สืบเนื่องจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสทางภาคเหนือเมื่อปี
พ.ศ. 2506 ทรงเห็นว่าชาวเขามีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น
ทำการเกษตรไม่ถูกต้องและยังมีการปลูกฝิ่นอยู่มาก ในการนี้ ทรงพบว่า
พีช ท้อ เมื่อขายแล้วราคาดีกว่าการปลูกฝิ่น แต่หากคุณภาพต่ำ
ก็จะขายไม่ได้ราคา เว้นแต่นำไปแปรรูป ดังนั้น
พระองค์จึงทรงให้แนวทางว่า "หากหาไม้ผลต่างประเทศมาปลูก
จะทำให้ชาวเขาอยู่เป็นหลักแหล่ง อีกทั้งไม้ผลยังช่วยลดการกระแทกของฝน
ใช้น้ำและสารเคมีน้อย"
ด้วยเหตุนี้
ประเทศไทยเราได้มีการนำพันธุ์ไม้จากต่างประเทศหลากชนิดหลายสายพันธุ์
เข้ามาทดลองปลูก ซึ่งในการนำมาแต่ละครั้ง
จะได้รับความช่วยเหลือจากทูตประเทศต่างๆ
ทำให้ปัจจุบันสามารถรู้ได้ว่า พื้นที่แต่ละแห่งของประเทศไทย
ปลูกไม้ผลอะไรได้บ้าง แต่ทั้งนี้ในเรื่องคุณภาพพันธุ์ที่ได้
ก็ยังไม่ดีพอ ถึงแม้จะบำรุงปุ๋ยให้น้ำอย่างไรก็ตาม ดังนั้น
เพื่อเป็นการแก้ปัญหา
เราจึงต้องมีการปรับปรุงสายพันธุ์ให้เหมาะสมและเข้ากับสภาพพื้นที่
และภูมิอากาศของไทย
และ...เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ได้มีโอกาสร่วมเดินทางกับ นายไมลส์
คุเปอร์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ไปดูงานวิจัย
"เรื่องการปรับตัวของไม้ผลเมืองหนาวชนิดต้องการความหนาวเย็นน้อย
ในประเทศออสเตรเลียและประเทศไทย" จังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งการวิจัยนี้เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศออสเตรเลีย
ภายใต้โครงการ"เอซีอาร์" ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลออสเตรเลีย
ในการวิจัยดังกล่าวนายพิจิตร ศรีปัญา นักวิชาการเกษตร
ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ เล่าว่า "สืบเนื่องจากเมื่อครั้งที่
ดร.อดิศักดิ์ ศรีสรรพกิจ ทำหน้าที่เป็นทูตเกษตรประจำประเทศออสเตรเลีย
ได้มองว่าสภาพพื้นที่ของออสเตรเลียนั้น
อากาศหนาวไม่มากและคล้ายกับประเทศไทย ซึ่งที่ออสเตรเลียนี้
ผลไม้เปลือกแข็งสามารถปลูกได้ดีและมีการพัฒนาไปสู่การค้า
มีการส่งผลผลิตไปขายตลาดต่างประเทศ"
|
ดังนั้นจึงคิดว่าหากเราทำการทดลองนำไม้ผล เปลือกแข็งไปปลูกในเมืองไทยน่าจะมีความเป็น ไปได้สูงจึงได้เสนอขอความร่วมมือกับทางออส- เตรเลียในเรื่องของงบประมาณนักวิชาการเทค โนโลยีต่างๆกิ่งพันธุ์ที่ต้องการอากาศหนาวเย็น ไม่มาก
เมื่อเราได้เริ่มการวิจัยในเบื้องต้นเราได้ นำกิ่งพันธุ์การค้ามาทดสอบที่สถานีทดลองการ |
เกษตรที่สูงขุนวาง
จ.เชียงใหม่ทำการทดสอบปลูกพีช แนคตาลีน พลัม เพอซิมอล บลูเบอรี่ แพร
และสาลี่ เพื่อเฟ้นหาพันธุ์ดีที่มีความเหมาะสม
ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกในเมืองไทย
นอกจากนี้
ยังได้มีการวิจัยเทคนิคการตัดแต่งกิ่งพันธุ์ในลักษณะต่างๆ
ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่นำมาจากออสเตรเลีย ซึ่งได้แก่
การตัดแต่งกิ่งแบบเปิดกลาง
เหมาะแก่การแต่งต้นพืชที่ต้องการสังเคราะห์แสงโดยการตัดลักษณะเช่นนี้จะทำให้ต้นไม่สูงเกินไป
ง่ายต่อการดูแลรักษา และมีลักษณะเป็นทรงแผ่ออกรอบข้าง
การตกแต่งแบบกำแพงรั้ว
จะเป็นลักษณะเหมือนคนยืนกางแขนให้ออกแนวกิ่งตรงกันข้ามใน ลักษณะแบน
ซึ่งการตกแต่งลักษณะดังกล่าว มีข้อดีคือ สามารถปลูกระยะชิดได้
ซึ่งจะทำให้เกษตรกรสามารถปลูกเพิ่มจำนวนต้นต่อพื้นที่ได้มาก
และต้นไม่สูง
ซึ่งจะทำให้ดูแลรักษาง่ายและเหมาะแก่การปลูกในพื้นที่สูง
ซึ่งมีบริเวณจำกัด ฉะนั้น การแต่งกิ่งลักษณะนี้
สามารถปลูกได้ในระยะชิด ซึ่งจะให้ผลตอบแทนต่อพื้นที่สูง
การตกแต่งแบบลำตนเดี่ยว
ข้อดีสามารถปลูกได้ชิดกว่าการตัดแต่งแบบกำแพงรั้ว แต่ว่า
การตัดแต่งจะต้องรู้และเข้าใจ
เพราะการแต่งลักษณะนี้จะต้องเลือกกิ่งที่มีอายุ 1 ปี
เนื่องจากท้อจะมีนิสัยออกดอกที่กิ่งอายุ 1 ปี
และการแต่งจะต้องไม่ให้ทรงพุ่มใหญ่มีลักษณะชี้ฟ้า
กิ่งด้านข้างจะต้องออกทุกปี เมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว
เวลาตัดแต่งกิ่งจะชิดกับลำต้น อย่างไรก็ตาม
การตัดแต่งกิ่งในลักษณะต่างๆ ยังอยู่ในช่วงเก็บผลวิจัย ซึ่งยังไม่
สามารถหาข้อสรุปได้ว่า การแต่งกิ่งแบบใดจะเหมาะกับพื้นที่ของไทย
ซึ่งจะต้องรอผลถึง 3 ปี
แต่อย่างไรก็ตาม เราได้คาดว่า วิธีการตัดแต่งกิ่ง
จะเป็นอีกหนทางหนึ่งในการเพิ่มผลผลิตเพิ่มรายได้
ต่อพื้นที่ให้กับเกษตรกร.
เพ็ญพิชญา
เตียว