ข่าวอโศกรายปักษ์ สดจากปัจฉาสมณะ
 


 

ปฏิบัติธรรมในยุคกึ่งพุทธกาล หรือเริ่มๆจะกลียุคนี้ อุปสรรคทั้งหยาบและยากกว่า ยุคพระพุทธเจ้า ยิ่งใกล้กลียุคมากเท่าใด อาฬะวกะยักษ์ ช้างนาฬาคีรี นาคนันโทปนันทะ สัจจะกะนิครนถ์ ท้าวผกาพรหม ก็ยิ่งจะพิสดาร ซับซ้อนร้ายลึกมากขึ้น ความเป็นอนารยะ ก็หยาบร้ายเลวยิ่งขึ้น เป็นกรรมวิบากจริง ของสังคมแต่ละยุคกาล

สงกรานต์วิปโยค ม็อบแดงก่อจลาจล ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ทุบรถนายกฯ ทำร้ายเลขาธิการนายกฯ เผารถเมล์ ใช้รถแก๊ส ขู่เผากรุง ยิงมัสยิด ทุบตู้เอทีเอ็มธนาคาร เผาอาคารอาชีวะศึกษา ยิงชาวชุมชนนางเลิ้งเสียชีวิต ๒ คน ทำลายสิ่งของ ส่วนบุคคล หลายท้องที่ ปิดเส้นทางการจราจร ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด

อ้างเหตุของการทำเช่นนี้ว่าเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยเต็มใบ นายกฯอภิสิทธิ์ต้องลาออก หรือยุบสภาฯ พลเอกเปรม ประธานองคมนตรี ต้องลาออก (ก้าวล่วงพระราชอัธยาศัย)

ทั้งหมดล้วนเป็นผลพวงจากการโฟนอินของคุณทักษิณ และการปลุกเร้าของแกนนำแดง โดยมี ส.ส.เพื่อไทยหลายคนหนุนร่วม อีกทั้ง อดีตกรรมการ ไทยรักไทยบางคนโผล่เสริม อวดอ้างตนดุจท้าวผกาพรหม หรือสัจจะกะนิครนถ์ แต่แฝงเร้นยุแหย่ เหล่า อาฬะวกะยักษ์ ช้างนาฬาคีรี เพิ่มความฮึกเหิม ม็อบแดงจึงกร้าว ห้าว และดุดันยิ่ง

อ้างเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ ปฏิวัติโดยประชาชนที่ยิ่งใหญ่กว่า ๑๔ ตุลาฯ ๑๖ และ ๑๗ พ.ค. ๓๕ โค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตย โละสภาและองค์กรอิสระทิ้ง เป็นการสถาปนา รัฐไทยใหม่

"ถ้าเมื่อไหร่เสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชน ผมจะเข้าไปเดินนำพี่น้องประชาชน เข้ากรุงเทพฯทันที จะไม่ยอมอีกแล้วกับเผด็จการแบบนี้" ทักษิณกล่าว และสื่อให้โลกรับรู้ว่า "Thailand Needs Change"

“ไม่กลับบ้านมือเปล่า” “แพ้ไม่ได้”
“คนเสื้อแดงมันไม่กลัวอะไรแล้ว เพราะมันให้ชีวิตแล้ว แล้วมันจะกลัวอะไร”
“เสื้อแดงอยู่ไม่ได้ ใครก็อย่าหวังว่าจะอยู่อย่างสงบ” จตุพร
“ศึกครั้งนี้อาจถึงขั้นพลีชีพ” แกนนำอีสาน

อำมหิตมาก ที่ใช้ชีวิตของมวลชนมาเซ่นสังเวยอำนาจและผลประโยชน์ของตน แม้จะอ้างอุดมการณ์ก็ตาม

เมื่อม็อบแดงถ่อยเถื่อนเกินขีดประชาธิปไตย ประชาชนหลายท้องที่ออกมาต้านม็อบแดง ทหารเอาจริง ใช้กำลังกดดัน เข้าสลาย การชุมนุม อย่างเป็นขั้นตอน ไม่ใช้ความรุนแรง เช่นที่ทหารเคยทำ ต่างจากตำรวจทำกับพันธมิตรฯ ๗ ต.ค. ๕๑ ราวฟ้ากับดิน สื่อต่างประเทศ ตำหนิ “ทักษิณ” ว่าเป็นต้นเหตุ ของความแตกแยก

หน้าหนึ่ง เดินเกมสมาน แฝงข่มขู่ “ทักษิณ”บอกผ่านสื่อนอก ขอ “ในหลวง” ทรงลงมายุติวิกฤต "หากพระองค์ ไม่ทรงใช้พระราชอำนาจ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ในคืนนี้ จะเห็นประชาชน เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก"(มติชน ๑๕ เม.ย.)

หน้าสอง สานก๊วนแดงสู้ต่อ คุณจักรภพที่หลบหนีออกนอกประเทศให้สัมภาษณ์(ไทยโพสต์ ๑๕ เม.ย.) ยังจะสู้ต่อ นี่เพียงเริ่มต้น จากนี้ไป อีก ๖ เดือนถึง ๑ ปี หลังการจัดตั้งขบวนการ เสื้อแดงแล้วเสร็จ จะแถลงข่าวใหญ่ เบื้องต้น พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เห็นด้วยกับผม

สส.เพื่อไทยหลายคนให้ข่าวทหารฆ่าม็อบแดงหลายศพ แต่อำพรางและกลบข่าว สื่อไทยถูกซื้อหมด จึงไม่นำเสนอ การปิดกั้นอย่างนี้ จะทำให้ ม็อบแดงลงใต้ดิน

ขณะที่บนดินยังคงกดดันให้แก้รัฐธรรมนูญ ๕๐ ยุบสภาฯ

หน้าสาม ป้ายสีมือที่สาม ส.ส.ก๊วนแดงโยนเหตุจลาจลรุนแรง เป็นมือที่สาม เหลือง-น้ำเงิน-เขียว ปลอมปนแดงสร้างสถานการณ์

การลอบสังหารชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี (๖ เม.ย.) ยิงเอ็ม 79 ใส่สำนักงาน ศาลรัฐธรรมนูญ (๑๓ เม.ย.) และการรวบ ๓ มือเตรียมการเผา สำนักงานใหญ่ ธนาคารกรุงเทพฯ และตึกซีพี (๑๔ เม.ย.) น่าสงสัยยิ่ง ว่าเป็นฝีมือก่อจลาจล ของแดงเดือด ตามแผน ตากสินหรือไม่ หรือเป็นกลุ่มอำนาจใด แฝงซ้อนสร้างสถานการณ์รุนแรงขึ้นมา มีเป้าประสงค์เป็นอย่างใด

แต่ไม่ว่าจะแดงแท้ แดงเทียม หรือแฝงแดงซ้อน ล้วนเป็นพฤติกรรมถ่อย เถื่อน เป็นอนารยะทั้งสิ้น เต็มไปด้วยเลศเล่ห์ -กระหายอำนาจ -อาฆาต มาดร้ายเกินมนุษย์

การไล่ฆ่าคุณสนธิ ลิ้มทองกุล (๑๗ เม.ย.) ด้วยอาวุธสงครามนับร้อยนัด ทั้งๆที่ยังประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน อุกอาจเหิมเกริม มีแต่คนมีสี และมีอำนาจเท่านั้น ที่จะทำได้

ก่อนเกิดการลอบยิงคุณสนธิ แกนนำพันธมิตรฯท่านอื่นก็รู้และระมัดระวัง พลตรีจำลอง มาร่วมงานปลุกเสกฯ ๖-๑๒ เม.ย. ครั้งที่ ๓๓ ที่บ้านราชฯ แท้ๆ ก็ยังเปลี่ยนย้ายที่นอนเองทุกวัน แม้แต่พันตรีหญิงศิริลักษณ์ และเจ้าเอ็มที่ติดตามรับใช้ ก็ยังไม่รู้ว่า เคลื่อนไปนอน ที่ใดบ้าง จึงเป็นธรรมดา ที่จะไม่เห็น พลตรีจำลอง คลุกคลีกับญาติธรรมกลุ่มใดๆ

การ์ดกองทัพธรรมส่วนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ญาติธรรม อาสามาช่วยรักษาความปลอดภัย บริเวณสันติอโศก หวั่นแดงชุมนุมใหญ่ อาจจะพาลเลย มาก่อกวน

หลังข่าวการลอบสังหารคุณสนธิ ญาติธรรมหลายคนเพิ่มความระมัดระวัง ความปลอดภัย ให้กับพ่อท่านฯ เกรงจะตกเป็นเป้าหนึ่ง ของการจุดชนวน เหลืองเดือด

อนารยะชนย่อมอำมหิตร้ายเลวได้กับชนทุกผู้ ไม่เว้นอาริยะชน อาจเจ็บและตายได้ ยุคพระพุทธเจ้า อนารยะ ก็ยังเหี้ยมโหดได้ ประสาอะไรกับ อนารยะยุคนี้

อนารยะตัวใหม่ แฝงเก่าปรากฏ ข้อมูลหลายแหล่ง ตรงกันว่า เขียว-น้ำเงิน จับมือกันสร้างอำนาจใหม่ ล่อเป้า แดง-เหลือง ปะทะกัน จะได้จัดการทั้ง แดง-เหลือง แต่หลายท่าน ยังให้น้ำหนักว่า เป็นฝีมือของก๊วนแดง

นักวิเคราะห์หลายท่านเป็นห่วงการรบใต้ดินของก๊วนแดง จะกระจายตัวเป็นหย่อมๆ ทั้งอีสานและเหนือ เป็นวิธีการเดียวกับ พคท. เคยใช้ ซ้ายคลั่งอุดมการณ์ล้มเจ้า อาศัยทักษิณ ขณะเดียวกัน ทักษิณก็อาศัยซ้ายเหล่านี้

ขณะที่นักเลือกตั้งยังโทษวิกฤตการเมืองนี้ เหตุสำคัญอยู่ที่รัฐธรรมนูญ ๕๐ ไม่เป็นธรรม ต้องแก้ และต้องนิรโทษกรรมกับทุกฝ่าย ไม่เช่นนั้น บ้านเมืองจะวุ่นวายอย่างนี้ไม่จบสิ้น

นักเลือกตั้งเต็มไปด้วยเกมโกงและเลศเล่ห์ คิดพูดหรือทำอะไรก็เต็มไปด้วยผลประโยชน์และอำนาจของตนเป็นสำคัญ คาถา... ประชาธิปไตย... ประชาชน เป็นเพียงข้ออ้าง ที่ดูเท่หรู อำนาจและผลประโยชน์ ทำให้มัวเมาหลงติด ด้านและดื้อดึงดันไปได้เรื่อยๆ ไร้ยางอาย ไม่เกรงกลัวบาป

ตราบใดที่ก๊วนแดงยังเดินหน้าไม่หยุดปลุกปั่นยุยงมวลแดง นักเลือกตั้งยังวนอยู่กับเกมการเมือง บ้านเมืองยังวุ่นวายไปอีกนานแน่

พ่อท่านฯเยี่ยมให้กำลังใจคุณสนธิ ที่โรงพยาบาล (๒๒ เม.ย.) “ดีใจมากครับที่พ่อท่านฯ กรุณามาเยี่ยม” คุณสนธิ ประนมมือนมัสการ แล้วส่งเสียง บอกให้คนของตน นำเอาผ้าปูบนเบาะเก้าอี้ ที่เตรียมให้พ่อท่านฯได้นั่ง เป็นการแสดงความนอบน้อม อย่างศิษย์วัดป่า

มีเสียงเย้า เรื่องเครื่องรางของขลัง คุณสนธิส่ายหน้าเล็กน้อยปฏิเสธ “มันอยู่ที่คุณความดี...” ต่างไปจากการแสดงออก บนเวทีพันธมิตรฯ

พ่อท่านฯได้จังหวะเสริมย้ำ “มันไม่ใช่อยู่ที่จตุคามรามเทพ หรืออื่นใดเลย นั่นมันไม่จริง ธัมโมหเว รักขติ ธัมมจาริง ธรรมคุ้มครอง รักษาผู้ประพฤติธรรม อย่างอาตมา ทำงานมา ๓๐ กว่าปี ไม่มีสำนักใดรองรับ ไม่มีศิษย์พี่ ไม่มีศิษย์น้องเลย สงฆ์กระแสหลัก เขาก็จะเอาตาย ที่อยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะธรรมะคุ้มครอง

อาตมาเชื่อมั่นในธรรมะของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติพิสูจน์เห็นผลมาแล้ว จึงพยายามชี้ชวน คนเหล่านี้ ก็กำลังปฏิบัติพิสูจน์ตาม จนเป็นกลุ่ม เป็นหมู่ มีชุมชน มีหมู่บ้าน ทุกคนมีศีล ๕ เป็นอย่างน้อย ไม่มีอบายมุขเลย ไม่มีเหล้า บุหรี่เลย บางคนถือศีล ๘ ถือศีล ๑๐ เป็นฆราวาสนะ ทำงานฟรี ไม่ใช้เงินทองได้ อยู่กันอย่างพี่น้อง เกื้อกูลกัน มีสาธารณโภคี คนเหล่านี้เขาเข้าใจ จึงกล้าทิ้งหน้าที่การงาน ทิ้งเงินเดือนรายได้ มามีชีวิตอย่างนี้

อาตมาก็อยากจะเห็นคนทำงานการเมือง ทำอย่างซื่อสัตย์เสียสละอย่างนี้ ทำโดยไม่มี เงินเดือนรายได้ อย่างที่ชาวอโศกทำกันนี้ คนอื่น ก็คนเหมือนกัน ก็ย่อมจะทำได้ด้วย ขนาดทำงานไม่ได้หน้า ไม่ได้ตา ยังขยันหมั่นเพียรทำกันเลย ประสาอะไรกับงานการเมือง ได้หน้า ได้ตาด้วย จะไม่ขยันทำได้อย่างไร...

แต่สังคมยังรังเกียจ ชาวอโศกเหมือนตัว Skunk (ตัวเหม็น) หรืออีแร้งของสังคม ซึ่งอาตมาก็เห็นว่า ดี ทำให้พวกเรา มีเวลาฟูมฟัก บ่มเพาะ สร้างเนื้อหา ภายในของเราได้มากขึ้น”

คุณสนธิ “เสียดาย สิ่งที่ชุมชนอโศกทำ ไม่มีใครเอาไปต่อยอด ไม่มีคนสนใจ แล้วใครจะมาปลอมเป็นชาวอโศก ก็ปลอมไม่ได้ด้วย”

พ่อท่านฯ “ใช่ จิตวิญญาณมันปลอมกันไม่ได้หรอก ถ้าใครจะปลอมเข้ามาก็เอาเลย ปลอมให้เหมือน แล้วอยู่ให้ได้นะ...”

คุณสนธิทวนคำตาม “จิตวิญญาณปลอมไม่ได้” และในช่วงท้ายของการสนทนา คุณสนธิเปิดใจ “ผมฟังพ่อท่านฯวันนี้ ผมทะลุไป หลายๆเรื่อง มันเป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้น... หากเสร็จปัญหาบ้านเมือง ผมอยากจะไปอยู่... (สถานปฏิบัติธรรมหนึ่ง)” ราวกับเห็นแจ้ง และปลงตกแล้ว

ก่อนจาก พ่อท่านฯ กล่าวถึงการเพิ่มอิทธิบาท ดูแลสุขภาพ เพื่อจะได้ทำงานสร้างสังคมใหม่ ได้ยาวนาน และคุณสนธิเอง ก็ต้องรักษาสุขภาพ ให้แข็งแรงด้วยเช่นกัน จะได้อยู่ทำงาน ช่วยสังคมต่อไป แวะเย้าเรื่องการสูบบุหรี่ของคุณสนธิ เป็นผลเสียต่อสุขภาพ ควรเลิกได้แล้ว

คุณสนธิยิ้มๆ “ว่าแล้วเชียว” คงสังหรณ์ใจอยู่แล้ว...

พ่อท่านฯ ต่างจากเจ้าสำนักทั้งหลาย ที่คนส่วนใหญ่นิยมเลื่อมใส ทั้งอรรถสาระธรรม และพฤติกรรม ที่แสดงออกสู่สาธารณะ ผู้ที่ยอมรับพ่อท่านฯได้ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ กับอรรถสาระแก่นใน มากกว่าบุคลิกเปลือกผิว ที่ดูขี้ริ้วขี้เหล่ ทั้งกร้าว ห้าว ไม่นุ่มนวล อ่อนโยน ดูหลุดไปจากสมมุติสัจจะ ที่คนส่วนใหญ่ยึดถือ อันเป็นเจตนา หรือวิธีการของพ่อท่านฯเอง ที่ทำตนเช่นนั้น เพื่อคัดกรอง คนที่จะศรัทธา ต้องมีปัญญาสำคัญสาระแก่น กว่าผิวเปลือก

“เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง” เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ที่พ่อท่านฯ ใช้ในการทำงานศาสนา มาตลอด

“อีก ๕๐๐ ปี บุญนิยมจึงจะอุดมสมบูรณ์” พ่อท่านฯ กล่าวเมื่อเกือบ ๒๐ ปีที่แล้ว เป็นการประเมินผลเข้ม เพราะ งานเปลี่ยนแปลงคน เปลี่ยนแปลงสังคม จากอนารยะสู่อาริยะ ต้องใช้เวลาบ่มเพาะ

เร่งมรรคได้ แต่เร่งผลไม่ได้
ผล ในที่นี้หมายทั้งคุณภาพและปริมาณ

โครงการ บ้านราชฯพันคน ผ่านมา ๒ ปี เพิ่มขึ้นแค่สิบต้นๆ ทั้งๆที่ทุ่มเทเร่งเร้า ชี้ชวนกันทุกงาน เช่นเดียวกับการศึกษา เศรษฐกิจพอเพียง ที่ ม.อุบลฯ ตั้งเป้าปีนี้ ๓๐ คน แต่สมัครเรียนแค่ ๕ คน จากนักเรียนสัมมาสิกขา ที่เพิ่งจบ ม.๖ ปีนี้ ๕๑ คน ไร้ญาติธรรม สมัครเรียนเพิ่ม ซ้ำมิหนำ ที่เรียนอยู่ ก็ขอลาออกหลายคน

การศึกษาสัมมาสิกขาทุกแห่ง เด็กสมัครเรียนชั้น ม.๑ น้อยลง กว่า ๑๐ ปีที่แล้ว ยุคศีรษะอโศก ปฐมอโศก เฟื่องฟู มีสมัครถึง ๖๐ ต้นๆ ยุคนี้บ้านราชฯเฟื่อง สมัครแค่ ๓๐ ต้นๆ ขณะที่ปฐมอโศก -ศีรษะอโศก ๑๐ ต้นๆ

ปริมาณไม่ถึงเป้า เพราะคุณภาพคุณธรรมยังไม่ถึงผล

การเมืองอนารยะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปริมาณลดน้อยไม่ถึงเป้า น่าเห็นใจที่ความติด ในโลกีย์สุข ทำให้รักตัวกลัวภัย

ยามบ้านเมืองเกิดศึกสงคราม ๑ ยามผู้คนทะเลาะแตกสามัคคีกัน ๑ ยามโรคเบียดเบียน ยามแก่ชรา ๑ ยามอาหารขาดแคลน ๑ ยามสงฆ์แตกสามัคคี ๑ ยามนั้นไม่สะดวกต่อการบำเพ็ญเพียร

ตั้งแต่ กรณีสงฆ์กระแสหลักเบียดเบียนสงฆ์ชาวอโศก (ปกาสนียกรรม) จนถึง กรณีก๊วนแดง ทำร้ายทำลายชุมชนอโศก หลายพื้นที่ ส่งผลให้ ปริมาณของสมณะ สิกขมาตุ และญาติธรรม ชาวอโศก ทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำ แต่กิจกรรมที่เชื่อมออกสู่สังคม ขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างมาก จากแค่ โรงพิมพ์ ร้านค้า เกิดชุมชน สินค้าชุมชน มีโรงสี มีโรงปุ๋ย มีโรงเรียน มีโรงงานยาสมุนไพร มีการอบรมชาวบ้าน มีพรรคเพื่อฟ้าดิน มีวิทยุชุมชน เข้าร่วมชุมนุม กับพันธมิตรฯ มีสถานีโทรทัศน์ เชื่อมการศึกษาเศรษฐกิจพอเพียงกับ ม.อุบลฯ หลายท่าน ทำงานหลายหน้าที่ สวมหมวกหลายใบ

สิ่งนี้แสดงถึง ปริมาณคงที่ แต่คุณภาพคุณธรรมเพิ่มขึ้น

ขนาดไม่ใช่สมัยต่อการบำเพ็ญเพียร ผ่านคุกตะราง (กรณีสันติอโศก) ผ่านสงครามเหลือง-แดง เสี่ยงเจ็บ-ตาย ระเบิด แก๊สน้ำตา ก็ยังเพิ่มคุณภาพ คุณธรรมกันได้ถึงปานนี้

หลายท่านมองเหตุที่ปริมาณไม่เพิ่ม อยู่ที่ข้อบกพร่องของการบริหารจัดการ ไม่มีระบบ ระเบียบ, ขยายงานวัตถุ มากเกินการพัฒนา ทางจิตวิญญาณ, ข้อพร่องของชุมชน, ข้อด้อยของการศึกษา, ข้อผิดพลาดของหมู่สมณะ-สิกขมาตุ ฯลฯ

พ่อท่านฯเผย “การบริหารจัดการ ที่ดูไม่เป็นระบบระเบียบ แต่ก้าวหน้าอย่างเป็นระบบระเบียบ” พร้อมกับอธิบาย ความก้าวหน้า หรือเติบโต อย่างเป็นระบบระเบียบ ด้วยการทำมือให้ดูประกอบ...โย้ไปเย้มา หุบเข้า-กว้างออก สลับกันไป ในแนวดิ่ง สูงขึ้นๆ...

นักวิชาการเรียกปรากฏการนี้ว่า Chaos Theory (ทฤษฎีเคออส) ธรรมชาติที่สะเปะสะปะ แต่มีระบบระเบียบ นักวิชาการทางคณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ นักวิชาการทางสังคมศาสตร์ ต่างอธิบายกันไปตามตรรกะ และประสบการณ์ของตน แต่คำคมที่นิยมใช้ บอกถึงทฤษฎีนี้ ตรงกันคือ "Butterfly Effect" ปรากฏการณ์ผีเสื้อ “ผีเสื้อขยับปีก ทำให้เกิดพายุ” “เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว”

ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ มองชาวอโศก ผ่านบทความ รัฐรวมศูนย์ที่ไม่มีศูนย์ มติชน ๔ พ.ค.ที่ผ่านมา วิพากษ์รัฐบาลว่า ไม่มีประสิทธิภาพ ที่จะใช้นโยบายต่างๆได้ พร้อมกับได้เสนอทางออก ที่จะสามารถทำได้คือ เผด็จการเบ็ดเสร็จ กับ ประชาธิปไตย

เผด็จการเบ็ดเสร็จ เมืองไทยมีสองกลุ่ม คือ พคท. ซึ่งแพ้ราบคาบไปแล้ว และ สันติอโศก ซึ่งหากทำได้เมื่อไร มหาอำนาจทุนนิยม ก็จะกล่าวหาว่า เป็นทาลิบันสอง อย่างแน่นอน และก็คงบ่อนเซาะ ให้พังโดยเร็ว...

กรุงเทพธุรกิจ ๗ พ.ค.ได้สรุปการปาฐกถา “ศาสนาในสังคมไทยสมัยใหม่” ของดร.นิธิเช่นกัน มีมุมมองที่น่าสนใจไม่น้อย วิเคราะห์ พุทธศาสตร์แห่งชาติ ตั้งแต่สมัย ร.๕ “พุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผลผลิตจากตะวันตก เกิดความแตกต่าง ระหว่างพุทธศาสนา แบบราชสำนัก กับพุทธศาสนา ของชาวนา ประเด็นนี้ พุทธศาสนา จึงถูกสร้างให้เป็นเครื่องมือ ของรัฐรวมศูนย์ เป็นเครื่องมือ เผยแพร่นโยบาย ที่รัฐต้องการ ผ่านพระสงฆ์” และได้เสนอทางออกว่า พุทธศาสนา น่าจะกลับไป เป็นแบบ พุทธศาสนาที่หลากหลาย หรือแบบรวมๆ สมัยก่อนรัชกาลที่ 5 จากนั้นกล่าวถึง พุทธหลากหลาย ตอบสนองสังคมได้มากกว่า เช่นธรรมกาย ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน ช่วยเหลือกัน ทางธุรกิจ เป็นผลจากการจัดการที่ดี “กรณีสันติอโศก พยายามตอบคำถามของสังคม เช่น เรื่องความเท่าเทียม เสมอภาค ที่นี่จะมีประเพณี วิจารณ์ตนเอง หรือเรียกกันว่า การชี้ขุมทรัพย์ แม้แต่พ่อท่านโพธิรักษ์ ก็เน้นการอยู่ง่าย กินง่าย ท่านยังสร้าง ระบบเศรษฐกิจ แบบบุญนิยม สอนให้เป็นทั้งผู้ผลิต แลกเปลี่ยน และบริโภค ส่งเสริมการหากำไร จากสิ่งที่ไม่ใช่เงิน”

เป็นทรรศนะทั้งลบและบวกในเวลาไม่ห่างกันนัก ดูขัดแย้งกันเอง ผู้พูดอาจมีความลุ่มลึก แต่สื่อถ่ายทอดไม่ครบเองก็ได้ ถึงอย่างไร ฐานคิดหลัก ของนักวิชาการ ก็คือตรรกะและตำรา ย่อมถูกบ้างผิดบ้าง ปรโตโฆสะ รับประโยชน์ต่อทุกทรรศนะ กาลามสูตร ถือเป็นหลักกรอง ที่ดีที่สุด

“หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง” นักวิชาการ นักคิดนักเขียน ศิลปิน และกลุ่มพลัง ที่ไม่เลือกทั้ง เหลือง-แดง เคลื่อนไหว เรียกร้อง (๔พ.ค.) ให้ทุกฝ่ายหยุดใช้ ความรุนแรง ทั้งกาย-วาจา และอื่นๆอีกรวม ๙ ข้อ โดยมหาดไทย ให้การสนับสนุน แต่ถูกวิจารณ์ เปรียบเปรยว่า แย่งซีนพระเอกเข้าฉากตอนจบ บางคนเป็นตัวประกอบ ที่ส่งเสริม ผู้ร้ายมาก่อน หลายคนแทงกั๊ก ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา เป็นแค่คนดู แต่ฉวยโอกาส พรางตน เป็นพระเอก เข้าฉากสุดท้าย

“การเมืองใหม่” ที่พันธมิตรฯใฝ่ฝัน หวังไม่ได้จากนักวิชาการ ยิ่งนักเลือกตั้ง ยิ่งหวังไม่ได้เลย พันธมิตรฯ ต้องสร้างก่อกันเอง ซึ่งอุปสรรค ทั้งภายใน ภายนอกเยอะแน่

“การเมืองอาริยะ” ที่พ่อท่านฯมุ่งหมาย ไม่มีปรากฏในตำราใดๆ จึงหวังไม่ได้เลยจากกลุ่มใดๆ ไม่เว้นแม้พันธมิตรฯ และยากลำบากกว่า การเมืองใหม่แน่ เพราะอุปสรรคไม่ใช่แค่ ทิฐิสามัญญตา หรือแนวคิดต้องตรงกันเท่านั้น สีลสามัญญตา หรือเนื้อหาความจริง ตนต้องเป็น อาริยะจริงให้ได้ด้วย

พ่อท่านฯ เพียรพยายามเชื่อม ศาสนา สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา สื่อสารมวลชน ฯลฯ สัมพันธ์เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน ไม่ได้แยกขาดจากกัน ล้วนมุ่งสู่ทิศอาริยะชน เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า ไร้หวังจากสงฆ์กระแสหลัก, นักสังคมศาสตร์, นักเศรษฐศาสตร์, นักการเมือง, นักวิชาการ ฯลฯ ชาวอโศกต้องสานต่อกันเอง เริ่มจากการละลดความเป็นอนารยะในตน สานฝันบ้านราชฯ พันคน สร้างสังคมอาริยะชน ให้ชัดเด่น

ไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำ
เร่งมรรคให้มากแล้วผลจะเกิดเอง

ข่าวอโศก ๑๖-๓๑ พ.ค. ๒๕๕๒