ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีจุดแข็งอยู่ที่ภาคการเกษตร และจุดแข็งนี้ ทำให้คนไทยยังคงอยู่ได้อย่างไม่เดือดร้อนมากนักในช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำอย่างหนัก
หลายประเทศแทบจะล่มสลายไปตามภาวะเศรษฐกิจโลก แต่เรายังคงยืนอยู่ได้ด้วยอาศัยความเป็นเอกลักษณ์ของไทยมาจนถึงทุกวันนี้
แม้ไทยจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่เราสามารถส่งออกพืชเศรษฐกิจสำคัญอยู่หลายตัว...
"ยางพารา" เป็นพืชอีกตัวหนึ่งที่ไทยเรามีศักยภาพในการผลิตและส่งออกได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก
ซึ่งฟังแล้วดูเหมือนว่าใครที่มีสวนยางน่าจะมั่งคั่งร่ำรวย แต่จริงๆ แล้วเปล่าเลย
!!!
เกษตรกรไทยแทบจะทุกสาขาอาชีพ ประสบปัญหาเรื่องตลาดมาโดยตลอด ยางพาราก็เช่นกัน
ตลอดระยะ 10 ปีที่ผ่านมา (2535-ปัจจุบัน) รัฐบาลต้องเสียเงินไปกับการแทรกแซง
ราคายางไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท สาเหตุเนื่องจากปริมาณการใช้ยางในตลาดโลกลดลง
ในขณะที่กำลังการผลิตยังคงเพิ่มขึ้น
เพื่อเป็นการแก้ปัญหายางล้นตลาดและราคายางตกต่ำ 3 ประเทศผู้ผลิตยาง
ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จึงได้จับมือกันให้แต่ละประเทศลดกำลังการผลิตลงร้อยละ
4 ต่อปี และลดการส่งออกร้อยละ 10 |
|
โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545
นอกจากการร่วมมือกันระหว่างประเทศแล้ว ไทยยังได้กำหนดแนวทางแก้ปัญหาไว้อีก
3 แนวทาง คือ 1. ไม่เพิ่มพื้นที่ปลูกยาง ควบคุมพื้นที่ไม่ให้เกิน 12 ล้านไร่
2. เร่งสงเคราะห์ปลูกยางปีละ 3 แสนไร่ 3. เร่งรัดปลูกทดแทนยางเก่า ซึ่งจะทำให้การผลิตลดลงร้อยละ
4 ต่อปี ลดผลผลิตได้ประมาณ 7 หมื่นตัน และลดส่งออกได้ร้อยละ 10 ทำให้ไทยมีโควตาส่งออกไม่เกิน
1.9 ล้านตัน จาก 2.4 ล้านตัน
ยางที่เหลือ 5 แสนตัน จะนำไปใช้ทำผลิตภัณฑ์ที่ผลิตประจำอยู่แล้ว เช่น
ถุงมือยาง ยางรัดของ รองเท้า อุปกรณ์กีฬา ฯลฯ ซึ่งจะเป็นการใช้ยางในประเทศประมาณ
2.5-3.0 แสนตัน ส่วนยางที่เหลืออีก 2 แสนตันนั้น กระทรวงเกษตรฯมีแผนใช้ยางพาราในงานทาง
ซึ่งเป็นมาตรการเร่งด่วน ระยะเวลา 5 ปี (2545-49)
ทั้งนี้ เพื่อให้มีการใช้ยางเพิ่มขึ้นปีละไม่น้อยกว่า 4 หมื่นตัน ซึ่งการทำทางนี้
จะใช้ยางพาราผสมยางมะตอยราดถนน มีแผนการใช้ยางตั้งแต่ปีนี้ (2545) ประมาณ
5 พันตัน ปี 2546 ประมาณ 2.5 หมื่นตัน และปี 2547 คาดว่าจะใช้ยางได้ 4
หมื่นตัน ได้ตามเป้าที่วางไว้ ใช้งบประมาณ 6,675 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้วางแผนส่งเสริม
ให้มีการใช้ยางพาราในการทำเขื่อนยาง ยางกันชนที่ใช้ในท่าเรือ หมอนรองรางรถไฟ
อ่างเก็บน้ำ พื้นยาง และยางล้อรถในภาคเกษตร ซึ่งช่วยให้การใช้ยางในประเทศเพิ่มมากขึ้นทางหนึ่ง
สำหรับประเทศไทยเรา ได้ทดลองใช้ยางพาราผสมยางมะตอยราดถนนมาตั้งแต่ปี 2500
ครั้งแรกที่ จ.สงขลา สายหาดใหญ่-สงขลา โดยความร่วมมือของแขวงการทางสงขลาและศูนย์วิจัยยางสงขลา
ต่อมาในปี 2543 ทดลองทำที่ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา และองค์การสวนยาง จ.นครศรีธรรมราช
และในปี 2544 ที่บริเวณหน้ากรมวิชาการเกษตร
นายประสาท เกศวพิทักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า
การทดลองดังกล่าวพบว่า ถนนที่ราดยางด้วยยางพาราผสมยางมะตอย มีข้อดีหลายประการ
คือ ถนนมีความแข็งแรงทนทาน ยืดหยุ่น สามารถรองรับน้ำหนักปริมาณรถบรรทุกได้ดี
มีอายุการใช้ยางได้ยาวนานกว่าการใช้ แอสฟัลต์หรือยางมะตอย 1-2 เท่า ประหยัดงบประมาณในการซ่อมแซมถนน
เปรียบเทียบกับถนนที่ราดด้วยยางมะตอยอย่างเดียว ผิวถนนจะชำรุดเสียหายเร็วกว่า
เวลาอากาศร้อนจัด ผิวทางจะไหลเยิ้ม
|
ฉะนั้น โครงการนี้จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่ง
ที่ช่วยเพิ่มปริมาณการใช้ยางธรรมชาติภายในประเทศ คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
สามารถประหยัดงบในการซ่อมแซมถนนได้ถึง 4.5 เท่า เมื่อเทียบกับถนน ที่ราดยางมะตอยอย่างเดียว
และเพื่อเป็นการยืนยันในประสิทธิภาพ เมื่อเร็วๆ นี้ แขวงการทางฉะเชิงเทราและศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา
จึงร่วมมือเป็นครั้งที่ 2 จัดทำโครงการทดลองนำยางมะตอยผสมยางพาราราดถนนสายสนามชัยเขต-
|
ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อศึกษาการใช้งานในสภาพจริง เป็นระยะทาง 300
เมตร โดยมี นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ นายวันมูหะมัดนอร์
มะทา รมว.คมนาคม ร่วมกันเป็นประธานในพิธีเปิดป้ายโครงการฯ
งานนี้น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับเกษตรกรชาวสวนยาง แต่คงจะเป็นข่าวร้ายสำหรับพวกขบวนการงาบทั้งหลาย
!!!
ดวงแก้ว ผุงเพิ่มตระกูล