ดูแล เหมือนเดิม

ทั้งนี้มีข้อตกลงร่วมกัน คือ นักเรียนยังคงทำกิจวัตรหรือตารางชีวิตตามปกติทุกประการ เพียงแต่ให้ไปพักกับพ่อแม่ได้เลย และอยู่ ไม่น้อยกว่า ๑ เดือน

ท้ายที่สุด หลวงปู่ณรงค์ (ชินธโร) ได้ให้โอวาทแก่พ่อแม่และเด็กๆ ว่า เมื่อ ไปอยู่กับผู้ใหญ่ให้มีความรู้สึกเป็นลูกเป็นหลาน ซึ่งจะได้ เรียนรู้สิ่งดีๆ จากผู้ใหญ่ แล้วเอาเป็นแบบอย่าง ส่วนผู้ใหญ่ ก็จะได้ เรียนรู้ลีลาของเด็กๆที่มีมากมาย ให้สร้าง ความรัก ความผูกพัน เป็นการศึกษา ซึ่งกันและกัน ขอย้ำเตือนเด็กๆว่า อย่ามือไวใจเร็ว อย่าถือวิสาสะ ให้ตกลงกัน เป็นกติกาสัญญา ชัดเจน อย่าให้มี ช่องว่างว่า เด็กทำอะไรได้หรือทำอะไรไม่ได้ ถ้าทำผิดจะลงโทษขนาดไหน ก็ตกลงกันให้เรียบร้อย ขอเน้นอีกนิด ตามโบราณว่า อยู่บ้านท่าน อย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควาย ให้ลูกท่านเล่น ถ้านักเรียนทำสำเร็จ ก็จะได้ นิสัยไม่ดูดาย เป็นผู้ใหญ่ที่ดี ในอนาคต.

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]


ปลื้มรณรงค์ประหยัดพลังงาน
แค่ ๓ เดือนแรกคนไทยลดไช้ไฟ ๘ %
เชือดตีนผีขับรถเกิน ๑๒๐ กม./ชม.

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการ นายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชนเมื่อวันที่ ๑๐ ก.ย.ว่า รัฐบาลไม่จำเป็น ต้อง นำมาตรการบังคับ ประหยัดพลังงาน มาใช้กับประชาชน เนื่องจากผลจากการรณรงค์ในช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา ได้ผล เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง สามารถประหยัด พลังงานได้ดี โดยในส่วน การลด การใช้ไฟฟ้า ภาคราชการ ลดลงได้ ๑๗.๔ ล้านหน่วย โดยพาณิชย์เป็นกระทรวง ที่ต้องชื่นชม เพราะลดได้ถึง ๒๔ %, มหาดไทย และ พลังงาน ลดลง ๑๙ %, เกษตร และสหกรณ์ ลดได้ ๑๘ % ส่วนใหญ่ลดลงอยู่ประมาณ ๑๐ % หน่วย ราชการที่ยังลดได้น้อย คือ กทม. ลดได้ ๒ % มหาวิทยาลัย ต่างๆ ลดได้ ๒ % ยุติธรรมลดได้ ๔ %

ส่วนการประหยัดไฟฟ้าในระดับจังหวัดพบว่า ลพบุรีลดการใช้ไฟฟ้าได้มากที่สุดถึง ๓๕ % เพชรบูรณ์ลดได้ ๒๑ % อุทัยธานี ลดได้ ๑๗ % ส่วนจังหวัด ที่ยังลดได้น้อย คือ นนทบุรี สมุทรปราการ ลดได้ ๔ % ขณะที่การใช้ไฟฟ้าในระดับจังหวัด ลดลงถึง ๑๑.๘ ล้านหน่วย หรือลดลง ๕ % ซึ่งต้องมอบรางวัล แก่ผู้ที่สามารถ ประหยัดพลังงาน เพื่อเป็นกำลังใจต่อไป

สาเหตุที่ราคาน้ำมันแพงมากในปัจจุบันมาจากการเก็งกำไร โดยอ้างวิกฤติการณ์หรือภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั่วโลก ซึ่งรัฐบาล จะจัดให้มี การประชุมเพื่อปฏิรูปโครงสร้าง การใช้พลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรถยนต์ ในระบบขนส่ง และในอุตสาหกรรม บางประเภท เพื่อลดการนำเข้าน้ำมัน และหันมาส่งเสริม ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติ ให้มากขึ้น

"ได้สั่งการให้จัดทำแผนและรายละเอียดปรับโครงสร้างพลังงานอย่างละเอียดโดยให้ประกอบด้วยเป้าหมาย เจ้าภาพ งบประมาณ ระยะเวลาแล้วเสร็จ คัดแยก เป็นรายการๆ เพื่อจะได้มีเจ้าภาพ เอาไปทำและเน้นเรื่องของการประหยัดพลังงาน และการทำเรื่อง ประสิทธิภาพ การใช้พลังงาน ให้เป็นรายอุตสาหกรรมขนส่ง ครัวเรือน และธุรกิจ จะทำอย่างไร ซึ่งมีโครง มาคร่าวๆ แต่ได้ขอ รายละเอียด เพื่อจะแบ่งคนแบ่งงานไปทำ เพราะไม่เช่นนั้น ประชุมกันพูดไปพูดมา งานจะเดินได้น้อย"

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอให้ประชาชนทุกคนช่วยกันประหยัดพลังงานทั้งไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศ รวมถึงความเร็ว ในการขับ รถยนต์ ซึ่งจะกวดขัน ให้มากขึ้น โดยเฉพาะ ผู้ที่ขับรถ เร็วกว่าที่กฎหมาย กำหนดไว้ เพราะหากขับที่ระดับ ๙๐ กม. ต่อชั่วโมง จะเป็น การประหยัด พลังงาน แต่ถ้าเกิน ๑๒๐ กม.ต่อชั่วโมง จะสิ้นเปลืองน้ำมัน.
(จาก นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ ๑๒ ก.ย.๔๘)

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

จิตใจ 'คนไทย' ย่ำแย่
สถิติฆ่าตัวตายสูงลิ่ว ชาวเหนือน่าห่วงที่สุด

จิตใจคนไทยย่ำแย่หนัก ติดอันดับ ๗๑ ของโลกการฆ่าตัวตาย กระทรวงสาธารณสุข เผยพบสถิติปี ๒๕๔๗ คนเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ฆ่าตัวตายสูงสุด สาเหตุมาจากปัญหา ครอบครัวแตกร้าว ความซึมเศร้า กรมสุขภาพจิตฟิตจัดเตรียมตั้ง โรงพยาบาล สวนปรุง เป็นศูนย์ป้องกัน

เมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น.วันที่ ๑๐ ก.ย.๔๘ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมช.สาธารณสุข พร้อมด้วย น.พ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดี กรมสุขภาพจิต เป็นประธาน การเปิดการสัมมนา ในวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก ที่โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ๕๐๐ คน ซึ่งนายอนุทิน กล่าวว่า ปัจจุบันการฆ่าตัวตาย เป็นปัญหาด้าน สาธารณสุข ที่สำคัญของโลก เป็นสาเหตุการตาย ๑๐ อันดับแรกของประชากร องค์การอนามัยโลกระบุว่าทั่วโลก มีผู้เสียชีวิต จากการ ฆ่าตัวตาย ปีละ ๑ ล้านคน หรือ วันละ ๒,๗๓๙ คน เฉลี่ยชั่วโมงละ ๑๑๔ คน หรือนาทีละ ๒ คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนประเทศไทย ติดอันดับ การฆ่าตัวตายที่ ๗๑ ของโลก ซึ่งมีแนวโน้มลดลงในปี ๔๗ ทั่วประเทศ มีผู้ฆ่าตัวตาย ๔,๒๙๖ คน เป็นชายมากกว่าหญิง ภาคเหนือ จะมีอัตราฆ่าตัวตาย สูงสุดในประเทศ สาเหตุหลักมาจากการติดสุราหรือการใช้ยาเสพติดถึง ๕๐ %

ด้าน น.พ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า ปัญหาการ ฆ่าตัวตายถือเป็นปัญหาของสังคมอย่างหนึ่ง ที่ชี้ให้เห็น ถึงความไม่ปกติของสังคม ทั้งที่เกิดจาก ปัญหาทางเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ที่คนไม่สามารถ หาทางออก ให้กับตัวเองได้ โดยปัจจุบัน ในพื้นที่ภาคเหนือ มีอัตราการ ฆ่าตัวตายสำเร็จ ประมาณ ๒๐ ต่อแสน ของประชากร สูงกว่า ค่าเฉลี่ย ของทั้งประเทศ ที่มีอัตรา การฆ่าตัวตายสำเร็จ อยู่ที่ ๗ แสนประชากรหรือประมาณสามเท่าตัว ซึ่งถือว่าเป็น สถานการณ์ ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง สถานการณ์ ดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีการติดตาม และเฝ้าระวัง อย่างใกล้ชิด เพื่อลดอัตรา การฆ่าตัวตาย สำเร็จลง

ในเบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุขจะใช้พื้นที่ภาคเหนือในการจัดโครงการนำร่องจัดตั้งศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายในภูมิภาค เพราะ เห็นว่าเป็นพื้นที่เร่งด่วน ที่ต้องแก้ปัญหานี้ โดยจะใช้ โรงพยาบาลสวนปรุง จ.เชียงใหม่ เป็นจุดศูนย์กลางของภาคเหนือ เพื่อให้ผู้เสี่ยง มีน้อยลง ในขณะที่กรณีปัญหาการฆ่าตัวตาย กลับถูกมองข้ามความสำคัญ เพราะถูกมองว่า เป็นเรื่องของ แต่ละบุคคล ทั้งๆที่ ผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ เป็นจำนวนมากนั้น ยังไม่สมควรตาย เพราะยังสามารถสร้างประโยชน์ ให้กับสังคม ได้อีกมาก การฆ่าตัวตาย มีสาเหตุมาจาก หลายปัจจัย ส่วนใหญ่แล้วจะมีที่มาจากครอบครัว รองลงมา ก็เป็นปัญหา อาชีพ การงาน สังคม วัฒนธรรม ค่านิยม ความเจ็บป่วยทางร่างกาย เป็นโรคร้าย ที่สังคมรังเกียจ โดยที่อาการ โรคซึมเศร้า เป็นสาเหตุอันดับหนึ่ง มีสัดส่วนร้อยละ ประมาณ ๖๐ % ของผู้ที่ ฆ่าตัวตายทั้งหมด

ข้อมูลล่าสุดเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๗ การฆ่าตัวตายในประเทศไทยมีอัตราการฆ่าตัวตาย สำเร็จเฉลี่ยอยู่ที่ ๗.๑ ต่อแสน ประชากร พื้นที่ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน คือ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำพูน แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน ลำปาง พบว่ามีการ ฆ่าตัวตาย สำเร็จ ๑๕.๖ ต่อแสนประชากร มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ รวมทั้งสิ้น ๘๙๑ ราย...

(จาก นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ ๑๒ ก.ย.๔๘

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

ปฏิทินงาน
งาน "ทรัพยากรไทยฯ ณ ห้องประชุม รร.คลองไผ่วิทยา ๑๙ - ๒๕ ต.ค. ๒๕๔๘
งาน "ตลาดนัดคุณธรรม" ที่ ศูนย์สิริกิติ์ ๒๘ - ๓ ต.ค. ๒๕๔๘

[จบข่าว...กลับไปหัวข้อข่าว]

 

เจ้าของ มูลนิธิธรรมสันติ สำนักงานและพิมพ์ที่ โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
67/1 ซ.ประสาทสิน ถ.นวมินทร์ บึงกุ่ม กทม. 10240 โทร.02-3745230 ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นายประสิทธิ์ พินิจพงษ์
จำนวนพิมพ์ 1,600 ฉบับ

[กลับหน้าสารบัญข่าว]

อ่านฉบับย้อนหลัง: